บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา
ความรู้สึกที่บังเกิดต่อซิ่นเฉิงนั้นยังคงอบอวลในใจของเจี้ยนสือ ราตรีนั้นผันผ่าน แต่นัยน์ตากลับเอาแต่จับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มในทุกท่วงท่าอิริยาบถ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกระทำสิ่งใด ล้วนแล้วแอบลอบมองตลอดทั้งสิ้น ขณะเดียวกันเจี้ยนสือก็อดคิดไม่ได้เลยว่าอันที่จริงซิ่นเฉิงหาได้มีส่วนใดละม้ายคล้ายคลึงกับหลิวซูเลยสักนิด แม้ว่าคราแรกจะคิดไปว่าคล้ายก็ตาม ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่
ส่วนใดกันเล่าที่คล้าย?
ใบหน้าอย่างนั้นหรือ? หรือจะเป็นอุปนิสัยดื้อดึง ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด?
ล้วนแล้วแตกต่างจากหลิวซูโดยสิ้นเชิง แต่...เหตุใดกันนะ เขาถึงได้รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเหมือนกับอดีตคนรักราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
เจี้ยนสือมิอาจหาคำตอบให้กับตนเองได้เลยแม้สักนิด ได้แต่บอกตนเองว่าให้ตัดใจจากมนุษย์ตนนั้น ก่อนที่ความวุ่นวายจะบังเกิดและกลายเป็นบ่วงรัดคออีกบ่วงหนึ่ง เพราะเพียงหลิวซูคนเดียว ชีวิตเขาก็วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น มิหนำซ้ำยังจะต้องผจญกับความน่าอดสูวนเวียนไม่จบไม่สิ้นดั่งคำประกาศิตของเง็กเซียนฮ่องเต้อีกด้วย
เทพอสูรงูจงอางทอดถอนหายใจ หลุบมามองมือของตนซึ่งบัดนี้เป็นมือของร่างเทพสวรรค์ที่ต้องแสงจันทร์หลังจากที่เขายืนรับลมเย็นในยามราตรีมาชั่วขณะหนึ่ง
หากมือคู่นี้ไม่ได้เป็นอาวุธร้ายที่ทำลายหลิวซู ป่านนี้เขาคงจะได้มีความสุขกับเทพสวรรค์ชั้นผู้น้อยตนนั้นไปแล้ว
ข้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดีหลิวซู...
รำพึงในใจไปก็เท่านั้น ไร้ซึ่งคำตอบจากทั้งปวงเทพและปีศาจ เจี้ยนสือตัดสินใจกลับเข้ากระโจมเพื่อไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ซิ่นเฉิงไปจากที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะเป็นสหายที่ดี บอกลาอีกฝ่ายก่อนที่จะไม่ได้พบพานกันตลอดกาล
สองขาก้าวย่ำไปบนผืนทราย มุ่งหน้าสู่กระโจมของตนเอง ใจพร่ำบอกตนเองไม่หยุดหย่อนว่าให้เลิกคิดถึงทั้งหลิวซูและซิ่นเฉิง
ทว่า...สวรรค์กลับไม่เป็นใจเลยสักนิด
ครั้นเดินเข้ามาใกล้กับกระโจมของหมิงจู พลันฝ่าเท้าก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของบางสิ่ง เจี้ยนสือชะงักฝีเท้าทันที ค่อยๆ ก้าวไปหลบหลังกระโจม เงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าของใครบางคนดังแว่วมา
“ให้เป็นเช่นนี้ดีแล้วใช่ไหมรองแม่ทัพหมิงจู”
พ่อบ้านเหลียงซึ่งไม่สบายใจกับสิ่งที่บังเกิดขึ้นในระยะนี้ลอบมาพบกับหมิงจูในยามวิกาล ขณะที่หมิงจูพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย
“เป็นเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”
“แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้...”
“ข้ารู้” หมิงจูว่าเสียงเครียด “ข้ารู้ว่าเจ้านั่นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทั้งทิวาและราตรีเอาแต่คะนึงหาเจ้าแมวตัวแสบนั่น ข้าเห็นอาการจะเป็นจะตายของเทียนอี้แล้ว”
ประโยคออกจะติดรำคาญสักเล็กน้อย พ่อบ้านเหลียงได้ยินก็ระบายลมหายใจออกมา เทียนอี้เป็นดั่งที่หมิงจูว่าจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารมารดาของซิ่นเฉิง เจ้ามนุษย์หนุ่มนั่นก็หาได้อยากพบพานกับเทียนอี้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้เทียนอี้พยายามเข้าหา แต่ก็มิอาจเข้าหน้าได้ติด ถูกมองเมินเสียจนพานให้อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงชิงชังน้ำหน้าไปแล้ว และเพราะเทียนอี้หาได้มีอุปนิสัยชอบตอแยผู้ใด เมื่อถูกหมางเมินเช่นนั้นก็ไม่ใคร่จะไปก่อกวนใจให้ถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากกว่านี้ ดังนั้นในยามนี้ คนที่ลงแดงเพราะถูกพิษรักแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจจึงมีแต่เทพอสูรสุนัขป่าเท่านั้น
ในฐานะคนสนิท พ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ กินก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน ถามสิ่งใดก็ไม่ตอบไม่มีปฏิกิริยา เป็นเช่นนี้คงได้ช้ำรักจนตัวตายเป็นแน่
แต่...พ่อบ้านเหลียงคงจะลืมไปกระมังว่าเทพอสูรเช่นพวกเขาไม่มีวันตาย นอกจากจะสูญสลายกลาย กายเนื้อกลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณล่องลอยไปมาในระหว่างสามภพภูมิ
“บางทีข้าก็คิดว่าท่านกับข้าอาจจะตัดสินใจผิด”
หมิงจูชะงักงันกับคำพูดนี้ หัวคิ้วเรียวเข้มในร่างของเทพสวรรค์ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ๆ พ่อบ้านเหลียงก็เกิดลังเลขึ้นมาทั้งที่คิดแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อสหายของเขา จนอดไม่ได้ที่จะถาม
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
“หากเจ้ามนุษย์นั่นจากไป ท่านแม่ทัพเทียนอี้ก็ต้องเป็นทุกข์ ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือก็เช่นกัน ไหนจะเจ้ามนุษย์นั่นอีก และข้าก็เห็นว่าต่อให้ซิ่นเฉิงจากไปก็ไม่ช่วยการใด ไม่ว่าอย่างไร ทัณฑ์สวรรค์นั้นก็จะต้องบังเกิด”
หมิงจูนิ่ง เขาก็คิดเช่นนั้น แต่...
“ไม่ลองก็ไม่รู้ ลองให้ซิ่นเฉิงจากไปก่อนเถิด บางทีอาจจะได้ผลก็ได้”
พ่อบ้านเหลียงก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเหนื่อยกับการเห็นอดีตสหายแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพสวรรค์ต้องมาผิดใจกันเพราะรักคนผู้เดียวกันแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจวางใจได้อยู่ดี
ทัณฑ์นั้นเป็นประกาศิตขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อฝ่าบาทตรัสแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนบังเกิด มีหรือที่ทั้งสามจะฝืนโชคชะตาได้
“แต่ข้าว่ามันไม่น่าได้ผลนะขอรับท่านรองแม่ทัพ เพราะซิ่นเฉิงก็คือหลิวซู...”
จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อของอดีตเทพชั้นผู้น้อยออกมา หมิงจูส่งเสียงร้องดังชู่เป็นสัญญาณให้เงียบ ก่อนจะรีบกระซิบกระซาบ
“เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกันพ่อบ้านเหลียง หากผู้ใดมาได้ยินเข้าจะเป็นเช่นไร”
พ่อบ้านเหลียงสำนึกได้ในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นยามวิกาล เหล่าทหารล้วนแล้วแต่อยู่ในนิทรา แต่ก็ใช่ว่าประตูหน้าต่างจะไร้ซึ่งหูหรือช่อง เขาจึงรีบสงบปากสงบคำ ขณะที่หมิงจูส่ายหน้าน้อยๆ
“เอาเถิด จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ช่าง แต่เจ้าต้องจำไว้ เรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้เจ้าหรือข้าจะต้องสูญสิ้นกายเนื้อ ก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเทียนอี้กับเจี้ยนสือ เข้าใจหรือไม่?”
พ่อบ้านเหลียงพยักหน้า ปากขานรับเป็นมั่นเหมาะ ก่อนที่ทั้งสองจะยุติบทสนทนากันเพียงเท่านี้ แยกย้ายกลับไปยังที่ของใครของมันด้วยเกรงว่าหากยืนสนทนาไปนานกว่านี้จะเป็นพิรุธให้ผู้อื่นสงสัยได้ โดยหารู้ไม่ว่าภายใต้เงามืดห่างออกไปไม่ไกลนัก บทสนทนานั้นล้วนแล้วเข้าหูของเจี้ยนสือหมดสิ้น
ร่างใหญ่ของเทพอสูรงูจงอางสั่นสะท้านน้อยๆ เมื่อครู่ที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ!?
เจี้ยนมือแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมครามราวกับสวรรค์จะพินาศด้วยเงื้อมือปีศาจ
ซิ่นเฉิง...ก็คือหลิวซูกลับมาเกิด
ไม่จริงใช่หรือไม่!?
เขาถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง ใจอยากจะไปเค้นถามเอาความจริงจากหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงด้วย แต่หากทำเช่นนั้น มีหวังเทียนอี้ก็ต้องรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ด้วยแน่ อีกอย่าง เขามั่นใจเหลือเกินว่าเรื่องเช่นนี้ เทพอสูรทั้งสองคงไม่เอาพรรค์นี้มีพูดเล่นเป็นแน่
ซิ่นเฉิงคือหลิวซู...
ซิ่นเฉิงคือหลิวซู!
พร่ำบอกกับตนเองเวียนไปวนมาไม่หยุดหย่อน ร่างกายก็ยิ่งสั่นระริกมากขึ้น
มิน่า... เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่ามนุษย์ผู้นั้นคล้ายคลึงกับหลิวซูเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกเสน่หา แท้ที่จริงแล้วก็คืออดีตคนรักของเขากลับชาติมาเกิดนั่นเอง
เจี้ยนสือไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ สับสนอลหม่าน ผสมปนเปกันไปหมด
แต่จะอย่างไรก็ช่าง บัดนี้เขารู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคือผู้ใด พลันขาก็ก้าวไปอีกทิศทางหนึ่ง ไม่ได้กลับสู่กระโจมของตน หากทว่ามุ่งหน้าสู่กระโจมของใครบางคนที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา
เทพอสูรงูจงอางมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระโจมของคนที่ใจถวิลหามานับร้อยปีแล้ว เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะหลบแสงจันทร์เข้าไปในกระโจมนั้น พลันร่างกายงดงามก็แปรผันเป็นครึ่งเทพครึ่งอสูรอีกครา กระนั้นเจี้ยนสือก็หาได้ใส่ใจ ก้าวย่องแผ่วเบาตรงไปยังร่างกำยำที่นอนหลับอยู่บนหนังสัตว์นุ่ม ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามผ่านความมืดมิด แม้ว่าจะไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ แต่ดวงตาสีเหลืองอำพันของงูจงอางในยามนี้กลับมองเห็นใบหน้าของซิ่นเฉิงได้อย่างชัดเจน
ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน ปราศจากความนุ่มนวลใดๆ กล้ามเนื้อเป็นมัดทั่วทั้งกาย อีกทั้งยังดูดื้อด้านไม่น่าคบหา...ล้วนแล้วไม่ใช่หลิวซูเลยสักนิด
แต่เจ้าคือหลิวซู...
เจี้ยนสือรำพันในใจ ดีใจยิ่งเสียจนน้ำตาไหลเอ่อคลออยู่ยังขอบตา ดีใจยิ่งกว่าที่ตนได้รู้ว่าอีกฝ่ายคืออดีตคนรักก่อนเทียนอี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้น ซิ่นเฉิงจะมีสัมพันธ์ใดๆ กับเทียนอี้แล้วก็ตาม
แต่ในยามนี้...
ตั้งแต่เวลานี้...
ซิ่นเฉิงจะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...
มือใหญ่วางลงบนหน้าท้องแกร่ง ลูบลากแผ่วเบาให้สัมผัสเย็นเยียบจากฝ่ามือระนาบไปตามผิวของซิ่นเฉิง ครั้นสัมผัสได้ถึงไออุ่นมนุษย์และความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ความกำหนัดก็พร่างพรายไปทั่วสรรพางก์กายมากพอๆ กับความคะนึงหาอดีตคนรัก เจี้ยนสือกลืนน้ำลายลงคอ เผลอส่งเสียงดัง ‘ชี่’ ออกมาตามประสางูอย่างพึงใจกับสัมผัสนั้น แม้ใจจะเกรงว่าเสียงนั้นอาจทำให้ซิ่นเฉิงตื่น แต่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองเรือนร่างเย้ายวนนั่นกลับมากกว่าสิ่งอื่นใด
มาก...เสียจนกลืนกินความผิดชอบชั่วดีในใจเขาไปจนหมดสิ้น
ปลายลิ้นเรียวเล็กแลบออกมา ใบหน้าโน้มลงต่ำไล้เลียผิวหนังตั้งแต่หน้าท้องไล่ขึ้นไปจนถึงลำคอ ไออุ่นนี้ช่างเป็นสิ่งที่เขาโหยหาเสียเหลือเกิน
โหยหามาแล้วกว่าร้อยปี... มันเป็นไออุ่นของหลิวซู
เจี้ยนสือซึมซาบทุกความรู้สึกจากร่างกายของซิ่นเฉิง ครั้นเลื่อนใบหน้าเข้าแนบซอกคอได้ ริมฝีปากก็หมายจะจรดจูบ ทว่าก็ต้องนิ่งชะงักไปเมื่อแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกของบางสิ่งที่เย็นกว่าเกล็ดเรียบลื่นของเขา ก่อนที่จะรู้สึกเจ็บน้อยๆ เมื่อสิ่งนั้นทิ่มแทงเข้ามา
“หากเจ้าแตะตัวข้าอีกแม้เพียงส่วนเดียว เจ้าได้ถูกถลกหนังออกมาตากแห้งแน่เจ้างู”
สิ่งที่อยู่ในมือของซิ่นเฉิงคือมีดสั้นที่ครั้งหนึ่งเจี้ยนสือได้มอบไว้ให้เขาป้องกันตนเองหากเจี้ยนสือคิดจะทำอันตราย ในครานั้น ซิ่นเฉิงคิดว่าเป็นการพูดเย้าเล่น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่เทพอสูรงูจงอางชะงักงัน
ที่ชะงักไป หาใช่เป็นเพราะเกรงว่าตนจะถูกมีดนั้นแทง แต่เป็นเพราะได้สติกลับคืนมา ทว่าก็ยังมิอาจควบคุมกำหนัดที่หมายจะครอบครองเรือนร่างของอีกฝ่ายได้ จึงค้างอยู่เช่นนั้นจนคนใต้ร่างเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
“ลุกออกไป”
เสียงนั้นราบเรียบและเย็นเยือก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เจี้ยนสือไม่อยากจะห่างกายนี้ เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“ซิ่นเฉิง...”
คล้ายกับว่าจะร้องขอความเมตตา ทว่าซิ่นเฉิงกลับตัดเยื่อใยทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ
“หากไม่ลุก เห็นทีเจ้ากับข้าคงจะได้นองเลือด”
เจี้ยนสือสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ชักจะไม่พอใจแล้ว กำหนัดอะไรที่มีอยู่ก่อนหน้าอันตรธานหายไปเสียสิ้น
ทีกับเทียนอี้กลับอ้าแขนตอบรับ แต่กับเขากลับผลักไสไล่ส่ง เป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!
“อย่าผลักไสข้าเพียงเพราะหมายจะแก้แค้นได้หรือไม่”
ได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วยู่
แก้แค้นหรือ? เจ้างูพูดถึงเรื่องอะไรกัน?
แต่ไม่ต้องถาม เจี้ยนสือก็เปิดปากให้คำตอบแล้ว
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด”
ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง รู้ได้อย่างไรกัน!?
อยากจะถามนัก แต่ในยามนี้ต้องทำให้เจ้างูลุกออกไปจากร่างของตนก่อน มือหนายกขึ้นหมายจะผลักอกเจี้ยนสือให้ออกห่าง ทว่าก็ต้องหยุดค้างเอาไว้เมื่อเจี้ยนสือถามเสียงแผ่วออกมา
“หรือว่าชาตินี้เจ้าจะไม่มีใจให้ข้าแล้ว...ซูซู”
น้ำเสียงนั้น...ฟังดูช่างน่าสงสาร ในอกของซิ่นเฉิงซึ่งยังมีจิตใต้สำนึกของหลิวซูอยู่เต้นระรัวเร็วไปครู่ ทว่าก็แค่ครู่เดียว เพราะบัดนี้เขาตระหนักได้ว่าตนคือใคร เมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงตอบไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ในชาตินี้ข้าคือซิ่นเฉิง เมื่อเกิดใหม่ก็มิอาจจำได้ว่าเคยรักเจ้า เลิกเรียกข้าว่าซูซูเสียที”
“แต่เจ้าคือหลิวซู คือคนที่เคยรักข้า เจ้าจะจำไม่ได้เลยหรือ?”
ในเมื่อถูกปฏิเสธ เจี้ยนสือก็ไม่ยอมรับ เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องนิ่งงันไปเมื่อซิ่นเฉิงกดปลายมีดที่ยังจ่ออยู่บนแผ่นหลังเขาลงไปอีกจนจมูกได้กลิ่นคาวจากของเหลวบางอย่างที่ไหลซึมออกมาจากใต้ผิวหนัง
“ข้าบอกว่าข้าหาใช่หลิวซู ข้าคือซิ่นเฉิง และชาตินี้ข้าก็หาได้รักเจ้า เพราะข้าไม่ใช่อดีตคนรักของเจ้าอีกแล้ว อย่ากวนใจข้าเจ้างู”
ซิ่นเฉิงเป็นฝ่ายมีชัย ความรู้สึกใดๆ ในจิตใต้สำนึกของหลิวซูมิอาจทำให้เขาไขว้เขวได้อีก ขณะที่คำพูดนั้นช่างทำให้ใจของเจี้ยนสือร้าวรานราวกับถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทง
เจี้ยนสือจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง หากแต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของซิ่นเฉิงแล้ว เขาก็มั่นใจได้ขึ้นมาว่าที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นไม่ผิด
นี่ล่ะสิ่งที่คล้ายคลึงกับหลิวซู...ความแน่วแน่ที่ฉายประกายออกมาจากดวงตา
เมื่อรักก็รักมากยิ่ง เมื่อเกลียด ชิงชัง หรือรู้สึกอื่นใดก็สื่อออกมาอย่างชัดเจน ในยามนี้ ดวงตาของซิ่นเฉิงบ่งบอกชัดเจนว่าหาได้รู้สึกรักใคร่ใดๆ ต่อเขา
ใช่แล้ว...ไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย เจี้ยนสือแทบจะกลั้นใจตายไปตรงหน้าให้ได้ ทว่าก็มิอาจทำได้ด้วยมีชีวิตอมตะ จึงทำเพียงตัดพ้อออกไป
“ที่หาได้มีใจให้ข้าเช่นแต่ก่อนเป็นเพราะยามนี้ในใจเจ้ามีแต่เทียนอี้ล่ะสินะ”
เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่นิ่งไป เขาอุตส่าห์ไม่คิดถึงใบหน้าของเจ้าหมาแล้วนะ ไยจะต้องมาพูดถึงให้คะนึงหาอีกกัน!
“แม้ว่าเจ้านั่นจะเป็นเหตุให้มารดาเจ้าต้องตาย เจ้าก็รักเจ้านั่นใช่หรือไม่?”
คำถามนี้ ซิ่นเฉิงเองก็เฝ้าถามตนเองมาหลายทิวาและราตรีแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านั้นที่แสร้งโกรธเคืองเทียนอี้ด้วยเหตุว่าเขาเป็นผู้สังหารมารดาของตนในทางอ้อมเพื่อที่จะได้จากไปโดยปราศจากความห่วงหาใดๆ ต่อกัน ทว่า...เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เห็นทีคงจะเป็นไปได้ยากในเมื่อหัวใจของเขา...รักเทพอสูรสุนัขป่าตนนั้น
ต่อให้หลบหนีเพียงใดก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกในใจตนได้ ยิ่งถูกเจี้ยนสือถามก็ยิ่งชัดเจนจนเป็นที่ประจักษ์
อย่างไรก็รัก ไม่ว่าอย่างไร เทียนอี้ก็เป็นผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะมอบเรือนร่างให้เชยชม
ความเงียบงันของซิ่นเฉิงคือคำตอบชัดเจนให้แก่เจี้ยนสือ คนถามสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับจะสงบสติอารมณ์ ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแสนสาหัส
“ในชาตินี้จะเป็นข้าที่เจ้าจะรักไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ไยซิ่นเฉิงจะสัมผัสไม่ได้ว่าเจี้ยนสือปวดใจเพียงใด แต่...
“เวลาของเจ้าหมดสิ้นไปตั้งแต่ที่หลิวซูหมดลมหายใจแล้วเจ้างู หลิวซูที่รักเจ้าไม่มีอีกแล้ว มีแต่ข้าที่หาได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดนั้นสัตย์จริง และก็ช่างเป็นคมดาบที่สับร่างของเจี้ยนสือให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เวลาของเขาจะหยุดหมุนเมื่อซิ่นเฉิงเอ่ยออกมาอีก
“ในชาตินี้ ใจของข้าเป็นของเทียนอี้”
เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มนุษย์หนุ่มยอมรับความรู้สึกของตนกับผู้อื่น เจี้ยนสือซึ่งได้ยินถ้อยคำนั้นรู้สึกราวกับถูกตบหน้าเสียจนมึนงงไปหมด เขาผละออกจากร่างของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องให้ซิ่นเฉิงเอ่ยซ้ำ นั่งนิ่งปราศจากซึ่งคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ซิ่นเฉิงซึ่งผุดลุกขึ้นนั่งตามเมื่อครู่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“แต่แม้ว่าในชาตินี้ ข้าจะไม่ได้รักเจ้าเพราะข้าหาใช่หลิวซูอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสหายไม่ได้”
ที่พูดไปเช่นนั้นเป็นเพราะเขาเองก็หาได้รังเกียจเจี้ยนสือ เพียงแต่ต้องการให้อีกฝ่ายตระหนักได้ว่าตนเป็นใคร และสถานะใดที่เขามอบให้เจี้ยนสือได้
เทพอสูรงูจงอางเหลือบมองชายหนุ่มภายใต้ความมืด แววตาที่ประกายความเห็นใจนั้น เขาไม่ได้ต้องการเลยสักนิด มันจะไปมีประโยชน์อันใดถ้าหากไม่ได้ครอบครองดวงใจของอีกฝ่าย
จะไปมีประโยชน์ใดเล่าหากได้พบพานแต่ใจของหลิวซูหาใช่ของเขาอีกแล้ว!
ใจหนึ่งนึกอยากจะสังหารซิ่นเฉิงเสียให้สิ้น จะได้ไม่แปรใจไปรักผู้อื่น แต่ก็มิอาจกระทำผิดซ้ำเดิมได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำนนในลิขิตฟ้า ปล่อยให้ซิ่นเฉิงได้พูดอกมา
“เจ้างู...มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา สองชาติก่อนของข้า ข้ารักเจ้า แต่ในชาตินี้ ข้าหาได้มีใจให้เจ้าอีกแล้ว เจ้าก็อย่าฝืนเลย ไม่ใช่เจ้าเพียงผู้เดียวหรอกที่เหนื่อย ข้าเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน”
เหนื่อยล้าเรื่องใด เจี้ยนสือพอจะเข้าใจ
เหนื่อยล้าในวัฏจักรแห่งรักที่มิอาจสมหวังได้แม้เพียงชาติหนึ่ง...
เขาเองก็ท้อใจแล้ว จึงพยักหน้ารับอีกครา ตอบรับไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“หากเจ้าเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็คงจะทำสิ่งใดไม่ได้อีก หากในชาติก่อนๆ ข้ารับความรู้สึกของเจ้า ป่านนี้เจ้ากับข้าคงมีความสุขร่วมกัน”
ซิ่นเฉิงไม่เอ่ยสิ่งใด มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ขณะที่เจี้ยนสือจ้องตอบราวกับพยายามจะบอกว่าในใจของเขายังรักหลิวซูมากมาย แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นกลับหาใช่คำบอกรัก แต่เป็นการบอกลา
“ขออภัยที่รบกวนและล่วงเกินเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน เห็นทีคงต้องไปพักก่อน”
สิ้นเสียงก็หุนหันลุกออกไปนอกกระโจม ปล่อยให้ซิ่นเฉิงปิดเปลือกตาลง ระบายลมหายใจออกมาทีละน้อย
ตอนนึกจะมาก็มาเอง ตอนนึกจะไปก็ไปเอง หาได้ถามความสมัครใจของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่...เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อมิอาจสมหวังก็ควรจะกระทำให้ชัดเจน
ซิ่นเฉิงถือว่าการที่เจี้ยนสือรู้ความจริงนี้เป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าในใจจะนึกสงสัยไม่น้อยว่าเจ้างูนั่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรมากเพียงไหนก็ตาม
หรือจะเป็นเพราะหมิงจู ไม่ก็พ่อบ้านเหลียง?
คงจะต้องเป็นเจ้าสองเทพนั้นเป็นแน่ กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสิ่งใดอีก หมายจะไปต่อว่าทั้งคู่เมื่ออรุณรุ่งมาถึง แต่ในยามนี้ เขาหมายจะผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในใจตนเองเสียหน่อย พลันก็ผลุบออกจากกระโจม ตั้งใจว่าจะไปเดินทอดน่องเล่นให้สายลมเย็นเยียบพัดพาเอาความเหนื่อยล้านี้ไป
ทว่า...ก็ต้องนิ่งงันเมื่อทันทีที่ออกมานอกกระโจมก็พบเข้ากับเทียนอี้
“เจ้าหมา...”
ริมฝีปากหนาเผยอเอ่ยเรียกคนตรงหน้า ขณะที่เทียนอี้ในร่างเทพสวรรค์ยืนมองเขานิ่งด้วยสายตาสับสนยิ่ง
เมื่อครู่เห็นเจี้ยนสือออกมานอกกระโจมของซิ่นเฉิงด้วยท่าทางฉุนเฉียว หรือว่า...
เกือบจะคิดต่อแล้วถ้าหากว่าจมูกไม่ได้กลิ่นคาวโลหิตจากมนุษย์หนุ่มตรงหน้า พลันก็ย่นคิ้ว เอ่ยขึ้น...
“ข้าได้กลิ่นเลือด”
ซิ่นเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบไปตามความจริง
“เลือดของเจ้างู เมื่อครู่เจ้านั่นเกือบถูกข้าถลกหนัง”
ถึงจะไม่อธิบายขยายความใดๆ แต่ก็ชัดเจนยิ่งว่าซิ่นเฉิงกับเจี้ยนสือหาได้มีอะไรเกินเลยกัน มิหนำซ้ำ ซิ่นเฉิงก็หาได้ยินยอมให้อีกฝ่ายกระทำการใดกับร่างกายตนด้วย ทำเอาเทียนอี้ที่นอนไม่หลับด้วยกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จนต้องออกมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ละแวกกระโจมของคนรักกระทั่งเห็นเจี้ยนสือออกมาจากที่นั่นโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง
สีหน้าผ่อนคลายประดับพรายบนดวงหน้างาม แม้ว่าซิ่นเฉิงอยากจะเลี่ยงการสนทนากับคนตรงหน้าแค่ไหน แต่ด้วยความคะนึงหาที่ฝังแน่นอยู่ในใจ ทำให้เขามิอาจจะหมางเมินได้อีก
“ไม่ต้องห่วง ร่างกายของข้ามันยังคงเป็นของเจ้า”
ทั้งยังเอ่ยพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปอีก...
สิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่เทียนอี้อยากได้ยินมากที่สุดในตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขามิอาจทนการหมางเมินของซิ่นเฉิงได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ต้องถูกโกรธเคืองอย่างงไร เขาก็ไม่สนใจ ถลาเข้าไปหา รวบเอาร่างกำยำเข้ามาโอบกอดในอ้อมแขนแน่น ซุกใบหน้าลงบนไหล่อีกฝ่าย กระซิบเสียงพร่าราวกับจะขาดใจ
“ข้าคิดถึงเจ้า...เฉิงเฉิง... คิดถึงเจ้า...”
เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันแท้ๆ เพียงแค่ไม่ได้พูดคุยกันเท่านั้นก็ทำให้เทียนอี้คลั่งจนแทบเสียสติได้ถึงเพียงนี้ ซิ่นเฉิงรู้ตัวดีว่าควรจะปฏิเสธ ทว่า...เพียงความในใจของเทียนอี้แค่ประโยคเดียว หินผาตั้งตระหง่านในใจเขาก็พังทลายลงในทันใด ต่อให้ต้องจากไป ไม่ได้พบพานชั่วนิรันดร์ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า”
เทียนอี้คลายอ้อมแขนออกมามองหน้าของมนุษย์หนุ่มราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครั้นเห็นดวงตาของซิ่นเฉิงมองจ้องมาที่เขานิ่งๆ แล้ว พลันก็ประจักษ์ได้ว่านั่นคือความสัตย์จริงในใจของอีกฝ่าย
“เฉิงเฉิง...”
เรียกได้เพียงชื่อ จากนั้นถ้อยคำทั้งหมดก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เทียนอี้มิอาจทนกักเก็บความรู้สึกไว้ได้ไหวอีกต่อไปแล้ว ประทับจุมพิตลงมายังริมฝีปากหนาอย่างดุดันและโหยหา ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ จูบตอบรับ สองมือโอบประคองใบหน้าคร้าม สอดประสานเกี่ยวกระหวัดราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสลายหายไปในอีกไม่กี่เสี้ยวนาทีข้างหน้า
หากมีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา ถ้าเช่นนั้นก่อนที่จะต้องจากลาหรือสลายหายไป ก็ขอให้จากไปทั้งที่ยังโอบกอดกันและกันอยู่เช่นนี้...
เป็นเพียงความปรารถนาของซิ่นเฉิงที่ไม่ยอมเปิดปากให้เทียนอี้ได้รับรู้ ในยามนี้ เขาขอแค่ได้รับความรักจากอีกฝ่ายก่อนจะจากกันไปเท่านั้น
ท่ามกลางผืนฟ้ามืดมิด มีเพียงดวงดาราและจันทราสาดทอแสงสว่าง สองบุรุษโอบกอดมอบจุมพิตแห่งรักให้แก่กันดุจดั่งนกยวนยาง[1]ครองรักตราบนิรันดร์...
[1] นกยวนยาง หรือนกเป็ดน้ำ ตามความเชื่อของจีนเชื่อว่านกชนิดนี้จะมีคู่ครองเพียงตัวเดียวตลอดชีวิต จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบความรักของที่มั่นคงว่าเป็นความรักของนกยวนยาง
-----------------------------
หายไปนาน กลับมาแล้วค่ะ ลืมเนื้อเรื่องกันไปแล้วสินะ เพราะหนูแดงก็ลืม 5555555
ต้องไปอ่านใหม่ว่าตัวเองเขียนอะไรไป ถึงกลับมาเขียนได้ง่ะ XD แต่ต่อจากนี้จะกลับมาอัปแล้วค่ะ หมดสิ้นภารกิจอื่นแล้วเรียบร้อย ส่วนเรื่องนี้อีกไม่กี่ตอนก็จบละ
********
ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น และคนเขียนยังไม่ได้ขอไอดีขายของ ผิดกฏเล้านะ
Poes