Chapter 18 : แปลงโฉมออกงาน“แค่สามวันเท่านั้น ขายบัตรไปได้พันห้าร้อยใบแล้ว! พวกมึงเชื่อมั้ย! สปอนฯ เข้ามาอีกเพียบ งานนี้ไม่ธรรมดาแล้วเว้ย!”
ภูพิงค์ที่กำลังตอกตะปูสร้างซุ้มโป๊กๆ อยู่กับเพื่อนอีกนับสิบชีวิตหันไปมองอย่างเซ็งๆ งานก็เร่ง ซุ้มก็ต้องสร้างเพิ่มเอาๆ บทพิธีกรก็ต้องท่อง อยู่ดีๆ ก็ต้องกลายไปเป็นพิธีกรบนเวทีเฉยเลย ชีวิตแม่งโคตรจับฉ่าย เจเนอรัลเบ๊ที่แท้จริง... โชคดีที่ไอ้พี่วินไม่บ่นอะไรหลังจากที่เขาอีเมลสคริปต์ไปให้ พวกเขานั่งอ่านด้วยกันทางโทรศัพท์ไปแล้วหนึ่งรอบ วางแผนไว้ว่าวันศุกร์เย็นจะมาซ้อมใหญ่ด้วยกันบนเวทีอีกครั้งก่อนงานจริง
“ไอ้พิงค์ จารย์เรียก ด่วนๆ”
เด็กหนุ่มวางค้อนในมือลงแล้วรีบวิ่งออกไป อาจารย์ที่ปรึกษาสโมฯ ยืนอยู่กับตากล้องหัวหอกจอมวางแผน กำลังกระซิบอะไรกันก็ไม่รู้ หัวเราะคิกคักเชียว หากท่าทางแบบนั้นทำให้เขาเสียววาบไปถึงปลายไส้ติ่ง
“จารย์ เอ่อ... มีไรครับ”
“พิงค์ จารย์อยากให้เธอตัดผมโกนหนวดได้มั้ย”
“ฮะ!” ขณะที่เด็กหนุ่มตกใจก็มีรุ่นพี่ตัวโตเข้ามาล้อมเตรียมกันเขาหนีเรียบร้อย “เดี๋ยวจ๊านนน~ ทำม้าย~”
“เพราะพี่หมอเขาบอกว่าชอบสาวแบ๊วๆ น่ารักๆ ไง มึงก็ต้องทำตัวให้ดูแบ๊วน่ารักหน่อยสิวะ ดีนะเนี่ยที่มึงตาโตอยู่แล้ว ไม่งั้นลำบากพวกกูต้องไปหาบิ๊กอายมาให้มึงใส่อีก”
“โอ้โห! ไอ้พี่ต่าย มึงวางแผนทั้งหมดไว้ใช่มั้ยเนี่ย!” ภูพิงค์ชี้หน้าตากล้องสโมฯ มือสั่น “ผมไม่ใช่ผู้หญิงมั้ยวะ! ตัวก็ใหญ่เป็นควายแบบนี้อะ! คิดอะไรนึกถึงความจริงด้วยเว้ย!”
“ไม่ใช่ก็ไม่เห็นเป็นไร ตัวใหญ่แล้วไง แค่แบ๊วก็พอน่ะ บนเวทีใครเขาจะพูดกันล่ะ ว่าชอบภูพิงค์แบบแบ๊วๆ”
“ไม่เอาเว้ย ฝันอยู่เหรอวะพี่ ให้ผมไปขอร้องพี่วิน ผมก็ขอแล้ว ให้ผมเป็นพิธีกรผมก็เป็น แล้วจะให้โกนหนวดตัดผมอีก เกินไปรึเปล่าวะ!”
อาจารย์ผลักตากล้องสโมฯ ตัวชงหัวหอกออกไป แล้วก้าวเข้ามากล่อมเด็กหนุ่มเอง “นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวหรอกนายพิงค์ งานนี้มีสปอนเซอร์ใหญ่น้อยมาร่วมหลายราย จารย์ก็อยากให้พิธีกรดูเป็นผู้เป็นคน แต่งตัวทำผมเรียบร้อยหน่อย ให้สมกับที่เป็นหน้าเป็นตาของคณะ”
“มึงไม่จำเป็นต้องไว้หนวด ไว้ผมยาวเพื่อให้รุ่นน้องกลัวและเกรงใจ แค่นี้พวกมันก็ทั้งเคารพทั้งรักมึงจะแย่อยู่แล้วป่ะวะ นี่มันยุคไหนแล้ว พี่ว้ากไม่ต้องดูเถื่อนก็ได้โว้ย” พวกกลุ่มเพื่อนของภูพิงค์ร่วมวงช่วยเกลี้ยกล่อมด้วย
“ไอ้เหี้ย พวกมึงก็พูดได้”
“ถ้ามึงตัดผมโกนหนวด กูกับไอ้ดิวไอ้ขิงก็จะตัดเป็นเพื่อนมึง มึงจะไม่เด๋อคนเดียว พวกกูรับรอง”
“เสียสละมาก จารย์ปลื้มใจ นี่สิ SOTUS ที่แท้จริง”
“นี่ ร้านตัดผมไฮโซสุดดังเป็นสปอนเซอร์ให้พวกมึงตัดเลยนะเว้ย ปกติต้องนัดล่วงหน้า แต่สำหรับพวกมึงนี่พิเศษสุด เขาให้คิวมาเรียบร้อยแล้ว นี่เดี๋ยววันงานเขาก็จะมาทำผมแต่งหน้าให้มึงกับพี่หมอด้วย”
“คิวที่ว่านี่มันเมื่อไหร่วะพี่”
“เดี๋ยวนี้”
“ฮะ! จะไม่ให้เวลาผมสั่งเสียทรงผมเก่าเลยเหรอวะ”
“ไม่ให้เว้ย เดี๋ยวมึงเปลี่ยนใจ”
ภูพิงค์อ้ำอึ้ง เขาไว้ผมยาวไว้หนวดมาเป็นปีๆ จนชินหน้าตาตัวเองไปแล้ว จู่ๆ จะให้ตัดออกแบบนี้มันก็เสียดายนะเว้ย
เพลงดอกไม้จะบานดังขึ้นอีกแล้ว ใครแม่งเปิดก็ไม่รู้ เวลานี้ภูพิงค์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ
นายกสโมฯ เดินเข้ามาประจันหน้า พร้อมกับวางมือทั้งสองข้างลงบนหัวไหล่เด็กหนุ่ม “ที่สำคัญ มึงอย่าลืมว่างานนี้เพื่อโรงเรียนน้อง มึงเป็นประธานรุ่น การเสียสละของมึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีของทุกคนนะ”
กูอยากจะร้องไห้... ขนาดนี้แล้ว กูยังปฏิเสธอะไรได้อีกเหรอ ถ้าไม่ยอมเดินไปตัดดีๆ ก็คงถูกลากไปตัดอยู่ดี ถุยชีวิต
“ครับ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย
“ให้มันได้อย่างนี้! พวกผมประทับใจในตัวคุณมากนะ”
ปากดีฉิบหาย แน่จริงพวกพี่ก็ไปตัดผมกับผมด้วยสิวะ ภูพิงค์ด่าอยู่ในใจ ก่อนจะถูกรวบตัวขึ้นรถอาจารย์แล้วมุ่งตรงไปยังร้านตัดผมทันที
ชีวิตหลังจากถูกตัดผมสั้นเป็นมนุษย์มนาทั่วไป หน้าตาเกลี้ยงเกลาไร้หนวดนั้น... เขารู้สึกเหมือนสุนัขที่โดนเจ้าของกร้อนขนในฤดูร้อนนั่นล่ะ มันทั้งโล่ง ทั้งหวิว รู้สึกหน้าบางขึ้นด้วย คนหันมองหน่อยก็รู้สึกเขิน อยากจะไปหลบอยู่ในซอกตู้
ภูพิงค์แทบไม่อยากจะก้าวออกมาจากร้านตัดผม ถ้าทำได้เขาก็อยากจะโกยเศษผมตัวเองมาแล้วเอากาวติดคืนที่เดิม
ก้าวแรกที่สี่หนุ่มเดินออกมาจากร้าน สายลมที่พัดมาก็ทำให้พวกเขาถึงกับสะดุ้งโหยง
“ไอ้เหี้ย กูหนาวหน้า”
“โล่งจริงๆ ว่ะ” สี่หนุ่มหันมองหน้ากัน พลางสลับกันสัมผัสใบหน้าเกลี้ยงเกลา “เหี้ยแม่ง ไม่คุ้นเลย”
“หล่อแล้วน่ะ แบบนี้ค่อยดูเป็นมนุษย์ยุคปัจจุบันหน่อย”
“โธ่ จารย์คิดว่าพวกผมออกมาจากยุคโครมันยองเหรอ”
“ไม่หรอก โครมันยองใหม่ไป อย่างพวกนายนี่น่าจะรุ่นมนุษย์ชวา” อาจารย์จิกตามองเล็กน้อย แล้วยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ กลับไปทำงานกันต่อได้ละ แล้วก็ นายพิงค์! อย่าลืมท่องสคริปต์ให้แม่นๆ ด้วยนะ”
“ครับๆ”
“หงอเชียวนะมึง”
ภูพิงค์หมดอารมณ์จะเถียง พอกลับมาถึงคณะ เขาก็เดินคอตกกลับไปทำงานต่ออย่างเซ็งๆ ท่ามกลางเสียงวี้ดวิ้วของเพื่อนพ้อง
“วิ้วววว น่ารักจังเลย แบ๊วจังเลยยย~”
“แดกนกหวีดเข้าไปเหรอพวกมึงน่ะ” เด็กหนุ่มกรีดนิ้วกลางโชว์ เขาทิ้งตัวลงนั่ง แล้วคว้าค้อนมาทุบโป๊กๆ ระบายอารมณ์ ระหว่างนั้นก็หยิบเอาสคริปต์มาวางข้างๆ เพื่อท่องไปพร้อมกันด้วย
พิธีกรในงานมีสองช่วง ภูพิงค์กับรวินท์รับช่วงแรก ส่วนพิธีกรคู่เดิมจากงานมาราธอนจะมารับต่อช่วงหลัง ซึ่งเด็กหนุ่มคิดว่าก็ดีเหมือนกัน พวกเขาจะได้ไม่ต้องจำบทเยอะนัก
..
....
..
เมื่อถึงวันศุกร์ ภูพิงค์บอกกับรวินท์ไว้ว่าจะมารับเขาที่คลินิกตอนหกโมงเย็นเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปดูเวทีและซักซ้อมบท วันนี้ทันตแพทย์หนุ่มจึงรีบไปส่งเตชิตที่สนามบินก่อน แล้วจึงกลับมารอที่คลินิกตามเวลาที่นัดไว้ เขานั่งรออยู่บนโซฟาในคลินิกที่เดิม แต่ว่าวันนี้แปลก เพราะเด็กหนุ่มไม่มาก่อนเวลาเช่นเคย
รวินท์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งออกไป ‘ทำไมวันนี้ช้าวะ’
‘ทำใจอยู่ จะถึงร้านพี่แล้ว’
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว “ทำไมต้องทำใจวะเนี่ย”
สักพักก็มีรถมอเตอร์ไซค์คุ้นตาแล่นเข้ามาจอด หากคนที่ขี่มาไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย รวินท์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ก้มลงพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์
‘มาไวๆ หน่อย รีบซ้อมแล้วจะได้ไปหาอะไรกิน ผมหิว’
ขณะที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ เด็กหนุ่มก็เดินมาเคาะกระจกหน้าร้าน รวินท์จึงเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
“เฮ้ย!”
“ไม่ต้องผงะขนาดนั้นก็ได้ป่ะวะพี่”
“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!” ทันตแพทย์หนุ่มถลาไปเปิดประตูร้านออก นัยน์ตาจับจ้องคนตรงหน้าเขม็ง “อย่างกะคนละคน หนูแทะเหรอวะ”
“โห ถ้าหนูแทะได้ขนาดนี้ ช่างผมก็ตกงานหมดแล้วป่ะวะพี่” ภูพิงค์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยพลางขมวดคิ้ว “ยังหวิวไม่หายเลยแม่ง”
รวินท์ยิ้มกริ่ม “น่ารักดีออก”
เด็กหนุ่มมองกลับไปอย่างหวาดๆ “ได้คำชมจากพี่นี่แม่ง...”
“ทำไมวะ”
“เชื่อไม่ได้อะดิ” คนอ่อนวัยกว่าพูดพลางหันหน้าหนี
“โห เสียใจว่ะ นี่พูดจากใจเลยนะ” ทันตแพทย์หนุ่มก้าวเข้าไปประจันหน้าประสานสายตาด้วย แล้วอมยิ้ม “น่ารักๆ ทรงนี้ดูแบ๊วไปเลยว่ะ”
ภูพิงค์คิ้วกระตุก ไอ้พี่วินแม่ง ท่าจะชอบแนวแบ๊วๆ จริงๆ ว่ะ ดูทำหน้าทำตาเข้าดิ กะลิ้มกะเหลี่ยโคตรๆ
“ชมไปเหอะ ผมไม่หลงคารมพี่หรอกเว้ย”
รวินท์หัวเราะชอบใจ “อ้อ... เมื่อเสาร์ที่แล้ว ติดสินบนพิธีกรให้มาถามสเป็กผมก็บอกมาตามตรงดิ โธ่เอ๊ย แล้วทำเป็นบอกไม่รู้เรื่อง”
“เฮ้ย ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ เว้ยพี่”
“ทีหลังถามตรงๆ ก็ได้นะเว้ย ไม่ต้องเขินกันหรอก น้องพิงค์นี่น่ารักจริงๆ เลยน้า~ ถ้าจะน่ารักขนาดนี้ ผมก็เต็มใจช่วยทุกงานแหละ”
“ไอ้พี่วินนี่...” ภูพิงค์ยกมือขึ้นหยิกแก้มของทันตแพทย์หนุ่มทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว แต่อีกฝ่ายก็ยังหัวเราะไม่หยุด “หยุดหัวเราะซะทีเว้ย เดี๋ยวผม...” เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ยื่นหน้าเข้ามาหาเสียจนชิด ปลายจมูกแทบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว
“ทำไม จะทำอะไรเหรอครับน้องพิงค์”
เจ้าของชื่อเรียกกลั้นหายใจทันที จะขยับก็ไม่กล้า
ไอ้พี่วินแม่งวอนจริงๆ!
ภูพิงค์ชักจะเหลืออดกับทันตแพทย์หนุ่ม เขาเลื่อนมือลงไปจับหัวไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับลดสายตาลงมองริมฝีปากที่อยู่ใกล้ๆ “ผมจะ...”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงปล่อยคนตรงหน้าไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ครับๆ จะพาพี่วินไปเดี๋ยวนี้ เออๆ ได้ครับ”
พอวางสายไป ภูพิงค์ก็หันกลับไปสบสายตากับทันตแพทย์หนุ่ม พลางถามตัวเองอย่างงงๆ ว่าเมื่อกี้เขาเกือบจะทำอะไรไปแล้ววะเนี่ย “เอ่อ...”
รวินท์ยังคงทำหน้ากรุ้มกริ่มเหมือนเดิม “ที่คณะโทรตามแล้วเหรอ”
“อือ ต้องไปลองชุดด้วยว่ะพี่”
“งั้นก็ไปกันเหอะ”
ภูพิงค์เดินกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ แต่พอทันตแพทย์หนุ่มขึ้นนั่งข้างหลังก็โอบกอดเขาไว้ทันที ทำให้เด็กหนุ่มรีบหันขวับไปมอง “ทำไรวะพี่”
“กอดไง น้องพิงค์น่ารัก สเป็กผม” รวินท์ยักคิ้วหลิ่วตาให้รัวๆ
“ไอ้พี่วิน!”
คนแก่กว่าหัวเราะร่วน แบบที่เด็กหนุ่มอยากจะเหวี่ยงให้ตกมอเตอร์ไซค์นัก หากก็คิดว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงเลย พอไม่มีผมรุงรังกับหนวดแล้วเขารู้สึกเลเวลตก เถียงไม่ค่อยออก
“ผิดผีกับผมแล้วต้องรับผิดชอบด้วยนะเว้ย
“ได้อยู่แล้ว น่ารักขนาดนี้”
โว้ย! ไอ้พี่วิน! ฝากไว้ก่อนเหอะ!
ภูพิงค์พาทันตแพทย์หนุ่มไปลองชุดกันที่ในห้องว่างในตึกคณะ พอเสร็จแล้วก็พาอีกฝ่ายไปที่เวที ซักซ้อมคิวกับรุ่นพี่ที่มาเป็นนักร้องกับนักดนตรีกันอยู่สักพักใหญ่ๆ จากนั้นจึงออกไปหามื้อเย็นกินกัน
ระหว่างทางที่เดินกลับไปยังมอเตอร์ไซค์ ทั้งสองเดินผ่านซุ้มที่จัดแต่งไว้สวยงามมากมาย พวกนักศึกษากำลังเร่งตรวจสอบความเรียบร้อยกันแล้ว
รวินท์หันมองไปรอบๆ อย่างสนใจ “ซุ้มเยอะมากเลยว่ะ”
“ขายบัตรไปสามพันกว่าใบ ซุ้มนี่ก็สปอนฯ ให้มาล้วนๆ ทางคณะขอรับเป็นของ เอามาขายต่ออีกทอด นักศึกษาจะได้มีส่วนร่วมน่ะพี่”
“เออ ดีๆ น่าจะได้เงินไปช่วยโรงเรียนน้องบนดอยเยอะอยู่”
“ก็อยู่ที่คนที่จะมางานพรุ่งนี้ล่ะครับ เพราะงั้นพี่ต้องเรียกแขกให้ได้เยอะๆ นา”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มมุมปาก “แหม น้องพิงค์น่ารักขนาดนี้ก็คงเรียกได้เยอะอะครับ นี่ถ้าให้วิ่งมาราธอนอีกรอบ แล้วมีน้องพิงค์มาวิ่งข้างๆ ผมก็คงมีแรงวิ่งได้ถึงเบตง ซิ่งใส่พี่ตูนให้ปลิวไปเลย”
“แหม จะให้ผมเป็นพี่ก้อยของพี่ใช่มั้ย”
“แน่นอนสิครับ”
“ขนลุกว่ะพี่”
“ใครเริ่มก่อนล่ะ”
สองหนุ่มย้ายออกมานั่งกินบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงกันไปที่ร้านข้างหลังมหาวิทยาลัย สั่งกันมาคนละสองชาม แล้วก็ก้มหน้าก้มตาโซ้ยด้วยความหิว
พออิ่มท้องทันตแพทย์หนุ่มถึงเริ่มรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เขากับเด็กหนุ่ม เขาหันมองไปรอบๆ ช้าๆ
สักพักก็มีเสียงใสแจ๋วซึ่งเป็นตัวแทนของสาวๆ หลายคนดังขึ้น “พี่วินนอกใจพี่พิงค์อะ”
“ฮะ!?”
วินาทีนั้น ภูพิงค์แทบจะพ่นบะหมี่ออกจากปาก แต่ด้วยความเสียดายจึงรีบเคี้ยวรีบกลืนลงท้องไปก่อน
“ทำไมพี่วินมากับคนอื่นล่ะคะ พี่พิงค์ไปไหนอ่า”
รวินท์กระตุกยิ้ม แหม้... เข้าทางเขาพอดี! “พิงค์ ดูดิ น้องๆ จำคุณไม่ได้แล้วอ่ะ”
กูว่าแล้วไอ้พี่วินต้องย้อนกลับมาเล่นกูแน่!
“ตอนแรกพี่ก็จำผมไม่ได้นี่” ภูพิงค์พยายามตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แหม ก็ตกใจอ่ะ ไม่นึกว่าพิงค์จะตัดผมโกนหนวดเอาใจผม” ทันตแพทย์หนุ่มหันไปถามสาวๆ โต๊ะข้างๆ ซึ่งส่องรังสีเหนือม่วงแผ่กระจายออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับชี้ไปทางคนที่นั่งตรงข้ามกัน “แบ๊วมั้ยๆ”
พวกเธอพยักหน้าหงึกหงักอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ดด้วยความฟิน
“น่ารักเนอะ พอเขารู้ว่าผมชอบแบ๊วๆ ก็ตัดผมโกนหนวดเลยอะ”
นั่น... ไอ้พี่วินได้ที ขยี้ใหญ่เลยเว้ย! เด็กหนุ่มส่งสายตาดุๆ ใส่ หากอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ ทันตแพทย์หนุ่มยังคงอ้อล้อกับสาวๆ โต๊ะข้างๆ ต่อ
“พรุ่งนี้อย่าลืมมางานนะครับ ซื้อบัตรกันยังเอ่ย”
“ซื้อแล้วค่า~ พี่วิน ขอถ่ายรูปพี่วินกับพี่พิงค์หน่อยน้า ขอรูปเดียวค่ะ นะๆ”
รวินท์หันไปหาเด็กหนุ่ม “ให้น้องถ่ายมั้ย พิงค์ยังเขินผมอยู่รึเปล่าอ่ะ”
ไอ้พี่วิน~ ภูพิงค์อยากจะยกโต๊ะทุ่ม ไม่ไหวแล้วเว้ย เขาจะทำตัวเป็นสาวน้อยขี้เขินให้ไอ้พี่วินเต๊าะต่อไปไม่ได้แล้ว! เมื่อคิดได้แล้วก็ขยับเก้าอี้เข้ามานั่งข้างทันตแพทย์หนุ่มทันควัน เขายกแขนขึ้นโอบไหล่แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาแนบแก้ม “เขินอะไรกันครับ เราคนกันเอง”
“พิงค์ หนวดคุณทิ่มผมว่ะ”
“เมื่อวานไม่ได้โกน เก็บไว้โกนพรุ่งนี้เช้าทีเดียว”
“น่ารักระยะสองเมตรสินะ จะน่ารักทั้งที น่ารักให้สุดหน่อยก็ไม่ได้”
“รอพรุ่งนี้นะครับพี่วิน ผมจะน่ารักให้พี่ละลายเลย”
สาวๆ ถ่ายรูปเสร็จไปนานแล้ว หากสองหนุ่มก็ยังคงหันหน้าเข้าหากัน ต่อปากต่อคำกันไปเรื่อยๆ จากที่จะขอถ่ายแค่รูปเดียว พวกเธอเลยกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ บ้าง
“อะไรจะอยากตรงสเป็กผมขนาดนั้น”
“ก็จะมัดใจพี่วินสุดหล่อนี่ครับ”
“แค่นี้ผมก็อ่อนไปทั้งใจแล้ว~”
“ปัญญาด้วยใช่มั้ยครับ” ภูพิงค์ยักคิ้วรัวๆ ใส่ เป็นผลให้ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะลั่น
“ไม่เถียงกับคุณแล้วเว้ย พอเหอะว่ะ กลับกันดีกว่า”
สองหนุ่มหันไปผงกศีรษะบอกลาสาวๆ โต๊ะข้างๆ ซึ่งพวกเธอฟินจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว ก่อนจะลุกเดินเคียงข้างกันออกจากร้านไป
รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์วิ่งไปบนถนนที่ยังคึกคักแม้ในเวลาค่ำคืน ไม่นานก็เข้าไปจอดเทียบที่ด้านหน้าคลินิก “พรุ่งนี้เจอกันพี่ เดี๋ยวผมมารับสี่โมงนะ”
ทันตแพทย์หนุ่มก้าวลงมาจากมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อกออกแล้วส่งคืนให้ “อือ” จากนั้นจึงยืนรอส่งอีกฝ่าย
ภูพิงค์รับหมวกกันน็อกมา จากนั้นจึงหลุบตาลงมองต่ำพลางถอนหายใจยาว “พี่วิน ผมขอโทษแทนทุกคนที่คณะด้วยนะ ที่รบกวนพี่แบบนี้ พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากอยู่ก็เท่านั้น และพี่ก็ช่วยได้มากเลยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ ไหนๆ ก็ได้ไปวิ่งขึ้นดอยกับพวกคุณมาแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ผมก็ยินดีนะ ยังไงก็ทำมาตั้งแต่สมัยอนู่มหาลัยแล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหรี่ตามอง “ใจจริงล่ะ”
รวินท์กระตุกยิ้มมุมปาก “ก็น้องพิงพ์น่ารักแบบนี้ ผมจะปฏิเสธอะไรน้องพิงค์ลงล่ะครับ”
“โว้ย ไอ้พี่วิน!” ภูพิงค์ส่ายหน้ารัว “แล้วนี่ไม่เข้าข้างในเหรอ”
“รอให้คุณไปก่อนไง”
“พี่นั่นแหละเข้าไปก่อน เข้าไปเร็วๆ”
“เออๆ ไม่ต้องไล่ ไปแล้วเว้ย พรุ่งนี้เจอกัน” รวินท์ยิ้มกว้าง เขาเดินไปไขกุญแจเปิดประตูคลินิกออก หันกลับมาโบกมือลาแล้วผลุบเข้าประตูไป
ฝ่ายเด็กหนุ่มพอได้เห็นรอยยิ้มน่ารักแบบนั้น เขาเองก็เผลอยิ้มตามไปด้วย ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปและคงรอยยิ้มนั้นไว้ตลอดทาง
*TBC*แหมมมมมม ช่วยกันแหมอิพี่น้องคู่นี้ไปให้ถึงอีกกาแล็กซี่เรยค่ะ
ถามว่าความจริงน้องพิงค์น่ารักและแบ๊วอย่างที่ไอ้พี่วินว่ามั้ย อันที่จริงก็ไม่ใช่ขนาดนั้นหรอกนะคะ แค่ต่างจากเดิมที่มีหนวดเคราเท่านั้นเอง แต่ไอ้พี่วินกวนตรีนน้องค่ะ
ตอนหน้าเป็นงานไนต์ ทุกคนซื้อตั๋วไว้รอดูสองหนุ่มรึยังค้าาาา อิอิ
ขอบคุณคนอ่านที่น่ารักทุกคนมากๆ ค่ะ
