❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 80072 ครั้ง)

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
นี่ขนาดป่วยนะยังเจ้าเล่ห์กับน้องเจ้านะพี่เกียร์ แค่คำว่า "นะครับ" น้องก็ยอมทุกอย่างแล้ว o13

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 18
ตัวการของพรหมลิขิต

 



   ผมที่วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติ ไม่สิ ตื่นบ่อยทั้งคืนต่างหาก เพราะคนตัวสูงที่นาน ๆ จะป่วยทีดันตัวร้อนกลางดึก ไอร้อนที่มากระทบผิวจนทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้ พร้อมทั้งปลุกคนอาการไม่ดีขึ้นมากินยาลดไข้กลางดึก

   เมื่อเช้าตรู่ที่ตื่นมาผมก็ลองเอาปรอทมาวัดไข้คนป่วย ซึ่งค่าที่อ่านได้ 37.8 องศาเซลเซียสนั้นบอกได้ว่าคนป่วยยังมีไข้อ่อน ๆ อยู่เลยตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อที่จะฝากลาอาจารย์ประจำวิชาเรียนตอนเช้าให้

   ตู้ดดด...ตู้ดดด...

   “(ฮื้อ ว่า?)” เสียงง่วง ๆ ของเพื่อนสนิทเอ่ยถามมาหลังจากผมรอสัญญาณไม่นาน

   “อิน ตื่นยัง”

   “(ยัง)”

   “อ้าว แล้วมึงรับโทรศัพท์กูได้ไง”

   “(ละเมอมั้ง)”

   “กวนตีน”

   “(ฮ่า ๆ แล้วยังไงครับคุณเจ้าพระยา โทรมาด่าผมว่ากวนตีนแต่เช้าแบบนี้)” เสียงงัวเงียตอนแรกกลับกลายเป็นเสียงใส ๆ ส่งเสียงหัวเราะกลับมา 

   “มึงนี่! เออ อย่าเพิ่งกวน คือกูจะโทรมาบอกว่าวันนี้ลาคาบเช้านะ ฝากจดด้วย”

   “(หื้อ? เป็นอะไร ไม่สบายหรอวะ)” เสียงฉงนสงสัยถูกส่งมาตามสาย

   “อืม ไม่สบาย แต่ไม่ใช่กูนะ”

   “(น้องพา?)”

   “ไม่ใช่ คือเป็น...พี่เกียร์อะ”

   “(อ่ออออออ โดดไปดูแลแฟนว่างั้น แล้วจะไปตั้งแต่เช้านี้เลยหรอ)”

   “เปล่า คือกูมากับพี่เกียร์ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว”

   “(หืม หมายความว่ามึง...พี่เกียร์...เมื่อคืน...มึงกับพี่เกียร์...)”

   “มึงจะตะกุกตะกักใส่กูทำไมเนี่ยอิน จะถามก็ถามโว้ย”

   “(ฮ่า ๆ เขินหรอครับคุณเจ้าพระยา)”

   “เขินที่หน้ามึงสิอิน เออ ยังไงก็ลาให้ด้วย แค่คาบเช้า เดี๋ยวไปตอนบ่าย”

   “(เออ ไปดูแลแฟนมึงไป ทำหน้าที่แฟนให้มันดี ๆ หน่อย)”

   “หึ ไม่ต้องมาสอนกู มึงเอาตัวเองไปทำหน้าที่แฟนพี่พีให้ได้ก่อนเถอะ”

   “(ไอ้เจ้า!!)”

   “แบร่!!”

   ติ๊ด!

   ชิงกดวางสายก่อนคือผู้ชนะ ฮ่า ๆ









   06:00 AM

   ติ๊ด ๆๆ
 
   “เจ้า...”

   “เสียงนาฬิกาปลุกดังกวนหรอครับ เจ้าออกมาปิดไม่ทัน” เอ่ยถามเพราะดูจากหน้ายุ่ง ๆ แล้วคงยังไม่อยากตื่น เสียงเรียกชื่อผมเบา ๆ นั้นก็แหบพร่าจนรู้สึกเจ็บคอแทน 

   “เปล่า แต่ทำไมรีบตื่น” คนป่วยถามด้วยสีหน้าเพลีย ๆ แต่ยังดูอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย

   “มันตื่นเองครับ” ผมตอบความจริงไปแค่ครึ่งเดียว


   หลังจากที่วางสายจากอิน ผมก็วางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง แล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟันจนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้สำหรับทุกวัน แต่ก็ออกมาปิดไม่ทันจนคนป่วยตื่นเพราะเสียงดังรบกวน ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ในชุดนอนที่เป็นชุดของคนป่วยนั่นแหละ เดี๋ยวค่อยอาบน้ำแล้วกัน 


   “พี่นอนต่ออีกหน่อยมั้ย เจ้าว่ายังไม่หายดีนะ” เอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของพี่เกียร์ตอนนี้ที่ยังหลงเหลือความอ่อนเพลียอยู่

   “พี่หายแล้วครับ”

   “หายแล้วที่ไหนกัน เมื่อคืนตัวร้อนมากเลยนะ ดูสิ ตอนนี้หน้าก็ยังซีด ๆ อยู่เลย” พูดพลางเดินเจ้าไปยืนข้างเตียงใกล้กับคนตัวสูงที่แม้จะนั่งอยู่บนเตียงก็เกือบจะสูงเท่าผมที่ยืนอยู่บนพื้นข้างเตียงแบบนี้

   พอยกหลังมือแนบหน้าผากเนียน คนที่เถียงว่าหายดีแล้ว ผมกลับได้รับรู้ถึงไออุ่นร้อนแผ่กระทบผิวหลังมือ


   เนี่ย ยังไม่หายดี แต่เถียงเก่งเหลือเกินคน ๆ นี้


   “หายแล้วจริง ๆ มีเภสัชกรประจำตัวจ่ายยาดีขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า มือหนาที่วางข้างตัวกลับยกขึ้นมากุมมือที่เล็กกว่ามากของผมที่แนบหน้าผากพี่เกียร์อยู่ ให้ไปแนบที่ข้างแก้มเหนือสันกรามคมชัดแทน นัยน์ตาคมเข้มถูกบดบังโดยเปลือกตาสองชั้น เจ้าตัวดูพริ้มอารมณ์ดีจนผมนึกเอ็นดูกับโหมดขี้อ้อนเหมือนเด็ก ๆ ขัดกับขนาดตัวที่สูงใหญ่ราวกัปตันอเมริกา

   “ฮะ ๆ นี่อ้อนหรอครับ”

   “ไม่ได้?”

   “อ่า...”

   เสียงแหบพร่าที่ถามกลับมาทั้งยังส่งสายตาจ้องสบกับตาของผมมุมปากที่ยกยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงที่ต่างไปจากเมื่อวานเพราะอาการป่วยแต่มันไม่ช่วยทำให้ความยุบยิบในหัวใจของผมลดลงไปได้เลย แถมยังทำให้ภาพเหตุการณ์ก่อนนอนไหลย้อนกลับมาเรียกความร้อนให้เกิดขึ้นบนใบหน้ายุ่ง ๆ ของตัวเอง


   ‘รักนะครับ’


   คำบอกรักอันแสนธรรมดาที่ทำให้หัวใจพองโตเหมือนลูกโป่งที่โดนเป่าลมจนเต็มใบ สร้างความสุขให้ก่อตัวจนไม่ยากที่ตลอดคืนที่ผ่าน ผมจะตกอยู่ในห้วงของฝันดีจนตื่น

   “ติดไข้จากพี่หรอเอ๋อ”

   “หื้อ? เปล่านะ เจ้าปกติดี”

   “หรอครับ ก็เห็นหน้าแดง ๆ”

   “...”

   “นึกว่าเจ้าติดไข้ตอนพี่จูบเจ้าเมื่อวาน” เสียงล้อเลียนอะไม่เท่าไหร่ แต่สายตาที่สิ ระยิบระยับแพรวพราวไม่เหลือคราบคนป่วยเลยสักนิด นี่มันแกล้งกันชัด ๆ

   ตีคนป่วยนี่ผิดจรรยาบรรณของเภสัชกรมั้ยครับ

   เจ้าคันมือ !!!

   “อะไรเล่า!”

   ผ้าขนหนูผืนเล็กในมือที่ผมใช้ซับหน้าตอนออกจากห้องน้ำกลายเป็นอาวุธเดียวที่ใช้ปาใส่คนป่วยแสนเจ้าเล่ห์ก่อนจะวิ่งหนีลงมาด้านล่าง

   คราวหน้าจะเอาคืนบ้าง





   พอเริ่มดึงสติกลับมาก็คิดได้ว่าควรจะเข้าครัวหาอะไรให้คนป่วยกินตอนเช้าจะได้กินยาแล้วก็พักผ่อน ผมจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อนำอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปที่พอจะรองท้องได้มาอุ่นให้คนป่วย เอ๊ะ หรือผมควรจะโทรสั่งดีนะ คนป่วยควรได้กินอาหารสดใหม่สิ 
   ยืนคิ้วขมวดให้ความคิดตีกันเองในหัวอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทางห้องครัว คงจะเป็นเจ้าของห้องหรูนั่นแหละ

   “เอ๋อ ทำอะไร” เสียงทุ้มติดแหบดังมาจากทางประตูห้องครัว

   “อ้าว ทำไมไม่นอนต่ออะ” เอียงคอถามแล้วใช้สายตาสำรวจใบหน้าที่ตอนนี้มีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว ปอยผมตรงหน้าผากดูเปียกชื้นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สงสัยคนป่วยจะไปล้างหน้าล้างตามาเรียบร้อยแล้วแหละ

   คำถามของผมทำให้คนตัวสูงส่ายหัว แล้วเดินเข้ามาใกล้ผมที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็น

   “ไม่ง่วงแล้วครับ แล้วสรุปว่านี่จะทำอะไร”

   “อ๋อ เจ้าจะอุ่นข้าวต้ม กินแล้วจะได้กินยา แต่คิดอีกทีควรจะโทรสั่งดีกว่า พี่ไม่สบายไม่ควรกินอาหารแช่แข็งเยอะ”

   “หายแล้ว” เสียงเข้มยังคงเอ่ยตอบยืนยันอาการตัวเอง

   “ทำเก่งอีกละ ตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”

   “หายแล้วจริง ๆ ครับ แค่อาจจะต้องกินยาลดไข้ต่ออีกนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้เพลียเหมือนเมื่อวานแล้ว”

   “แน่ใจนะครับ” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าตัวเอง ปรับสายตาให้จริงจังเพือเค้นเอาความจริงจากคนป่วยว่าไม่ได้โกหกให้ผมสบายใจ

   “แน่สิ พี่แข็งแรงจะตายเอ๋อ”

   “จ้า แข็งแรงมากครับ คนป่วยจนนอนซมทั้งคืนไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้นะ” ผมเบ้ปากใส่คนที่อวดอ้างความแข็งแรงของตัวเอง

   “ทำปากน่าตี”

   “อ๊ะ! ห้ามตีนะ” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากทันทีเมื่อคนที่สูงกว่าทำท่าจะยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาตีปากของผมตามที่เจ้าตัวพูด

   คนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะในลำคอพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มมือที่จะยกมาตีปากผมในตอนแรกก็เลื่อนขึ้นไปยีหัวผมจนเส้นผมฟูฟ่องไปคนละทิศละทาง

   “งั้นถ้าพี่หายแล้ว เจ้าไปเรียนคาบเช้านะ ว้า ตอนแรกก็กะจะลาอาจารย์มาดูแลคนป่วยซะหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีคนป่วยให้ดูแลแล้ว เจ้าไปเรียนดีกว่า”

   พูดจบผมก็เดินลอดแขนคนตัวสูงเพื่อที่จะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาพูด

   “ห้ะ! ไม่ได้ดิเอ๋อ ก็จะลาแล้วนี่”

   “ก็พี่เกียร์หายป่วยแล้วนี่ เจ้าก็ไปเรียนได้สิ จะได้ไม่เสียคาบเรียนด้วย”

   “โถ่ เจ้า”

   “ว่าไงครับคนหายป่วยแล้ว” ผมยักคิ้วส่งยิ้มล้อเลียนกลับไปให้ ดูซิ คนแผนเยอะจะมาไม้ไหนอีก

   “เหมือนจะป่วยขึ้นมาเลยเนี่ย” เสียงทุ้มปนแหบพร่าว่าอย่างนั้นจนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนหน้าห้องครัวแล้วหันกลับไปมองหน้าคนแผนเยอะ

   “ไข้กลับมาเร็วจังนะครับ”

   “เนี่ย รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ อีกละ”

   “หรอครับ”

   “อื้อ”

   “พี่เกียร์”

   “ว่าไงครับ”

   “มัน – ไม่ – เนียน !!!”

   “ฮ่า ๆ อ้าวหรอเตี้ย”

   “พี่นี่มันนนนน...หึ่ย”

   “งั้นถ้าเจ้าจะไปเรียน เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”

   “ไม่!”

   “ไม่ต้องไปส่ง?”

   “ไม่ไปเรียนแล้ว!!”

   แม่ครับ ถ้าแม่รู้ อย่าตีเจ้านะ ฮืออออออ


   พอตอบกลับคนตัวสูงเจ้าแผนการไปแบบนั้น ก็กะจะหนีขึ้นไปอาบน้ำสักหน่อย เพราะขืนให้ยืนมองหน้ากันต่อ ผมกลัวใจตัวเองจะฟาดคนป่วยเข้าให้

   ก้าวเดินพ้นประตูครัวออกมาไม่เท่าไหร่ พี่เกียร์ก็เดินตามออกมา ยืนพิงประตูครัวส่งสายตาล้อเลียนผม และผมที่กำลังจะหันไปง้างปากด่าก็ต้องชะงักค้าง พี่เกียร์ก็หันขวับไปทางประตูห้องเช่นเดียวกันเมื่อ...


   ติ๊ด!


   พลัก!
 
   “ไอ้เกียร์โว้ย!! ตื่นรึ- อ้าว...”

   “...” พี่เกียร์

   “...” ผม

   “...” และคนแปลกหน้า

   ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

   “มาทำไม?” เจ้าของห้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เหมือนไม่สบอารมณ์

   “อ่าว มาไม่ได้หรอวะ คีย์การ์ดกูก็มี ปกติกูก็มา แล้ววันนี้จะมาหวงห้องทำไมอะ เป็นอะไรของมึงวะ หรือเพราะว่า…” คนแปลกหน้าสำหรับผมร่ายยาวตอบพี่เกียร์ พร้อมกับปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้ามายืนในอาณาเขตห้อง ท้ายประโยคยังเหล่ตาเรียว ๆ นั้นมาทางผมที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงนี้

   ลักษณะท่าทางโดดเด่นของคนมาใหม่คือความสูง สูงกว่าพี่เกียร์อีกอะ สีผิวขาวเหลือง โครงหน้าชัด แต่ที่ชัดกว่าคือดวงตาเรียวที่หางตายกขึ้น หากถูกจ้องมองคงคิดว่าถูกดุแน่ ๆ ประเมินภาพรวมแล้วในความรู้สึกผมดูคล้ายบางคน คล้ายมาก ๆ หรือว่า…

   “อย่ามากวนตีน สัดเฟือง” 


   นี่หรอ พี่เฟือง พี่ชายแท้ ๆ ของพี่เกียร์


   “เดี๋ยว ๆ นี่กูพี่มึงนะ นี่พี่เฟืองเอง โหดอะไรกับพี่กับเชื้อขนาดนั้นอะ” 

   พี่เฟืองตัดพ้อใส่น้องชายอย่างนั้นแล้วก็เดินไปนั่งยกเหยียดขาบนโซฟาตัวยาว การแต่งตัวด้วยชุดวอร์มเข้ากันเป็นชุดทั้งเสื้อและกางเกงของแบรนด์ดังที่คุมโทนสีดำ กระเป๋าสะพายแบรนด์เดียวกับเสื้อผ้าที่ถือมาด้วยก็ถูกวางอยู่ข้างโซฟา

   สายตานิ่ง ๆ ทอดมาทางผม จ้องจนผมก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนถูกใช้สายตาสแกนจนทะลุปรุโปร่งไปทั้งตัว

   “เฟือง อย่าเสียมารยาท”

   “แค่นี้ทำหวง โด่ว”

   “แล้วมาทำไม”

   “อยากมา เพิ่งกลับจากฟิตเนส ขี้เกียจกลับบ้าน คิดถึงน้องชายสุดที่รักเลยแวะมาหาไม่ได้ไง้?” คนอายุมากที่สุดในห้องตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ความเข้มของสายตาถูกปรับผ่อนลงให้ดูขี้เล่นมากขึ้น 

   “แล้วนั่น…”

   “เจ้า” พี่เกียร์หันมาเรียกผม

   “เอ่อ...ครับ”

   “ขึ้นไปอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดมาเลยนะ เดี๋ยวพี่พาออกไปกินข้าวข้างนอก” 

   “คะ...ครับ” ทำไมไม่บอกให้ขึ้นไปตั้งนานแล้วนะ ให้ยืนเกร็งตั้งนาน เมื่อได้โอกาสผมเลยจะรีบขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องนอนชั้นบน
แต่ก่อนขึ้นหางตาหันไปเห็นพี่เกียร์ปารีโมททีวีใส่พี่ชายตัวเองที่มองตามผม เสียงสนทนาของพี่น้องตัวสูงที่ไม่ดังมากแต่ก็ยังดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินอยู่ดี มันชวนเรียกเลือกทั้งร่างให้มาเลี้ยงใบหน้าผมจนร้อนไปหมด

   “โอ๊ย!! ปามาทำเหี้ยไรเนี่ย เจ็บสัด”

   “ใครให้มอง”

   “ขี้หวงชิบหาย กับพี่ชายแท้ ๆมึงก็หวงเนาะ”

   “ก็แฟนกูกับใครหน้าไหนกูก็หวงหมดแหละ”

   “จ้า ยอมแล้วจ้า”


   เสียงสนทนาที่เบาลงเรื่อย ๆ จนพอเข้ามาในห้องนอนก็ไม่ได้ยินแล้ว เอื้อมมือคว้าผ้าขนหนูได้ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องมาเสียเวลานั่งชันเข่าพิงประตู ยกมือขึ้นมาลูบแก้มทั้งสองข้าง ผ้าผืนใหญ่ในมือที่จะใช้เช็ดตัวก็กลายเป็นที่ระบายอาการเขินจนคันฟันของผมไปซะอย่างนั้น ตลกตัวเองเป็นบ้า








   ผ่านไปเกือบ 20 นาทีที่ผมอาบน้ำและแต่งตัวจนอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเรียบร้อยถึงมันจะยับหน่อย ๆ ก็เถอะ สำรวจตัวเองแล้วก็สูดหายใจลึก ๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้าวลงบันไดมาที่ห้องนั่งเล่นด้านล่าง
พ้นองศาของบันไดก็เห็นคู่พี่น้องนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี คนเป็นพี่เหยียดขาสายตาจ้องไปยังทีวีเครื่องใหญ่ ผมเลยเดินไปนั่งโซฟาตัวเล็กฝั่งตรงข้ามพี่เกียร์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดใหม่แล้ว สงสัยอาบน้ำห้องล่างแน่ ๆ ลืมบอกไปเลยว่าห้ามอาบน้ำ คนป่วยจะไข้กลับไหมนะ

   “ทำหน้าอะไรอย่างงั้นอะเอ๋อ”

   “อะ..เอ่อ เปล่าครับ” ผมโดนทักจนหลุดออกมาจากความคิดตัวเอง พอนึกได้ก็นั่งตัวเกร็งเพราะหันไปหน้าไปสบตากับพี่เฟืองพอดี

   “มึงจะจ้องห่าอะไรนักหนา น้องกลัวแล้วสัด” พี่เกียร์ปาหมอนอิงใส่พี่ชายตัวเองอย่างแรง เล่นกันสมกับเป็นพี่น้องผู้ชายจริง ๆ

   “กูแค่มองเฉย ๆ โว้ย น้องจะกลัวได้ไง กูไม่ได้น่ากลัวซะหน่อย หน้าออกจะหล่องี้ ใครจะมากลัววะ ใช่มั้ยครับน้อง” ท้ายประโยคพี่เฟืองหันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ เป็นเชิงถาม

   “เอ่อ ครับ เจ้าไม่ได้กลัวนะพี่เกียร์ แค่...”

   “แค่ ?” พี่เฟืองเอียงคอรอคำตอบ

   “แค่เกร็ง ๆ นิดหน่อย แหะๆ” เสียงหัวเราะแห้ง ๆ หลุดออกจากลำคอของผม และรอยยิ้มกว้างตาหยีกลบเกลื่อนอาการประหม่าจากการเจอพี่ชายแฟนครั้งแรก

   “ไอ้เกียร์”

   “อะไร” ปลายเสียงสะบัดเล็กน้อยให้รู้ว่าตอนนี้กำลังรำคาญพี่ชายสุดกวนตีนอย่างมาก

   “เกียร์”

   “อะไร?!!”

   “น้องคิลกูว่ะ ช็อตเมื่อกี้กูตายว่ะ”

   ผลัก!

   “โอ๊ย!!”

   หมับ!

   คนขี้หวงยกเท้าถีบสีข้างพี่ชายตัวเองอย่างแรงแล้วพุ่งมาดึงผมให้หันหน้าไปเข้าอกแกร่งของพี่เกียร์แทน 

   อะไรจะขนาดนั้น

   “ไอ้เหี้ย ถีบมาได้”

   “จะทำไม รีบกลับบ้านไปเฟือง รำคาญ” เสียงเข้ม ๆ ของคนตัวสูงเจ้าของอกที่ผมฝังหน้าอยู่นี้ดังผ่านหัวผมไป มือหนายกขึ้นมากดหัวผมให้จมลงไปชิดอกมากขึ้นอีก จนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟเฉพาะตัวของพี่เกียร์

   “ไม่กลับ มึงจะไปกินข้าวข้างนอกใช่มะ เดี๋ยวกูไปด้วย”

   “เสือก”

   “แน่นอน งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาไล่ เพราะถ้ากูกลับบ้าน เรื่องน้อง...”

   “จะทำอะไร”

   “วันนี้แม่อยู่บ้านด้วยว่ะ เอ๊ะ หรือกูจะกลับบ้านดีนะ”

   “ไอ้เฟือง”

   “หึ มึงก็รู้ ว่าถ้าแม่รู้เรื่องนี้ แม่จะ-“

   “เออ!! จะไปก็ไป”

   “เยี่ยม!! ว่าแต่ มึงนี่ ไม่คิดจะแนะนำให้กูรู้จักน้องอย่างเป็นทางการหรอวะ”

   “สัด เรื่องมาก”


   ผมที่ยืนเงียบหลุดออกจากบทสนทนาของทั้งคู่มาหลายนาที ก็ถูกดึงกลับเข้าไปร่วมในบทสนทนาอีกครั้งด้วยการที่เกียร์ค่อย ๆ คลายมือแล้วจับไหล่ผมให้หันไปทางพี่ชายของตัวเอง แต่ก็ไม่วายยกมือแขนพาดไหล่ผมไว้เหมือนเคย

   “เจ้า นี่เฟือง พี่ชายพี่เอง”

   “สวัสดีครับ เอ่อ พี่เฟือง” ผมยกมือไหว้ถูกต้องตามหลักมารยาทแบบไม่ให้เสียชื่อ พอลดมือลงก็ส่งยิ้มอันเป็นมิตรสุด ๆ ของตัวเองไปให้

   “สวัสดีครับน้องเจ้า เจอกันสักทีนะ”

   “หื้อ ?”

   “อย่าเยอะ นี่เจ้าพระยา แฟนกู ได้รู้จักแล้ว พอใจยัง?” พี่เกียร์ทำหน้าตาเหม็นเบื่อใส่พี่ชายตัวเอง เป็นความสัมพันธ์ที่แอบตลกดี เหมือนสลับความเป็นพี่เป็นน้องกัน

   “หึ หวงเก่ง อวดแฟนเก่ง ทบต้นทบดอกของ 3 ปีรึไงวะ”

   “เรื่องของกู คนไม่มีก็เงียบปากไป” พูดจบพี่เกียร์ก็ออกแล้วดันผมให้เดินผ่านพี่เฟืองไปทางประตูทางออกห้อง

   “โห ไอ้สาดดดดดด พูดงี้เอาตีนมาเหยียบหน้ากูยังเจ็บน้อยกว่า จี้ใจฉิบหาย อย่าให้กูมีบ้างนะ” เสียงโวยวายมาจากพี่เฟือง ผมอมยิ้มน้อย ๆ แล้วย้อนนึกไปถึงเรื่องที่พี่เกียร์เล่า เหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจอกัน คนแบบพี่เฟืองเนี่ยนะที่ชอบมีเรื่อง ฮ่า ๆ

   “มึงไปทำให้ ’เขา’ ใจอ่อนให้ได้ก่อนมั้ย ฮ่า ๆ” พี่เกียร์หัวเราะเสียงดังหลังจากตอบกลับพี่ชายตัวเองจนเงียบเสียงไปทันที





   มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

   ตอนนี้บนรถคันหรูของพี่เกียร์ที่ถ้าเป็นปกติผมก็คงนั่งสบาย ๆ เปิดเพลงฟัง ฮัมเพลงไปตามอารมณ์ของตัวเอง แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเกร็ง ๆ กับการที่มีพี่ชายแฟนมานั่งจ้องอยู่เบาะด้านหลัง คือถึงจะแนะนำตัวกันแล้ว ผมที่เป็นคนอัธยาศัยดีกับคนที่สนิท แต่มีกำแพงบาง ๆ กับคนที่ไม่ค่อยรู้จักก็เลยรู้สึกทำตัวไม่ถูกต่อหน้าพี่เฟือง 

   ลึก ๆ ผมกลัวว่าจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจ จนจะพลอยรู้สึกไม่ชอบผมมากกว่า

   อาการกลัวพี่ชายแฟนไม่ชอบนี่ เป็นเรื่องปกติมั้ยครับ เจ้าอยากรู้

   “เอ๋อ อยากกินอะไร”

   “...”

   “เจ้าพระยา” 

   “ครับ ๆ ว่าไงพี่เกียร์” เสียงดังของคนข้างตัวที่ใช้มือข้างเดียวบังคับพวงมาลัย เรียกผมออกจากความคิดที่วันนี้หลุดเข้าไปคุยกับตัวเองบ่อยเหลือเกิน

   “เหม่ออะไรอะเรา”

   “ไม่มีอะไรครับ แค่คิดว่าวันนี้อินจะนั่งเรียนกับใคร” แถไปครับ แถไป ใครจะกล้าบอกความจริงล่ะ 

   “เป็นห่วงเพื่อนรึไง หืม?” ไม่พูดเปล่าแขนยาวที่ไม่ได้จับพวกมาลัยก็ยกขึ้นเอามือมาวางขยี้หัวผมเบา ๆ

   “แค่ก ๆ อะแฮ่ม ๆ” ระบบก่อกวนสัญญาณเริ่มทำงานจากเบาะหลังอีกครั้ง

   “นั่งเงียบ ๆ ไป”

   “อะไร กูยังไม่ทันพูดอะไรเลย”

   “ฮะ ๆ อุ๊บ!” ผมที่คิดอะไรตลก ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาจนต้องรีบเอามือปิดปากตัวเอง

   “ขำอะไรครับน้องเจ้า มีอะไรตลกหรอครับ” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามขึ้นมา ทำให้ผมสะดุ้งจนเกร็งหลังนั่งตัวตรงทันที

   “ปะ..เปล่า เปล่าครับ เจ้าแค่คิดอะไรไปเรื่อย”

   “หรอครับ ที่ขำนี่ คิดว่าพี่เป็นตัวตลกใช่มั้ยครับ” 

   “ไม่ใช่นะครับ! เอ่อ เจ้าไม่ได้คิดแบบนั้นนะพี่เฟือง คือ...คือ...” ผมที่มีคำอธิบายอยู่เต็มหัวแต่ตอนนี้ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมายังไงไม่ให้พี่เฟืองเข้าใจผิด

   “ว่าไงครับ ?” คนมีศักดิ์เป็นพี่ชายแฟนยังไม่เลิกใช้เสียงกดดัน ฮือ ไหนเป็นคนตลกไงเล่า หรือเจ้ามองผิดไป

   “เฟือง” พี่เกียร์กดเสียงต่ำเรียกชื่อพี่ชายตัวเอง

   “ว่าไงครับน้องเจ้า เห็นพี่เป็นตัวตลกหรอครับ” ประโยคคำถามที่มีโทนเสียงกดดันให้ผมหาคำตอบมาให้ได้นั้น ทำให้ผมต้องก้มหน้ามองมือตัวเอง เอาแล้วไงเจ้า สุดท้ายก็ทำให้พี่เฟืองไม่ชอบใจจนได้

   “คือเจ้าไม่ได้คิดแบบนั้นครับ เจ้าแค่คิดเล่น ๆ ไปเองว่าพี่สองคนเกิดมาสลับกันหรือเปล่า เอ่อ พี่เฟืองดู...เอ่อ ดูไม่เหมือนพี่ชายสักเท่าไหร่ ขอโทษนะครับที่เจ้าคิดแบบนั้น อาจทำให้พี่ไม่ชอบ คือเจ้า...เจ้า...” กำลังอธิบายออกไปด้วยเสียงสั่น ๆ

   เอี๊ยด!

   ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายจบประโยคพี่เกียร์ก็หักพวงมาลัยรถชิดซ้ายแล้วจอดข้างฟุตบาท ผมที่งง ๆ อยู่ ก็หันไปมองเห็นพี่เกียร์คว้าเอากล่องลูกอมที่วางอยู่บนคอนโทรลรถปาใส่คนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลัง

   โป๊ก!

   “ไอ้เชี่ย ปามาทำห่าไรเนี่ย เจ็บนะโว้ย”

   “สัด เลิกแกล้งน้อง มึงชะโงกหน้ามาดูหน้าน้องด้วย”

   “อะไรวะ”

   ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ชะงักถอยหลังจนติดกระจกประตูฝั่งข้างคนขับเพราะพี่เฟืองชะโงกหน้ามาระหว่างที่นั่งเบาะคู่หน้าพอดี 

   “เอ่อ...”

   “ว้า หงอยเชียว แกล้งหยอกนิดเดียวเอง”
               
   “ไปหยอกหมาที่บ้านนู่น ถ้าแกล้งน้องร้องไห้ มึงได้ลงไปต่อยกับกูแน่เฟือง”
               
   “เมื่อกี้...พี่เฟืองแค่แกล้งเจ้าหรอครับ” พอหายตกใจผมก็รีบตั้งคำถามที่สงสัยทันที คือแกล้งกันหรอ ทำไมเสียงดุจริงจังเหมือนไม่ชอบจริง ๆ ขนาดนั้นอะ
               
   “ครับ โอ๋ ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ น้องชายพี่มันจะกินหัวพี่แล้ว โอ๊ย!”
               
   “ไม่ต้องมาลูบหัวน้อง”
               
   “แตะติดแตะหน่อยไม่ได้ เจ้าก็แฟนมึง ก็ถือว่าเป็นน้องชายกู กูจะกอดจะโอ๋ก็ได้ดิ
               
   “ไม่ได้!!!” เสียงเข้มของพี่เกียร์พร้อมกับมือใหญ่ที่ผลักไหล่พี่ชายตัวเองให้กลับไปนั่งพิงเบาะหลังดี ๆ
               
   “พี่เฟืองครับ” อยู่ ๆ ผมก็เรียกชื่อพี่เขาขึ้นมา เพราะบทสนทนาของคู่พี่น้องเมื่อตะกี้นี้ทำให้ใจผมมันรู้สึกฟูแปลก ๆ เลยอยากถามให้แน่ใจ พี่เกียร์ที่คิ้วยังไม่ทันหายขมวดก็หันมาสบตากับผมเชิงถามว่าเรียกมันทำไม
               
   “ครับผม”
               
   “เจ้าเป็นน้องชายพี่ด้วยหรอครับ ให้เจ้าเป็นน้องอีกคนแล้วใช่มั้ยครับ” ผมหันไปสบตาเอาคำตอบจากคนเป็นพี่ชาย
               
   “ฮ่า ๆ โอ้ย ดูทำหน้าเข้า ไอ้เกียร์ กูเอ็นดูแฟนมึงจังโว้ย ฮ่า ๆ”
               
   อะไรอะ ผมทำหน้ายังไงอีกอะ ทำไมหัวเราะใส่ขนาดนั้น พอผมหันไปหาพี่เกียร์เพื่อที่จะถามว่า ผมมีอะไรน่าขำ ก็ได้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ จากแฟนตัวเอง แววตาอบอุ่นที่รับรู้ได้ถึงความเอ็นดูส่งผ่านมาถึงผม
               
   “ง่ะ เล่นอะไรกันอ่า”
               
   “ฮ่า ๆ คือที่เกร็ง ๆ กับพี่นี่ คือกลัวพี่ไม่ยอมรับหรอครับ”
               
   เจอคำถามที่เหมือนมานั่งอยู่ในความคิดผมขนาดนี้ ผมก็ทำหน้าไม่ถูก เรียงประโยคเพื่อตอบออกมาไม่เป็นเลยทีเดียว
               
   “เอ่อ ก็ครับ มันคงแปลกที่พี่เกียร์มีแฟนเป็น เอ่อ ผู้ชายอะครับ”
               
   “ฮ่า ๆ น้องเจ้าครับ เรื่องนั้นไม่แปลกครับ เอาเถอะ พี่ไม่ได้ไม่ชอบ ไม่ขัดขวางด้วยครับ แค่อยากแกล้งเฉย ๆ หมั่นไส้คนบางคนที่มันดูจะมีความสุขเกินหน้าเกินตาพี่ ทั้งทีเมื่อก่อนตอนอมทุกข์ก็มาพึ่งพี่แท้ ๆ”
               
   “หรอครับ พี่ไม่ได้ไม่ชอบเจ้าใช่มั้ยครับ”
               
   “เปล่าครับ ชอบเจ้ากว่าน้องตัวเองอีก ฮ่า ๆ”
               
   “สัดเฟือง” คนที่เงียบอยู่สักพักก็ปากไวสวนกลับพี่ชายไปเหมือนเดิม หวงเก่ง
               
   “ชอบแบบน้องชายโว้ย เอ็นดูอะเอ็นดู เข้าใจปะ กูน่าจะมีน้องชายน่ารัก ๆ แบบน้องเจ้า มากกว่าทื่อ ๆ แบบมึง”
               
   “ไปตายไป จะได้เกิดใหม่”
               
   “ไม่ไปโว้ย!!!”
               
   ยังไม่ทันสิ้นเสียงโวยของพี่เฟืองพี่เกียร์ก็ออกรถกระชากจนทำให้พี่เฟืองที่ไม่ได้ระวังตัวหงายหลังไปกระแทกเบาะ
               

   เฮ้อ แกล้งกันเป็นเด็ก ๆ
               
   แต่อย่างน้อยผมก็สบายใจแล้วว่า พี่เฟืองไม่ได้ไม่ชอบผม










   ใช้เวลาบนท้องถนนอยู่ไม่นานก็มาถึงร้านอาหารไทยสมัยใหม่แถว ๆ มหา’ลัย ถอยรถเข้าที่จอดรถของร้านเสร็จแล้วก็เดินเข้าร้านไปพร้อมกัน เราทั้งสามคนเดินตามพนักงานเข้าไปส่วนที่นั่งที่อยู่ด้านในร้าน ถึงตอนนี้อากาศภายนอกจะไม่ได้ร้อนมาก แต่ขอเข้าไปนั่งตากแอร์เย็น ๆ หน่อยเถอะครับ 
               
   เมื่อถึงโต๊ะที่พนักงานของร้านเดินนำมาถึง ต่างคนก็ต่างเลือกที่นั่ง แต่ที่ไม่ต้องเดาให้ยากคือพี่เกียร์ดันผมให้นั่งด้านในโต๊ะที่ตั้งชิดกระจกใสของร้าน มองผ่านออกไปก็เป็นสวนพันธุ์ไม้ต่าง ๆ แล้วพี่เกียร์ก็นั่งลงข้าง ๆ กัน ส่วนพี่เฟืองก็ไปนั่งฝั่งตรงข้ามเราสองคน 
               
   จัดที่จัดทางกันอยู่สักพัก พนักงานของร้านก็เดินเอาเมนูอาหารมาให้เราทั้งสามคนเลือก เวลาตอนนี้ยังไม่สายมาก ผมที่กังวลอยู่เรื่องเดียวคือกลัวคนป่วยกินข้าวกินยาไม่ตรงเวลาก็รีบสาดสายตาไล่ตามรายชื่ออาหารเพื่อเลือกอาหารที่พี่เกียร์ชอบ
               
   “เลือกนานจังเตี้ย”
               
   “ใจเย็นสิ บางอันพี่กินไม่ได้นี่
               
   “หืม พี่ไม่ได้แพ้อาหารอะไรนะ เจ้าก็รู้”
               
   “รู้ครับรู้ แต่พี่เกียร์ไม่สบายต้องเลือกกินหน่อย อย่างของทอดของมันต้องงดก่อนครับ เดี๋ยวจะไอ เริ่มเจ็บคอแล้วใช่มั้ยครับ”
               
   พอพูดจบผมก็เบือนสายตาไปหาคนข้างตัว เพื่อตรวจสอบความเข้าใจนิดหน่อยว่าจะไม่หงุดหงิด ซึ่งก็ได้รับสายตาอบอุ่นพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ กลับมา จนเกือบลืมไปว่าตอนนี้...
               
   “อะแฮ่ม! ไม่ได้มากันสองคนนะครับ พี่มีชายหน้าหล่ออยู่ตรงนี้หนึ่งคนนะ” พี่เฟืองโบกแผ่นรายการอาหารในมือเป็นเรียกร้องความสนใจ
               
   “ยุ่งจังวะ” คนเป็นน้องก็ยังคงหลุดปากแสดงความรำคาญพี่ชายตัวเองเหมือนเคย
               
   “งั้นเจ้าสั่งเลยนะ”
               
   “ตามสบายครับ”
               
   ผมเลยหันไปทางพี่พนักงานที่ยืนถือสมุดและปากกาเพื่อรอจดรายการอาหารอยู่ แต่ดูแล้วสมาธิพี่เขาจะยังไม่กลับมาเต็มร้อยเท่าไหร่ เหมือนจะถูกพี่ชายอารมณ์ดีที่นั่งตรงข้ามผมสะกดไว้อย่างนั้นเลย
               
   “พี่ครับ”
               
   “...”
               
   “พี่ครับ สั่งอาหารหน่อยครับ”
               
   “อ๋อ ค่ะ ๆ” พี่ผู้หญิงตัวขาวอวบหลุดออกจากภวังค์แล้วพยักหน้ารับอย่างลนลาน ใบหน้าขึ้นสีจากความเขินอายที่มัวแต่ไม่มีสติจนไม่ได้ยินลูกค้าอย่างผมเรียก สงสัยหลงเสน่ห์พี่เฟืองเข้าอย่างจังแหง ๆ
               
   ผมอ่านชื่อเมนูอาหารที่ต้องการให้พี่สาวผิวขาวจดตามอย่างรวดเร็ว แต่ละเมนูก็เป็นของโปรดคนข้างตัวทั้งนั้นแหละครับ ซึ่งพอพี่พนักงานทวนเมนูอาหารจบ ผมพยักหน้ารับคำแล้วตั้งใจจะหันไปหาพี่เฟืองเพื่อที่จะถามว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม แต่พี่ชายของคนตัวสูงมองหน้าผมอยู่แล้ว แววตาและรอยยิ้มที่ส่งมานั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเขินเหมือนตอนพี่เกียร์มอง แต่ความรู้สึกที่ได้นั้นเหมือนได้รับความเอ็นดูมากกว่า
               
   ดีจัง
               
   “เอ่อ...”
               
   “น้องเจ้านี่รู้ใจไอ้เกียร์ดีแฮะ”
               
   “แหะ ๆ นิดหน่อยครับ แล้วพี่เฟืองจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยครับ ให้เจ้าสั่งให้มั้ย”
               
   “ให้มันสั่งเองเจ้า อยากตามมา ก็หาแดกเอง” คนที่ชอบเปิดศึกกับพี่ชายตัวเองก็ไม่พลาดที่จะเหน็บแนมใส่พี่เฟืองอีกครั้ง
               
   “พี่ก็ พี่เฟืองเป็นพี่ชายนะ”
               
   “เนี่ย น้องเจ้ายังรู้ว่ากูเนี่ยเป็นพี่ชายมึงนะ ไอ้น้องเวร”
               
   “รำคาญ”
               
   “พอครับ พอ ๆ เดี๋ยวเจ้าสั่งให้ก็ได้ครับ พี่ไม่ได้แพ้อาหารอะไรใช่มั้ยครับ”
               
   “พี่กินได้ทุกอย่างครับ”
               
   ผมพยักหน้ารับคำแล้วหันไปสั่งอาหารที่มีรสจัดขึ้นจากรายการเดิมเพื่อให้พี่เฟืองไม่รู้สึกจืดคอตามรสชาติอาหารคนป่วยที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนคนป่วยเท่าไหร่ 
               

   ในตอนที่กำลังฟังพนักงานทวนรายการอาหาร ผมกลับได้ยินเสียงคนตัวสูงทั้งสองคนคุยกันเบา ๆ ด้วยบทสนทนาที่ชวนทำให้หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที และที่แน่ ๆ ไม่ใช่เพราะติดไข้จากคนป่วยหรอกครับ
               
   “สมกับที่มึงรอมาตลอดจริง ๆ ว่ะ”
               
   “อืม” เสียงตอบรับในลำคอที่เบามาก แต่ประสาทรับเสียงของผมก็ทำงานได้ดีจนได้ยินมันอยู่ดี พอเหลือบมองไปหาเจ้าของเสียง ก็มีรอยยิ้มส่งมาให้เหมือนเคย
               
   พอพนักงานเดินออกไป บทสนทนาเสียงเบาเมื่อกี้ ก็ถูกปรับโทนเสียงให้ดังขึ้นจากคนตรงข้ามผม
               
   “หึ ไม่ต้องมายิ้มเยาะกู ไม่ใช่เพราะกูหรอกเรอะ ที่ทำให้มึงเจอกับน้องเจ้าอะ”
               
   “มึงก็กล้าทวงบุญคุณนะเฟือง ตอนนั้นเกือบโดนยำตีนตายแล้วมั้ยสัด”
               
   “โถ ระดับกู ถึงมึงมาช่วยไม่ทันก็สบาย ๆ ว่ะ”
               
   “ปากดี วันนั้นกูน่าจะปล่อยมึงโดนตีนไปให้จบ ๆ”
               
   “หรออออออ แต่มึงจะไม่ได้เจอน้องเจ้าน้า คิคิ”
               
   ผมที่นั่งฟังเขาเถียงกันก็ไม่รู้จะแทรกตรงไหน เพราะตอนนี้ผมนั่งกลั้นยิ้มจนทำตัวไม่ถูก บทสนทนาที่ไม่ได้มีประโยคล้อประโยคแซว แต่ทำไมชวนหน้าร้อนอย่างนี้ แต่พอคิดตามมันก็จริงแหละครับ ตามที่พี่เกียร์เล่าว่าถ้าวันนั้นไม่ตามพี่เฟืองที่ถูกคู่อริลากไปมีเรื่อง เราก็คงไม่ได้เจอกัน ถึงจะเป็นการเจอกันในสภาพที่ไม่ค่อยน่าดูก็เถอะ
               
   ระบบสั่งการที่เหมือนจะผ่านแค่ไขสันหลัง ไม่ทันได้ผ่านสมองก็ ทำให้ผมเผลอพูดประโยคตามใจโดยไม่ทันคิด
               
   “ขอบคุณนะครับพี่เฟือง”
               
   “หืม ?” พี่น้องตัวสูงทั้งสองคนหยุดเถียงกันแล้วหันกลับมาเลิกคิ้วเชิงถามกับผมที่อยู่ ๆ ก็เอ่ยคำขอบคุณขึ้นมา
               
   “ขอบคุณที่วันนั้นพี่เฟืองมีเรื่องจนทำให้ผมได้เจอกับพี่เกียร์” พอพูดจบเท่านั้นแหละครับ ผมก็เพิ่งจะคิดได้ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอายมาก แถมเป็นการขอบคุณที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก
               

   ขอบคุณที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเนี่ยนะเจ้าพระยา
               
   ไอบ้าเอ้ย
               

   “ฮ่า ๆๆ ยินดีครับยินดี ฮ่า ๆ ตั้งแต่มีเรื่องมีราวมา กูเพิ่งรู้สึกว่าการมีเรื่องมีประโยชน์ก็วันนี้ว่ะไอ้เกียร์”
               
   “ปัญญาอ่อน” 
               
   “ฮ่า ๆ”
               
   เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของคนตรงข้ามชวนให้ผมที่ตอนแรกก้มหน้าคางแทบชิดคอด้วยความเขินกับคำพูดตัวเองต้องเงยหน้าขึ้นมาร่วมหัวเราะเบา ๆ ไปด้วย 
               
   พี่เฟืองไม่น่ากลัวจริงด้วย
               




   หลังจากนั้นอาหารก็เริ่มทยอยมาวางจนเกือบเต็มโต๊ะ ผมจัดจานจัดช้อนให้พี่เกียร์กับพี่เฟือง ขยับจานอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่ยังมีไข้อ่อน ๆ มาไว้ตรงหน้า อาหารที่รสจัดหน่อยก็ขยับไปวางตรงหน้าพี่เฟือง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผมก็ทำไปตามธรรมชาติของตัวเอง เหมือนที่ดูแลน้องพาตอนป่วย ช่วยแม่จัดอาหารบางมื้อ พี่เกียร์ที่อาจจะมีความเคยชินบ้างก็ขยับช่วย แต่สำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้น กลับจ้องมองผมไม่วางตาจนผมรู้สึกได้ 
               
   “หน้าเจ้ามีอะไรติดหรอครับพี่เฟือง”
               
   “ฮ่า ๆ ไม่มีครับ”
               

   พออาหารมาครบ พวกเราก็เริ่มลงมือทานอาหารเช้าเกือบสายกัน บทสนทนาระหว่างมื้อนั้นมีบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของพี่น้องเขาคุยกัน กวนกันบ้าง ด่ากันบ้างตามประสา ผมก็ได้แต่ยิ้มประกอบ เพราะมัวแต่ตักอาหารให้คนข้างตัว คนอย่างพี่เกียร์แข็งแรงก็จริง แต่พอป่วยเป็นหนักขนาดนี้แสดงว่าใช้ร่างกายหนักจริง ๆ และผมเชื่อว่าวันนี้พี่เขาก็จะกลับไปแอบทำงานอีกเหมือนเดิม เลยต้องพยายามบำรุงเยอะ ๆ หน่อย 
               
   “พี่ครับ ขอเติมน้ำหน่อยครับ” ผมยกมือเรียกพนักงานผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนถือเหยือกน้ำคอยบริการลูกค้าอยู่ไม่ไกล
               
   “สามแก้วแล้วนะ”
               
   “ต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ ครับ จะได้หายป่วยไว ๆ เนี่ย พี่เจ็บคอเจ้ารู้ เสียงแปลก ๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว”
               
   “หึ ๆ รู้มากจริง ๆ ครับคุณหมอ”
               
   “หมออะไรเล่า เจ้าเรียนเป็นเภสัช ฯ เถอะ”
               
   “หมอประจำตัวพี่ไงเอ๋อ”
               
   “ตลอด หยอดตลอด รีบดื่มเร็วครับ” ผมเอ่ยเร่งให้คนข้างตัวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจะได้เลิกต่อปากต่อคำสักที
               
   ในตอนที่ผมรวบช้อนส้อมเตรียมจะยกน้ำขึ้นดื่มหลังจากทานอาหารเข้าไปจนอิ่มท้อง พี่เฟืองที่นั่งเงียบอยู่นานก็เงยหน้ามองผมสลับกับพี่เกียร์ จนผมต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ เชิงถาม
               
   “ทำไมวะ ?” เจ้าของคำถามมองหน้าผมสลับกับน้องชายตัวเอง
               
   “อะไร” เสียงทุ้มต่ำที่ติดแหบน้อย ๆ ของคนป่วยเอ่ยถามพี่ชาย
               
   “ทำไมคนแบบน้องเจ้าต้องมีคนเดียวในโลกด้วยวะ อิจฉาสัด” 
               
   ไม่พูดเปล่ายังแถมด้วยสายตาที่มองค้อนใส่พี่เกียร์ที่เหมือนอาฆาตกันมาแต่ชาติปางไหน แต่ดูแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็รู้แหละว่าแกล้งทำ
               
   คนที่โดนกัดโดนแซะก็กลัวจะน้อยหน้าล่ะมั้ง ไม่วายจะต้องมีประโยคสวนกลับให้พี่ชายในสายเลือดตัวเองหน้าชา
               
   “หึ”
               
   “...”
               
   “เพราะเจ้าพระยาเกิดมาเพื่อกูคนเดียวไง” ยักคิ้วตบท้ายไปหนึ่งที
               
   “สาดดดดดดดดด” ซาวน์แบ็คกราวน์จากพี่เฟือง
               
   “ฮื่อออออออ” และเสียงในลำคอจากผมที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดหลอดดูดน้ำสีขาวในแก้วน้ำตรงหน้าแก้เก้อเขินให้กับประโยคหวานเลี่ยนจากคนข้าง ๆ
               

   คืออ่อนโยนกับใจผมบ้างก็ได้นะพี่เกียร์
               

   ผมเหนื่อยยยยยยย
               

   “หน้าแดงหมดแล้วเตี้ย”
               
   “ก็แล้วมันเพราะใครล่ะครับ หึ่ย”
               
   “ฮ่า ๆ ก็แค่พูดความจริง”
               
   “บางเรื่องก็เก็บ ๆ บ้างก็ได้นี่ เปิดเผยเหลือเกินนนนนน”
               
   “นี่ใคร พี่เคยสนใครด้วยหรอ”
               
   “เอ่อ สนกูหน่อยก็ดี” พี่เฟืองเอ่ยแทรกบทสนทนาของเราที่คล้ายจะเถียงกันมากกว่า 
               
   “เสือก..โอ๊ย!! ตีพี่ทำไมเนี่ย”
               
   “ก็ใครให้พี่หยาบคายใส่พี่เฟือง นั่นพี่ชายนะ”
               
   “ใช่มั้ยครับน้องเจ้า เป็นน้องภาษาอะไรก้าวร้าว ตีมันแรง ๆ เลยครับ โอ๊ะ! เชี่ยเกียร์” พี่เฟืองพูดแถมลอยหน้าลอยตาใส่พี่เกียร์ประหนึ่งตัวเองได้รับชัยชนะ จนโดนพี่เกียร์เตะขาใต้โต๊ะ 
               
   เฮ้อ เห็นแบบนี้ก็พอกันเลยครับ
               
   สมควรโดนตีทั้งคู่
               


   พอสงครามบนโต๊ะอาหารขนาดย่อม ๆ จบลง พี่เกียร์ก็เรียกพนักงานมาคิดเงินค่าอาหาร ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจที่พี่เฟืองเป็นคนควักเงินจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด ซึ่งคนอายุมากสุดในโต๊ะให้เหตุผลว่า
               
   ‘ขอเลี้ยงต้อนรับแฟนน้องชายหน่อยครับ’
               
   แล้วใครมันจะไปกล้าปฏิเสธเล่า 
               
   ผมก็ทำได้แค่ยิ้มตาหยี แต่สีแก้มนี่แดงแข่งกับมะเขือเทศให้กับประโยคชวนใจสั่นนั่น คนข้างตัวที่เป็นน้องชายคนจ่ายเงินก็ลุกขึ้นเอามือล้วงกระเป๋าสบายใจ ไม่มีการคัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น เข้าทางล่ะสิ










   หลังจากนั้นพี่เกียร์ก็ขับรถมาส่งผมที่มหา’ลัย รถเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทที่หน้าคณะเภสัชศาสตร์ ซึ่งพอผมบอกลาสองพี่น้องทั้งสองคนแล้วลงมายืนข้างตัวรถเรียบร้อย พี่เฟืองก็เปิดประตูรถลงมาเพื่อย้ายตัวเองมานั่งเบาะข้างคนขับแทนที่ผม
แต่ก่อนที่พี่เฟืองจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง พี่เขากลับหยุดยืนตรงหน้าผมก่อนที่จะยกมือใหญ่ที่ขนาดพอ ๆ กับคนเป็นน้องชายวางบนกลุ่มผมสีน้ำตาลของผม

   “ตั้งใจเรียนล่ะ”

   “ครับผม”

   “ไว้เจอกันใหม่นะ เจอกันครั้งหน้าคงไม่ใช่แค่พี่แล้วนะ”

   “หื้อ? ยังไงอะครับ”

   “ฮ่า ๆ เดี๋ยวก็รู้ โถ่ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นครับ ไม่มีอะไรหรอก”

   “ขี้แกล้งทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะครับ”

   “อะ อันนี้ยอมรับ ฮ่า ๆ”

   บทสนทนายังไม่ทันจบ คนตัวสูงที่นั่งหลังพวงมาลัยรถหรูก็กดเลื่อนกระจกฝั่งเบาะข้างคนขับลง

   “อย่าเยอะ สัดเฟือง”

   “เออ ๆ หวงจริงวุ้ย งั้น พี่ไปนะ” พี่ชายอารมณ์ดีหันไปบ่นน้องชายตัวเองก่อนจะหันมาลาผมอีกรอบ

   “ครับ ๆ ไว้เจอกันครับ”

   พี่เฟืองหันไปเอื้อมมือจับประตูรถตั้งท่าจะเปิดแล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง

   “เอ้อ…น้องเจ้า”

   “ครับ ?”

   “ขอบคุณนะ”

   “ขอบคุณ? เรื่องอะไรหรอครับ?”

   พี่ชายแสนอารมณ์ดีไม่ตอบแต่กลับมอบรอยยิ้มกว้างมาให้ผม ใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับพี่เกียร์ แต่ดวงตาดูเรียวกว่าเล็กน้อย นัยน์ตาที่ตอนแรกดูดุมากสำหรับผมที่ตอนนี้กลับสดใสแบบฉบับคนขี้เล่นกำลังถ่ายทอดความรู้สึกแทนคำอธิบายหลาย ๆ อย่างที่ผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้

   แต่ที่รู้สึกได้คือ มันคงเป็นเรื่องที่ดี

   เมื่อพี่เฟืองไม่ตอบ ผมก็ไม่อยากซักไซ้เอาคำตอบมากมายนัก เพียงแค่ตอบกลับไปสั้น ๆ

   “ไม่เป็นไรครับ เจ้ายินดี” รอยยิ้มส่งท้ายแบบที่จะเกิดขึ้นเมื่อผมมีความสุขได้ถูกส่งกลับไปหาคนอายุมากกว่า

   พี่เฟืองเปิดประตูพาตัวเองเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับเรียบร้อย

   “เดี๋ยวพี่โทรหานะ”

   “ครับ”

   เจ้าของเสียงทุ้มติดแหบเอ่ยก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้น ตัวรถหรูเคลื่อนไกลออกไปจากหน้าคณะเรียนของผม รถเคลื่อนไกลออกไป แต่หัวใจผมยังคงพองโตเมื่อนึกถึงเหตุการณ์และคำพูดที่เกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้




   สาเหตุของการพบกันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีในวันนั้น

   แต่การพบกันครั้งนั้นกลับทำให้วันนี้เกิดเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับผม

   ขอบคุณนะครับ


   …พี่เฟือง...












   TBC

   (10/10/2018)
   **************************************************
   คลานเข่าเข้ามากราบ
   หนูกลับมาแล้วค่ะ แงงงงงงงง #เจ้าพระยาที่รัก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หลานคนแต่ง หาแฟนให้เฟื่องด้วยน่ะ  o18

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คราวหน้าเจ้า คงได้เจอครอบครัวพี่เกียร์  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กลับมาต่อแล้ววววว  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่เฟืองไม่ได้ถูกส่งมาสังเกตการณ์ก่อนใช่มั้ย 555555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม ๆ เหม็นฟาร์มรัก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ครั้งหน้าต้องเป็นคุณแม่มาแน่ๆเลยยยย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ยังขยันหยอดเหมือนเดิมนะเท๊อ ฮ่า ๆๆๆ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
คิดถึงน้องเจ้า :กอด1: หวานกันไม่เกรงใจใครเลย มีคนอิจฉา จัดใครมาให้ตัวการหน่อย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
น้องเจ้าน่ารักเหลือเกินนนนนน >\\\\<

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

ท่าเรือที่ 19
ประลองเวทย์ปรุงยา








‘ลงสนามพร้อม !!’


‘พร้อม !!’


‘3…4 !!’


‘ลงสนามด้วยความสง่า เก่งกล้าเหนือใคร เรามาเชียร์มาชิงชัย ไม่มีใครมาหาญสู้ เรามาเชียร์เป็นแรงช่วย ด้วยใจของพวกพ้อง มอยูเราจะครอง ความเป็นหนึ่งเหนือใคร !!’


‘5…6…7…8 !!’



 
“เป๊ะมากค่า”


“วี๊ดดดดด ท่าสวยมาก”


“ยิ้มไว้ค่า”



เสียงวี้ดว้ายเกรียวกราวของรุ่นพี่ปีสองที่เป็นทีมควบคุมการสอนหลีดให้กับพวกผมดังไปทั่วโถงอาคาร ความเงียบในยามวิกาลไม่ได้ทำให้เกิดความกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะจำนวนคนที่มานั่งกองนอนกองกันอยู่ใต้อาคารนี่เกือบจะหมดคณะผมแล้วนะ


เพราะเขามาดูพวกผมซ้อม ?


ผิด !


เพราะทุกฝ่ายงานกำลังเผางานที่เหลือจนไฟลุกยังไงล่ะ


จะเป็นงานอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่การเตรียมงานประลองเวทย์ปรุงยาที่เป็นการแข่งขันกีฬาและผู้นำเชียร์กระชับความสัมพันธ์ระหว่างคณะเภสัชศาสตร์จาก 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งปีนี้มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพนั้นตั้งอยู่แถว ๆ จังหวัดปริมณฑล


โดยงานนี้จะจัดขึ้นในอีก…


ไม่กี่วัน


โน้ว โน ๆ


จัดวันพรุ่งนี้แล้วจ้า


พระเจ้าช่วยกล้วยทอดตากแห้งก็ไม่ช่วยทำให้ความลนลานของฝ่ายงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นั้นลดลงไปได้เลย พวกพร้อบ ฉาก อุปกรณ์การแสดงต่าง ๆ ก็ยังต้องมีการเก็บรายละเอียด ทีมสวัสดิการก็ต้องอยู่คอยอำนวยความสะดวก ฝ่ายประสานงานก็จัดการเอกสารวุ่นวายกันไปหมด 


และผู้นำเชียร์อย่างพวกผม


ก็ซ้อมกันประหนึ่งไปแข่งผู้นำเชียร์โอลิมปิกฤดูหนาว


ถ้านับจากวันที่ผมไปค้างห้องพี่เกียร์ในวันที่คุณเขาป่วยก็สองอาทิตย์กว่า ๆ แล้วครับ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะพี่เกียร์ทำโปรเจคต์หนักมาก เดินเรื่องกับที่ฝึกงานอีก ส่วนผมก็ถูกนัดซ้อมหลีดหนักจนเหมือนจะตาย แต่บ่นไม่ได้เพราะเป็นความหวังของคณะ ฮืออออ 


หนักขนาดที่มีสภาพเป็นซากแห้ง ๆ กลับบ้านให้แม่กับน้องพาหัวเราะใส่จนผมเซ็ง ก็น้องพาบอกว่าผมไม่เหมือนไปซ้อมหลีดมา แต่เหมือนรุ่นพี่พาไปลอกท่อระบายน้ำมา


ก็เกินป๊ายยยยย



ธีมงานประลองเวทย์ปรุงยาในปีนี้ รุ่นพี่บอกผมตั้งแต่เริ่มซ้อมแรก ๆ ว่า ธีมมาเวลส์ และมหา’ลัยของพวกเรา สายโหด(?)แบบนี้ เท่แบบนี้จะเป็นหนังมาเวลส์เรื่องอะไรไม่ได้นอกจาก



Black Panther !!



วากานด้าฟอเอฟเฟร่อออออ !!



แล้วระดับเจ้าพระยา ถึงเตี้ยแต่ผมก็ได้เป็นตัวเด่นในการแสดงนะครับ 



เป็นเจ้าชายทีชาลา



…ก็บ้าละ…



ผมได้เป็นลูกแมวดำ เอ้ย เสือดำเฉย ไอ้ว่านมันแย่งบทเจ้าชายไปจากผม เนี่ย พี่ ๆ ตาไม่ถึงอะ




วันนี้เป็นวันซ้อมวันสุดท้ายก่อนที่จะต้องลงสนามเฉิดฉายแสดงสิ่งที่ซุ่มซ้อมมาอย่างเต็มที่ในวันพรุ่งนี้ เหล่านักกีฬาก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้จะเป็นการแข่งขันกระชับความสัมพันธ์แต่จะเล่นชิล ๆ ให้เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ ต้องคว้ารางวัลมาประดับรุ่นให้น่าภูมิใจไปหลายช่วงอายุไปเลย


ถึงแม้พวกพี่ ๆ จะบอกไว้ตอนซ้อมเมื่อวานว่าวันนี้จะซ้อมเบา ๆ แค่เก็บรายละเอียดแต่ละท่าเท่านั้นเอง แต่ในความจริงก็ยังคงฟันการ์ด สะบัดข้อมือกันอย่างหฤโหดอยู่ดี ซึ่งตอนนี้ผมมั่นใจในการจดจำท่วงท่าในทุกเพลงมาก ๆ เต้นเหมือนกดรีเพลย์ในแผ่นดีวีดี ท่าเป๊ะ การ์ดเท่ากันทุกรอบ อิอิ


“เจ้า มึงเอาอะไรมั้ย จะไปเซเว่น” อินเดินเข้ามาถามตรงที่ผมยืนโซนซ้อมอยู่ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจของใครหลายคนที่วันนี้อินอยู่ดึก เพราะมันเอ่ยขออนุญาตน้าอรมานอนค้างกับผม โดยมีแม่ผมเป็นผู้สนับสนุนหลักโทรไปขอย้ำให้อีกที


“เอา ๆ ขอวิตซี 2 ขวด ขนมเอาไรมาก็ได้”


“อาฮะ”


“แล้วมึงไปกับใครอะ” ผมถามเพื่อนตัวเล็กอีกที เพราะก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะไปคนเดียวตอน 5 ทุ่มแบบนี้ ถึงจากคณะไปเซเว่นคณะข้าง ๆ จะไม่ไกลก็เถอะ


“นู่น” อินพยักเพยิดหน้าไปตรงบันไดทางออกจากใต้โถงอาคาร มีใครคนหนึ่งยืนพิงเสาอยู่ ซึ่งพอผมเห็นก็ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร


เช้าถึง เย็นถึง ดึกถึงขนาดนี้ ผมนี่หายห่วงเลยครับ


“อ่อ รีบไปรีบกลับนะจ๊ะ ฝากบอกพี่พีด้วยว่ารีบพาเพื่อนกูกลับมาไว ๆ กูคิดถึง” เอ่ยแซวให้เพื่อนหน้าขึ้นสีเล่น ๆ


“ยุ่งว่ะ ไปซ้อมเลยมึง โน่น พี่เขาจะแดกหัวมึงละ”


“เขินแล้วเกรี้ยวกราดนะมึงอะ ฮ่า ๆ”


โดนอินทัชมุ่ยหน้าใส่ก่อนมันจะเดินไปทางที่มีรุ่นพี่ต่างคณะยืนอยู่ ผมมองตามก็อดยิ้มไม่ได้ที่อินเจอที่พักพิงใจ แต่ก็นะ อุปสรรคของมันข้างหน้าก็ไม่น่าเบาเท่าไหร่ หวังว่าพี่พีจะไม่ปล่อยมือเพื่อนผมให้สู้คนเดียว

 









00 : 00 AM


นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ทยอยเสร็จ ตั้งตระหง่านประกอบการซ้อมจริงรอบสุดท้าย ตอนนี้ผู้คนที่อยู่เผางานใต้คณะเริ่มบางตาลง ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่ประชากรเพศชาย ส่วนรุ่นพี่ปีสองที่มีจำนวนมากสุดในตอนนี้ก็เริ่มจัดของเตรียมของสำหรับการขนขึ้นรถในตอนเช้ามืด คาดว่าน่าจะไม่มีใครนอนกันในคืนนี้


“ม. ยูขอขอบคุณค่า/คร้าบ~~~”


กรี๊ดดดดดดดด



ฮิ้ววววววววว


สิ้นเสียงขอบคุณตอนจบโชว์ของการซ้อมจริงรอบสุดท้าย ก็ตามด้วยเสียงโห่เชียร์ของเหล่าผู้นำเชียร์และรุ่นพี่ที่พึงพอใจกับการซ้อม ความผิดพลาดไม่ปรากฎแก่สายตาผู้ควบคุมซ้อมเลยทำให้การซ้อมสิ้นสุดลง


จะ  ได้  นอน  แล้ววววววววว

 
ผมและเพื่อน ๆ ในทีมหลีดก็ทยอยเก็บของเตรียมที่จะกลับบ้าน ส่วนอินที่ช่วยรุ่นพี่เก็บรายละเอียดฉากจนเสร็จนานแล้วก็มานั่งรอตรงโต๊ะที่วางกระเป๋าผมไว้ เราสองคนนัดแนะกันไว้แล้วว่าจะกลับรถแท็กซี่


แหนะ


ก็คงมีคนสงสัยว่าทำไมคนตัวสูงจอมขี้ห่วงไม่มารับผม



ก็พี่เกียร์โทรมาตั้งแต่เย็นแล้วว่าวันนี้ถูกพ่อเรียกให้เข้าบริษัทพร้อมกับพี่เฟือง เห็นว่าต้องไปรับงานบางส่วนมาศึกษา ผมเลยต้องกลับบ้านเองอย่างที่เห็นครับ ซึ่งผมก็กลับเองได้น่า นี่ผู้ชายแมน ๆ นะเนี่ย


“เสร็จแล้ว กลับบ้านกัน”


“อืม ปะ” อินตอบพลางผุดลุกจากเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่นั่งอยู่แล้วเดินนำผมไป


“พี่ ๆ หวัดดีค้าบ ผมกลับละน้า” ผมกับอินหันไปบอกลาพี่ ๆ ที่กำลังช่วยกันเก็บของอยู่ ซึ่งพี่ ๆ บอกให้ปี 1 กลับไปพักกันก่อน ทำให้ผมกับเพื่อนไม่ได้อยู่ช่วยต่อ


“จ้า กลับกันดี ๆ นะเจ้า เจอกัน 6 โมง เอ้อ แล้วนี่กลับกันยังไง” พี่ในทีมคุมหลีดเอ่ยรับคำบอกลาและถามผมกลับมาในทันที


“กลับแท็กซี่ครับ วันนี้อินค้างบ้านผม”


“อ๋อ ถึงว่าไม่เห็นคนหล่อมานั่งรอรับกลับ อิอิ” นั่นไง ไม่พ้นแซวผมอยู่ดี


“โห่ ผมก็กลับเองบ้างไรบ้างสิพี่”


“จ้า ดีแล้ว มาบ่อยพวกพี่อิจฉา ฮ่า ๆ”


“พี่อะ” ผมมุ่ยหน้าทำปากยื่นใส่รุ่นพี่ที่เอ่ยแซว และรุ่นพี่คนอื่นที่ใช้สายตาแซว ก็เป็นกันแบบเนี่ย จะไม่ให้ผมเขินได้ไงอะ นี่คนนะ มีหัวใจ อายได้เขินเป็นนะครับ


พอบอกลากับรุ่นพี่เสร็จ ผมกับอินก็เดินสะพายกระเป๋ามุ่งหน้าออกจากคณะไปเรียกแท็กซี่หน้ามอ


“อิน มึงจะไปไหน ทางนี้ดิ” พอเดินถึงหน้าคณะอินกลับเดินไปคนละทางกับทางที่จะออกไปหน้ามอ


“ไปทางนี้” อินยังคงยืนยันโดยการใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางเดิมด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ผมเลยเดินย้อนกลับไปหาอินแล้วมองตามมือของเพื่อนตัวเล็กไป


“หืม นั่น?”


“อืม พี่พีรอไปส่ง”


“ห้ะ!!”


“ไม่ห้ะหรอก พี่เกียร์ฝากพี่พีให้รอรับพวกเรากลับไปส่งที่บ้านมึงไง”


“อะไรอะ ทำไมพี่เกียร์ไม่เห็นส่งข้อความมาบอกกูสักข้อความอะ หายเงียบไปเลยเนี่ย” ผมเหวเสียงดัง ก็คนตัวสูงเงียบไปเลยตั้งแต่เย็น ผมก็คิดว่าคงยุ่งงานที่บริษัทอย่างที่บอกไว้แน่ ๆ เลยไม่ได้ส่งข้อความไปกวนหรือโทรไปหา


“เขาก็คงบอกแค่เพื่อนเขาแหละ ไปกลับเถอะ กูง่วงละ”


“เหอะ แล้วก็ไม่ส่งข้อความมาหากันสักนิด” ผมเบะปากใส่โทรศัพท์ที่เอาขึ้นมาเช็คให้แน่ว่าพี่เกียร์ไม่ได้ส่งข้อความมาบอกอะไรไว้


“เจ้า ‘คิดถึง’ พูดแบบนี้”


“อิน!!”


“ฮ่า ๆ ไป ๆ” พูดจบอินก็เดินไปทางที่พี่พีจอดรถรออยู่ 


“หึ่ยยย”



 

พอขึ้นมาบนรถผมที่รู้หน้าที่ด้วยการมานั่งที่เบาะหลัง เมื่อเจอความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถก็ทำให้ตาเริ่มปรือ ความง่วงงุนกำลังจะเข้าครอบงำ และในจังหวะที่สติกำลังจะพร่าเลือน สายตาผมจับภาพดี ๆ ตรงหน้าได้


อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ให้กับความน่ารักที่ผมแทบไม่เคยเห็นจากรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนของแฟนผม


โอเค มองผมเป็นอากาศก็ได้ครับ


ถ้าจะมาหอมหน้าผากกันตรงนี้


หึหึ มีเรื่องให้เอาคืนอินละ แซวผมดีนัก





 



ไม่รู้ว่าพี่พีใช้เวลาขับนานเท่าไหร่ เพราะผมหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อินหันมาสะกิดเรียกผมให้ตื่นจากหลับใหล รถจอดเทียบหน้าบ้านผมเรียบร้อยแล้ว


เอาสิ ผมเป็นเจ้าของบ้านที่ปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นคนบอกทางกลับบ้าน ฮ่า ๆ



ไฟในบ้านที่ยังคงเปิดอยู่เป็นสัญญาณว่าแม่ยังคงรอผมกับอิน เราสองคนก็เลยขอบคุณพี่พีที่มาส่ง จังหวะที่ลงจากรถแม่ก็เปิดประตูบ้านบานเล็กออกมาพอดี พี่พีลงมาไหว้ทักทายแม่ของผม เอ่ยขอบคุณและร่ำลากันไม่นานพี่พีก็ขับรถกลับไป ผมกับอินก็เดินตามแม่เข้าบ้าน แล้วผมก็ได้รู้ว่าที่แม่อยู่รอผมกับอินดึกขนาดนี้ไม่ใช่พี่หวานที่รอ ก็เพราะว่าแม่ต้องโทรกับไปบอกน้าอรว่าลูกชายน้าได้กลับถึงบ้านผมอย่างปลอดภัยแล้ว

 
คนเป็นแม่อะครับ 


ห่วงที่สุดก็ลูกแหละ


ผมกับเพื่อนตัวเล็กก็เลยขึ้นห้องมาจัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวนอน ก่อนที่ร่างกายจะชัตดาวน์ไปเองจิตใต้สำนึกของผมเองก็สั่งการให้ผมทำอะไรตามความเคยชินที่ต้องทำก่อนนอนทุกวัน


Chao_ya : ถึงบ้านแล้วนะครับ


Chao_ya : ฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่เกียร์

 

และก่อนที่จะหลับไป สติอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็ทันได้อ่านข้อความสั้น ๆ ที่ตอบกลับมา และไม่ต้องลำบากสั่งตัวเองให้มุมปากยกขึ้นเลย เพราะข้อความที่ได้อ่านมันส่งผลทำให้ผมยิ้มออกมาได้เอง


P’ GEAR : อืม


P’ GEAR : ฝันดีนะเอ๋อ


P’ GEAR : คิดถึงนะครับ



และคืนนี้ผมก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่รอยยิ้มบางก็ไม่จางหายไป

 
ผมก็คิดถึงพี่ชะมัด


แต่ผมแพ้ความง่วงงันก่อนที่จะได้พิมพ์ตอบกลับไป

 












“เจ้า…เจ้าพระยา”


“…”


“ตื่นได้แล้วลูก”


“…”


“อินลูก ตื่นครับตื่น”


“อื้ออออ…”


เสียงเรียกที่เบาในความรู้สึกตอนแรก เริ่มดังชัดเมื่อสติผมตื่นเต็มร้อย เป็นแม่ที่เข้ามาปลุกผมกับอิน ทั้งที่ผมรู้สึกว่าผมเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานลูกตื้อในการปลุกของแม่ผมได้ 


แม่น่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งมากครับ


หาวิธีมาปลุกได้ไม่ซ้ำเลย


“แม่…กี่โมงแล้วครับ” ผมชันตัวลุกขึ้นมานั่ง ผ้าห่มถูกแม่ดึงไปกองที่ปลายเท้า ผมหันไปมองที่ว่างข้างตัว อินคงลุกขึ้นไปอาบน้ำตั้งแต่แม่ผมปลุกครั้งแรกแล้วแน่ ๆ 


“ตี 5 แล้ว เจ้าบอกแม่ว่าพี่เขานัด 6 โมงนี่ เดี๋ยวก็ไม่ทัน นี่ภาคมารอเราอยู่ข้างล่าง”


“ห้ะ!! แม่ว่าไงนะ”


“อ้าว ก็ภาคภูมิสุดหล่อเพื่อนเจ้าไง ลืมเพื่อนหรอเราอะ”


“ไม่ใช่ครับ เจ้าจะลืมมันได้ไง แต่ทำไมมันมารออะ”


“หืม ไม่ได้นัดกันไว้หรอ เห็นภาคบอกว่ามารับพวกเราไปมหา’ลัย”


“หื้อ จำได้ว่าไม่ได้นัดนะครับ มันบอกเจ้าแค่ว่าวันนี้จะตามไปเชียร์ ไม่ได้บอกว่าจะมารับที่บ้านสักหน่อย…อะไรของมันวะ” ผมเอ่ยตอบแม่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความสงสัย


“เอาเถอะ รีบลุกไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะสาย ไปใช้ห้องน้ำที่ห้องแม่แล้วกัน”


“ครับ ๆ ไปแล้วครับ” ผมรีบลุกจากที่นอนคว้าผ้าขนหนูพาดบ่าแล้วไปใช้ห้องน้ำที่ห้องนอนแม่







พอกลับมาแต่งตัวที่ห้องอินก็แต่งตัวเสร็จพอดี ใช้เวลาไม่นานผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเหมือนกัน วันนี้ก็เลือกใส่ยีนส์สีซีดตัวเก่งกับเชิ้ตแขนสั้นลายทางสีน้ำเงินขาวตัวโคร่ง ส่วนอินก็กางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำกับเสื้อคอปกของคณะที่รุ่นพี่ให้ใส่เหมือนกัน แต่ที่ผมไม่ใส่เพราะไปถึงก็ต้องแต่งหน้าทำผม ใส่เชิ้ตมีกระดุมจะถอดเปลี่ยนชุดง่ายกว่าครับ รุ่นพี่ก็อนุโลมแล้วด้วย


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเช็คของที่ต้องเอาไปด้วยจนครบแล้วก็ลงมาข้างล่าง เจอไอ้คุณเพื่อนตัวสูง ที่เหมือนมันจะสูงขึ้น(?)นั่งรออยู่ตรงโต๊ะกระจกสำหรับลูกค้าหน้าร้าน


“ไอ้ภาค มึงมาทำไมวะ” ด้วยความคาใจผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป โดยมีอินที่ยืนทำหน้างงอยู่ข้างกัน


“ก็มารับมึงสองคนนี่ไง”


“กูจำได้ว่า กูไม่ได้นัดมึงไว้นะ”


“ก็ใช่ แต่พอดีกูได้รับคำบัญชามาว่ะ”


“คำบัญชา?”


“ใช่ กูถูกสั่งมาให้มารับมึง แล้วก็ไปบอกรุ่นพี่มึงว่าพวกมึงจะไปเอง โดยมีกูเป็นสารถี” มันตอบยาวเหยียดด้วยรอยยิ้มกว้าง ดูภูมิอกภูมิใจที่ได้รับหน้าที่นี้


“แลกกับ?” อินถามสั้น ๆ แต่สายตาโคตรกดดัน


“รู้ทันกูตลอดเลยนะสาสสสสส”


“ตอบมา” ผมกดดันมันอีกที


“เลี้ยงเหล้าไม่จำกัดงบว่ะ ของตอบแทนแจ่มขนาดนี้ คนหล่อ ๆ แบบกูไม่ควรโง่ปฏิเสธ ฮ่า ๆ” 


“ไอ้คนเห็นแก่กิน!!” ผมเหวเสียงดังใส่มัน


“เออ แล้วไง มึงควรดีใจเถอะ ที่ขนาดแฟนมึงไม่ว่าง ยังสั่งการให้กูมาดูแลมึงเนี่ยไอ้เตี้ย”


“ก็แหงสิ กูมีแฟนดี” ล้อดีนัก ตามน้ำแม่ง


“แหมมมมมม ได้ทีละอวดผัวเชียวนะ”


“ผัวพ่องงงง!! หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย!!”


“ฮ่า ๆ โอ๋ ๆ ไม่ล้อละ ปะ รีบไป”


“เดี๋ยวมึงเจอกู”


“ขู่เป็นแมวอยู่ได้ ปะ ไปกันอิน ปล่อยแม่งไปเองซะดีมั้ง” ไอ้ภาคหันไปกอดคออินเพื่อรั้งให้เดินออกจากบ้าน


“มึงกล้าหรอ หึหึ”


“กล้าสิวะ”


“แน่ใจนะ…แต่แฟนกูเป็นคนเลี้ยงเหล้ามึงนะ หึ” ผมกอดอกเบะปากใส่ไอ้ภาคเพื่อนสุดเหี้ยม(เอา ม.ม้า ออกเถอะ)


“โอ้โห ไอ้เจ้า มึงแม่งร้ายสัด ขู่เก่งนักนะ ยอมแล้วโว้ย”


“อย่ามาแหยมกับกู”


“คร้าบ ไปครับคุณเจ้าพระยา ให้ไวเลยครับ รุ่นพี่มึงจะแดกหัวนะถ้าไปสาย”


“เออ”


“เจ้า ไปบอกแม่ก่อนมั้ย” อินหันมาถามผม


“แม่น่าจะออกไปตลาดกับพี่หวานอะ เดี๋ยวเขียนโน๊ตติดไว้ก็ได้”


“อืม เอางั้นก็ได้”


พอตกลงกันได้ผมก็จัดการเขียนโน๊ตบอกแม่แปะไว้ตรงเคาเตอร์คิดเงิน พอออกมาก็ปิดงับประตูบ้าน ขึ้นรถของไอ้ภาคพร้อมออกเดินทาง

 



ไอ้ภาคมันก็ทำตามที่บอกไว้กับพวกผมตั้งแต่อยู่ที่บ้านคือการที่มันขับรถพาพวกผมมามหา’ลัย แต่มาแค่บอกรุ่นพี่ว่าจะขับรถพาพวกผมไปเอง แถมยังอาสาให้ใช้ที่ว่างท้ายรถขนอุปกรณ์แต่งหน้าแต่งผมและของต่างๆ ที่ชิ้นไม่ใหญ่ไปด้วย พวกผมก็คงจะรอดจากการหมายหัวว่ามีสิทธิพิเศษแหละ แถมไอ้ภาคกลายเป็นขวัญใจรุ่นพี่ผู้หญิงมากกว่าเดิมไปอีก


จ้า


พ่อเดือนร้อยเมีย

 
















จากมหา’ลัยผมจนถึงมหา’ลัยเจ้าภาพที่อยู่แถบปริมณฑลก็ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงนิด ๆ อาจจะเป็นเพราะตอนเช้ารถยังไม่มากจนทำให้จราจรติดขัด ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกตินี่ รถติดแถวยาวมาก 


ไอ้ภาควนรถไปหาที่จอดตามที่ทีมเจ้าภาพจัดไว้ให้ ผมให้อินกดโทรหารุ่นพี่ที่มารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อขนของจากท้ายรถไปไว้ยังจุดที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้มหา’ลัยของเรา ซึ่งเป็นห้องพักนักกีฬาใต้อาคารกีฬาที่ถูกจัดให้เป็นห้องแต่งตัวของผู้นำเชียร์แต่ละมหา’ลัย ดูจากป้ายแล้วเหมือนมหา’ลัยของผมจะถูกแบ่งให้ใช้กับมหา’ลัยคู่ขวัญบนโลกโซเชียล


RrrrrrrRrrrrrr


โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นส่งสัญญาณยาว ๆ ว่ามีสายเรียกเข้า


- P’GEAR -


เพียงแค่เห็นชื่อมุมปากที่เคยเรียบตรงก็ยกสูงขึ้นจนทำให้ตาหยี


“เหม็นความรักว่ะ” ไอ้ภาควางของชิ้นสุดท้ายในมือมันเสร็จก็หันมาแขวะใส่ผมทันที


“กลั้นหายใจให้ตายไปซะสิ” ผมตอกกลับมันทันที


“ปากคอเราะร้ายยยยย”


ผมเบะปากใส่เพื่อนตัวดีก่อนจะสไลด์หน้าจอตอบรับการโทรเข้าจากคนปลายสาย


“ครับ”


(ถึงรึยัง)


“ถึงแล้ว แต่นี่ เจ้ายังไม่เคลียร์ เรื่องให้ไอ้ภาคมารับ ทำไมไม่เห็นบอกเจ้าบ้างเลยอะ”


(หึหึ ตอนแรกจะไปรับเอง)


“อ้าว แล้ว…”


(แต่พอดีเมื่อคืนแม่พี่บอกว่าให้ไปส่งที่งานแต่งลูกเพื่อนแม่ เป็นงานเช้าเลยไปรับไม่ได้)


“อ่า แล้วทำไมต้องให้ไอ้ภาคมารับด้วยเล่า เจ้ามากับคณะก็ได้เหอะ แล้วนี่ยังอุตส่าห์ไปติดสินบนมันอีกนะ รวยนักหรอ”


(ไม่รู้ว่ารวยมั้ย แต่เลี้ยงเอ๋อได้ทั้งชีวิตอะ)


”ละ…เลี้ยงอะไรเล่า เจ้าก็มีพ่อมีแม่เลี้ยงแล้ว”


(อ่า งั้นเดี๋ยวพี่ไปขอพ่อกับแม่ เอาเจ้ามาเลี้ยงดีมั้ย พรุ่งนี้เลยก็ได้นะ)


“ไม่ว้อย พอเลย หยุดพูดเล่นได้แล้ว ไม่ไปด้วยหรอก”


(เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดเล่นกันเจ้า หึ)


“พอ ๆ แล้วนี่ก็แสดงว่าไม่ตามมาแล้วใช่ปะ”


(ไปสิ พี่แค่ไปส่งแม่เฉย ๆ ส่งเสร็จก็ขับไปนู่นเลย)


“แล้วแม่จะไม่ว่าพี่หรอ ไม่รอรับแม่กลับอะ”


(เดี๋ยวไอ้เฟืองมันไปรับตอนกลับ)


“อ่อ งั้นก็โอเค”


(แล้วนี่ทำไร)


“จัดของรอรุ่นพี่อ่า อีกแปบก็ถึงกันละ”


(อืม)


“พี่…”


(หื้ม)


“พี่จะมาทันตอนเจ้าแข่งปะ”


(ทันสิ แข่งตอนเย็นไม่ใช่หรอ)


“อ่า ก็ใช่ แล้ว…”


(ไม่ต้องห่วง พี่ไปทันให้กำลังใจก่อนลงแข่งอยู่แล้ว)


“อื้ม รีบมานะ แล้วก็…”


(…)


“ขับรถดี ๆ เจ้าเป็นห่วง”


(หึหึ น่ารักจังนะเอ๋อ)


“…”


(ครับ พี่จะไม่ทำให้เป็นห่วง)


“อื้อ”


ตู้ด ๆ


ปลายสายตัดไปแต่ใจผมยังไม่หายเต้นแรงเลย


ฮือออออ



“แหม คุยกับแฟนทีหน้าบานเป็นจานทรู” ไอ้ภาคมันปากว่างเลยแซวผมเพื่อล่อตีนผมเข้าปากแน่ ๆ


“เสือก”


“ปากมึงร้ายขึ้นอะเจ้า”


“เรื่องของกู”


“จ้า เรื่องมึงจ้า” ไอ้ภาคเบะปากใส่ผมเบอร์แรงมาก คือผมอยากให้สาว ๆ มาเห็นจริตของมันเวลาอยู่กับพวกผมจริง ๆ ทุกคนจะได้ตาสว่าง ความหล่อที่เห็นคือภาพลวงตาล้วน ๆ


“คณะเรามาถึงกันแล้วนะ” อินเดินเข้ามาบอกผมหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก


“แล้วเขาเรียกรวมมั้ยอิน”


“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวทักไปหาพวกไอ้ว่านดูก่อน”


“อ่า เคๆ งั้นเราออกไปช่วยเขายกของกัน…ไอ้ภาคลุก! มาก็ทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง”


“โห่ เอารถช่วยขนของมานี่ก็มีประโยชน์แล้วนะเว้ย”


“ไม่พอ ถ้าบ่นนักก็จะฟ้องพี่เกียร์แล้วบอกให้ไม่ต้องเลี้ยงเหล้ามึง”


“ไอ้เจ้า! อิน ทำไมเพื่อนมึงร้ายขนาดนี้วะ เดี๋ยวนี้กล้าขู่กูหรอไอ้เตี้ย” ไอ้ภาคผุดลุกจากเก้าอี้กลางห้องขึ้นมาปะทะฝีปากกับผม


“หึหึ ก็เพื่อนมึงเหมือนกันแหละภาค” อินตอบโต้พลางส่ายหัวทำหน้าละอาใจ


“สรุปจะไปมั้ย” ผมหันไปทำหน้าจริงจังถามมันอีกที


“เออ! ไปเว้ย กูเป็นสุภาพบุรุษมีน้ำใจชอบช่วยเหลือเถอะ ไม่ได้เห็นแก่เหล้าอะไรทั้งนั้น”


“สาบานให้โสดทั้งชาติ?” อินถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง


“สาสสสสสสสสส”


“ฮ่า ๆ”


“ฮ่า ๆ”


ไม่ต้องสืบว่าในกลุ่มผมใครร้ายที่สุด ฮ่า ๆ

















 

09 : 00 AM


ช่วงเวลาที่สำคัญได้มาถึงนั่นก็คือพิธีเปิดของงานประลองเวทย์ปรุงยา แข่งกีฬาสัมพันธ์ของคณะเภสัชศาสตร์ 5 มหาวิทยาลัยแล้ว 


มีการเดินพาเหรดเชิญธงมหาวิทยาลัยและธงคณะเข้าสู่สนาม โดยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น ๆ เป็นผู้เชิญธง ในขบวนก็มีตัวแทนนักกีฬา ผู้นำเชียร์และตัวแทนนักศึกษา ร่วมเดินเป็นแถวที่สวยงาม บนอัฒจรรย์ก็มีนักศึกษาแต่ละชั้นปีนั่งให้กำลังใจและส่งเสียเชียร์มหา’ลัยตัวเอง เป็นบรรยากาศที่คึกคักมากครับ


เหล่าผู้นำเชียร์ของมหา’ลัยผมที่ร่วมในขบวนตอนนี้อยู่ในชุดนักศึกษาถูกต้องตามระเบียบที่พวกพี่เตรียมไว้ให้ เพราะถ้าหากให้เตรียมมาเองก็กลัวจะไม่เหมือนกัน นี่เหมือนกันยันยี่ห้อรองเท้าครับ ส่วนใบหน้าและทรงผมก็จัดแต่งกันไม่เกินควร อย่างน้อยหน้าพวกผมก็ไม่ดูแพง แพงที่ว่าคือสีเหมือนแบงค์พันอะครับ ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่


เมื่อประธานในพิธีกล่าวเปิดงานเสร็จ ก็ได้มีการเปิดเพลงประจำงานที่สืบทอดกันมานานแล้ว ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยที่ร่วมการแข่งขันในทุกปีก็ได้มีการซ้อมร้องซ้อมเต้นเพลงนี้กันมาตลอด เมื่อเพลงดังขึ้น ผู้นำเชียร์แต่ละมหาวิทยาลัยก็แสดงศักยภาพออกมาผ่านท่วงท่าที่อ่อนโยนแต่แฝงความเข้มแข็ง


วี๊ดดดดดดดดดดด


เฮ้~~~~~~~~



เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังขึ้นหลังจากที่เพลงประจำงานประลองเวทย์ปรุงยาจบลง ซึ่งเป็นอันจบพิธีเปิดในเช้าวันนี้ หลังจากนี้ตัวแทนนักก๊ฬาแต่ละรายการก็จะแยกกันไปแข่งตามตารางที่กำหนดไว้


ส่วนพวกผมก็ไปแต่งหน้าทำผมใหม่เพื่อเข้าแข่งขันผู้นำเชียร์ในตอนบ่ายแก่ ๆ 


เตรียมพร้อมแสดงพลังแมวดำ


เอ้ย


เสือดำสิ


วากานด้าฟอเอฟเฟร่อออออ



 



หลังจากที่ขบวนของทุกมหา’ลัยทยอยออกมาจนพ้นสนามหลักของงานแล้ว พี่ ๆ ที่ดูแลพวกผมก็อนุญาตให้ไปเชียร์กีฬาหรือไปหาอะไรกินก็ได้ แล้วค่อยมารวมตัวกันตามเวลาที่นัดไว้


พอตัดสินใจได้ว่าจะไปเชียร์ไอ้ซันที่นอกจากจะเป็นหลีดแล้วมันยังเป็นตัวแทนทีมบาสด้วย คือเหมือนพระเจ้ารักมันอะครับ ให้พรสวรรค์มันมาซะเยอะ ไปซ้อมแปบ ๆ ก็เล่นเข้าขาเข้าทีม พอมาซ้อมหลีดตอนมืดมันก็ตามเก็บท่าทันทุกเพลง


เก่งอะ แต่ปากหมาไปหน่อย


พวกผมเลยแยกจากพวกสาว ๆ ที่คงไปหาอะไรกิน เพื่อเดินไปทางสนามบาส มือก็ล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเพื่อนสนิทตัวขาว แต่ยังไม่ทันได้กดปุ่มโทรออก ก็พบว่าคนที่จะติดต่อเดินมาตรงหน้าแล้ว แต่…


“อ้าว มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่อะ” ผมถามคนตัวสูงที่เพิ่งเห็นในสายตา ไม่รู้มาถึงนานหรือยัง


“ทันดูขบวน” พี่เกียร์ตอบพลางเดินทางเขี่ย ๆ จับๆ ผมที่เป็นทรงอยู่บนหัว


“อะไรอ่า”


“ใครทำผมทรงนี้ให้วะ”


“พี่ปี 2 อะ เป็นไง หล่ออะดิ” ผมยักคิ้วให้คนที่ยังไม่เลิกวุ่นวายกับทรงผมของผม


“หึ ไม่อะ ไม่หล่อสักนิด”


“โห่ ไรอะ เสียความมั่นใจหมด” ผมยู่ปากใส่คนสูงกว่าที่กล้ามาบั่นทอนกำลังใจ ผมก็ส่องกระจกมาแล้วนะ ก็ดูไม่แย่อะ


“แต่น่ารัก”


“…”


“โคตรน่ารัก”


ฮิ้ววววววววววววววว


ไอ้เหี้ยยยยยยย มาว่ะ


มึงจับกูหน่อย กูจะล้ม


เสียงโห่แซวจากบรรดาเพื่อนรอบข้างดังพอที่จะเรียกสติผมให้กลับมาจากอาการช็อค


พี่แม่ง 


เกินไปแล้วว้อย



“หึหึ”


“ไม่ต้องมาขำใส่ แม่ง”


“เอ่อ พี่ครับ ๆ พี่เห็นพวกผมมั้ย นี่คนนะครับ ไม่ใช่อากาศ ฮิ้ววววว” ไอ้นายมันกัดไม่ปล่อยครับ เหมือนเป็นตัวตายตัวแทนไอ้ซันงั้นแหละ

 
“พี่เขาจะเห็นมึงได้ไงวะ ก็ในสายตาเขามีแต่ไอ้เตี้ยหน้าเอ๋ออยู่คนเดียว ฮ่า ๆ” ไอ้ภาคเหมือนเจอพวก รีบรุมแซวผมอย่างสะใจ


“ไอ้ภาค” พี่เกียร์เรียกไอ้ภาคเสียงนิ่ง


“ครับหัวหน้า”


“ที่กูสัญญาจะเลี้ยงเหล้า เป็นโมฆะ”


“เห้ย!! ได้ไงอะพี่”


“ได้ดิ”


“เอาแล้ววววว” ไอ้นายส่งเสียงออกมาบิ้วบรรยากาศ


“ผมแค่แซวเองนะเว้ยพี่ หยอก ๆ ไง”


“กูไม่ได้ยกเลิกเพราะเรื่องแซว”


“อ่าว” ไอ้ภาคทำหน้างง


“หื้ม” ผมเงยหน้าหันไปส่งสายตาที่เคลือบไปด้วยความสงสัย


“กูยกเลิกเพราะมึงเรียกแฟนกูว่าเตี้ยหน้าเอ๋อ”


“…” ผม


“…” ไอ้ภาค


“…” ทุกคน


“แฟนกู กูเรียกได้คนเดียว”


“ฮิ้วววววววว ขอกราบตีนพี่ได้ปะครับ ฮ่าๆ” ไอ้นายรีบส่งเสียงรับ


“หน้าชาไปสิมึง ฮ่า ๆ” ไอ้อินที่ยืนข้างพี่พีเอ่ยปนขำใส่ไอ้ภาค


“ยอมครับยอม ผมยอมพี่แล้วว่ะ” ไอ้ภาคมันยกมือไหว้ท่วมหัว ท่าทางกวนตีนไม่เลิก



ยืนคุยกันอีกนิดหน่อยต่างก็แยกย้ายกันไปทำตามที่คิดกันไว้ ที่ใช้คำว่าแยกย้ายก็เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ไปเชียร์ไอ้ซันมันแข่งบาสครับ แต่กลับต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนคนตัวสูง โดยที่มีพี่พีกับอินร่วมวงไปด้วย ส่วนไอ้ภาคมันไม่รู้ไปคุยกันยังไงถึงได้ดูเหมือนสนิทกับเพื่อนของผมขนาดนั้น เลยตามพวกไอ้ว่านไปดูไอ้ซันแข่งบาส




 

(มีต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ผมก็ไม่เคยมามหา’ลัยนี้เลยไม่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกร้าน ใช้สกิลคาดเดาเอาเองจากการตกแต่งของร้านและจำนวนคนว่าร้านนี้น่าจะอร่อย


พอเลือกร้านได้แล้ว ซึ่งเป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดาที่ออกจากเขตของมหา’ลัยไม่ไกล จำนวนนักศึกษาที่นั่งอยู่กันอยู่หนาตาน่าจะพอคาดหวังในรสชาติได้ พวกผมเดินเข้านั่งโต๊ะที่ว่างกลางร้าน จากนั้นก็มีคนมารับออเดอร์ไป ในระหว่างที่รอต่างคนก็ต่างกดโทรศัพท์เล่นเป็นสังคมก้มหน้าเล็กน้อย


แต่สักพักผมก็รู้สึกได้ว่าพี่เกียร์ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ผมจนไหล่กว้างซ้อนไหล่ผมอยู่ ผมเลยเงยจากหน้าจอโทรศัพท์ในมือไปเลิกคิ้วเชิงถาม


“รำคาญว่ะ” คนหน้าหล่อที่ตอนนี้ทำหน้ายุ่งเหมือนโดนขัดใจ


“รำคาญเจ้าหรอ” ผมแกล้งถามไปงั้น


“เดี๋ยวโดนตีปาก ใครจะไปรำคาญเจ้า ถามไปเรื่อย”


“เอ้า แล้วนี่หัวร้อนไรอะ รำคาญอะไรก็พูดสิครับ”


“เอ๋อเอ้ย ไม่เคยจะรู้อะไรเลยนะ”


“พี่ไม่บอก เจ้าจะรู้ปะเนี่ย ไหน อาการมันเป็นยังไง บอกหมอซิ” ผมวางโทรศัพท์ในมือ แล้วใช้ฝ่ามือเท้าคางหันไปถามคนที่ยังคิ้วขมวดด้วยรอยยิ้ม


“หึ หวงเป็นหมาเลยนะมึง” พี่เกียร์ไม่ตอบผม แต่กลับเป็นพี่พีที่เอ่ยประโยคเรียกความสงสัยในตัวผมขึ้นมา


“เออ หวงดิ แม่งมองกันอยู่ได้ รำคาญลูกตา”


“ก็ได้แค่มองปะวะ”


“หึ ลองให้พวกมันมองอินบ้างมั้ย”


“กล้าก็ลอง” พี่พีไม่พูดเปล่า แต่แขนใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามใต้เสื้อเชิ้ตพับแขนกลับยกขึ้นมาพาดไหล่เพื่อนตัวขาวของผม จนเพื่อนผมหันขวับไปมองหน้าทันที หลังจากนั้นหน้าเพื่อผมก็ขึ้นสีแดงจาง ๆ จนน่าเอ็นดู


“พี่คุยไรกันอะ คุยให้พวกผมรู้เรื่องด้วยดิ งงไปหมดแล้วเนี่ย แล้วใครมองอะไร” ผมเอามือที่เท้าคางลงหันไปเขย่าแขนคนข้างตัวที่ทำเหมือนปิดบังอะไรอยู่


“ไม่ต้องรู้หรอกเตี้ย”


“อ้าว”


“แต่พี่ขอเถอะ”


“ขออะไรอ่า”


“น่ารักให้มันน้อย ๆ ลงหน่อย พี่หวงจนเหนื่อยแล้ว”


“…”


เหนื่อยตายไปเลยสิว้อยยยย


ถามผมนี่ ว่าผมเหนื่อยมั้ย


เขินจนเหนื่อยเป็นยังไงมาดูสภาพผมได้เลย!!!


แล้วบทสนาทนาทั้งหมดก็ถูกสรุปโดยพี่พีว่ามีคนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ เหล่มองผมแล้วก็กระซิบแซวจนพี่มันได้ยิน อาการแมวหวงก้างก็เลยออกมาแบบนี้

พออาหารมาเสิร์ฟครบตามที่สั่ง ก็เริ่มลงมือทานกันเงียบ ๆ แต่ในหัวผมกลับมีเรื่องให้คิดและทบทวนจนแน่ใจแล้วว่าจะทำยังไงให้คนขี้หวงสบายใจว่าคนอื่นอะได้แค่มอง


“พี่เกียร์”


“หื้ม”


“กินมะเขือเทศให้หน่อยดิ”


“มาแปลก ปกติก็ชอบกินนี่”


“เหอะน่า”


“โอเค งั้นตักมานี่-…เอ่อ”


“อ้าปากสิ”


“…”


“เร็วสิ เจ้าป้อนเลยเนี่ย” ผมส่งยิ้มกว้างไปให้ ที่เร่งไม่ใช่อะไร เพราะพี่เกียร์ไม่อ้าปากแต่กลับส่งสายตาระยิบระยับมาให้จนผมเริ่มกลั้นอาการเขินไม่ไหว อุตส่าห์ฮึ่บไว้ได้แล้ว


“หึหึ” คนตัวสูงส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนจะอ้าปากรับเอามะเขือเทศชิ้นโตเข้าปากจากช้อนที่ผมตักป้อน


“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตาหยีให้กับคนข้าง ๆ อีกครั้ง หวังว่าอาการงอแงจะหายไปนะ ทำขนาดนี้แล้ว เพราะปลายสายตาผมเห็นกลุ่มที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ มองมาตอนที่ผมป้อนพี่เกียร์พอดี


เห็นขนาดนี้ก็น่าจะรู้แล้วแหละเนอะ


“เอ๋อเอ้ย ฮ่า ๆ” พี่เกียร์วางส้อมในมือก่อนจะยกขึ้นมายีหัวผมด้วยสายตาที่เอ็นดูผมสุด ๆ


หลงเจ้าเยอะ ๆ นะ อิอิ


“น้องเจ้าร้ายว่ะ” พี่พีพูดขึ้นมาเบา ๆ


“ร้ายเหมือนเพื่อนพี่ไง” ผมตอบกลับพี่พี แต่ตาเหล่มองคนข้างตัว


“ฮ่า ๆ เออ สมกันชิบหาย” พี่พีหัวเราะขึ้นมา อินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่พีก็กลั้นขำจนหน้าแดง


โห่ ใครว่ามีแค่คู่ผมล่ะที่สมกัน คู่ตรงข้ามผมก็ใช่ย่อยเถอะ


เงียบ ๆ แต่โคตรเฉียบอะ
หลังจากจัดการอาหารตรงหน้าจนเรียบร้อยแล้ว พี่เกียร์ก็เรียกเก็บเงินแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในมหา’ลัยเจ้าภาพ วันนี้อากาศกำลังดี ยังไม่ร้อนแสบผิวเท่าไหร่


ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เห็นว่าใกล้เวลาที่รุ่นพี่ทีมหลีดนัดไปเตรียมตัวแล้ว เลยบอกทั้งสามคนที่เดินมาด้วยกันว่าจะไม่ไปเชียร์กีฬาแล้ว แต่จะไปที่ห้องแต่งตัวในอาคารสนามกีฬาแทน ซึ่งพี่เกียร์ก็ตอบตกลงที่จะเดินมาส่งผมที่ห้องแต่งตัว ซึ่งพบว่าเพื่อน ๆ ในทีมเชียร์ทุกคนเริ่มทยอยมาให้รุ่นพี่แต่งหน้าทำผมกันแล้ว โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่ต้องใช้เวลาในการแต่งหน้าแต่งตัวเป็นพิเศษ


“น้องเจ้า มาเร็ว ๆ ลูก เดี๋ยวไม่ทันเนอะ อุ้ย…ใครมาด้วยน้า” รุ่นพี่ปี 3 ที่เป็นสาวสองคนหนึ่งเอ่ยทักผม


คนตัวสูงต่างคณะสองคนที่ตอนนี้กลายเป็นเป้าสายตาจากคนในห้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเสียงหวีดเบา ๆ มาจากรุ่นพี่ผู้หญิงตรงมุมห้อง ซึ่งผมก็แอบยิ้มขำให้กับสิ่งที่เห็น


น่ารักอะ


หมายถึงแฟนผมเนี่ยที่น่ารัก เพราะพี่เกียร์มันทำหน้าไม่ถูกที่โดนจ้องจากรอบห้องขนาดนี้ ฮ่า ๆ


“หูยยย เจ้าพระยา พามางี้พี่ก็ตาร้อนพอดีสิ มาเชียร์ไกลขนาดนี้พี่รักตายเลย


“ไม่ขนาดนั้นครับพี่ ฮ่า ๆ” ผมตอบพลางยกมือมาเกาหลังคอแก้เก้อ


“ขนาดนี้แหละ หมายถึงแฟนน้องเจ้าอะ หล่อขนาดนี้แหละเนี่ย”


“หล่อตรงไหน ผมหล่อกว่าตั้งเยอะ” ผมยักคิ้วให้รุ่นพี่ แล้วก็หันไปยักคิ้วใส่คนที่ยังยืนอยู่ตรงประตู


“…” ทั้งห้องเงียบกริบ


“อะไรอ่า ทำไมทุกคนทำหน้างั้น”


“พี่ไม่มีอะไรจะพูดเลยค่ะ มาลูกมา รีบมาแต่งหน้ามา”


“พี่อะ” ผมมุ่ยหน้าใส่รุ่นพี่ที่ไม่ทำหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยกับความหล่อของผม


“งั้นกูไปก่อนนะ” อินบอกผม


“อื้ม”


“เตรียมตัวเสร็จแล้วไลน์มานะ”


“อื้อ”


“อยากกินอะไรมั้ย” พี่เกียร์ถามผมเสียงแค่พอได้ยินกันสองคน


“ไม่ครับ ยังอิ่มอยู่เลย”


“ถ้าหิวก็บอก เดี๋ยวซื้อมาให้” พี่เกียร์ยกมือขึ้นโยกหัวผมเบา ๆ


วี้ดดดดดดดดด


มึงงงงงง กูอยากสิงน้องเจ้า


ผมรีบหันไปมองรอบ ๆ ห้อง สรุปก็กลายเป็นเป้าสายตาอีกจนได้

 
“พี่เกียร์คะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เจ้าพระยาจะไม่มีวันหิว ทางนี้จะดูแลอย่างดีค่ะ” พี่ปี 2 คนหนึ่งตะโกนมาจากเก้าอี้แต่งหน้า


“ขอบคุณครับ” คนตัวสูงตอบรับพร้อมกับยกยิ้มจาง ๆ จนคนที่ได้เห็นอดตะลึงไม่ได้


มึงงงงง พี่เขายิ้มให้กู


กูจะถามน้องเจ้าว่าทำบุญวัดไหนถึงมีแฟนดีขนาดนี้


“หึหึ” พี่เกียร์ขำเบา ๆ ให้กับอาการของรุ่นพี่ผม ซึ่งผมมองว่าน่ารักมาก ๆ พวกพี่ ๆ ไม่เคยมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ กับการที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ทุกคนเข้าใจได้ แถมยังลงความเห็นตรงกันด้วยซ้ำว่า



ผมไม่น่าไปเป็นผัวใครได้



ดูทุกคนเอ็นดูผมสิครับ



ปลื้มใจจนน้ำตาไหลพราก ฮือออออ



“ไปแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวมาหา”


“ครับผม”


สิ้นบทสนทนาพี่เกียร์ พี่พี และอินก็เดินออกไปจากบริเวณห้องแต่งตัว ก็คงไปหาที่รอกันได้แหละ ส่วนผมก็พาตัวเองไปให้รุ่นพี่รุมแต่งตัวเป็นตุ๊กตาเด็กเล่นของพี่ ๆ











 

การแต่งตัว แต่งหน้าทำผมจนครบทุกคน ใช้เวลาร่วม ๆ 3 ชั่วโมง ตอนนี้หน้าผมถูกกลบด้วยเครื่องสำอางที่พี่ ๆ บรรจงวาดออกมาให้เป็นเสือดำเท่ ๆ แต่ยังเหลือเค้าโครงหน้าอยู่ให้รู้ว่าใครเป็นใคร เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เข้ากับธีมแบล็คเพนเธ่อร์มาก ๆ คนออกแบบชุดเก่งมากจริง ๆ   


ตอนนี้ทุกคนที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็มายืนทบทวนท่าและลำดับการแสดงเพื่อที่จะไม่ให้เกิดความผิดพลาด 


และเมื่อมีพี่ทีมงานของเจ้าภาพเข้ามาแจ้งแต่ละมหา’ลัยว่าใกล้ถึงเวลาแข่งขันผู้นำเชียร์แล้ว ตัวผมที่ตอนแรกยังชิล ๆ อยู่ แต่ตอนนี้มือกลับชื้นเหงื่อ หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น มันอธิบายอาการไม่ถูก แต่ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะขึ้นเครื่องเล่นทอร์นาโดที่ดรีมเวิร์ลอะครับ 


เย็นไว้เจ้า เย็นไว้


พอเริ่มคิดอะไรไม่ออก ผมเลยแยกออกมายืนคนเดียวเพื่อรวบรวมสมาธิ พอเริ่มนิ่งขึ้นผมก็ปลดล็อคโทรศัพท์ที่ถือติดมือมาด้วยเพื่อติดต่อหาใครบางคนที่อุตส่าห์มาให้กำลังใจผมในตอนนี้


Chao_ya : พี่ แต่งตัวเสร็จแล้วนะ


Chao_ya : ใกล้แข่งแล้วอะ เจ้าตื่นเต้น


Read


P’ GEAR : เดี๋ยวไปหา


Chao_ya : อื้อ


Read
 

ประโยคสุดท้ายที่ขึ้นว่าคนปลายทางได้อ่านแล้ว ทำให้ใจที่เต้นแรงเริ่มสงบขึ้นมาง่าย ๆ


คนบางคนก็อาจจะเป็นทุกเหตุผลของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ


สำหรับผม ก็คงเป็นเขา





ผมออกไปยืนทำสมาธิตรงหน้าห้องที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากห้องแต่งตัวของมหา’ลัยผม ด้วยความที่ห้องแต่งตัวถูกจัดให้อยู่เป็นลำดับสุดท้าย ห้องถัดไปก็เลยว่าง


ยืนไถหน้าจอโทรศัพท์แบบไม่มีจุดหมายอยู่เงียบ ๆ ก็มีมือมาวางตรงไหล่จนผมอดสะดุ้งไม่ได้


“พี่เกียร์~~~~ ตกใจหมด”


“หึหึ ตื่นเต้นจนสติหลุดไปแล้วหรอเตี้ย”


“ไม่ต้องมาแซวเลย ก็คนมันตื่นเต้นนี่ มือเย็นไปหมดแล้วเนี่ย”


คนตัวสูงที่ยืนตรงหน้าผมเอื้อมมือมาดึงมือผมไปกุมไว้ ปลายนิ้วโป้งใหญ่ลูบหลังมือผมเบา ๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ทำให้ใจผมสงบขึ้นมาก


“ดีขึ้นมั้ย”


“อื้อ”


“กังวลขนาดนั้นเลยหรอ หื้ม?”


ผมพยักหน้าเบา ๆ ด้วยสีหน้าของคนที่เริ่มไม่มั่นใจว่าจะทำหน้าที่ออกมาได้ดีหรือเปล่า


“เจ้ากลัวทำพลาดอะ กลัวทำออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ชนะพี่ ๆ จะผิดหวังมั้ย”


“หึหึ เอ๋อเอ้ย กังวลอะไรขนาดนั้น”


“ก็มันจริงอะพี่ คนดูเยอะมากเลยอะ ถ้าพลาดต้องอายมากแน่ ๆ”


พี่เกียร์ปล่อยมือข้างหนึ่งที่กุมมือผมไว้ แล้วยกขึ้นมาวางบนกลุ่มผมที่ถูกจัดเป็นทรง


“ก็ยังไม่ต้องไปคิดถึงตรงนั้นสิ ทำให้เต็มที่ก็พอ”


“มันอดคิดไม่ได้อ่า”


“งั้นเอางี้ ถ้ากลัว มองมาที่พี่ก็พอ ทำได้มั้ย”


“เจ้าจะมองเห็นพี่ใช่มั้ย”


“อืม เห็นสิ พี่จะอยู่กับเจ้าเอง”


“อื้อ”


“เลิกเครียดได้แล้ว ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรหรอก”


“รุ่นพี่จะไม่โกรธใช่มั้ยพี่”


“หึหึ ใครโกรธให้มาเคลียร์กับพี่สิ”


“พูดเล่นอยู่เรื่อย”


“พูดจริง เจ้าทำเต็มที่ขนาดนี้ ถ้าแพ้แล้วยังมาโกรธ พี่จะด่าให้”


“เกรี้ยวกราดตลอด คนเขากลัวพี่หมดแล้ว”


“ใครสน”


“จ้า ไม่สนใครสักคนอะพี่”


“สนสิ”


“…”


“พี่สนแค่เอ๋อไง”


“…”


“หึหึ เป็นเสือดำทำไมเขินได้ล่ะ แต่กูว่าเหมือนแมวมากกว่านะ ฮ่า ๆ”


“พี่เกียร์แม่งงงงง”


“สบายใจขึ้นมั้ย”


“อื้ม สบายใจขึ้นมานิดนึง แหะ ๆ”


“ก็ยังดี”


“งั้นเจ้าไปรวมกับเพื่อนก่อนนะ ใกล้เวลาแล้ว”


“อืม”


“ไว้เจอกันหลังแข่งเสร็จนะครับ”


“อืม”


“ไปละนะ”


“อื้ม”


“เจ้าจะไปละนะ”


“หึหึ มานี่”


ฟอดดดดดด


“ทำให้เต็มที่นะครับคนเก่ง พี่ดูอยู่นะ”

 
ไอ้เหี้ยยยยย


โดนแฟนดาเมจ


ไปร้องเรียนได้ที่ไหน

 
ผมไม่รู้จะพูดแก้อาการสติแตกตอนนี้ยังไง ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นที่จะแสดงแล้วครับ แต่เพราะใจเต้นแรงให้กับการกระทำของคนตัวสูงมาก ๆ 


ไม่ทันได้พูดอะไร ผมก็รีบวิ่งหนีเพื่อเข้าห้องแต่งตัวแบบที่หน้าร้อนผ่าวจนกลัวเครื่องสำอางจะไหลลงตามคอหมด 


ก่อนก้าวเข้าห้องแต่งตัวผมก็หันไปมองคนที่เพิ่งกระทำการอุกอาจหอมแก้มผมแบบไม่กลัวใครเห็น ยังยืนกอดอกพิงกำแพงมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ประจำตัวเขา


เมื่อไหร่เจ้าจะชินกับนิสัยของพี่เกียร์เนี่ย











ตอนนี้ทุกฝ่ายทุกหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันผู้นำเชียร์เตรียมความพร้อมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มหา’ลัยผมจับสลากได้แสดงเป็นลำดับสุดท้าย ทำให้ได้เห็นความวุ่นวายด้านหลังฉาก ที่รุ่นพี่ของแต่ละมหา’ลัยวิ่งวุ่นเซ็ตฉาก หาของนู่นนี่นั่นมากมาย เป็นความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยความสามัคคีที่จะโชว์ศักยภาพที่ซุ่มซ้อมกันมาอย่างเต็มที่ 


ผมกับเพื่อน ๆ ถูกพี่ ๆ พามายืนในจุดสแตนบายด์ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ แต่ละคนมีอาการลนลานเล็กน้อย ผมที่มือเย็นจนเหมือนเอาไปแช่ช่องฟรีซเล่น ๆ สมัยเด็ก ไอ้นายยืนสติแตกแต่พยายามทบทวนนับจังหวะเพลงที่ซ้อมมา สาว ๆ ยืนหมุนไปหมุนมา คนที่นิ่งสุดก็เป็นไอ้ซันกับวไอ้ว่าน คือมึงครับ ช่วยเฉลี่ยความตื่นเต้นจากพวกกูไปหน่อยครับ 


“ซัน มึงไม่ตื่นเต้นหรอวะ” ผมขยับเข้าไปยืนใกล้ไอ้คนทำนิ่งที่ถ้าเป็นปกติมันจะปากหมา เฟรนด์ลี่ไปเรื่อย


“ใครบอก”


“เอ้า ก็เห็นมึงยืนนิ่ง เฉยชาสุด ๆ”


“งั้นมึงลองนี่” พูดจบไอ้ซันมันจับมือผมให้เอาไปทาบตรงอกข้างซ้ายของมัน


ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆ


“ไอ้ซัน!! ใจเย็น เดี๋ยวตาย มึงหายใจเข้าลึก ๆ” คือผมตกใจสำลักคำพูดออกมารัว ๆ เพราะจังหวะการเต้นของหัวใจไอ้เพื่อนตัวสูงมันถี่มาก ไอ้ชิบหายจะตายมั้ยมึง


“รู้ยัง ตื่นเต้นฉิบหายละเนี่ย”


“ก็เห็นมึงนิ่งอะ ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ฮ่า ๆ”


“ก็กูทำอะไรไม่ถูกไอ้เตี้ย ว่าแต่คนอื่น มึงนี่มือหรือก้อนน้ำแข็ง เย็นเฉียบเลยนะ ฮ่า ๆ”


“กูก็ตื่นเต้นไม่ต่างกับมึงมั้ยล่ะ” ผมมุ่ยหน้าให้ไอ้ซันไปที

 
“น้อง ๆ คะ มาเตรียมพร้อมเลยค่ะ ได้เวลาแสดงแล้วค่ะ”


“ห้ะ! พี่~~~ผมตื่นเต้น”


“หนูไปฉี่ก่อนได้มั้ย ฮือออ”


“หนูจะลืมท่ามั้ยเนี่ย”


เสียงโหยหวนจากเหล่าหลีดปี 1 ที่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก อาการดิ้นเป็นคนสติแตกเลย


“ใจเย็น ๆ ค่ะน้อง ๆ ฟังพี่นะ ทำตามที่ซ้อมมาให้เต็มที่ก็พอ จะเต้นผิด จะลืมท่าก็ไม่เป็นไร มั่นใจเข้าไว้ ยิ้มเยอะ ๆ โอเคมั้ย”


“มันจะโอเคจริง ๆ หรอพี่” ผมถามพี่ปีสอง


“โอเคสิ พี่เชื่อใจพวกเรานะ ทำให้เต็มที่ก็พอ เข้าใจมั้ย ตอนนี้หายใจเข้าลึก ๆ”


“โอเคครับ/ได้ค่ะ” ผมและเพื่อน ๆ พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับ
 

ยืนสูดลมหายใจตั้งสมาธิได้ไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ พี่ ๆ ก็ส่งสัญญาณมาบอกว่าได้เวลาทำการแสดงแล้ว พวกผมปี 1 และพี่ ๆ ทีมหลีดทุกชั้นปีที่มาได้ก็เรียกเรามาล้อมเป็นวงเรียกขวัญกำลังใจให้แก่กัน

 
แล้วก็ถึงเวลาทำการแสดง


เมื่อก้าวไปอยู่กลางสนามสิ่งที่ปรากฎเข้ามาในคลองสายตาผมคือ คน ครับ 


คนเยอะฉิบหายยยยยย


มองไม่เห็นหรอกครับว่าใครเป็นใครเพราะไฟสปอร์ตไลท์ส่องยิงลงมาที่สนาม ผมไม่พยายามมองหาใครบางคน แต่ผมรู้ ว่าเขาอยู่ที่นี่กับผม


พี่ดูผมอยู่ใช่มั้ย ผมจะยิ้มกว้าง ๆ ให้พี่ดูเลยนะพี่เกียร์


เมื่อเข้ามายืนโซนพร้อม ไอ้ซันที่เป็นต้นเสียงก็ออกคำสั่งเพื่อส่งสัญญาณในการเริ่มแสดง


สู้เขาเว้ยเจ้าพระยา














“มอ ยูขอขอบคุณค่า/คร้าบบบบบ”

 
วี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ฮิ้ววววววววว


กรี๊ดดดดดดดดดดดด


เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังจากทุกสารทิศเมื่อการแสดงในธีมแบล็คแพนเธ่อร์จบลง


ตลอดการแสดงผมมีจุดที่ผิดพลาดไปบ้าง แอบใจเสียอยู่ไม่น้อย แต่ผมไม่ลืมที่จะยิ้มกว้าง ๆ ตามที่รุ่นพี่ได้บอกไว้ 


อย่างน้อยมันก็ออกมาดีอย่างที่คิด



ตอนนี้พวกผมทยอยออกมาจากสนามเพื่อเข้าไปที่ห้องแต่งตัว ซึ่งรุ่นพี่บอกมาว่าอย่าเพิ่งเปลี่ยนชุด ให้ใส่ไปร่วมช่วงประกาศผลและพิธีปิดก่อน


ก็เลยได้แค่พักดื่มน้ำกินขนมกัน ตอนแรกที่เข้ามาในห้องแล้วห็นกองน้ำกองขนม ได้แต่ร้องโอ้โห เยอะมากกกกกก


แล้วก็คิดว่าพี่คงเตรียม food support ไว้ให้ ทุกคนก็เลยไม่มีใครเกรงใจทั้งนั้น เหมือนพอยกภูเขาออกจากอกแล้วก็กินอร่อยหลับสบาย ก่อนแข่งนี่อย่าว่าแต่ขนมเลยครับ น้ำก็ดื่มไม่ลง 


“ไงพวกเรา ทำดีมาก ๆ เลยนะ”


“ขอบคุณค่า/ขอบคุณครับ”


“แต่ผมเต้นผิดอ่า” ผมสารภาพตามความจริงไปเพราะทำผิดจริง ๆ


“ไม่เป็นไรครับน้องเจ้า พี่ยังไม่ทันเห็นเลย แต่ที่เห็นชัดคือยิ้มเก่งมาก ยิ้มจนรุ่นพี่มหา’ลัยข้าง ๆ หลงไปหมดแล้ว อิอิ”


“หือ ขนาดนั้นเลยหรอครับ”


“ใช่สิ เดี๋ยวตอนออกไปฟังประกาศผลก็รู้ ฮ่า ๆ”


“แล้วไม่มีใครหลงผมเลยหรอ ผมเป็นถึงเจ้าชายเลยนะ” ไอ้ว่านที่กลัวน้อยหน้ามันรีบถามความเห็นรุ่นพี่


“โอ้โห น้องว่านคะ ต้องถามว่ามีใครไม่หลงด้วยหรอคะ รู้ตัวยังเนี่ยว่ามีเมียเป็นร้อยแล้ว ฮ่า ๆ”


“หู้ยยยยยย” ทุกคนส่งเสียงออกมาพร้อมกัน


“ก็คนมันหล่ออะนะ”


“มั่นหน้าเหลือเกิน” ไอ้นายแขวะใส่มันเบา ๆ


“ไม่มั่นจะได้เป็นเดือนคณะหรอวะ ฮ่า ๆ” 


“ไอ้สาสสสสส” ไอ้ซันลากคำว่าสาสใส่หน้าไอ้ว่านยาว ๆ ให้สมกับความมั่นของมัน


“งั้นกินขนมกันไปนะ เดี๋ยวพี่มาตาม อีกประมาณ 5 แหละ” พูดจบพี่เขาก็ทำท่าหมุนตัวจะออกจากห้องแต่งตัวไป แต่อยู่ ๆ ก็หยุดเดินเมื่อถึงประตูแล้วหันกลับมา


“เอ้อ น้องเจ้า ฝากขอบคุณพี่สุดหล่ออีกครั้งนะ สำหรับน้ำกับขนมตรงนี้แล้วก็ของเพื่อน ๆ เราบนสแตนด์ด้วย


“หื้ม ขนม? พี่ไหนครับ”


“ฮ่า ก็แฟนน้องเจ้าไง พี่เกียร์อะ”


“หือ พี่เกียร์ซื้อหรอครับ”


“ใช่จ้า พี่เขาซื้อมาเลี้ยงปี 1 ทั้งหมดเลย พวกพี่ ๆ ทีมหลีดก็ได้ด้วย หล่อแล้วยังใจดีอีก เจ้านี่โชคดีเนอะ” รุ่นพี่พูดแล้วยิ้มกว้างไปด้วย


“หูยยยย เจ้าอะ เราอิจฉา” สาว ๆ หนึ่งในทีมหลีดเอ่ยแซวขึ้น


“ซื้อไรมาเยอะแยะ” ผมบ่นพึมพำ มุ่ยหน้าเบา ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังกลั้นยิ้มให้กับความใจดีของแฟนผมเอง


“ตอนแรกพวกพี่ก็ปฏิเสธไม่รับแล้ว เพราะเกรงใจ อยู่ต่างคณะอีก แต่พอพี่เกียร์อธิบายเหตุผลเท่านั้นแหละ พี่เข่าแทบทรุด จะยกมือไหว้พี่เขาแล้วอะ คนหรือเทพบุตร”


“พี่เขาว่าไงอะ” ไอ้ซันถามแทนผม แสดงถึงความอยากเสือกขั้นสูงสุด


“อะแฮ่ม ๆ พี่เขาบอกว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ ตั้งใจซื้อมาให้ แฟนผมอยู่คณะนี้ก็อยากช่วย อีกอย่าง ถ้าซื้อให้เจ้าคนเดียว เดี๋ยวก็โดนแซว ไม่ชอบให้คนอื่นแซวครับ ผมหวง’ ไอ้เหี้ยยยยย พูดเองยังเขินเองเลยกู” รุ่นพี่คนเดิมยังเอามือกุมใจ


“เชร้ดดดดดดด”


“โอ้โห เกินไปว่ะมึง”


ฟังประโยคยาวเหยียดจบ ผมก็ก้มหน้าคางชิดอก แทบจะมุดเข้าไปในกองขนมตรงหน้า


พี่แม่งงงงงงงงงง ไม่อ่อนโยนกับหัวใจสักนิด


ฮืออออออ


“เจ้า กูขอเป็นเมียน้อยได้ปะวะ” ไอ้ซันหันมาสะกิดด้วยใบหน้าจริงจัง แต่ดูก็รู้ว่ามันแกล้งเล่น


“ไปตายยยยยย” ผมตอบแล้วก็ลุกพรวดเตรียมจะออกจากห้องแต่งตัว ไม่อยู่ให้แซวแล้วโว้ยยย


“ฮ่า ๆ”







 

ผมเดินออกมาจากห้องแต่งตัวยังไม่ทันได้ไปโทรหาใครบางคนที่ทำตัวป๋าซื้อขนมเลี้ยงคนในคณะผมก็ถูกพี่ ๆ เรียกให้ไปเข้าแถวเตรียมเข้าร่วมพิธีปิดงานประลองเวทย์ปรุงยาในปีนี้


ข่าวแว่ว ๆ มาว่ามหา’ลัยผมชนะการแข่งกีฬาหลายประเภทอยู่เหมือนกัน ประเภทไหนที่ไม่ได้ก็ไม่ได้เสียใจอะไรกันมากมาย ก็อย่างว่าแหละเป็นการแข่งกระชับความสัมพันธ์มากกว่า ทำให้เต็มที่ผลออกมายังไงก็ยอมรับได้


ตอนนี้ตัวแทนของทุกมหาวิทยาลัยก็มายืนกันอยู่กลางสนามเหมือนตอนพิธีเปิดตอนเช้า รอฟังการประกาศผลและรับรางวัลของการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ 


มหา’ลัยไหนได้รางวัลเสียงปรบมือเสียงโห่เชียร์ก็ดังกระหึ่มแบบไม่มีใครยอมใคร วันนี้ไอ้ซันขึ้นไปร่วมรับรางวัลจากการแข่งบาสได้ที่ 2 เสียงเรียกชื่อมันก็ดังมาจากหลายทิศ ความเฟรนด์ลี่ของมันคงไปกระชากใจใครหลายคนได้แล้วแหละ


จนมาถึงรางวัลสุดท้าย คือการประกาศผลรางวัลผู้นำเชียร์ที่เพิ่งแข่งจบไปหมาด ๆ พวกผมที่รอฟังผมด้านล่างก็ยืนเรียงแถวกุมมือกันไว้แน่นมาก เชื่อว่าทุกคนกำลังตื่นเต้น


เสียงประกาศรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 หรือที่ 3 ดังผ่านไป ผลก็คือมหา’ลัยที่ใช้ห้องแต่งตัวร่วมกับพวกผมนั่นเองที่คว้าไปได้


ลำดับต่อไป จะเป็นการประกาศรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของการแข่งขันผู้นำเชียร์ในปีนี้


และ


รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่…










(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

“เอ่อ น้องครับ”


“ครับ ถ่ายรูปหรอครับ”


“ไม่ใช่ครับ คือ…”


“…”


“ขอไลน์น้องได้มั้ยครับ”


“เอ่อ…”



 

นั่นแหละครับ 


หลังจากประกาศผลและพิธีปิดจบลง ผมก็ยังคงสาละวนอยู่กลางสนาม โดยมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย ขอถ่ายรูปผมคนเดียว และขอไปยันไอดีไลน์ของผม


ฮัลโหลลลลลล


ถ้าสาว ๆ มาขอจะไม่ปฏิเสธเลย นี่ผู้ชายล้วน ๆ


ออร่าอะไรของผมวะครับ

 







ตอนนี้ผมลายตากับจำนวนคนกลางสนามไปหมด เหมือนทุกคนลงมาทำความรู้จักกันด้านล่าง บางคนมีเพื่อนต่างมหา’ลัยก็กอดคอกันถ่ายรูป บางคนก็มีขอไอดีไลน์กันเพื่อสานสัมพันธ์กับคนที่ถูกใจ


แต่ระหว่างที่กำลังมองหาเพื่อนที่โดนดึงแยกไป เสียงรอบข้างที่ดัง ๆ อยู่ก็กลายเป็นเสียงฮือฮา และตามด้วยเสียงซุบซิบ


คนที่ออกันอยู่รอบตัวก็เริ่มแยกออกเป็นสองฝั่ง และไม่ต้องใช้เวลานานในการมองหาสาเหตุ เพราะโดดเด่นจนอยากเตะ 


พี่เกียร์ไงจะใครล่ะ


แล้วคุณเขาจะลงมาทำไมไม่ทราบ ชอบเหลือเกินทำตัวเด่นเนี่ย หมั่นไส้ว่ะ


“พี่ลงมาทำไมเนี่ย” ผมเดินเข้าไปหาคนตัวสูงที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ


“มาตามคนเอ๋อ”


“ตามทำไมครับ เดี๋ยวผมต้องอยู่บูมคณะก่อน”


“งั้นมานี่” พูดจบพี่เกียร์ก็คว้าข้อมือผมดึงให้เดินตามเขาไปตรงทางออกสนามกลาง


“จะไปไหนอะ เดี๋ยวรุ่นพี่หาเจ้าไม่เจอ”


“พูดมากว่ะเอ๋อ”


“เอ้า ไปอารมณ์เสียมาจากไหนเนี่ย”


“จากปลาทองหน้าโง่” พี่เกียร์หยุดเดินทำให้เรายืนกันอยู่ตรงลู่วิ่งสีส้มรอบสนามกลาง ซึ่งไกลจากผู้คนไม่มาก


“ผมเกี่ยวอะไรอีกอะ”


“เสน่ห์แรงนักนะ หน้าก็เอ๋อ เตี้ยก็เตี้ย ยังจะมีคนมาแย่งอีกหรอวะ”


“ห้ะ!! ใครแย่งอะไร เอ๊ะ หรือว่า…”


“พี่หึง…พี่หึงเจ้า รู้ตัวยัง”


“…”


“ทำไมชอบไปน่ารักใส่คนอื่นวะ”


“…”


“แล้วตอนเขินก็น่ารัก พี่ถึงไม่ชอบให้ใครแซวไง แฟนพี่ พี่แซวได้คนเดียว”


“…”


แล้วผมก็เขินเหนื่อยคนเดียวไง


พี่ว้อยยยยยยยยยยยยยยย


“พอเลย” ผมแก้อาการเขินด้วยการเปลี่ยนเรื่อง เอาจริง ๆ ตอนพี่เกียร์หึงก็น่ารักเหมือนกันนะ ฮ่า ๆ


“พอก็ได้ แต่กลับไปเตรียมตัวโดนเลย”


“โดนอะไร พูดไปเรื่อยอะ”


“หึหึ คิดไปถึงไหนล่ะ หน้าแดงหมดละเอ๋อ”


“พี่!!” ผมเหวใส่คนตัวสูงเสียงดัง แถมฟาดไปที่ต้นแขนเขาอย่างแรงหนึ่งที แต่ดูเหมือนคนโดนตีจะไม่สะทกสะท้านอะไร


“ฮ่า ๆ แล้วเป็นไง เสียใจมั้ย” พี่เกียร์ทำหน้าจริงจังถามผมด้วยเสียงนุ่ม


“ไม่อะ ได้ที่ 2 ก็ดีใจแล้ว”


“อืม ดีแล้ว นึกว่าจะได้ปลอบเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งซะอีก”


“เด็กที่ไหน โตแล้วเว้ย แล้วก็ไม่มีหรอกร้องไห้อะ”


“ปากนี่เก่งจังนะ” ไม่พูดเปล่าพี่เกียร์ยกมือขึ้นมาบีบปากผมเบา ๆ สายตาพราวระยับเหมือนคนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง


“ปล่อยเลย แต่เอาจริง ๆ ก็แอบเสียดายอ่ะ อีกนิดเดียวเองจะเอาที่หนึ่งมาให้รุ่นได้ละ เจ้าเต้นผิดเองแหละ” ปลายเสียงผมเบาลงพอคิดไปถึงว่าตัวเองอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกตัดคะแนน


“ไหนคนจะไม่คิดมาก หื้ม? ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอก”


“แต่เจ้าเต้นผิดอะพี่เกียร์ น่าจะโดนตัดคะแนน”


“เต้นผิดก็น่ารัก น่ารักมาก ๆ แล้ว”


“นะ..น่ารักอะไรเล่า ชมอะไรนักหนาเนี่ย”


“ก็พูดจริง ๆ รอยยิ้มตาหยี ๆ แบบนั้นอะ กรรมการเห็นเขาก็ไม่กล้าตัดคะแนนแล้ว ยิ้มทำลายล้างขนาดนั้น พี่นี่หวงฉิบหาย”


“หวงจริงดิ”


“เออสิ”


“ผมหวงกว่า”


“หื้ม?”


“หวงเพราะพี่เอาหน้ามาให้ประชาชีเห็นเยอะเนี่ย ดังข้ามมอไปอีก ชิ” ผมบุ้ยหน้าไปรอบ ๆ ตัว จนพี่เกียร์หันมองตาม มีคนมองเราทั้งคู่อยู่บ้าง 


“ฮ่า ๆ งั้นถือว่าหายกัน”


“เห้ย ไม่ได้ดิ”


“แล้วจะให้พี่ทำยังไงครับ”


“อะ..เอ่อ ไม่รู้”


“งั้น…”


“…”


จุ๊บ!


อูยยยยย


หู้ยยยยยยยย


น้องตัวเล็กของพี่ ฮืออออ


เสียงฮือฮาหลังเสียงจุ๊บสายฟ้าแลบ เรียกสติผมที่หลุดลอยไปกลับมา ตอนนี้หน้าผมยิ่งกว่าหมอต้มน้ำ มือสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดปาก ตาที่โตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างเข้าไปใหญ่ ผมรีบหันมองรอบตัวทันที ไม่ใช่ทุกคนที่ทันเห็นเหตุการณ์ แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่เห็น ผมเชื่อ


มาขโมยจุ๊บแบบนี้ได้ไงวะพี่


คนตรงหน้าที่ยังยืนเอามือล้วงกระเป๋ายิ้มขำไม่รู้สึกผิดหรืออายกับการกระทำของตัวเอง ส่งสายตาเอ็นดูมาให้ผม


ผมถลึงตาและส่งค้อนให้พี่มันค้อนใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งหนีเพื่อไปรวมกับเพื่อน ๆ กลางสนาม


แค่อยากทำตัวให้กลืนไปกับผู้คน เพราะตอนนี้โคตรเขินเลยครับ ฮืออออ



 

ฝากไว้ก่อนเถอะ





เสือดำอย่างผมจะข่วนให้เลือดซิบเลย







คอยดู!!!!















TBC

(02/12/2018)

#เจ้าพระยาที่รัก


ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :impress2: :impress2: น้องงงงงงงง...แมวละไม่ว่า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ่านกี่รอบๆ นี่มันลูกแมวชัดๆ  :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน  ขอคุณที่กลับมา

ขอบคุณที่มาพร้อมกับความจุใจสมกับที่รอมานาน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่พี อิน  น่ารัก  :o8:

เจ้า ดังใหญ่แล้ว  :z3:
พี่เกียร์ หึงเจ้ามากมาย

พี่เกียร์  เจ้า   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
แมวเหมียวคงเหมาะกว่านะหนูเจ้าา

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
 เจ้าน่ารักขึ้นทุกวัน

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
งู้ยยยยยยยย ถ้าพี่เกียร์จะหวง จะประกาศความเปนเจ้าของขนาดนี้
ตายค่ะตายยยยย >\\\\\<

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด