ท่าเรือที่ 17
เภสัชจ๋า ขอยารักษาใจหน่อย
นับจากวันที่เกิดประเด็นดังทั่วมหา’ลัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพี่เกียร์ที่ถูกเปิดเผยแบบเล่นใหญ่ไฟกะพริบด้วยฝีมือกัปตันเรืออย่างพี่เกียร์นั้น นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จำได้ว่าวันนั้นตอนที่อยู่บนรถกับพี่เกียร์ในระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านของผมนั้น ผมถึงกับต้องปิดการแจ้งเตือนจากทุกแอพลิเคชั่น เพราะข้อความมากมายเด้งเข้ามาถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้แต่เพื่อนในรุ่นบางคนที่ปกติเป็นคนเงียบ ๆ มันยังทักเข้ามาถามอ่ะคิดดูสิ ผมนี่นั่งยีหัวจนเส้นผมฟูฟ่องไปเถอะ แต่พลขับหน้าหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยนั้นกลับยิ้มกว้างไป มือหนาก็หมุนพวงมาลัยบังคับทิศทางไป อารมณ์ดีเหลือเกินนะพ่อคุณ
และด้วยความคาใจกับเหตุการณ์ที่มันลงล็อคเกินพอดี ที่พี่โซ่กับไอ้ภาคถ่ายคลิปวีดีโอเหตุการณ์แกรนด์โอเพนนิ่งตอนนั้นทัน คมชัดทั้งภาพและเสียง ซึ่งจะเทพเกินไปแล้วครับ ผมหลุดพึมพำความสงสัยออกมาตอนที่นั่งดูคลิปหน้าแอคเคาท์ของไอ้ภาค แต่คำตอบที่ได้รับจากปากของผู้ก่อเหตุนี่ถึงกับทำให้ผมหลุดอุทานด้วยความตกใจลั่นรถ
พี่มันตอบกลับมาว่า...
'อ๋อ พี่บอกให้พวกมันถ่ายเองแหละ'
'ห๊ะ !!!' ยังไม่หมดเท่านี้ครับ
'แต่ยังไม่ทันให้ไอ้ภาคถามตามแผนเลย เพื่อนเจ้านี่รู้ใจพี่จริง ๆ เข้าแผนเป๊ะเลย'
พี่มันพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ หน้าชื่นตาบานสุด ๆ ผมนี่แทบลงไปแดดิ้นตรงที่พักเท้าเลย
ไอ้คนเจ้าแผนการ !!!
ถึงว่าไม่โทร ไม่ส่งข้อความมาโวยวายเรื่องที่พี่ไนซ์ลงรูป เงียบจนน่าตกใจ ที่แท้ก็รวมหัวกันวางแผนระเบิดเรือผีมาเรียบร้อยนี่เอง
พอผมโวยวายที่พี่มันเล่นใหญ่จนเรื่องดังระเบิดขนาดนี้ คนเจ้าเล่ห์ก็ส่งเพียงสายตาคาดโทษมาพร้อมกับประโยคยาว ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
'คนมีความผิดเพราะไปให้ชายอื่นเลี้ยงขนมไม่มีสิทธิ์โวยวายนะครับ...เดี๋ยวจะโดนทำโทษ'
แล้วคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของพี่มันที่แอบคิดว่าคงวันพรุ่งนี้อะไรแบบนี้ หึ คิดผิดครับ เพราะเมื่อรถติดไฟแดงปุ๊บ ผมก็โดนพรากอากาศหายใจไปในทันที
ปากบวมเจ่อกลับบ้านจนระแวงว่าถ้าแม่เห็นแล้วถามมานี่ ผมจะตอบแม่ยังไง !!!!!
นี่จูบหรือจะกินปากผมเข้าไปเนี่ย หึ่ยยยยยยยย
ช่วงแรก ๆ หลังเหตุการณ์วันนั้น เวลาผมเดินไปไหนมาไหนก็มักจะมีเสียงซุบซิบตามหลังมา ประมาณว่านี่ไงน้องเจ้า นี่ไงแฟนพี่เกียร์วิศวะ ฯ เป็นต้น ผมที่ทำได้แค่ก้มหน้ามองเท้าพยายามไม่สนใจเสียงรอบข้าง ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีนะครับที่กลายเป็นจุดสนใจมากกว่าช่วงที่โดนจีบแบบนี้
แต่เจ้าเขินครับ !!
ยิ่งบางคนที่รู้จักมักจีกันในคณะไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็ตบเท้ากันเข้ามาแซวทุกครั้งที่เจอหน้าผม
เจ้าพระยา ชื่อผมนี่เลิกเรียกกันไปแล้วครับ
นี่เลยครับ ‘
ยาใจพี่เกียร์’
ชื่อล่าสุดที่พี่ปี 3 เมตตาตั้งให้
มันใช่ไหมเนี่ย !!
แต่โชคดีที่เหตุการณ์นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากไปกว่าการแซวให้ผมเขิน แฟนคลับพี่เกียร์ก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผม ผมเลยได้ใช้ชีวิตในมหา’ลัยอย่างปกติสุข ไปเรียน ซ้อมหลีด กลับบ้าน วงจรชีวิตเกือบสั้นกว่าวงจรชีวิตยุงลายแล้วครับ
และในวงจรชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีพี่เกียร์เป็นส่วนหนึ่งเกือบครึ่งวงจร เจอหน้าคนตัวสูงตั้งแต่เช้า ที่ตอนนี้ผมตัดสินใจยอมให้พี่เกียร์ไปรับที่หน้าบ้านแล้ว ทุกคนในบ้านรับรู้ยกเว้นพ่อที่ไปดูแลเรื่องสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่ นาน ๆ กลับมาทีครับ แต่สิ่งที่แม่ น้องพา และพี่คนงานในบ้านรู้ยังเป็นข้อมูลเก่าว่าพี่เกียร์คือรุ่นพี่ต่างคณะที่อาสามารับส่ง ไม่เคยมีใครถามอะไร แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกตัวว่าแม่เริ่มสังเกตผมกับพี่เกียร์มากขึ้น พี่หวานกับน้องพาก็มีหลุดแซวบ้าง ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คือพูดกันตามตรงก็ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อยังไม่มีใครเริ่มพูดหรือถามออกมา ผมก็ขอเตรียมความพร้อมเงียบ ๆ ไปก่อนครับ
บางวันตอนพักกลางวันก็เจอ ผลัดกันไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะของกันและกัน บางครั้งก็ออกไปกินข้าวตามห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ตอนเย็นเมื่อซ้อมหลีดก็จะพบใครบางคนมารอรับกลับไปส่งถึงบ้านจนเป็นที่ชินตาของคนในคณะผมแล้ว
ชินขนาดที่ว่า วันไหนผมซ้อมหลีดเหนื่อยมาก โดนพี่ ๆ เพื่อน ๆ แซวยังขี้เกียจเขินเลยครับ
ส่วนใหญ่พี่เกียร์ก็ไม่ได้มานั่งรอเฉย ๆ แต่เอางานมาทำระหว่างรอผมซ้อมหลีด ที่นับวันการซ้อมยิ่งดุเดือด บางท่าที่มีการสกินชิพหนัก ๆ ก็มักจะได้รับสายตาขวาง ๆ จากคนหน้านิ่ง แต่ก็ไม่เคยห้ามอะไร
เพราะเข้าใจว่าเป็นงาน?
เปล่าเลยครับ
เพราะคนเจ้าเล่ห์ตามมาเก็บดอกเบี้ยทบต้นทบดอกกับผมทีหลัง
ฮือออออ โดนไอ้นายอุ้มกี่ครั้ง ก็หอมแก้มผมตามจำนวนครั้งที่อุ้มนั่นแหละ
แจ้งตำรวจจับคนเก็บดอกเบี้ยเกินจริงได้ไหมครับ
เจอกันทั้งวันแล้ว แต่ในทุกวันหลังจากผมอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้ว ก็ยังวีดีโอคอลคุยต่อ แต่จะเรียกว่าคุยกันก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการวีดีโอคอลทิ้งไว้แล้วต่างคนก็ต่างทำการบ้านของตัวเองไป มองอีกคนทำงานเงียบ ๆ ครั้งไหนเผลอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ก็ยิ้มให้กันผ่านจอเครื่องมือสื่อสารอัจฉริยะ บางวันผมเผลอหลับไป กลางดึกก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงพี่เกียร์เรียกผ่านสายมาปลุกให้ลุกขึ้นไปนอนที่เตียงดี ๆ แต่ก็ไม่ได้วางสายไปนะ ชาร์จแบตทิ้งไว้ยันเช้าแบบนั้นแหละ
และการทำแบบนี้ในทุก ๆ วัน ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าพี่เกียร์ทำงานดึกมาก แทบไม่เคยเห็นพี่เกียร์หลับก่อนผมเลย แต่ตอนเช้าที่มารับผมไปมหา’ลัยด้วยกัน ผมกลับไม่พบอาการงัวเงียของแฟนคนเก่งเลย จะแข็งแรงไปไหน
ผมรู้ว่าพี่เกียร์เรียนหนักและมีโปรเจคต์ของเทอมหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะงานที่บริษัทของพ่อพี่เกียร์ที่ตอนนี้เริ่มเรียนรู้งานและรับผิดชอบงานบางส่วนมาทำแล้ว
เห้อ ทำไมแฟนผมเก่งและดูเป็นผู้ใหญ่จังครับ ตัดภาพมาที่ตัวเองยังงอแงแย่งขนมกับน้องพาอยู่เลย ช่วยอะไรเขาก็ไม่ได้
ถึงงานจะหนักแต่คนเก่งของผมก็ยังหาเวลามาหา มาดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดี ทุกครั้งที่ผมบอกให้กลับไปพัก หรือขอกลับบ้านเอง ดูแลตัวเองเหมือนเมื่อก่อน พี่เกียร์ก็มักจะใช้คำพูดอ่อนโยนที่ทำเอาหัวใจผมอ่อนยวบไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธความอบอุ่นนั้น อย่างเช่น
'ใช่ครับพี่เหนื่อย แต่พอเห็นหน้าเจ้าพี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ'
'ถ้าอยากให้พี่พัก แค่เจ้ายิ้มให้พี่บ่อย ๆ ก็พอแล้ว'
'เวลาเห็นหน้าเจ้าแล้วเหมือนได้นอนหลับบนเตียงนุ่ม ๆ เลย สบายใจดี'
คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก แต่มันช่างรุนแรงกับใจดวงน้อย ๆ ของปลาทองเอ๋ออย่างผมมากมาย ได้ฟังครั้งใดเหมือนตัวจะระเบิดคายรังสีความสุขออกมาทุกที
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่เกียร์หอบแลปท็อปมานั่งทำงานรอผม แต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่เกียร์มีอาการแปลก ๆ จากการที่พยายามหันไปมองคนตัวสูงทีไรก็จะพบว่าเจ้าตัวใช้มือหนาคลึงขมับตัวเองอยู่หลายรอบ ใบหน้าหล่อมีความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตานี่เกือบได้เป็นพ่อหมีแพนด้าแล้ว
ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 3 ทุ่ม รุ่นพี่ที่ควบคุมการซ้อมก็อนุญาตให้พักดื่มน้ำเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เริ่มซ้อมกันมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น
ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหาคนตัวสูงที่ตอนนี้พับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วฟุบใบหน้าแนบลงกับท่อนแขนแกร่ง กลุ่มผมหนาไหลคลอเคลียปิดซ่อนใบหน้า เห็นเพียงริมฝีปากหยักได้รูปที่ไร้สีผิดปกติ ซีดเผือดเหมือนคนขาดน้ำ ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เหนื่อยจนหลับเลยเหรอ
ผมเลยเอื้อมมือจงใจจะแตะสัมผัสที่ท่อนแขนแข็งแกร่งให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัว แต่เมื่อฝ่ามือขาวของผมสัมผัสผิวกายของคนตรงหน้า ก็ต้องชะงักมือออกมาแบบอัตโนมัติ หัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปมกับอาการผิดปกติของพี่เกียร์
ตัวร้อนจัง
เร็วเท่าความคิดผมเลยใช้มือเกลี่ยกลุ่มผมหนาบริเวณหน้าผากแล้วใช้หลังมือแนบอังชั่วขณะ อุณภูมิร่างกายของคนตรงหน้าพุ่งสูงจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นอาการเริ่มไม่ดี ผมเลยตัดสินใจออกแรงสะกิดคนที่กำลังตัวร้อน พยายามเรียกให้พี่เกียร์รู้สึกตัว
“พี่เกียร์…พี่เกียร์ครับ” ออกแรงเขย่าแขนแกร่งมากขึ้น
“…”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของคนตัวสูง “พี่เกียร์ครับ ได้ยินเจ้าไหม”
“อื้อ…เจ้าเหรอ” เสียงแหบพร่าหลุดออกจากลำคอคนงัวเงียที่กำลังสะบัดหัวไล่ความง่วงงัน
“ไหวไหมครับ พี่เกียร์ตัวร้อนมากเลยนะ” พูดจบผมก็ใช้หลังมือแนบไปตามใบหน้าและลำคอของพี่เกียร์ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งมั่นใจว่าคนตรงหน้ากำลังมีไข้
“ร้อนเหรอครับ แล้วนี่ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” คนหน้าง่วงก็ยังคงไม่สนใจสภาพร่างกายตัวเอง มือสองข้างสาละวนกับการเก็บแลปท็อปและหนังสือเข้ากระเป๋า
“ยังไม่เลิกซ้อมครับ แต่เจ้าจะไปขอพี่เขากลับก่อน พี่เกียร์ตัวร้อนมากจริง ๆ นะ ไม่สบายทำไมไม่บอกเจ้าครับ”
“พี่ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่พักสายตานิดเดียวเอง เดี๋ยวได้กลับไปนอนพักก็ดีขึ้นแล้ว” คนดื้อแห่งปีก็ยังคงเถียงเก่งเหมือนเดิม ดูแลแต่คนอื่น ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้มันน่าตีให้ตาย
“ยังจะมาดื้อบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก งั้นวันนี้กลับไปพักเลยครับ กลับเดี๋ยวนี้เลย” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นดึงแขนคนตัวสูงให้กลับไปพักให้หายป่วย ก่อนที่อาการจะหนักไปกว่านี้
“กลับได้ยังไงครับ พี่ต้องไปส่งเจ้าที่บ้านก่อนนะครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นะ ไม่ต้องห่วงนะเอ๋อ”
“ถ้าเจ้ากลับด้วยพี่จะยอมกลับดี ๆ ใช่ไหม” ผมถลึงตาดุใส่คนดื้อหน้านิ่ง
“แต่พี่รอเจ้าซ้อมให้เสร็จก่อนก็ได้ พี่ยังไหวนะ เชื่อใจพี่สิ”
ผมจ้องหน้าคนตัวสูงไม่วางตา ก่อนจะตัดสินลุกออกจากโต๊ะแล้ววิ่งไปหารุ่นพี่หลีดที่นั่งอยู่ไม่ไกล
เมื่อรุ่นพี่เห็นผมวิ่งมาหาก็ต่างหันมาเลิกคิ้วเชิงถามว่ามีอะไร
ผมยกมือไหว้รุ่นพี่หนึ่งครั้ง “พี่ ๆ ครับ วันนี้ผมขออนุญาตกลับก่อนได้ไหมครับ”
“อ้าว มีธุระด่วนเหรอเจ้า” พี่ปี 2 คนหนึ่งเอ่ยถามผม
“ครับ คือพอดีว่า…” ผมขมวดคิ้วคิดทบทวนไปมาให้หัวว่าเหตุผลที่กำลังจะบอกรุ่นพี่ไปมันจะเหมาะสมหรือควรที่จะขอกลับก่อนไหม รุ่นพี่จะมองว่าผมเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียงานส่วนรวมหรือเปล่า
แต่ความเป็นห่วงที่มันก่อตัวอยู่ในใจก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองคงมีสมาธิไม่มากพอที่จะซ้อมต่อแน่ ๆ ถ้ายังมองไปเห็นคนรักของตัวเองนอนหน้าซีดตัวร้อนแบบนั้น
“คือพี่เกียร์เขาไม่สบายครับ ตัวร้อนมาก แต่ดื้อไม่ยอมกลับ จะรอให้ผมซ้อมเสร็จอย่างเดียวเลย” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่กล้าสบตารุ่นพี่ “ผมเป็นห่วงพี่เขาครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากรุ่นพี่ มีเพียงเสียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ที่ผมก็มองไม่เห็นว่ามาจากพี่คนไหน
สงสัยต้องไม่พอใจมากแน่ ๆ เลย เฮ้อ
“น้องเจ้าคะ”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับรุ่นพี่ที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ครับ”
“รีบพาแฟนกลับไปพักเลยค่ะ ถ้าน้องไม่รีบกลับพี่จะโกรธแน่ ๆ ค่ะ”
ตากลมของผมที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดกลับเบิกกว้างขึ้นเพราะประโยคที่รุ่นพี่พูดออกมาอย่างเร็วจนเกือบฟังไม่ทัน
“คะ..ครับ” ผมยังคงงุนงงกับท่าทางรีบร้อนแทนของรุ่นพี่ แต่ก็เข้าใจได้หลังจากนั้นเพราะรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่ส่งมา
“รีบกลับเลยค่ะ เอาจริง ๆ พี่ล่ะสงสารพี่สุดหล่อที่มารอรับน้องเจ้ากลับบ้านทุกวันจริง ๆ” รุ่นพี่ที่พูดยกมือเท้าคางมองไปยังคนตัวสูง “แต่มากกว่าความสงสารคือความอิจฉาล้วน ๆ เลยค่ะ ชาติที่แล้วน้องเจ้าไปกู้ชาติมาเหรอคะ ถึงมีแฟนหล่อและดีขนาดนี้ เฮ้อ ชะนีเศร้าใจ” รุ่นพี่มองหน้าผมแววตาตัดพ้อ แต่มองก้รู้ว่าแกล้งทำ
ผมยิ้มกว้างและยกมือไหว้รุ่นพี่รอบโต๊ะจนครบทุกคน “ขอบคุณมากๆ นะครับ เจ้ากลับแล้วนะครับ”
“จ้า ดูแลพี่เขาดี ๆ นะ”
“ครับ” ผมส่งยิ้มลารุ่นพี่ แล้วหันไปหาเพื่อน ๆ ตัวแทนหลีดร่วมชะตากรรม “พวกมึง กูกลับก่อนนะ”
“อ้าว ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ” ไอ้ว่านเอ่ยถามผมด้วยใบหน้างุนงงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
ผมยกนิ้วโป้งชี้ไปยังทิศทางที่ร่างสูงนั่งฟุบหน้าอยู่ “ไม่สบาย” เอ่ยตอบออกไปสั้น ๆ แค่นั้น
พวกมันมองตามมือผมแล้วหันกลับมาพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
“เออ ๆ กลับดี ๆ พี่เขาขับรถไหวแน่นะมึง” ไอ้ซันสบตาแล้วถามผมด้วยความเป็นห่วง
ผมเลยมองกลับไปหาพี่เกียร์ก่อนจะหันมาตอบเพื่อนจอมทะเล้น “น่าจะไหวแหละ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เดี๋ยวกูโทรตามพี่มายด์มาช่วยอีกที”
“โอเค ๆ เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”
พยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับประโยคบอกลาของกลุ่มเพื่อนเสร็จ ผมก็รีบเดินไปหาคนที่อาการไม่ค่อยดี หวังว่าจะขับรถไหว
ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสะพาย ก่อนเดินอ้อมไปยืนด้านหลังพี่เกียร์เพื่อปลุกคนที่ฟุบหน้าอยู่
ลูบมือไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นเบา ๆ “พี่เกียร์ครับ กลับบ้านกันเถอะครับ”
“ฮื้อ ไม่ซ้อมต่อเหรอครับ” คนตัวสูงที่ใบหน้าเหนื่อยล้าหันมามองผม
“ไม่แล้วครับ ผมขอพี่เขากลับก่อน พี่ขับรถไหวไหม ให้ผมโทรหาพี่มายด์ไหมครับ”
มือหนายกขึ้นโบกไปมาปฏิเสธความคิดเห็นของผม “ไหวครับ เดี๋ยวพี่ล้างหน้าก็น่าจะหายง่วงแล้ว”
คิดตามคำพูดได้ชั่ววินาที ผมก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่แนบอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อที่จะชุบน้ำใช้เช็ดหน้าคนที่แนบหน้าเข้ากับหน้าท้องของผม
ไอร้อนแผ่ออกมาจากหน้าผากเรียบเนียนจนหน้าท้องผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้น
จับไหล่พี่เกียร์ให้ผละออกห่างจากตัวก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดฝาเทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้า
บิดผ้าหมาดพอเหมาะแล้ว ผมก็กระชับกำผ้าเปียกหมาดในมือเช็ดลูบไล้วนเบา ๆ ทั่วใบหน้าซีดจาง พี่เกียร์ที่นั่งหลับตาพริ้มยอมเป็นคนสงบเสงี่ยมให้ผมเช็ดหน้าได้สะดวก
ใบหน้าคร้ามคมดูสดชื่นขึ้น ก่อนที่จะหยุดมือตัวเองที่กำลังเช็ดหน้าคนตัวสูงอยู่นั้น นัยน์ตาคมที่อยู่ใต้เปลือกตาก็เผยออกมาจากที่ซ่อนมองสบเข้ากับแววตาห่วงใยของผม
มือขาวที่มีผ้าเช็ดหน้าถูกกุมกระชับด้วยมือหนาของเจ้าของนัยน์ตาคม ริมฝีปากหยักขยับมุมปากเผยรอยยิ้มกว้าง
รอยยิ้มตอบรับของผมถูกส่งกลับไปในทันที
“ขอบคุณครับ” ประโยคเสียงเบาแต่ดังพอที่ผมจะได้ยินเพราะร่างกายที่ห่างกันแค่ฟุตนิด ๆ
“ยินดีครับ” เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ยังไม่หุบลงเลยแม้แต่น้อย “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่าครับ”
คนตรงหน้าพยักหน้าตอบรับช้า ๆ “ดีขึ้นสิ เพราะได้คนดูแลดี”
คำพูดคำจาเรียกเลือดสีแดงให้ไหลตามเส้นเลือดมากองกันที่แก้มผมได้อย่างดี ด้วยปฏิกิริยาแก้อาการขัดเขิน ผมเลยยกมือข้างที่ว่างตีไหล่คนปากหวานเบา ๆ
“อย่ามาเว่อนะ แค่เช็ดหน้าเองครับ ยังไงก็ต้องรีบกลับไปกินข้าว กินยา แล้วก็นอนพักเยอะ ๆ คืนนี้เจ้าขอสั่งให้หยุดทำงานครับ” มือที่ว่างถูกยกขึ้นเหยียดนิ้วชี้เรียวชี้คาดโทษคนเจ้าเล่ห์หากไม่ฟังคำสั่ง
มือหนาอีกข้างของพี่เกียร์ที่ยังว่างอยู่ก็ยกขึ้นมารวบข้อมือผมที่ชี้หน้าเจ้าตัวอยู่
“ถ้ากลัวพี่ขัดคำสั่ง ก็ต้องตามไปเฝ้าครับ”
เปลือกตาสีไข่ของผมเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเพราะคำขอทีเล่นทีจริงของพี่เกียร์ “ไม่ได้ครับ เจ้าต้องกลับบ้าน แล้วคิดว่าวันนี้ก็จะกลับเองด้วย ส่วนพี่เกียร์ เจ้าไม่ไว้ใจให้ขับรถเองแล้วครับ เดี๋ยวโทรให้พี่มายด์มาช่วยขับให้” ประโยคความหวังดีจากใจอธิบายยาวเหยียดให้พี่เกียร์รับรู้
คนป่วยแต่ยังดื้อยอมปล่อยมือทั้งสองข้างที่จับมือผมไว้ แล้วยกประสานกันที่อก หลบสายตาผมหันไปมองที่อื่น คิ้วเข้มขมวดเข้าเป็นปม ปากที่ขึ้นสีด้วยอุณหภูมิความร้อนของร่างกายยู่ยื่นเหมือนเด็กโดนขัดใจ
คือกำลังงอน?
หรืองอแง?
ผมส่ายหัวยิ้มน้อย ๆ ให้กับท่าทางเหมือนเด็กที่ไม่บ่อยครั้งเลยที่คนมาดเข้มจะแสดงออกมา
ลืมไปแล้วหรือไงว่าไม่ได้อยู่กันสองคน หึหึ
“พี่เกียร์ครับ เจ้าเป็นห่วงพี่นะ อย่างอนสิ” ผมใช้เสียงอ่อนโยนอธิบายคนงอแงอย่างใจเย็น
“พี่ไม่ได้งอน แต่พี่ก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกัน จะให้เจ้ากลับเองได้ยังไง” ไม่งอนครับ แต่พูดแล้วไม่มองหน้าผมนี่ยังไง
“โถ่ เมื่อก่อนเจ้าก็กลับบ้านเองนะ ลืมแล้วเหรอครับ”
“แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแฟนพี่ พี่อยากดูแลนี่”
“แต่ตอนนี้พี่เกียร์กำลังไม่ดูแลตัวเองนะครับ พอพี่เกียร์ป่วยแล้วจะมาดูแลเจ้าได้ยังไง”
“งั้นเจ้ามาดูแลพี่ได้ไหม พี่กำลังป่วยนะ”
เอ๊ะ ทำไมวกกลับมาตรงนี้อีกแล้วอ่ะ
“เอ่อ…”
“
เจ้าพระยา…นะครับ”
พังครับ พังหมดทุกความตั้งใจที่จะกลับบ้านเอง
ใครสอนพี่ให้พูดคำว่า ‘นะครับ’ ด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ใช่แค่พี่เกียร์หรอกที่แพ้สายตาของผมเวลาอ้อน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมก็แพ้ท่าทางและสายตาเหมือนเด็กของพี่เกียร์เหมือนกัน
“ก็ได้ครับ”
คนตัวสูงยิ้มเริงร่าแสบตาไปหมด แววตาสดใสจนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วไอ้สายตาที่เหมือนหมาป่วยเมื่อสักครู่นี้หายไปไหน
“ขอบคุณครับ” มือหนาที่อุ่นร้อนตามอุณหภูมิร่างกายของคนมีไข้อ่อน ๆ ยกขึ้นมากุมมือผมทั้งสองข้างเหมือนเดิม
ผมขยับมือสองข้างเพื่อให้หลุดจากการกอบกุม “ปล่อยมือเจ้าก่อนครับ เจ้าต้องโทรบอกที่บ้านก่อน”
“ครับ ๆ”
ผมล้วงมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาถือ แต่ในขณะที่จะกดโทรออก นิ้งโป้งที่กำลังจะสัมผัสหน้าจอตรงรายชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘my darling’ ก็ต้องชะงัก
ผมจะบอกแม่ว่าอะไรดีล่ะ
พี่เกียร์ที่ลุกขึ้นยืนข้าง ๆ ผมก็หันมามองหน้าผม คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถามว่าทำไมไม่โทร
“พี่เกียร์ แล้วถ้าแม่ถาม...” แววตาไม่มั่นใจที่จ้องโทรศัพท์อยู่ในตอนแรกเลื่อนไปสบตาคนสูงกว่า
พี่เกียร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ “ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม ก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิมก็ได้ครับ ไม่ต้องกังวลนะ” รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้ผม ทำให้หัวใจมันพองโตขึ้นเหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่าง
“ครับ” ตอบรับเสร็จ นิ้วเรียวก็สัมผัสเข้าที่รายชื่อที่ตั้งใจ หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพของแม่ผมเมื่อการโทรออก
รอสายอยู่ไม่นาน สัญญาณการรอสายก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวานของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด
“สวัสดีครับที่รัก”
“(ว่าไงคะลูก วันนี้จะกลับดึกอีกล่ะสิ)”
“เอ่อ…คือ…” สิ่งที่อยากบอกอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมการจะเปล่งเสียงออกไปมันยากขนาดนี้
“(…)” ปลายสายยังเงียบรอฟังคำพูดของผม
“คือวันนี้เจ้าขออนุญาตไม่กลับไปนอนที่บ้านได้หรือเปล่าครับ”
“(หืม)”
“พี่เกียร์ไม่สบายครับแม่ เจ้าไม่อยากให้พี่เขาไปส่งแล้วขับรถกลับคนเดียว เจ้าเลยอยากขออนุญาตไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เขา เผื่อช่วยเช็ดตัวตอนไข้ขึ้นกลางดึกด้วยครับ” ประโยคยาวที่หลุดออกจากปากผมอย่างเร็วและรัวจนกลัวคนปลายสายฟังไม่ทัน
“(แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ)” เสียงแม่นิ่งมาก
“หืม” คำถามของแม่ก่อให้เกิดตะกอนความสงสัยขึ้นในใจทันที แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร “แน่ใจครับแม่ เจ้าอยากตอบแทนที่พี่เขาไปรับไปส่งด้วยครับ”
“ถ้าเจ้าแน่ใจแล้ว แม่ก็อนุญาตครับ” ทำไมแม่ย้ำแต่เรื่องความแน่ใจอ่ะ แต่คงกลัวผมงอแงขอกลับบ้านกลางดึกมั้ง
“ขอบคุณครับแม่”
“(ดูแลพี่เขาดี ๆ ล่ะ เราอ่ะเคยดูแลใครที่ไหน)”
“โห แม่ นี่ลูกแม่ไง”
“(ฮ่า ๆ ก็ลูกแม่ไงคะ แม่ถึงรู้)”
“แม่อ่ะ” ผมส่งเสียงน้อยใจออกไปให้กับสุดที่รัก “งั้นเจ้าวางสายก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“(เจ้าพระยา แม่ขอคุยกับเกียร์หน่อยได้ไหม)”
“หืม? อ่า ได้ครับ” ผมตอบรับคนปลายสายก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปให้ “พี่เกียร์ แม่อยากคุยด้วย”
คนตัวสูงรับโทรศัพท์จากมือผมไปแนบหู
“ครับคุณน้า”
พี่เกียร์ตอบรับแม่ผมแค่นั้น ผมไม่รู้ว่าแม่คุยอะไรกับพี่เกียร์ เพราะยังแปลกใจกับการกระทำของแม่ที่ปกติตอนเจอพี่เกียร์เวลาที่มารับส่งผมหที่บ้าน แม่ก็ไม่เคยคุยอะไรกับพี่เกียร์ยาว ๆ เลย มีเพียงการขอบอกขอบใจที่อาสามารับส่งผมแค่นั้น แต่บางครั้งก็มีทำแซนวิสมาให้ผมแบ่งกันกินกับพี่เกียร์บนรถ ไม่ได้เอามาให้ด้วยตัวเองด้วยนะ แต่วันนี้แม่กลับเอ่ยขอคุยกับพี่เกียร์
หรือแม่กลัวผมดูแลพี่เกียร์ไม่ได้ เลยออกตัวไว้ก่อนงี้เหรอ
ผมยืนมองพี่เกียร์คุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์
“ครับ…ใช่ครับ” ปากหยักเอ่ยตอบรับแม่ผมเรื่องอะไรสักอย่าง แต่แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่กลับทอดมองมาที่ผม “ได้ครับ…ผมสัญญาครับ…ขอบคุณคุณน้ามาก ๆ ครับ” สิ้นคำขอบคุณพี่เกียร์ก็ลดโทรศัพท์ที่แนบหูลงมากดวางสาย
“อ่าว วางเลยเหรอพี่ เจ้ายังไม่ได้บอกฝันดีแม่เลยนะ” ผมโวยวายแบบไม่จริงจัง
พี่เกียร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “อ้าว พี่ไม่รู้ งั้นเดี๋ยวบอกฝันดีพี่แทนแล้วกันนะ”
ผมรับโทรศัพท์ที่คนตัวสูงส่งกลับคืนมาไว้ในมือ พร้อมกับแกล้งมองค้อนน้อย ๆ “มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”
“แล้วต่างกันยังไงอ่ะเอ๋อ”
“ก็แม่เป็นแม่ เป็นคนในครอบครัว แต่พี่เป็น-“
“เป็นอะไรครับ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักจะปรากฎบนใบหน้าคนตัวสูงก็เผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง
ผมเบือนหน้าหลบสายตาคนตัวสูงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “
เป็นแฟน”
“อืม งั้นถ้าพี่ขอเป็นคนในครอบครัวอีกคนได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้ครับ ไปขอพ่อกับแม่เจ้านู่น” ผมเฉไฉไม่ตอบคำถามของคนที่กำลังยกมือโอบไหล่ผมอยู่ในตอนนี้
“โอเค เจ้าพูดแล้วนะ” ท้ายประโยคคนตัวสูงก็ก้มหน้ามาใกล้ผมในระยะประชิด จนปลายจมูกโด่งเฉียดใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดข้างแก้มจนรู้สึกแปลก ๆ “เดี๋ยวพี่ไปขอครับ”
ขออะไร๊?!! พูดให้เคลียร์เส้!!
(ต่อด้านล่างค่ะ)