ตอนที่ 13
ล้มกระดาน
ย้อนเวลากันชั่วครู่ เพราะระหว่างที่เร่งถ่ายตอนสิบหกอยู่นั้น โฆษณาโทรศัพท์ของผมกับพายก็ออกฉาย พร้อมทางเพจที่ปักมุกไลฟ์ยอดขายแบบอัพเดตตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง!
การตลาดแบบใหม่ดังเปรี้ยงเกินคาด เพราะมีการต่อแถวรอซื้อในวันแรกจนกลายเป็นที่พูดถึงในโซเชียล แถมยอดขายในไลฟ์ยังสูสี แม้ไม่ได้เป็นลูกค้าก็มีส่วนร่วมรับได้ เพราะทุกๆ เที่ยงคืน ทางเพจจะประกาศยอดขายที่แซงในวันนั้นแล้วสุ่มผู้โชคดีที่ทายถูกมารับรางวัลที่ระลึก
‘เลือกฉันสิ’
หลังโฆษณาออกฉายครบสามวัน ผมก็ปล่อยคลิปที่ถ่ายตั้งแต่วันถ่ายทำลงหน้าเฟซ เป็นสคริปท์ของทางทีมงานที่ต้องการให้ผมและพายบลัฟกันเองในโซเชียล ผมซึ่งแต่งตัวจัดเต็ม เขียนหางตาย้อมผมดำเหยียดยิ้มให้กล้อง กรีดนิ้วเชิญชวนให้ลุ่มหลงมัวเมา
‘เลือกฉัน แล้วจะไม่มีใครทำร้ายเธอได้ เพราะฉันจะปกป้องเธอเอง’
สามวันจากนั้นก็ถึงตาของพาย
‘ผมไม่ขอให้คุณเลือกผมหรอกครับ’ คลิปของพายเผยรอยยิ้มฝืนเชิญชวนให้อยากสนับสนุนค้ำชู ราวเทวดาที่ไม่ต้องการเห็นการแย่งชิง ‘เพราะต่อให้ไม่เลือกผม ผมก็จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป’
ทั้งสองคลิปถูกแชร์และวิจารณ์อย่างสนุกปาก สร้างกระแสจนเกิดเป็นแฮชแทค #เทวดา และ #ซาตาน ผลคือยอดขายพุ่งกระฉูดทันที่เปิดตัวในอาทิตย์แรกอย่างน่าตะลึง และคาดว่าจะหมดสตอกก่อนครบกำหนดหนึ่งเดือน
เมื่อปล่อยข่าวเรื่องของที่กำลังหมดลง จึงยิ่งเกิดเป็นอุปาทานหมู่ คนที่ซื้อไปขายต่อกะโก่งราคาก็มี คนที่หาซื้อเพราะเป็นทาสการตลาดก็ใช่ เพราะคนส่วนใหญ่พอได้ยินว่าของมีจำกัด และไม่ผลิตเพิ่ม ก็มักรู้สึกว่าหากได้ครอบครองไว้ยังไงก็ไม่เสียหลาย
หลังโฆษณาออกฉายแค่สองสัปดาห์พร้อมสื่อที่ประโคมข่าวทั้งบนหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์ถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้...ผมก็ได้รับการติดต่อว่าให้เตรียมตัวไปมีตติ้งขอบคุณกับผู้โชคดีจำนวนห้าสิบคนในอีกห้าวันข้างหน้า!!
“สุดยอด” ผมอึ้ง มองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสาย ก่อนจะมองหน้าเตโชที่นั่งเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย พร้อมเอ่ยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ว่า...
“หมูทอด”
“ยังไม่อิ่มอีกเรอะ!” ผมโวยวายเพราะเห็นว่าเขากินกับหมดแล้วแต่ยังเหลือข้าวเกือบครึ่งจาน นับวันหมอนี่ชักจะกินจุขึ้นทุกที แก้มเริ่มจะบวมหน่อยๆ เวลาหยิกทียืดเต็มไม้เต็มมือสุดๆ ขืนกินดีอยู่ดีอย่างนี้ ผมว่าอีกไม่กี่ปีเขาต้องกลายเป็นหมูแน่ๆ “ฉันทำผัดผักรวมแทนแล้วกัน”
เตโชไม่ปฏิเสธ
ผมเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นเอาผักมาล้างพร้อมคิดว่าควรจะให้เขาทำความสะอาดห้องให้บ่อยขึ้น จะได้ถือเป็นการออกกำลังกาย ไม่ใช่ว่าเป็นห่วง แต่ผมไม่อยากเห็นหมูร้องเพลงอกหัก...มันไม่น่าดูหรอกเชื่อสิ
หั่นผักไปผมก็ทวนตารางงานตัวเองไป...เพราะตอนนี้ซีรีส์เช็กเมทใกล้ถึงตอนจบแล้ว การถ่ายทำตอนที่ยี่สิบนั้นห่างจากมีตติ้งเพียงสองวัน เท่ากับว่าผมมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงอาทิตย์!
บทตอนจบเพิ่งได้รับมาสดๆ ร้อนๆ หลังเลิกกองในวันนี้ ผมตื่นเต้นสุดขีด ได้แต่ระงับความอยากรู้อยากเห็นเพราะไม่สามารถเปิดอ่านในที่สาธารณะได้ ตอนแรกตั้งใจจะอ่านพร้อมเตโช ยังไงซะคนหน้ามึนก็พอรู้พลอตคร่าวๆ เลยกะเสริมสร้างกำลังใจทั้งตัวผมและเขาเพื่อจะได้เข็นงานเพลงออกมาไวๆ แต่ดันมีสายเข้าจากตัวแทนบริษัทโทรศัพท์ที่ขอแทรกคิวกะทันหัน แถมคนหน้ามึนก็ดันไม่อิ่มสักที!
ยังดีที่หลังถ่ายตอนสิบหก บทบาทของมิสเตอร์เอสในเนื้อเรื่องหลักก็ออกแนวผลุบโผล่เหมือนวิญญาณหลอน สร้างความน่าสงสัยชวนสับสนให้พวกพระเอกและองค์กรจับจุดไม่ได้ว่าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ คมสันจึงอนุมัติ วาดหวังว่าการมีตติ้งครั้งนี้จะทำให้การเปิดกองในตอนจบได้รับการสนับสนุนแบบถล่มทลายเหมือนยอดขายโทรศัพท์
เอาจริงๆ แล้วซีรีส์เช็กเมทแทบไม่มีการเดินสายโปรโมทเลย เพราะแค่ขอคิวถ่ายทำแทบทุกวันก็ยากอยู่แล้ว ในเมื่อนักแสดงแต่ละคนก็ไม่ได้รับงานแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว อย่างอัครเดชมีละครอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนธนัทก็เป็นพิธีกรในรายการวาไรตี้ชื่อดังของทางช่อง
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีอีเวนต์โชว์ตัวประปราย เดินแบบบ้าง ออกงานคู่กับเตโชบ้างช่วงมิวสิกวีดีโอถูกปล่อยใหม่ๆ นับนิ้วกันจริงๆ แล้วผมได้งานนอกจากคนหน้ามึนเยอะกว่าจากซีรีส์ซะอีก อาจเพราะพอพูดถึงมิสเตอร์เอสในเช็กเมทแล้ว คนยังติดภาพของนักแสดงติดยาจนกลายเป็นข่าวฉาวกลางกอง จึงเลือกสนับสนุนละครมากกว่าตัวบุคคล นับว่าผมคิดถูกแล้วที่เลือกเกาะเขา
นึกแล้วก็ใส่หมูลงไปในผักผัดสักหน่อย จะได้ไม่หาว่าจิระขี้เหนียว
กินเสร็จ เตโชเก็บกวาดเตรียมทำความสะอาดเช่นเดิม เป็นโอกาสให้ผมเปิดบทดูคร่าวๆ แบบหลับตาข้างหนึ่งเพราะยังไม่อยากโดนสปอย จนกระทั่งคนหน้ามึนล้างจานเสร็จ ก็ยกขาขึ้นชันเข่าบนโซฟา เว้นที่เล็กน้อยรอเขามานั่งข้างๆ
“จะเริ่มอ่านล่ะนะ!” ผมว่าอย่างฮึกเหิม เริ่มเปิดหน้าแรกด้วยความลุ้นระทึก เตโชพยักหน้าหงึกๆ พลางโน้มตัวมาเล็กน้อยจนเกือบเอาคางมาวางบนศีรษะของผม ความสูงที่ห่างกันนี่มัน...ชิชะ ไอ้เสาไฟฟ้านี่!
แอบบ่นพึมพำในใจก่อนจะจดจ่อกับการอ่านประหนึ่งเป็นแฟนคลับเช็กเมทมากกว่านักแสดง พวกเราต่างนิ่งงันเพราะจมกับเนื้อเรื่องสุดเข้มข้น
ก่อนที่ผมจะอ้าปากค้าง...และอ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มัน...”
ผมมองเตโช กะพริบตาปริบๆ อ้าปากพะงาบๆ แต่หาคำพูดตรงใจไม่ได้เลย
“ที่นายแต่งเพลงไม่จบสักทีเพราะเรื่องนี้รึเปล่า”
เตโชพยักหน้ารับ
“เชี่ยแล้วไง”ผมสบถพลางยกบทขึ้นมาจ่อตา ก่อนจะพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ ฉัน...”
ผมวางบท ลุกขึ้นยืน เงยหน้าขึ้น ก่อนจะตะโกนลั่น
“ฉันไม่เชื่อ!!!”
ไม่เชื่อแล้วไง ต่อให้ไม่เชื่อ ผมก็ต้องเข้ากองถ่ายอยู่ดี
“จิระ...จิระ!”
“ครับ!!” ผมสะดุ้งเฮือก เพราะมัวแต่มองเหม่อทำอะไรไม่ถูกนับตั้งแต่แต่งตัวเป็นซีเคร็ท ก็มันยังทำใจไม่ได้ ไอ้เราพยายามมองหาคนเขียนบทแต่เช้า ดันไม่เห็นแม้แต่เงาเหมือนจงใจหลบหน้า ผมเลยเดินไปหาผู้กำกับพร้อมส่งสายตาตัดพ้อ
“อะไรจิระ เราไม่มีเวลาแล้วนะ”
ไม่ได้รับการปลอบโยนใดๆ...ใช่สิ อีกไม่กี่วันต้องเปิดกองให้สื่อมวลชนเข้ามาเก็บภาพแล้ว ขืนยังชักช้าถ่วงเวลาคงเสร็จไม่ทันตามกำหนด ผมปาดน้ำตา นึกรันทดอยู่ในใจ
“ถ้าเกิด...วันนั้นผมเล่นไม่ได้ขึ้นมา...”
“ไม่ได้ก็ต้องได้!” ผู้กำกับหันขวับ บีบไหล่ผมแน่น “จิระ นายคือความหวังของเรา วันนั้นจะรุ่งจะร่วงก็อยู่ที่นายจะแบกบทไหวมั้ย ฉะนั้นต้องทำให้ได้ คนเขียนบทคาดหวังกับนายมาก ฉันเองก็ด้วย คุณคมสัน รวมทั้งทุกคนในกองก็ด้วย”
ผมกลืนน้ำลาย ความกดดันที่โหมใส่กะทันหันเล่นเอาอยากวิ่งหนีกลับบ้าน
“แต่วันนั้นเป็นการถ่ายทำท่ามกลางสื่อมวลชน แล้วยังเป็นมุมมองของมิสเตอร์เอส...”
ใช่แล้วครับ ตอนที่ยี่สิบซึ่งเป็นตอนจบของเรื่อง มุมมองกลับมาเป็นของมิสเตอร์เอสอีกครั้ง! ไม่สิ ให้ถูกคือ เป็นมุมมองของตัวพระเอกและมิสเตอร์เอสสลับกัน!
ลองนึกถึงภาพความอนาถของผมในตอนสิบหกสิ โดนเทคแล้วเทคอีก ถูกเคี่ยวกรำจนจิตใจยับเยิน หากต้องโดนแบบนั้นท่ามกลางสายตาของทุกสำนักข่าว ผมไม่กดดันตัวเองแย่จนยิ่งทำให้ชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าไปอีกเหรอ กลัวอะไรไม่กลัว กลัวจะกระทบกับฝีมือการแสดงที่เพิ่งถูกชมเชย ทำดีแทบตายแต่หากพลาดในวันเดียวก็ล้มได้ แล้วยังต้องแสดงเทียบกับอัครเดชอีก ผู้กำกับและคนเขียนบทโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
“จิระ ไม่ต้องกังวลหรอก วันนั้นเรามีนัดเช้า ต้องซ้อมคิวกันก่อนเปิดกองอยู่แล้ว”
ผมเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ประเด็นคือถ้าซ้อมไม่ทันล่ะ!!
“เอาน่า อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ตอนนี้เราก็แสดงดีขึ้นตั้งเยอะ พอจับจุดได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมพยักหน้ารับอย่างไร้ปากเสียงเพราะกำลังถามตัวเองว่าดีแล้วใช่มั้ย ในเมื่อหลังจบตอนสิบหก มิสเตอร์เอสก็ออกมาน้อยแสนน้อย คิวถ่ายผมจึงน้อยตาม เลยไม่รู้ว่าสรุปมันดีจริงแน่หรือ
“ไป เข้าฉากได้แล้ว เราไม่มีเวลาแล้วนะ”
สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องเดิม ผมถอนหายใจเฮือกอย่างทำอะไรไม่ได้นอกจากเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เรื่องวันเปิดกองเก็บไว้ก่อน เพราะตอนนี้ต้องตั้งสมาธิกับการถ่ายทำในตอนสิบเก้า นับเป็นโค้งสุดท้ายของซีซันสอง เรื่องซึ่งดำเนินมาอย่างกดดัน เผยภาพของพวกพระเอกที่เสียเปรียบมาตลอดเพราะถูกดักทุกเส้นทางจู่ๆ กลับพลิกตาลปัตรกะทันหัน
ด้วยฝีมือของมิสเตอร์เอส!
ครับ ตอนสิบเก้านั้นจะเน้นการหลบหนีของพวกอัครเดชที่ถูกองค์กรไล่ตามไม่ลดละ แต่ในช่วงสิบนาทีสุดท้าย มุมมองจะกลายเป็นของมิสเตอร์เอส เผยแผนที่เริ่มปะติดปะต่อเป็นรูปร่าง การปฏิบัติการที่เลือดเย็น การกระทำครั้งนี้ของแฮกเกอร์อัจฉริยะจะส่งผลต่อเนื่องไปยังตอนจบ นับเป็นจุดหักมุมสำคัญของเรื่อง
ผมหลับตาทำสมาธิ วันนี้เตโชไม่ได้เข้ากองด้วยเพราะมีประชุมรวมกับคมสันและนักแต่งเพลงท่านอื่นเพื่อให้เห็นว่าผลงานแต่ละคนคืบหน้ากันไปถึงไหนแล้ว ต่างฝ่ายต่างพยายามในแบบของตัวเอง ฉะนั้นผมจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”
มุมมองของมิสเตอร์เอสเริ่มต้นด้วยใบหน้าหลับพริ้มบนเตียงนุ่มยามวิกาล
ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นการแสร้งหลับจึงจะถูก เปลือกตาของมิสเตอร์เอสกระตุกเล็กน้อย ราวกำลังเฝ้ารอการมาเยือนของใครบางคน
พลันเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งร้อน เข้าใกล้ห้องพักขึ้นทุกที มิสเตอร์เอสพยายามบังคับลมหายใจสงบ ไม่แม้แต่จะขัดขืนเมื่อชายคนนั้นเข้ามาถึงก็กระชากเขาขึ้นจากเตียง
“รีบตามฉันมา”
ไม่เปิดโอกาสแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อให้เรียบร้อย มิสเตอร์เอสในชุดนอนสีขาวตัวยาวเดินตามหลังอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย สวมบทเป็นซีเคร็ท ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งอย่างไร้ข้อโต้แย้งแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตีหนึ่งก็ตาม
ภายในองค์กรค่อนข้างเงียบ คาดว่าหลายคนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และต่อให้รู้...ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงไม่มีใครแจ้งข่าว เว้นแต่มิสเตอร์เอสหรือซีเคร็ทที่ถูกลากตัวมาโดยไม่มีการผ่อนผัน
เพราะคอมพิวเตอร์เมนหลักขององค์กรติดไวรัส!
“แก้ไขได้มั้ย”
“ได้ครับ” มิสเตอร์เอสตอบเสียงเรียบหลังถูกพาตัวมายังห้องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีสายต่อระโยงไปยังหน้าจอนับร้อย นี่คือเครื่องหลักซึ่งควบคุมทุกระบบในองค์กร เก็บข้อมูลแสนสำคัญมากมายด้วยไฟล์เข้ารหัสนับพันนับหมื่น มิสเตอร์เอสไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เนื่องจากเป็นเขตหวงห้าม อยู่ด้านในสุดของอาคาร
เมื่อมาถึง ภาพแรกที่เห็นคือสมาชิกองค์กรหลายคนพยายามจัดการกับไวรัส แต่กลับทำให้มันยิ่งแพร่กระจาย จนข้อมูลสำคัญไม่สามารถเปิดได้ คาดว่าก่อนจะตามตัวเขา ชายชุดดำคงพยายามเท่าที่ทำได้แล้ว และเมื่อไม่เป็นผล ก็มีแต่ต้องพึ่งพามิสเตอร์เอสอย่างจำยอม
เด็กหนุ่มพยายามเก็บความรู้สึกลิงโลดในใจให้มิดชิด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างสุขุม ทันทีที่นิ้วเรียวพรมบนคีย์บอร์ด ท่าทางเฉื่อยชาพลันกลายเป็นมีชีวิต เสียงเคาะนิ้วดังไม่หยุดในห้องที่ทุกคนต่างเงียบเสียงรอผลลัพธ์อย่างจดจ่อกึ่งจับผิด จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หน้าจอสีแดงที่กะพริบถี่อย่างน่ากลัวของไวรัสก็กลายเป็นปกติ ชายชุดดำถอนหายใจอย่างโล่งอก
“รายงานผลซิ”
“ลบไวรัสสำเร็จแล้ว แต่ต้องใช้เวลากู้ข้อมูลครับ”
“กี่ชั่วโมง”
“ไวรัสทำลายข้อมูลเยอะมากเพราะมีคนแก้ไม่ถูกวิธี ถ้าต้องกู้ทั้งหมด คงใช้ประมาณสามชั่วโมงครับ”
ชายชุดดำพยักหน้ารับ ถ้าจะโทษก็มีแต่ต้องโทษที่คนของตัวเองไร้ฝีมือ ไวรัสตัวนี้ปรากฏยามดึก แอบแฝงผ่านระบบดักฟังขององค์กรที่ฝังตัวในหน่วยงานรัฐเพื่อรอให้มีพลเมืองแจ้งเบาะแสของพาย คาดว่าคนที่ทำ...ก็คงไม่พ้นพายที่กะตลบหลังนั่นเอง
ชายชุดดำให้ลูกน้องสองคนคอยเฝ้ามิสเตอร์เอสกู้ข้อมูล เพราะส่วนที่เสียหายนั้นเป็นไฟล์สำคัญที่ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ส่วนตัวเขาเองปลีกตัวไปรายงานผลแก่สมาชิกระดับสูง ทิ้งทั้งห้องให้ตกอยู่ในความเงียบยกเว้นเสียงเคาะนิ้วบนคีย์บอร์ดที่มาพร้อมโค้ดมากมายละลานตาบนหน้าจอ
สมาชิกแปลกหน้าสองคนซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่คล้ายถูกเสียงพรมนิ้วขับกล่อมให้ง่วงหาว ตอนนี้เป็นเวลาตีสองเกือบตีสามเข้าไปแล้ว จะคุยกันก็ไม่ได้เพราะกลัวทำลายสมาธิของแฮกเกอร์คนเก่ง ต่างคนจึงพยายามฝืนถ่างตา ไม่แม้แต่จะระวังตัว หรือไม่ก็ประมาทเพราะเห็นว่ามิสเตอร์เอสหรือซีเคร็ทนั้นเป็นเพียงสมาชิกผอมแห้งคนหนึ่ง
มิสเตอร์เอสลอบมองทั้งสองผ่านเงาสะท้อนบนหน้าจอมาสักพักแล้ว เมื่อสบโอกาสที่มีคนเผลอสัปหงก ก็กดปุ่มหนึ่งบนคีย์บอร์ด ทำให้ไฟในห้องนี้ดับพรึ่บ พร้อมลุกจากเก้าอี้เข้าจู่โจมคนที่ใกล้ที่สุด แย่งปืนจากข้างเอวคนนั้นขึ้นจ่อยิงในระยะประชิด
“นี่แก...!!”
และหันไปยิงอีกคนหนึ่งอย่างไร้ความลังเล ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที รวดเร็ว ฉับไว และหมดจดเยือกเย็น ราวกับเป็นซีเคร็ทที่ฆ่าคนตามใบสั่ง แม้ตอนนี้เขาจะเป็นมิสเตอร์เอสก็ตาม
เมื่อไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ในความมืด มิสเตอร์เอสก็เดินไปกดปุ่มเปิดไฟ ทันทีที่เห็นศพทั้งสองนอนเบิกตาค้างอย่างตกตะลึงกึ่งเจ็บแค้น มิสเตอร์เอสพลันเบือนหน้าหนี ไม่อาจเย็นชาได้เท่าซีเคร็ท แต่ด้วยเส้นทางที่เลือกเดิน ทำให้ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป
ไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบถึงเสียงปืน เพราะเขตหวงห้ามนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง ประตูและกำแพงเก็บเสียง หนาทึบกันได้แม้กระทั่งระเบิด การจะเปิดเข้ามาได้ต้องอาศัยการสแกนรอยนิ้วและดวงตาของสมาชิกระดับสูงเท่านั้น แต่ตอนนี้...ต่อให้ใหญ่มาจากไหนก็เข้ามาไม่ได้ เพราะมิสเตอร์เอสได้ควบคุมระบบป้องกันของห้องนี้แล้ว
นับว่าแผนไวรัสของเขานั้นประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่!
ใช่แล้ว มิสเตอร์เอสคือผู้ฝังไวรัสตัวฉกาจในระบบเพื่อให้แพร่กระจายมายังเครื่องหลัก โดยแสร้งหลอกตาว่าติดมาจากภายนอกเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน มิสเตอร์เอสจึงเริ่มต้นแฮกข้อมูลที่เพิ่งกู้มาทันที แม้ตัวไฟล์มีการเข้ารหัสหลายชั้น แต่ไม่เป็นปัญหากับแฮกเกอร์มือฉมังที่มีเวลาเหลือเฟือพร้อมอุปกรณ์ที่พรั่งพร้อม หลังได้สิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อของสมาชิกในองค์กร แผนผังที่ตั้งอาคาร และภารกิจผิดกฎหมายต่างๆ มิสเตอร์เอสก็รวมไฟล์ทั้งหมดแล้วส่งเข้าอีเมลของพาย
...หวังว่าทางนั้นจะเข้าใจความหมาย
มิสเตอร์เอสเอนหลังพิงหนัก หลับตาลงเชื่องช้า เผยความอ่อนล้าออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ตัดสินใจร่วมมือกับองค์กรหลังได้รับความทรงจำกลับคืน แม้เวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่ตัวเขารู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกินกับการแฝงตัววางแผนลับหลังทั้งกับองค์กรและพวกพ้อง
เพราะเขาได้เลือกแล้ว
เลือกแฝงตัวเป็นสมาชิกในองค์กรเพื่อกำจัดแบบถอนรากถอนโคน!
มิสเตอร์เอสลืมตาเมื่อเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าการส่งไฟล์ลับให้พายนั้นเสร็จสมบูรณ์ เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นการแฮกระบบควบคุมภายในอาคารทั้งหมด ไม่ว่าระบบเป็นการจ่ายไฟ ระบบป้องกันภัย ระบบตัดน้ำ และทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถบังคับได้ผ่านคอมพิวเตอร์
กระทั่งคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ภายในอาคารที่เชื่อมต่อกับระบบหลักก็ถูกตัดสัญญาณไม่สามารถเชื่อมต่อได้อีก
ดวงตาสีอ่อนของมิสเตอร์เอสเผยความเยือกเย็นแสนเฉียบขาด หลังกวาดมองกล้องวงจรปิดนับร้อยเพื่อดูว่าสมาชิกส่วนใหญ่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง เขาก็กดปุ่มหนึ่งบนคีย์บอร์ด พร้อมรอยยิ้มที่ยกขึ้นเล็กน้อย
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อยามอรุณมาเยือน ทุกคนจะรับรู้ว่าถูกขังในห้องเสียแล้ว องค์กรนี้พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปจนหน้าเศร้า ประตูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นห้องหลักห้องรองเปิด-ปิดด้วยการสแกนบัตรประจำตัวของสมาชิก ฉะนั้นเมื่อมิสเตอร์เอสจัดการตัดเซนเซอร์ส่วนนั้นทิ้ง ทุกแห่งในอาคารจึงไม่ต่างกับห้องปิดตาย
ที่เหลือ...คือรอ
“เช็กเมท”
-----
ซีรีส์เช็กเมทเข้มข้นขึ้นทุกที คิดว่าหลายคนคงอยากวาร์ปไปวันเปิดกองกันแล้ว แต่ยังค่ะ ตอนหน้าขอยกยอดให้กับงานมีตติ้งก่อนนะ เพราะจิระกับพายยังมีประเด็นที่ต้องเคลียร์ก่อนไปงานเปิดกองกันค่า
เพจนักเขียนที่ใจละลายกับมิสเตอร์เอส