ตอนที่ 4
ดึงสติกันหน่อยนะ
หลังรับเงินจากการสัมภาษณ์คอลัมน์รายเดือนของไอ้ท็อป ผมก็นอนเปื่อยอยู่ที่ห้องมาสามวันเต็มๆ ทุกอย่างดูจำเจไปหมด ดีหน่อยก็ตรงที่มีเอ็มเอสเอ็นเป็นเพื่อน จะติดรำคาญอยู่บ้างก็ตรงที่ไอ้ 0832/676 ไม่เคยอยู่ได้นาน คุยกับผมได้มากสุดก็แค่ครึ่งชั่วโมงแล้วหายไป เพราะฉะนั้นผมจึงต้องหาสารพัดวิธีมาแก้เบื่อของตัวเองในแต่ละวัน
ช่วงนี้ผมปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า ในเมื่อไม่มีงานเข้ามาก็จะใช้เวลาว่างแต่งเพลงให้จบแล้วลองเอาไปเสนอค่ายดู แต่ตอนนี้แค่พาตัวเองลุกออกจากเตียงกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการเผาโปรเจ็กต์ปลายปีเพียงคืนเดียวซะอีก
จำได้ดีว่าสมัยเรียนเวลาอาจารย์ยกคลาสทีไรผมจะรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น โคตรไม่อยากเรียน อยากนอนอย่างเดียว ตอนนี้จบมาอย่าว่าแต่นอนเลย ถ้าอยากตายก็สามารถทำได้ มันว่างถึงขนาดนั้น
อยากกลับไปเรียนเฉย
โหยหาอดีต โหยหาเวลาที่มีความสุขกับกลุ่มเพื่อน มีความรัก และไม่ต้องกังวลว่าอนาคตจะเป็นยังไง คิดแล้วก็เศร้า อยากกินเหล้าย้อมใจแต่เสือกไม่มีตังค์ทำแบบนั้น ทางออกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่การทำงานหาเงินมาประทังชีวิต เริ่มต้นเลยคือต้องลุกออกจากเตียงก่อนเป็นอันดับแรก คิดได้เท่านั้นผมก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเริ่มนับหนึ่งถึงห้าในใจ
“หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า”
ฮึ่บ!
โอยยยยย ร่างกายถูกแรงดึงดูดของเตียงฉุดเอาไว้เฉยเลย ขอนอนต่ออีกสิบห้านาทีแล้วกัน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...
ผมเริ่มนับหนึ่งถึงห้าใหม่แต่ก็ขี้เกียจลุกเหมือนอย่างเคย ท้ายที่สุดก็ถอดใจ ยอมจำนนต่อความขี้เกียจด้วยการซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม พร้อมกับพูดประโยคปลอบใจเดิมๆ ที่มักใช้เสมอ
เออวันนี้ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยทำก็ยังไม่สาย“พรุ่งนี้จะตั้งใจทำงานแล้ว เย่!”
รู้ตัวอีกที ผมก็ไม่ได้แต่งเพลงหรือทำอะไรนอกจากนอนมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
นี่ไม่ได้ตายนะ แค่กำลังสะสมพลังชีวิตให้ตัวเองเฉยๆ
เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ราบเรียบ ไม่มีอีเมลสักฉบับส่งมาใหม่ ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากเพื่อนหรือครอบครัว ผมยังอยู่ที่ห้อง กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและดูหนังออนไลน์ที่สมัครรายเดือนเอาไว้ไปวันๆ
วันเวลาแม่งผันผ่านไปเร็วเสียจริง กระทั่งเดินไปเปิดปฏิทินปลุกใจเสือป่าของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งถึงได้รู้ ตัวเลขที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมต้องพรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พรุ่งนี้แล้วสินะที่อาจเป็นวันสำคัญสำหรับใครหลายๆ คน
กี่ปีมาแล้วที่ลงหลักปักฐานและใช้ชีวิตกับคำว่าโสด ถามว่าเหงามั้ยคงตอบได้ว่าโคตรเหงาเลยว่ะ นานวันเข้าก็กลัวว่าจะเคยชินความเป็นอยู่ที่มีแค่ตัวเอง
ปีนี้ก็เหมือนปีก่อนๆ อยู่คนเดียว เก็บห้อง ดูหนังแผ่นเดิมๆ ที่ซื้อมาสะสม ฟังเพลงแล้วล้มตัวลงนอนปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเหมือนกับวันธรรมดาวันหนึ่ง ก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก
ดอกไม้ ลูกอม ช็อกโกแลต ซื้อเองมากี่ปีแล้ว แต่ก็คงไม่เบื่อถ้าต้องซื้อให้ตัวเองต่อไป มีความสุขมากๆ นะ
สุขสันต์...วันพระใหญ่
ว่าแต่กูต้องตื่นมาใส่บาตรกี่โมงดีเนี่ย
Chayin Preedeewattanaรับสมัครแฟนหนึ่งอัตรา มาถ่ายรูปลั้ลลาทุกวันพระใหญ่Rrrrr…!
หลังตั้งสเตตัสระบายความเหงาในเฟซบุ๊กได้ไม่นาน เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เบอร์ที่โทรเข้านั้นไม่ใช่ซูปเปอร์เนิร์ดอย่างไอ้เบิร์ด หรือคอลัมนิสต์อย่างไอ้ท็อป แต่เป็น...
‘แด่นแด๊น’เออ กูเกลียดมันเลยใช้ชื่ออดีตหมาของตัวเองที่ตายไปแล้วเป็นชื่อของไอ้ศตวรรษ
“มีอะไรครับ” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงขุ่นขลัก
[ผมอยู่หน้าห้องคุณ]
“ฮะ!”
[ผมอยู่หน้าห้องคุณ ออกมาเปิดประตูให้หน่อย]
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงตรงกลางใจ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติกุลีกุจอลุกจากเก้าอี้ ใช้เท้าถีบเศษขยะซึ่งกองอยู่ตรงพื้นเข้าไปใต้เตียงอย่างรีบเร่ง ข้าวของมายมายซึ่งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่นก็ไม่ละเว้น จัดการโยนใส่กล่องและซ่อนความสกปรกซกมกเอาไว้อย่างมิดชิด
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปเผชิญหน้า
ไอ้ห่า มาไม่รู้จักโทรบอกก่อน วุ่นวายให้ผมต้องเสียเวลาสร้างภาพไปอีก
“มาทำไมครับ”
นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์ คนตัวสูงกว่าสวมหมวกแก๊ปสีดำทรงสแนปแบ็คยี่ห้อ Vans คล้องแมสค์สีเดียวกันที่ใบหูข้างหนึ่งเหมือนทุกครั้ง แต่มันกลับดูดีจนน่าอิจฉา ทำไมโลกแม่งไม่ยุติธรรมเลยวะ
“เอาหนังสือมาให้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบยัดถุงหนังสือใบใหญ่ใส่มือของผมทันที ความหนักของมันทำเอาเข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้น
“หนังสืออะไรครับ”
“มูราคามิ บางส่วนที่มี”
“เดี๋ยว! คุณไปได้มันมาจากไหน ถ้าเป็นของคุณผมก็ไม่อยากรบกวน” บอกตามตรงว่าขี้เกียจตามเอาไปคืน ระหว่างผมกับคนคนนี้ เจอกันสองครั้งในชีวิตก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
“พอดีเมื่อวานไปอีเวนต์นักเขียน เลยได้มาฟรี”
“เยอะขนาดนี้เชียว”
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“เท่าไหร่ครับ” แม้ตอนนี้จะกรอบมาก แต่ผมก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใครหรอก
“ก็บอกว่าได้มาฟรีไง ผมให้”
“ขอบคุณครับ” เล่นเอาไปไม่เป็นเลย และเพื่อตอบแทนน้ำใจที่มีอยู่เพียงน้อยนิด จึงไม่ลืมเอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณ...เข้ามาข้างในก่อนมั้ย”
“แน่ใจเหรอ ผมเข้าใจว่าห้องคุณยังไม่พร้อมจะรับแขกซะอีก” ไม่พูดเปล่า ดวงตาคมยังจ้องทะลุเข้าไปด้านในเหมือนรับรู้สภาพก่อนหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง “แต่ถ้าคุณอยากขอบคุณ พรุ่งนี้ว่างมั้ย”
“วะ...ว่าง”
“เลี้ยงข้าวผมมื้อนึงก็ได้ สถานที่แล้วแต่คุณเลย”
“เอาง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
“ก็ง่ายอย่างนี้แหละ บอกมาว่าที่ไหนดี”
“แต่ผมยังไม่ได้ตกลงเลยนะเว้ย”
“คำว่า ‘ว่าง’ หมายถึงตกลง” นี่มันเป็นนักเขียนส้นตีนอะไรวะเนี่ยยยยยยยย มึงไม่สามารถแยกแยะความหมายของคำสองคำได้เหรอ เนียนเกินไปละพ่อ
“จะให้คิดตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกหรอก”
“งั้นผมคิดให้แล้วกัน คุณมีหน้าที่แค่เตรียมตัว สิบโมงเช้าผมจะมารับถึงห้อง ไว้เจอกันนะ” รัวน้ำลายใส่เสร็จ เจ้าตัวก็โบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนคาดแมสค์อีกข้างกับหูเพื่อปกปิดใบหน้าครึ่งซีก เขาเบี่ยงตัวเดินไปยังลิฟต์กระทั่งลับสายตา ทิ้งให้คนเหงาอย่างไอ้ชยินยืนงงเป็นไก่ตาแตก
ตกลงแบบมึนๆ แล้วไม่คิดจะถามกันบ้างเหรอว่ามีเงินจ่ายค่าข้าวให้หรือเปล่า ช่วงนี้กูยิ่งกรอบๆ อยู่ด้วย
ผมปิดประตูลง เดินกลับไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหยิบหนังสือแต่ละเล่มออกมาลูบๆ คลำๆ อยู่อย่างนั้น พร้อมกับคำถามที่ว่า…ไปออกอีเวนต์ได้หนังสือมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ แถมบางเล่มยังหายากอีกต่างหาก
แต่นั่นแหละ นักเขียนกับหนังสือเป็นของคู่กัน เห็นแล้วก็นึกอิจฉาว่าทำไมนักแต่งเพลงถึงไม่ได้อภิสิทธิ์รับแผ่นเพลงฟรีแบบนี้บ้าง
“เอาวะ!”
วันนี้ชยินไม่เหงาแล้วนะครับ เพราะมีหนังสือเป็นเพื่อนตั้งใหญ่ กว่าจะอ่านจบความเหงาคงหนีไปแต่งงานแล้วล่ะมั้ง
ผมใช้เวลา 12 ชั่วโมงในการอ่านหนังสือเล่มแรก ก่อนปิดมันลงแล้วหันมาเปิดคอมพิวเตอร์ในเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี
เวลานี้ใครบางคนมักออนไลน์เสมอ
ที่ต้องทำคือสเต็ปเดิม ใส่อีเมลและรหัสผ่านสำหรับเข้าเอ็มเอสเอ็น รอจนกระทั่งหน้าจอปรากฏรายชื่อผู้ออนไลน์ซึ่งก็เหมือนเช่นเคย ที่ชื่อแอคเคาน์เพียงหนึ่งเดียวจะปรากฏสัญญาณสีเขียวพร้อมกับข้อความว่า Available
Chayin says… หมีใหญ่ ʕᴥ• ʔ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… โง่เหรอ บอกไม่จำ
Chayin says… ก็กูจะเรียกมึงแบบนี้อ่ะ หมี หมี หมี หมี
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ทีมึงเป็นขยะเปียกกูยังไม่ว่าสักคำเลย
Chayin says… ollo
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เออพูดอยู่ได้ ไม่เคยมีเหรอ
มันจะมีสักวันมั้ยวะ ที่มึงกับกูไม่เถียงกันเนี่ย
Chayin says… ใครพูด กูพิมพ์
0 8 3 2 / 6 7 6 say… แล้วนี่ใช้มือหรือกีบตีนพิมพ์อ่ะ สงสัยมานานละ
Chayin says… (╥_╥)
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ◔_◔
Chayin says… กูเครียด
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เครียดเรื่องอะไร
Chayin says… เรื่องมึงนี่แหละสัด
0 8 3 2 / 6 7 6 say… นี่คิดว่าไม่น่ามีอะไรเครียดกว่าการเกิดมาหน้าเหมือนปลาดุกแล้วนะ
Chayin says… ╥﹏╥
0 8 3 2 / 6 7 6 say… อ่ะๆ มีไรว่ามา
Chayin says… มีคนชวนกูไปกินข้าว มึงว่ากูควรไปมั้ย
0 8 3 2 / 6 7 6 say… แล้วอยากไปมั้ยล่ะ
Chayin says… ไม่รู้ ไม่ได้สนิทกันอ่ะ เคยเจอแค่ครั้งเดียว
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ก็ไปเจออีกดิจะได้สนิทขึ้น
Chayin says… ไม่เอากลัว
0 8 3 2 / 6 7 6 say… กลัวไรวะ
Chayin says… กลัวเถียงสู้ไอ้คนนั้นไม่ได้ กูไม่เคยชนะมันเลย
0 8 3 2 / 6 7 6 say… (ಥ﹏ಥ)
Chayin says… ༼ಢ_ಢ༽
กูซีเรียสแต่ไอ้หมีใหญ่กลับส่งอีโมติคอนหน้าตาทุเรศๆ มาให้ เออดี
นับเป็นเพื่อนใน msn เพียงคนเดียวที่ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้กูปวดหัวเล่น จะนัดออกมาเจอก็ทำเป็นลีลาอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย สุดท้ายผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเป็นใคร ทำงานที่ไหน หรือแท้จริงแล้วมันไม่เคยมีตัวตน เป็นแค่ระบบ AI ที่ไอ้เบิร์ดสร้างขึ้นมาเพื่อคุยคลายเหงา
หลายข้อสันนิษฐานถูกตั้งเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ได้คุยกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจเป็นไปได้ทุกทาง
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ก็ลองไปเจอบ่อยๆ สิ เดี๋ยวสักวันคงชนะ
Chayin says… ประสาทจะแดก
0 8 3 2 / 6 7 6 say… มึงเหงากูรู้ ไปเจอมันอาจจะหายเหงาก็ได้นะ
Chayin says… หายเหงาจริงแต่เป็นบ้าแทน กูว่าไม่คุ้มเท่าไหร่
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ปกติมึงก็บ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง
Chayin says… สัด
แค่เจอไอ้ 0832/676 ก็จะบ้าตายอยู่ละ อย่าให้ต้องบากหน้าไปเจอหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้เลย ผมเป็นฟรีแลนซ์ เหงาก็จริงแต่ถ้าต้องเจอคนแบบนี้กูยอมโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตดีกว่า
Chayin says… หาข้ออ้างให้หน่อยสิ ไม่เอาแกล้งป่วยนะ
Chayin says… เดี๋ยวมันกระแดะพากูไปหาหมออีก
0 8 3 2 / 6 7 6 say… งั้นแกล้งตายมั้ย หน้ามึงก็ใกล้เคียงกับศพอยู่
Chayin says… ห่า ช่วยได้เยอะมากครับ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ดีๆ
Chayin says… กูประชด!
0 8 3 2 / 6 7 6 say… บอกติดธุระสิ
Chayin says… แต่ก่อนหน้าดันพลั้งปากบอกไปว่าว่างอ่ะดิ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… โง่ ถ้างั้นก็จำเป็นต้องไปแล้วว่ะ
คำว่าโง่ พูดเบาๆ ก็เจ็บ
สุดท้ายผมก็ไม่ได้รับคำตอบที่ช่วยแก้ปัญหาแม้แต่นิดเดียว เราออฟไลน์กันไป ทิ้งความกังวลมากมายไว้ในหัว ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับความจริง ยังไงพรุ่งนี้ผมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงการพบเจอของคนคนหนึ่งได้อยู่ดี
ดังนั้นคืนนี้ ผมจึงนั่งหาวิธีรับมือกับอีกฝ่าย มันยิ่งใหญ่ถึงขนาดต้องเอากระดาษมากางแล้วเขียนโครงการการรับมือกับนักเขียนในคราบนักฆ่าแบบเป็นจริงเป็นจัง
เช้าวันใหม่มาเยือน เสียงเคาะประตูดังขึ้นในช่วงเวลาสิบโมงนิดๆ ผมเปิดประตูออกไป เห็นใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มเป็นการทักทายอยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยคำทักทายกวนบาทาที่ทำเอาปากกระตุกไปพร้อมกับตีนเหมือนทุกที
“หวัดดีชัยชนะ” นั่นชื่อพ่อกู
“เรียกชยินเหมือนเดิมเถอะ ไม่ต้องบอกความหมายหรอก” สงสารพ่อกูเถอะ
“โอเค แล้วคุณแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว คุณจะไปเลยมั้ยล่ะ” ผมถามความเห็น มองร่างสูงตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่ได้สวมหมวกใบเดิม แต่เปลี่ยนเป็นหมวกแก๊ปสีขาวยี่ห้อ A.P.C กับเสื้อลายสก็อตสีแดงดำซึ่งมันเข้ากับเจ้าตัวมาก
“ไปสิ ผมล้างท้องเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลย” สัญญาณอันตรายถูกส่งผ่านคำพูด ผมแอบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ประเมินเศษแบงค์ร้อยที่พับซ้อนจากสายตาด้วยความหวาดหวั่น
หวังว่าคงจะไม่เกินงบหรอกนะ
เรามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดูจากสไตล์และการตกแต่งแล้วก็พอจะเดาออกว่าราคาคงไม่สบายกระเป๋าแน่
ผมถูกพนักงานชักชวนให้มานั่งโต๊ะด้านในสุด ไอ้ศตวรรษเดินตามมาเงียบๆ และไม่นานสมุดเมนูก็ถูกวางลงบนโต๊ะทั้งสองเล่ม
“อยากกินอะไรเชิญตามสบายเลยนะ” มันพามา แต่กูจ่าย ด้วยความป๋าเลยจำต้องพูดประโยคเท่ๆ นี้ออกมา โดยไม่ได้ก้มมองเลยว่าแต่ละเมนูนั้น...
เหยดเขร้! แพงกว่าค่าข้าวที่กูแดกในหนึ่งสัปดาห์ซะอีก
จู่ๆ น้ำตาก็คลออยู่ตรงเบ้า ต้องพยายามกะพริบตาถี่ไว้เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาต่อหน้าอีกฝ่าย เมนูที่ถูกสุดในร้านนี้เห็นจะเป็นแค่น้ำเปล่าแล้วมั้ง เป็นไปได้ก็อยากแดกแค่น้ำอย่างเดียวแล้วกลับเลย
“คุณเป็นคนจ่ายก็สั่งก่อนเถอะ” เสียงทุ้มตอบกลับ
“ผมไม่ถือเรื่องนี้”
“ได้ไง หรือจะให้ผมช่วยสั่งให้”
“อืม”
“ไม่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย จะได้เว้น”
“ผมไม่ชอบกินอะไรที่ต้องแทะหรือแกะ”
“งั้นผมขอไก่ทอดเซตใหญ่หนึ่งเซตครับ”
นี่มึงได้ฟังกูบ้างมั้ยเนี่ยศตวรรษ! ไอ้เหี้ย! รู้สึกโมโหจนรูจมูกแทบกระพือ พนักงานที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วบันทึกรายการอาหารที่เพิ่งสั่งไป ส่วนไอ้คนสารเลวตรงหน้าก็ยังคงเปิดดูเมนูอย่างสบายอารมณ์
ก็กูบอกไม่ชอบอาหารที่ต้องแทะ นี่มึงสั่งไก่มาให้ คิดว่ามันสามารถดูดเข้าปากได้ง่ายๆ เหรอ
“คุณชอบกุ้งมั้ย” ยัง...ยังจะถามอีก
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบอะไรที่ต้องแกะ”
“งั้นผมขอกุ้งอบวุ้นเส้นอีกหนึ่ง”
น้ำตาไหลชโลมในหัวใจไม่มีหยุด ช่วยกดพอสชีวิตของชยินไว้ตรงนี้ได้มั้ย เหี้ยเกินกว่าจะพูดคำใดๆ ออกไปแล้วนอกจากนั่งนิ่ง ประคองมือตัวเองไม่ให้สั่นไปมากกว่าเก่า
หลังจากนั้นไอ้คุณยุคก็เป็นหัวเรือใหญ่จัดการสั่งอาหารมาอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งต้องบอกเลยว่าทุกเมนูนั้นล้วนต้องแทะ แคะ และแกะก่อนแดกทั้งหมด
“คุณสั่งบ้างสิ” แหม มีหน้าเงยมาถามความเห็นนะ ที่พูดไปก่อนหน้าไม่เห็นจะฟังกันเลย
“แค่ที่สั่งไปก็พอแล้วมั้ง”
“เลือกที่คุณชอบ”
ตังค์กูจะไม่พอไง ดูราคาแต่ละเมนูสิ ไข่เจียว 220 บาท นี่พ่อครัวแม่งถือกระทะขึ้นไปเจียวบนยอดหอไอเฟลเหรอถึงได้แพงขนาดนี้ ที่ถูกสุดเห็นจะเป็นเซตนี้แหละ หน้าสุดท้ายของสมุดเมนูอาหาร
“ขอเซตนี้ได้มั้ยครับ”
“เมนูนี้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่าแปดปีค่ะ”
“ผมเพิ่งอายุแปดขวบเลย ใช่มั้ยครับพ่อ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาน่าสงสารสุดชีวิต ด้านได้อายอดสุดๆ แล้วจุดนี้
ไอ้ศตวรรษหรี่ตามองผมแน่นอนนิ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังระดับหนึ่ง
“เขาอายุแปดปีจริงๆ ครับ อายุสมองน่ะ”
โฮร่ลลลลลลลลล ต่อไปกูจะไม่ออกไปที่ไหนกับมึงแล้ว กูเจ็บปวด
“ผมไม่สั่งแล้ว!”
“งั้นผมขอที่สั่งไปก่อนแล้วกันครับ” มือหนาปิดสมุดรายการอาหารแล้วส่งต่อให้พนักงาน ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมราวกับผู้ชนะ
“คุณเกลียดอะไรผมหรือเปล่า” นาทีนี้อะไรที่อัดอั้นอยู่ในใจก็ไม่อยากเก็บเอาไว้ หลายครั้งหลายคราที่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายโจมตีอยู่ ขืนไม่พูดออกไปก็มีแต่จะแย่กว่าเดิม
“เปล่า ผมจะเกลียดคุณทำไม”
“การกระทำของคุณมันฟ้อง ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอ”
“ก็ไม่ทำอะไร แค่น่าแกล้ง อยากแกล้งอ่ะเข้าใจมั้ย”
“ผมเป็นเพื่อนเล่นคุณเหรอ”
“ไม่ใช่”
“เป็นคนที่รู้จักกันมานานมั้ย”
“ก็ไม่”
“แล้วแกล้งผมทำไม”
“ก็อยากแกล้งอ่ะ” โว้ยยยยยยยยย ครั้งหน้าอย่าหวังว่าจะได้เจอกันอีกเลย
ผมพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ ไม่พูด ไม่ต่อปากต่อคำ แม้แต่หน้าก็ไม่คิดจะมองนอกจากหยิบมือถือขึ้นมากดๆ เลื่อนๆ แก้เซ็งเพื่อหนีสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า
“เลื่อนจนหน้าจอจะแตกแล้วคุณ เงยหน้าขึ้นมาคุยกันหน่อยสิ” ไอ้ศตวรรษพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แถมไม่มีท่าทีกวนประสาทเหมือนก่อนหน้าแล้วด้วย
“คุยกับคุณผมกลัวว่าสุดท้ายจะเผลอชกหน้าเข้าให้”
“ดุว่ะ”
“ผมดุได้กว่านี้อีก”
“เหมือนหมาเลย”
สารเลว...
ไม่เล่นแล้วมือถือ การเผชิญหน้านี่แหละดีที่สุด วัดกันไปเลยว่าใครแพ้หรือชนะ แม้ผลมันจะออกมาอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ก็ตาม
“จะเอายังไง”
“ก็ไม่ยังไง คุยกันหน่อยสิคุณ ออกมาเจอกันทั้งทีเผื่อจะสนิทกันมากขึ้น” หึ! ใครมันจะไปอยากสนิทกับคนแบบนี้วะ แต่เพราะเกรงใจหรอกเลยต้องตอบกลับแบบผู้ดี
“ต่อไปเราคงไม่ค่อยได้เจอกันมั้ง เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับผมคุณก็รู้ไปหมดแล้ว”
“คงงั้น คุณเป็นคนที่ดูไม่ค่อยลึกซะด้วยสิ คิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น” เหมือนจะรู้ว่าผมหลอกด่ามันในใจไม่หยุดเลยแฮะ แล้วก็ถูกจริงๆ ถึงแม้ว่าปากจะพูดเพราะ แต่สีหน้าของผมกลับไม่เป็นไปตามที่ปากพูดเลย
“คุณก็เหมือนกัน หน้ากวนยังไง นิสัยก็อย่างนั้น”
“ผมจะถือว่าเป็นคำชมนะ” กูด่าอยู่สัดเอ๊ย
เครื่องดื่มถูกเสิร์ฟเป็นอันดับแรก ผมหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาจิบดับกระหาย สายตาก็มองตรงไปยังคนตรงข้ามไม่มีหลบ เพราะเจ้าตัวก็จ้องผมกลับเหมือนกัน คล้ายกับว่าเรากำลังแข่งขัน ใครหลบตาก่อนแพ้!
ไม่มีคำพูดใด ไม่มีสัญญาณเป่านกหวีด ผมแค่จ้องและกลืนน้ำเปล่าลงคออย่างไม่ลดละ
“ตาจะถลนแล้วคุณ มองอะไรขนาดนั้น”
“คุณหลบตาก่อน ผมชนะ”
“หลบอะไร ใครเล่นกับคุณ”
“อย่ามาเนียน แพ้ก็ช่วยยอมรับความจริงหน่อยสิ” คนตัวสูงส่ายหัวไปมา
“โอเค ช่วงบนผมอาจจะแพ้ แต่ช่วงล่างผมชนะแน่นอน”
“โคตรเหี้ย”
ทำไมคุยด้วยกันทีไรเรื่องมันถึงได้วกกลับมาที่ประเด็น 18+ ตลอดเลยวะ ถ้าไม่บอกว่าเป็นนักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนผมคิดว่ามันเขียนน่าจะเขียนหนังสือโป๊วางขายที่ตลาดใต้ดินมากกว่า
ของทานเล่นถูกเสิร์ฟในลำดับถัดมา นอกจากเสียงพูดคุยกันแล้ว ยังมีเสียงช้อนและส้อมแทรกเข้ามาเป็นระยะอีกด้วย โดยผมเป็นคนตักก่อน จากนั้นคนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเอื้อมมือมาตักตาม นั่นเลยทำให้ผมเป็นร่องรอยบางอย่างที่โผล่พ้นเสื้อลายสก็อตออกมา
เป็นลายสักสีดำบริเวณข้อมือด้านใน
“คุณสักด้วยเหรอ” ไม่รู้ว่าเป็นการละลาบละล้วงมั้ย แต่จากจุดที่โดนมนุษย์บาปนี่หลอกด่าไม่หยุด ผมก็นับว่าคำถามนี้ดูธรรมดาไปเลย
“ใช่”
“เลขหนึ่ง?”
“มันยังไม่เสร็จ”
“ความหมายของมันคืออะไร คุณอยากเป็นอันดับหนึ่งในใจใครบางคนเหรอ หรือว่า...เป็นอันดับหนึ่งในวงการนักเขียน”
“ผมจะได้อะไรจากการบอกคุณครับ” ไอ้ศตวรรษเลือกใช้คำถามเดียวกับที่ผมเคยพูดเมื่อตอนเจอกันครั้งแรก แน่นอนว่าน้ำเสียงครั้งนี้ดูกวนบาทากว่าหลายเท่านัก
“ก็ได้กินข้าวที่ผมเลี้ยงไง”
“ไม่คุ้มค่า ให้ยื่นข้อเสนอใหม่”
“งั้นผมก็ไม่อยากรู้แล้ว”
“โธ่ ไม่ป๋าเลย” จากนั้นมันก็จับส้อมจิ้มของแดกใส่ปากอย่างเพลิดเพลิน ไม่พูดถึงสิ่งที่ผมถามไปก่อนหน้าแม้แต่น้อย สัด! ค้างคาเลยกู
“ความจริงสมัยเรียนผมก็มีความคิดจะสักนะ แต่กลัวเจ็บเลยไม่เอาดีกว่า” อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าอยากสักลายอะไรลงไปบนร่างกาย เกิดวันหนึ่งเผลอเกลียดมันขึ้นมา ก็ต้องลำบากนั่งลบรอยเก่าอีก
“แล้วทำไมถึงอยากสัก” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“เท่มั้ง คุณล่ะสักทำไม”
“ไม่บอก”
“โว๊ะ! อยากรู้จักกันให้มากขึ้นแต่คุณกลับไม่ตอบคำถามอะไรเลย คิดจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวหรือไง” นี่นัดกินข้าวหรือมาทำสงครามกันแน่ เริ่มเหนื่อยแล้วนะเว้ย
“โอเคงั้นให้ถามใหม่ อยากถามอะไรจะตอบให้หมด แต่ต้องแลกกับการที่ผมถามคุณกลับบ้างนะ”
“เค้~” ไม่เคยมีปัญหาอยู่แล้ว “งั้นถามเลยแล้วกัน ทำไมคุณถึงชอบใส่หมวก หัวเถิกเหรอ”
พูดไม่ทันขาดคำ มือหนาก็จับปีกหมวกและถอดมันออกมาอย่างง่ายดาย เขาสางผมที่ถูกทับอยู่นานไปมาก่อนจะเลิกคิ้วสูงคล้ายกับถามกลับว่าพอใจหรือยัง ซึ่งแน่นอนว่าผมพอใจ หัวไม่ได้เถิก แถมเวลาถอดหมวกออกแล้วยิ่งดูดีกว่าเก่าอีก โลกนี้ไม่ยุติธรรมจริงๆ เลยว่ะ
“ที่ใส่หมวกก็เพื่อหลบสายตาจากคนรอบตัว ผมชอบสันโดษ แต่บางครั้งเวลาเบื่อมากๆ ก็จำเป็นต้องออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ การใส่หมวกช่วยให้ผมไม่เป็นจุดสนใจมากนัก”
“ผมว่าทำแบบนี้คุณยิ่งเด่นมากกว่าเดิมอีก”
“เขาจะมองผมแป๊บเดียวแล้วก็ไม่สนใจอีกเลย แต่ถ้าผมไม่ยอมใส่หมวกหรือแมสค์เขาจะมองตลอดจนไม่มีสมาธิ”
“ทำไมเขาต้องทำขนาดนั้น”
“เพราะผมหล่อ” อ้วกกกกกกกกก ขอกระโถนให้พี่หน่อยซิ
“ผมไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบคุณเลย”
“ว้ายยยยยยย หล่อไม่เท่าก็เงี้ยะ”
โหยกูจะถลาเข้าไปกระทืบให้ไส้ติ่งแตก ไอ้เวร
แล้วดูสิ พูดกันได้สามสี่ประโยคหาเรื่องมาให้ทะเลาะอีกแล้ว ไฟที่กำลังมอดคุกรุ่นเป็นเท่าตัว ถ้าไม่ได้อาหารที่ทยอยเข้ามาเสิร์ฟล่ะก็เราคงเถียงกันหนักกว่านี้
“หล่อแต่กวนตีนแบบคุณก็ไม่ไหว”
“เดี๋ยวอีกหน่อยคุณก็ชิน”“เหอะ!”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ