Chapter 13 : เรียนรู้เมื่อกลับมาถึงหอพัก ที่นอนใหม่ของรวินท์นำมาส่งไว้แล้ว สองหนุ่มจึงช่วยกันยกขึ้นไปชั้นบน หลังจากหอบข้าวของที่ซื้อมาขึ้นไปเก็บบนห้องหมด พวกเขาก็ช่วยกันเอาอาหารสดใส่ตู้เย็นก่อนเป็นอย่างแรก
“ปกติช่องล่างสุดเอาไว้ใส่ผักผลไม้ แล้วพวกเนื้อสัตว์เนี่ย แบ่งใส่ถุงแช่แข็งไว้ เวลาจะกินค่อยเอาออกมาละลาย จะได้เก็บไว้ ได้นานๆ ส่วนพวกขวดน้ำผมใส่ไว้ตรงนี้นะ”
เจ้าของห้องพยักหน้า “ไข่ใส่ตรงนี้ใช่มะ”
“เออ ฉลาด รู้แล้วก็เอาใส่ซะ เดี๋ยวผมไปตั้งโต๊ะไว้กินข้าวก่อน” ภูพิงค์ก็จัดการเอาโต๊ะญี่ปุ่นที่ซื้อมากางออก วางเบาะนั่งพร้อมเตรียมกินอาหารมื้อเย็น “พี่วินโทรเรียกพี่เต้ดิ บอกมาเร็วๆ เดี๋ยวของกินเย็นหมด”
“โอเค” เมื่อรับปากแล้วก็รีบกดโทรศัพท์โทรไปตามเพื่อนรักทันที
เตชิตลังเลนิดหน่อย เขากลัวจะหูชาอีก หากความหิวชนะทุกสิ่ง เขาจึงตัดสินใจมาร่วมวงด้วย
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด อาหารวางเต็มโต๊ะดูน่ากิน แต่รวินท์กับเด็กหนุ่มน่ะสิ ยังหาเรื่องปะทะคารมกันได้ตลอด
“ผมบอกแล้วว่าโต๊ะเอาลายไม้ดีกว่า พี่วินอะ จะเอาลายภูเขาน้ำตก ดูดิ พอวางของแล้วก็ไม่เห็นลาย ดูรกด้วย”
“เวลากินข้าวก็ดูข้าวสิวะ จะดูลายทำไมเล่า อีกอย่างโต๊ะนี้ซื้อไว้อ่านหนังสือเว้ย”
“อ่านหนังสือก็ไม่เห็นลายโต๊ะอยู่ดีปะ แล้วจะซื้อภูเขาน้ำตกนี่มาทำไมอะ”
ในขณะที่สองคนที่นั่งอยู่ก่อนเถียงกันไป เตชิตก็ตักอาหารใส่ปากไปด้วย มือข้างหนึ่งถือช้อน มืออีกข้างกุมขมับ ปวดศีรษะจี๊ดๆ
“นี่พวกคุณมึงจะอยู่อย่างสงบสักห้าวิฯ ได้มั้ยวะ”
“ห้า...” รวินท์นับถอยหลังทันที
“สี่...” ภูพิงค์ช่วยนับต่อ
งานนี้เตชิตต้องยอมแพ้ ประกอบกับที่รู้สึกปวดศีรษะ ไม่ค่อยสบายด้วย ให้ต่อล้อต่อเถียงกับไอ้สองคนนี้เขาคงไม่ไหวแน่ๆ เขาจึงกินพออิ่มท้องแล้วก็รีบชิ่งกลับห้องไป
“ไอ้เต้มันแปลกๆ สงสัยไม่ชอบหน้าคุณแหงๆ อยู่แป๊บๆ แล้วก็รีบหนีทุกที” รวินท์บ่นใส่คนที่นั่งอยู่ด้วย
“ผมว่าพี่เขารำคาญเสียงพี่น่ะแหละ”
“เสียงผมเนี่ย ทำคนไข้หลับมาแล้วหลายราย”
“หลับเพราะเสียงหรือกลัวพี่จนสลบ เอาให้แน่ๆ” ภูพิงค์ตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู “เออ นี่ครับ คลิปกับสัมฯ ของพี่”
ทันตแพทย์หนุ่มรับมาดู เขาไถหน้าจอไปเรื่อยๆ พลางอ่านคอมเมนต์ไปคร่าวๆ “ดูพวกเขาจะชอบรูปคุณกับผมมากเลยนะ”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวเบาๆ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะตอบส่งๆ ไป “ก็มันมีแค่รูปผมกะพี่ จะให้เขาชอบรูปใครวะ”
“อือ ก็จริง”
แน่ะ เชื่ออีก! ทำไมเชื่อง่ายจังวะ!
“จะมีวิ่งมาราธอนเหรอ โห เหนื่อยกันอีกแล้วเนอะ”
“จริงๆ ผลัดกันวิ่งพี่ แล้วก็มีอาจารย์กับคณะอื่นๆ มาร่วมวิ่งด้วย แต่ปีนี้คณะผมเป็นตัวแทนจัด เอาจริงๆ ก็วิ่งแค่ในเมืองเอง งานนี้เพื่อหาเงินซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงบาลบนดอยน่ะครับ”
รวินท์พยักหน้าหงึกหงัก “คณะคุณนี่ดีจังนะ จัดกิจกรรมมีประโยชน์ดี”
“คณะผมอาจารย์กับรุ่นพี่จะสอนต่อกันมาว่า เราเป็นฟันเฟืองของชุมชน เราเคลื่อนตัวเพื่อพัฒนาชุมชนของเรา ยังมีกิจกรรมอีกเรื่อยๆ แหละพี่ เดี๋ยวเทอมสองก็จะมีกิจกรรมหาทุนไปค่ายอาสาอีก”
“อืม...”
ภูพิงค์ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย “สนมั้ยวะพี่”
“สนอะไร”
“วิ่งมาราธอนไง”
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว เขาหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับเหงื่อพอไม่ให้หน้าเมือก “วันวิ่งมาราธอน... ถ้าเป็นตอนเช้าก่อนคลินิกเปิดผมคงไปดูได้”
“พี่มาได้ก็ดี อะ!”
รวินท์กอดคอเด็กหนุ่มพร้อมกับดึงเข้าหาตัว เขายิ้มกว้าง เปิดกล้องวิดีโอในโทรศัพท์มือถือแล้วยกขึ้นถ่ายพวกเขาทั้งสองคน “ดูสิใครมาชวนผมไปงานวิ่งมาราธอน แล้วเจอกันที่งานละกันนะครับ วิ่งกันให้เต็มที่เลยนะ” จากนั้นจึงกดปิดแล้วส่งคืนให้อีกฝ่าย “เอ้า จะเอาไปทำอะไรก็เอาไป”
ภูพิงค์อ้าปากค้าง “โห ใจบุญสุนทาน” แต่ในใจอุทาน พี่วินแม่งโคตรรู้งาน!
“ถ้าคนเขาชอบรูปคุณกับผมกัน คลิปนี้มันก็คงใช้ประโยชน์ได้บ้างล่ะมั้ง”
“อิ่มบุญมากมั้ยเนี่ยพี่ ผมอิ่มจะอ้วกแล้ว!” ไม่ได้รู้เลยนะว่าไอ้ที่คนอื่นชอบพวกเขา บอกว่าน่ารักสารพัดเนี่ย เพราะอะไร! เขาเอาพี่กับผมไปจิ้นกันนะเว้ย! ยังจะมาราดน้ำมันลงกองไฟอี้ก!
“ทำไมทำหน้าแปลกๆ ไม่ดีรึไงวะ”
“ดี... ดีครับ ขอบคุณมาก ไอ้พวกสโมฯ ต้องยกย่องเชิดชูผมแน่” เด็กหนุ่มพูดพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา “ผมคงต้องกลับแล้วพี่ น่าจะถึงมหาลัยสักห้าทุ่ม”
ทันตแพทย์หนุ่มยืดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ “อย่าเพิ่งกลับดิ ม่านยังไม่ได้ติดเลย โต๊ะกับตู้ก็ยังไม่ได้ประกอบอ่ะ ที่นอนเก่าก็ยังต้องยกลงไปทิ้งข้างล่างอีก”
“หือ?” ภูพิงค์หันไปส่งสายตาขุ่นๆ ใส่ “ใจคอพี่จะใช้งานผมทั้งคืนไม่ให้กลับเชียงใหม่เลยรึไงวะ”
“แหม ก็เราพี่น้องกันไง คุณบอกว่าจะช่วยผมไม่ใช่เหรอ แล้วจะทิ้งให้ผมงมหาวิธีประกอบโต๊ะตู้คนเดียวได้ลงคอรึไง”
“ใจจริงล่ะพี่ พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมเว้ย”
รวินท์หัวเราะร่วน “ก็ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว มาทั้งทีต้องใช้ให้คุ้ม อีกอย่างกลับตอนนี้กว่าจะถึงก็ดึกดื่น คุณก็ค่อยกลับพรุ่งนี้สิ มีเรียนกี่โมงอ่ะ”
“เก้าโมงครึ่ง”
“เออ เห็นมะ เช้าค่อยขี่รถกลับ สว่างดีด้วย ปลอดภัยกว่า”
เด็กหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “ทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนวะ ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเลยเนี่ย”
“แก้ผ้านอนไปละกัน”
ภูพิงค์ยกมือขึ้นกอดลำตัว “แต่พี่ต้องสัญญาว่าจะไม่ลวนลามผมนะ”
“ผมไม่คิดสั้นขนาดนั้นหรอกน่ะ”
“โหย เนี่ยกางเกงในก็ไม่มีเปลี่ยนอ่ะ”
“ก็ไม่ต้องใส่ดิ เวลานอนใครเขาใส่กันวะ”
“ปกติผมนอนกับไอ้ซันอ่ะ ถ้าไม่ใส่เดี๋ยวเช้าขึ้นมาต้องชักธงแข่งกับแม่ง” เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากพร้อมทำท่าประกอบ “หรือพี่อยากแข่งกับผม”
รวินท์ยกขาถีบอีกฝ่ายไปหนึ่งที “เห็นภาพชัดเจนเลยไอ้เด็กเวร”
ภูพิงค์หัวเราะร่วน “งั้นเดี๋ยวผมติดม่านให้พี่ก่อนดีกว่า คนอื่นจะได้แอบดูเราไม่ได้นะ”
“ใครเขาจะอยากดูกันวะ!”
ขณะที่คนหนึ่งเก็บจานชามไปล้าง อีกคนก็จัดการติดผ้าม่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ช่วยกันเอาขยะกับที่นอนเก่าลงไปทิ้งข้างล่าง แล้วขึ้นมาประกอบตู้เสื้อผ้ากันต่อ ปิดท้ายด้วยการประกอบโต๊ะอาหาร
ภูพิงค์ไขน็อตที่ขาโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียว โต๊ะกินข้าวก็เสร็จเรียบร้อย
พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ตรงโต๊ะอาหารแล้วกวาดสายตามองไปภายในห้องช้าๆ
รวินท์ไม่อาจหุบยิ้มได้เลย “ขอบใจมากนะพิงค์ คุณช่วยผมได้เยอะมาก ประหยัดตังค์ไปเยอะด้วย ห้องผมดูเป็นห้องมากขึ้นเป็นกอง”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไรหรอกพี่”
“จริงสิ คุณไปคณะทันตะหรือยัง นัดได้เมื่อไหร่”
คนอ่อนวัยกว่าชะงัก แล้วยิ้มแหยๆ “คือ...”
“ยังไม่ได้ไปล่ะสิ”
“ก็ยังไม่ว่างอะพี่~”
ทันตแพทย์หนุ่มทำหน้าเครียดขู่ “เดี๋ยวถ้าปวดตอนสอบขึ้นมาจะแย่นะเว้ย”
เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วอ้าปากกว้าง “พี่ดูสิดู ทุกอย่างปกติเห็นป่ะ แต่ยังไงเพื่อความสบายใจ ผมจะไปคณะทันตะแน่นอนน่ะ”
“ให้มันจริง... งั้นเราไปอาบน้ำนอนกันเหอะ เหนื่อยชะมัดเลยวันนี้”
รวินท์เปิดเครื่องปรับอากาศในห้องนอนทิ้งไว้ก่อน ระหว่างที่เขาไปอาบน้ำเด็กหนุ่มก็ถอดเสื้อผ้าแขวนไว้แล้วนุ่งผ้าเช็ดตัวรอ
ภูพิงค์หันมองไปรอบๆ ห้องซึ่งไม่มีแม้กระทั่งโต๊ะอ่านหนังสือ ดีหน่อยที่มีที่นอนกับตู้เสื้อผ้าใหม่แล้ว นั่งรอไปสักพักก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความไปบอกเพื่อนๆ ว่าจะค้างข้างนอกและดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานเจ้าของห้องก็กลับเข้ามาในห้อง
“นั่งให้ดีๆ หน่อย เห็นไปถึงไส้อ่อนแล้ว”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหุบหาทันควัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ผมก็ใส่กางเกงในป่ะวะ”
“นั่งแบบนี้เหมือนอีหนูรอเสี่ยมาเปิดซิงเลยว่ะ”
คนอ่อนวัยกว่าวางโทรศัพท์มือถือลง เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วยกมือขึ้นปิดติ่งไตบนแผ่นอกไว้ “ถึงผมจะน่ากินขนาดไหนพี่ก็ควรอดใจไว้บ้าง ให้ที่บ้านมาขอก่อนนะ”
ทันตแพทย์หนุ่มเบ้ปากใส่ “ดีนะผมยังอิ่มอยู่ ไปอาบน้ำได้แล้วไป๊”
หลังจากอีกฝ่ายออกจากห้องไป เขาก็ปิดไฟดวงใหญ่ เปิดโคมไฟที่หัวเตียงแทน แล้วเอนตัวลงนอน ระหว่างที่รอให้เด็กหนุ่มกลับมาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าไปในเฟซบุ๊ก ในไทม์ไลน์มีภาพถ่ายของภูพิงค์ในกิจกรรมประชุมเชียร์และรับน้องขึ้นดอยซึ่งถูกแท็กมาขึ้นเป็นระยะๆ แต่แล้วรวินท์ก็กดเข้าไปดูในอัลบั้มรวมรูปทั้งหมด เพราะอยากเห็นอีกฝ่ายตอนรับบทพี่ว้าก
ตอนประชุมเชียร์ทำหน้าโหดฉิบเป๋งเลย อย่างกับคนละคน จะว่าไปเป็นพี่ว้ากก็ดูเท่ดีเหมือนกัน
แต่พอหลุดเก๊กเท่านั้น ไม่เหลือมาดพี่ว้ากเลยสักนิด
รวินท์หัวเราะพลางกดดูรูปต่อไปเรื่อยๆ เขาเห็นรูปตัวเองตอนเข็นเด็กปีหนึ่งที่ชื่อโจ้ขึ้นเขาด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่รู้อีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนั้นก็ยังมีรูปของเขากับรุ่นพี่คณะที่จบไปแล้ว รูปตอนพบกับพิงค์ครั้งแรกและนั่งคุยกัน เมื่อเลื่อนลงมาอ่านคอมเมนต์ก็เห็นรูปหัวใจกับคำว่าน่ารักเต็มไปหมด ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างลืมตัว
นานแล้วนะเนี่ย ที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เหมือนกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้งเลย
ทันตแพทย์หนุ่มชะงักพลางขมวดคิ้ว... แต่จะว่าไป เขาชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขา หลักๆ ก็มีแต่เรียน แล็บ แล้วก็ขึ้นคลินิกนี่หว่า
เลื่อนๆ รูปไปอีกก็ไปเจอรูปภูพิงค์ตอนกำลังซ้อมวิ่งแบกเสลี่ยง หัวฟูหยอยเป็นทรงแอโฟรเลยทีเดียว เป็นผลให้รวินท์หัวเราะออกมาได้อีกครั้ง นิ้วมือก็กดไล่ดูรูปต่อไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน
“นอนยิ้มตาเยิ้มแบบนี้ ดูหนังโป๊อยู่แหงๆ”
คนที่นอนอยู่บนเตียงผงกศีรษะขึ้น “ระดับผมต้องดูด้วยเรอะไง เล่นเองก็ได้มะ”
ภูพิงค์พยักหน้ารัว “อือ ก็น่าอยู่” เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงตรงที่ว่างแล้วเอนหลังพิงหมอน “พี่วินท่าจะเชี่ยวว่ะ”
“เชี่ยวอะไรวะ”
“เรื่องอย่างว่าไง” เด็กหนุ่มตอบแล้วก็หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองมากดดูบ้าง
“ทำไมถึงคิดงั้น”
“หือ คิดอะไร”
“เป็นอัลไซเมอร์เหรอวะ” รวินท์หันไปส่งสายตาดุใส่ “ทำไมถึงคิดว่าผมเชี่ยว”
“อ๋อ ไม่รู้ดิ เดาเอา”
“แล้วทำไมถึงเดาอย่างนั้นล่ะวะ”
“ก็ผมคิดว่าพี่คงมีคนเข้าหาเยอะไง”
“คิดว่าผมฟาดหมดทุกคนที่เข้ามาเลยเหรอ”
“อือ” เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง “แบบคลำดูไม่มีหางก็เอา”
ทันตแพทย์หนุ่มยกขาขึ้นถีบอีกฝ่ายไปเบาๆ “เห็นแบบนี้ก็เลือกนะเว้ย แล้วผมไม่ได้ตายอดตายอยากขนาดนั้นป่ะวะ”
ภูพิงค์หัวเราะ “เลือกบ้างก็ดีไง แล้วพี่จะถีบผมทำไมเนี่ย!”
รวินท์รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ เขาขมวดคิ้วพลางพลิกตัวหันหลังให้คนที่นอนอยู่ข้างกัน
หากคนอ่อนวัยกว่าไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่อ่านประกาศจากอาจารย์เรื่องการสอบมิดเทอม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเงียบไป เขาจึงหันไปมอง “พี่วินหลับแล้วเหรอ” เมื่อทันตแพทย์หนุ่มไม่ตอบ เขาจึงเอื้อมมือไปปิดไฟที่โคมไฟหัวเตียงฝั่งที่อีกฝ่ายนอนอยู่
ทว่าขณะที่ยื่นมือออกไปก็สังเกตเห็นว่ารวินท์ยังคงลืมตาอยู่ เขาจึงรีบชักมือกลับ “ผมนึกว่าพี่หลับแล้ว โทษที” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เป็นไรอะพี่ กินเยอะไปรึไง ทำหน้าเหมือนปวดขี้”
เจ้าของห้องยังคงมีสีหน้ายุ่ง แต่ก็พลิกตัวหันกลับมาหาคนถาม “คุณว่า... ใครๆ ก็มองผมเหมือนที่คุณพูดเมื่อกี้มั้ยวะ”
“โธ่ นึกว่าอะไร”
รวินท์ยังคงจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง เพื่อเค้นเอาคำตอบให้ได้
“ใครๆ ที่ว่าเนี่ย หมายถึงแฟนเก่าใช่มะ” ภูพิงค์ถอนหายใจยาว “ผมตอบแทนแฟนเก่าพี่ไม่ได้หรอกนะเว้ย ถ้าพี่อยากรู้ พี่ต้องฟังจากปากของเขาเอง”
“อันที่จริง เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอกหักได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยมีทีท่าอะไรเลย”
“เขามีแต่พี่ไม่สนใจรึเปล่าวะ ดูจากนิสัยพี่แล้วก็น่าจะใช่”
“แต่เขาไม่เคยพูดอะไร ไม่ว่าผมจะทำตัวแย่ หรือทำอะไรผิดมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยต่อว่า จนกระทั่งจู่ๆ ก็มาบอกเลิกกันนั่นละ
“ก็เพราะเขาเก็บสะสมไว้ในใจไง ที่จริงก็คงอยากด่าพี่ให้ถึงโคตรเหง้าศักราชอยู่เหมือนกันนั่นละ แต่เลือกที่จะเก็บไว้ เก็บไปเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวก็เลยระเบิดออกมา” เด็กหนุ่มอ้าปากหาวกว้าง “บางทีถ้าตอนนั้นพี่รู้จักสังเกตบ้าง พี่ก็อาจจะเห็นความผิดปกติของเขาก็ได้”
“นั่นสินะ ผมนี่มันโง่ชะมัด ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ นั่นละ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มพูดเสียงเศร้า
“เออ ก็สายไปจริงๆ นั่นล่ะ ถามจริงเหอะ ถ้าผมไม่ยกมาพูด จนถึงวันนี้พี่จะรู้ตัวมะวะ”
ปากพล่อยไปแล้วภูพิงค์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ฉิบหาย... ไม่น่าไปแตะจุดเซนส์สิถีพของพี่วินเลยกู!
“เอ่อ... ที่จริง คำพูดของผมก็เอาไปตัดสินอะไรพี่ไม่ได้หรอก เพราะผมกับพี่นิสัยไม่เหมือนกัน เป็นแบบที่เรียกว่าตรงข้ามกันสุดๆ อะ”
สีหน้าของทันตแพทย์หนุ่มนิ่งขรึม เขากำลังพยายามเปรียบเทียบตัวเองกับเด็กหนุ่มอยู่ในใจ “......”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสักหน่อย อย่าคิดมากเลยพี่ นอนกันเหอะ” คนอ่อนวัยกว่ายิ้มบาง พร้อมกับยกมือขึ้นตบหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ “พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวทำข้าวต้มให้กิน เรียกพี่เต้มากินด้วยกันนะ”
นัยน์ตาเรียวหลุบลงต่ำ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แค่พลิกตัวนอนหงายแล้วกะพริบตาปริบๆ
“ปิดไฟด้วยสิพี่ ผมจะได้ไม่ต้องเอื้อมให้เหนื่อย”
“เอื้อมแค่นี้ก็ต้องบ่น คุณอายุเท่าไหร่กันแน่วะ”
“เด็กก็เมื่อยเป็นนะลุง” เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเพื่อจะปิดไฟที่โคมไฟเสียเอง แล้วแกล้งเอนตัวทับลงไปบนตัวอีกฝ่าย
“หนัก!”
“โธ่ ผมก็นึกมาตลอดว่าตัวเองเบ๊าเบา” ภูพิงค์รีบขยับออกก่อนที่เขาจะโดนถีบตกเตียง เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อทันตแพทย์หนุ่มเอื้อมมือมาหยิกพุงตน “โอ๊ยๆ อย่าหยิกผิดนะพี่ เดี๋ยวผมสูญพันธุ์”
“ไม่ต้องห่วง ผมหาไม่เจอหรอก”
“โห! แรง~”
“นอนได้แล้วเว้ย กวนประสาทอยู่ได้”
“ก็เห็นชอบให้ผมกวน”
“คุณนั่นล่ะที่ชอบกวนผม” รวินท์ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม พวกเขาต้องใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แต่โชคดีที่ผ้าห่มของเขาผืนใหญ่ ชายหนุ่มซบใบหน้าลงบนหมอนพลางข่มตาให้หลับลง
ในความมืดนั้น ภูพิงค์ลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ติซึ่งอยู่บนหมอนใกล้ๆ
เขาชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้คนดังอย่างพี่วินลืมไม่ลงแล้วแฮะ ดูพี่วินท่าจะรักมากๆ
แต่ก็นะ เขาคิดว่านับถอยหลังรอพี่วินมีแฟนใหม่ได้เลย พนันกันได้ว่าอีกไม่นานชัวร์
เด็กหนุ่มปิดตาลงอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจยืดยาว
เช้าตรู่วันใหม่ที่อากาศสดใส ท้องฟ้าโปร่งโล่ง ดวงอาทิตย์แผดรังสีความอบอุ่นไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เตชิตผู้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเร็วกว่าปกตินั่งหน้าง่วงอยู่ที่โต๊ะอาหารใหม่เอี่ยม บนโต๊ะมีไข่เจียว ไข่เค็ม ผักกาดดองวางไว้พร้อม ในมือของทันตแพทย์หนุ่มถือถ้วยกาแฟควันโขมง ส่วนรวินท์เพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังรีบแต่งตัว
“เมื่อคืนไม่ได้กลับหรอกเรอะ” เตชิตถามเด็กหนุ่มที่กำลังตักข้าวต้มอยู่ในครัว
“กลับอะไรล่ะพี่ พี่วินใช้งานผมทั้งคืนอ่ะ เรียกมาทีใช้คุ้มฉิบหาย อ่ะ พี่ ข้าวต้ม”
“ขอบใจ”
“เสียดายไม่มีผักบุ้งกับพริกอ่ะ เมื่อวานดันลืมซื้อ ไม่งั้นจะทำยำไข่เค็มกับผัดผักบุ้งให้ด้วย”
“โห แค่นี้ก็หรูมากแล้ว ปกติผมกินแค่ขนมปังกับกาแฟเอง”
“แค่นั้นพี่จะมีแรงทำฟันคนไข้ได้ไงอะ ผมแค่นั่งเรียนเฉยๆ กินข้าวต้มนี่ยังไม่ค่อยจะพอ” ภูพิงค์พูดกลั้วหัวเราะ
“แล้วเดี๋ยวนี้ต้องขี่รถกลับมหาลัยสินะ เหนื่อยแย่”
“ไม่หรอกพี่ แค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว”
เตชิตส่ายหน้าไปมา “ไอ้วินนี่รบกวนเขาไปทั่วเลยจริงๆ”
เด็กหนุ่มโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “พี่วินช่วยคณะผม ผมก็ต้องช่วยพี่วินตอบแทนบ้าง เรื่องธรรมดาอะพี่”
ทันตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “ช่วยอะไรเหรอ”
“วันก่อนพี่วินให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคณะผมในฐานะคนที่ไปดูการขึ้นดอย สัมภาษณ์ของพี่วินช่วยให้คนมองระบบโซตัสของคณะผมดีขึ้น ให้คนรู้จักวิศวะขึ้นดอยมากขึ้น” ภูพิงค์หัวเราะแหะแหะ พลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอย “คือเรื่องสัมภาษณ์มันก็ไม่ใช่ความคิดของผมหรอก ผมโดนสโมฯ สั่งมาอีกที”
เตชิตพยักหน้าหงึกๆ “อ่อ เรื่องแบบนี้ไอ้วินมันถนัด มันทำมาตลอดหกปีแล้วอะนะ”
ในขณะเดียวกันรวินท์ก็เดินเข้ามาสมทบ “มาแล้วๆ กินกันได้ยัง”
“ก็รอพี่วินอยู่คนเดียวนี่แหละ พี่เต้ท้องร้องดังไปถึงโรงบาลแล้ว”
“แต่ท้องพิงค์ร้องดังไปถึงเชียงใหม่แล้วใช่ป่ะ”
เด็กหนุ่มหันขวับ “โห พี่เต้... เห็นเงียบๆ แบบนี้ก็ร้ายอะ ผมต้องระวังหมอฟันทั้งหลายให้มากกว่านี้ซะแล้ว”
รวินท์ตอกกลับไปทนควัน “โหย ไม่ต้องเลย ผมกับไอ้เต้สองคนยังปากร้ายไม่เท่าคุณ”
“ผมปากร้ายตรงไหน เขาเรียกจริงใจ คิดอะไรก็พูด”
“ปากไม่มีหูรูดว่างั้น”
“ปากใครมีหูรูดบ้างวะ เรียนหมอมาจริงเปล่าวะพี่น่ะ”
“เรียนหมอฟันเว้ย เรียกให้ครบๆ”
“โอยๆ กินข้าวกันเหอะ” เตชิตรีบยกมือขึ้นห้ามทัพ ก่อนอาหารตรงหน้าจะกองอยู่ในน้ำลายเสียหมด
หลังเสร็จจากมื้อเช้า ทันตแพทย์ทั้งสองก็เดินไปส่งเด็กหนุ่มที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้
“ขี่รถกลับดีๆ อย่าไปหาเรื่องใครระหว่างทางรู้มั้ย” เตชิตตบไหล่คนอ่อนวัยกว่าเบาๆ
“โห พี่เต้ เห็นผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย”
“อย่าลืมไปคณะทันตะด้วยนะเว้ย” รวินท์ย้ำเป็นรอบที่สิบ
“คร้าบๆ” ภูพิงค์รีบก้าวขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์ก่อนที่เขาจะโดนรุม อยากจะเถียงกลับรัวๆ แต่ก็เห็นว่าเป็นทันตแพทย์ทั้งสองคน เขาอาจจะโดนรุมเลาะฟันออกได้ เด็กหนุ่มจึงรีบสตาร์ตรถแล้วแว้นออกไปโดยเร็ว
จากนั้นทันตแพทย์หนุ่มทั้งสองคนจึงเดินต่อไปยังโรงพยาบาลด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินไป รวินท์หันไปบอกกับเพื่อนรักเสียงเรียบ “ไอ้เต้ รู้เรื่องขวัญรึยัง”
เตชิตหันขวับ “เรื่องขวัญ? ทำไมวะ ขวัญติดต่อมึงมาเหรอ”
“เปล่า แต่ขวัญมีคนใหม่แล้วว่ะ”
“....” เตชิตอ้ำอึ้ง
“เพื่อนมึงโดนทิ้งแบบถาวรซะแล้ว”
“...กูเสียใจด้วย”
“เออ กูก็เสียใจ”
เพื่อนรักยกแขนขึ้นโอบไหล่ “แต่มึงดูโอเคนะ ทำใจได้แล้วเหรอวะ”
“จะต้องให้กูเดินร้องไห้ฟูมฟายเหรอวะ โรงบาลแตกพอดี” รวินท์หัวเราะเจื่อนๆ “แต่กูก็พอรู้ตัวอยู่แล้ว เลยทำใจไว้ล่วงหน้านิดหน่อย”
เตชิตลูบศีรษะคนที่เดินอยู่ข้างกันเพื่อปลอบโยน “ทำใจไว้บ้างก็ดีแล้วมึง”
“ถึงกูจะรู้ตัว แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เจ็บฉิบหายเลยว่ะ กูรักขวัญมาห้าปีเลยนะเว้ยมึง ถึงกูจะเหี้ยยังไง แต่ขวัญก็เป็นแฟนคนเดียวของกู”
เตชิตถอนหายใจ จากนั้นจึงสวมกอดเพื่อนรักพลางลูบหลังให้
“ขอบใจเว้ย กูไม่เป็นไร”
“แล้ว... มึงจะเอาไงต่อไป”
“จะเอาไงได้ ขวัญบล็อกการติดต่อทุกช่องทางไปแล้ว กูไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ คงได้แต่ทำใจว่ะ”
“ถ้างั้นมึงจะใช้ทุนที่นี่ต่อไปมั้ย”
“ต่อสิวะ มึงคิดว่ากูซื้อแอร์ซื้อตู้เย็นมาประดับห้องเล่นๆ เรอะ”
“มึงตั้งใจจะรอขวัญเหรอ”
รวินท์มองตรงไปข้างหน้าพลางยิ้มบาง “ไม่รู้เหมือนกัน... บางทีกูอาจอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง เพราะงั้นก็...ให้เวลาตัดสินเถอะ”
เตชิตชำเลืองมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนรักเป็นระยะ ก่อนจะถอนหายใจยาว
เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ สี่หนุ่มวิศวะในบ้านเช่ายังคงนอนหลับกันเป็นตาย แต่จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ที่ดังกระหึ่มอยู่หน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของแซนดี้
“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย เสียงอีแซนดี้นี่หว่า” ภูพิงค์ตื่นขึ้นเป็นคนแรก เขารีบลุกขึ้นไปดูจากหน้าต่างชั้นบน
ข้างล่างนั้นมีแก๊งมอเตอร์ไซค์สองฝั่ง กำลังเร่งท่อไอเสียแข่งกัน ส่วนตรงกลางนั้น แซนดี้ยืนหวีดร้อง หันไปทางซ้ายทีและขวาที
ซันคลานมาเกาะขอบหน้าต่างดูบ้าง “มึงว่ามันแข่งกัน ใครแพ้ได้อีแซนดี้ไป หรือมันจะรุมกระทืบอีแซนดี้กันวะ”
“ใจกูว่าน่าจะอย่างหลัง แต่ดูท่าทางระริกระรี้ของอีแซนดี้แล้วไม่น่าจะใช่”
สักพักก็มีอีกสองหนุ่มโผล่หน้ามาจากหน้าต่างบานใกล้ๆ “ไม่น่าเชื่อว่าอีแซนดี้จะมีวันรถไฟชนกัน”
“รถมอไซค์ป่ะวะ” ภูพิงค์หันไปแก้คำผิดให้ “พวกมึงว่าเอาไงดี”
“ถ้าลงไปช่วยมันตอนนี้ พวกเราจะกลายเป็นแว้นอีกกลุ่มที่มาแย่งอีแซนดี้ป่ะวะ” ขิงหันไปปรึกษากับทุกคน
“ดีไม่ดีอีแซนดี้อาจจะด่าให้ ดูหน้ามันสิ กำลังฟินชัดๆ”
“นี่อาจจะเป็นโอกาสในฝันของมัน เดี๋ยวอาจจะมีแข่งซิ่งรถ อีแซนดี้คงได้เป็นพริตตี้ถือธงสมใจ”
ภูพิงค์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับเพื่อนๆ หากพอมองไกลออกไป เห็นรถคุ้นตากำลังเคลื่อนเข้ามาในซอย เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วชะโงกหน้าออกไปมอง
“มีไรวะไอ้พิงค์”
“ไอ้ซัน วันนี้เสาร์อาทิตย์ต้นเดือนเหรอวะ”
“เปล่านี่ อีกสองอาทิตย์นะมึง ทำไมวะ” ซันชะเง้อมองออกไปบ้าง
“มึงเห็นอย่างที่กูเห็นมั้ย”
“แค่รถคล้ายๆ ป่ะวะ รอดูทะเบียน...”
จู่ๆ ดิวก็ร้องขึ้น “ไอ้เหี้ย~ พ่อแม่อีแซนดี้มา! มันยังใส่แซกรัดรูปของแม่มันอยู่เล้ย!”
สี่หนุ่มกรูกันลงไปชั้นล่างของบ้านเช่า วิ่งพรวดพราดออกไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว พวกเขาตะโกนเรียกเสียงดัง
“อีแซนดี้ เข้าบ้าน!”
“มาพอดีเลยพวกมึง! โอ๊ย กูกำลังหนักใจ เลือกไม่ถูก ทางนู้นก็ผัว ทางนี้ก็ผัว...” แซนดี้กรีดนิ้วชี้ไปทางขวาทีแล้วหันมาซ้ายอีกที ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาเคลื่อนเข้ามาจอด
มารดาของแซนดี้ถลาลงมาจากรถแล้วตะโกนลั่น “แสนดี!”
*TBC*ฮรือออ... น้องภูกับพี่วินโต้คารมกันได้มุ้งมิ้งน่ารักเนอะ /ชมเองก็ได้
เขาก็สนิทกันมากขึ้นอีกนิดแล้วนะคะ ส่วนพี่หมอนี่ก็ช่างรู้จักวิธีเอาตัวเองไปพัวพันกับคณะวิดวะเนอะ รู้งานอะ 555555555 เดี๋ยวจะโดนกล่อมด้วยเพลงดอกไม้บานไปอีกยาวๆ ระวังตัวให้ดีเถอะพี่หมอ 55555555
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ติดตามค่า 