ตอนที่ 5
ความจริงเป็นสิ่งวุ่นวาย
ผมถือสายค้าง มัวแต่อึ้งกับประโยคก่อนหน้าอยู่นาน...
ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่ไอ้ยุคหลอกผมคืออะไร ดูยังไงก็ไม่น่ามีเหตุผลที่เป็นไปได้ จะบอกว่าอยากมีเพื่อนแก้เหงาที่ผ่านมาแม่งก็อยู่ได้นี่หว่า
ถ้าอยากแชร์หนังสือทำไมต้องลงทุนซื้อมาให้เยอะขนาดนี้ หรือหากจะบอกว่าอยากหาคนหารค่าข้าวสุดท้ายมันก็เป็นคนจ่ายในตอนสุดท้ายอยู่ดี มีเหตุผลอะไรที่ต้องดึงคนหน้าตาดีแถมสุดจะเพอร์เฟ็กต์คนนี้เข้าไปในชีวิตด้วย
เบื่อครับ เบื่อความหล่อของตัวเอง
[ชยิน ตายยัง] กว่าจะได้สติก็ตอนที่เสียงเข้มจากปลายทางส่งมาให้เนี่ยแหละ
“ตายบ้านมึงสิ”
[ก็เห็นเงียบไปนาน สรุปตอนนี้คัลลิสโตจีบมึงอยู่เหรอ]
“จีบห่าไร ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
[ก็ฟังจากที่มึงเล่ามันดูชอบวอแวมึงฉิบหาย เชื่อเถอะอีกไม่นานมึงติดเบ็ดชัวร์ๆ]
“คิดเองเออเองเก่งนะมึง” ผมเถียงกลับไปเสียงสั่น รู้สึกกลัวอะไรบางอย่างขึ้นมาครามครัน
[กูจะบอกอะไรให้นะ ในวงการนักเขียนใครก็รู้จักมัน แล้วรู้อะไรมั้ย คัลลิสโตไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนไหนหรือบอกว่าคบหากับใครมาก่อนเลย มึงว่ามันแปลกมั้ย]
ไอ้ท็อปทำงานในวงการหนังสือ เพราะฉะนั้นมันจึงค่อนข้างกว้างขวางในเรื่องคอนเนคชั่นรวมถึงรู้จักนิสัยใจคอของนักเขียนบ้าง แน่นอนว่าไอ้ยุคคือหนึ่งในนั้น แถมนับวันก็ดูจะสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“มันเป็นคนสันโดษ จะป่าวประกาศให้คนอื่นเสือกทำไม”
[มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว ที่มันไม่บอกใครเพราะกำลังปกปิดตัวตนที่ชอบผู้ชายต่างหาก]
“ฮะ!” ประโยคนี้แหกอกกูรุนแรงมาก
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเริ่มประเดประดังเข้ามาไม่หยุด ตลอดหลายวันที่มีโอกาสได้เจอกับอีกฝ่ายผมก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง พฤติกรรมบางอย่างของไอ้ยุคค่อนข้างแปลก และคำพูดคำจาของมันก็ค่อนข้างส่อแววว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เหยดเข้! อย่ายุ่งกับกู กูอยากมีเมีย
“อะ...ไอ้ท็อป” ถึงกับเสียงสั่นเลยครับ ต้องรวบรวมสติอยู่พักหนึ่งก่อนจะกรอกเสียงพูดต่อ “แค่นี้ก่อนนะมึง พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปั่นผ้าทิ้งไว้”
[เออๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอก ส่วนนิตยสารก็รอรับได้เลย อีกสองสามวันคงถึง]
“ขอบใจมาก”
หลังวางสายจากไอ้ท็อป ผมรีบอันล็อกความเครียดด้วยการนั่งจกมาม่าดิบกินอยู่ตรงโซฟา พลันนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาครามครัน
ไม่รู้ตอนนี้มันตื่นหรือยัง เชี่ยนี่ยิ่งขี้เซาอยู่ด้วย แต่เพราะความสงสัยที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้นไม่สามารถทำให้ผมนั่งนิ่งนอนใจได้ จึงต้องรีบกดโทรศัพท์ต่อสายหาเพื่อนรักที่พำนักในไทยอีกนับเดือน ซูปเปอร์เนิร์ดของห้อง...เมพเบิร์ด
[มีไร] เสียงตอบกลับดูงัวเงียเต็มแก่ บ่ายโมงกว่าแล้วไม่น่าเชื่อว่ามันจะยังทำตัวเหี่ยวอยู่บนเตียงอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“เกือบบ่ายสองละ นอนกินบ้านกินเมืองจังวะ” ผมพูดค่อนแขวะออกไป ซึ่งก็ได้รับการตอกกลับอย่างเจ็บแสบเช่นกัน
[ทีมึงตื่นหกโมงเย็นกูยังไม่เคยว่าเลย]
“กูนอนเช้าเหอะ”
[ส่วนกูก็เมา] ได้ข่าวว่าตั้งแต่มันไปเรียนอเมริกาก็เริ่มติดดื่ม ติดปาร์ตี้ หลังๆ คิดว่าน่าจะหนักกว่าผมไปไกลโข
“แฮงก์เหรอมึง”
[จะเหลือเหรอ เมื่อคืนกลับตีสามอ่ะ]
“งั้นรีบลุกขึ้นมาตอบคำถามกูก่อนเดี๋ยวค่อยแฮงก์ต่อ”
[ประสาท เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกเนี่ย เหงาเหรอ] ปลายสายตอบอย่างแดกดัน ถ้าไม่ติดคบกันมานาน แถมสมัยเรียนให้ลอกการบ้านส่งครูตลอดกูจะตัดเพื่อนจริงๆ ด้วย
“กูเปล่า แค่อยากหาไอเดียเขียนเพลง”
[อ่าๆ ว่ามากูจะได้นอนต่อ]
“สมัยมึงเรียนยู พอจะมีเพื่อนที่เป็น...เกย์มั้ย” ไม่รู้ทำไมคำนี้มันถึงพูดยากลำบากนัก เพราะกำลังกลัวหรือเปล่าว่าถ้าไอ้ยุคเป็นเกย์จริงๆ ผมจะสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายให้มันล่อมาเชือด
แล้วยิ่งเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวนพ่วงฆาตกรรมเอาไว้ด้วย ไม่รู้ว่าวันไหนจะโดนหลอกไปฆ่าหมกห้องโดยไม่รู้ตัว
[เพียบเลยว่ะ ถามทำไม]
“แล้วคนเป็นเกย์นี่มักมีพฤติกรรมแบบไหนวะ”
[ก็ชอบผู้ชายด้วยกันไง มึงโง่เหรอชยิน ถามอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้วะ]
“เอารายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นสิ”
[มันก็แล้วแต่คนไป บางคนก็ไม่ได้มีพฤติกรรมแตกต่างจากคนที่ชอบผู้หญิงเลย เรื่องนี้...มันอธิบายยากจริงๆ ว่ะ] หมดสิ้นแล้วหนทาง คำตอบไม่ได้ช่วยขยายความเข้าใจให้ผมเลยสักนิด
“แล้วถ้าสมมตินะ อันนี้กูสมมติจริงๆ วันนึงมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตมึง ชวนมึงออกไปกินข้าว ดื่มกาแฟ เอาหนังสือมาให้ที่ห้องทุกวัน พูดจาสองแง่สามง่าม แบบนี้เข้าข่ายเกย์มั้ยวะ”
[นี่เรื่องของมึงหรือของใคร กูว่าไม่ใช่เรื่องสมมติละ] ฉลาดฉิบหายยยยยยยย
ไอ้เบิร์ดกำลังทำให้ผมจนมุม แต่เพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงความกังวลใจของตัวเอง จึงทำได้แค่โบ้ยเรื่องทั้งหมดไปให้คนอื่น
“เพื่อน” ตอบออกเสียงเข้ม เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังโกหกอยู่
[มึงไม่มีเพื่อนสนิทที่จะเล่าเรื่องเหี้ยๆ ขนาดนั้นให้กันฟัง เพื่อนมหา’ลัยก็เทมึง สรุปมึงมีแค่กู] นอกจากเรียกเก่งแล้ว เรื่องเสือกและจับผิดชาวบ้านนี่ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน
“เชี่ยโอไง อ้ออีก ไอ้ชลก็ด้วย”
[ไม่ พวกมันไม่มีทางปรึกษามึง ไม่งั้นแม่งจะเหงามาเป็นปีขนาดนี้เหรอ บอกมาว่าใครที่ทำแบบนี้กับมึง]
“ไอ้เบิร์ดแค่นี้ก่อนนะ พอดียุ่งว่ะ” ผมทำท่าจะวางสาย แต่แล้วเสียงเข้มก็ดังแทรกเข้ามาจนขี้หูแทบเต้นระบำ
[ห้ามวาง! มึงยอมรับแล้วสินะว่ามีคนมาติดพันมึง]
“กูไม่ได้พูดสักคำ”
[ขอโทษนะไอ้ชยิน มึงยอมรับตั้งแต่พยายามกดวางสายกูละ ให้กูเจอเขา]
“ไม่”
[จะได้วิเคราะห์ให้ไงว่าคนคนนี้เป็นเกย์จริงมั้ย ไม่อยากรู้เหรอ] แพ้ทันทีเลยกู เอาเรื่องนี้เข้ามาล่อมีเหรอชยินจะปฏิเสธได้
ผมไม่ชอบให้เรื่องอะไรติดค้างอยู่ในหัวนานๆ สงสัยก็ต้องหาคำตอบให้ได้ เหมือนที่พยายามสืบเรื่องของไอ้ 0832/676 อยู่ทุกวี่วันแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยเนี่ยแหละ ดังนั้นปวดหัวเรื่องเดียวก็มากพอแล้ว อย่าให้ผมต้องค้างคากับเรื่องอะไรอีกเลย
“เออๆ ไว้วันไหนว่างจะให้มาเจอแล้วกัน” แค่ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ ขอเวลาทำใจก่อน
[แต่วันนี้กูไปหามึงที่ห้องนะ พอดีว่างมาก]
“งั้นรีบอาบน้ำล้างหน้า กูจะพาไปเลี้ยงกาแฟดำ”
[โถะ! โทษนะเพื่อน หน้าอย่างมึงตอนนี้มีเงินด้วยเหรอ]
“สัดนี่”
[ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวโทรหา ขอนอนต่ออีกสิบห้านาทีแล้วกัน]
ไม่ปล่อยให้พูดอะไรเพิ่มเติมเพื่อนรักก็รีบตัดสายฉับพลัน ทิ้งให้ผมก่นด่าในใจพร้อมบดมาม่าในมือจนเละ
สองชั่วโมงให้หลังเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ดูเหมือนไอ้เบิร์ดจะกระตือรือร้นกับการมาที่ห้องของผมค่อนข้างมาก ทั้งที่ปกติเรียกให้มาทีไรก็มักจะอ้างโน่นอ้างนี่ตลอด
“ทีแบบนี้มาล่ะเสนอหน้ามาได้” ผมแซะมันกรายๆ
“ถ้าเรื่องงานกูไม่ค่อยว่าง แต่ถ้าคุยเรื่องชาวบ้านกูพร้อมเสมอ” โคตรเหี้ยเลย แถมมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วบ่นออกมาราวกับเป็นแม่ ถามว่าทำความสะอาดห้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่บ้างล่ะ จนขนาดไม่มีน้ำอัดลมในตู้ให้กินบ้างล่ะ แทะผนังห้องแทนข้าวบ้างล่ะ
แหม...พ่อคนรวย วันไหนไม่มีงานอย่างกูมึงจะเข้าใจ
พอรื้อค้นหาอะไรกินไม่ได้นอกจากน้ำเปล่าและมาม่าแห้งแล้ว เราก็เปิดหนังดูกันไปเพลินๆ แม้จุดสนใจในตอนนี้จะไม่ใช่จอโทรทัศน์ตรงหน้าก็ตาม
“โปรแกรมกูเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย ฟังก์ชั่นโอเคหรือเปล่า กูใส่โค้ดเสริมเข้าไปให้มันสามารถแทรกเพลงลงไประหว่างเล่นได้ด้วย”
“เหรอ ไม่ยักรู้ เดี๋ยวจะลองไปเล่นดู แต่ตัวโปรแกรมไม่มีปัญหานะ” คนข้างๆ พยักหน้าเหมือนพอใจกับผลงานของตัวเองพอสมควร
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครวะ ใช่ 0832/676 มั้ย” นั่นไง มันเริ่มประเด็นจนได้
“ใช่ที่ไหนล่ะ เก่งจังนะเรื่องคาดเดาเรื่องชาวบ้านเนี่ย”
“มึงไม่ใช่ชาวบ้าน มึงเป็นเพื่อนกู” โอ้โหซึ้ง...
แต่จุดประสงค์แม่งคือเสือกไง ตื้นตันใจได้แป๊บเดียวก็กลับมาหมั่นไส้ เพราะมองทะลุสันดานออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เลิกหัวหมอพูดเอาใจกูเถอะ ไอ้คนนั้นมันเป็นนักเขียน เจอกันตอนไปสัมภาษณ์งานกับไอ้ท็อป แต่มันไม่ได้จบไงเพราะหลังจากนั้นแม่งเล่นเสือกตามกูแจเลย”
“ไม่ดีเหรอ มึงจะได้ไม่เหงาไง”
“ถ้ามันอยู่เป็นเพื่อนก็ดีดิ แต่ถ้ามันเป็นเกย์...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากมองหน้าเพื่อนสนิทเพื่อเติมประโยคที่เหลือในใจ
“ชยิน มึงไม่ใช่คนแบบนี้” ประโยคเดียวที่ออกจากปากซูปเปอร์เนิร์ดของห้องทำเอาผมอึ้ง สายตามันเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและผิดหวังอยู่กรายๆ
“อะไรวะ กูทำอะไรผิด”
“ปกติมึงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่หว่า เวลาคบใครมึงเลือกคบเพราะนิสัย อย่างกูเนี่ยโคตรเนิร์ด ตัวมืดมนของห้อง หน้าตาก็แย่ ไม่เห็นมึงจะเอาภาพลักษณ์มาเป็นตัวตั้งในการคัดเลือกคนเลย”
“...”
“เพศสภาพบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีเหรอวะ” ทำเอากูดูเลวไปเลย
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่จะว่าไงดีวะ กูก็แค่อยากรู้ว่าไอ้คนนั้นมันเป็นยังไง จะได้ทำตัวถูกเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ตั้งใจดูถูกห่าอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ถ้าเขาชอบมึงนี่จะยอมรับได้มั้ย”
“คนอื่นอาจจะได้ แต่ถ้าให้คบกับมันกูขอครองตัวเป็นโสดจนถึงวัยชราภาพเลยเถอะ”
“มึงไม่ยอมรับความจริง”
“กูยอมรับความจริง แต่นิสัยกวนตีนของมันกูรับไม่ได้จริงๆ”
“เจอคนปราบพยศได้หน่อยแล้วดิ้นหนักเลยนะมึง”
“ดูปากกูนะ กู...ไม่...ได้...ดิ้น” ผมทำหน้าจริงจัง ไอ้เบิร์ดเลยพยักหน้าเข้าใจ นั่งจกมาม่าดิบแดกฆ่าเวลากันเพลินๆ กระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมสะดุ้งโหยง ขนแขนลุกชันโดยอัตโนมัติ
ไม่คิดไม่ฝัน...
“ใครมาวะ” ไอ้เนิร์ดเอ่ยถาม แต่สายตาเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าคนด้านนอกเป็นใคร
ที่มึงมาหากูถึงห้องนี่คือวางแผนมาแล้วใช่มั้ย เพื่อนสารเลว!
“มึงนั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ ไม่ต้องเสนอหน้าเดินตามกูมา” สั่งเอาไว้แบบนั้นพลางเดินไปยังประตู สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วผ่อนออกมา ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ
“หวัดดีคุณ”
และไม่ผิด ไอ้ศตวรรษยืนอยู่ตรงนี้กับเสื้อผ้าสีโทนเดิมๆ หมวกใบใหม่ที่ไม่เคยใส่ซ้ำ รองเท้าแตะอดิดาสคู่คุ้นตา และหนังสือของมูราคามิฉบับภาษาอังกฤษหนึ่งเล่มที่ถือติดมือมาด้วย
“จะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน ผม...ผมจะได้เตรียมตัว”
“เตรียมทำไม ต่อไปคุณจะเดินแก้ผ้ามาเปิดให้เหรอ” สมองก็คิดแต่เรื่องแบบนี้อ่ะ จังไรไม่มีที่สิ้นสุด
“รำคาญ เอาหนังสือมาให้ใช่มั้ย ขอบคุณครับ” ผมรีบยื่นมือไปคว้าหนังสือจากมือหนา กะว่ารับแล้วอีกฝ่ายจะได้รีบกลับไปเหมือนทุกๆ วัน แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“ใครมาเหรอชยินนนนนนนนน”
ตายโหง! ไอ้เพื่อนเหี้ยเริ่มก่อเรื่องแล้ว ไม่พอมันยังสลอนหน้าออกมาทักทายไอ้ยุคถึงหน้าห้องด้วย กูล่ะเกลียดใบหน้ายิ้มแย้มแสนตอแหลของมันเต็มแก่
บอกสิว่ามึงเก่งแต่เรื่องเรียน ที่เปลี่ยนไปนี่คือติดนิสัยมาจากเพื่อนมหา’ลัยเหรอ
“เพื่อนมาเหรอคุณ” ร่างสูงถามอย่างสงสัย
“สวัสดีครับ ผมชื่อเบิร์ด เป็นเพื่อนสนิทชยิน”
“ผมชื่อยุค ไม่คิดว่าชยินจะมีเพื่อน”
“ใช่มั้ย ปกติก็ไม่มีใครเอามันหรอกนอกจากผม เข้ามาข้างในก่อนมั้ยครับ แต่รกหน่อยนะ ไอ้นี่มันสกปรกที่สุดในรุ่นแล้ว” เวรเอ๊ย วางอำนาจเป็นเจ้าของห้องไม่พอยังมีหน้าเชื้อเชิญคนนอกเข้ามาอีก
“ไม่เป็นไร ผมรับได้”
“ง่อวววววววววว damn good”
สัดเบิร์ด...
“แล้วปกติมาหาชยินบ่อยๆ เหรอครับ เป็นเพื่อนกันหรือว่ายังไง” ไอ้เบิร์ดเริ่มต้นคำถามพลางดันตัวไอ้ยุคให้เดินไปนั่งตรงโซฟา ด้านหน้ามีซากมาม่าแห้งวางแบอย่างหมดสภาพอยู่
“ไม่เชิงเพื่อนหรอก ผมเป็นเจ้ากรรมนายเวรมากกว่า”
“ฮ่าๆ ดีเลย ว่าแต่วันนี้คุณว่างมั้ย ผมกับไอ้ชยินจะชวนกันไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล มีคุณไปด้วยคงจะดี”
มึงว่าไงนะ กูไปตกลงกับมึงตอนไหนไม่ทราบ!
ผมพยายามกระตุกมือไอ้เบิร์ดอยู่หลายครั้งให้มันหุบปาก แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งไป งานก็ไม่มี เงินก็หมด ยังมีหน้าสร้างภาระด้วยการชวนคนแปลกหน้าไปกินบุฟเฟ่ต์อีก นี่มันวันซวยอะไรของผมวะเนี่ย
“ชยินไม่ชอบอะไรที่ต้องแกะไม่ใช่เหรอ คุณสองคนไปกินอาหารทะเลกันจริงดิ”
“โอ้โห รู้กันถึงขนาดนี้ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยยยยยยย” จะลากเสียงยาวทำสันหอกอะไรวะ ผมทนไม่ได้เลยต้องเอ่ยปรามมันซะหน่อย
“หุบปากไปเลยมึงอ่ะ”
“ก็กูตื่นเต้นที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่อ่ะ คุณยุคที่นั่นไม่เชิงมีอาหารทะเลอย่างเดียวหรอก ยังมีหมูและเนื้อด้วย ยังไงก็ไปด้วยกันนะครับ”
“อืม วันนี้ก็ว่างพอดี ถ้าไม่รบกวนพวกคุณอ่ะนะ”
“ไม่เลยครับ ไอ้ชยินได้ยินแล้วก็ไปแต่งตัวเลยเพื่อน กูหิวมากจริงๆ” พูดจบ เชี่ยเบิร์ดก็ดันหลังผมเข้าไปในห้องนอน ตอนนี้แหละที่กูโมโหจนแทบจะชกหน้ามัน แต่เพราะเห็นเป็นเพื่อนจึงทำได้แค่ยื้อคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้จนยับยู่
“เล่นอะไรของมึงวะ”
“มึงใจเย็น ที่กูทำไปก็เพื่อมึงเลยนะ” ดูข้อแก้ตัวขุ่นๆ ของมันครับ คิดเหรอว่ากูจะเชื่อ
“เพื่อกูห่าไร มึงกำลังทำกูประสาทเสีย”
“มึงฟังกูก่อนนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบดึงมือผมออกจากคอเสื้อของมัน แล้วจัดการอธิบายต่อ “มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาชอบมึงหรือเพราะนิสัยจริงๆ เป็นแบบนี้ ถ้าอยากรู้มึงก็ควรทำตามที่กูบอก” สุดท้ายผมก็หลงกลกับคำแก้ตัวของไอ้เบิร์ดอีกจนได้
“เออๆ กูจะยอมมึงแค่วันเดียว สรุปกูต้องทำอะไรบ้าง”
“สังเกตและทดสอบ เช่น การกิน การจับช้อนและแก้วน้ำ รสนิยมส่วนตัว เดี๋ยวเราจะค่อยๆ ทดสอบกันไป มึงแค่ไหลไปตามน้ำ”
“โอเค”
“หลังจากแดกบุฟเฟ่ต์กูจะชวนเขาไปนั่งจิบเบียร์ด้วย”
“มึงจะบ้าเหรอ”
“อย่าโง่น่า แอลกอฮอล์ทำให้คนพูดความจริง มึงต้องเชื่อในตัวกูนะ” ก็จะไม่เชื่อเพราะเป็นมึงเนี่ยแหละ
ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับไป ได้แต่มองดูใบหน้ายิ้มแฉ่งของเพื่อนสายเนิร์ดอย่างคลางแคลงใจ จัดการหาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนให้เรียบร้อย เพราะไอ้เบิร์ดชวนไปนั่งจิบเบียร์ต่อเลยคาดการณ์ว่าคืนนี้คงอีกยาวไกล ฉะนั้นก่อนออกห้องจึงไม่ลืมล็อกอินเข้าไปที่โปรแกรมเดิมที่มักเข้าประจำ
ใน MSN มีหมาตัวหนึ่งรอคุยอยู่ทุกคืน หากแต่คืนนี้...
Chayin says… คืนนี้ไม่ได้อยู่คุยด้วย ทำตัวดีๆ นะหมีใหญ่
ทำได้เพียงทิ้งข้อความไว้เท่านั้น
ผมติดรถมากับไอ้เบิร์ด ส่วนไอ้ศตวรรษขับรถส่วนตัวตามมาไม่ห่าง ระหว่างทางเราก็พูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันไปด้วย
“มีอะไรของคุณยุคที่แตกต่างไปจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดมั้ย” คำถามของไอ้เบิร์ดทำให้ผมต้องใช้เวลาในการกรอกตาไปมา
“การแต่งตัวมั้ง แม่งไม่เคยใส่เสื้อผ้ามีสีสันเลย ปกติเห็นใส่แต่สีดำทึมๆ บางวันมาในธีมนักฆ่าเลยก็มี”
“นั่นไง!” ซูปเปอร์เนิร์ดตบพวงมาลัยฉาดใหญ่ “พวกที่ชอบปกปิดตัวเองจะยิ่งพยายามกลบเกลื่อนเกินพอดี จริงๆไอ้คุณยุคอาจจะชอบสีชมพูก็ได้”
“มันแดกนมสตรอเบอรี่”
“เข้าทาง! ของกินเท่านั้นที่บังคับกันไม่ได้”
เออจริง กูนี่หิวยำงูเห่าทันที…
“มึงต้องถามเหตุผลเขาแล้วล่ะ ทำไมถึงชอบใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นกูจะลองประมวลผลด้วยสมองอันชาญฉลาดของกูเอง” คือพูดกับกูไม่พอมึงยังมีเวลามาอวยตัวเองนะสัด รำคาญ
“เออๆ มีอะไรอีกมั้ย”
“การมานั่งกับคนไม่สนิทอย่างกูอาจทำให้เขาลำบากใจ มึงต้องชวนเขาคุยตลอดบรรยากาศจะได้ไม่กร่อย ทางที่ดีโทรตามไอ้ท็อปมากินเบียร์ด้วยกันก็ได้ จะได้เป็นการคลายความตึงเครียดให้เหยื่อไปในตัว”
ฟังดูเข้าท่า เพราะจากที่คุยกับไอ้ยุคมาเหมือนมันจะสนิทใจกับไอ้ท็อปพอสมควร
“งั้นเดี๋ยวกูโทรเอง มึงขับรถไป”
เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว กระทั่งมาถึงร้าน ไอ้เบิร์ดก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะมุมสุด ทิ้งตัวลงนั่ง พร้อมกับวางกระเป๋าเป้ของมันไว้ตรงเก้าอี้ด้านข้าง ส่งผลให้ผมกับไอ้ยุคต้องนั่งฝั่งเดียวกันไปโดยปริยาย
สิบห้านาทีหลังแยกย้ายกันไปตักอาหารทุกคนก็พร้อมประจำที่ ไอ้เบิร์ดเตะเท้าผมเป็นการให้สัญญาณก่อนเริ่มกิน
“อร่อยมั้ยคุณ” ก่อนอื่น ต้องสร้างความคุ้นเคยซะก่อน เพราะสังเกตมาสักพักว่าคนข้างๆ พูดน้อยกว่าปกติ บางทีอาจเป็นเพราะมีไอ้เบิร์ดอยู่ด้วยก็ได้
“ก็โอนะ” เสียงทุ้มตอบกลับ
เจ้าตัวคีบเนื้อย่างใส่ปาก ก่อนจะย่างส่วนหนึ่งที่สุกพอดีใส่จานของผมโดยไม่คิดมองหน้า
“ไม่เอาแบบนี้ ชอบแบบติดมัน”
“แค่นี้ตัวก็ตัวบวมตายห่าละคุณ กินอะไรติดมันเยอะแยะ” สัด! ด่าแรงจนหน้าสั่น ไอ้เบิร์ดนี่ถึงกับหลุดขำจนต้องยกมืออุดปากแทบไม่ทัน
“คุณยุคชอบสีดำเหรอครับ” เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไอ้เบิร์ดเลยเนียนถามเข้าประเด็น
คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมามอง หากแต่มือที่ถือตะเกียบก็พลิกเนื้อบนเตาไปด้วย
“ครับ เหมือนเป็นสีเดียวที่เข้ากับผม”
“แต่คุณดูดีมากนะ ใส่สีอะไรก็เหมาะ”
“ทำไมชอบใส่ชุดเหมือนนักฆ่า” ผมพูดเสริมทันที ไอ้คนข้างๆ เลยหันมามองแล้วตอบกลับอย่างเจ็บลึกตัดขั้วหัวใจ
“ชุดของผมมันติดอยู่ตรงง่ามขาคุณเหรอถึงใส่ไม่ได้”
“แค่สงสัยมั้ยล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“...”
“ถ้าผมเป็นนักฆ่าจริง ศพแรกที่ลอยอยู่ในน้ำคงเป็นคุณไปนานแล้ว”
เขร้!!
ไอ้เบิร์ดถึงกับสะดุ้งโหยง จนเผลอทำเนื้อที่คีบขึ้นมาหล่นแบะอยู่กลางโต๊ะ เราต่างกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก กระทั่งคนตัวสูงทำลายความเงียบลงอีกครั้ง
“ผมเป็นคนชอบอะไรก็จะชอบอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่กับมัน เปลี่ยนใจอะไรก็ยาก เพราะงั้นผมเลยชอบสีเดิมๆ เสื้อผ้าสไตล์เดิม หมวกทรงเดิม และคนเดิมๆ”
“ล้ำลึกคมคาย” เสียงเปรยจากคนตรงข้ามดังขึ้น
เมพเบิร์ดดูจะศรัทธาไอ้ยุคมากนะครับ ดูจากสายตาที่มันมองมา ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิทและมีเมียนอนรออยู่ที่อเมริกา ผมคิดว่ามันคงชอบไอ้ยุคไปแล้วแน่ๆ
“งั้นคุณก็ชอบนมสตรอเบอร์รี่อ่ะดิ” ผมถามอีก
“ผมไม่ได้ชอบ แค่วันนั้นที่เจอคุณทางร้านมีโปรโมชั่นเฉยๆ”
“เอ้าเหรอ”
เพราะงั้น...รสนิยมชอบกินนมสตรอเบอร์รี่ก็ถูกตัดออกไป
“คือวันนี้หลังจากกินบุฟเฟ่ต์เสร็จ ไอ้เบิร์ดจะชวนไปนั่งจิบเบียร์ คุณสนใจไปด้วยกันมั้ย” ต้องเข้าประเด็นก่อนเดี๋ยวจะลืมเอา
“ขอคิดดูก่อน”
“จริงๆ ก็ควรจะไปนะ เพราะถ้าคุณไม่ไป...”
“ทำไม”
“ถ้าไม่ไปผม...”
“จะทำอะไรครับ”
“จะโกรธ”
“กลัวตายเลย”
ก็มันไม่มีอะไรมาต่อรองแล้วนี่หว่า สัดเอ๊ย
“ไปเถอะ สนุกนะบอกเลย”
“ก็คงต้องตามคุณแล้วมั้ง ไม่อยากให้โกรธจนเหนื่อย”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ