และแล้ว รถ BMW ก็เคลื่อนออกจากบ้านไป แซนดี้ออกไปกับซัน ให้อีกสองคนที่เหลือรออยู่ที่บ้าน ใช้เวลาไม่นานก็ถึงคลินิกที่หมาย พวกเขาบุกกันเข้าไปที่ประตูทางเข้าด้านหน้า พุ่งหลาวเข้าไปด้วยสีหน้าขมึงทึงราวกับจะปล้นร้าน จนคนไข้ที่นั่งรออยู่สองคนลุกจากที่นั่งพรวดพร้อมทั้งชูมือขึ้น
“ว้าย จะเอาอะไรก็เอาไปเลยค่า ไว้ชีวิตป้าด้วย!”
แซนดี้และซันรีบหันไปยกมือไหว้ “ขอโทษครับป้า พวกผมแค่มีเรื่องด่วน ไม่ได้จะมาปล้น!” จากนั้นก็หันไปตะปบเคาทน์เตอร์ “พี่ครับ หมอวินอยู่มั้ย พวกผมขอพบพี่หมอหน่อย”
หญิงสาวหันซ้ายขวาเลิกลั่ก “ใจเย็นๆ นะคะ หมอวินมีคนไข้อยู่ รอสักครู่”
พอรวินท์ได้ยินเสียงเข้า เขาพูดคุยกับคนไข้อีกเล็กน้อย แล้วจึงโผล่หน้าผ่านประตูด้านหลังเคาทน์เตอร์ออกมาดู “เสร็จแล้วล่ะครับ มีอะไรรึเปล่า อ้าว แซนดี้ ซัน...”
“พี่หมอ ไอ้พิงค์แย่แล้ว! มันตกเลือด!”
“ฮะ!” ทุกคนในร้านอุทานพร้อมกัน
รวินท์ขมวดคิ้ว “ตกได้ยังไง เขาเป็นผู้ชาย!”
“มันไปผ่าฟันคุดมาเมื่อเช้าน่ะพี่หมอ! ช่วยด้วยเถอะค่ะ มันเป็นไข้สูงมาก เลือดออกนองเต็มไปหมด จะตายแน่แล้ว!” แซนดี้พูดไปบีบน้ำตาไป ห่วงเพื่อนก็ห่วงนะ แต่ความตอแหลมีมากกว่า
ทันตแพทย์หนุ่มหน้าเสียจนเห็นได้ชัด หากก็ยังพยายามเก็บอาการไว้ “เลือดนองเลยเหรอ ไหนเล่าอาการมาอีกซิ แล้วทำไมไม่พาเขามาด้วยล่ะ”
“มันอ่อนแอ สิ้นหวัง ระทดระทวย หมดแรง ตอนนี้หลับอยู่ครับ” ซันใส่ต่อเป็นชุด แล้วเล่าถึงอาการของเพื่อนแบบโอเวอร์ขึ้นไปอีกสิบเท่า “มันมีเลือดไหลจากปากจากจมูกพี่ ไหลเป็นท่อแตก ออกเยอะมากจนนองไปหมด เสื้อมันงี้ชุ่มเลือดเลย อย่างกับในฉากฆาตกรรม มันยืนเองยังไม่ไหวเลย ผมต้องแบกมันอ่ะพี่ ตัวมันร้อนเหมือนโดนย่าง หน้างี้แดงแป๊ด!”
“นี่ไปผ่าฟันมาหรือไปคลอดลูกมากันแน่เนี่ย” สิงหาโผล่หน้าตามออกมาอีกคน “แต่ว่าวินไปดูน้องเขาหน่อยเถอะ ดูท่าอาจจะฉุกเฉินนะ เดี๋ยวพี่ดูคนไข้วินให้เอง มีอีกคนเดียวใช่มั้ย”
“ใช่ครับ ผมฝากหน่อยนะครับ” รวินท์ยกมือไหว้ เขารีบรุดไปขอโทษคนไข้ที่ทำให้ต้องรอนานขึ้น แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแซนดี้และซันออกจากคลินิกไป
เมื่อไปถึงบ้านเช่า สองหนุ่มที่ยืนรออยู่ก็ถลาออกมาฟูมฟาย พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้ทันตแพทย์หนุ่มกังวลหนักขึ้นไปอีก ใจเขาอยากเรียกรถพยาบาลแล้วตอนนี้ “พิงค์อยู่ไหน”
“ห้องข้างบนครับ” แล้วพวกเขาก็วิ่งนำทีมขึ้นไปออกันอยู่ที่ในห้องของภูพิงค์ ซึ่งเจ้าตัวหลับปุ๋ยไปแล้ว
สี่หนุ่มยืนเรียงกันเป็นแผงอยู่ที่ข้างที่นอนที่ปูอยู่บนพื้น
“ไอ้เหี้ย นอนนิ่งสัส มันตายห่าแล้วรึยัง!”
“จองวัดเลยมั้ยวะ”
“เฮ้ย พวกมึงนี่!” แซนดี้หันไปดุ ก่อนทุกคนจะเหล่ไปทางรวินท์กันอย่างพร้อมเพรียง “เอ่อ คนเยอะเดี๋ยวพี่หมอจะทำอะไรไม่สะดวก พวกผมลงไปรอข้างล่างนะ”
เมื่อบานประตูปิดลง รวินท์จึงนั่งลงบนพื้นข้างๆ เด็กหนุ่มซึ่งที่ตรงข้างหมอนหนุนมีผ้าก็อซและกระดาษทิชชูเปื้อนสีเลือดวางกองๆ กันอยู่ เขาก้มลงตรวจดูคนไข้ตรงหน้าอย่างเบามือที่สุด หากก็ไม่ได้เห็นมีเลือดออกจากปากหรือจมูกอย่างที่เพื่อนๆ ของเด็กหนุ่มโวยวาย ทันตแพทย์หนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางวางมือแตะหน้าผากของคนที่นอนอยู่อย่างแผ่วเบา
“ตัวร้อนแฮะ ได้กินยาอะไรรึเปล่าเนี่ย” รวินท์หันมองไปรอบๆ เห็นถุงที่มีชื่อของโรงพยาบาลวางอยู่ใกล้ๆ กระเป๋าเป้ของเด็กหนุ่มจึงหยิบมาดู ซองยาข้างในยังไม่มีรอยแกะเลยแม้แต่น้อย เขาพอจะเดาได้เลย อีกฝ่ายคงเห็นว่าตอนผ่าเสร็จใหม่ๆ ไม่มีอาการอะไรก็เลยไม่ได้สนใจจะกินยา เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าไปมา จากนั้นจึงหยิบผ้าที่อยู่ในกะละมังข้างที่นอนไปชุบน้ำมาใหม่ เขาช่วยเช็ดใบหน้า ซอกคอและแขนให้อย่างใจเย็น เช็ดไปเรื่อยๆ จนอุณหภูมิร่างกายลดลงบ้าง
“พี่วิน”
ทันตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้น อีกฝ่ายเรียกเขา แต่ดวงตาปิดสนิท ละเมองั้นหรือ?
“ว่าไง”
“พี่นี่มันแย่ชะมัด ใจง่ายฉิบหาย นอนกับใครก็ได้รึไงวะ”
รวินท์ยิ้มบาง ขนาดป่วยยังอุตส่าห์ละเมอด่าเขาได้ คงจะโกรธและผิดหวังในตัวเขามากจริงๆ สินะ “ผมไม่ได้ใจง่ายนะเว้ย บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้ทำอะไร”
ภูพิงค์ส่ายหน้าไปมา “คำพูดของพี่มันเชื่อไม่ได้...”
“ผมขอโทษ”
หลังจากได้ละเมอด่าไป เด็กหนุ่มก็เงียบไปอีกสักพักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น “ซัน หิวน้ำว่ะ”
“คุณควรจะกินยาด้วย ผมจะป้อนให้นะ โอเคมั้ย”
“อือ”
ทันตแพทย์หนุ่มเอื้อมไปหยิบยา เขาประคองศีรษะของภูพิงค์ขึ้นเพื่อป้อนยาและน้ำให้ “ค่อยๆ ดื่มนะ” ก่อนจะวางศีรษะอีกฝ่ายลงบนเตียงอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
ภูพิงค์พึมพำเสียงเบา “ทำไมมึงหน้าเหมือนพี่วินจังวะ” คนอ่อนวัยกว่ากะพริบตาปริบๆ เบลอหนักจนแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน “หึ ไม่อยากมองหน้าแม่ง”
หัวใจของทันตแพทย์หนุ่มกระตุกวูบ “โกรธผมมากเลยเหรอ”
“เออ” คนพูดเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
รวินท์นั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อจะตรวจดูว่าตัวยังร้อนอยู่หรือไม่ ทว่าอีกฝ่ายปัดมือเขาออก
“อย่ามายุ่งกับผม”
ทันตแพทย์หนุ่มถอนหายใจ “กินยาไปแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้น ถ้างั้นผมกลับก่อนดีกว่า” หากพอเขาทำท่าจะลุกขึ้น ภูพิงค์กลับเอื้อมมือมารั้งแขนเขาไว้
“เดี๋ยวสิ อยู่กับผมก่อนนะ”
“อยากให้อยู่หรือไปกันแน่”
“อยากให้อยู่” เด็กหนุ่มตอบเสียงแผ่ว
“ไหนว่าไม่อยากมองหน้าไง”
คนอ่อนวัยกว่าค่อยๆ หรี่ตาลง “โกหกน่ะสิ ที่จริง... ผมคิดถึงพี่ อยากเจอพี่...จะตายไป” แล้วก็หลับสนิทไปอีกครั้ง
รวินท์ดึงมือออกช้าๆ แล้วเอื้อมมือข้างเดียวกันนั้นไปลูบศีรษะเด็กหนุ่ม เขาถอนหายใจหนักๆ นั่งอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกเดินออกจากห้องไป
พอเดินลงไปถึงชั้นล่างก็เห็นว่าสี่หนุ่มนั่งเรียงกันหน้าขรึม เขาจึงเดินเข้าไปหา “ผมยังไม่ได้ตรวจในปากละเอียด เลือดหยุดไหลไปแล้ว แต่เท่าที่ดูเขามีไข้น่ะนะ ผมให้กินยาไปเมื่อกี้”
“มันจะรอดใช่มั้ยพี่หมอ”
“รอดสิ แค่ผ่าฟันคุดเท่านั้นเอง”
“แต่มันมีเลือดไหลจริงๆ นะพี่หมอ แล้วพอมันบ้วนน้ำก็มีน้ำไหลออกมาจากจมูก มันว่าแสบๆ ด้วย”
“อืม ที่จริงหลังผ่าฟันใหม่ๆ ยังไม่ควรบ้วนน้ำลายหรือบ้วนน้ำนะ รอสักสิบสองชั่วโมงก่อนค่อยบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงเดี๋ยวเย็นนี้ ผมจะมารับเขาไปตรวจเอง ตอนนี้ให้เขาพักผ่อนไปก่อน ผมจะกลับไปทำงานล่ะ”
“ขอบคุณครับ แต่พี่หมอยังไม่ได้กินอะไรเลย มากินอะไรสักนิดสิพี่ กินเร็วๆ ไม่เสียเวลามากหรอก”
สี่หนุ่มล้อมหน้าล้อมหลัง พาทันตแพทย์หนุ่มเข้าไปในครัว ตักข้าวราดแกงที่ทำไว้ไปอุ่นในไมโครเวฟ แล้วนำมาส่งให้
“ขอบใจ” รวินท์ยิ้มบาง ยังดีนะที่เพื่อนของพิงค์ยังดีกับเขาอยู่ เขาตักข้าวในจานใส่ปาก รีบเคี้ยวรีบกลืน หมดไปได้ครึ่งจานก็รีบกลับไปยังคลินิก
*TBC*โอ๋น้องพิงค์กันค่ะ โถ ลู้กกกกก เป็นมาโซคิสต์ก็ไม่บอก 5555555
น้องเจ็บปากเจ็บใจขนาดนี้ พี่วินดูแลน้องดีๆ ล่ะ เดี๋ยวตอนหน้าฮัสกี้จะพาพี่วินมาง้อน้องหนักๆ เลยนะคะ อิอิ
ตอนนี้ต้องขอขอบคุณพี่สาวหมอฟันที่ฮัสกี้ไปหลอกถามข้อมูลมาเล็กน้อย 555555 และขอบคุณคุณหมอมิ้นต์มากๆ ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับฮัสกี้นะคะ พอเอามาแต่งเพิ่มก็อาจจะมีมั่วบ้างอะไรบ้าง กราบขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนเลย 55555555
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ เอาใจช่วยพี่วินกันน้าาาา 