Chapter 16 : เดตกันแบบงงๆ
หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์ไปเป็นเวลาประมาณสิบห้านาทีเด็กหนุ่มก็เลี้ยวเข้าไปในซอย ไม่นานก็ไปถึงร้านที่เป็นเรือนไทยขนาดใหญ่ เมื่อจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเขาก็เดินนำคนที่มาด้วยกันเข้าร้านไป
พนักงานในร้านเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มทันทีที่หันมาเจอ ดูท่าเขาจะเป็นแขกประจำที่นี่
“ขอโต๊ะสองคนครับ”
“ได้เลยน้องพิงค์ อุ๊ย!” พนักงานชะงักเมื่อหันมาเห็นคนที่มาด้วยกันกับเด็กหนุ่ม เธอหลุดปากพูดออกมาทันที “คนในเพจกับน้องพิงค์นี่นา!” จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดเข้าหลังร้านไป
“เฮ้ย! พี่หญิง เดี๋ยว~” ภูพิงค์วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
รวินท์ทำหน้างง คนอ่อนวัยกว่าปล่อยให้เขายืนอยู่ตามลำพังท่ามกลางแขกเหรื่อในร้านมากมาย สายตาทุกคนดูจะพุ่งตรงมาที่เขา ส่วนอีกฝ่ายวิ่งไปโวยวายอะไรกับพนักงานก็ไม่รู้
หากสักพักภูพิงค์ก็เดินกลับออกมา “โทษทีพี่”
“ท่าจะรู้จักกันดี คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ”
“เจ้าของร้านเป็นน้าผมเอง ผมเลยพาเพื่อนมากินบ่อยจนพี่ๆ เขารู้จักหมดอ่ะ พี่รอแป๊บนะ เขากำลังจัดโต๊ะให้ ผมสั่งอาหารไปบ้างแล้วด้วย พี่จะได้ไม่ต้องรอนาน เดี๋ยวนั่งโต๊ะแล้วค่อยสั่งเพิ่มนะ”
“อ่อ... อือ ดีแล้วแหละ ผมไม่เคยกินอาหารพื้นเมือง ไม่รู้หรอกว่าอะไรอร่อย”
ยืนรอสักพักพนักงานคนเดิมก็มาเชิญไปยังที่นั่ง มันเป็นโต๊ะไม้สำหรับนั่งพื้น ตั้งอยู่ริมสวนซึ่งมีน้ำพุและต้นไม้จัดไว้สวยงาม มีเบาะกับหมอนสามเหลี่ยมจัดวางไว้ให้นั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะมีเทียนเล่มเล็กๆ ซึ่งตรงเชิงเทียนมีดอกไม้สดประดับ มีแก้ว จานและช้อนส้อมจัดไว้พร้อม มีโคมไฟขนาดเล็กห้อยลงมาจากเพดาน ให้แสงไฟแค่พอสลัวแต่โรแมนติกสุดๆ และยังมีเสียงดนตรีพื้นเมืองดังแว่ว
ภูพิงค์อยากจะร้องไห้ เขาบอกให้จัดโต๊ะธรรมดาให้ นี่ล่อซะ...
“แบบนี้ที่เขาเรียกขันโตกเหรอ”
“ไม่ใช่พี่ แค่จัดเอาฟิลเหนือๆ นิดหน่อย แบบโต๊ะธรรมดาก็มีนะ ถ้าพี่นั่งลำบาก”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ผมชอบ” รวินท์รีบถอดรองเท้าแล้วก้าวเข้าไปนั่ง
เด็กหนุ่มก้าวตามเข้าไปนั่งช้าๆ จากนั้นก็หยิบเมนูส่งให้ “ผมสั่งชุดนี้ไป มันเป็นจานเล็กๆ น่ะพี่ มีไส้อั่ว หมูยอ คั่วเห็ดถอบ แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง แล้วก็อีกชุดเป็นแคปหมูกับน้ำพริกหนุ่ม”
“อือ น่ากินๆ ผมเคยกินแค่น้ำพริกหนุ่มกับแคปหมูนี่แหละ พี่นิ้งเคยซื้อมาให้กิน” พอพูดจบก็หันมองไปรอบๆ “มุมนี้ดีชะมัด เหมาะกับนั่งชิลหลังทำงานมาเหนื่อยๆ นั่งสบาย น่านอน” เขาพูดพลางเอนตัวพิงหมอนสามเหลี่ยม
“เอ้าๆ อย่าเพิ่งนอนนะพี่ กินก่อน ไหนว่างานไม่เหนื่อยไง”
“เหนื่อยเว้ย แต่ไม่เหนื่อยมาก”
สองหนุ่มคุยกันไปไม่ทันไร พนักงานก็ยกถาดไม้ทรงกลมซึ่งบนนั้นมีจานชามใบเล็กๆ จัดไว้อย่างสวยงามและกระติ๊บข้าวเหนียวมาเสิร์ฟให้ “เชิญค่ะ” แล้วก็ไม่วายแอบชำเลืองมองรวินท์พร้อมกับอมยิ้ม
“พี่จะสั่งอะไรเพิ่มดี”
“เดี๋ยวชิมก่อนละกัน”
ดูเหมือนอาหารจะถูกปากรวินท์ไม่ใช่น้อย เขาสั่งจานใหญ่มาเพิ่มอีกหลายอย่าง กินกันจนแทบจะจุกขึ้นมาถึงคอหอย
“น้ำพริกอ่องนี่โคตรอร่อย”
“เอาไว้จะพาไปชิมฝีมือแม่ผม อร่อยกว่านี้อีกสิบเท่า”
“จะไปเมื่อไหร่บอกเลย ผมจะอดข้าวรอ” ทันตแพทย์หนุ่มกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุข จนทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันหัวเราะออกมาเบาๆ
“หน้าตาพี่ตอนกินนี่โคตรมีความสุข สายแดกของแท้”
“ใช้ทุนไปสักปี ผมคงลงพุงแหงๆ สงสัยต้องตื่นเช้ามาวิ่งรอบโรงบาลบ้างแล้วเนี่ย”
เมื่อสองหนุ่มกินเสร็จแล้วพนักงานสองสามคนก็มาเก็บกวาดเช็ดโต๊ะให้อย่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำจานผลไม้ในถาดไม้แกะสลักทรงกลมสวยมาเสิร์ฟให้
สองหนุ่มทำหน้างง “เดี๋ยวพี่หญิง ผมไม่ได้สั่งนี่”
“คืออันนี้สมนาคุณค่ะน้องพิงค์ เดี๋ยวลดค่าอาหารให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย แต่ขอถ่ายรูปไว้ลงเพจร้านหน่อยนะคะ”
ทำไมชีวิตเขาถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้วะ! ภูพิงค์อยากจะลุกขึ้นสะบัดเหาบนหัวใส่ทุกคน ติดก็ตรงที่เขาไม่มีเหา หากยังไม่ทันจะตอบ คนที่มาด้วยกันก็แจกยิ้มเพื่อการค้าอีกแล้ว
“ได้สิครับ ขอบคุณมาก”
“ไอ้พี่วิน!”
“ทำไมอ่ะ ก็ร้านคุณน้าของคุณไม่ใช่เหรอ”
ภูพิงค์ถอนหายใจยาว แต่สุดท้าย เขาก็นั่งแอ็คท่าแจกยิ้มการค้าไปกับรวินท์ให้พนักงานถ่ายรูปจนพอใจนั่นล่ะ ไปๆ มาๆ ทางร้านก็ยกอาหารมาจัดไว้เต็มโต๊ะอีก
“เอาๆ ให้เต็มที่เลยนะพี่หญิง”
“เอาน่า เดี๋ยวให้ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มกับแคปหมูไว้ไปกินเล่นคนละถุง”
“ใจดีจังครับ ขอบคุณมาก”
ไอ้พี่วินนี่ก็ปฏิเสธอะไรบ้างเป็นมั้ยวะ! เด็กหนุ่มด่าอยู่ในใจ
วันนี้ภูพิงค์อาสาจะเลี้ยงเอง ที่จริงก็เพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่ปากเสียไปเมื่อบ่าย หลังจากจ่ายเงินแล้วเขาก็พาทันตแพทย์หนุ่มเดินดุ่มๆ กลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้
“น่าเสียดาย น่าจะแถมน้ำพริกอ่องด้วย”
“จะกินเข้าไปไหวมั้ยน่ะพี่ ได้มาตั้งเยอะยังจะบ่นอีก”
“อันนี้เดี๋ยวกลับไปกินคืนนี้ก็หมดแล้วอ่ะ”
“คนหรือไดโว่วะ” เด็กหนุ่มพึมพำ เขาหยิบหมวกกันน็อกส่งให้อีกฝ่าย เอาถุงอาหารแขวนไว้กับกระจกมองหลัง ก่อนจะใส่หมวกของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วขึ้นไปนั่งรอ ไม่นานเบาะหลังก็ยวบลงเล็กน้อย
“พิงค์... ยังไม่กลับได้มั้ย”
เจ้าของชื่อหันขวับ “หือ? ทำไมอ่ะ วันนี้อยู่คนเดียวอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า วันนี้พี่สิงหามาค้าง แต่ผมยังไม่อยากกลับ”
“ทำไมอะ”
“ก็ยังไม่อยากกลับไง อยากไปต่อ ไปไหนกันดี”
ภูพิงค์ขมวดคิ้วนิ่งคิด กลางคืนแบบนี้จะพาไปไหนดีล่ะเนี่ย “อือ...”
“เราไปไนท์ซาฟารีกันเหอะ ผมเห็นโฆษณาหลายทีแล้ว น่าสนอ่ะ”
“ต้องขี่มอไซค์ไปอีกสักพักเลยนะ ไหวป่ะล่ะ”
“ไหวสิ คุณว่างอยู่แล้วใช่มั้ย”
“อือ ก็ว่างแหละ”
ทำไมเขาถึงตามใจไอ้พี่วินแบบนี้ ตัวเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน หรือเพราะแค่เลี้ยงข้าวยังไม่หายรู้สึกผิดกันวะ ภูพิงค์ได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ
รถมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์วิ่งไปบนถนนโล่งๆ ในตอนนี้ฟ้ามืดลงสนิทแล้ว ไฟบนเสาไฟสองข้างทางเปิดไว้สว่างไสว ขี่รถไปไม่นานก็ถึงทางเข้าไนท์ซาฟารีซึ่งเป็นจุดหมาย
ครั้งนี้รวินท์เป็นคนจัดการซื้อตั๋วให้ เสร็จแล้วพวกเขาก็พากันเดินเข้าไปข้างใน
“ถ่ายรูปๆ” ทันตแพทย์หนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดชัตเตอร์รัวๆ “พิงค์ มาถ่ายรูปกันเร็ว” เขาดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามาแล้วล็อกคอไว้ จากนั้นก็กดชัตเตอร์อีก
“พี่ก็ถ่ายไปสิวะ จะเอารูปผมไปไล่ผีเรอะ!” เด็กหนุ่มโวยวาย
“ที่ระลึกเว้ย จะได้ไม่ดูเหมือนมาคนเดียว ไม่งั้นมันดูอนาถาไปหน่อย”
ภูพิงค์หัวเราะ “อย่างพี่คงไม่มีใครคิดว่ามาคนเดียวอยู่แล้วน่ะ”
“ทำไมวะ เพราะผมดูเป็นคนใจง่าย ไปกับใครง่ายๆ ก็ได้งั้นรึไง”
“อือ”
เพราะอีกฝ่ายตอบแบบไม่เกรงใจเลย รวินท์จึงยกขาเตะตูดไปที
“เอ้า! เตะผมทำไมเนี่ย”
“ผมไม่ได้ไปกับใครเขาไปทั่วนะเว้ย”
“ครับๆ” เด็กหนุ่มเออออ เนื่องจากขี้เกียจจะเถียง “งั้นส่งรูปให้ผมด้วยละกัน” จากนั้นเขาจึงเดินดุ่มๆ ออกไปยังโซนแรกที่ทางสวนสัตว์จัดไว้ หากเพราะความมืดจึงทำให้มองไม่ค่อยเห็นอะไรสักเท่าไหร่
สองหนุ่มหยุดยืนหรี่ตามองเป็นจุดๆ เห็นสัตว์บ้างไม่เห็นบ้าง แต่ตาใกล้จะเหล่แล้ว
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนโซนไปนั่งรถบ้าง คราวนี้ได้เห็นสัตว์มากหน่อย รวินท์ดูจะเพลินกับการเที่ยวดูสัตว์ ส่วนเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันก็ดูจะสนุกกับท่าทางเด๋อๆ ของอีกฝ่าย
เมื่อออกจากโซนดูสัตว์ พวกเขาก็ไปนั่งดูน้ำพุดนตรีปิดท้ายกัน
พอไฟดับลงเสียงเพลงและการแสดงน้ำพุเข้าจังหวะก็เริ่มขึ้น รวินท์อมยิ้มขณะที่มองนิ่งไปข้างหน้า ส่วนภูพิงค์ เขาคอยชำเลืองมองเสี้ยวหน้าที่มีแสงไฟฉาบไล้มาเป็นระยะๆ เพื่อสังเกตรอยยิ้มนั้น
สักพักทันตแพทย์หนุ่มก็หันไปสบสายตากัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่า...” คนอ่อนวัยกว่าเสตาหลบ
“มีแน่ๆ อะ”
“ดูน้ำพุไปเหอะน่ะพี่”
รวินท์ยังคงสงสัย แต่ตอนนี้เสียงเพลงดังสนั่นไปทั่วทำให้พูดคุยกันได้ลำบาก เขาจึงหันกลับไปมองการแสดงน้ำพุก่อน กะว่าจะเค้นถามอีกฝ่ายอีกทีเมื่อการแสดงจบลง
เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง ทั้งสองก็เดินออกไปยังที่จอดรถพร้อมกับผู้คนประปราย
“ถ้าเป็นกลางวันคงได้เห็นสัตว์เยอะกว่านี้ แต่ก็คงไม่ได้เห็นน้ำพุอะพี่”
“กลางวันน่าจะร้อนด้วย แค่นี้ก็โอเคแล้ว สนุกดีเหมือนกัน”
ภูพิงค์ยกมือขึ้นโอบไหล่คนที่เดินอยู่ข้างกัน “พี่นี่เลี้ยงง่ายฉิบเป๋ง”
ทันตแพทย์หนุ่มหันไปหาอีกฝ่าย “เออใช่! บอกมาก่อน เมื่อตอนดูน้ำพุมีอะไรวะ”
คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้ารัว “บอกแล้วว่าไม่มี ผมแค่มองหน้าพี่เฉยๆ”
รวินท์ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าอย่างงงๆ “มองทำไมอะ”
“ผมแค่พยายามดูว่าพี่กำลังยิ้มแบบไหน”
“หือ ผมยิ้มได้หลายแบบเหรอ”
“ไม่รู้ตัวเลยอะดิ บางทีก็ยิ้มแบบ...เสแสร้งโคตรๆ แบบยิ้มเพื่อการค้า บางทีก็ดูยิ้มแบบ... เหมือนยิ้มจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่”
คราวนี้ทันตแพทย์หนุ่มเคลื่อนมือมาจับริมฝีปากตัวเอง พลางย่นคิ้วเข้าหากัน “งั้นเหรอ... ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนแฮะ”
ภูพิงค์กลอกตาไปมา ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างชั่งใจว่าเขาควรจะพูดออกไปไหม หากก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะพูดความคิดของเขาออกไป เผื่ออีกฝ่ายอาจจะไม่เคยรู้ตัวมาก่อน “สำหรับผม ผมคิดว่าบางทีพี่ก็ดูยาก ผมไม่รู้เลยว่าไอ้ที่ผมเห็นพี่ยิ้มเหมือนจะดีใจอยู่อย่างเมื่อตอนดูดอกไม้ไฟเนี่ย มันเป็นการยิ้มแบบเสแสร้งขึ้นไปอีกระดับหรือเปล่า เพราะพี่อยากให้ใครๆ เห็นว่าพี่กำลังสนุก ให้ผมรู้สึกดีที่พาพี่ขี่มอไซค์มา หรือพี่กำลังมีความสุขอยู่จริงๆ”
รวินท์อึ้งไปเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มพูดกับเขาตรงๆ “ผมไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก แล้วผมก็ไม่ได้เสแสร้งขนาดนั้นมั้ยวะ คนอะไรจะบ้าแกล้งยิ้มได้ตลอดเวลาล่ะ”
“อืม คงงั้นมั้ง” เมื่อถึงที่จอดรถ คนอ่อนวัยกว่าก็เดินไปเข็นรถมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์ของเขาออกมา แล้วส่งหมวกกันน็อกให้คนที่ยืนรออยู่ก่อนจะขึ้นไปนั่ง
หากพอทันตแพทย์หนุ่มรับหมวกกันน็อกมา เขากลับยืนนิ่ง “ในสายตาของคุณ ผมมีอะไรดีบ้างมั้ยวะเนี่ย”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง “เฮ้ย! ทำไมถามแบบนั้น”
“ก็ทั้งใจง่าย ขี้อ่อย เชี่ยว ยิ้มเสแสร้ง ไม่สนใจอะไรสักอย่าง...” เขาอดคิดไม่ได้ว่าขวัญข้าวก็คงคิดแบบเดียวกัน
“ไอ้ที่ดีๆ ทำไมไม่จำบ้างวะพี่ ผมบอกว่าพี่เป็นหมอที่ดีไง” ภูพิงค์เอื้อมมือออกไปแตะไหล่คนตรงหน้าแล้วตบเบาๆ ทว่าสีหน้าอีกฝ่ายไม่ดีขึ้น เขาจึงต้องพยายามนึกคำชมเพิ่ม “หล่อด้วย โห นี่กัดฟันชมเลยนะ... อ่า... แล้วก็รวย เรียนเก่ง รถเท่...” หากยิ่งชม สีหน้าทันตแพทย์หนุ่มยิ่งแย่ลง
ทำไมวะ! สงสัยไปเตะโดนจุดเซนส์สิถีบอย่างแรงแน่เลยกู!
คนอ่อนวัยกว่าเคลื่อนมือไปโอบไหล่รวินท์พลางดึงเข้ามากอดไว้หลวมๆ จากนั้นก็ตบหลังเบาๆ “ที่ผมพูดไป เพราะผมยังไม่รู้จักพี่ดีก็เท่านั้น ถ้าผมคิดว่าพี่ไม่มีอะไรดีเลย ผมคงไม่มาเป็นลูกไล่ให้พี่บ่อยๆ แต่นี่ถึงกับข้ามจังหวัดไปให้จิกใช้เลยนะเว้ย”
“นั่นไม่ใช่เพราะอยากได้สัมภาษณ์กับคลิปจากผมเหรอวะ”
“เหย อย่างวันนี้ก็พาที่มาเที่ยวเองเปล่า” ภูพิงค์เถียง แต่แล้วก็ชะงัก “คือ... ที่จริงก็มีสาเหตุแหละ” เขาถอนหายใจยาว “เพราะผมอยากขอโทษ... ที่เมื่อบ่ายพูดจาหมาๆ ใส่พี่”
“ปากคุณนี่มัน...แค่เลาะฟันออกคงไม่พอ”
“แหงสิพี่ ต้องเอาหมาออกไปด้วย” คนอ่อนวัยกว่าหัวเราะเจื่อนๆ เขาคลายอ้อมแขนออก พร้อมกับค้อมศีรษะลงแล้วแหงนหน้าขึ้นประสานสายตากับคนที่ก้มหน้าอยู่ “คงเพราะนิสัยผมกับพี่ต่างกัน มันก็ไม่แปลกป่ะวะที่ผมอาจจะมองพี่แง่ร้ายไปบ้าง”
“ผมยังไม่เคยมองคุณแย่แบบที่คุณมองผมเลยนะเว้ย”
“ก็ผมนิสัยดีอ่ะ”
รวินท์หมั่นไส้จนต้องยกขาถีบมอเตอร์ไซค์ไปพร้อมกับคนที่นั่งอยู่
“แต่ผมจะพยายามเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จะมองพี่ในแง่ดีขึ้นนะ อย่างเช่นที่ให้เบอร์สาวๆ ไปทั่ว ผมจะมองว่าพี่ใจง่ายขี้อ่อยก็ไม่ถูก เพราะตอนนี้พี่เองก็ไม่มีใคร ถ้าไม่เปิดใจทำความรู้จักกับคนอื่นเลย พี่จะรู้ได้ไงว่าเขาดีหรือไม่ดี”
ทันตแพทย์หนุ่มนิ่งฟัง แล้วถามกลับ “แล้วถ้าเป็นคุณ ทำไมคุณถึงจะไม่ให้เบอร์คนที่มาขอ”
“ถ้าผมสนใจเขา ผมจะให้ แต่ถ้าคิดว่ายังไงก็ไม่มีโอกาสหรือยังไงก็ไปกันไม่ได้ ผมก็ไม่ให้ ผมจะไม่ให้ความหวังใคร ถ้ามันไม่มีหวัง และถ้าผมมีแฟน ผมจะไม่ให้เบอร์ใครที่มาขอทั้งนั้น เพราะแฟนผมคงไม่ชอบ และผมจะไม่ทำให้เขาต้องเป็นกังวล”
“เข้าใจแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “ที่คุณพูดมันก็ถูก ผมจะไม่ทำอีก”
คนอ่อนวัยกว่าเลิกคิ้วขึ้น ตกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายรับฟังความคิดเห็นของเขาแล้วออกปากว่าจะทำตามง่ายๆ “เฮ้ย คิดเองไม่เป็นหรือไงวะพี่ ที่จริงพี่จะคิดจะทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับผมมั้ย”
“แต่ผมอยากให้คุณช่วยเตือน ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณ เพราะผมเองก็อยากปรับปรุงตัวเองเหมือนกัน รอบตัวผม... ไม่เคยมีใครพูดตรงๆ กับผมแบบนี้” ...แม้แต่ขวัญข้าว... เธอเลิกกับเขาไปโดยไม่พูดอะไรให้ชัดเจนเลยสักอย่าง เขาอยากจะปรับปรุงตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จะเริ่มยังไงยังไม่รู้เลย “ถือซะว่าช่วยผมหน่อยละกัน”
“ผมพูดสิ่งที่ผมคิดได้ แต่พี่ต้องเป็นคนตัดสินใจเองว่าอะไรดีหรือไม่ดี พี่ไม่จำเป็นต้องทำตามที่ผมพูดไปทุกอย่าง เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้ดีไปหมด บางอย่างที่ผมว่าดี ในสายตาคนอื่นมันอาจจะแย่มากก็ได้”
“อืม ผมแค่อยากมองให้กว้างขึ้นเท่านั้น เวลาโดนคุณด่าแรงๆ เหมือนจะทำให้คิดอะไรได้มากขึ้น”
“โห พูดซะผมรู้สึกดีที่ปากหมาเลย”
รวินท์ยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม แววตาของเขาสั่นไหวน้อยๆ “ขอบใจนะ พิงค์”
รอยยิ้มครั้งนี้ดูน่ารักเสียจนภูพิงค์เผลอยิ้มตอบ รวินท์ช่างมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แม้กระทั่งกับผู้ชายอย่างเขา แวบหนึ่งก็ยังอดคล้อยตามไม่ได้ มือของคนอ่อนวัยกว่าเคลื่อนไปบีบหัวไหล่ทันตแพทย์หนุ่มเบาๆ ก่อนเขาจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสแก้มอีกฝ่ายไปอย่างลืมตัว ใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเท่านั้น
เสียงสตาร์ตรถจากคันที่อยู่ห่างไปเล็กน้อยดังขึ้น เด็กหนุ่มจึงรีบชักมือกลับ เขาตกใจการกระทำของตัวเองมากกว่าเสียงรถนั่นเสียอีก “ใส่หมวกเหอะ จะได้กลับกัน”
“อือ”
รถบิ๊กไบค์วิ่งไปบนถนนที่เงียบสงัดในยามค่ำคืน ผ่านไปสักพักมือที่เกาะอยู่กับเอวเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามากอด แล้วคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เอนศีรษะซบบนไหล่เขา
ภูพิงค์เบิกตาโพลง หากเมื่อมองในกระจกมองหลังก็เห็นว่า... ไอ้พี่วินหลับ! จะสบายไปแล้วโว้ย! ดีนะเนี่ยที่ใส่หมวกกันน็อก ถ้าใครมาเห็นเข้า พวกเขาคงได้ไปแจ้งเกิดในมิวสิกวิดีโออีกหลายเพลงเลย!
เด็กหนุ่มทอดถอนใจยาว เขาคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เวลาที่อยู่ใกล้ๆ กับพี่วิน ไม่อย่างนั้น...
“กูต้องแย่แน่ๆ” เขาส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ
*TBC*
โหหหห กว่าจะเอามาลงได้ 5555 /เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชาาาาา
ฮัสกี้ยุ่งมากทุกวันเลย ระหกระเหิยออกจากบ้านตลอด มีวันนี้ได้ตื่นสายหน่อยค่ะ
แต่ว่าร้อนอิ๊บอ๋ายเลยเนอะ เดือนธันวาจริงเหรอนี่ 55555
ตอนนี้สองหนุ่มก็พัฒนาไปเยอะแล้วเนอะ แหมมมมมม~ น้องพิงค์กับพี่วิน ใครเก็บแต้มแต๊ะอั๋งใครได้มากกว่ากันน้าาาา~ /ย้อนไปอ่านแต่แรกกันเถอะ 55555
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ จุ๊ฟๆ