❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79117 ครั้ง)

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
แงงง เขินเลยยยย น้องเจ้าพี่เกียร์ดีเว่ออออออ ติดตามนะคะะะะ  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
คิดถึงน้องเจ้าสุดๆๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ประกาศไปเลย น้องเจ้าของพี่เกียร์จ๊ะ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เขินนน
พี่เกียร์คะ น้องต้องการความชัดเจนนน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
พี่เกียร์อย่าลีลา ขอน้องเปนแฟนได้แล้ววววววว

ออฟไลน์ pollapat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หลงรักนิยายเรื่องนี้

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 13
เจ้าพระยาเป็นเด็กขี้หวง




   เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตัวการ์ตูนฮีโร่ที่มีแท่งเลือดอยู่ในระดับสีแดงขั้นต่ำสุดหรือเปล่าครับ

   สภาพผมหลังสอบเสร็จเป็นแบบนั้นเลยทุกคน สมองแล่นช้า ขาแทบก้าวไม่ออก สิ่งเดียวที่อยากทำคือ นอนจนลืมโลกไปเลย  เพราะในช่วงเวลาของการสอบกลางภาค ผมกับอีกหลายคนก็ใส่พลังความรู้ที่มีกันแบบเต็มพิกัด วิชาไหนไม่เข้าใจก็ซัดอ่านกันจนโต้รุ่ง จากที่เคยคิดว่าจะสบายๆเหมือนตอนสมัยมัธยมที่แค่ตั้งใจเรียนในห้อง ตอนสอบทบทวนอีกนิดหน่อยก็น่าจะพอ

   เหอะ!

   ใช้ไม่ได้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจริงๆครับ วิชาเคมีที่เป็นตัวพื้นฐานก็ได้สำแดงฤทธิ์เดชจนเป็นที่ประจักษ์ว่า ที่ตั้งใจอยู่มันไม่พอ ฮือออออออ อาจารย์ครับที่ออกมานี่ตรงไหนหรือครับ

   พอสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผมจำได้ว่ากลับบ้านแบบสติน้อยมากและก็หลับยาวจนน้องพาวิ่งโร่ไปบอกแม่ให้โทรตามรถพยาบาลเพราะปลุกผมไม่ตื่น ก็คนมันง่วงนี่ ตื่นมาอีกทีในเช้าตรู่วันอาทิตย์ ตื่นได้เพราะความหิวล้วนๆเลย หิวจนไส้จะขาด ระบบทางเดินอาหารขาดวัตถุดิบในการทำหน้าที่ของมันเกือบครบยี่สิบสี่ชั่วโมง แม่ผมนี่รีบจัดการอุ่นอาหารให้แทบไม่ทันแถมยังมายืนหัวเราะใส่สภาพผมอีก

   หลังสอบเสร็จก็ใช่ว่าจะได้หยุดพักยาว สัปดาห์ถัดมาก็ยังต้องกลับมาเรียนปกติรวมถึงผมที่ต้องกลับมาซ้อมหลีดในทุกๆเย็นเหมือนเดิมและดูเหมือนว่าจะซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะใกล้วันงานเข้าไปทุกทีแล้ว ฝ่ายอื่นก็เตรียมการกันขะมักเขม้นพร้อมที่จะขนไปแสดงความสามารถให้เหล่าว่าที่ผู้ร่วมวิชาชีพต่างสถาบันได้เห็น ซึ่งวันนี้ก็ซ้อมเข้าสู่ช่วงกลางสัปดาห์แล้ว เป็นปกติของทุกวันที่อินจะมานั่งรอ บางวันไอ้ภาคก็จะมาด้วย

   ส่วนใครบางคนที่ตั้งแต่ผมสอบเสร็จจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เจอหน้าเลยครับ ได้แต่คุยกันผ่านตัวหนังสือในไลน์เห็นว่าช่วงนี้พี่มันยุ่งมาก ไหนจะยื่นเรื่องฝึกงานตอนซัมเมอร์แล้วก็เรื่องงานที่บ้าน เท่าที่รู้มาบ้านพี่เกียร์เปิดบริษัทเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้าง ที่หากเอ่ยชื่อไปทุกคนก็คงจะต้องร้องอ๋อเป็นแน่แท้ เพราะชื่อบริษัทของบ้านพี่เกียร์แทบจะเด่นหลาอยู่ในทุกพื้นที่ของการก่อสร้างคอนโดหรืออาคารสำนักงานต่างๆที่ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดในป่าซีเมนต์แบบนี้ เห็นว่าตอนนี้กำลังตีตลาดไปแถวจังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือที่กำลังเจริญขึ้นแบบก้าวกระโดด และการฝึกงานช่วงปิดเทอมใหญ่ก็คงไม่พ้นที่จะฝึกงานที่บริษัทบ้านตัวเอง เห็นพี่มันบอกว่า พ่อให้ไปฝึกเป็นเด็กส่งของที่บริษัท  เออดี นี่สิเขาเรียกการไต่เต้าที่แท้จริง

   เรื่องส่วนตัวรวมไปถึงเรื่องครอบครัวผมรู้ได้จากการที่คนตัวสูงเลือกที่จะเล่าให้ผมฟัง ผมไม่เคยเอ่ยปากถามเองทั้งหมด อาจจะมีบ้างเรื่องมีพี่น้องไหม ปกติอยู่กับใคร อะไรทำนองนี้ พี่เกียร์ก็จะเล่าขยายความออกมาเอง ส่วนผมก็จะเล่าเรื่องตัวเองบ้างเหมือนได้แลกเปลี่ยนและทำความรู้จักโลกอีกใบของคนๆหนึ่งที่มีอิทธิพลกับหัวใจผมมากในตอนนี้

   RrrrrrrrRrrrrrrr

   - ภาคพิสดาร –

   “ฮัลโหล”

   “(ไอ้เจ้า อยู่ไหนวะ?)” เสียงเพื่อนตัวสูงถามมาตามสาย แต่ทำไมเสียงรอบข้างมันดังจัง

   “กำลังเดินเข้าคณะ มึงมีอะไร” ตอบออกไปในขณะที่เดินตามเส้นทางและมองเห็นป้ายคณะอยู่ไม่ไกล

   “(มึงเดินมาโรงอาหารคณะมึงเลย เนี่ยกูอยู่กับไอ้อิน)” คุณภาคภูมิเขาว่ามาแบบนั้น ผมก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปทางโรงอาหารของคณะ

   “เออๆ ใกล้ถึงละ”

   “(โอเค)”

   สัญญาณถูกตัดโดยคนปลายสาย พร้อมกับที่ตัวผมเดินถึงโรงอาหารของคณะเภสัชฯพอดี สอดส่ายสายตามองหาไม่นานก็เจอเพื่อนตัวสูงโบกมือให้อยู่ในตำแหน่งโต๊ะประจำ ผมจึงก้าวเดินไปยังทิศทางนั้น คือที่วันนี้ไม่ได้นัดกินข้าวเช้ากับอินเพราะผมกินข้าวเช้ากับที่บ้านมาแล้ว ไหนๆวันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้า พ่อกลับมาจากดูสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่ทั้งที

   “มึงมาคณะกูทำไมวะ?”

   “อ่าว ไอ้เจ้า ไม่คิดจะทักทายแต่เสือกถามคำถามหาเรื่องมาก” ไอ้ภาคที่นั่งอยู่ตรงข้ามอินมองผมด้วยหางตา เอ้า ก็ทักในโทรศัพท์ไปแล้วนี่หว่า แล้วคำถามผมมันหาเรื่องตรงไหนไม่ทราบ

   “งั้นเอาใหม่ สวัสดีครับคุณภาคภูมิ เช้านี้อากาศดีไหมครับ ไม่ทราบว่าลมอะไรหอบเดือนคณะวิศวะสุดหล่อมาจนถึงคณะเภสัชฯของกระผมได้ครับ” ว่าจบก็ฉีกยิ้มหวานเอามือเท้าคางให้มันไปที อยากได้แบบนี้ใช่ปะ

   “กวนตีน” ตอบซะสั้นเลย อุตส่าห์ถามมึงยาวๆเลยนะเนี่ย

   “ฮ่าๆ” เพื่อนตัวเล็กกว่าผมถึงกับหลุดหัวเราะ

   “แล้วสรุปว่าที่มานี่มีอะไร” วันนี้กูจะได้คำตอบจากมึงไหมภาค

   “หึ ไม่มี”

   “อ่าว”

   “แต่จริงๆก็มี”

   “เอ้า มึงนี่ สรุปมีหรือไม่มี...ไอ้อิน สรุปมันมีอะไร มันบอกมึงแล้วใช่ปะ” พอไม่ได้คำตอบจากเพื่อนจอมกวน ผมเลยจำเป็นต้องเบนเป้าหมายมาที่เพื่อนสนิทอีกคน

   “กูก็ไม่รู้ มันบอกรอมึงมาแล้วบอกทีเดียว” อินบอกพร้อมส่ายหัวเป็นการยืนยัน แล้วก็หันกลับไปกินข้าวผัดหมูตรงหน้าเหมือนเดิม เดี๋ยว แล้วคือมึงไม่อยากรู้หรือไงเนี่ย

   “งั้นมึงรีบบอกมา อย่ามาลีลา” หันไปชี้หน้าขู่ไอ้เพื่อนตัวดี

   “คือว่า...” เว้นช่วงทำแปะอะไรอีก

   “ว่า?”

   “คือว่าวันนี้ตอนพักอ่ะ กูจะชวนมึงสองคนไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะกู”

   “...”

   “...”

   “อ่าว เงียบทำไมกันวะ ไปมั้ย” ยังจะมีหน้ามาเร่งเอาคำตอบ

   “เดี๋ยวนะ เรื่องที่จะบอก มีแค่นี้?” ผมถามเสียงสูงเพื่อย้ำเอาคำตอบอีกครั้งให้แน่ใจ

   “ก็เออดิ แค่นี้แหละ ที่เล่นใหญ่ก็แค่จะแกล้งมึงอ่ะไอ้น้องเจ้า ฮ่าๆๆ”
 
   “ไอ้เหี้ยภาคคคคคคค” ผมตะโกนด่ามันระยะประชิดเลยครับ มันน่าสนุกตรงไหนถึงมาแกล้งกูเนี่ย

   “ฮ่าๆ” นี่ก็ขำไปกับเขาอีกนะไอ้อิน

   “แกล้งมึงสนุกสุดแล้วเจ้า ฮ่าๆ”

   “มึงแม่ง!” ผมยืดตัวขึ้นเชิดหน้ากอดอกใส่มัน บอกเลว่ากูงอน

   “โอ๋ๆ ไม่เอางอนนะมึง นั่นๆทำปากยื่น เดี๋ยวปากมึงห้อยหมดหล่อนะเว้ย”

   “เรื่องของกู” พูดใส่หน้ามันแล้วก็สะบัดหน้าหนี

   “โอ๋ๆ อย่างอนกู จริงๆเหตุผลไม่ได้มีแค่นี้”

   “กูไม่อยากรู้แล้ว รำคาญมึง”

   “ไอ้น้องเจ้า ฟังกูก่อน คือเที่ยงนี้ที่โรงอาหารกูมีเล่นดนตรีประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาของคณะ กูเลยมาชวนมึงกับไอ้อินไปดูไง”

   “คือพวกกูต้องไปหรอ แล้วเรื่องแค่นี้มึงบอกในไลน์ก็ได้ไหมวะ” ถ่อมาถึงคณะกูเพื่อบอกแค่เนี่ย

   “เออน่ะ กูอยากมาบอกเอง ไปนะเว้ย” เพื่อนตัวสูงเอ่ยคะยั้นคะยอผมกับอิน ทำไมอยากให้ไปนักนะ

   “เออๆ ไปก็ไป แต่...” หึหึ กูขอเอาคืนนิดนึงนะไอ้ภาค

   “แต่อะไรวะ?” หัวคิ้วของคนหน้าหล่อดีกรีเดือนวิศวะปี 1 ยกขึ้นแสดงความสงสัย

   “แต่มึงต้องเลี้ยงข้าวกลางวันกูกับไอ้อิน”

   “ฮ่าๆ ได้เลยคุณเจ้าพระยา กระผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

   อ่าว ทำไมยอมง่ายจังวะ แต่เออช่างเถอะ แค่มันเลี้ยงเจ้าก็โอเค อิอิ

   ผ่านพ้นช่วงเวลาเรียนในคาบเช้าที่เป็นวิชาภาษาอังกฤษไป ผมกับอินก็ตกลงพากันนั่งเมล์วนไปที่คณะวิศวะฯตามคำชวนของไอ้ภาค คืออย่างงี้ครับไอ้ภาคมันไม่ได้มีแค่ใบหน้าหล่อๆไว้ประดับบารมีมันอย่างเดียวแต่มันยังมีความสามารถในด้านดนตรีด้วยก็คือเล่นกีต้าร์เก่งมากนั่นเอง การที่มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะฯส่วนหนึ่งก็คงมาจากคะแนนด้านความสามารถพิเศษที่มันวาดลวดลายเล่นกีต้าร์คู่ใจบนเวทีการประกวดในวันนั้น

   ใช้เวลาไม่นานผมกับอินก็มายืนอยู่ตรงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่คุ้นเคย(?) ผมที่มาบ่อยจนเหมือนเป็นเด็กคณะนี้ ภาพคุ้นตาคงเห็นผมเดินมากับไอ้ภาคหรือไม่ก็...

   นั่นแหละ

    มากับรุ่นพี่ดีกรีเดือนคณะวิศวะฯปี 3 อย่างพี่เกียร์

   “กูไลน์บอกไอ้ภาคแล้วนะว่าเรามาถึงคณะมันแล้ว มันบอกให้เดินไปโรงอาหารเลย มันเตรียมตัวอยู่” อินหันมาบอกผมพลางหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากใช้ส่งข้อความบอกเพื่อนเจ้าถิ่น

   “อาฮะ งั้นไปกัน กูอยากกินข้าวไข่ข้นของดีประจำคณะนี้ว่ะ ไม่ได้กินนานละ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีเมื่อคิดถึงเมนูแสนอร่อยที่ไอ้ภาคเคยพามากิน





   ตอนนี้ผมกับอินก็มาถึงที่ที่นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้ว มองเห็นจุดที่ใช้เป็นที่แสดงดนตรีประชาสัมพันธ์ค่ายอาสาของไอ้ภาคอยู่ไม่ไกล เจ้าตัวมันก็กำลังจัดของ เตรียมเครื่องดนตรีอยู่ ผมที่ไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลาเป็นการเป็นงานของมัน ส่วนค่าข้าวค่อยตามเช็คบิลกับมันทีหลัง ผมก็เลยตัดสินใจหาโต๊ะที่ว่างอยู่แล้วชวนอินไปประจำที่รอดูดนตรี

   “มึงจะไปซื้อข้าวเลยมั้ย” อินถามขึ้นมาพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

   “ไป ตอนนี้กูหิวมว๊ากกกก” ยกมือลูบท้องแสดงอาการหิวเต็มที่

   “ฮ่าๆ เว่อตลอด งั้นมึงไปซื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะเอง”

   “มึงจะกินอะไรอ่ะ เดี๋ยวกูซื้อมาให้เลยก็ได้”

   “ยังคิดไม่ออกว่ะ มึงไปซื้อเลย ขอนั่งคิดแปบ”

   “อ่า ตามนั้นก็ได้”

   เมื่ออินมันไม่ได้ฝากซื้อ ผมก็เลยเดินตัวปลิวไปที่ร้านข้าวไข้ข้นทันที ซึ่งคาดคะเนด้วยสายตาตอนนี้จำนวนคนในโรงอาหารและการต่อคิวแต่ละร้านก็คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลย ด้วยจำนวนคนในคณะที่เยอะอยู่แล้ว ไหนจะคนนอกคณะที่เลือกจะมาชิมฝีมือแม่ครัวคณะนี้อีก หนักไปทางสาวๆซะเยอะ รวมถึงวันนี้ยังมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์ค่ายอาสาที่ทำให้ดูเหมือนว่าคนจะเยอะขึ้นมาอีกนิด แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าพระยาคนนี้

   เพราะเรื่องอาหารอร่อยๆ เจ้าเต็มใจรอ ฮ่าๆ







   ตอนนี้ผมก็มายืนรอซื้ออาหารอยู่หน้าร้านที่ตั้งใจไว้ เมนูอาหารในใจก็ถูกเขียนลงในกระดาษส่งให้คุณป้าแม่ครัวแล้ว จากจำนวนแผ่นกระดาษที่ซ้อนกันนั้นผมก็คงต้องรอสักพัก ในระหว่างรอก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา พอมีสมาธิกับเกมผมก็เหมือนเริ่มหลุดจากโลกรอบข้างไป

   ในขณะที่คะแนนในแถบแสดงสถิติของเกมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใจก็ลุ้นว่าอีกนิดผมกำลังจะทำลายสถิติเดิมของตัวเองแล้ว

   หมับ!

   “อ๊ะ!”

   ขวับ!

   “พี่เกียร์!”

   “หึหึ ตกใจอะไรขนาดนั้นเตี้ย”

   “โถ่ พี่อ่ะ เนี่ยพี่ทำผมตกใจ ผมแพ้เลยเนี่ย เกือบทำลายสถิติแล้ว เพราะพี่เลย หึ่ย!” ผมหันไปชูโทรศัพท์ที่มีคำว่า GAME OVER แล้วโวยวายใส่คนตัวสูงที่อยู่ดีๆก็โผล่มา แถมทำให้ผมตกใจด้วยการยกแขนมากอดคอแบบไม่ได้ตั้งตัว

   “ฮ่าๆ”

   “ไม่ตลก หยุดหัวเราะเลยนะ แล้วแขนเนี่ยเอาลงไปเลย อย่ามาเนียน” ส่งสายตาคาดโทษไปให้เจ้าของท่อนแขนที่พาดอยู่บนไหล่ ไม่ได้สำนึกเลยนะไอ้พี่บ้าเอ้ย

   “อ่าๆ แล้ววันนี้ทำไมมากินข้าวที่นี่” เจ้าของนัยน์ตาคมเอ่ยถามขึ้นมา

   “ไอ้ภาคมันชวนมาดูมันเล่นดนตรีโปรโมทค่าย”

   “อ่า ใกล้ไปค่ายแล้วหรอวะ” คนตัวสูงพึมพำกับตัวเอง สงสัยจะยุ่งจริง ถึงกับลืมกิจกรรมของคณะ

   “แล้วที่สำคัญไอ้ภาคมันเลี้ยงข้าวด้วย ของฟรีเจ้าไม่พลาดหรอก ฮ่าๆ”
 
   “หึหึ เอ๋อเอ้ย” ว่าผมเอ๋อไม่พอ แถมยังยกมือขึ้นมายีหัวผมจนเส้นผมกระจาย นัยน์ตาคมที่ติดดุน้อยๆกลับเปลี่ยนเป็นแววตาวาววับ รอยยิ้มที่มากกว่ายิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้น

   ผมชอบให้พี่เกียร์ทำหน้าแบบนี้จัง

   หมับ!

   “ไม่เจอกันนานเลยนะคะเกียร์”

   เสียงหวานของผู้มาใหม่ดังขึ้น ผมหันมองตามเสียงนั้นก็เห็นสาวสวยที่ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางแบบเต็มสูตร เส้นผมยาวสีน้ำตาลสว่างเพราะถูกเคลือบไปด้วยสีสังเคราะห์ หุ่นบางแต่มีสัดส่วนเป็นสเป็กของผู้ชายส่วนใหญ่ ชุดนักศึกษาที่ใส่ก็พอดีตัวจนผมคิดว่าน่าจะเล็กกว่าไซซ์ปกติของเจ้าตัวไปหนึ่งไซซ์

   และที่สำคัญไปกว่านั้นคือความคุ้นเคยที่ฝ่ายหญิงแสดงออกมาด้วยการยกแขนเล็กคล้องไปกับท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างของพี่เกียร์เพื่อประกอบการทักทาย

   “อ่อครับ” คนตัวสูงตอบรับ

   “เกียร์สบายดีนะคะ”

   “ก็สบายดีครับ ยุ่งๆนิดหน่อย กรีนล่ะ?”

   “กรีนสบายดี แต่พอไม่ได้เจอเกียร์ก็...คิดถึง”

   กึก

   ประโยคสนทนาที่มีคำๆหนึ่งทำให้ผมรู้สึกขัดๆ เป็นเสียงหวานๆติดอ้อนน้อยๆ ที่ผมควรจะมองว่ามันน่ารัก แต่ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันคันยุบยิบแปลกๆในใจ พอมองไปที่ใบหน้าเจ้าของเสียง ก็เห็นสายตาพราวระยิบสื่อความหมายบางอย่าง แล้วทำไมผมต้องรู้สึกไม่ชอบใจด้วยนะ

   ผมโมโหหิวหรอ? หิวแน่ๆ

   พี่เกียร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรไป มีเพียงแค่รอยยิ้มมุมปาก นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด ขัดหูขัดตาไปหมด

   “แล้วนี่รุ่นน้องหรอคะ ทำไมกรีนคุ้นหน้าจัง”

   “นี่เจ้าพระยาครับ เป็น..”

   “รุ่นน้องต่างคณะครับ พอดีผมเป็นเพื่อนกับเด็กคณะนี้” ผมชิงตอบตัดบทพี่เกียร์จนคนตัวสูงหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

   “อ๋อ พี่จำได้แล้ว คนนี้นี่เองที่เป็นคู่จิ้นกับเกียร์ใช่มั้ย  พี่ชื่อกรีนนะคะ” พี่กรีนแนะนำตัวกับผม ประโยคยืดยาวที่ดูไม่มีอะไรแต่สายตาที่ส่งมามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาอยากรู้จักผม

   “ครับ”

   “เกียร์สั่งข้าวหรือยังคะ ให้กรีนสั่งให้มั้ย เมื่อกี้กรีนสั่งไปแล้ว” ร่างอวบอิ่มหันไปให้ความสนใจกับคนตัวสูง แขนที่คล้องเกี่ยวกันอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ความแนบชิดทำให้อะไรบางสิ่งบางอย่างนุ่มนิ่มสัมผัสกับท่อนแขนแข็งแรงนั่นแล้วไอ้พี่เกียร์นี่ก็ยังไง ให้เกียรติผู้หญิงหน่อยสิมายืนนิ่งทำเนียนไปได้ ชอบมากหรือไงวะ ความโมโหหิว(?)ของผมมันมากขึ้นจนรู้สึกได้ เมื่อไหร่ป้าจะทำเสร็จเนี่ย

   และสงสัยความหงุดหงิดของผมจะส่งไปถึงป้าแม่ครัว

   “ข้าวไข่ข้นพิเศษไข่สองฟองได้แล้วจ้า”

   “ครับ / ค่ะป้า”

   หือ?

   ผมกับพี่กรีนยื่นมือออกไปรับข้าวไข่ข้นพร้อมกัน ต่างคนต่างจับคนละด้านของขอบจาน โดยที่ป้าก็ยังไม่ปล่อยจานอีกด้าน สายตาของป้ามองผมกับพี่กรีนสลับไปสลับมาแสดงถึงความไม่แน่ใจว่าของใครกันแน่ ผมก็เลยหันไปสบตากับพี่กรีน มองเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาเพียงแต่ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความจริงใจ อาจจะเป็นเพราะแววตาคมแข็งนั้น ที่แสดงชัดมากว่าจะไม่ยอมปล่อยข้าวจานนี้แน่ๆ ส่วนผมหรือครับ

   ผมเคยบอกทุกคนไปหรือยังว่า..

   ผมเป็นเด็กหวงของ

   “ป้าครับ จานนี้ของผมหรือเปล่าครับ?” ผมเบนสายตาหันไปถามป้าเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะผมคิดว่านี่มันของผม ก็ผมมาก่อน ยืนรอนานแล้ว พี่กรีนน่าจะเพิ่งสั่งไป

   “เอ่อ...”

   “น้องเจ้าคะ แต่พี่ก็สั่งเมนูนี้นะคะ”

   “ครับ..ป้าครับนี่ของใครครับ?” ผมตอบรับพี่กรีนเพียงสั้นๆแล้วหันไปถามป้าอีกครั้ง

   “เจ้า ให้กรีนก่อนก็ได้มั้ง?”

   ขวับ!

   เสียงเรียบทุ้มเอ่ยขึ้นมาจากด้านหลัง เจ้าของเสียงยืนอยู่ระหว่างผมกับพี่กรีน แค่ประโยคสั้นๆนั้น ทำไมรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงจัง ผมรู้ตัวเองว่าถ้าเป็นปกติผมคงถอยและยอมให้ง่ายๆแล้ว เพราะผมไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ตอนนี้ผมว่าผมไม่ปกติ และรู้สึกว่า ผมไม่ยอมอ่ะ

   “ขอโทษนะครับ...ป้าครับ ป้าทำของแผ่นไหนครับ” หันไปถามป้าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังแท่นเสียบกระดาษที่เขียนเมนู

   “อ้อ นี่ค่ะ ป้าทำแผ่นนี้ ของใครลูก” ป้ารีบกุลีกุจอหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาให้ และตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นนั้น มันลายมือผมเอง

   “ของผมเองครับ” ผมยิ้มให้ป้าอีกครั้ง และเลือกที่จะไม่หันไปมองคนทั้งคู่ที่ยืนเงียบ

   “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาเพราะพี่กรีนยอมสะบัดมือจากจานข้าวไข้ข้นของผม ใช่ครับไม่ปล่อยธรรมดา สะบัดออกเหมือนจานมันร้อนเลย ผมเลือกที่จะไม่สบตา แต่รีบชักมือกลับมาพร้อมยื่นเงินให้ป้าพอดีกับราคาข้าวจานนี้ และตัดสินใจหมุนตัวเดินออกมาด้านข้างเพื่อที่จะไปหยิบช้อนส้อมในจุดบริการช้อนส้อมตรงเสาถัดไป

   บอกตรงๆว่าผมอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก มันเป็นการกระทำที่งี่เง่าและไร้สาระมากกับการแย่งข้าวแค่จานเดียว ถึงจะมั่นใจมากว่าเป็นของผมแต่พอได้มาจริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมาเหมือนที่คิดไว้

   ไม่ดีใจเพราะรู้สึกไม่ดีที่ทำอะไรไร้สาระ หรือ เพราะใครอีกคนเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้น

   “อ๊ะ!” นั่นช้อนคันสุดท้ายของผม หิวนะว้อย

   ขวับ!

   “เอามา” พอรู้ว่าเป็นใคร ผมก็ยื่นมือออกไปขอช้อนคันสุดท้ายที่เจ้าตัวหยิบตัดหน้าแกล้งผม

   “หึหึ ไม่ให้”

   “พี่เกียร์ เอามา ผมหิวแล้ว ไอ้อินรอ” ผมบอกเสียงต่ำพร้อมทั้งพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะที่อินนั่งรอ ซึ่งตอนนี้อินไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว กลุ่มแก๊งค์ของคนตรงหน้าผมก็นั่งอยู่กันครบ

   “โมโหหิวหรือไง เอาไป กูสงสารคนหิวจนตาขวางหรอก ข้าวจานเดียวก็ไม่ยกให้ใคร เตี้ยเอ้ย หึหึ”

   “แล้วทำไมผมต้องยกให้อ่ะ ก็นี่ของผม” ผมตอบสวนกลับพี่เกียร์ทันทีพร้อมทั้งยกจานข้าวขึ้นให้คนตัวสูงดูเพื่อย้ำว่าของผม

   “ฮ่าๆขี้หวงนะเรา” ยัง ยังจะมาขำใส่อีก

   “เออ ผมขี้หวง อะไรที่เป็นของผม ผมก็หวงหมดนั่นแหละ!”
 
   พูดจบผมก็เบี่ยงตัวเพื่อที่เดินไปให้ถึงโต๊ะเร็วๆ ขี้เกียจเถียงกับคนบางคนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้า

   “งั้นก็หวงกูเยอะๆนะ”

   กึก

   ก้าวเดินถึงกับชะงัก เพราะเสียงทุ้มที่เป็นเพียงเสียงกระซิบเอ่ยขึ้นมาใกล้ๆหูผม

   “...?”

   “เพราะใจกูเป็นของมึงแล้ว

   “...!!”

   จานข้าวเกือบหลุดมือ ผมจ้องหน้าคนที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา

   เลี่ยนกว่าข้าวไข่ข้น ก็คำพูดหยอดของคนตรงหน้านี่แหละ




ต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2



   “ไปกลับโต๊ะ เอามาเดี๋ยวถือให้”

   “มะ..ไม่เป็นไร ผมถือเอง”

   “อ่า งั้นไป” คนตัวสูงว่าแล้วดันศอกผมให้เดินไปข้างหน้า ตัวผมก็เดินตามแรงส่งไปแบบงงๆ
 
   เอ้า แล้วทำไมอยู่ดีๆเหมือนไม่หิวเท่าเมื่อกี้แล้วอ่ะ เพราะที่โมโหหิวอยู่มันหายไปเฉยเลย อิ่มทิพย์หรือไงกู

   เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่ใครหลายคนนั่งอยู่ จากที่จะเดินมาเปลี่ยนให้อินไปซื้อข้าว แต่ตอนนี้มีจานข้าววางอยู่ตรงหน้าอินเรียบร้อยแล้ว ผมเลยก้าวขาข้ามเก้าอี้ไม้ของโต๊ะตัวยาวนั่งลงตรงข้ามกันอินพี่เกียร์นั่งลงชิดขอบโต๊ะด้านขวามือผมด้านซ้ายของผมเป็นพี่โซ่คนสวย ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นอินโดยมีพี่พีและพี่มายด์ขนาบข้าง ทุกคนมีอาหารกลางวันเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพี่เกียร์ด้วย สงสัยฝากเพื่อนซื้อ

   “สวัสดีครับพี่ๆ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่รอบโต๊ะ

   “ไหว้คนสวยเถอะค่ะ” พี่โซ่ตอบรับผมด้วยรอยยิ้มกว้าง แถมยังเอาหัวมาพึงไหล่ผมแล้วถูไปมาเหมือนแมวอ้อน

   “ไอ้โซ่ กูขนลุกแทนน้องเจ้าว่ะ” พี่มายด์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามพี่โซ่ก็เอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าลูบแขน

   “เสือก แดกไปเลยมึง” คำตอบรับดังลั่นลอยไปถึงพี่มายด์พร้อมกับแตงกว่าชิ้นหนึ่ง

   “ฮ่าๆ...เอ้อ ไอ้เกียร์ เมื่อกี้กรีนมาทักมึงหรอวะ” พอขำเสร็จพี่แกก็หันมาเปิดประเด็นร้อนกับคนตัวสูงข้างๆผม

   “อืม”

   “เหอะ! น่ารำคาญว่ะ ตามตอแยมึงไม่เลิกเลยนะ” พี่โซ่หลุดเสียงเบื่อหน่ายออกมา

   “ไม่เจอกันนานแล้วมึงก็รู้” พี่เกียร์เอ่ยเสียงเรียบ

   “แต่เจอทีไรกูก็นึงว่าแปลงร่างเป็นปลิง เกาะซะแน่น เมื่อกี้เห็นทำตาขวางใส่น้องเจ้าของกู กูเกือบลุกละนะ” คนสวยดีกรีดาวคณะปี 3 ถึงกับหลุดมาดดาว ใส่อารมณ์จริงจังราวกับไม่ชอบใจพี่คนชื่อกรีนมานานแล้ว

   “ไม่มีอะไรหรอก แค่เด็กแถวนี้มันขี้หวง” ไม่พูดอย่างเดียวแต่กลับส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผม

   “ดีน้องเจ้า อะไรที่เป็นของเราก็หวงเยอะๆ อย่าไปยอมให้ใครแย่ง” พี่โซ่ไม่มีห้ามหรือขัดอะไร ไหลตามน้ำเห็นดีเห็นงามกับความขี้หวงของผม

   “แหะๆ”

   “โอ้ย เชี่ย กัดพริก เผ็ดๆๆ..ซี๊ดดดดด น้ำๆ” อยู่ดีๆพี่มายด์ก็โพร่งขึ้นมาเสียงดัง ซี้ดปากแสดงถึงความเผ็ด มือคว้าหาน้ำเพราะแก้วน้ำตรงหน้าพี่แกเหลือแต่ก้อนน้ำแข็ง

   “น้ำครับพี่” ผมเลยยื่นขวดน้ำเปล่าของผมไปให้ เพราะปกติผมก็ชอบซื้อน้ำหวานใส่แก้วแล้วก็น้ำมาเปล่ามาวางคู่กัน

   อึก..อึก..

   “ขอบใจมากน้องเจ้า ซี๊ดดดด ป้าเอาพริกอะไรมาผัดให้กูวะเนี่ย เผ็ดฉิบหาย” พี่มายด์บ่นแถมยังแลบลิ้นออกมา สงสัยจะเผ็ดมากจริงๆ

   “ฮ่าๆ” ผมกับพี่โซ่เลยหัวเราะกับท่าทางตลกๆนั้น

   “อ่ะ พี่คืนครับ” พี่มายด์ยื่นขวดน้ำมาคืน ผมก็รับแล้ววางไว้ที่เดิม

   “ทีอย่างงี้ทำไมไม่หวงนะ” เสียงทุ้มของคนข้างตัวเอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนจงใจให้ได้ยินแค่ผมคนเดียว

   “ก็ผมสะดวกแบบนี้” แลบลิ้นทิ้งท้ายให้ด้วยเลย

   “หึหึ”

   สักพักก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นมาจากทางจุดโปรโมท ทุกคนในโรงอาหารก็เริ่มเบนความสนใจจากอาหารตรงหน้ามองไปยังต้นกำเนิดเสียงดนตรีอันไพเราะ สมาชิกในโต๊ะผมก็เช่นกัน มองเห็นไอ้ภาคมันนั่งเก้าอี้ทรงสูงมีกีต้าร์โปร่งคู่ใจวางอยู่ในอ้อมแขน ท่วงท่าของมันก็สามารถสะกดสายตาแทบทุกคู่ได้เหมือนเดิม จากปกติที่มันหล่ออยู่แล้ว พอมันจับกีต้าร์ก็ยิ่งยกกำลังความหล่อมันเพิ่มขึ้นไปอีก สาวๆหลายคนก็เริ่มส่งเสียงหวีดร้องชื่นชมในความหล่อของมัน สมาชิกร่วมวงคนอื่นที่พอจะเดาได้คือ แทนที่ยืนจับไมค์อยู่ตรงกลางหน้าจะเป็นคนร้อง ส่วนอีกคนน่าจะเป็นเพื่อนไอ้ภาคนั่นแหละ เคยเห็นผ่านๆนั่งอยู่ในตำแหน่งคาฮอง หนุ่มหน้าตาไม่ธรรมดา 3 คนมารวมวงกันแบบนี้ ผมว่าไม่แน่อาจจะทำโรงอาหารแตก ฮ่าๆ รอบบริเวณนั้นก็มีป้ายประชาสัมพันธ์และกล่องบริจาคไว้คอยรับเงินสมทบทุนที่จะไปออกค่าย ส้ม แยม มิวซ์  สาวๆพาวเวอร์พัฟเกิร์ลก็ขยันขันแข็งที่จะเชิญชวนให้ร่วมบริจาค น่าสนุกดีแฮะ

   ยังไม่ทันจะสุนทรีไปกับบทเพลงของวงดนตรีเพื่อนสนิท ก็มีบางสิ่งมาขัดทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจโดนหมามุ่ยอีกแล้ว

   “เกียร์ กรีนกับเพื่อนขอนั่งด้วยสิ โต๊ะเต็มหมดแล้วอ่ะ”

   เจ้าเก่า เจ้าเดิม ที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อสิบกว่านาทีที่แล้วนั่นแหละครับ

   “อ่า..”

   “มานั่งนี่สิกรีน ฝั่งนั้นเต็มแล้วแต่ข้างเราว่างนะ” พี่โซ่พูดเสียงเรียบแทรกการตอบรับของคนตัวสูงที่ยังอ้ำอึ้งอยู่
 
   “งั้นโซ่ขยับไปให้เราได้มั้ย เราจะได้นั่งลงตรงนี้” อื้อหือ ความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ

   “เราไม่สะดวกขยับอ่ะ มันยุ่งยาก รบกวนน้องเจ้าต้องขยับด้วย” พี่โซ่ก็หันไปเผชิญหน้าพูดกับเจ้าของผมสีน้ำตาลสว่าง

   “อืม งั้น...น้องเจ้าคะพี่ขอสลับที่กับน้องเจ้าได้หรือเปล่าคะ พอดีพี่อยากนั่งข้างเกียร์อ่ะค่ะ” เสียงราบเรียบที่แฝงไปด้วยเจตนาบังคับให้ผมตกปากรับคำ ผมชักจะหงุดหงิดมากขึ้นแล้วนะ

   ด้วยความหงุดหงิดผมก็เลือกที่ตัดความรำคาญด้วยการลุกขึ้นทำตามคำขอของพี่กรีน อยากนั่งมากใช่มั้ย ตามสบายเลยครับ

   ฟึ่บ!

   หมับ!

   “นั่งลง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากที่เอื้อมมือมาจับแขนผมเพื่อฉุดให้นั่งลง การกระทำของคนตัวสูงที่แสดงชัดว่าไม่ให้ผมทำตามคำขอของพี่กรีน

   “ก็..”

   “อย่าดื้อ พี่บอกให้นั่งลง” น้ำเสียงเย็นวาบบวกกับสรรพนามที่พี่เกียร์จะเปล่งออกมาก็ต่อเมื่อประโยคนั้นจริงจังและต้องการให้ผมทำตาม

   ไม่ดื้อก็ได้

   “โซ่ขยับไปหน่อย”

   “ไอ้เกียร์...ชิ!!” เสียงรุ่นพี่คนสวยข้างตัวเอ่ยเรียกชื่อคนตัวสูงด้วยความไม่พอใจน้อยๆ แต่ก็ยอมขยับให้ ผมก็เลยต้องขยับตาม
 
   วุ่นวายชะมัด

   ผมเบนสายตามองไปยังเพื่อนพี่กรีนอีกคนที่ยืนยิ้มแห้งทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ เพราะถ้าพี่กรีนนั่งข้างพี่เกียร์ ก็คงอยากจะให้เพื่อนนั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งก็คือข้างพี่พี คราวนี้ก็ขยับกันทั้งโต๊ะ จากสายตาพี่พีนั้น ถ้าเป็นผมผมเลือกที่จะไปนั่งข้างพี่มายด์ดีกว่า ผมหันไปสบตากับอินก็เข้าใจกันทันทีว่า ปล่อยให้พวกพี่มันจัดการเถอะ ไม่รู้อะไรนักหนา

   “กรีน เดี๋ยวฉันไปนั่งกับพวกน้ำตาลนะ ตรงนั้นอ่ะ” เพื่อนพี่กรีนเอ่ยบอกเจ้าตัวที่นั่งลงข้างพี่เกียร์เรียบร้อยแล้ว สายตาสื่อถึงความลำบากใจที่จะต้องไปนั่งข้างพี่มายด์หรือพี่โซ่   

   “อืม แล้วแต่แกนะ เจอกันที่ห้องเรียนแล้วกัน”

   “โอเค” แล้วพี่เขาก็เดินไปทางโต๊ะของกลุ่มเพื่อนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ไหนตอนแรกว่าโต๊ะเต็มหมดไงวะ

   “วันนี้ตอนเย็นเกียร์ว่างหรือเปล่าคะ กรีนว่าจะชวนไปดูหนัง เรื่องนี้ดูในรีวิวมาเขาบอกว่าสนุกมาก เกียร์ต้องชอบแน่ๆ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นในระหว่างที่กินข้าว

   “ไม่ว่างครับ”

   “ติดธุระด่วนหรอคะ เสียดายจัง”

   “ครับ”

   “งั้นไว้ครั้งหน้านะคะ เดี๋ยวกรีนจะชวนบ่อยๆ เกียร์ยังใช้เบอร์เดิมใช่มั้ยคะ”

   “เปลี่ยนแล้วครับ”

   “งั้นกรีน -...”

   “พี่ๆครับ ผมอิ่มแล้ว เดี๋ยวเอาจานไปเก็บก่อนนะครับ...ปะอิน ไปหาไอ้ภาคกัน” ผมโพล่งขึ้นมาด้วยประโยคยืดยาวขัดบทสนทนาของคนสองคนที่กำลังลื่นไหลไปได้ด้วยดี ผมนั่งว่างๆก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม ลุกไปจากตรงนี้จะดีกว่า

   เผื่ออาการคันยุบยิบในใจจะหายไป

   ผมไม่ชอบที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้

   ไม่ชอบเลย..

   “อ้าว ไม่รอภาคอยู่ตรงนี้ล่ะ ตรงนั้นคนเยอะนะน้องเจ้า” พี่โซ่ทักขึ้นมา แทนที่จะเป็นอีกคน เอ๊ะ แล้วผมจะไปอยากให้คนในความคิดมาทักทำไม

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็น่าสนุกดี ไปอิน ลุกสิ”

   “เออๆ” เสียงตอบรับที่เพิ่งหลุดออกมาจากลำคอของเพื่อนตัวเล็ก นั่งเงียบอยู่นานเลยนะมึง

   “เดี๋ยวเตี้ย” คนข้างตัวบางคนที่ตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากจะเห็นหน้ากลับทักขึ้น

   “อะไรอีก”

   “เย็นนี้ซ้อมหลีดมั้ย?”

   “ซ้อมครับ”

   “ซ้อมเสร็จกี่โมง?”

   “ไม่รู้ แล้วแต่พี่เขาจะปล่อย”

   “อืม งั้นเดี๋ยวกูไปรอ”

   “เห้ย พี่จะไปรอผมทำไม?”

   “ก็รอไปส่งมึงที่บ้านไงเอ๋อ ซ้อมเสร็จก็ดึกแล้ว จะปล่อยให้กลับเองได้ยังไง”

   “ผมโตแล้ว กลับเองได้ แล้วก็วันนี้พี่ ’ติดธุระด่วน’ ไม่ใช่หรอ?”

   “ก็ไปส่งมึงที่บ้านนี่ไง ธุระด่วนของกู

   “...”

   “เหยดดดดดดดดด”

   “ฮิ้วววววว ทำดีมากเพื่อนกู”

   “หึหึ”

   “อะ..เอ่อ เออ! แล้วแต่พี่เลย อินไปเร็ว” อาการตะกุกตะกักกลับมาอีกแล้วหลังจากที่หายไปนาน ตอนแรกคิดว่าจะชินแล้วกับการที่โดนพี่เกียร์พูดอะไรทำนองนี้ใส่ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ชินอยู่ดี หัวใจมันชอบทำงานหนัก แต่มันกลับทำให้ผมชอบที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้มากกว่าคันยุบยิบในใจเหมือนในตอนแรกซะอีก

   พอคว้าแขนไอ้อินได้ผมก็รีบลากมันไปบริเวณจุดจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาทันที ลืมแม้กระทั่งจานที่ตั้งใจว่าจะเอาไปเก็บเอง ก่อนก้าวพ้นมาปลายสายตาผมก็ไปสบกับแววตาพี่กรีนที่แสดงชัดถึงความสงสัยปะปนมาด้วยความไม่พอใจบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ชัดเจน





   การประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ผมพาตัวเองมานั่งใกล้กับที่แสดงดนตรี ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจเพื่อนต่างคณะในการทำกิจกรรม อาการที่เหมือนมีมดแดงไฟมาเดินในใจหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ การได้ฟังเสียงเพลงบรรเลงขับกล่อมแข่งกับเสียงตะหลิวกระทบกระทะก็รู้สึกเพลินไปอีกแบบ เสียงคนร้องก็ทุ้มนุ่มฟังสบายหู ผมก็เพิ่งเคยได้ยินแทนร้องเพลงก็วันนี้แหละ แล้วแต่ละเพลงที่เลือกมาก็ค่อนไปทางแนวเพลงป็อบสบายๆ ผมร้องตามได้แทบทุกเพลง แถมยังได้ยินเสียงชื่นชมจากคนรอบข้างอีกด้วย

   “เอาล่ะครับ ต่อไปเป็นเพลงสุดท้ายแล้วนะครับ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ร่วมฟังและร่วมบริจาคสมทบทุนค่ายจิตอาสาในครั้งนี้นะครับ เพลงสุดท้ายนี้มือกีต้าร์หน้าหล่อกระซิบเลือกมาสดๆร้อนๆเลยครับ เปลี่ยนเพลงไม่ถามนักร้องอย่างผมสักคำ ฮ่าๆ” แทนพูดแซะไอ้ภาคออกไมค์ จนได้รับเสียงหัวเราะไปเบาๆ

   “อะแฮ่มๆ เพราะกูรู้ไงว่าเพลงไหนมึงก็ร้องได้ มึงเก่งจะตาย พอดีมีใบสั่งด่วนว่ะ” ไอ้ภาคก้มลงพูดใส่ไมค์เยินยอเพื่อนเพื่อกลบเกลื่อนโทษของตัวเอง แล้วประโยคสุดท้ายนั้นมันหันมาสบตากับผม แววตามีเลศนัยแปลกๆ

   “หรออออออออออ”

   “จ่ะ”

   ฮ่าๆ เสียงหัวเราะจากผู้ชมดังขึ้นให้กับการจิกกัดกันระหว่างเพื่อนร่วมวง

   “อ่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปฟังเพลงสุดท้ายกันดีกว่าครับ เพลงนี้ถูกขอมาเพื่อมอบให้คนๆหนึ่ง คนที่กำลังอาจจะไม่เชื่อมั่นในการกระทำของใครสักคน และเขาคงอยากบอกคุณว่า ได้โปรด...’เชื่อในฉัน’ ”

   สิ้นเสียงพูดนำเข้าเพลงของนักร้องนำ ท่วงทำนองที่บรรเลงด้วยเครื่องสายอย่างกีต้าร์โปร่งก็ดังขึ้น  เสียงโน๊ตแต่ละตัวไพเราะและตรงจังหวะไม่มีผิดเพี้ยน.แม้จะเป็นการปรับแนวเพลงมาเป็นจังหวะอะคูสติก ผมเคยฟังเพลงนี้ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าเพลงนี้มันมีเนื้อหาความหมายดีมากหรือโดนใจอะไร แต่ตอนนี้ผมกลับปล่อยใจให้คล้อยไปตามเนื้อหาของเพลง

   เพราะฉันเชื่อในฝันว่ามีเธอ ถ้าเธอเชื่อในรักของฉัน
   ถ้าเธอเชื่อว่าเราคู่กัน แค่เพียงเธอจะลอง...เชื่อในฉัน



   ถ้าเชื่อแล้วผมจะผิดหวังไหม?


   เพราะฉันเชื่อในฝันว่ามีเธอ ถ้าเธอเชื่อในรักของฉัน
   ถ้าเธอเชื่อว่าเราคู่กัน แค่เพียงเธอจะลอง...เชื่อในฉัน



   ถ้าเชื่อแล้วผมต้องทำอย่างไร?


   แล้วฉันจะพาเธอข้ามไป ไปยังฝันที่มีแค่ใจสองใจ
   ถ้าพร้อมถ้าเชื่อใจฉัน จับมือกับฉันแล้วก้าวไป
   ไปกับรักที่ต้องการ



   ถ้าเชื่อแล้วผมจะมีความสุขจริงๆใช่ไหม?


   จะพาเธอและฉัน บินไปยังฟ้าไกล
   ให้ดวงดาวแทนใจที่มีเพียงแค่สองเรา
   มีเพียงเธอและฉัน มองตากันให้ซึ่งใจ
   หลอมดวงใจเราให้รักนั้นได้คู่กัน...เชื่อในฉัน



   ถ้าอย่างนั้น...


   Line!

   P’ GEAR : เอ๋อ
   P’ GEAR : วันเสาร์นี้ไปเดทกันนะ


   ผมเชื่อแล้วครับ










   TBC.

   Music Credit : เชื่อในฉัน ( Clash )

   *************************************************
   คลานเข่าเข้ามากราบสวัสดีทุกคนค่ะ กราบบบบบบบบบบบบบบบบ
   หายไปแบบว่านานจริงๆ ก่อนอื่นชมสารภาพเลยว่า งานประจำชมคือเป็นคุงคู แหะๆ
เดือนที่แล้วทั้งเดือนเด็กตัวเย้กๆมีสอบกลางภาค คุงคูตัวโน้ยๆอย่างชมก็เลยต้องปั่นข้อสอบปั่นคะแนนยาวๆ
มีค่ายวิชาการด้วย อยากจะเทมาอัพนิยายพอสบตาใสๆของเด็กมอหกแล้วใจร้ายไม่ไหว ฮือออออออ
หลังจากนี้จะมาเรื่อยๆแล้วน้า
   พร่ำพรรณาหาเรื่องลดโทษผ่านไปก็กลับมาที่เนื้อหานิยายนิดโหน่ย
คือว่าชมอ่านคอมเม้นท์แล้ว ปริ่มใจเหลือเกิน แต่หลายคนก็หงุดหงิดช่ะที่อิพี่เกียร์นางไม่ชัดเจนสักที
เพราะนางไม่รู้ไงว่าน้องเจ้าใจสั่นแค่ไหน เราอ่านมุมน้องเจ้า เรารู้หมดเลยว่าน้องเจ้าลูกชายของเราตกหลุมอิพี่ไปแล้ว
แต่น้องไม่เคยพูดแบบจริงๆจังๆ แล้วอิพี่เนี่ยนางกลัวนก นางเลยอยากให้แน่ใจทุกอย่าง เลยอาจจะขัดใจแม่ๆอย่างเราบ้าง
เดี๋ยวชมจะไปเรียกมากราบขอคะแนน ฮ่าๆ
   จริงๆชมนี่แหละที่บางครั้งอาจจะบรรยายไม่ชัดเจน เค้ากำลังพยายามอยู่ ฮืออออ

   แล้วนิยายเรื่องนี้จะจบให้ทันก่อนเดือนเมษานะคะ มีประมาณ 25 ตอนไม่รวมสเป
   เพราะว่า ว่า ว่า ว่า!!!
   พี่เกียร์ น้องเจ้า อาจจะได้คลอดออกมาเป็นเล่มให้จับต้องครอบครอง กอดหอมกันให้สมใจนะคะ
   อยู่ในระหว่างการพูดคุยกับ สนพ

   ถ้าทุกอย่างลงตัวยังไง ชมจะมากอดขาอ้อนวอนทุกคนให้มาพาน้องเจ้าไปอยู่ด้วยนะคะ

   คูชมรักคนอ่านทุกคนนะ จุ๊บๆ #เจ้าพระยาที่รัก

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2018 15:21:58 โดย chomistry »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  สนุกมากกก

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีแววจะเล่นกระโดดตบกับชะนีกรีนเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ไงรบกวนพี่โซ่ช่วยน้องเจ้าหน่อยนะ  :hao3:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 อยากได้น้องเจ้า&พี่เกียร์ ไว้ครอบครองค่ะ...แต่ไม่สะดวกซื้อเป็นรูปเล่ม
รบกวนทำe-book version ด้วยได้ไหมค่ะ please...  :mew2:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
น้องหวงข้าว&พี่เกียร์ตาขวางเลย พี่โซ่จัดหนักกรีนให้น้องหน่อย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
รำคาญเจ๊กรีนจิงๆ ตื้อไม่สนหน้าผู้ชายเล๊ย~~~~~

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
พี่เกียร์ชัดเจนอีกนิดก็ได้นะ ให้ความสำคัญกะน้องมากๆ ต่อหน้าชะนีหน่อย

คนอ่านจะโดดตบชะนีละเนี่ย  :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ดีค่ะน้องเจ้า อะไรที่เป็นของเรา ๆ จะหวงก็ไม่ผิดนะจ้ะ
ยิ่งหัวใจพี่เกียร์ ยิ่งหวงได้เยอะ ๆ เลย เพราะเจ้าตัวเขาเต็มใจ ว้ายยย   :-[
ยัยกรีนนี่เหมือนหน้าฉาบด้วยซิเมนต์ ด้านทนจริง ๆ อยากให้พี่โซ่จัดการซะ
แต่เราก็ไม่รู้สึกขัดใจอะไรพี่เกียร์นะ เราว่าพี่เกียร์ก็ชัดเจนดีมาก ๆ แล้ว
ยิ่งตอนปฏิเสธยัยกรีน แล้วบอกธุระสำคัญคือไปส่งน้องเจ้านี่ สะใจมากกก
แถมปิดท้ายด้วยใบสั่งเพลงหวาน ๆ ส่งความรู้สึกถึงน้อง ก็สุดแสนโรแมนติก > <
ตอนหน้าขอตามไปเดทด้วยคนเน้อ ขอความฟินทะลุปรอทไปเลย 555
คุณครูสู้ ๆ นะคะ ขอบคุณมากค่า  :กอด1:


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่เกียร์ขอความชัดเจนเรื่องกรีนมากกว่านี้ ไม่งั้นจะภาวนาให้น้องเจ้าเมินพี่

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องเจ้าาาาาา อ่านแล้วเหม็นความรักเหลือเกิน ถ้าเดินสายนั่งเรือจะได้ผู้ชายแบบแบบพี่เขาไหมคะ ;-;

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ขอเป็นแฟนวันที่ไปเดทกันเลยนะพี่เกียร์ ถ้าไม่ขอล่ะก็ เราจะขอให้หดเหลือเท่านิ้วก้อยเลย เพี้ยง!!!!!

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
วันเสาร์นี้เค้าจะไปเดทกันแล้ว......เอ้าฮิ้ววว

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 14
หลบหน่อยเรือจะแล่น




   “แม่คร้าบ เจ้าไปก่อนน้า”

   “เอ้า ไปยังไงล่ะลูก”

   “เจ้าว่าจะเดินไปครับ”

   “แต่เอ้ ทำไมรีบออกไปแต่เช้าขนาดนี้น้า คิคิ”

   “อ่า ก็เจ้าจะเดินไปไง เช้านี้อากาศดีม๊าก มาก”

   “จ่ะ แม่เชื่อ”

   “ที่รักอ่ะ อย่าทำหน้าแซ็วเจ้าสิ”

   “แม่เปล่าน้า”

   “เจ้าไปดีกว่า”

   “เดินดีๆนะเจ้าพระยา แล้วก็อย่าลืมพา ‘รุ่นพี่คนนั้น’ มาเที่ยวบ้านเราบ้างล่ะ แม่อยากเจอ”

   รอยยิ้มทิ้งทายที่แสดงสีหน้าชัดเจนว่าแม่อยากเจอ ‘รุ่นพี่คนนั้น’ จริงๆ

   เลี่ยงที่จะให้มาที่บ้านทุกรอบที่เขามาส่ง เพราะผมเลือกที่จะให้จอดหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมแทนที่จะให้เขามาส่งที่หน้าบ้าน คนมาส่งไม่ถามอะไรมากแต่คนที่บ้านผมนี่สิ พอรู้ว่าคนมาส่งไม่ใช่ไอ้ภาคเพื่อนสนิทที่ร่วมผจญภัยในโลกใบใหญ่ตั้งแต่เด็ก แต่กลับเป็นรุ่นพี่ต่างคณะก็เลยขยันสอบปากคำผม หนักกว่าคุณแม่สุดที่รักก็คือน้องสาวสุดแสบนี่แหละ ผมก็ได้บอกคนในบ้านไปแค่ว่า ทางผ่านบ้านพี่เขาพอดี หารู้ไม่ว่า คนร่างสูงนอนคอนโดสุดหรูราคาสะเทือนบัญชีธนาคารผมแถวๆมหาวิทยาลัย เอาเป็นว่า ให้ผมทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้ก่อน ถึงวันนั้นผมจะพามาให้ครอบครัวผมรู้จักเองแหละน่า


   บทสนทนาที่เพิ่งจบไป พร้อมกับตัวผมที่อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีชมพูอ่อนจางๆ กางเกงขาสั้นทรงสบายๆที่เลยเข่าขึ้นมาครึ่งฝ่ามือ รองเท้าผ้าใบแบรนด์ยอดฮิตสีขาว ก็ก้าวออกจากบ้านที่หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ หันหน้าไปยังทิศทางของอาคารยอดพิมานที่หลายคนคงรู้จักกันดี

   ผมจะไปไหน?

   หลายคนก็คงตั้งคำถามนี้ และบางคนก็คงรู้ล่วงหน้าไปก่อนตัวผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้ายังจำบทสนทนาล่าสุดที่เจ้าของใบสั่งบทเพลงสุดท้ายในวันประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาของพวกปี 1 คณะวิศวะฯ ได้ดี


   ที่พี่เกียร์ชวนผมไปเดท


   ฮึ่ย

   แค่ทวนคำๆนั้นอุณหภูมิบนใบหน้าก็สูงขึ้นมาซะดื้อๆ





   เหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากที่ผมได้รับข้อความสั้นๆจากคนตัวสูง ผมก็ไม่ได้ส่งข้อความตกลงหรือปฏิเสธอะไรไป มีเพียงรอยยิ้มกว้างมากกับแววตาที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์ในมือไม่หยุด การเงยหน้าแล้วหันไปสบตาเจ้าของข้อความที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมด้านหลังก็คงเป็นอะไรที่คิดผิด เพราะสายตาคมที่นัยน์ตาติดดุจ้องมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แววตาที่แสดงชัดถึงเจตนาว่าจริงจังกับคำชวนนั้น  แล้วสีหน้าที่ผมแสดงออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายแบบไหน ถึงทำให้พี่เกียร์ยิ้มกว้างขนาดนั้น แล้วสรุปว่าผมก็ไม่ได้ตอบข้อความอะไรไปจริงๆ และนึกว่าวันต่อมารุ่นพี่ต่างคณะจะมาเค้นเอาคำตอบ แต่เปล่าเลย พี่เกียร์ไม่ได้มารอผมซ้อมหลีด ยิ่งไปกว่านั้นคือแทบไม่ได้เจอหน้า ข้อความที่ส่งมาก็มีแต่ถามว่า

   ‘กินข้าวยัง?’

   ‘วันนี้ซ้อมหรือเปล่า’

   แค่นี้จริงๆ

   ตอนแรกก็ว่าจะถามว่าเป็นอะไร แต่ก็ได้คำตอบจากไอ้ภาคว่า พี่เกียร์ติดทำโปรเจ็คต์ของปี 3 เห็นว่ายากมาก ฝากให้มันมารับผมไปส่งที่บ้าน ทั้งๆที่ผมก็ยืนกรานว่าจะกลับเอง พี่นะพี่ ทำเหมือนผมเป็นเด็กต้องมีผู้ปกครองมาคอยรับส่งตลอดเวลาอยู่ได้ แต่คำตอบที่หลุดมาจากไอ้ภาคก็ทำผมเงียบกริบ

   ‘เอาสิ ถ้ามึงอยากเห็นพี่เกียร์หัวร้อนไม่เป็นอันทำงาน แล้วเหาะมารับมึงแทน’

   แค่นั้นแหละ

   ตกอยู่ในสภาพจำยอม แต่ไม่จำใจเลยกู

   ห่วงขนาดนี้นี่ รุ่นพี่ หรือ พ่อ



   พอเมื่อวานตอนเย็นคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสี่วันก็เดินล้วงกระเป๋ามาตรงที่ผมซ้อมหลีด ไม่ใช่แค่ทำลายสมาธิผม เพราะทั้งรุ่นพี่ ทั้งเพื่อนรอบข้างต่างหยุดซ้อมแล้วหันไปทางเดียวกับผม ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง คนบ้าอะไร ถึงขอบตาจะคล้ำเป็นญาติกับหลินปิงยังไง ออร่าความเป็นหนุ่มฮ็อตประจำมหาลัยก็ยังพุ่งชนเพดานอยู่ดี แล้วยิ่งตอนนี้คือ ผมทรงใหม่ ไม่สิ สีใหม่ด้วย จากผมสีดำเข้มรับกับนัยน์ตาดุ ตอนนี้กลายเป็นสีเทาเข้ม ไม่ได้สว่างจนสะดุดตาแต่ถ้าเผลอจ้องลมหายใจก็สะดุดเหมือนกันอ่ะ โหย อิจฉา!! ไหนว่างานเยอะ เอาเวลาที่ไหนไปทำเนี่ย

   จากที่หล่ออยู่แล้ว ยอมรับเลยว่าตอนนี้


   หล่อฉิบหาย!!


   เมื่อถึงเวลาเลิกซ้อม พี่เขาก็ไม่พูดอะไร มีเพียงขวดน้ำเย็นที่ยื่นมาพร้อมกับหยิบกระเป๋าผมไปสะพายแล้วเดินนำไปยังลานจอดรถ เส้นทางที่คุ้นเคยที่เดินตามหลังแบบนี้มาเป็นเดือน ไอ้ขานี่ก็ใจง่ายเดินตามไปเฉยๆทั้งที่ผมควรจะอ้าปากถามถึงสิ่งที่สงสัยมาหลายวัน

   สรุปพรุ่งนี้กูต้องไปเดทอยู่ไหม?

   คำตอบของคำถามบรรทัดบนที่คิดว่าคงไม่ได้ถาม แต่ก็ได้รับเมื่อรถมาจอดอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมร้านเดิม
 
   ‘พรุ่งนี้จะให้มารับกี่โมง?’

   ‘ห๊ะ?’ อึ้งไปสามวิ เอ้า นึกจะพูดก็พูด

   ‘สัก 8 โมงเช้ามั้ย?’

   ‘เดี๋ยว ๆ อ่า ก็ได้ แต่ไม่ต้องมารับผมหรอก เจอกันที่ยอดพิมานเลย พี่เอารถไปจอดนั่นแหละ’ จากตอนแรกจะถามแทรกอะไรไปก่อน แต่แววตาที่มองมาเจือคำถามว่า จะเดี๋ยวอะไรอีกไอ้เตี้ย

   ก็ไหลตามน้ำไปแล้วกัน

   ‘หืม เอารถไปจอด แล้วจะไปไหน ยังไง’ พี่เกียร์ถามด้วยความสงสัย ส่วนผมที่อยู่ดีๆอะไรบางอย่างก็แล่นมาในหัวถึงได้บอกให้พี่เกียร์ไปเจอกันที่ยอดพิมาน

   เพราะอะไรน่ะหรือ?

   เพราะผมจะพาเขาเปิดประสบการณ์ใหม่ตามแบบฉบับเด็กที่โตมาริมแม่น้ำเจ้าพระยา







   ในเช้าวันเสาร์เวลาเกือบจะแปดโมงเช้านี้ ผมเลยเดินรับแสงแดดอ่อนๆจากบ้านเพื่อไปยอดพิมาน แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวอาคาร แต่เป็นท่าเรือต่างหาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงจุดที่นัดหมายก่อนเวลานิดหน่อย แซนวิสกับนมอุ่นก็เป็นอาหารเช้ารองท้องอย่างดีที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกหิวเมื่อต้องใช้พลังงานในการเดินเท้า

   RrrrrrrRrrrrrrr

   แรงสั่นของเครื่องมือสารในกระเป๋าเสื้อฮู้ดสะเทือนขึ้นระหว่างที่ผมนั่งบนม้านั่งริมระเบียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าเรือทำให้รู้สึกตัว ล้วงมือเข้าไปหยิบขึ้นมาดูชื่อผู้มีความประสงค์จะติดต่อกับผม

   อ่า คงถึงแล้ว

   ติ๊ด

   “อาฮะ”

   (อยู่ตรงไหน?)

   “พี่มาถึงแล้วหรือ” ถามคำถามโง่ๆอีกแล้วกู

   (อืม)

   “ผมนั่งอยู่ตรงทางออกท่าเรือ N6/1 อ่ะพี่” เอ่ยบอกตำแหน่งตัวเองกับคนปลายสาย

   (หือ? โอเค กำลังเดินไป) ถึงแม้จะมีเสียงอุทานด้วยความสงสัยแต่คนร่างสูงก็เลือกที่จะยังไม่ถามผ่านโทรศัพท์

   สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปแล้ว ผมเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดเช่นเดิม พร้อมกับสายตาทอดมองไปยังสายน้ำด้านหน้า เรือเล็กแบบเช่าเหมาลำที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวยามเช้าแล่นผ่านหน้าไป กลิ่นน้ำ กลิ่นควันของเครื่องยนต์เรือจางๆลอยเข้ามาปะทะจมูก แต่ก็ไม่ได้เห็นจนต้องยกมือมาปิดป้องอะไร กลับทำให้รู้สึกดีตามแบบที่คุ้นเคย

   แปะ

   “อ๊ะ”

   สัมผัสหนักบนศีรษะทำให้ผมต้องหันมองตามแล้วก็พบกับรอยยิ้มของรุ่นพี่ต่างคณะ

   “รอนานหรือยัง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยที่ยังไม่เอามือออกจากหัวผม

   ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถึงก่อนพี่แปบเดียวเอง”

   “เอ๋อ แล้วทำไมถึงนัดที่นี่” หัวคิ้วเจ้าของคำถามกระตุกชนกันนิดหน่อยประกอบความสงสัย

   “อิอิ ก็ไปเที่ยวไง”

   “หือ? ไปเที่ยว? แล้วให้กูเอารถมาจอดที่นี่ทำไม” เดือนคณะวิศวะฯปี 3 เอ่ยถามพร้อมทั้งพาตัวเองนั่งลงตรงที่ว่างข้างผม

   “ก็ที่ที่เราจะไปไม่จำเป็นต้องใช้รถราคาหลายล้านของพี่หรอก”

   “จะไปไหน?” พี่เกียร์ถามเสียงต่ำ ส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้คนคิดแผนการเที่ยวแบบไม่ปรึกษา

   “เชื่อสิว่าพี่ต้องสนุก เพราะผม...จะพาพี่ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา” เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ภูมิใจนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้

   คนที่มีความสงสัยอยู่เต็มหัวได้แต่ทำหน้านิ่งมองผมที่ลอยหน้าลอยตายิ้มตาหยี จนตัวผมเองที่มัวแต่โม้ยิ้มค้างกลางอากาศ เอ๊ะ หรือพี่มันจะไม่โอเควะ

   “เอ่อ พี่เกียร์ พี่ไปเที่ยวแบบนี้ได้ปะ ผมก็ลืมถาม” คือคุณชายเขาจะชินกับการเดินห้าง เที่ยวหรูๆมั้ย

   “แล้วทำไมคิดว่ากูจะไปไม่ได้”

   “เอ้า ก็แบบลุคคุณชายแบบพี่ไง ไปเที่ยวแบบนี้ไม่เย็นเหมือนเดินตากแอร์ในห้างนะ”

   “หึ แล้วคิดว่าว่าที่วิศวกรโยธาอย่างกู ทำงานในห้องแอร์หรอเอ๋อ” คนข้างๆตอบมาเสียงเรียบแถวยกมือใหญ่มาโคลงหัวผม
 
   “ก็คิดว่าไม่ชอบไปที่ร้อนๆคนเยอะๆ”

   “ที่ไหนมีมึง กูก็ชอบทั้งนั้นแหละ

   ขวับ

   ...ฉ่า...

   ถ้าหันไปแล้วเจอรอยยิ้มแบบนี้ กูยอมมุดเข้าฮู้ดว้อย

   ปรี๊ดดดดดดดดดด

   “ปลายทางท่าน้ำนนท์คร้าบ เตรียมตัวคร้าบ หลบผู้โดยสายลงท่าก่อนคร้าบ”

   “อ่ะ” เสียงนกหวีดของพนักงานท้ายเรือ บวกกับเสียงบอกจุดหมายปลายทางของเรือโดยสารเจ้าพระยา ทำให้ได้สติจากอาการตกใจค้างในคำพูดของคนเจ้าเล่ห์ พอหันไปมองธงที่ปักอยู่ท้ายเรือก็ทำให้รู้ได้ว่า เรือสายที่รอคอยเข้าเทียบท่าแล้ว

   “ไปพี่ ลุกเร็ว เรือมาแล้ว”

   “ห๊ะ!”

   ไม่ทันให้พี่เกียร์ตกใจ ผมก็คว้าข้อมือใหญ่ที่กำไม่รอบฉุดให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปยังท่าเรือตรงหน้า ยังดีที่อยู่ในช่วงกำลังรอคนบนเรือลงท่านี้พอดี พอได้สัญญาณจากคนที่ยืนรอข้างหน้าก้าวขึ้นไปบนเรือโดยสารคนด้านหลังก็ก้าวตามขึ้นไปจนมาถึงผมกับพี่เกียร์ที่ต้องก้าวตาม ข้อมือของคนตัวสูงที่ผมจับอยู่ๆก็บิดออกจากสัมผัสมือผมให้รู้สึกหวิวเบาๆ แต่ความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นฟองฟูลอยเต็มหัวใจเมื่อฝ่ามือใหญ่จับที่ข้อมือผมจนกำได้รอบ แล้วก้าวเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าของผม การกระทำที่เราไม่แม้แต่จะหันมาสบตากันมีเพียงผมที่มองผ่านลาดไหล่กว้างไป เห็นปลายคางที่วันนี้เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา


   ผมสารภาพเลยตรงนี้ ว่าอบอุ่นกว่าแสงแดดแปดโมงที่โลมเลีย ก็พี่เกียร์นี่แหละ


   พาก้าวมาบนตัวเรือโดยสาร พี่เกียร์ที่วันนี้มาในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีเทาเข้ม เหน็บด้วยแว่นกันแดดทรงสวย กางเกงยีนส์ขาดเข่าเล็กน้อย รองเท้าผ้าใบแบรนด์เดียวกับผมแต่คนละรุ่น เพราะรุ่นที่พี่เกียร์ใส่มันแพงมาก ทรงผมสีใหม่ที่ถูกเซ็ทลวกๆแบบที่ด้านหน้ายังหล่นมาปกคิ้วบ้าง ก็เดินนำเข้าไปข้างใน การแต่งตัวแบบผู้ชายทั่วไป แต่สำหรับพี่เกียร์มันยิ่งทำให้ทั้งหน้าทั้งหุ่นเขาดูน่าสนใจ ทำไมยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกว่าพี่เกียร์โคตรหล่อเลยวะ หมั่นไส้!






   เช้าๆวันเสาร์แบบนี้ถึงจะมีนักท่องเที่ยวเยอะแต่ก็ยังมีที่นั่งว่างอยู่ พี่เกียร์ดันตัวผมให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านในชิดกราบเรือ โดยที่ตัวเองก็นั่งติดช่องว่างกลางเรือ ไอ้ผมก็ไม่อะไรแต่ตอนนี้นั่งแล้วไง ทำไมไม่ปล่อยมือ

   พี่เกียร์หน้ามึนจับมือผมบ่อยนะ แต่วันนี้มันแปลกๆอ่า

   “เอ่อ พี่”

   “หือ?”

   “เอ่อ...” ผมปรายตามองมือตัวเองที่ถูกคนตัวสูงกำข้อมือไว้เหมือนเดิม แถมเอาไปวางไว้บนหน้าขาตัวเองอีก

   มันใช่ไหมเนี่ยยยย

   “ฮึ อะไรเตี้ย” ยัง ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก รู้นะว่ารู้ตัวอ่ะ

   “เอ๊ะ พี่นี่”

   “หึหึ จับไว้แหละดีแล้ว เดี๋ยวปลาทองแถวนี้จะโดดลงไปเล่นน้ำ” ประโยคหยอกล้อที่หน้าตาคนพูดก็ล้อเลียนผม

   “นี่พี่เกียร์ ผมเป็นคน ไม่ใช่ปลาทอง”

   “โอ๊ย! ต่อยทำไม เดี๋ยวจะโดน” คนตัวสูงยกแขนที่ว่างอีกข้างกุมที่ต้นแขนข้างที่ถูกผมปล่อยหมัดไปกระแทก ไม่แรงแต่ก็มีปวดหนึบๆล่ะวะ

   “เฮอะ สมน้ำหน้า ต่อยแค่นี้ทำสำออย” หันไปแลบลิ้นปิดท้ายประโยคใส่คนข้างๆ

   “นั่งนิ่งๆไปเลย” เสียงเรียบนิ่งว่าตามนั้นแต่มือที่เหมือนคีมเหล็กก็ไม่ปล่อยออกจากข้อมือผมอยู่ดี เออ แล้วแต่เลยแล้วกัน จับให้ตลอดนะ ฮึ่ยยย

   “พี่เกียร์ ผมถามอะไรหน่อยดิ”

   “ว่า?” ตอบรับนะ แต่ตามองไปริมแม่น้ำนู่น

   “ทำไมหลายวันที่ผ่านมาพี่ไม่เห็นถามผมเลยอ่ะ ว่าตกลงจะมากับพี่หรือเปล่า?” คำถามที่คาใจอยู่หลายวันหลุดออกจากปากผมจนได้

   “ไม่อ่ะ”

   “ทำไม?” ผมคิ้วชนกันกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ อะไรของพี่มันวะ

   “เดี๋ยวมึงปฏิเสธ”

   “ห๊ะ!”


   ...ก็คิดได้เนอะ...


   “ตกใจไรเตี้ย แล้วนี่จะพากูไปไหน?” คนนัยน์ตาคมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ไม่สนที่จะอธิบายสิ่งที่ผมสงสัยไปมากกว่านี้

   “ก็ไปเที่ยวไง พี่คงเที่ยวห้าง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์มาเยอะแล้ว ไปวัดทำบุญ ตะลุยหาของกินอร่อยๆดีกว่า” ร่ายยาวให้คนตัวสูงฟัง

   “ฮึ ไม่พ้นเรื่องกิน”

   “เฮ้ย พี่อย่าดูถูกนะ ขนมที่วังหลังโคตรรอร่อย แต่ก่อนไปถึงวังหลังเดี๋ยวเราแวะวัดอรุณฯก่อน เคยไปปะ”

   “ไม่เคย”

   “ดีเลย งั้นเดี๋ยวผมพาไป แล้วที่นี้เราก็จะข้ามฟากไปวัดโพธิ์ แล้วก็เดินไปท่ามหาราช ต่อด้วยข้ามฟากอีกทีไปวังหลัง หาอะไรกินแล้วก็เดินไปให้อาหารปลาที่วัดระฆัง แล้ว แล้วไปไหนอีกดีนะ” ท้ายประโยคยาวเหยียดผมพึมพำกับตัวเอง โดยลืมสงสัยไปว่าคนข้างตัวเอาแต่เงียบ

   พอเงยหน้าหันไปมองก็สบตากับรุ่นพี่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ากำลัง...เอ็นดู

   “ยิ้มอะไรเนี่ย”

   “ทริปนี้นอกจากกูจะอิ่มท้องแล้ว คงอิ่มบุญด้วยสินะ ฮ่าๆ”

   “แน่นอน เอ๊ะ หรือว่าพี่เข้าวัดไม่ได้ ร้อนหรอ? คิกคิก โอ๊ย นี่หน้าผากคนนะไม่ใช่ลูกแก้ว ดีดอยู่ได้” ผมยกมือข้างที่ว่างลูบหน้าผากป้อยๆ

   “หมั่นไส้”

   “ไม่ได้เข้าวัดนานล่ะสิ”

   “รู้ดี”

   “แน่นอน มองหน้าพี่ก็รู้ละ คนใจบาปที่แท้จริง”

   “ถ้ายังไม่หยุดแซะกู กูจะทำบาปกับมึงตอนนี้เลยเตี้ย”

   “อะไร พี่จะทำอะไรผม ทำบาปเยอะเดี๋ยวทำบุญล้างไม่หมดนะ ฮ่าๆ”

   กึก

   อุ๊บ!

   ผมรีบหุบปากฉับแถมยกมือมาปิดปากทันทีทันใด เพราะอยู่ดีๆพี่เกียร์ก็โน้มหน้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ระยะห่างใบหน้าตอนนี้ใกล้แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ใกล้กว่าที่ระยะโฟกัสของตาผมจะทำงานได้ดี พอตั้งตัวได้ผมก็เบนหน้าหนีไปอีกที พร้อมกับยกมือดันหน้าคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่าง


   ระยะนี้โคตรอันตราย


   คนเต็มเรือไม่ได้ช่วยให้ไอ้พี่เกียร์มีความอายเลยสักนิด แม่ง

   “เอาหน้าออกไปไกลๆเลย “

   “หึ นึกว่าจะเก่ง”

   “เก่งสิ ผมอ่ะคนเก่ง”

   “งั้นคนเก่งช่วยควบคุมหน้ากับหูตัวเองไม่ให้แดงก่อนสิ ยังไม่ทันเข้าวัดก็ร้อนจนแดงไปหมดทั้งหน้าแล้ว”

   ฟึ่บ

   “อะ..ไอ้พี่...ว้อยยย” ผมยกมือข้างเดียวที่เหลือกุมหน้ากุมแก้มตัวเอง หันหน้าออกไปมองวิวริมฝั่งแม่น้ำหลบวิวที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของเจ้าเล่ห์ข้างตัว ยังไม่ทันจะไปถึงไหน จะแกล้งอะไรพร่ำเพรื่อขนาดนี้เนี่ย กว่าจะเที่ยวครบทุกที่ผมไม่เหนื่อยตายกันหรือไง ไม่ได้เดินจนเหนื่อยนะ แต่ใจเต้นแรงจนเหนื่อยเนี่ย







   เรือธงส้มพาเราทั้งสองคนล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยามาเรื่อยๆจนมาหยุดที่ท่าเรือที่ผมตั้งใจจะลง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของทริปนี้ ทริปที่พี่เกียร์เรียกมันว่า เดท

   พระปรางค์องค์ใหญ่สีขาวนวลตาตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกนักท่องเที่ยวได้ดีว่าถึงวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหารเรียบร้อยแล้ว เมื่อก้าวเหยียบท่าเรือก็ออกเดินตามนักท่องเที่ยงทั้งไทยและเทศที่ลงมาหวังจะเยี่ยมชมความงดงามของพระปรางค์ และรูปปั้นยักษ์ที่เป็นต้นกำเนิดท่าเตียนอย่างยักษ์วัดแจ้ง พี่เกียร์ปล่อยมือจากข้อมือผมแต่เอาตัวเองมาเดินซ้อนไหล่แทน กลิ่นอาฟเตอร์เชฟประจำตัวลอยเตะจมูกทำให้รู้ว่าเจ้าของกลิ่นไม่ได้เดินทิ้งห่างผมแน่ๆ พอเดินเข้ามาในลานวัดก็ทำให้กวาดตามองเห็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่ยังคงความงดงามตามอารยธรรมโบราณอยู่

   พอเห็นแบบนี้ก็เริ่มกังวลว่าทริปที่ผมคิดขึ้นมาไม่ปรึกษาจะสร้างความหงุดหงิดให้คนที่มาด้วยหรือเปล่า เพราะพี่แกเล่นเงียบตั้งแต่ลงจากเรือ เลยตัดสินใจหันกลับไปสังเกตสีหน้าว่าทำหน้ายังไงอยู่ พาคนแบบพี่เกียร์มาวัด รู้ถึงหูไอ้ภาคมันคงด่าว่าเอาปลายนิ้วก้อยเท้าคิดแล้วใช่ไหม

   “เอ่อ พี่ คือ...”

   “มีอะไร?” ปากถามแต่ตาไม่มองผมอีกละ

   “คือว่า..”

   “เตี้ย นั่นยักษ์วัดแจ้งในตำนานปะ เหมือนจำได้ว่าเคยเรียนตอนมัธยม”

   “หื้อ อ่า ใช่ๆ ที่ตีกับยักษ์วัดโพธิ์เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืน ตีกันจนแถวนี้ราบเป็นหน้ากลองเขาเลยเรียกว่าท่าเตียน” เอ่ยอธิบายประวัติคร่าวเท่าที่จำได้

   “ฮ่าๆ เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืนนี้ทำคนทะเลาะกันไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ในตำนานเลยเนอะ” คนตัวสูงเอ่ยออกมาพร้อมกับยกโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาถ่ายรูปยักษ์วัดแจ้งที่เป็นรูปปั้นตั้งตระหง่านเฝ้าหน้าประตูวัด การกระทำที่ทำให้ผมยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว

   “พี่จะไม่เบื่อแน่นะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามออกไป แต่ก็หลุดปากออกไปแล้วแหละ

   “เออน่า คิดมากนะเอ๋อ ไปๆ ยืนข้างยักษ์หน่อย” ไม่พูดเปล่าแต่ใช่แขนแข็งแรงพาดไหล่แล้วออกแล้วพาผมไปใกล้กับรูปปั้นยักษ์

   “เห้ย ให้ผมยืนทำไม”

   “นิ่งๆดิ”

   แชะ!!

   ครับ ไอ้พี่บ้าพาผมมายืนข้างยักษ์ แล้วก็จัดการถ่ายรูปผมกับยักษ์วัดแจ้ง

   “เดี๋ยวๆ เอามาดูหน่อย จะถ่ายทำไมไม่นับ ยังไม่ได้ยิ้มเลย” ผมรีบวิ่งมาตั้งท่าจะคว้าขอดูรูปในโทรศัพท์

   “หน้ามึงบึ้งกว่ารูปปั้นยักษ์อีก ฮ่าๆ”

   “เห้ยพี่ ไหนดูดิ โอ้ยยยย ลบเลยนะ น่าเกลียดอ่ะ ถ่ายใหม่ก็ได้แต่ขอยิ้มดีๆก่อนดิ” พอเห็นรูปผมก็โวยวาย หน้ายู่ปากยื่น
 
   “ฮ่าๆ น่าเกลียดตรงไหน”

   “ก็ตรงที่หน้าบึ้งเหมือนยักษ์เนี่ย”

   “น่ารักจะตาย ฮ่าๆ”

   “...”

   “ไปๆ ยืนอึ้งอะไร เป็นไกด์นำเที่ยวยังไงฮะ ไหนพาไปตรงนั้นหน่อยสิ” คนตัวสูงว่าพร้อมกับใช้สองมือจับไหล่ผมด้านหลังแล้วออกแรงดันให้เดินนำหน้า แล้วพี่เกียร์ก็เปลี่ยนท่าทางแบบที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าโอบไหล่อยู่

   และมองจากดาวพลูโตก็รู้ว่าเจ้าของไหล่อย่างผมก็ยินดีให้เป็นแบบนี้





   ผมเดินนำพี่เกียร์มาที่พระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งพอพ้นเข้ามาในรั้วขององค์พระปรางค์พี่เกียร์ก็เอาแขนที่พาดไหล่ลงข้างตัว เดินข้างกันเงียบๆ ตาก็มองไปยังความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระปรางค์องค์นี้ มีหยุดถ่ายรูปบ้าง คุยกันถึงความสวยงามบ้าง แดดตอนสายที่เริ่มจะร้อนแสบผิวขึ้นมาบ้าง ผมที่ใส่เสื้อแขนยาวอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนตัวสูงนี่สิ เสื้อแขนสั้นแล้วยังบางอีก

   “ร้อนปะ?”

   “ถามถึงอากาศหรือจะแซ็ว” คนถามหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แหม แซ็วครั้งเดียวทำระแวงไปได้

   “อากาศสิ แดดเริ่มร้อนแล้วเนี่ย”

   “ทำไม มึงร้อนหรอ งั้นเข้าร่มปะ” ไม่พูดเปล่าแต่พี่แกรีบพาผมมาเดินมาตรงศาลาริมน้ำที่มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวนักพัก

   “จริงๆผมถามเพราะกลัวพี่ร้อนต่างหาก ดูดิ เหงื่อท่วมเลย”

   “งั้นเช็ดให้หน่อย” เดี๋ยวๆ ยื่นหน้ามางี้เลยหรอ

   “เอ้า เช็ดเองดิ”

   “เร็วๆเอ๋อ” ยัง ยังไม่เลิกจ้องหน้าอีก นี่มันในวัดในวานะพี่

   “เออๆ” ตอบรับพร้อมเอาแขนเสื้อของตัวเองนี่แหละยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าและไรผมให้คนเจ้าเล่ห์ ที่ทำหน้าพริ้มเหลือเกิน

   “ขอบคุณ...ครับ”


   ...จะครับทำม้ายยยย...


   “หึ่ย ไม่ต้องมาครับ ตอนเช้าพี่กินอะไรมาเนี่ย ทำไมพูดมากจัง” สิ่งที่อยู่ในความคิดผมตั้งแต่อยู่บนเรือแล้วครับ วันนี้พี่เกียร์พูดเยอะกว่าปกติมากๆ

   “ไม่ดีหรือไง” คนตรงหน้าที่ยืดตัวกลับไปยืนเหมือนเดิมถามกลับมา

   “มันก็ดี ผมแค่แปลกใจเฉยๆ”

   “นอกจากเป็นปลาทองเอ๋อแล้ว ยังเป็นปลาทองขี้สงสัยอีกนะ”

   “ปลาทองอะไรเล่า!! นี่คนโว้ย”

   “ฮ่าๆ นี่ไงปลาทอง ทำแกล้งพองลมเป็นปลาทองพ่นน้ำอีกละ”

   “หยุดล้อเลยนะ!!” เถียงไม่ชนะผมก็ได้แต่หมุนตัวเดินออกมาทางท่าเรือ ไม่ทำบุญวัดนี้ละ เดี๋ยวค่อยไปทำที่วัดระฆังก็แล้วกัน

   พี่เกียร์เดินตามผมออกมายังท่าเรือเพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปอีกวัดที่มีรูปปั้นยักษ์ที่เป็นคู่อริกับยักษ์วัดแจ้งอย่างยักษ์วัดโพธิ์ แวะไปสักการะพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่แม่เคยมาพามาไหว้เมื่อนานมาแล้วสักหน่อย คือผมเกิดวันอังคารไงแล้วพระพุทธรูปประจำวันเกิดก็ปางไสยาสน์นี่แหละครับ รอเรือข้ามฟากอยู่ไม่นานก็ได้ขึ้นเรือโดยที่ค่าเรือทั้งตอนแรกและตอนนี้พี่เกียร์ก็ตัดหน้าจ่ายแทนผมทั้งหมด รั้นไปก็เท่านั้น ดีเหมือนกันค่าขนมผมเหลือเพียบ มากพอที่จะให้ไปถล่มร้านขนมที่วังหลัง




ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2





   พอข้ามฟากมาถึงท่าเรือท่าเตียน ก็เดินออกจากท่าเรือแล้วเดินลัดเลาะตามฟุตบาทเพื่อเดินไปวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ที่หลายคนรู้จัก การเยี่ยมชมวัดนี้มีขั้นตอนกว่าวัดอรุณนิดหน่อยคือต้องมีการถอดรองเท้าแล้วนำรองเท้าใส่ถุงผ้าสีดำหิ้วเข้าไปด้วย เพื่อป้องกันรองเท้าหาย ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมความงดงามมากมาย นี่ก็คงถือเป็นวิธีที่ดีไม่น้อย การก้าวเข้าไปในตัววิหารพระพุทธไสยาสน์สิ่งที่สัมผัสได้สิ่งแรกคือความเย็น เย็นจนใจสงบ
 
   “เย็น” ขนาดคนข้างตัวผมยังหลุดปากออกมา

   “อื้ม เย็นมาก นี่พระพุทธไสยาสน์ ปางประจำวันเกิดผม” ผมหันไปบอกเบาๆกับคนที่เดินซ้อนหลังอยู่ คนที่เดินเข้ามาก็มีจำนวนไม่น้อย พี่เกียร์เลยดันผมให้มาเดินด้านหน้าโดยที่บางจังหวะหยุดเดินแผ่นหลังผมก็ชนกับอกแกร่งของคนหุ่นดี

   “เกิดวันอังคารหรอ?”

   “ครับ แล้วพี่?”

   “วันพฤหัสฯ”

   “อ่า แล้วพี่เกิดเดือนไหนอ่ะ”

   “ทำไม จะเอาไปดูดวงหรือไง” เสียงพูดแกมหยอกลอยมาข้างหู ใครมันจะทำอย่างนั้นเล่า

   “บ้าเหอะ บอกมาเหอะน่า แต่ไม่บอกก็ตามใจ”

   “หึ เดือนกุมภา” เสียงทุ้มตอบสิ่งที่ผมอยากรู้

   “วันที่ 14 ด้วยปะ อิอิ”

   “เดาเก่งนี่”

   “ห๊ะ จริงอะ พี่เกิดวันวาเลนไทน์หรอ?” ผมหันขวับไปถามคนตัวสูงอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าตื่นเต้นอะไรเหมือนกัน แต่ผมแค่เดาเล่นๆก็ถูกขึ้นมาเฉยๆ

   “จะตื่นเต้นทำไมอีกเตี้ย หันไปเดินดีๆ เดี๋ยวก็ชนคนอื่นล้ม” พี่เกียร์ว่าพลางส่ายหน้ายิ้มเอือมๆใส่ แล้วก็ใช้มือใหญ่จับผมพลิกตัวให้หันไปเดินดีๆ  พอมาถึงตำแหน่งหนึ่งเราสองคนวางถุงรองเท้าลงข้างตัวแล้วยกมือไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่พร้อมกัน

   “ผมเกิดเดือนพฤศจิกาฯนะ” อยู่ดีๆผมก็หันไปบอกรุ่นพี่ตัวสูง ไม่มีเหตุผลที่ต้องบอก รู้แค่ว่าผมก็อยากให้พี่เขาได้รู้อะไรเกี่ยวกับผมเหมือนกัน พี่เกียร์ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มรับ แล้วก้มลงหยิบถุงรองเท้าของตัวและของผมไปถือไว้ด้วยมือเดียว การกระทำเล็กๆน้อยๆที่ทำให้หัวใจพองโตเป็นบ้า








   ก้าวออกจากวิหารโดยไม่มีใครพูดอะไร เดินข้างกันเงียบๆ เยี่ยมชมรอบๆอาณาบริเวณวัดที่ร่มรื่น ถึงแม้จะมีแสงแดดส่องลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ลงมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อนมากมายอะไร พอเดินจนทั่วแล้วก็เลยตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิมเพื่อไปยังท่ามหาราช ท่าเรือที่ปรับสไตล์ใหม่ให้มีร้านค้าร้านอาหารแบรนด์ดังมาเช่าพื้นที่ให้บริการนักท่องเที่ยว การเดินเท้าริมฟุตบาทของหนึ่งคนขาวยาวและหนึ่งคนขาสั้นอย่างผมก็ใช้เวลาสักพัก เมื่อเดินมาถึงจุดหมายที่สามของทริปวันนี้ และคงเลือกเป็นที่พักผ่อนก่อนจะข้ามฟากไปอีกฝั่งเพื่อเดินตลาดวังหลัง

   เราสองคนเลือกคาเฟ่เล็กๆ ไม่สิ ผมนี่แหละเลือก ด้วยอากาศที่ร้อนก็เลยอยากพาคนตัวสูงที่เหงื่อท่วมแต่ไม่บ่นสักคำเข้าไปตากแอร์เย็นๆสักหน่อย สั่งกาแฟกับขนมหวานมาเพิ่มน้ำตาลในเลือดเรียกพลังงานกันดีกว่า ภายในร้านตกแต่งด้วยเก้าอี้ไม้สีนวลๆน่ารักมากๆ

   “พี่เกียร์เอาน้ำอะไรอ่ะ เดี๋ยวผมไปสั่งให้” พอจับจองที่นั่งริมกระจกได้ ผมก็หันไปถามเจ้าของนัยน์ตาคม

   “อะไรก็ได้” เจ้าของคำตอบเปล่งเสียงออกมาทั้งๆที่ยังก้มหน้าทำอะไรยุกยิกกับโทรศัพท์

   “ไม่มีอ่ะ ที่นี่น่าจะไม่มีน้ำอะไรก็ได้นะ”

   “กวนตีนนะเอ๋อ งั้นเอาคาปูฯปั่น” เงยหน้าจากโทรศัพท์มาชี้หน้าผมแล้วถึงตอบได้ว่าจะกินอะไร

   “แค่นี้ก็จบเรื่อง เอาอะไรอีกไหม”

   “ไม่อ่ะ มึงจะกินอะไรก็สั่งมา”

   “อันนี้ไม่ต้องบอก รายการขนมเต็มหัวผมละ คิคิ” เรื่องกินไม่ต้องบอก เจ้าไม่เคยพลาด แถมตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้วเพราะเข้าใกล้เวลาอาหารมื้อกลางวัน

   “ปลาทองอ้วน”

   “โหย พูดงี้มาต่อยกับผมมั้ยพี่เกียร์”

   “ปากเก่ง ไปรีบไปสั่ง”

   “ชิ” พอเถียงไม่ชนะผม(?) ก็ทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง หึ ไปสั่งขนมดีกว่า



   หลังจากสั่งรายการขนมและเครื่องดื่มเสร็จ ก็ใช้เวลารอไม่นานขนมที่ต้องการก็มาเสิร์ฟ เราสองคนก็กินไปคุยกันไปเรื่อยๆ ยอมรับว่าในบทสนทนาผมนี่แหละที่พูดมากกว่า เรื่องส่วนใหญ่ก็วนๆเกี่ยวกับชีวิตประจำวันกับเรื่องส่วนตัวนิดๆหน่อยๆที่พอจะเปิดให้อีกคนได้รับรู้

   “กินหมดนี่ จะยังกินข้าวเที่ยงอีกมั้ย?” พี่เกียร์มองจานเค้กช็อกโกแลตกับฮันนี่แพนเค้กตรงหน้าสลับกับมองหน้าผม

   “กินสิ นี่ไม่ใช่ข้าวสักหน่อย” ปากตอบแต่มือก็ยังไม่หยุดตักเค้กเข้าปาก มันอร่อยจริงๆนะ ฟินนนนน

   “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ กับหน้าเอือมที่ส่งมาให้ผม แต่ไม่รู้สึกหรอก อะโธ่







   ระหว่างที่เรากำลังกินขนมหวานรองท้องกันอยู่ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองมา ก็เลยหันไปรอบๆตัว และพบกลุ่มนักท่องเที่ยวสาว 3 คนที่หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นคนไทย เดาอายุแล้วคงรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม นั่งอยู่โต๊ะมุมด้านในสุดภายในร้าน ทั้งกลุ่มมองมาทางเราสองคน แล้วก็อย่าให้ต้องเดาเถอะ มองคนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามผมชัวร์ๆ พนันกับผมได้เลย!!!

   หล่อทิ้งหล่อขว้าง หล่อเกินความจำเป็น หึ่ย หมั่นไส้ อาการของคนเราเวลาหมั่นไส้คือโหวงๆในใจปะครับ ยุบยิบๆเหมือนมดแดงไฟกัดหัวใจอ่ะ และที่เด่นชัดตอนนี้คือไม่ชอบเลย จะจ้องอะไรนักหนา คนกำลังกิน

   ในระหว่างที่ผมกำลังหัวเสียอยู่นั้น หนึ่งในผู้หญิงโต๊ะนั้นก็ลุกขึ้นยืน เธอมีใบหน้าขาวใสตรงแก้มขึ้นสีเรื่อตามสภาพอากาศของประเทศไทย ตาเล็กเรียวแต่ถูกแต่งเติมให้คมชัดขึ้นด้วยเครื่องสำอาง ปากบางยิ้มหวานส่งมาทางเราสองคนโดยที่คนตัวสูงตรงข้ามผมไม่ได้รู้ตัวเลย จิบกาแฟมองไปนอกร้านนู่น หึ ในช่วงนาทีของเวลาที่ผมกำลังคิดเธอก็เดินทางที่โต๊ะผม ผมเบือนหน้าหนีไปนอกร้านเช่นเดียวกับคนที่นั่งตรงข้าม ช้อนในมือก็ตักเค้กเข้าปากรีบกินรีบหมด เจ้าจะไปวังหลัง ขี้เกียจอยู่แล้วว้อย

   “ขอโทษนะคะ” เสียงเล็กใสเข้ากับบุคลิกของคนพูดเอ่ยขึ้นมา ทักพี่เกียร์อยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกเนอะ

   “ครับ” หูผมได้ยินพี่เกียร์เอ่ยตอบรับ ก็เลยมองหน้าเขา สีหน้าแววตานิ่งจนเดาไม่ออก เอ๊ะ หรือตะลึงความสวยเขาวะ

   “คือ เราทรายนะ เอ่อ คือเราอยากรู้จัก...”

   เคร้ง

   “พี่เกียร์ ผมอิ่มแล้วนะ เดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำก่อน เสร็จละโทรมานะครับ” เสียงช้อนกระทบจานเบาๆพร้อมกับเสียงผมที่เอ่ยบอกคนตรงข้ามโดยที่ยังไม่หันไปสบตาผู้ร่วมโต๊ะคนใหม่

   “เอางั้นหรอ?” เสียงทุ้มตอบกลับมาแค่นั้น

   “เอ่อ ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะ เราแค่อยากรู้จักนายอ่ะ” สัมผัสปลายนิ้วที่จิ้มลงมาที่ต้นแขนผมพร้อมกับเสียงใสที่เอ่ยบอกประโยคนั้น

   “หืม ระ..เราหรอ?” ผมหันไปมองหน้าเธอแล้วก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อย้ำกับเธออีกครั้งว่า เธออยากรู้จักผมหรอ แน่ใจนะ ไม่ใช่คนตัวสูงหน้านิ่งตรงนี้หรอ


   ...คดีพลิก...


   “อื้ม นายชื่ออะไรอ่ะ?” หญิงสาวตัวเล็กเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจนตาหยีไปหมดเลย

   “คือ เราชื่อ...”

   “เตี้ย! ไหนจะไปเข้าห้องน้ำ” เสียงนิ่งๆของพี่เกียร์ดังขึ้นขัดจังหวะการแนะนำตัวของผม ทำให้ทั้งผมและเธอคนที่ชื่อทรายหันไปมอง

   อื้อหือ กินของหวานแล้วดุหรอคุณชาย


   “เออ ไปๆ...ขอโทษนะครับ ผมชื่อเจ้าพระยา แต่ตอนนี้ผมรีบมากเลย ขอบคุณที่อยากรู้จักนะครับ” ต้นประโยคผมหันไปพูดกับผู้ร่วมทริป แล้วถึงหันไปบอกทรายด้วยรอยยิ้ม และถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองหายหงุดหงิดเฉยเลย

   “อ้าว หรอคะ งั้นหวังว่าจะได้เจอกันอีกนะเจ้าพระยา” เธอส่งรอยยิ้มไมตรีจิตมาให้เต็มที่ ซึ่งผมก็ควรรู้สึกอิ่มเอมกับรอยยิ้มนั้น แต่ทำไมรู้สึกร้อนๆหนาวๆวะ เหมือนราหูจะเข้าแทรก

   “อ่า ครับๆ”

   ครืด

   ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยมีพี่เกียร์ลุกตาม ก่อนเดินออกมาไม่ลืมที่จะพงกหัวขอโทษทรายอีกครั้ง และตอนที่จะเดินผ่านคนตัวสูงไปตรงประตูของร้าน

   “อ๊ะ”

   ขวับ

   ผมรีบหันไปสบตากับเจ้าของแขนแกร่งที่อยู่ๆก็ยื่นมาโอบเอวผมแล้วดึงเข้าหาตัว ตอนเดินก็ไม่ได้ตั้งตัวว่าจะถูกดึงแบบนี้เลยทำให้เสียจังหวะจนเอนไปกระแทกเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของคนตัวสูง แววตานิ่งที่จ้องเข้ามาในตาผมมันนิ่งจนสะท้อนเห็นเงาผมในแววตานั้น

   “พอจะไปก็ไม่รอพี่เลยนะเจ้า วันนี้เรามา เดท กันนะครับ”

   กึก

   เสียงทุ้มนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์มากสำหรับคนที่พบเห็น แต่ถ้ามารู้จักอย่างที่ผมรู้แล้วนั้น นี่มัน


   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์


   ฮืออออ รู้นะว่าโดนแกล้ง แต่ลูกโป่งในใจพองอีกแล้วววว ทั้งพี่ทั้งครับมาหมดเลยนะไอ้พี่เกียร์

   “อะ..เอ่อ” เสียงของตัวเองที่อยู่ดีๆก็ยากที่เปล่งออกมาจากลำคอ กล่องเสียงช็อตไปชั่วขณะแล้วกู

   “ขอตัวนะครับ” คนตัวสูงที่ยังไม่ปล่อยมือออกจากเอวผมก็หันไปพูดกับหญิงสาวหนึ่งเดียวตรงนี้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมที่มัวแต่ก้มหน้าเลยไม่เห็นว่าทรายทำหน้ายังไง

   “ค่ะๆ แหะๆ เที่ยว เอ้ย เดทกันให้สนุกนะคะ”

   “ขอบคุณครับ” ยัง ยัง ยังไปตอบเขาอีก ไหนว่าให้รีบออกไปเนี่ย

   ผมก็เลยวิ่งออกจากร้านมาก่อนพี่เกียร์ มองหน้าป้ายห้องน้ำเพื่อเข้าไปสงบจิตสงบใจเพราะมันเต้นแรงกับคำว่า เดท ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่น จากตอนแรกที่หงุดหงิดเพราะคิดว่าเขามาสนใจพี่เกียร์ แต่ตอนนี้กลับต้องมาหงุดหงิดเพราะตัวเองหัวใจเต้นแรงกับคำพูดนิ่งๆของคนที่ตอนนี้โคตรมีอิทธิพลกับใจเลย

   อ่อนด๋อยมากเจ้าพระยา



   หลังจากลูบหน้าลูบอกจนเข้าสู่ภาวะปกติ ก็ออกมาเจอพี่เกียร์ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ แต่ผมก็ดันไม่กล้าสบตาเขาขึ้นมาดื้อๆเลยได้แต่เดินนำไปทางท่าเรือท่ามหาราชเพื่อข้ามฟากไปยังฝั่งท่าเรือพรานนกที่เป็นที่ตั้งของตลาดวังหลัง แหล่งรวมของกินรสชาติเลิศหรูแต่ราคาสบายกระเป๋า สมัยเรียน ม.ปลาย ผมกับพวกไอ้ภาค ไอ้อินก็ชอบมาเดินนะ เพราะมาล่าทาโกยากิของร้านซูชิชื่อดัง

   พอซื้อตั๋วอะไรเรียบร้อยเราก็เดินขึ้นเรือที่จอดรออยู่พอดี แต่ด้วยความที่ขึ้นช้าที่นั่งถูกจับจองไปหมดแล้ว ก็เลยเลือกที่ยืนตรงท้ายเรือ และเชื่อมั้ยว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สบตาคนเพิ่งแสดงความเป็นเจ้าของผมต่อหน้าสาวในร้านกาแฟเลย ถึงจะไม่บอกว่าแฟนแต่มันก็ไม่ต่างแหละว้อย แล้วหลายสัปดาห์มานี้การกระทำของพี่เกียร์ก็ชัดเจนขึ้นทุกวัน ชัดเจนจนเกิดคำถามจากคนรอบตัวมากมายว่า เราสองคนเป็นอะไรกัน คำตอบที่ผมก็ตอบได้ตามความจริงแค่ว่า พี่น้องต่างคณะ มันแค่นั้นจริงๆ ทั้งที่ความรู้สึกจริงๆของผม


   เกินกว่านั้นไปแล้ว


   ครับ ผมยอมรับหัวใจตัวเองแล้ว


   แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ยังเป็นเจ้าพระยาคนที่อ่อนต่อโลกของความรักอยู่ดีที่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามเขาออกไปหรอก ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน เพราะสิ่งที่เรารู้สึกต่อกัน การกระทำที่ปฏิบัติต่อกัน มันก็เพียงพอแล้วจริงๆกับความต้องการของผม พี่เกียร์คือคนสำคัญของผม

   “คิดอะไรอยู่” คำถามที่ดังขึ้นแบบไม่มีที่มาที่ไปจากคนที่ยืนข้างๆผม สายตาที่ทอดมองออกไปนอกตัวเรือแบบไม่รู้ว่าโฟกัสอยู่ตรงไหน ทำให้ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบแบบไหน

   “ทำไมถึงคิดว่าผมคิดอะไรอยู่”

   “คิ้วนี่ไง” นิ้วแกร่งชี้เข้ามาที่ระหว่างคิ้วของผมที่คาดว่าหัวคิ้วจะกระตุกเข้ามาใกล้กัน

   “เอ่อ..” ตอบสิเจ้า ว่าไม่มีอะไร เสียงรอบข้างยังไม่ดังมากเพราะเรือยังจอดรอผู้โดยสารอยู่

   “เครียดอะไร ที่กูทำเมื่อกี้หรอ?”

   “เห้ย เปล่านะ”

   “แล้ว?”

   “ไม่มีอะไร ผมแค่หิว แหะๆ” หันไปตอบแล้วขำแห้งใส่พี่เกียร์ เหตุผลนี้เข้าท่าอยู่ แต่ผมคงลืมไปว่า...

   “เป็นปลาทองชอบโกหกหรอเอ๋อ”

   นั่นไง

   “หิวจริงๆ อยากกินทาโกยากิจังเลยยยย” ถ้าผมยืนกรานกระต่ายขาเดียว ใครจะกล้ามาซัก เอามือลูบท้องให้เห็นว่าหิวจริงๆ

   “หึ”

   พอสัญญาณเรือจะออกจากท่าดังขึ้น บทสนทนาก็เงียบลงไปเฉยๆ เป็นความเงียบที่ไม่ได้มีความอึดอัด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเราต่างคิดอะไรในหัวหรือเปล่า ท่อนแขนที่สัมผัสกันเบาๆในจังหวะที่เรือโคลงอยู่กลางน้ำก็ทำให้อะไรต่างๆในหัวของผมหลุดออกไป มีสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้คือ แค่อยู่ข้างกันแบบนี้ก็ดีแล้ว

   พี่จะคิดเหมือนผมไหมนะ











   ใช้เวลาประมาณห้านาทีเราทั้งสองคนก็ข้ามมาถึงท่าเรือพรานนกซึ่งมีทางเดินออกไปยังตลาดวังหลังโดยตรง บริเวณนี้เป็นตลาดด้านหลังโรงพยาบาลศิริราช ร้านค้าจำหน่ายสินค้าหลากหลายตั้งแต่อาหารจนไปถึงของใช้เสื้อผ้าต่างๆ เป้าหมายหลักของมื้อกลางวันของผมคือร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังย่านนี้ หากเปิดรีวิวในเว็บชวนชิมก็คงมีชื่อร้านนี้ติดโผแน่นอน แต่ด้วยวันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้จำนวนคนที่มาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดนี้หนาแน่น ช่องทางการเดินก็แคบจนสามารถเดินสวนกันได้แค่แถวตอน ซึ่งก็ทำให้ตอนนี้พี่เกียร์ใช้แขนแกร่งดันผมให้มาเดินด้านหน้าแล้วยกแขนพลาดไหล่แบบเคยชิน เวลาผมมัวแต่มองร้านค้าด้านข้างจนลืมมองทางเดินพี่เกียร์ก็ใช้แขนล็อกคอบังคับทิศทางการเดินของผมแบบที่ว่าแทบไม่ชนใครเลย

   ...ปลอดภัย...

   สิ่งนี้สินะที่ฟูเต็มห้วงความรู้สึกในตอนนี้



   เดินหลบหลีกคนอยู่ไม่นานก็มาถึงร้านที่เป็นเป้าหมาย หากแต่ไม่สามารถเข้าไปนั่งได้ทันทีเพราะคนเยอะมากเลยต้องรอเรียกคิวก่อน ก็เลยยืนรออยู่ตรงหน้าร้านจุดที่ได้ยินเสียงพนักงานเรียกได้ง่าย รอไม่นานก็ถึงคิวจากนั้นต่างคนก็ต่างสั่งอาหารโดยเขียนจำนวนลงในกระดาษที่มีรายการอาหารอยู่แล้ว ทนหิวไม่นานอาหารญี่ปุ่นที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ มีทั้งซูชิหน้าต่างๆ ซาชิมิ และที่ขาดไม่ได้คือทาโกยากิไส้ปลาหมึกสุดโปรดของผม

   “กินช้าๆ ไม่ต้องกลัวกูแย่งขนาดนั้น”

   “แหะๆ ก็มันหิวอ่ะ”

   “รู้แล้ว เดี๋ยวจุก”

   “คร้าบๆ” แล้วความเร็วในการกินของผมก็ลดลง 20% ตามคำสั่งของรุ่นพี่ที่นั่งตรงข้าม

   “เอ้อพี่ ผมติดสั่งไส้หมึกเยอะกว่าอ่ะ พี่กินได้มั้ย แต่มีกุ้งด้วยนะ”

   “อืม กินได้”

   “เย้ ผมนี่โคตรชอบไส้ปลาหมึก รับรองว่าพี่ก็ต้องชอบ เดี๋ยวหาให้ลองทั้งสองไส้เลย” คุยโวจบผมก็เอาตะเกียบแหวกทาโกยากิหาไส้ปลาหมึกกับไส้กุ้งให้พี่เกียร์ได้ลอง แต่ปลาหมึกอร่อยกว่าแน่นอน

   พอเจอครบก็คีบไปใส่จานตรงหน้าคนตัวสูง ซึ่งเขาก็เอาตะเกียบคีบก้อนทาโกยากิกลมๆเข้าปากที่ละลูก ระหว่างที่เคี้ยวผมก็รอลุ้นว่าคนตัวสูงจะชอบตามคำโฆษณาของผมหรือเปล่า แต่ไส้ปลาหมึกมันอร่อยกว่าจริงๆนะทุกคน มันหนึบๆอ่ะ

   “อืม ก็อร่อยดี” พี่เกียร์เอ่ยออกมาหลังลองชิมไปทั้งสองลูก

   “เห็นมั้ย บอกแล้วพี่ต้องชอบ” ผมยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้รับแถมยังไม่ลืมที่จะเอ่ยย้ำความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปอีก

   “อือ ชอบ”

   “ชอบไส้ปลาหมึก?”

   “ชอบมึง

   “...”

   ...ฉ่า...

   ทาโกยากิไส้’มึง’ร้อนๆพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ ฮืออออออ

   แล้วพี่แกก็คีบซูชิกินหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจสิ่งที่ตัวเองพูดไว้เลยนะไอ้พี่บ้า

   นี่สินะที่เขาบอกว่าช่วงจีบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของความสัมพันธ์เพราะต่างคนต่างสรรหาคำพูดดีๆสิ่งของดีๆมามอบให้กัน แต่พี่เกียร์จะสรรหามาให้ผมบ่อยขนาดนี้ไม่ได้นะ บางทีก็เขินจนเก็บอาการไม่อยู่เหมือนตอนนี้ไง พอเงยหน้าสบตาผมก็จะเห็นคนเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่มใส่ แต่สิ่งที่ถ่ายทอดมาจากแววตาคมเข้มนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับความรัก








   มื้อกลางวันที่จบลงในตอนบ่ายจัดๆ ที่คนหล่อดีกรีเดือนวิศวะฯปี 3 เป็นคนจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด แม้ผมจะขอหารยังไงพี่แกก็ไม่ยอมโดยให้เหตุผลว่า กูจีบมึงอยู่นะปลาทอง อ่า เออ ยอมก็ได้ โดนจีบมาเกือบสองเดือนไม่ยักจะชินสักที จากนั้นผมก็เดินนำพี่เกียร์กลับไปอีกเส้นทางที่เชื่อมไปยังวัดระฆังโฆสิตาราม เป้าหมายที่ผมเลือกจะชวนพี่เกียร์ทำบุญที่นี่ อิ่มท้องแล้วต้องมาอิ่มบุญสิถึงจะดี แม้เส้นทางจะคนทางจากตอนที่มาแต่จำนวนคนก็เยอะอยู่ดี ผมจึงโดนพี่เกียร์ล็อกไหล่บังคับทิศทางเช่นเดิม เราแวะซื้อน้ำมะพร้าวที่อยู่ในลูกมะพร้าวจริงๆมากิน รสชาติหวานหอมทำให้รู้สึกสดชื่นคลายร้อนจากอากาศตอนนี้

   “กินมั้ย?” ในจังหวะที่เดินเกือบพ้นเขตตลาด ผมเงยหน้าถามคนที่สูงกว่ามาก สองมือก็ประคองลูกมะพร้าวผลใหญ่

   “กิน”

   ฟึ่บ

   วืดดดดดดด

   ยังไม่ทันจะยกมะพร้าวในมือยื่นให้ พี่เกียร์ก็โน้มตัวผ่านลาดไหล่ซ้ายของผมเพื่อก้มมาดูดน้ำมะพร้าวจากหลอดที่เพิ่งหลุดจากปากของผม ปลายจมูกโด่งที่เฉียดใกล้แบบที่รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นผ่านแก้มไป การกระทำที่ผมไม่แม้แต่จะมีเวลาตั้งตัว แรงบีบคลายของอวัยวะสูบฉีดเลือดทำงานถี่เต็มประสิทธิภาพ เลือดที่ควรจะส่งไปเลี้ยงทั้งร่างกายกลับส่งมากองที่ใบหน้าของผมจนรู้สึกร้อนฉ่า

   “หึ” เสียงขบขนในลำคอของคนกระทำการอุกอาจกับหัวใจของคนอื่น

   ไม่ได้สำนึกเลยยยยย

   “เอาไปถือเองเลย” ยัดมะพร้าวลูกโตใส่มือคนขี้แกล้งได้ผมก็เดินลิ่วๆนำหน้าไปยังทิศทางของวัดทันที ไม่วายที่จะได้ยินเสียงหัวเราะตามมาข้างหลัง อารมณ์ดีจังนะ

   หากแต่เดินนำได้ไม่นานพี่เกียร์ก็ใช้ช่วงขาที่ยาวกว่าก้าวตามมาจนทัน ทางเดินตรงนี้คนน้อยแล้วจึงสามารถเดินข้างๆกันได้ ซึ่งก็ดีกับใจผมมากๆเพราะไม่ต้องรู้สึกใจกระตุกเวลาที่แผ่นหลังต้องชนกับกล้ามเนื้อแน่นตรงหน้าอกของพี่เกียร์ เมื่อเดินถึงเขตของวัดระฆังฯผมก็หันไปชวนพี่เกียร์ทำบุญถวายสังฆทาน เข้าสักการะองค์พระประธานในพระอุโบสถ จากนั้นก็ออกมาเคาะระฆังที่แขวนเรียงรายพร้อมกับอธิษฐานขอพรในใจ

   “พี่ขอพรอะไรอ่ะ บอกหน่อยดิ” หันไปถามแหย่คนหน้านิ่งในระหว่างที่กำลังหอบก้อนขนมปังที่จะเอาไปให้อาหารปลาตรงท่าเรือหน้าวัด

   “อยากรู้หรอ?”

   “เอ้า ก็อยากรู้สิ ถึงได้ถาม”

   “ขอ...ไม่บอก” แล้วพี่มันก็เดินหนีผมไป

   โว้ยยยยยย ทำลายต่อมความเผือกผมมาก

   ผมเลยวิ่งตามพี่เกียร์ไปตรงท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวและผู้ใจบุญมาปล่อยปลา ให้อาหารปลากันอยู่ แต่ปล่อยปลาในแม่น้ำเจ้าพระยานี่ แหะๆ ผมไม่เอาด้วยอ่ะ ตายมากกว่ารอดแน่นอน  พอเลือกตำแหน่งที่จะยืนให้อาหารปลาได้ก็ไม่ต้องเสียเวลา แกะห่อขนมปังแล้วเหวี่ยงให้สุดแขน ฮ่าๆ

   ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ต่างคนต่างให้อาหารปลาก็สร้างความสงสัยให้ผม เพราะคราวนี้ถึงจะไม่ได้อึดอัดแต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่เกียร์มีเรื่องต้องคิด เพราะอยู่ดีๆก็มองหน้าผมแล้วก็ขมวดคิ้วใส่ พอผมเลิกคิ้วเชิงถามกลับไปเขาก็ยิ้มบางๆแล้วก็หันกลับไปให้อาหารปลาเหมือนเดิม มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่านะ หรือทริปวันนี้ไม่สนุกวะ

   “เอ่อ ในนามผู้คิดแผนวันนี้ ขอประเมินผลการทำงานได้ปะ”

   “หือ? เล่นอะไรอีกเตี้ย”

   “ก็เหมือนทำแบบสอบถามท้ายโครงการอะไรงี้อ่ะ”

   “ฮ่าๆ เล่นใหญ่อีกละ ไหนว่ามา”

   “วันนี้สนุกมั้ย?” คำถามที่โคตรอย่างรู้หลุดออกจากปากแบบไม่ต้องคิด

   “อืม” ทำไมต้องคิดนานขนาดนี้อ่ะ “สนุกสิ” ฟู่ว โล่ง

   “พี่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้มั้ย?”

   “มองหน้ากูแล้วคิดว่าเคยมามั้ย?”

   “ฮื่อออออ ไม่อ่ะ” สะบัดหน้าจนผมกระจาย ก็หน้าอย่างพี่เกียร์เนี่ยถึงจะเป็นผู้ชายแต่วัยมัธยมพี่แกน่าจะไปเที่ยวแบบอิ่นมากกว่า

   “อืม ไม่เคย”

   “ดีใจจัง ได้พาพี่มาเปิดประสบการณ์ ฮ่าๆ” ชิ้นขนมปังถูกเหวี่ยงลงไปในน้ำพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

   “กูก็ดีใจ” ประโยคสั้นๆกับเสียงทุ้มอุ่น ไหนจะรอยยิ้มที่ส่งมานั่นอีก ทำให้รู้ว่าพี่เกียร์ไม่ได้โกหกให้ผมดีใจเล่นกับทริปวันนี้ที่มันไม่แย่

   “ขนมปังหมดแล้วอ่ะ กลับกันเลยมั้ย”

   “อีกแปบนึงได้มั้ย”

   “อื้อ ยืนรับลมอีกแปบก็ได้ ถีงลมมันจะร้อนไปหน่อยก็เถอะ แหะๆ”

   สายลมที่พัดเข้ามาปะทะถึงแม้จะมีไอร้อนปะปนมาบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ บทสนทนาเงียบลงเหลือเพียงเสียงคนรอบข้าง เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่ง เสียงฝูงปลาตีน้ำเพื่อแย่งอาหารกัน แม้กระทั่งเสียงเครื่องยนต์เรือที่ดังไปทั่วท้องน้ำแต่ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกรำคาญอย่างที่ควรจะเป็น บรรยากาศรอบตัวตอนนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมเย็นที่ทำให้สบายกายหรือเพราะคนข้างกายที่ทำให้สบายใจ

   “เจ้า”

   “หื้อ?”

   “ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะ”


   ...อีกครั้ง?...


   “เจออีกครั้ง?”

   “อืม”

   “พี่หมายความว่าเราเคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ย? เห้ย ตอนไหนอ่ะ ทำไมผมจำไม่ได้”

   “หึหึ จำได้ก็แปลกแล้วปลาทองเอ้ย” ว่าจบก็ยกมือขึ้นมายีหัวผมจนฟูฟ่อง

   “งื้ออออ อย่าเพิ่งเล่น เล่ามาก่อนว่าเราเคยเจอกันตอนไหน เจอยังไง เดี๋ยวนะ จริงด้วย ตอนเจอกันครั้งแรกก็ว่าผมซุ่มซ่ามเหมือนเดิม ทำเหมือนเราเคยเจอกัน ใช่ๆ จำได้แล้วๆ เห้ยยยย พี่บอกหน่อย นะๆ ผมอยากรู้อ่ะพี่เกียร์” รัวประโยคใส่คนที่ยืนชิดกันด้านข้าง ก็ความอยากรู้ตอนนี้มันพุ่งสูงมาก สรุปคือเราเคยเจอกัน มีแต่พี่เกียร์ที่จำได้แล้วทำไมผมจำไม่ได้วะ

   “เออๆ ใจร้อนจริง ก็ว่าจะบอกอยู่แล้ว แต่ก่อนบอกกูขออะไรมึงอย่างได้มั้ย?” การต่อรองก็ได้เริ่มต้นขึ้น

   “ได้ดิ ถ้ายอมเล่าให้ผมฟัง พี่ขออะไรให้หมดเลย เลี้ยงข้าวเย็นก็ได้นะ” ผมรีบตบกระเป๋ากางเกงอวดรวยตอบรับข้อต่อรองเพราะอยากรู้เรื่องราวในอดีตมากๆ

   “แน่ใจ?”

   “เอ้า แน่ดิ ขอมาเลย นี่ใคร นี่เจ้าพระยานะ ไม่ผิดคำพูดหรอก” อย่ามาลีลาสิว้อย เจ้าอยากรู้

   “เจ้า”

   “ว่าไง”

   “เป็นแฟนกันนะ

   “...!!!”

   ...บู้มมมมม...

   สิบแต้มกริฟฟินดอร์สำหรับคำขอที่มีพลังทำลายล้าง ฮื่อออออ


   แม้ดวงตาจะยังจ้องหน้าเจ้าของคำถามสำคัญนั้นอยู่ แต่ผมสาบานได้เลยว่าในหัวสมองผมโล่งแบบที่ไม่รู้ว่ามีอะไรวิ่งตัดผ่านกระแสประสาทไปบ้าง ประสาทรับรู้ทำงานแต่การตอบสนองเหมือนกำลังช็อต

   “เอ่อ...คือผม..ผม...” คือผมต้องพูดว่าอะไร ฮือออ มันพูดไม่ออก มดไต่แก้มไปหมดแล้ว

   “เจ้า” โทนเสียงนุ่มที่เรียกชื่อผมอีกครั้ง

   “ฮื่อออออ แปบๆ” เผลอสบตาคนที่จ้องเพื่อวอนขอเอาคำตอบ แก้มขาวที่ตอนแรกอุ่นๆตอนนี้กลับร้อนไปหมด อาการเขินที่เกือบควบคุมได้ ตอนนี้มันมากจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าอำพรางรอยยิ้มกว้างที่มันกว้างจนกลัวคนตรงหน้ารู้ความจริง

   ความจริงที่ว่า เจ้าพระยาดีใจมากๆ

   “ปลาทอง...”

   ผมลดมือที่ปิดหน้าปิดปากลง แล้วสูดลมหายใจลึกๆเพื่อเรียกสติ ก่อนที่จะเอ่ยบางประโยคออกไป

   “ปลาทองมันตายง่ายนะพี่”

   “...?”

   “ฝากดูแลมันดีๆด้วยนะครับ

   รอยยิ้มที่ส่งให้กันตอนนี้มันให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกๆครั้งจริงๆ







   *TBC
   (21/02/2018)

   ******************************************************
   ลูกเรายอมเป็นแฟนเขาไปแล้วเน้อออออออออ เหล่าแม่ๆรอคิดค่าสินสอดด้วยจ้าาาาาา
คำนวณตามน้ำหนักน้องเจ้าไปเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ
   แล้วที่ขัดๆใจกันว่าพี่เกียร์ไม่ชัดเจน จีบนาน ลีลาอยู่นั่น คืออิพี่มันมีปม และถ้ายังจำได้ตอนพาร์ทพี่เกียร์นางไม่ใช่คนอบอุ่นแบบที่เราเห็น ฮ่าๆ มันร้ายมากค่ะหัวหน้า แผนมันเยอะ ตอนนี้ก็ขอลูกเราเป็นแฟนเรียบร้อยไปแล้ว เหลืออะไรอีกล่ะ ฮี่ๆๆ
   ขอบคุณทุกการติดตามเด้ออออ
   ช่วยกันสกรีมเรียกค่าสินสอดน้องเจ้าได้ในแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เป็นแฟนกันแล้วววววว :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

พี่เกียร์ดูแลน้องทั้งกายและใจให้ดีด้วยล่ะ อย่าทำน้องเสียใจนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มุ้งมิ้งๆ  เป็นแฟนกันแล้วววววว  :katai2-1:
เดทกันทางเรือไปเที่ยววัด
ชิมของอร่อยๆนึกแล้วน้ำลายไหลตามเลย
พี่เกียร์  เจ้า   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด