ตอนที่ ๙
ปัง!
ปัง!เสียงปืนดังก้องภายในสนามยิงปืนแบบปิด แรงดีดจากกระบอกปืนทำให้เขาเซเล็กน้อยจนต้องยึดเท้าไว้ให้มั่น ช่วงแขนเหยียดตรงมือข้างที่ถนัดจับลำกล้องของปืนไว้แน่นนิ้วชี้ไว้เกี่ยวไกปืน แล้วใช้มืออีกฝั่งประคองจับฐานปืนให้มั่น เล็งไปยังเป้าหมาย เสียงปืนสิ้นสุดลงพร้อมกับเป้าปืนสีขาวเป็นรูพรุน
“ปืนแมกกาซีน สำหรับมือใหม่อย่างเรา พี่ว่ายิงง่ายที่สุด” ชลธีรับปืนมาจากลูกเป็ด เขาสังเกตเห็นมือขาวสั่นระริก “11มม.แรงรีคอยล์จะมากกว่า9มม. เพราะฉะนั้นต้องระวังไว้หน่อยนะ”
“ผมชอบ9มม.ที่สุดแล้ว” มุจลินท์เหล่มองปืนในมือผู้พันหนุ่ม “อย่างน้อยก็ยังเซไม่มาก” เขาหัวเราะแห้ง แค่ยิงปืนไม่กี่นัดใช้พลังมหาศาลกว่าที่เขาคิด แรงดีดจากปืนทำเอาเขาแทบจับปืนไว้ไม่อยู่
“เหนื่อยหรือยัง” ชลธีจุดยิ้มเมื่อเห็นลูกเป็ดหน้ามู่ทู่ “พี่จะสอนปืนลูกโม่ต่อครับ”
“จะให้ผมไปเป็นมือปืนรับจ้างหรือไง” เขาบ่นอุบ มือที่จับปืนเมื่อครู่ยังชาหนึบ เขาปลดที่ครอบหูสีดำออก เหงื่อไหลข้างขมับจนต้องยกแขนเสื้อเช็ด ชลธีจึงรีบส่งขวดน้ำเปล่าให้
“พี่อยากให้เราหัดไว้ป้องกันตัว” เขามองเด็กหนุ่มกำลังยกขวดน้ำดื่มอึกๆ “เวลาพี่ไม่อยู่จะได้ดูแลตัวเองได้”
“คร้าบ คร้าบ” เขาตอบแบบขอไปที ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลาสติกที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น ตั้งแต่เช้าชลธีพาเขาวิ่งออกกำลังกาย แถมยังพามาสอนยิงปืนอีก คงไม่ได้ให้เขาไปเป็นทหารด้วยอีกคนหรอกใช่ไหม
“เดี๋ยวมาลองแบบ11มม.อีกรอบนะ” นายทหารหนุ่มใส่ลูกกระสุนจนเต็มรังเพลิง “ไหวนะ เมื่อกี๊พี่เห็นมือสั่น”
“ไหวครับ” เขาเดินไปประจำจุดยิง เกิดมาเพิ่งจะเคยจับปืนครั้งแรกจะให้เขาคล่องแคล่วได้เลยที่ไหนกัน เขานึกว่ายิงหลายครั้งแล้วจะชินที่ไหนมือก็ยังสั่นเหมือนเดิม ชลธีซ้อนตัวเข้าด้านหลังมือสองข้างสอดเข้าไปที่ตำแหน่งที่เขาจับอยู่
“ตั้งสตินะ” เสียงกระซิบข้างหูกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกใจเต้น “เล็งเป้า.. เหนี่ยวไก”
ปัง!
ปัง!
ปัง!“เก่งมาก” นายทหารหนุ่มก้มลงหอมแก้มลูกเป็ดเร็วๆหนึ่งที ส่วนเจ้าตัวกำลังยืนมองเป้ากระดาษบอกตำแหน่งที่ยิงโดน คราวนี้เข้าจุดตายตั้งสองนัด ท่าทางเขาจะมีพรสวรรค์จริงๆ “เก่งแบบนี้ คืนนี้พี่มีรางวัลให้นะครับ”
“พี่ฉลาม!” เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่ คนบ้าอะไรทะลึ่งได้ทุกเวล่ำเวลา
“ว้าว” เสียงปรบมือดังเปาะแปะพร้อมกับเจ้าของเสียงเดินตรงมายังที่เขายืน ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มหัวเกรียนสวมชุดฝึกทหารสีเขียวเข้มครบชุด เด็กหนุ่มมองกลับไปอย่างสงสัย “เอ้า นึกว่าไอ้มะนาว”
“มะนาวยิงปืนแม่นกว่ามึงอีก ไอ้ปาน” ชลธีผละออกจากเด็กหนุ่มไปทักทายคนมาใหม่ ปานชีวันคือผู้หมวดร้อยโทประจำกองพันที่เขารับผิดชอบอยู่ เป็นรุ่นน้องชมรมยิงปืนสมัยที่เขาเรียนโรงเรียนนายร้อย
“โธ่ พี่หลาม พี่จะล้อผมจนลูกบวชเลยปะ”
“วันนี้ไม่มีฝึกหรือไง”
“มีฝึกว่ายน้ำ เตรียมแข่งหน่วยทหารขนาดเล็กครับ”
“เออ จะทำอะไรก็รีบไปทำ” เขาหันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม “ลินท์ ไปกินข้าวกันครับ”
“แล้วพี่จะไม่แนะนำคนนั้นให้ผมรู้จักหน่อยหรอ”
”เสือก!”
“เก็บของดีไว้คนเดียวหรอพี่ เดี๋ยวพี่หลา-” ปานชีวันรีบตะครุบตัวผู้พัน กอดแน่นไม่ยอมปล่อย มุจลินท์ขำตัวงอ ผู้หมวดหน้าโหดแต่นิสัยขี้เล่นแตกต่างกับหน้าตาชะมัด
“ไอ้ปาน ไปไกลๆตีนกูเลยว้อยย”
“หมวดปาน!” ทหารอีกคนวิ่งผลุนเข้ามา “คนอื่นเขาตามหาหมวดกัน มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ไอ้ปาน!” นายทหารอีกคนรีบสาวเท้าเข้ามาประชิด แถมยังโบกหัวปานชีวันไปหนึ่งที “กูให้ลูกน้องมาตามมึงตั้งนานแล้ว หายหัวไปไหนมาวะ”
“พี่นัทททททททท” ผู้หมวดหนุ่มตัวดีดผึง ถอยหลังอัตโนมัติดูท่าทางจะเกรงกลัวคนมาใหม่มาก “ผมไปละครับบบบบ”
“เดี๋ยวผมไปจัดการไอ้ปานมันก่อนนะพี่” ธนัชหันมาสวัสดีชลธีก่อนจะยิ้มให้เขา ผู้กองคนนี้ตัวสูงๆพอกับชลธีแต่ผิวขาวจัดเหมือนคนไม่เคยโดนแดด หน้าตาติดหวานเหมือนผู้หญิงทำเอาเขามองเพลิน
“ดูแลมันดีๆหน่อย ผู้กอง” ชลธีโบกมือไล่ ลูกน้องในสังกัดแต่ละคนของเขาเหมือนคนอื่นซะที่ไหน ถึงอย่างนั้นเวลาทำงานพวกมันก็มืออาชีพและมีความสามารถมากพอ
ทุกคนเดินออกไปจนหมดจนสนามยิงปืนกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม ชลธีค่อยๆสอดมือเข้ามากุมมือบางแน่น ริ้วแดงขึ้นที่แก้มขาว ตอนนี้เขาใจเต้นยิ่งกว่าหัดยิงปืนเมื่อครู่เสียอีก
“บ่ายพี่มีประชุม เดี๋ยวพี่จะไปส่งเราที่มหาลัยก่อนนะครับ”
“ครับ”เขาช้อนตามองชายหนุ่มที่สูงกว่าเกือบสิบเซ็น “แล้วพี่จะกลับบ้านเมื่อไหร่ครับ”
“รอบนี้พี่ไม่แน่ใจเลย” ชลธีครุ่นคิด “พี่อาจจะไปประจำที่ชายแดนสักพัก” เขาคิดหนักเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว มีรายงานการลอบส่งยาเสพติดตามแนวชายแดนล็อตใหญ่ ซึ่งเขาเคยเป็นหัวหน้าชุดสมัยเป็นผู้หมวดที่ดูแลเรื่องการจับกุมยาเสพติดจึงต้องไปเป็นที่ปรึกษาเพื่อวางแผนในการรับมือ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับมอบหมายงานใหญ่จนต้องห่างเจ้าลูกเป็ดหลายเดือนทีเดียว
“…”
“พี่สัญญา ถ้าพี่มีเวลา พี่จะรีบกลับบ้านทันทีเลยครับ”
“ฮื่อ” มุจลินท์เอาหัวชนไหล่ส่งเสียงงอแง “คิดถึงแย่เลย”
“มาอ้อนอะไรตรงนี้เนี่ย” ชลธีฮึ่มในลำคอ “มันฟัดไม่ได้นะรู้ไหม”
“ทะลึ่ง!” เขาถอยหลังกรูด ชลธีขำกับท่าทางเขาไม่หยุด ตั้งแต่เมื่อคืนเขายังปวดเอวไม่หายเลย อยู่ใกล้ทีไรคิดแต่เรื่องใต้สะดือตลอด
ไม่ทะลึ่งสักนาทีจะตายไหมครับ.. ผู้พัน.
.
.
แผนที่ถูกกางวางบนโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องประชุมขนาดเล็ก พร้อมด้วยชลธีที่กำลังชี้และอธิบายจุดที่เป็นช่องโหว่ระหว่างชายแดน ซึ่งเป็นเส้นทางธรรมชาติในการลักลอบขนยาเสพติด ค้ามนุษย์ การขนย้ายของผิดกฎหมายต่างๆ นายทหารระดับสูงผู้เข้าร่วมในการประชุมต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเส้นทางที่เป็นจุดบอดมีระยะทางที่ยาวมากจนไม่สามารถที่ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็น
“นี่คือเส้นทางที่เราวางกำลังไว้ในครั้งที่แล้ว” เขาปักธงลงบนแผนที่ทหาร “ลากยาวลงมาทางทิศตะวันออกจะถึงทางเข้าของชายแดน” เส้นทางที่ว่าคือสามารถเข้าออกได้ถูกกฎหมายระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนสินค้า ขายของอุปโภคบริโภค
“ครั้งนี้เราคงใช้แผนเดิมไมได้แล้วนะผู้พัน” นายทหารชำนาญการพิเศษว่าเสียงเครียด เขาใช้ธงอีกอันปักลงไปแถบภูเขาเลยขึ้นไปทางทิศเหนือ “หน่วยข่าวกรองของเราแจ้งมาว่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดเลียบมาทางภูเขาแถบนี้”
ชลธีมองแผนที่ด้วยความครุ่นคิด ต้องใช้กำลังทหารมากมายแค่ไหนถึงจะสกัดไม่ให้พวกยานรกนี่เข้ามาในประเทศของเราได้ เขาตัดสินใจปักธงลงไปบนเขาลูกหนึ่ง นี่คือฐานของหน่วยที่รักษากำลังด้านชายแดน ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณหมู่บ้านของชาวบ้านที่อยู่บนเขา เขาจะต้องกระจายกำลังเพื่อป้องกันให้ไวที่สุด เขาไม่รู้เลยว่ามันจะใช้เวลานานหรือไม่กว่าภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จ เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาจะต้องยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างปกป้องเอาไว้ให้ได้
“เราจะตั้งฐานที่นี่”
“จะไม่เด่นไปหรือครับผู้พัน อย่างไรพวกมันก็รู้ว่าเป็นฐานของเราอยู่แล้ว”
“เราจะวางกำลังไว้ตรงนี้แค่เพียง ไม่เยอะ” ชลธีใช้ดินสอขีดลากบนแผนที่ “แล้วจะไปตลบหลังมันอีกที ตรงนี้” เขาปักธงในมุมอับจุดอันตรายที่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครเข้าไปอยู่ “หมวดจัดนายทหารฝีมือดีให้ผมสักยี่สิบนายก็พอ”
ทุกคนในห้องประชุมมองหน้ากันไม่คิดมีใครอยากเสี่ยงบุกป่าเข้าไปลึกขนาดนั้น แนวเลียบภูเขามีความชันอย่างมากโดยเฉพาะการเดินทางในหน้าฝนที่เสี่ยงต่อการพลัดตกเขา ต่อให้จะเป็นทหารที่ชำนาญทางมากแค่ไหนก็ยังพลาดกันได้ ใครจะคิดว่าผู้พันหนุ่มอย่างชลธีจะเลือกใช้วิธีบ้าดีเดือดขนาดนี้
“ผมจะประสานกับตำรวจตะเวนชายแดนเพื่อร่วมภารกิจในครั้งนี้กับเราด้วย”ชลธีจุดยิ้ม เขาใช้วิธีนี้ก็เพื่อจะตัดกำลังที่ไม่สำคัญออกไป หากไม่มีใจที่จะทำภารกิจไม่เท่ากับว่าเขาพาลูกน้องไปเสี่ยงหรอกหรือ ภารกิจจะต้องผิดพลาดน้อยที่สุดเพราะฉะนั้น การจัดกำลังพลมีความสำคัญอย่างมาก นี่คือหน้าที่ของหัวหน้าชุดอย่างเขา
“ผมขอถอนตัว” หลายคนเลือกที่จะออกจากการทำภารกิจเพราะไม่ชอบใจที่เขาตัดสินใช้วิธีนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจ การลาดตะเวนที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การมีกำลังพลเยอะ แต่จะต้องมีใจอดทนที่จะทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงต่างหาก
การประชุมกินเวลาเนิ่นนานล่วงเลยจนเกือบค่อนคืน นายทหารหนุ่มได้แต่ยกซดกาแฟจนลิ้นชาก็ยังไม่มีวี่แววว่าการตกลงเพื่อร่วมมือดำเนินการปราบปรามการค้ายาเสพติดจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เขาลุกออกมาเข้าห้องน้ำ เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่เด็กหนุ่มส่งมาให้เมื่อสองชั่วโมงก่อน เป็นรูปลูกเป็ดยิ้มแฉ่งพร้อมลูกชายคนเก่งที่กำลังนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารโดยมีคุณยายนั่งอยู่ไม่ห่าง เขาใช้นิ้วลูบไปมาบนรูปภาพหน้าจอ แม้จะไม่ได้เจอ ไม่ได้ยินเสียงแต่เพียงแค่ได้เห็นว่ายังมีคนรอเขาอยู่ที่บ้านก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้
“คุยกับสาวที่ไหนถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้เนี่ยลูกพี่” ปานชีวันในชุดลำลองโผล่หัวออกมาจากประตูห้อง เขาเงยหน้ามองคนมาใหม่ก่อนจะสอดโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม “หลังจากประชุมเสร็จ พี่นัชให้ผมมาเชิญพี่ไปทานข้าวครับ”
“เออ เดี๋ยวกูไป” เขาชี้นิ้วไปทางไอ้คนหน้าทะเล้นที่ยืนยิ้มแฉ่ง “ระวังไว้เหอะมึง กวนตีนมากๆกูจะให้ไอ้นัชจัดการ” คนโดนคาดโทษหน้าซีดหน้าเซียวรีบมาพะเน้าพะนอ
“จะให้ผมทำให้อะไรก็ได้ แต่อย่าส่งผมไปอยู่กับพี่นัชเลยนะพี่” ชายหนุ่มตัวโตแอบป้องปากกระซิบ “พี่นัชโคตรฝืด สมัยเป็นเด็กห้องผมโดนใช้ซักถุงเท้า หื้อ โคตรเหม็น ตีนคนหรืออาวุธชีวภาพ” ว่าแล้วก็ทำท่าขนลุกขนพอง
“มันรู้เมื่อไหร่ มึงตายแน่ไอ้ปาน” เขาพูดติดตลก โยนกุญแจรถให้พลขับ ก่อนจะเข้าห้องประชุม
รอยยิ้มของใครบางคนยังคงชัดเจนในความนึกคิด
สัมผัสแนบชิดไออุ่นยังคงตราตรึง
เขาคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆที่พร่ำเพ้อเป็นเด็กหนุ่มริหัดลองมีรักครั้งแรก บางครั้งเขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความหลงชั่วครั้งชั่วคราว เขาอยากจะพิสูจน์ อยากทำอะไรให้มันชัดเจนเสียที
การประชุมเริ่มขึ้นอย่างเข้มข้นอีกครั้ง เขาพยายามที่จะแสดงศักยภาพให้นายทหารท่านอื่นเห็นว่า ท้ายที่สุดแล้วการทำภารกิจในครั้งนี้จะต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อยับยั้งการแพร่หลายของยานรกและปัญหาสังคมที่จะตามมาไม่จบสิ้น
หน้าจอมือถือเขาสว่างวาบ แอพพลิเคชั่นสีเขียวเด้งขึ้นหน้าจอ ชื่อเดิม คนเดิม ที่คอยทักถาม เป็นห่วงเขาเสมอ ยังคงเป็นคนเดิม.. เขาแอบจุดยิ้มเลื่อนกดดูข้อความใต้โต๊ะ
‘นอนคนเดียวอีกแล้ว’
‘เมื่อไหร่จะกลับมาครับ’
‘วันนี้กินข้าวไม่อร่อยเลยไม่มีคนบ่น’
‘อย่าลืมทานข้าวนะครับ’
‘จะนอนก็ห่มผ้าหนาๆด้วย’
‘ฝันดีนะครับ พรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้า’
‘ถ้าว่างแล้วก็คอลมาหามั่งนะครับ’
เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นข้อความก็รู้ทันทีว่าคนอีกฟากกำลังงอแงได้ที่ มันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้วที่จะต้องตื่นมาเจอหน้ากันทุกวัน พอไม่เจอกันสักวันมันก็เหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป
‘เดี๋ยวนี้หัดงอแงกับพี่หรือ’
‘ขอโทษครับ’ พร้อมส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายร้องไห้กลับมาหนึ่งตัว
‘จะอ้อนจะงอแงก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องกับพี่คนเดียว’ เขากดส่งสติ๊กเกอร์หมีพ่นไฟไปสามสี่ตัว จนเจ้าลูกเป็ดส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายหัวเราะกลับมา นี่เขาพูดจริงไม่ได้ล้อเล่นเสียหน่อย ช่วยจริงจังด้วยนะครับคนดี
‘แหงอยู่แล้ว ก็ลินท์มีพี่คนเดียว’
‘เป็นเด็กเป็นเล็กหัดวางระเบิดหรือ พี่ละลายไปหมดแล้วเนี่ย’
เขาพิมเองก็เขินเอง อายุอานามก็เลขสามกว่าแล้วยังจะให้มุกจีบเป็นเด็กประถมอยู่ได้ ไอ้ช้างมาเห็นเขาคงหัวร่อตัวงอเป็นกุ้งแน่
“ว่ายังไงผู้พัน” นายพลชั้นผู้ใหญ่หันมาถาม “สรุปแล้วจะเอาอย่างไร”
“ผมจะขอขึ้นไปประจำที่เชียงรายเพื่อปฏิบัติภารกิจครับ” เขาตัดสินใจเด็ดขาด ออกราชการภาคสนามครั้งนี้คงไม่ต่ำกว่าหกเดือน ไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาได้กลับไปกอดคนรอที่บ้านหรือเปล่า แต่เขาก็หวังว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์หัวใจ เขาใช้เวลาเป็นเครื่องเดิมพัน หากเราต่างมีความอดทนรอคอย ความรู้สึกที่แท้จริงในใจของเขาคงจะชัดเจนได้จริงๆ ว่าคนคนนี้คือคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างเขาในทุกเหตุการณ์ชีวิต เป็นสายน้ำอันชื่นฉ่ำในวันที่เขาเหือดแห้งหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง ในที่สุดเขาก็จะได้ทำตามหัวใจตัวเองจริงๆเสียที
ได้โปรด.. รอพี่เถอะนะ .
.
.
นายตำรวจหนุ่มสวมแว่นกรอบสีเงินเลนส์ถนอมสายตา เพ่งไปที่หน้าจอแล็บท็อบตัวเก่ง หลังจากที่จ้องมานานกว่าสามชั่วโมงอาการปวดขมับก็เริ่มตามมาจนเขาต้องพับหน้าจอ ทิ้งตัวพิงลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เขาสะสางงานที่คั่งค้างใกล้จะเสร็จแล้วแต่ก็ยังมีคดีใหม่ๆเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่มีเวลากลับบ้านมาเป็นอาทิตย์จนแม่ต้องโทรมาตามทุกวัน ทั้งเป็นห่วงลูกชายคนเล็กที่ไม่ยอมมีครอบครัวเสียที ทั้งเป็นห่วงธุรกิจที่บ้านจะไม่มีใครรับดูแลต่อเพราะพี่สาวและพี่ชายของเขาไปตั้งรกรากกับครอบครัวที่ต่างประเทศกันหมดแล้ว
“มีคนมาขอพบครับ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น จ่าเดชเปิดประตูเข้ามา “เอ่อ น้องชายหรือครับเห็นนั่งรอมาสองชั่วโมงแล้ว”
“ผมไม่รู้จักสักหน่อยจ่า” ดวงตารีเรียวคู่สวยมองลอดกรอบสีเงินบาง มองแค่ปราดเดียวคนที่ต้องแบกหน้ามารับคำด่าจากผู้บังคับบัญชาเหงื่อแตกซ่ก “บอกเขาไปว่าผมไม่ว่าง แล้วก็ไม่ต้องมาอีก”
“ผมบอกอย่างที่ผู้กำกับว่ามาสองอาทิตย์แล้วนะครับ” จ่าเดชหยุดพูดไปชั่วครู่ คิดว่าถ้าพูดไปแล้วเขาจะโดนสั่งขังลืมหรือเปล่า แต่เขาก็อดสงสารเด็กหนุ่มที่มานั่งตากยุงไม่ได้ “ถ้าจะโกรธก็คุยกันดีๆสิครับ”
ตึง“บอกเขาไปอย่างเดิม” ชัยวัตรกระแทกแฟ้มประวัติที่เอามาเปิดลงบนโต๊ะทำงาน “ถ้าผมออกไปแล้วยังเห็นเขานั่งอยู่ มีเรื่องแน่จ่า!”
จ่าตัวดีดผึงรีบเผ่นแผล็วออกจากห้องไป นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นมานวดขมับเบาๆ วันนี้เขาคงใช้สายจ้องคอมพิวเตอร์มากเกินไป หรือจ้องหน้าประตูห้องรอใครบางคนมาเคาะกันแน่ ชัยวัตรยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เหลือบเห็นนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง
“หิวข้าวชะมัด” เขากดปิดโน้ตบุคแอบลูบท้องที่กำลังคร่ำครวญ ช่วงนี้รู้สึกปวดท้องบ่อยๆ โรคกระเพาะที่เคยเป็นตั้งแต่สมัยเรียนชอบกำเริบเมื่อเขาทานข้าวไม่ตรงเวลาเสมอ “งานเยอะขนาดนี้ใครมันจะไปมีเวลากินข้าว” หรือว่าเขาควรจะลาออกไปขายข้าวมันไก่อย่างที่แม่บอกจริงๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเขาเงยหน้ามองประตูห้อง เมื่อเห็นไม่มีใครเปิดเข้ามาจึงส่องกระจกออกไปดู เห็นถุงผ้าแขวนอยู่บนลูกบิดประตูพร้อมกระดาษโน้ตหนึ่งใบ เขาเปิดประตูมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลยสักนิดจึงหยิบถุงผ้าน่าสงสัยขึ้นมาดู ข้างในมีกล่องข้าวสีเหลืองอ่อนบรรจุข้าวผัดทะเลอัดแน่นพร้อมไข่เจียว
‘ทานข้าวด้วยนะครับ’
ชัยวัตรขมวดคิ้ว ลายมือยึกยือที่เขียนถ้าให้เดาคงเป็นไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่มาดักรอเขาทุกเขาแน่ เรื่องอะไรเขาจะกิน แอบใส่อะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาไปให้จ่าเดชกินก็แล้วกัน เสียดายของ
เอาตามความจริงเขาก็ไม่ได้คิดจะหลบหน้า เขาชอบการเผชิญหน้าแล้วคุยกันให้เข้าใจไปเลย แต่สิ่งที่ปฐวีต้องการมันมากเกินกว่าที่เขาจะให้ได้จริงๆ แม้ว่าเขาจะยอมรับความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการจะมีแฟนเป็นเพศเดียวกันเสียหน่อย
“คิดจะหลบหน้าผมไปอีกนานแค่ไหนครับ” ปฐวีโผล่เข้ามาขวางเขาที่กำลังจะเข้าห้อง ผู้กำกับหนุ่มสะดุ้งเฮือกเกือบทำถุงผ้าหล่นลงพื้น
“เฮ้ย แม่ง หัวใจจะวายตาย เล่นห่าอะไรไม่รู้เรื่อง”
“ผมอยู่ทั้งคน ผายปอดให้ได้อยู่แล้ว”
“สัส กวนตีน”
“กลัวไม่อยู่กวนตีนแล้วจะมีคนเหงา”
“กลับไปได้แล้วไป นู่น ทางออก เชิญ ผมจะทำงาน”
“ทานข้าวก่อนสิครับ” เขามองไปกล่องพลาสติกสีเหลืองในมือชัยวัตร รอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเมื่อเห็นว่ามันอยู่ในมือของคนที่เขาคิดถึงมาตั้งหลายวัน “รีบทานเลยนะ เดี๋ยวมันจะหายร้อน”
“รู้แล้ว” ชัยวัตรผลักคนตัวโตไล่เลี่ยกันออกไปอีกทาง อายุแค่นี้ทำไมตัวใหญ่จังวะ “มีธุระแค่นี้ใช่ไหม”
“ได้เห็นหน้าคุณผมก็พอใจแล้ว” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “นี่แหละธุระของผม”
“เชิญ!” ผู้กำกับหนุ่มปิดประตูดังปัง เหลือบมองกล่องข้าวในมือ กลิ่นหอมของอาหารหอมกรุ่นเตะจมูกจนต้องลอบกลืนน้ำลาย เสียงท้องที่ร้องไม่หยุดทำเอาเขาอยากจะบ้าตาย สงสัยต้องฝากท้องไว้กับข้าวกล่องนี่สักวัน ก็แค่วันเดียวแหละน่า
“คุณวัตร คือว่า วันอังคารหน้า ผมมีแข่งบาสที่มหา’ลัย” ปฐวีแนบริมฝีปากกับบานประตู เขาหวังว่าชัยวัตรจะได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด “ถ้าคุณว่างแวะมาดูได้นะครับ”
“ผมไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก” เขาตะโกนออกไป อันที่จริงเขาพิงประตูห้องอยู่จึงได้ยินเสียงของคนข้างนอกชัดเจน และเขาก็คิดว่าไม่ใช่กงการอะไรที่เขาจะต้องไปดู งานการเขามีตั้งเยอะแยะ แล้วไอ้เด็กนี่ยังตอแยเขาไม่เลิกเขาคงได้เล่นไม้แข็งแน่
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมจะขอมาส่งข้าวให้คุณทุกวันเลยแล้วกันนะ”
“ไม่ต้อง!” บางครั้งเขาอาจจะต้องไปตรวจความเรียบร้อยนอกสถานที่หรือกินเลี้ยงกับเพื่อน ทำให้การกินข้าวของเขาไม่เป็นเวลา แล้วเขาก็ไม่ต้องการมารายงานว่าเขาต้องไปไหนทำอะไรกับใครด้วย ไม่ต้องมารอเขา เพราะเขาก็ไม่อยากรอใครเหมือนกัน
เสียงจากข้างนอกเงียบไปแล้ว เขาได้แต่ถอนหายใจ เขามั่นใจว่าตนเองได้ปฏิเสธไปอย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่ได้ต้องการให้ปฐวีมารับผิดชอบอะไรในตัวเขา ความสัมพันธ์ทางกายแบบไร้สถานะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปเสียแล้ว เขาเป็นผู้ชายอายุสามสิบสามที่ผ่านโลกมาแล้วพอสมควร ไม่ใช่หนุ่มน้อยแรกรักอย่างไอเด็กนั่น คิดจะมาผูกมัดเขามันยังเร็วไปร้อยปีโว้ย!
เขาเคลียร์งานอยู่ในห้องจนห้าทุ่มกว่า ไลน์ดังแจ้งเตือนจากเพื่อนสนิทโทรมาชวนไปแฮงค์เอ้าอีกเช่นเคย กดปิดแล็บท็อบตรวจความเรียบร้อยเสร็จแล้วเขาก็เตรียมตัวหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน บ่อยครั้งที่ต้องนอนค้างที่สน.เขาจึงต้องมีชุดลำลองเตรียมไว้
“จะกลับแล้วหรือครับ” ปฐวีที่กำลังนั่งอ่านหนังสือผุดลุกขึ้นมา “จะกลับคอนโดเลยหรือว่าจะไปไหนต่อครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย ไอ้หนู!” เขาจิ้มจึกที่แผงอกของเด็กหนุ่มไม่ให้เข้ามาใกล้จนเกินไป “ดึกดื่นแล้วไม่กลับบ้านกลับช่อง ไม่ไปทำงานพิเศษแล้วหรือ”
“ช่วงนี้ผมมีแข่งกีฬาครับ เลยขอหัวหน้าลาหยุดไว้สักพัก”
“โอ้ นักกีฬาหรือ” ชัยวัตรทำตาโต ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างดูน่ารักเหลือเกินสำหรับเด็กหนุ่ม “กีฬาอะไรล่ะ” เขาเหมือนเห็นหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังสั่นหางระริก เขาแค่คุยด้วยก็ดีใจจนออกนอกหน้า
“บาสครับ”
“แล้วนักกีฬาไม่พักผ่อนจะเอาแรงที่ไหนไปแข่ง กลับไปได้แล้วไป”
“ก็ได้ครับ” คราวนี้หมาตัวโตหางลู่หูตก เขาอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ
“ที่นี่สถานีตำรวจ ไม่ใช่ที่นายมาจะวิ่งเล่นหรือมานั่งเฝ้าใคร”
“ขอโทษครับ”
“ฟังนะปฐวี เรื่องที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด ลืมมันไปซะ หากนายล้ำเส้นมาอีก อย่าหาว่าฉันใจร้าย” เขาหันไปทำเสียงดุ ต้องให้เขาใจร้ายใช่ไหมถึงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“ผมไม่ลืมได้ไหม”
“นั่นมันก็เรื่องของนาย!”
เขาไม่สนคนที่กำลังส่งสายตาตัดพ้อ เดินหนีไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่จอดเอาไว้ ยังไม่ทันได้ออกรถไปไหนเพราะมัวแต่ก้มลงเก็บของส่วนตัว เด็กตัวโตก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้างคนขับเสียอย่างนั้น เขามองเด็กหนุ่มที่ทำหน้าบึ้งแล้วขมวดคิ้วรู้สึกรำคาญเต็มแก่
“ผมจะไปด้วย”
“ฉันไม่พกเด็กไปด้วยหรอกนะ”
“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว!”
“แต่การกระทำของนายนี่แหละที่ยังเด็ก เที่ยวตามติดฉันไปทั่วแบบนี้ บอกตรงๆนะ รำคาญ”
“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ ไม่ได้หรือ”
“ฉันโตแล้ว และก็ดูแลตัวเองได้ นายเอาเวลาไปห่วงตัวเองเถอะ!” เขาเห็นปฐวีกำหมัดแน่น ก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา จึงลอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ใช่คนชอบพูดจาทำร้ายจิตใจใครง่ายๆหรอก แต่นี่มันจำเป็นจริงๆ หวังว่าเขาจะเข้าใจ
“ผมมันไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ”
“ถ้าจะพูดถึงการกระทำ ฉันว่านายออกจะเหมือนสตอล์คเกอร์ไปหน่อยนะ”
“เหมือนโรคจิตที่ชอบแอบสะกดรอยตามงั้นหรือ”
“ก็ประมาณนั้น” เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เอามือขยี้หัวอย่างเอาเป็นเอาตาย สงสัยวันนี้เขาคงต้องยกเลิกนัดกับเพื่อนแล้วล่ะ เพราะหมาตัวโตดูท่าจะไม่ไปไหนง่ายๆ
‘ผมไม่เคยจีบใครนี่นา”
“ใครบอกว่าให้จีบได้วะ”
“ก็เราเป็นผั---”
“อย่าพูดนะมึง” เขาดันฝ่ามือปิดปากเด็กหนุ่มที่ร้องอู้อี้ “ไม่งั้นกูยิงไส้แตกจริงๆด้วย” ปฐวีพยักหน้าหงึกหงักเขาถึงยอมปล่อยมือออก ฝ่ามือที่เขาใช้ปิดปากเด็กหนุ่มแฉะฉ่ำ
“ขอโทษครับ ผมเผลอเลียไปนิดหน่อย”
“…”
นี่เขากำลังอยู่กับหมาโกลเด้นตัวโตจริงๆใช่ไหมเนี่ย TBCขอบคุณที่ติดตามมาตลอด
ขอบคุณจริงๆค่า วันนี้พายเอาน้องไทเกอร์มาฝากค่ะ^^