รวินท์ส่ายหน้าไปมา รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลย เขาเคลื่อนรถไปช้าๆ ไม่นานก็ลงไปถึงตีนเขาได้
หากเมื่อขับเข้าไปจอดในที่จอดรถของคลินิก รอยยิ้มของทันตแพทย์หนุ่มกลับเจื่อนลง แค่เห็นที่จอดรถโล่งว่าง มีรถของเขาแค่คันเดียวกับมอเตอร์ไซค์ของภูพิงค์ก็ใจหาย เพราะเมื่อเด็กหนุ่มกลับไป เขาก็จะต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว คงไม่พ้นนึกถึงเรื่องอกหักเดิมๆ คร่ำครวญไปเรื่อย จะนอนหลับลงหรือเปล่าก็ไม่รู้
ภูพิงค์ก้าวลงจากรถไปก่อน เขาเดินดุ่มๆ ไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้ จากนั้นจึงหันไปทางชายหนุ่มเจ้าของรถที่ยืนพิงประตูมองมาทางตน “ผมกลับละนะ”
“อืม ขี่รถดีๆ”
เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่ง เขาชำเลืองมองรวินท์แล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ ยังไม่ทันสตาร์ตรถก็หันกลับไปทางที่อีกฝ่ายยืนอยู่อีกครั้ง ชายหนุ่มมองตามเขาตาละห้อยเลยทีเดียว รู้ตัวบ้างไหมเนี่ยว่าทำหน้าห่อเหี่ยวใส่เขาขนาดไหน จะทิ้งไปทั้งแบบนี้ก็รู้สึกผิดฉิบหาย
กูหนอกู~
คนอ่อนวัยกว่าถอนหายใจหนักๆ “ยังเฮิร์ตจัด ไม่อยากอยู่คนเดียวก็บอกดิวะพี่ ปากอมอะไรอยู่”
รวินท์เลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าเหรอหราด้วยความตกใจ ทำไมไอ้เด็กนี่มัน... รู้ดีฉิบหาย!
“จริงๆ ผมก็อยากชวนพี่ไปนอนเล่นที่บ้านเช่า แต่ห้องผม มีผมกับเพื่อนอ่ะ เกรงใจมัน” ภูพิงค์เตะขาตั้งมอเตอร์ไซค์ลง ก่อนจะก้าวลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปประจันหน้ากับทันตแพทย์หนุ่ม “ผมนอนเป็นเพื่อนพี่อีกคืนก็ได้ แต่ไม่นอนพื้นนะ”
นัยน์ตาเรียวประสานสายตากับคนตรงหน้านิ่ง เขาอ้ำอึ้ง “เอ่อ...”
“เอ้า ให้เวลาสามวิฯ ถ้าไม่ชวนจะกลับละนะ หนึ่ง สอง สา...” เด็กหนุ่มทำเป็นหันหลังจะเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ แต่แล้วรวินท์ก็คว้าแขนเขาไว้ตามคาด เขากระตุกยิ้มมุมปาก อยากจะหัวเราะก็สงสาร “ว่าไงล่ะ”
“อยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยนะ”
ภูพิงค์หันขวับกลับไปหาอีกฝ่าย “ได้อยู่แล้ว” เขายกมือขึ้นตบไหล่ทันตแพทย์หนุ่มป้าบใหญ่ เป็นผลให้อีกฝ่ายเซแท่ดๆ ไปนิดหน่อย “เราขึ้นดอยด้วยกันมาแล้วก็เท่ากับว่าเป็นพี่น้องกันใช่มะ เป็นพี่น้องกันแล้วก็ไม่ทิ้งกันหรอกน่ะ”
“ตบเบาๆ ก็ได้เว้ย แขนผมต้องใช้ทำมาหากิน” คนพูดเสตาหลบไปอีกทาง “แต่ผมมีเตียงเดียวอย่างที่คุณเห็นน่ะแหละ นอนด้วยกันได้มั้ยอะ”
“เออ ได้ ขอแค่ไม่นอนพื้นก็พอ แต่ดึกๆ อย่าเผลอปล้ำผมก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มเดินนำไปที่ประตูทางเข้าคลินิก “มาเปิดไวๆ”
“มีตรงไหนน่าปล้ำบ้างวะ” รวินท์พึมพำ พลางสาวเท้าไปเปิดล็อกประตูคลินิกออก
สองหนุ่มเดินตามกันเข้าไปภายใน แล้วจึงตรงขึ้นไปยังห้องพักที่ชั้นบน
รวินท์เปิดประตูเข้าไปในห้อง เอื้อมมือไปควานหาสวิตช์ไฟแล้วก็หยิบรีโมตเครื่องปรับอากาศมากดเปิด “จะอาบน้ำมั้ยเนี่ย”
“อาบก็ดี พี่มีกางเกงให้ผมยืมใส่นอนสักตัวป่ะ”
ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้ เขาทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่คลินิกหลายชุด ก่อนจะหยิบเสื้อยืดสีขาวล้วนกับกางเกงลายแมวยิ้มที่เคยซื้อจากบิ๊กซีออกมาส่งให้
“ขอบ...คุณ” ภูพิงค์รับมาอย่างงงๆ เพราะคิดว่าท่าทางอย่างพี่วิน น่าจะใส่ชุดนอนสุดหรูไฮเอนด์แบบเข้าเซตกันอะไรแบบนี้
หลังจากอาบน้ำกันเสร็จ สองหนุ่มก็มานั่งลงบนเตียงข้างกัน คนหนึ่งใส่เสื้อยืดกับกางเกงลายแมว อีกคนใส่เสื้อกล้ามสีแดงกับกางเกงสีเขียวลายมะเขือเทศสีแดง
“คริสต์มาสยังมาไม่ถึงเลยพี่”
“ก็บิ๊กซีมีแต่แบบนี้นี่หว่า”
“หรือว่าที่บอกว่าซื้อเอง...” เด็กหนุ่มชี้ไปที่เสื้อผ้าซึ่งเขาสวมอยู่กับอีกฝ่าย
“เออ ผมซื้อเอง ในหอพักแพทย์ก็เห็นเขาใส่กันแบบนี้ทั้งนั้น”
ภูพิงค์หลุดขำเสียงดัง เขาเอนหลังลงนอนชักดิ้นชักงอ “หมอหอพักนี้แม่งบันเทิงฉิบหาย”
“ทำไมวะ” รวินท์ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนเองใส่ “ที่บิ๊กซีลำพูนมันไม่ค่อยมีเสื้อผ้าให้เลือกหรอก ผมก็ซื้อเท่าที่มีขายอะ”
“ก็ไม่แปลกหรอก แต่ปกติพี่แต่งตัวโคตรเนี้ยบ ผมเลยนึกไม่ถึงไง”
“เนี้ยบยังไงวะ”
“แปลว่าไอ้ที่ใส่ทำงานนี่ ก็ไม่ได้ซื้อเองใช่มะ”
“หยุดหัวเราะได้แล้วโว้ย” ทันตแพทย์หนุ่มคว้าหมอนมาฟาดคนที่นอนอยู่ “กินยาก่อนนอนแล้วใช่ป่ะเนี่ย”
“กินแล้วตอนพี่อาบน้ำอ่ะ”
“งั้นปิดไฟนอนนะ” เจ้าของห้องลุกไปปิดไฟ แล้วจึงเดินกลับมาเอนตัวลงนอน
ทั้งสองคนนอนนิ่งอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ดวงตาเรียวยังคงเปิดกว้าง เขาผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ก่อนจะหันไปหาคนที่นอนข้างกันช้าๆ “พิงค์...”
เจ้าของชื่อเรียกลืมตาขึ้น “หือ”
“ขอบใจนะ”
“อือ เล็กน้อยน่ะพี่”
รวินท์หลุบตาลงต่ำ “...โชคดีที่เจอคุณ ไม่อย่างนั้น สองวันที่ผ่านมานี่ ผมคงแย่”
“ถ้าไม่เจอพี่ผมก็คงแย่เหมือนกัน ต้องฟังสโมฯ กับอาจารย์ด่าไปจนเรียนจบแหงๆ” ภูพิงค์ยกมือขึ้นลูบศีรษะทันตแพทย์หนุ่ม “วันนี้พี่ต้องได้ตู้เย็นกับแอร์ถูกใจแน่ๆ นอนเอาแรงเหอะครับ เดี๋ยวทำคลินิกไม่ไหวจะไส้แห้งหนักกว่าเดิม”
รวินท์อมยิ้ม เขาหลับตาลง พยายามข่มตาให้หลับอย่างที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย
ดวงตาคมกริบยังคงจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะกลายมาเป็นเพื่อนกันได้แบบงงๆ แต่พวกเขาก็เคยขึ้นดอยมาด้วยกันแล้วนี่นะ ก็ถือว่าเป็นทั้งเพื่อนและพี่น้องกันนั่นล่ะ
...พี่วินแม่ง... เขาก็ไม่อยากจะชมนักหรอกนะ แต่ยิ่งมองใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งโคตรหน้าตาดี ผิวจะละเอียดไปไหน ขนตางี้ยาวเป็นแผงเชียว
หมั่นไส้โว้ย!
ภูพิงค์ปิดตาลง ก่อนที่ตัวเขาจะอดใจไม่ไหว ถีบเจ้าของเตียงกลิ้งตกเตียงไปก่อนด้วยความหมั่นไส้
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปกินโจ๊กที่ประตูวิศวะเหมือนเมื่อวาน จากนั้นเด็กหนุ่มก็กลับบ้านเช่าไปก่อน ส่วนทันตแพทย์หนุ่มกลับไปทำงานของตน
“แล้วบ่ายเจอกัน”
“ครับพี่”
รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดของบ้านเช่า จากนั้นภูพิงค์ก็เดินฮัมเพลงเปิดประตูเข้าไปข้างในบ้านอย่างอารมณ์ดี หากพอก้าวเข้าไปในบ้านก้าวแรกก็ต้องหยุดชะงัก เพราะไอ้เพื่อนเวรอีกสี่คนยืนเข้าแถวถือสาก กระทะ ตะหลิว และฝาหม้อรอเขาอยู่ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“มึงไปไหนมา! ไอ้พิงค์! เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้านกลับช่อง!”
“เดินฮัมเพลง อารมณ์ดีเชียวนะมึง!” แซนดี้ใช้สากกระเบือในมือชี้ “กูว่ากูแรดแล้วยังแพ้มึงเลยเนี่ย!”
“แหม ไปวิ่งแก้บนในวัด ไปวิ่งไล่จับไก่แถววัดแล้วลากไปแดกในคลองอะดิ!”
“ฟลาวเวอร์มากๆ ใจง่ายฉิบหาย ไปค้างกับผู้ชายไม่เลือกหน้า!”
“นี่พวกมึงเป็นเมียกูเรอะ!” ภูพิงค์ถอยหลังกลับออกไปตั้งหลัก “ไอ้พวกเหี้ย ด่าซะชุดใหญ่ กูสำนึกไม่ทันเลยแม่ง แล้วทำไมต้องออกมารอต้อนรับกูขนาดนี้ พวกมึงไปกินอะไรผิดสำแดงมารึไงวะ!”
ซันหยิบไอแพดขึ้นมากดเปิดรูปที่แท็กกันรัวๆ ในเฟซบุ๊ก แล้วหันไปให้อีกฝ่ายดู “ไหนว่าไม่รู้จัก ไม่รู้จักเล้ยยย~ ไอ้ตอแหล!”
“เฮ้ย!” ภูพิงค์ถลาเข้าไปคว้าไอแพดในมือเพื่อนมาดูใกล้ๆ ภาพบนจอนั้นคือภาพของเขากับรวินท์ ตอนไปซื้อของในโฮมโปรเมื่อวาน
“บอกสิว่าเจอกันโดยบังเอิญ เลยต้องควงกันไปแดกข้าวน่ะ” ซันดึงไอแพดกลับมาเปิดรูปใหม่ คราวนี้เป็นรูปของสองหนุ่มในตลาดโต้รุ่ง “เขาส่งกันว่อนเห็นกันทั้งมหาลัยแล้ว!”
“เย้ย! จะมีรูปบนดอยด้วยมั้ยวะเนี้ยะ!”
“อ๋อ ที่หายไปนี่ไปขึ้นดอยด้วยกันด้วย ร้ายนะมึงอะ! ตอนไปหาเขาที่ร้านหมอฟันนี่ปวดฟันจริงหรือตอแหลวะ!” แซนดี้กระแนะกระแหนด้วยเสียงสูงจนต้องต่อบันไดเสียงขึ้นไปอีกเจ็ดชั้น
“ไอ้พวกเวร! พี่วินเขาเป็นผู้ชายนะโว้ย! เอามาพูดงี้พี่เขาเสียหาย!” ภูพิงค์หันขวับไปทางซัน แล้วถามเสียงเข้ม “กูได้สัมฯ พี่วินมาแล้ว จะเอาไม่เอา!”
คนถูกถามเปลี่ยนกระแสเสียงและสีหน้าทันควัน เขารีบเปลี่ยนข้างไปยืนข้างเพื่อนรัก “เฮ้ย! ไอ้พิงค์มันทำเพื่อคณะเว้ย แยกย้ายๆ” ความวุ่นวายในบ้านเช่าจึงสงบลงได้
แล้วพวกเขาก็ทยอยกันเดินกลับเข้าไปนั่งลงในห้องนั่งเล่นด้วยกันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นซะอย่างนั้น
“สรุปว่ามึงไปได้สัมฯ มาได้ไง ไม่ได้เอาตัวเข้าแลกใช่ป่ะวะ”
“ไอ้ห่า เสนอให้ฟรีแถมข้าวสารสามถังเขายังไม่เอากูเลย” ภูพิงค์ยกขาถีบคนถามแถมไปอีกสองสามที “พอดีพี่เขามีปัญหานิดหน่อย กูช่วยเขา เขาเลยให้สัมฯ แค่นั้นแหละ”
“มึงไปช่วยอะไรพี่เขาวะ”
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง คิดอย่างหนักว่าจะตอบอย่างไรไม่ให้พี่วินดูงี่เง่าจนเกินไป “ช่วยเขาเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าว่ะ พอดีพี่เขาจะซื้อของหลายอย่าง แต่เลือกไม่ถูก”
“แล้วนี่มึงไปค้างกับเขามาอีกเหรอ” ขิงถาม
“เออ พี่เขาอยู่คนเดียว คลินิกตอนกลางคืนมันก็น่ากลัว กูเลยอยู่เป็นเพื่อน ก็เพื่อนกันอะมึง ที่สำคัญห้องมีแอร์ด้วย”
“อ่อ... มึงนี่ก็โชคดีฉิบหายเลยเนอะ คนอยากเข้าใกล้พี่เขาเป็นร้อย มึงนี่เดินมึนอยู่ดีๆ แท้ๆ”
“เออ กูไปเอาผ้าใส่เครื่องซักก่อน พวกมึงทำการบ้านอจ.เอกยังวะ”
“ยังน่ะสิโว้ย รอมึงอยู่เนี่ย”
ภูพิงค์รีบวิ่งปรู๊ดออกไป “รอแป๊บเว้ยยย~”
*TBC*กลัวทุกคนจะลืมน้องพิงค์กับพี่วิน ลงยาวๆ เลยเนอะะะะ
สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาโศกเศร้าของชาวไทยทุกคน จริงๆ ฮัสกี้ตั้งใจว่าจะลงตอนนี้เมื่อขึ้นเดือนใหม่ แต่มาคิดอีกที ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรอยยิ้มให้คนอ่านสักนิดดีกว่า /กอดดดดทุกคนเลยนะคะ
ตอนนี้สองหนุ่มก็สนิทกันมากขึ้นอีกนิดนึงแล้วเนอะ เดี๋ยวตอนหน้าน้องพิงค์จะพาพี่วินไปชอปปิ้งต่อนะคะ จะตีกันตายคาเซ็นทรัลหรือไม่ โปรดติดตามมมม~
ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่ะ 