บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ
เทียนอี้กกกอดซิ่นเฉิงให้หลับใหลไปในอ้อมแขนแกร่งของตนตลอดทั้งคืน ครั้นตื่นมา ซิ่นเฉิงก็ระลึกชาติได้ว่าเหตุใดตนถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเทียนอี้นัก นั่นเป็นเพราะเมื่อชาติแรก เขากับเทียนอี้มีสายสัมพันธ์เกาะเกี่ยวกันอย่างมิอาจตัดขาด ถึงกระนั้นก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าในใจของเขารักใคร่ใครอีกคนเมื่อได้พบหน้ากับเจี้ยนสืออีกคราในวันที่กองทัพจะยาตราสู่ทะเลทรายและมุ่งลงใต้
แท้จริงแล้ว ก้นบึ้งในจิตใจนั้น เขารักเจี้ยนสือต่างหาก...
ทว่าซิ่นเฉิงกลับปฏิเสธความรู้สึกนั้น เพราะนั่นเป็นความรู้สึกของหลิวซู หาใช่ของเขา แม้จะเป็นเทพชั้นผู้น้อยอันมีหน้าที่ในโรงครัวสวรรค์กลับมาเกิด แต่ซิ่นเฉิงก็บอกกับตนเองว่าคนที่เขาเป็นคือซิ่นเฉิง บุรุษแห่งทะเลทราย หาใช่เทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นไม่
ครั้นบอกกับตนเองอย่างนั้นก็เก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในใจเพียงลำพัง แต่งกายและเตรียมตัวให้พร้อมสู่การกลับไปเหยียบยังดินแดนมาตุภูมิ
เครื่องประดับนักรบของเผ่าถูกสวมใส่ทุกชิ้นไม่เว้นแม้แต่เครื่องประดับผม เส้นผมยาวสลวยที่มักจะถูกปล่อยสยายเสมอถูกรวบขึ้นด้วยสองมือหยาบหนา ก่อนจะถักเป็นเปียยาว ใบหน้ายามเส้นผมถูกรวบรัดช่างสร้างความแปลกตาให้แก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทียนอี้ที่จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ซีกหน้าของชายหนุ่มหาได้งดงามน่าทนุถนอมเช่นหลิวซู อีกทั้งผิวพรรณก็หยาบกระด้าง เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล กระนั้นกลับชวนให้มองเป็นอย่างมาก เสน่ห์ที่ไม่อาจเชื่อว่าจะมาจากบุรุษผู้นี้พร่างพรายออกมาราวกับละอองเกสรของบุปผาฟุ้งกระจาย แต่แล้วก็ต้องได้สติกลับคืนเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาหาพร้อมกับบางสิ่งในมือ
“สิ่งนี้ข้าคืนให้เจ้า”
นั่นคือเครื่องประดับผมของเผ่าที่มีเขี้ยวสุนัขป่าห้อยประดับ มันเป็นของที่เทียนอี้ได้มอบไว้ให้ เทียนอี้รับกลับคืนมา ทว่าก็ไม่ได้เก็บไปอย่างที่ควรจะเป็น กลับเอาประดับผมข้างกับเครื่องประดับอีกชิ้นของซิ่นเฉิงเสียอย่างนั้น เมื่อเสร็จสิ้นถึงพูดขึ้น
“มันเป็นของเจ้า”
“ข้าไม่ใคร่รับไว้” แม้จะไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่น้ำเสียงและใบหน้าก็บ่งบอกว่ารำคาญใจ
เทียนอี้ไม่ถือสา ยิ้มรับเล็กน้อย “อย่างไรเสีย ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์แล้ว ถือว่าเป็นของต่างหน้าจากข้า หากเจ้าไม่ต้องการ ก็ทิ้งมันไป”
พอได้ยินเช่นนั้น คนดื้อดึงก็ไม่พูดอะไรต่อ ยิ่งได้สบสายตาของเทียนอี้ด้วยแล้ว ในใจของเขาก็ปวดแปลบขึ้นมา
ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์... คำนี้นั้นช่างบีบรัดหัวใจยิ่งนัก แม้ไม่ได้จากตาย แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้เหลือแสน
ซิ่นเฉิงจึงไม่พูดอะไรอีก เดินไปหาพ่อบ้านเหลียงที่นำดาบวงพระจันทร์ประจำกายของเขาที่เทียนอี้เก็บไปมาคืนให้ บัดนี้ชายหนุ่มเป็นนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ภาพที่เห็นนั้นคือตัวตนที่แท้จริงของซิ่นเฉิง เขาพอใจกับภาพสะท้อนของตนเองในยามนี้ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว มันช่างตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหาใช่เจ้าแมวป่าในจวนของเขาอีกต่อไป กระนั้นก็ต้องเก็บความรู้สึกในใจไว้ ขณะที่เทียนอี้เองก็หาใช่เจ้าหมาของซิ่นเฉิงเช่นกันยามที่สวมเกราะแม่ทัพใหญ่ ดำรงตำแหน่งผู้นำทัพเคียงคู่เจี้ยนสือนำพลไปปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี
ราวกับเรื่องราวในอดีตชาติวนกลับมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พวกเขาจะพลาดพลั้งไม่ได้ เพราะโชคชะตาของพวกเขาแขวนไว้กับชะตาชีวิตของปีศาจตนนั้น หากทำสำเร็จ พรที่เหล่าเทพอสูรพึงได้คนละข้อก็จะสัมฤทธิ์ผล ความหวังที่จะได้กลับเป็นเทพยังมี จึงจำเป็นที่จะต้องชนะเท่านั้น
แต่กับเทียนอี้แล้ว เขาไม่ได้อยากใช้พรนั้นเพื่อกลับเป็นเทพ แต่อยากขอพรเพื่อให้ได้อยู่ครองคู่กับคนตรงหน้ามากกว่า ทว่า...ซิ่นเฉิงอยากกลับทะเลทราย เขาคงใช้พรเพื่อการนั้นไม่ได้
เขาไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขนาดต้องฝืนบังคับให้อีกฝ่ายอยู่กับตนโดยปราศจากความสุขเช่นนั้น หากซิ่นเฉิงจะอยู่กับเขา ก็ขอให้เป็นเพราะชายหนุ่มต้องการด้วยตนเองจะดีกว่า
คำอำลาไม่มีระหว่างทั้งสอง เทียนอี้ฝากฝังซิ่นเฉิงไว้กับพ่อบ้านเหลียงที่ดูแลทัพเสบียงกรัง ส่วนตนก็นำทัพทหารในจวนไปเป็นแนวหน้าคู่กับเจี้ยนสือ แม่ทัพอื่นๆ และเหล่ากุนซือต่างมาร่วมศึกในครั้งนี้ บรรดามนุษย์ซึ่งเป็นข้ารับใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตาม ภายในกองทัพจึงมีแค่ซิ่นเฉิงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นมนุษย์
กระนั้นก็หาได้เป็นปัญหาเพราะซิ่นเฉิงไม่ได้ก่อกวนผู้ใด เขาเอาแต่ครุ่นคิดในใจเมื่อควบอาชาเหยียบย่างผืนทรายอันเป็นแผ่นดินเกิด
ไม่อยากกลับ...
เป็นเสี้ยวความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจี้ยนสือที่นำไพร่พลทหารจากสังกัดจวนตนเองมาสมทบ
ดวงตาคมชำเลืองมองมนุษย์หนุ่ม เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศก็รับรู้ได้ทันทีว่าซิ่นเฉิงคิดจะทำการใด และก็ไม่แปลกใจหากเทียนอี้จะปล่อยอีกฝ่ายไป ในใจคิดว่าดีเสียอีกที่ซิ่นเฉิงจากไปได้ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องสับสนระหว่างชายหนุ่มผู้นั้นกับหลิวซูอีก
ชำเลืองมองเพียงครู่ก็ควบม้าจากไป ไร้ซึ่งถ้อยวจีใดทั้งสิ้นเช่นกัน ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ใส่ใจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อฉับพลันก็รู้สึกว่าในใจปวดแปลบขึ้นมา
การเมินเฉยนั้น...ช่างสร้างความปวดร้าวยิ่งนัก
แต่ก็แสร้งทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นเป็นของหลิวซู เขาบอกกับตนเองไว้อย่างนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมขบวนทัพมุ่งหน้าลงดินแดนทางใต้ไป
ที่หมายของกองทัพคือการมุ่งหน้าลงใต้ แต่ที่หมายอันดับแรกของเทียนอี้คือการนำซิ่นเฉิงไปส่งยังเผ่าทะเลทรายที่ปักหลักอยู่ไม่ไกลจากแคว้นเฟิงฝู เพราะต้องใช้เส้นทางเดียวกันอยู่แล้วจึงไม่ได้รีบร้อน เมื่อพลบค่ำก็ออกคำสั่งให้ขบวนทัพหยุดเดินเท้า ก่อนจะสั่งทหารตั้งกระโจมเพื่อใช้พักผ่อนสำหรับค่ำคืนนี้
แม้จะต้องกลับทะเลทรายและกลายเป็นอื่น แต่เทียนอี้ก็ยังเรียกหาให้ซิ่นเฉิงมานอนร่วมกระโจม ในยามกลางวัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผาจนทะเลทรายผืนนี้แทบมอดไหม้เป็นจุณ แต่เมื่อราตรีกาลคืบคลาน ความหนาวเย็นกลับเข้าครอบงำราวกับจะแช่แข็งให้สิ่งมีชีวิตสูญสิ้น ซิ่นเฉิงเป็นมนุษย์ ต่อให้มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายมาโดยตลอดแต่ก็ไม่อาจนอนค้างอ้างแรมกลางทรายเลยได้ จำเป็นต้องมีที่พำนัก
ชายหนุ่มก็หาได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่เข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ในทันที หลังจากมื้ออาหารเย็นก็มานั่งหลบอยู่ยังมุมหนึ่ง ครั้นหาตัวไม่เจอ เทียนอี้ที่เพิ่งกลับถึงกระโจมหลังจากประชุมกับเหล่าแม่ทัพเสร็จก็เดินหาให้วุ่น ก่อนจะมาพบว่าซิ่นเฉิงนั่งเดียวดายอยู่ที่เนินทรายไม่ไกลนัก
“เดินทางมาทั้งวัน เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?”
เดินตรงมายังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปากถาม เมื่อหันไปมอง ซิ่นเฉิงก็เห็นว่าบัดนี้เทียนอี้อยู่ในร่างของเทพสวรรค์ แสงจันทร์สาดส่องอาบแสง ความงดงามที่ปรากฏให้เห็นช่างเย้ายวนสายตานัก
ทว่า...ไม่ใช่ในยามนี้ ซิ่นเฉิงหาได้อยากชื่นชมอีกฝ่ายในอารมณ์นี้
ในอารมณ์ที่ตอกย้ำตลอดว่าพวกเขาจะต้องพรากจากกันตลอดกาล...
เห็นคนตรงหน้าไม่ตอบ เทียนอี้ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอีก
“ราตรีนี้เหน็บหนาวนัก ยิ่งอยู่กลางทะเลทราย สายลมก็หนาวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เสื้อผ้าของเจ้าน้อยชิ้น หากนั่งอยู่เช่นนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะป่วยไข้เอา”
ที่มานั่งด้วยเป็นเพราะห่วงเรื่องนี้นั่นเอง
“ข้าเกิดและโตที่ทะเลทรายมาทั้งชีวิต หากป่วยไข้ง่ายๆ ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้” น้ำเสียงแหบห้าวตอบกลับไป
เทียนอี้รู้ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร ซิ่นเฉิงก็ไม่มีวันที่จะเชื่อฟัง ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดเอาผ้าคลุมของตนออก แล้วตวัดคลุมร่างของคนข้างกายโดยไม่พูดพร่ำ
คนถูกจู่โจมหันมามองอย่างระวังตัว พอเห็นว่าสิ่งที่เทียนอี้ใช้คลุมกายเขาคืออะไรก็ชะงักงันไป
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าราตรีนี้เหน็บหนาว เจ้าต้องรักษาความสมดุลของธาตุในร่างกายไว้”
“มอบผ้าคลุมแก่ข้า แล้วเจ้าไม่หนาวหรือไร”
“ข้าไม่เป็นไร หากหนาว ข้าจะกอดเจ้าเอง”
เป็นการเปิดโอกาสให้เทียนอี้เสียอย่างนั้น ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะป้อคำหวานใส่เช่นนี้ ออกจะรู้สึกประดักประเดิดไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่เทียนอี้พูดไปตามใจคิดเป็นเพราะตระหนักว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้พบพาน ดังนั้นเขาจึงขอกระทำตามใจตนเอง
“ข้าว่าข้าเริ่มหนาวขึ้นมาแล้วล่ะ”
นั่งไปได้เพียงครู่เดียวโดยไร้ซึ่งบทสนทนา เทียนอี้ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา ไม่รอให้ซิ่นเฉิงอนุญาตด้วยก็กระเถิบเข้ามารวบร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มไปโอบกอดไว้
แม้จะมีวรยุทธแต่ก็หาได้บอกปัด นอกจากจะหันไปส่งสายตาเขียวๆ ให้อย่างขุ่นใจ
“ได้ใจมากไปแล้วกระมังเจ้าหมา เห็นข้าใจดีด้วยหน่อย หาใช่ว่าเจ้าจะกอดข้าเมื่อใดที่ต้องการก็ได้”
“หากไม่ได้กอดเจ้าตอนนี้ ข้าจะได้กอดเจ้าตอนไหนกันอีก”
เทียนอี้เถียง ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบถกเถียงแท้ๆ แต่ยามนี้กลับกลายเป็นคนเอาแต่ใจขึ้นมา
ซิ่นเฉิงก็หาได้รังเกียจหรอก เข้าใจความรู้สึกเทียนอี้ดี เขาเองก็อยากจะกระทำตามใจเช่นกัน ไหนๆ ก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว แต่เมื่อคิดว่าหากกระทำตามใจจะเป็นการผูกรั้งเงื่อนที่คล้องระหว่างตนและเทียนอี้ให้แน่นยิ่งขึ้น เขาก็ไม่ยอมทำตามใจคิด ได้แต่นั่งนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเท่านั้น
นั่งนิ่งๆ ยอมโดยง่ายก็ดีอยู่หรอก หากแต่เทียนอี้อยากให้ซิ่นเฉิงมีปฏิสัมพันธ์กับเขามากกว่านั่งเฉยเป็นรูปปั้นมากกว่า จึงได้ร้องบอกออกไป
“เจ้าจะไม่พูดคุยกับข้าหน่อยหรือ? นั่งนิ่งราวกับก้อนหิน แม้จะตัวอุ่น แต่ก็ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเจ้ามีแต่ร่างไร้วิญญาณ”
“คนกระทำตามใจตนเองเช่นเจ้ามีหน้ามาพูดอีกหรือไร” ซิ่นเฉิงค้อนขวับ ท่าทางเอาเรื่องนั้นช่างน่าเอ็นดูในสายตาของเทียนอี้เหลือเกิน
“ข้าคงได้กระทำตามใจกับเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะใจดีกับข้าบ้างไม่ได้หรือ? ก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าคิดกับเจ้าเช่นไร”
คราวนี้เปิดเผยความในใจออกมาอย่างไม่ปกปิด คำพูดที่เทียนอี้ได้เอ่ยไว้เมื่อราตรีก่อนผุดพรายขึ้นในหัว
ข้ารักเจ้า... ไยซิ่นเฉิงจะจำไม่ได้กัน
คิดแล้วในอกก็เต้นระส่ำขึ้นมา ขณะที่เทียนอี้เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ใบหูแล้วกระซิบเสียงพร่า
“หรือจะต้องให้ข้าบอกอีกทีว่าข้ารักเจ้า?”
คนถูกกระซิบใส่ยื่นมือไปดันใบหน้าหล่อเหลาของอดีตเทพสวรรค์ออกห่าง
“อย่าได้ใจให้มันมาก ตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่างเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้”
เจ้าเล่ห์จริงอย่างที่ถูกปรามาส กระนั้นเทียนอี้ก็หาได้สะทกสะท้าน เขาไม่ได้ทำเช่นนี้บ่อยนัก แต่เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้วในเวลานี้จึงไม่ปิดบังความต้องการของตนเองอีกต่อไป นั่นก็เพราะคิดว่าบางทีซิ่นเฉิงอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่กลับไปยังทะเลทรายแล้ว
แต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ดวงหน้าของเทพอสูรผู้นี้ยามอยู่ในร่างอดีตเทพจะหล่อเหลาน่าเชยชมเพียงใด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่ยอมใจอ่อน
“เงียบปากไปเสีย แล้วอยู่เฉยๆ ข้ามีเรื่องให้ต้องขบคิด”
เรื่องนั้นก็คือเรื่องของเทียนอี้นั่นแหละ จู่ๆ มาทำให้เขาสับสนเช่นนี้มันใช้ได้เสียที่ไหนกัน ไหนจะความรู้สึกลึกๆ ของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือจนมาทำให้เขาหวั่นไหวอีกล่ะ เป็นอย่างนี้ เขาก็ปวดศีรษะหนึบเสียจนแทบแตกเป็นเสี่ยงแล้ว
เทียนอี้ที่ถูกตัดเยื่อใยย่นปากเล็กน้อย ครั้งนี้อยู่ในร่างอดีตเทพเพราะต้องแสงจันทร์จึงแสร้งทำหูลู่เพื่อเรียกร้องความสงสารไม่ได้ จึงได้แต่ชำเลืองมองแล้วออกปากเรียกอีกฝ่ายเท่านั้น
“เฉิงเฉิง...”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
"เฉิงเฉิง..."
ก็ยังไม่ตอบรับอยู่ดี
“เฉิงเฉิง...”
“ข้าไม่เสวนากับเจ้า”
ยังไม่ทันจะได้พูดสิ่งใดต่อเลย ซิ่นเฉิงก็โพล่งออกมาเสียแล้ว ครั้นหันไปมองหน้า อีกฝ่ายก็ปั้นหน้าบึ้งตึงปั้นปึ่ง แสร้งไม่ยอมพูดจาอีกระลอก แม้กระทั่งถามว่า...
"เพราะเหตุใดกัน"
...พร้อมกับทำสีหน้าหงอยเหงา ส่งสายตาเว้าวอน ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ประสงค์
เทียนอี้ทั้งหมั่นไส้และมันเขี้ยวในคราวเดียวกัน เขาทำดีด้วยก็เพราะรักหรอก ที่อยากให้สนใจนั่นก็เพราะอีกไม่นานก็ต้องลาจาก ไยซิ่นเฉิงถึงได้ใจร้ายกับเขาถึงเพียงนี้กัน
มันเขี้ยวจนสุดจะทน ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปจับซีกแก้มของคนข้างกายที่นั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องหน้า ออกแรงบิดเล็กน้อย ซิ่นเฉิงหันมามองตาขวางด้วยหงุดหงิด พลันสะบัดหน้าหนี ทว่าเทียนอี้ก็ไม่ยอมแพ้ คว้าแก้มนุ่มบนใบหน้าคร้ามมาไว้ในมืออีก คราวนี้ไม่ใช่เพียงข้างเดียว แต่ใช้มือสองข้างบิดทั้งสองแก้ม อีกทั้งออกแรงดึงยืดจนใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษทะเลทรายยืดย้วย อีกทั้งยังบานและกลมเหมือนตะกร้าสานสำหรับตากอาหารแห้ง
"อำอันไออ๋องเอ้า! (ทำอันใดของเจ้า!)"
ยิ่งริมฝีปากขยับส่งเสียงไม่ชัดเจนออกมา ใบหน้านั้นก็ดูน่าขบขันมากกว่าน่ากลัวเสียอีก
ช่างน่าเอ็นดูนัก เจ้าแมว...
น่าเอ็นดูจนทนไม่ไหว จนต้องประทับจุมพิตลงมาอย่างมิอาจหักห้าม ซิ่นเฉิงเบิกตาโตเล็กน้อยด้วยตกใจ ครั้นจะฟาดฝ่ามือที่มีลมปราณใส่ก็ยับยั้งไว้ได้ด้วยนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้ายังบาดเจ็บอยู่ จึงได้แต่โวยวายเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเท่านั้น
“เจ้าจะได้ใจมากเกินไปแล้ว! ประเดี๋ยวข้าก็ฆ่าเจ้าเสียหรอก!”
“หากจะต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าในยามนี้ ก็คงเป็นความตายที่สุขล้ำ”
ไม่ยักรู้ว่าเทียนอี้จะยกยอป้อคำหวานได้ฉกาจถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นชายฉกรรจ์ แต่ซิ่นเฉิงก็อดร้อนวูบวาบที่ใบหน้าไม่ได้ เขาคงเป็นบ้าไปแล้วที่หลงเพ้อไปกับคำหยอดเมื่อครู่นั้น
แต่สำหรับเทียนอี้ สิ่งนั้นใช่เพียงคำหยอกเย้า เป็นความรู้สึกที่อยู่ด้านในซึ่งเขาเผยออกมาให้รับรู้ ก่อนมันจะทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงหลุบสายตาหนีเล็กน้อย ใบหน้าไม่ได้แดงเรื่อเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม แต่อาการนั้นก็บ่งบอกว่ากำลังเขินอาย
ถึงกับครองสติไว้ไม่อยู่ด้วยซิ่นเฉิงน่าเอ็นดูเกินทน คว้าร่างของคนตรงหน้ามาประกบปากมอบจุมพิตให้อีกครั้งจนได้ ซิ่นเฉิงที่แม้จะขัดขืนบ้างในตอนแรกก็จำต้องยินยอมเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาที่ฉกชิมรสหวานจากเรียวปากของเขาอยู่
“นอกจากเจ้าแล้ว จะมีผู้ใดที่ทำให้ข้าหลงใหลได้มากถึงเพียงนี้อีกกัน”
ที่หลุดพูดออกมาราวกับละเมออย่างนั้นเป็นเพราะในหัวลืมสิ้นไปหมดว่าดวงใจผูกรักมั่นกับหลิวซู ในเวลานี้ ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงเท่านั้น และรักใคร่มากขึ้นทุกขณะอย่างไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป
ซิ่นเฉิงเองก็เช่นกัน ต่อให้ไม่ได้พูดหรือเอ่ยความรู้สึกใด แต่เขาก็มั่นใจว่าความอบอุ่นที่อบอวลในอกนั้นเรียกว่าความเสน่หา
ดวงตาสบประสานเมื่อถูกจับจ้อง ก่อนเขาจะเอื้อนเอ่ยออกมาบ้าง
“ต่อให้เจ้ารั้งข้าไว้เพียงใด ข้าก็จะไม่อยู่กับเจ้า”
คำพูดร้ายกาจ หากแต่ดวงตาช่างหยาดเยิ้ม หากไม่ได้รับซึ่งชีวิตอมตะแล้วล่ะก็ เทียนอี้คงขาดใจตายเมื่อได้สบแววตาของซิ่นเฉิงในยามนี้เป็นแน่
“ข้าจะรั้งเจ้าไว้แค่ตอนนี้เท่านั้น ขอแค่ตอนนี้...จงเป็นของข้า มองแต่ข้า และมอบใจให้กับข้า”
เทพอสูรว่าอย่างเอาแต่ใจ ฉกชิมริมฝีปากของซิ่นเฉิงอีกครา ปลายลิ้นสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดตักตวงความหวานล้ำราวกับว่านี่จะเป็นจุมพิตครั้งสุดท้าย ซิ่นเฉิงโอบแขนรอบลำคอ จูบตอบรับด้วยเสน่หา ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของเทพอสูรหรืออดีตเทพ เขาก็ยินดีทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้สัมผัสเรือนร่าง
ทั้งสองดื่มดำในมธุรสจุมพิต ไม่สนใจซึ่งสรรพเสียงรอบข้าง ปล่อยให้ความรู้สึกของก้นบึ้งในจิตใจได้ทำตามประสงค์
ใต้นภามืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์และหมู่ดาว บุรุษทั้งสองต่างมอบความรู้สึกผูกพันให้แก่กันโดยปราศจากสุ้มเสียง
ห่างไปจากบริเวณนั้นไม่ไกลนัก เจี้ยนสือที่กระสับกระส่ายมาตั้งแต่เมื่อหัววันจำต้องเดินตามหามนุษย์ผู้เดียวที่เดินทางร่วมขบวนทัพมาด้วยเพราะรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยคือซิ่นเฉิง เขาอุตส่าห์แสร้งทำเมินเพราะไม่ต้องการรู้สึกหวั่นไหวด้วย แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเสียงในใจเขาเอาแต่ร้องเรียกหาอีกฝ่าย หากแต่เมื่อพบเจอก็กลับต้องยืนนิ่งค้างเป็นหิน
ภาพของบุรุษทะเลทรายผู้นั้นกอดก่ายแลกเปลี่ยนจุมพิตกับอดีตสหายสนิททำให้เขาขบกรามอย่างขุ่นแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนร่างกายสั่นเทิ้ม ภาพของหลิวซูผุดพรายขึ้นมา ขณะที่ในจิตใจดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความริษยาจนเขาคำรามออกมาในใจ
ไม่ว่าจะหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็จะไม่มีผู้ใดเป็นของเจ้า!