Chapter 27 : น้ำพริกอ่องสื่อรักหลังจากไปกินมื้อกลางวันกันมา ทันตแพทย์หนุ่มทั้งสองคนก็มานั่งรอเวลาเริ่มงานช่วงบ่ายกันในห้องพักทันตแพทย์ของโรงพยาบาลลำพูนเช่นเคย
เตชิตชำเลืองมองเพื่อนรักเป็นระยะๆ แต่ในมือก็ถือหนังสือพิมพ์ไว้บังหน้าด้วย อีกฝ่ายกำลังมองเหม่อออกไปทางนอกหน้าต่าง หลังจากที่มีปัญหากันในวันงานขบวนกระทงใหญ่ พวกเขาก็ต่างก็เลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นอีก แล้วยังพยายามทำตัวตามปกติ ข้ามวันนั้นไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าความรู้สึกในใจเปลี่ยนไป พวกเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างสนิทใจอีก
ฝ่ายรวินท์นั้น เขายังคงพยายามนึกว่าพิธีกรผู้หญิงคนที่โผล่มาในงานลอยโคมยี่เป็งเป็นใครกันแน่ เพราะมั่นใจว่าเคยพบกันมาก่อน น่าจะเป็นเมื่อตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั่นล่ะ
เธอเคยมาสัมภาษณ์เขาด้วยอย่างนั้นหรือ? อาจจะใช่ แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่าง...
“ไอ้เต้”
“ไรวะ”
รวินท์ขมวดคิ้ว เขาตั้งท่าจะถามเตชิตถึงคืนนั้นอยู่หลายที เพราะคิดว่าเห็นอีกฝ่ายที่ในงานลอยโคม แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปสักที “....”
“อะไรของมึง”
“เปล่า จะบอกว่าร้านข้าวมันไก่ที่มาเปิดใหม่อร่อยดีว่ะ ไว้ไปแดกกันอีกเถอะ”
“เออ เห็นเขาว่าตอนเย็นบางวันมีข้าวมันไก่ทอดกับส้มตำด้วยนะเว้ย น่าลอง”
“เฮ้ย จริงเหรอวะ ดีๆ แต่ทำไมต้องบางวันตามใจฉันอีกแล้ววะ แล้วกูจะรู้ได้ไงว่าวันไหนขายไม่ขายอะไรบ้างเนี่ย”
“มึงน่าจะชินกับร้านอาหารแถวนี้ได้แล้ว” เตชิตหัวเราะ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ รวินท์หันมองเหม่อกลับไปทางบานหน้าต่างเช่นเดิม
คราวนี้จู่ๆ ทันตแพทย์หนุ่มก็นึกไปถึงฟันคุดของภูพิงค์ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปหาทันตแพทย์ที่คณะแล้วหรือยัง ไอ้เขาก็อยากจะผ่าให้หรอกนะ แต่ค่าใช้จ่ายที่คลินิกค่อนข้างสูง เด็กหนุ่มคงไม่ยอมให้เขาทำให้ฟรีๆ แน่ ยิ่งนึกก็ยิ่งเป็นกังวลแทนเสียอย่างนั้น
เมื่อวันอังคารที่ได้เจอกัน ภูพิงค์บอกว่าสอบไฟนอลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ถ้ายังไม่รีบไปจัดการกับฟันคุดจะมีปัญหารึเปล่าเนี่ย เขาชักจะเป็นห่วง
เป็นห่วงเหรอ? ก็ไม่แปลกนี่หว่า ในเมื่อเขาเป็นหมอฟัน เป็นห่วงฟันคนไข้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ระหว่างนั้นสิงหาก็เดินฉับๆ เข้ามาหารวินท์ที่โต๊ะ “วินๆ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ติดรถวินไปคลินิกด้วยนะ ขาไปขากลับเลย”
“.....”
“ไอ้วิน ได้ยินพี่เปล่าวะ”
เตชิตเลิกคิ้วขึ้น เขาม้วนหนังสือพิมพ์ในมือให้เป็นแท่งแล้วฟาดไปที่ไหล่เพื่อนรักเบาๆ หนึ่งที “ไอ้วิน! หลับกลางวันไปแล้วเรอะ!”
เจ้าของชื่อเรียกสะดุ้งโหยง “ฮะ! อะไร อ้าว พี่สิงหา มายืนทำไรตรงนี้วะ”
“อ้าว ไอ้เวร มัวแต่เหม่ออะไร พี่บอกว่าเย็นนี้จะขอติดรถไปคลินิกด้วย ขาไปขากลับเลย”
รวินท์พยักหน้าหงึกหงัก “ได้ครับ แล้วรถพี่ไปไหนอ่ะ”
“เสียไง เข้าอู่” สิงหาเบะปาก “เสาร์อาทิตย์นี้พี่ฝากชีวิตไว้กับวินด้วยละกัน”
“โอเคเลยพี่”
“งั้นมึงเอารถกูไปใช้ดีกว่า รถมึงแคบฉิบหาย กูขี้เกียจนั่งเก็บมือเก็บตีนอยู่ที่เบาะหลังมึง” เตชิตเสนอทันที ถึงจะขับไม่นานก็เถอะ ระยะทางแค่โรงพยาบาลลำพูนไปสนามบินเชียงใหม่ แต่รถไอ้วินน่ะ คนแขนขายาวอย่างเขานั่งเบาะหลังแค่สิบนาทีลงมาก็เป็นง่อยได้ ไม่รู้จะแคบไปไหน
“เอาไว้มีตังค์ก่อน จะซื้อใหม่ให้ใหญ่กว่ารถมึงสามเท่า”
“จะซื้อรถบรรทุกหรือรถทัวร์ล่ะครับไอ้คุณวิน” เตชิตประชด
สิงหาหันไปทางเตชิต “ว่าแต่พ่อกับน้องมึงเป็นไงบ้างวะ บินทุกอาทิตย์แบบนี้คงเหนื่อยแย่”
“ช่วงนี้ก็ทำกายภาพอะพี่ แต่ผมว่าอาการย่ำแย่กว่าตอนนอนเฉยๆ อีกครับ คนเคยเดินได้วิ่งได้ ตอนนี้แค่จะลุกยังลำบาก อาทิตย์ที่แล้วไอ้เตยมันนอนร้องไห้ มันกลัวจะเดินไม่ได้อีก ผมนี่ไม่รู้จะปลอบยังไงเลย”
รุ่นพี่ตบไหล่อีกฝ่ายหนักๆ “มึงต้องอดทนให้มากๆ นะ ช่วงนี้เขาต้องการกำลังใจเยอะ จนกว่าจะพอเดินได้บ้างนั่นล่ะ”
“ครับ ผมก็พยายามช่วยเต็มที่” เตชิตหัวเราะแห้งๆ “ดีหน่อยที่แม่ผมเป็นสปอนเซอร์ตั๋วเครื่องบินให้นะเนี่ย ถ้าต้องจ่ายเอง เงินเดือนคงหมดตั้งแต่ครึ่งเดือนแล้วแหงๆ เออ แล้ววันนี้เราไปกินอะไรกันดี”
“อืม... กินน้ำเงี้ยวกันป่ะ เดี๋ยวพี่พาไปร้านอร่อย ที่ร้านเขามีหมูสะเต๊ะ ไก่ย่าง หมูทอด ส้มตำ น้ำตกด้วย เผื่อใครกินน้ำเงี้ยวไม่ได้”
“น้ำเงี้ยวยังไม่เคยกิน แต่ชื่อน่าลอง เอาร้านนี้เลยพี่”
พอเห็นว่ารวินท์โอเค เตชิตก็พยักหน้าเออออไปด้วย “ถ้าหน้าอย่างไอ้วินกินได้ผมก็กินได้พี่”
“ทำไมต้องใช้หน้ากูเป็นบรรทัดฐานวะ”
“เอาน่ะ กูขี้เกียจคิด”
เมื่อตกลงกันเสร็จก็ได้เวลาเริ่มงานช่วงบ่ายพอดี พวกเขาจึงลุกไปใส่เสื้อกาวน์และเตรียมเข้าประจำที่กัน
หลังเลิกงาน รถฮอนด้า CR-V ก็เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลลำพูน มุ่งหน้าไปบนเส้นทางสู่สนามบินเชียงใหม่ เตชิตเป็นคนขับเอง รวินท์นั่งข้างๆ และพี่สิงหานั่งข้างหลัง
อากาศยามเย็นวันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีลมกระโชกแรงเป็นระยะๆ หากยังไม่มีฝนตกลงมา
“เครื่องบินมึงจะขึ้นไหวมั้ยเนี่ย” รวินท์พูดอย่างเป็นกังวล
“ถ้าขึ้นไม่ได้มึงมารับกูกลับด้วยนะ อย่าทิ้งให้กูนอนสนามบินนะเว้ย”
“เออน่า กูไม่ทิ้งมึงหรอก” รวินท์ตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก หากเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบสายตาด้วย เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตอนนี้ห่วงร้านน้ำเงี้ยวก่อนดีกว่าว่ะ จะปิดหนีฝนมั้ยเนี่ย”
“ร้านเขาไม่ได้เป็นเพิงกลางแจ้ง ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ” สิงหาตอบมาจากเบาะหลัง
เมื่อเข้าเขตเมืองเชียงใหม่ เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบางเบา หากไม่มีลมแรงเหมือนในคราวแรก ขับรถไปอีกไม่นานก็ถึงร้านอาหารที่สิงหาแนะนำ
สามหนุ่มพุ่งตรงเข้าร้านไปด้วยความหิวโหย สั่งอาหารกันมาจนเต็มโต๊ะ แล้วก้มหน้าก้มตากินกันราวกับอดอยากมาแสนนาน
ขณะที่กำลังจ้วงใส่ปากอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของรวินท์ก็ดังขึ้น เขาจึงหยิบขึ้นมาดู
“สาวๆ โทรหาอีกแล้วดิ” สิงหาแซว
รวินท์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะรีบกดรับสาย “ว่าไงน้อง~”
“คิดถึงครับพี่ย์~” คนที่ปลายสายลากเสียงยาวแบบกวนๆ “ถึงเชียงใหม่ยัง”
“ถึงแล้ว กินข้าวอยู่”
“อ่าว กินแล้วเหรอ”
“ทำไม จะชวนไปกินไหนเหรอ”
“กินที่บ้านนี่แหละ แม่ส่งน้ำพริกสำหรับทำน้ำพริกอ่องมาให้ พวกผมทำกินกันเยอะเลย เหลืออ่ะ พี่อยากกินมั้ย แวะเข้ามาช่วยกินหน่อย”
ทันตแพทย์หนุ่มอยากจะด่า “ถ้าไม่ใช่ของเหลือจะนึกถึงผมมั้ยวะเนี่ย!”
เด็กหนุ่มที่ปลายสายหัวเราะร่วน “จริงๆ ก็กะจะเอาไปให้ที่คลินิก แต่พวกผมติวหนังสือกันอยู่ พรุ่งนี้มีสอบย่อยตอนบ่าย”
“สอบวันเสาร์เนี่ยนะ”
“เออดิ เซ็งโคตร! สอบแบบมาราธอนด้วย ไม่เสร็จไม่ส่งไม่เลิกรา ถ้าผมตายห่าไปก่อนก็ทำบุญเป็นของกินมาให้เยอะๆ ด้วยนะ”
“ถ้าไม่ทำแล้วจะทำไมวะ”
“ผมจะไปเป็นผีเกาะหลังพี่แล้วหลอกหลอนพี่แม่งทั้งวันทั้งคืนเลย”
รวินท์หัวเราะบ้าง สีหน้าของเขาดูสดชื่นขึ้นเสียจนเตชิตกับสิงหาต้องขมวดคิ้ว “เออ เดี๋ยวไปส่งไอ้เต้แล้วจะแวะเข้าไปหา” จากนั้นก็กดวางสาย หากเมื่อหันกลับมาสบสายตากับเตชิตโดยบังเอิญ รอยยิ้มก็หายไปในทันที
เตชิตถามเสียงเรียบ “พิงค์โทรมาเหรอ คุยไรกันวะ หน้าบานฉิบหาย”
“เรื่องน้ำพริกอ่อง คืนนี้กูมีอะไรแดกแล้ว”
“นี่ยังจะแดกต่อได้อีกเหรอวะวิน” สิงหาทำหน้างง “กินแล้วเอาไปเก็บที่ไหนหมดวะ”
“ผมใช้แรงงานเยอะนะเว้ยพี่สิงหา”
“แต่ว่านะไอ้วิน กูว่ามึงเริ่มลงพุงแล้วว่ะ”
“เออน่ะ ตราบใดที่กูก้มหน้าแล้วยังเห็นจู๋กูอยู่ กูว่ามันก็ยังโอเค”
“สัส” เตชิตตบกบาลเพื่อนรักไปอีกทีด้วยความหมั่นไส้
รวินท์หันไปเรียกพนักงานในร้าน เขาสั่งอาหารอีกสองสามอย่างใส่ถุง
“นี่จะเอาไว้กินคืนนี้อีกเหรอ น้ำพริกอ่องไม่พอเรอะ” สิงหาชักจะกลัว ถ้าดึกๆ รุ่นน้องเขาหิวมากๆ แล้วไม่มีอะไรกิน มันจะมากินเขาแทนไหมวะ
“เปล่าพี่ นี่จะเอาไปฝากน้องมัน แลกกับน้ำพริกอ่อง”
“อ่อ แล้วพิงค์นี่... ใช่คนที่มัดหางม้า มีหนวดหน่อยๆ ที่เคยมาหาที่คลินิกมั้ย”
“ใช่ครับ นั่นแหละพิงค์ แต่ตอนนี้ตัดผมแล้วครับ หนวดก็ไม่มีแล้ว”
“ทำไมไปสนิทกันได้วะ” รุ่นพี่ถามอย่างงงๆ
“เรื่องมันยาวพี่ ช่างเหอะ กินกันต่อดีกว่า”
เตชิตชำเลืองมองเพื่อนรัก ทว่าอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจ ก้มหน้ากินอาหารในจานไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับภูพิงค์อีก
ฝ่ายภูพิงค์นั้น เมื่อวางหูไปแล้วเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพื่อนทั้งสี่ยืนเบะปากเรียงกันเป็นลูกคลื่น
“เป็นเหี้ยไรกันวะ”
ดิวกลอกตาไปมา “แหม ของเหลือว่ะ”
“ของเหลือเขาต้องตักแบ่งใส่ถุง ใส่จาน เอาฝาชีครอบไว้อย่างดีแล้วติดป้ายห้ามแดกเว้ย พวกมึงนิไม่รู้อะไร” ซันบรรยายต่อให้ ตามมาด้วยเสียงแหวๆ ของแซนดี้
“ว่าแต่พวกมึงได้แดกกันแล้วเหรอ ไอ้ของเหลือเนี้ยะ กูยังไม่ทันได้แตะเลย ทำไมมันกลายเป็นของเหลือไปแล้ววะ”
ขิงทำหน้าเบ้เหมือนกินของเผ็ดสมชื่อ “กูนี่เพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าแม่มันส่งน้ำพริกทำน้ำพริกอ่องมาให้”
“กูก็ว่าแล้วเชียว ทำไมวันนี้มึงตื่นไปตลาดแต่เช้า” แซนดี้บ่นต่อ
“ไอ้พวกสารพัดสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายนี่ แม่กูก็ส่งมาให้จริงๆ ป่ะวะ พวกมึงเสือกไม่สนใจเอง” ถึงเขาจะเป็นคนโทรศัพท์ไปบอกให้มารดาส่งมาให้ก็ตามที แต่อันนี้จ้างให้ก็ไม่บอกใครหรอก “เมื่อเช้ากูก็อุตส่าห์ซื้อโจ๊กมาให้แดกกันแล้วไง”
“แล้วพี่หมอเขาเป็นอะไร ทำไมมึงต้องเสือกกระแดะทำน้ำพริกอ่องให้เขาแดกด้วยวะ”
“พี่เขาอยากกิน” เด็กหนุ่มตอบเพื่อนๆ เสียงอ่อย
“ไอ้ห่า! ทีพวกกูอยากแดกสารพัดอย่าง ไม่เห็นมึงเคยใส่ใจ!”
“ปกติพวกมึงอยู่ที่นี่ก็มีของให้เลือกแดกเยอะอยู่แล้วป่ะวะ แต่พี่วินเขานานๆ จะได้กินสักที เดี๋ยวพี่เขามาพวกมึงก็ช่วยกูเล่นละครด้วย แล้วพรุ่งนี้กูจะทำให้พวกมึงแดก เข้าใจมะ กูไปอ่านหนังสือต่อล่ะ!” ภูพิงค์ตอบอย่างหงุดหงิด แล้วเดินหนีไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ปล่อยให้เพื่อนพ้องสรรเสริญกันต่อไป
เขาก็เบื่อตัวเองเหมือนกัน แม่งเป็นเหี้ยอะไรวะ ถึงต้องหงุดหงิด กระสับกระส่ายแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อวันอังคารนั่น เพียงเพราะท่าทางแปลกๆ ของพี่วินที่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรค้างคาอยู่ในใจ ถึงไอ้เรื่องนั้นจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่ไอ้เขาก็บ้าฉิบหาย เอาแต่เป็นห่วงแต่พี่วินอยู่ตลอดเวลา
ทั้งที่เขาก็พยายามบอกกับตัวเองรัวๆ ว่าต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ อย่าว่อกแว่กกับอะไรไม่เข้าเรื่อง
แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็หาเรื่องชวนพี่วินให้มาที่บ้านได้อยู่ดี
ภูพิงค์ยกมือขึ้นกุมขมับ เพราะเขาไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จึงคิดว่าถ้าหากได้เจอกัน ได้เห็นว่าพี่วินกลับเป็นปกติ เขาคงจะสงบขึ้น อ่านหนังสือสอบได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจู่ๆ จะโทรศัพท์ไปหาอีกฝ่ายดีไหม เขาจึงต้องเอาน้ำพริกอ่องมาอ้าง
ไอ้เหี้ยพิงค์เอ๊ย เป็นอะไรของมึงนักเนี่ย... เด็กหนุ่มต่อว่าตนเอง พลางส่ายหน้าช้าๆ อย่างอ่อนใจ
หลังจากทันตแพทย์ทั้งสามกินมื้อค่ำเสร็จ คราวนี้รวินท์เปลี่ยนมาเป็นคนขับบ้าง เขาขับไปส่งเจ้าของรถที่สนามบินแล้วรีบไปส่งพี่สิงหาที่คลินิก จากนั้นจึงไปที่บ้านเช่าของภูพิงค์ทันที
เมื่อเข้าใกล้บ้านเช่าของภูพิงค์กับเพื่อนๆ ทันตแพทย์หนุ่มก็ยิ้มหน้าบานอย่างอารมณ์ดี หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเสียอีก ไม่รู้จะตื่นเต้นดีใจทำไม พอหยุดรถที่หน้าบ้านแล้วก็นั่งสงบสติอารมณ์สักหน่อยก่อน จากนั้นจึงค่อยโทรศัพท์ไปเรียกอีกฝ่ายออกมา
ฝ่ายเด็กหนุ่มพอได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นก็เอื้อมมือไปตะปบแล้วลุกขึ้นพรวด หากถ้าจะรับโทรศัพท์พร้อมกับวิ่งพรวดพราดออกไปเลยก็ดูจะไม่มีมาดไปเสียหน่อย เขาจึงถือโทรศัพท์ยืนเก้ๆ กังๆ สักพัก ก่อนจะกดรับสาย
“มาถึงแล้วเหรอ เดี๋ยวผมเปิดประตูบ้านให้นะ” ภูพิงค์ทำเป็นลีลาเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็ถูกเพื่อนพ้องถีบออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูพลางหันกลับไปสั่ง “ทำตัวตามปกติด้วยโว้ย แล้วอย่าลืมเล่นตามน้ำกับกู ไม่งั้นพรุ่งนี้อดแดก”
หากพอเอาเข้าจริง ได้เห็นหน้ากันต่างคนก็ต่างยิ้มกว้าง หลุดเก๊กไปพร้อมๆ กันนั่นล่ะ
รวินท์เห็นสภาพของเด็กหนุ่มที่วิ่งออกมาแล้วก็หัวเราะ ท่าทางจะอ่านหนังสือสอบหนักจริง หัวกระเซิงเป็นรังนก มีไรหนวดบางๆ ใต้ตางี้คล้ำเป็นหมีแพนด้า ดูโทรมเหมือนเพิ่งกลับมาจากเก็บกับระเบิดแถวชายแดน
“นี่จะไปสอบหรือไปรบกับเกาหลีเหนือวะเนี่ย ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันเหมือนห่างกันไปสามปี”
ภูพิงค์เปิดประตูรั้วบ้านออก “แหม เจอกันก็ชมเลยว่ะพี่ เขินนะเนี่ย มาๆ เข้ามา”
บรรยากาศภายในบ้าน นอกเหนือจากแซนดี้แล้ว ทุกคนก็อยู่ในสภาพเหมือนรุมโทรมกันเองอย่างหนักจนหมดแรง แต่ละคนนอนตาเหลือกกลิ้งเกลือกบนพื้น มีกองหนังสือหนาเตอะวางทั้งบนโต๊ะและข้างตัว
“พี่หมอหวัดดีครับ” พวกเขายกมือไหว้
“หวัดดีครับ มารยาทดีจังเนอะ ไม่เหมือน...” ทันตแพทย์หนุ่มหันไปทางภูพิงค์
“ผมเนี่ยเดินไปเปิดประตูให้พี่นะ มารยาทดีสุดๆ ละ แล้วนั่น...หิ้วถุงอะไรมาด้วยอะ”
“ขนมจีนน้ำเงี้ยวกับข้าวเหนียวหมูทอด ของฝากจากร้านที่ไปกินมา เอามาเผื่อทุกคนด้วย ถ้าวันนี้กินจนจะล้นคอหอยแล้วก็เอาไว้กินพรุ่งนี้ละกัน”
เพื่อนๆ ของเด็กหนุ่มตาเป็นประกาย พวกเขาลุกขึ้นพรวด มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันควัน “โห! ไม่ล่ะครับพี่หมอ กินเดี๋ยวนี้แหละ” แต่เสียงกระแอมของภูพิงค์ทำให้พวกเขาต้องเก็บอาการสักหน่อย พอรับถุงมาแล้วก็ต้องค่อยๆ เดินไปหยิบจาน ทั้งที่ในใจอยากยัดเส้นขนมจีนเข้าปาก ต่อด้วยกัดก้นถุงน้ำเงี้ยวแล้วดูดเอา
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำพริกอ่องให้นะ ข้าวเหนียวอุ่นไว้ยังร้อนอยู่เลย”
“อือ”
พอภูพิงค์เดินออกไป แซนดี้ก็เดินสวนกลับเข้ามาเพื่อเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ “ดื่มน้ำก่อนค่าพี่หมอ”
“ขอบใจ” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มรับ เขาหยิบแก้วน้ำมายกขึ้นดื่ม ขณะที่อีกฝ่ายแสกนเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “มีอะไรเหรอ”
“ไม่ได้เห็นพี่หมอหลายวัน คิดถึงจังค่า”
“เราเพิ่งเจอกันไปเมื่อวันอังคารเองนะ”
“นั่นแหละ แค่นั้นก็คิดถึง”
“ผมก็คิดถึงแซนดี้นะ”
“แหม พี่หมอ ปากหวานอ่ะ!” ขณะเดียวกันภูพิงค์ก็เดินถือจานข้าวเหนียวกับชามใส่น้ำพริกอ่องมาพอดี แซนดี้จึงชี้ไปที่อีกฝ่าย “แล้วคิดถึงไอ้นี่มั้ย”
รวินท์ยิ้มพร้อมพยักหน้าไปด้วย “คิดถึงสิ พอมาถึงเชียงใหม่ก็รีบมาหาเลยนะเนี่ย”
“คิดถึงผมหรือคิดถึงน้ำพริกอ่องวะ” เด็กหนุ่มใช้ขาเขี่ยแซนดี้ให้ออกไปนั่งไกลๆ อีกฝ่ายจึงค้อนใส่วงใหญ่แล้วลุกเดินกลับเข้าไปในครัว จากนั้นเขาก็นั่งลงข้างทันตแพทย์หนุ่ม พร้อมกับวางจานชามลงตรงหน้า “กินได้เลยพี่”
“กินด้วยกันดิ กินคนเดียวเขินว่ะ”
“ไม่ต้องเขินหรอกพี่ พวกผมกินกันจนน้ำพริกอ่องมันขึ้นมาแทนที่สมองละ” ซันโผล่หน้ามาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้สักหน่อย จากนั้นก็ผลุบกลับเข้าไปสุมหัวกับคนอื่นๆ ในครัว
ภูพิงค์แอบส่งนิ้วกลางให้เป็นการขอบคุณ ก่อนจะหันกลับมาทางทันตแพทย์หนุ่มแล้วพูดเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน “แล้วตกลง... ที่พูดกับแซนดี้เมื่อกี้ หมายถึงผมหรือน้ำพริกอ่องอ่ะ”
“ดูไม่ออกรึไง”
“ดูออกจะถามมั้ยล่ะ”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้เว้ย” รวินท์อมยิ้ม พลางใช้ช้อนตักน้ำพริกอ่องใส่ปาก แล้วค่อยเอาส้อมจิ้มข้าวเหนียวใส่ปากตาม เขาเคี้ยวยังไม่ทันหมดปากดีก็เอ่ยชม “โห อร่อยจริงด้วย! ขนาดผมกินอิ่มมาแล้วนะเนี่ย”
“แม่ผมได้ยินคงยิ้มหน้าบาน”
“เหมือนลูกชายตอนนี้รึเปล่า”
“อือ”
“ดูคุณอารมณ์ดีจังนะ อ่านหนังสือไปได้เยอะแล้วอะดิ”
“เยอะกะผีน่ะสิ แต่เดี๋ยวคืนนี้ค่อยลุยอ่านต่อ นี่พวกผมกะว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้สอบเสร็จจะไปเมาหัวราน้ำแม่งสักสามวันสามคืน”
“นี่แค่สอบย่อยนิดเดียวถึงกับต้องเมาสามวันสามคืนเลยเหรอวะ ถ้าสอบไฟนอลไม่เมาไปอีกสามเดือนเลยเรอะ ระวังเหอะ ตื่นมาจะได้เมียไม่รู้ตัว” ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะ
ภูพิงค์ย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “พี่ก็เคยเมาหลับนี่นะ ตื่นมาก็เจอผมไง”
“ดีนะที่ตอนนั้นผมชิงหลับไปก่อน เกือบได้เมียหนวดเฟิ้มแล้วมั้ยล่ะ”
“ระดับผมเนี่ย ได้ลองสักทีจะติดใจ” เด็กหนุ่มยักคิ้วใส่อย่างสุดจะกวน ขณะที่อีกฝ่ายทำเมินแล้วหันไปสนใจกับน้ำพริกอ่องต่อ เขาจ้องมองทันตแพทย์หนุ่มเขม็งอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้น “ผมสอนวิธีกินแบบคนเหนือให้เอาป่ะ”
“มีแยกประเภทคนกินด้วยเหรอ เอาดิ กินไงอะ”
ภูพิงค์จกข้าวเหนียวมาปั้น จุ่มลงในชามน้ำพริกอ่องแล้วยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากอีกฝ่าย “เอ้า อ้า...”
ทันตแพทย์หนุ่มอ้าปากรับ ปลายนิ้วที่สัมผัสถูกริมฝีปากของเขาเย็นเฉียบ แม้หน้าตาคนป้อนจะนิ่งเฉยก็ตามที ชายหนุ่มอมยิ้มไปเคี้ยวไป จนอีกฝ่ายถามขึ้น
“ยิ้มอะไรนักวะพี่”
“ก็อร่อยเลยยิ้มไง” รวินท์หยิบข้าวเหนียวมาปั้นบ้าง พอจุ่มลงในชามน้ำพริกแล้วก็เอาไปจ่อเรียวปากของเด็กหนุ่ม “แบบนี้ใช่เปล่า”
คนอ่อนวัยกว่าชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงอ้าปาก นัยน์ตาจับจ้องไปที่รอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากทันตแพทย์หนุ่ม อีกฝ่ายจงใจสอดนิ้วเข้ามาในปากเขา แตะปลายลิ้นและริมฝีปากเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ดึงออก
“นึกถึงตอนนั้นเลย ปากนุ้มนุ่ม”
พี่วินแม่ง... เก่งฉิบหายเรื่องแบบนี้ ตัวเขาหรือ รวบรวมความกล้าแทบตาย แล้วดูพี่แม่งทำ... เขาแพ้รูด!
เมื่อเห็นใบหน้าของภูพิงค์เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย รวินท์ก็หัวเราะชอบใจ “หน้าแดงเหมือนน้ำพริกอ่องเลยว่ะ”
ภูพิงค์ส่งสายตาดุๆ ใส่ “พี่วินดูจะถนัดปั่นหัวคนเนอะ”
“หือ ผมไม่ใช่เพชรฆาตมะ”
“นั่นมันบั่นหัวเว้ย” คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้ารัว “แต่ได้เห็นพี่กลับมากวนประสาทผมได้แบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว”
รวินท์ประสานสายตากับคนอ่อนวัยกว่านิ่งอยู่สักพัก ก่อนเขาจะหลุบตาลงต่ำ “เมื่อวันก่อนโทษที”
“เมนส์มาใช่มะ”
“ไม่ใช่โว้ย!”
แซนดี้กับพรรคพวกของเด็กหนุ่มตัดสินใจยกจานใส่ขนมจีนน้ำเงี้ยวเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเขาเอาส่วนของภูพิงค์ใส่จานและอุ่นมาให้ด้วยเสร็จสรรพ
ขิงนั่งลงอีกข้างของทันตแพทย์หนุ่มอย่างเกร็งๆ ไอ้จะเว้นที่ไว้ก็คงดูไม่ดีนัก พอชายหนุ่มหันมา เขาก็ยิ้มแหยๆ ให้
“กินน้ำพริกอ่องมั้ย” รวินท์แจกยิ้มเพื่อการค้า เขาปั้นข้าวเหนียวตามที่ภูพิงค์สอน แต่จุ่มน้ำพริกเสร็จก็จะแกล้งป้อนให้ขิงแทน เขาอยากจะเห็นสีหน้าของภูพิงค์ว่าจะเป็นอย่างไร
ทว่าขิงชิงปฏิเสธ เพราะเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่ ไอ้พิงค์มันส่งสายตาดุๆ มาทางเขาแล้วด้วย “พี่หมอกินเหอะ ผมกินมาเยอะแล้วเนี่ย ตั้งแต่เช้ายันเย็น เอียนโคตรๆ”
“งั้นเหรอ” ทันตแพทย์หนุ่มจึงเอาใส่ปากตัวเองแทน
ส่วนภูพิงค์น่ะหรือ เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ พลางถอนหายใจ มาถึงตอนนี้เขาก็ยังยืนยันคำเดิม... ไอ้พี่วินก็คือไอ้พี่วิน จะสลดได้สักเท่าไหร่กันเชียว แต่ไอ้เรื่องปั่นหัวชาวบ้านเนี่ยงานถนัดจริงๆ
*TBC*น่ารักเนอะะะ พี่กับน้องงงง น้ำพริกอ่องคงหวานเหมือนใส่น้ำตาลไปเป็นกิโล 5555
ครั้งนี้ฮัสกี้แวบเอามาลงเร็วเพราะจะหนีเที่ยวนะค้า อาทิตย์หน้าอาจจะเอามาลงช้านิดนุง
แต่บอกไว้ก่อนเลย เกียมเสียงไว้กรีดร้องเยอะๆ ลับเล็บไว้ล่วยค่ะ 5555555
ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่ะ พี่กับน้องใกล้ถึงจุดเปลี่ยนแล้วล่ะ /สปอยล์ทิ้งท้ายแล้วชิ่ง 