ตอนที่ 3
ศตวรรษบุคคลเหนือโลก
หลังคุณนักเขียนหัวจรวยเผ่นแน่บเข้าห้องน้ำไป ก็ถึงคราวที่ผมจะได้เฉ่งมันให้ไอ้ท็อปฟังได้เต็มที่ สงสัยชาติก่อนผมคงเคยทำกรรมหนักกับมันมาก่อน ชาตินี้เจ้าตัวถึงได้ตามมาเอาคืนจนแทบกระอักเลือด
“นักเขียนมีเป็นร้อย ทำไมไม่รู้จักเชิญมาสัมภาษณ์วะ” พูดแล้วก็ขึ้น อยากเดินไปตบกะโหลกคนกวนประสาทนั่นสักทีสองที ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่มีความกล้าพอที่จะทำเนี่ยแหละ ปากดีไปวันๆ เท่านั้นล่ะกู
“ก็คนนี้กำลังดังไง อีกอย่างเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง มึงก็ใจเย็นๆ หน่อย” ไอ้ท็อปตอบหน้าตาย ไม่ได้รู้สึกสำนึกเลยสักนิดที่พาผมมาให้ใครไม่รู้เชือดถึงที่
“มึงควรรับผิดชอบกูด้วยมั้ย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ทำให้วันดีๆ ของกูอับเฉาไง”
“ปกติชีวิตมึงน่าจะเหี้ยกว่านี้อีก เอาน่า...ทนหน่อย กว่ากูจะนัดเขามาได้เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็นเลยนะเว้ย”
“คิวแน่นขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“หึ! เขาไม่มีอารมณ์อยากเจอ”
เหยดเขร้! ให้มันได้อย่างนี้สิ เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็อินดี้ระดับหนึ่งแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะเจอคนอาการหนักกว่าหลายเท่า แถมดูเหมือนมันก็ไม่ค่อยจะแคร์ใครเท่าไหร่เลยด้วย
“งั้นมึงรีบสัมภาษณ์กูได้มั้ย ไม่อยากอยู่นานกว่านี้ว่ะ”
“แป๊บนึงสิวะ”
“สรุปมึงจะสัมภาษณ์กูชาตินี้หรือชาติหน้า นี่กูพลาดเอาเบอร์ให้คนแปลกหน้าไปแล้วมึงไม่เดือดร้อนแทนกูหน่อยเหรอ” ไอ้ท็อปชะงักมือจากการเรียงสคริปต์แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง
“บล็อกสิ”
“ทำไมมึงฉลาดจังวะ” ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ก่อนหน้าที่โดนขอรหัสผ่านก็ยอมบอกไปง่ายๆ เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง รู้ตัวอีกทีปากก็สั่นผั่บๆ บอกรหัสผ่านให้คนแปลกหน้าซะเรียบร้อย
“กูไม่ได้ฉลาด มึงแค่โง่”
“สึด” หลังอดีตเพื่อนต่างห้องเสนอแนวคิด ผมก็ไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไปที่เบอร์โทรเข้าล่าสุด แล้วจัดการบล็อกอีกฝ่ายอย่างทันท่วงที
คิดจะเล่นกับชยิน รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะครับ
“บล็อกแล้วใช่มั้ย ถ้าเสร็จแล้วกูรบกวนมึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้คุณยุคหน่อย”
“ทำไมต้องกู”
“กูจะสัมภาษณ์เขาก่อนจะได้ไม่เสียเวลา นะ! ช่วยดูแลเขาหน่อย” ไม่พูดอย่างเดียว แม่งเล่นกะพริบตาปริบๆ เป็นการอ้อนวอนอีกต่างหาก
ไอ้ท็อป กูไม่น่าเรียนโรงเรียนเดียวกับมึงเลยแสรดดดดด
“เออสั่งให้ก็ได้ แต่เดี๋ยวรอมันกลับมาก่อนแล้วกัน” ดีหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งกวนประสาทกันสักห้านาที
“นั่นไง มาแล้ว” ผมหันไปมองร่างสูงที่กำลังสาวเท้ากลับมายังโต๊ะ ก่อนตัวเองจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และยิงคำถามใส่อีกฝ่ายซึ่งยังไม่ทันได้นั่งเก้าอี้อย่างไวว่อง
“คุณ ผมจะไปสั่งเครื่องดื่มให้ อยากกินอะไรครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปสั่งเอง”
“เอ่อคุณยุคครับ ผมกะว่าจะเริ่มสัมภาษณ์ตอนนี้เลย ให้ชยินสั่งให้เถอะครับ” ไอ้ท็อปเป็นฝ่ายแทรกขึ้น คนตรงหน้าจึงหันเหความสนใจมาที่ผมอีกครั้ง
“คุณว่าแบบผมชอบกินอะไร” เอ้า! ถามกูอีก
“ผมจะไปรู้เหรอ ก็อาจจะเป็นเอสเพรสโซ่หรืออเมริกาโน่มั้ง” ดูจากการแต่งตัวในคราบนักฆ่าของมัน ยังไงซะก็คงหนีไม่พ้นกาแฟเข้มๆ อีกตามเคย แต่ดูคำตอบมันครับ...
“ดาษดื่น”
“ชอบพวกมัคคิอาโตหรือเปล่าครับ”
“ไม่”
“ช็อกโกแลตร้อนมั้ย”
“ไม่”
“สรุปจะเอายังไง”
“ยืนเอาได้มั้ย”
“...!!”
“แต่ปกติผมก็นอนเอานะ คุณว่าไงอ่ะ”
โว๊ะ! เชี่ยนี่...
“ผมขี้เกียจเดาแล้ว รีบบอกมาเลยครับเสียเวลา” ก่อนเส้นเลือดในสมองของไอ้ชยินจะแตกตาย ช่วยสงเคราะห์บอกสิ่งที่มึงอยากแดกออกมาด้วยเถอะ เรื่องมากยิ่งกว่าศาลเจ้าพ่อร่างทรงแถวบ้านกูอีก
“งั้นผมขอนมสตรอเบอร์รี่ปั่นหนึ่งแก้วแล้วกัน”
โอ้โห พ่อคุณ สั่งเครื่องดื่มได้ทรยศหน้าตาสัดๆ ไปเลยครับโผ้มมมมมมม กูขอความเข้ากันระหว่างเสื้อผ้าที่มึงใส่กับนมที่มึงแดกหน่อยเถอะ
“โอเคเดี๋ยวผมไปสั่งให้”
“ขอเพิ่มวิปครีมด้วยนะ”
“จ้า”
ผมรีบหมุนตัวเข้าไปในร้าน จัดการสั่งเครื่องดื่มหวานแหววมาให้อีกฝ่ายอย่างจำใจ แต่หลังรอรับเครื่องดื่มตรงปลายบาร์ ผมกลับได้รับนมสตรอเบอร์รี่ถึงสองแก้ว
“ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมสั่งแค่แก้วเดียวนะครับ” พนักงานซึ่งกำลังง่วนกับการทำเครื่องดื่มอีกแก้วเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหวานสุดๆ
“ช่วงนี้เป็นโปรโมชั่นของทางร้านค่ะ สั่งนมสตรอเบอร์รี่ซิกเนเจอร์หนึ่งแก้วแถมหนึ่งแก้วค่ะ” ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่ป้ายเล็กๆ ซึ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ แถมในนั้นยังเขียนข้อความ ‘โปรโมชั่นคู่รัก’ เอาไว้ตัวเบอเร่ออีกต่างหาก
“งั้นขอบคุณมากนะครับ”
“ยินดีมากค่ะ”
ว่าแล้วก็จัดการถือแก้วเครื่องดื่มสีชมพูดเดินออกไปยังสนามหญ้าด้านนอก เห็นไอ้คุณยุคกับไอ้ท็อปกำลังสัมภาษณ์กันอย่างคร่ำเคร่งผมเลยไม่อยากพูดแทรก รีบวางแก้วเครื่องดื่มทั้งสองไว้ตรงหน้าคนตัวสูงกว่า จากนั้นก็จัดการหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา
แต่แล้ว บทสนทนาถามตอบกลับหยุดชะงักลงชั่วครู่
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสถานการณ์ เห็นมือหนาของอีกฝ่ายกำลังดันแก้วนมสตรอเบอร์รี่มาไว้ตรงหน้าผมอย่างช้าๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“ของคุณ” ผมบอก
“ผมมีแล้วไง นี่ของคุณ”
“ผมไม่ชอบกินนม กินแต่กาแฟ”
“ถึงว่า”
“อะไร”
“โดนกาแฟกัดกระดูกจนเตี้ยเลย” โหยสัด! กูจะโกรธมึงยันบรรพบุรุษแล้วนะ
ร้อยเจ็ดสิบหกนี่บ้านมึงเรียกเตี้ยเหรอ
แต่ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลแค่ไหน สิ่งที่ผมทำได้กลับเป็นแค่การรักษามารยาทด้วยการตอบกลับไปอย่างเข่นเขี้ยวสุดชีวิต
“ผมก็สูงตามมาตรฐานชายไทยนะครับ มีแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่สูงผิดมนุษย์มนามากกว่า”
“ดีนะครับที่ผมไม่ใช่คนกลุ่มนั้น”
ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก
แล้วที่พูดไปก่อนหน้าว่าไม่กินก็เหมือนจะไม่ฟังกันด้วย เพราะคุณชายศตวรรษแกหันไปหาไอ้ท็อปแล้วเริ่มสัมภาษณ์ต่อ ส่วนผมที่หมดอารมณ์จะเล่นมือถือฉับพลัน ก็เปลี่ยนมานั่งฟังบทสัมภาษณ์ของอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้แทน
“ตอนนี้คุณอายุยี่สิบห้า มีอะไรในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ” นี่คือคำถามจากไอ้ท็อป
“ไม่นะ ชีวิตผมเหมือนเดิม มีแค่อายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งผมก็คิดว่าจริงๆ แล้วใจของผมก็ยังคงเป็นเด็กอยู่” คำตอบมันทำให้ผมนึกถึงโคนันเวอร์ชั่นรีเวิร์สเลยว่ะ
ถึงอายุจะเพิ่ม แต่สมองยังปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ผมเพราะคือ...
ศตวรรษ แฮร่!
ไปที่ไหน ฉิบหายวายวอดที่นั่น
“คุณเขียนนิยายมาค่อนข้างเยอะ สิ่งที่คุณหลงรักในตัวของมันคืออะไร”
“ผมหลงรักตัวหนังสือของผม” เหยดแหม่ คำตอบมึง Positive thinking เว่อร์ เรื่องคิดเข้าข้างตัวเองกูให้มึงชนะเลิศ พอก่นด่าในใจได้ไม่นาน เจ้าตัวก็รีบขยายความต่อทันที “มันเหมือนเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ และผมจมจ่อมกับมันได้ไม่มีเบื่อ”
“คุณดูเป็นคนจริงจังมากกับการทำงาน แล้วชีวิตประจำวันของคุณล่ะ จริงจังขนาดนี้มั้ย”
“ภายนอกผมดูเป็นคนสบายๆ ใช่มั้ย แต่ภายใต้คำว่าอะไรก็ได้มีความเยอะแฝงอยู่ เอาจริงๆ ผมก็เป็นคนเลือกเยอะคนหนึ่งแหละ”
“ที่พูดนี่หมายถึงความรักใช่หรือเปล่า” ไอ้ท็อปถามนอกประเด็น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความเชื่อมโยงกับคำตอบของไอ้คุณยุคค่อนข้างมาก
เออ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าแฟนมึงเป็นคนแบบไหน กูจะได้ไว้อาลัยให้ล่วงหน้า
เกิดมามีกรรมนะเราอ่ะ
“ก็ประมาณนั้นมั้งครับ”
“คุณยังไม่มีแฟนเหรอ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเคยคิดมั้ยว่าอยากหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนคู่คิด หรือมองหาความสัมพันธ์เรียบง่ายแทนการอยู่คนเดียว” ถ้าคำถามนี้เป็นของผม ผมคงรีบตอบว่าคิดครับ
กูอยากมีเมีย เพราะความเหงามันไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ ผมคิดว่าคนหลายคนที่ก้าวเข้าสู่วัยทำงานล้วนคิดคล้ายกัน แต่เชื่อมั้ย คำตอบที่ได้จากไอ้ศตวรรษกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ผมไม่เคยคิด ไม่เคยกังวลว่าจะต้องหาแฟนหรือแต่งงาน ไม่ต้องวางแผนว่าวันนี้จะออกไปหาแฟนที่ไหน หรือเวลาเจอคนน่ารักสักคนแล้วต้องเดินเข้าไปจีบเพื่อให้ตัวเองหายเหงา ผมไม่ชอบแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเรากำลังฝืนตัวเอง”
คำตอบนั้นเสียดแทงเข้ามาที่ใจผมอย่างจัง
“ผมชอบความสัมพันธ์ที่ว่า ถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่ใช่เราก็จะรู้เอง ไม่ต้องไปเร่งมัน ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นแค่คนนี้” เชี่ยยยย รู้สึกเท่ว่ะ
ขอจดมุกนี้ไปแต่งเพลงหน่อยซิ
“แล้วคุณเคยมีความคิดจะเขียนนิยายเกี่ยวกับความรักบ้างมั้ย” ไอ้ท็อปยังคงถามต่อ
“ไม่ครับ มันดูเวิ่นเว้อ นิยายรักอย่างน้อยก็ต้องมีความโรแมนติกอยู่บ้าง ซึ่งผมไม่ใช่คนโรแมนติก”
ใช่! มึงเป็นคนเหี้ย
“แล้วจริงๆ ความรักของคุณยุคหน้าตาเป็นแบบไหน”
“มันไม่มีอะไรตายตัว บางครั้งอาจจะดูงงๆ เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด อธิบายรูปร่างไม่ได้แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก”
“แปลกประหลาดนี่เหมือนชยินมั้ย”
พรวด! ผมพ่นน้ำใส่กระดาษของไอ้ท็อปทันที ไอ้ยุคเลยรีบหยิบทิชชูมาให้พร้อมกับแก้ต่างอย่างรวดเร็ว
“สเป็กผมเป็นคนนะ”
“...”
“แต่เขา...ไม่เหมือนคน”
กูร้องไห้ในใจหนักมาก ไอ้เหี้ย! ลากกูไปฆ่าเหอะว่ะ
“แหม คุณยุคคิดว่าผมเป็นเทพบุตรสินะครับ” เงียบอยู่นานสุดท้ายก็ต้องยอมเปิดปากโต้เถียงกลับไป มึงมีสิทธิ์อะไรมาว่ากูไม่เหมือนคนวะ!
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็แล้วแต่นะ”
กูทำหน้างอใส่แม่งเลยสัด
“ผมล้อเล่นน่า” โหยที่พูดมานี่มึงใช้คำว่าล้อเล่นเหรอ ขี้ตีนกูนี่ แต่สิ่งที่ตอบกลับไปได้ก็มีแค่...
“ขี้เล่นนะเราอ่ะ”
“เราก็ขี้เหร่เหมือนกันนะเนี่ย”
“ต่อยกันเถอะจะได้จบๆ”
“ไม่ต่อยครับ เสียมือ”
“อ่ะเอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะทั้งคู่ อย่าเพิ่งตบมุกก๊านนนน ฮ่าๆ” ไอ้ท็อปรีบเบรกเราเอาไว้ แม้จะหัวเราะแกนๆ แต่ในแววตาของมันนั้นผมสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า มึงกำลังร้องไห้ในใจอยู่สินะ กูเองก็ไม่ต่างจากมึงนักหรอก ฮือ
แล้วดูคนก่อเรื่องซะก่อน เล่นนั่งดูดน้ำสตรอเบอร์รี่สบายใจเฉิบ ไอ้คนจิตใจหยาบช้า
หลังเพื่อนท็อปนั่งลูบน้ำลายของผมที่พ่นลงบนกระดาษให้อยู่ในสภาพที่พอใช้งานได้ มันจึงกระแอ่มไอสองครั้งเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มใหม่
“เอาใหม่นะครับ สรุปสเป็กคุณยุคเป็นแบบไหน”
“สำหรับผมมันไม่มีอะไรตายตัว เชื่อสิ พอถึงเวลาคุณจะลืมสเป็กทุกอย่างที่เคยคิดไว้ แล้วใช้ความรู้สึกของคุณแทน”
เช่นความรู้สึกที่อยากกระโดดกัดหูมึงในตอนนี้สินะ
จากนั้นการสัมภาษณ์ก็เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา แม้ผมจะถูกแซะและพูดถึงอยู่บ้างแต่ก็พอข่มใจยอมรับได้ ไอ้ท็อปจัดการบันทึกเสียงและจดบทสัมภาษณ์บางอย่างใส่สมุดจนครบ กระทั่งมันเบี่ยงตัวมาหาผมเล็กน้อยพร้อมกับเริ่มบันทึกเสียงใหม่
“คราวนี้ตามึงแล้วชยิน”
“โอเค” ผมนั่งตัวตรง จัดคอเสื้อให้เป็นระเบียบ
“มึงจัดเสื้อทำไม กูอัดเสียง ไม่ได้จะอัดวิดีโอ”
“ก็แล้วทำไม” อย่างน้อยก็ขอมีภาพลักษณ์ดีๆ ต่อหน้าไอ้ศตวรรษไม่ได้หรือไง แค่นี้มันก็เกทับผมจนไม่เหลืออะไรให้สู้แล้วเนี่ย
บทสัมภาษณ์ตอนเริ่มต้นนั้นไม่รู้ว่าเหมือนไอ้นักเขียนกวนตีนนี่มั้ยเพราะตอนเริ่มผมไม่ได้ฟัง แต่ก็ตอบทุกอย่างที่พอจะตอบได้ทั้งหมด กระทั่งเนื้อหาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงเป็นจังขึ้น
“ตอนนี้คุณชยินเป็นนักแต่งเพลงสังกัดค่ายไหนครับ”
“ผมเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้สังกัดใครครับ” และตอนนี้กำลังว่างงานอยู่ด้วย แต่กูไม่บอกหรอก เดี๋ยวแพ้!
“เพราะเพลงที่คุณแต่งดังมากหลายเพลง และได้รับการยอมรับในวงการ รู้สึกกดดันบ้างมั้ยกับการแต่งเพลงใหม่ๆ ในตอนนี้รวมถึงอนาคต”
“เรื่องกดดันมันก็มีอยู่นิดหน่อย เพราะเราเคยทำไว้ดีมาก หลายคนคาดหวังว่ามันต้องดีแต่บางครั้งผมก็ไม่อยากโฟกัสมัน ผมสนแค่ว่าตอนนั้นผมมีความสุขกับการแต่งอะไรมากกว่า”
จริงๆ สนแค่ตังค์และปากท้อง แต่กูไม่พูดหรอกเดี๋ยวไม่หล่อ
“มีคนในวงการบอกว่า คุณคือนักแต่งเพลงสายติสต์ ประโยคนี้คือความจริงของคุณมั้ย”
“ผมไม่ได้ติสต์ครับ ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป” แค่เป็นคนขี้เหงา
“ระหว่าง Passion กับความรับผิดชอบ คุณคิดว่าคนทำงานสายนี้ควรมีอะไรมากกว่ากัน” ผมหันไปมองคนตัวสูงที่นั่งไขว่ห้าง แกว่งตีนไปมาอย่างยียวน
พยายามเดาคำตอบว่าถ้าเป็นคนถามของมัน แม่งจะตอบว่ายังไง
“สำหรับผมความรับผิดชอบควรมาเป็นอันดับหนึ่งครับ การที่คนเราจะทำงานอะไรสักอย่างให้สำเร็จลุล่วงก็ควรมีความรับผิดชอบในงานชิ้นนั้นก่อนเสมอ”
และนี่คือคำตอบของผม ซึ่งไอ้นักเขียนข้างๆ ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากเอื้อมหลอดยาวๆ ของมันมาตักวิปครีมตรงแก้วผมไปแดกแบบไร้ยางอาย ซึ่งผมก็ทำได้แค่ตวัดสายตามองเท่านั้น
“เพลงที่คุณแต่งส่วนใหญ่มักเป็นเพลงรัก คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน หรือจริงๆ แล้วแต่งมาจากชีวิตของตัวเอง” ดูสคริปต์ไอ้ท็อปเข้า กล้าถามมาได้ยังไงว่ามาจากชีวิตกู โสดจนเหี่ยวขนาดนี้ไม่น่าจะเดายากนะ
“ผมก็ได้ไอเดียมาจากคนรอบตัว เพลงต่างๆ ที่ได้ฟัง หนังที่ได้ดู หรือหนังสือที่เคยอ่าน หลายอย่างเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการแต่งเพลงครับ”
“ตอบแบบนี้แสดงว่าคุณชยินยังไม่มีแฟนใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเคยมีความคิดว่าถ้าเกิดวันนึงคุณมีความรักกับใครสักคนขึ้นมาจริงๆ คุณอยากแต่งเพลงให้คนที่รักมั้ย”
“แน่นอนครับว่าผมต้องทำแบบนั้น”
“คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ ถ้าหากได้รับงานแต่งเพลงเกี่ยวกับคนคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จัก คุณจะแต่งได้มั้ย” ผมหันไปมองไอ้ศตวรรษ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างคนเหนือกว่า
ตั้งแต่ได้รู้จักมัน กูเกทับชาวบ้านเขาเก่งขึ้นมากเลย
“ได้สิครับ อย่างเช่นคุณยุคนี่ผมก็แต่งให้ได้นะ เอาเป็นเพลงอกหักโดนทิ้งดีมั้ย” ใบหน้าคมเลิกคิ้วสูง ก่อนสวนกลับมาทันควัน
“งั้นผมจะตอบแทนด้วยการเขียนเรื่องฆาตกรรมให้คุณเรื่องนึง คุณอยากตายศพแบบไหนขอมาได้เลย”
“คุณเก็บความหวังดีเอาไว้ใช้กับตัวเองเถอะครับ”
“ศพที่แล้วก็เคยพูดแบบนี้”
“...”
“ผมหมายถึงในหนังสือน่ะ”
“เพลงก่อนหน้าที่ผมเคยแต่งพระเอกก็อกหักจนฆ่าตัวตายเหมือนกัน แย่เลย” จะไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ต้องมีสักเรื่องหนึ่งแหละที่ผมชนะ “แต่ถ้าเป็นเคสอย่างคุณผมอาจจะแต่งให้ตายง่ายๆ เช่น สำลักนมสตรอเบอร์รี่ตาย”
“เสียใจว่ะ”
“ไม่อยากตายใช่ม้า”
“ไม่น่ามาเจอคนติงต๊องอย่างคุณเลย มีที่ไหนพระเอกสำลักนมตาย” ก็มึงไงไอ้ฟายยยยยยย กูแช่งอยู่เนี่ยรีบตายๆ ซะ
“ผมสมมติมั้ยล่ะ”
“เคๆ สมมติก็ได้”
“...”
“แต่ทำไมถึงทำหน้างออย่างนั้นอ่ะเรา”
“ผมไม่ได้หน้างอ”
“เถียงไม่ออกแล้วเหรอ”
“เออ”
“แพ้ซะละ”
“เออยอม”
“ขอโทษครับ” เจ้าตัวพูดแค่นั้นก่อนจะวางฝ่ามือไว้บนหัวของผมพร้อมกับขยี้ไปมา แต่จะมีใครรู้บ้างว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้ผมแพ้อย่างจริงจัง แพ้ราบคาบเหมือนทุกที...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ