ตอนที่ 3
มิสเตอร์เอส มิสเตอร์ซีเคร็ด
หลังเดินออกมาจากบ้านของเสี่ยเมื่อเดือนก่อน ผมก็ไม่ได้ตามข่าวคราวของจิตรินอีกเลย
แต่คนอย่างเสี่ยไม่มีวันยอมให้คนรักทำงานห่างตัวแน่นอน ฉะนั้นเปอร์เซ็นต์ที่จิตรินจะทำงานในบริษัทเอ็มเอชเอ็นมีสูงมาก สตั้นท์แมน? จิตรินเคยเป็นสตั้นท์แมนมาก่อนก็จริง แต่เสี่ยไม่น่าจะยอมให้เขารับงานอันตรายแบบนั้น เลขา? เสี่ยมีเลขาถึงสามคน ยัดเพิ่มมาอีกไม่น่าจะไหว แถมด้วยนิสัยของจิตรินให้เป็นเลขาคงไม่รอด ถ้างั้น...ยังเหลืออาชีพไหนที่เหมาะสมกับเขาอีกล่ะ
ผมคิดจนสมองแทบระเบิด มารู้ตัวอีกครั้งก็เลิกกองกันแล้ว โดนเรื่องของจิตรินแทรกกะทันหันทำเอาลืมเก็บข้อมูลเลยเชียว ผมลอบด่าตัวเองที่จัดเรียงความสำคัญผิดเพราะคงไม่มีโอกาสดีๆ อย่างนี้อีกแน่
“จิระ!” พอเลิกกอง ธนัทก็วิ่งโร่หาผม ราวกับว่าเมื่อก่อนเราสองคนสนิทสนมกันมาก “นายเลิกกับเสี่ยแล้วแสดงว่าไม่ต้องนั่งรถไปบ้านเสี่ยแล้วใช่มั้ย งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง!”
...ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าเพื่อนสนิทคนนี้แอบคิดไม่ซื่อ
“ฉันมีนัดกับผู้กำกับและคนเขียนบทต่อ...”
“งั้นฉันจะรอ!”
“อะไรกัน หนีไปกินข้าวกันสองคนได้ยังไง ชวนพี่บ้างสิ” อัครเดชเดินมาพาดแขนกับบ่าของธนัท ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร “พี่มีถ่ายงานต่อที่สตูดิโอข้างๆ กันนี่เอง จิเองก็มีธุระต่อ เสร็จแล้วค่อยไปกินข้าวด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ ดีมั้ย”
“งั้นพี่อัคต้องเลี้ยงนะ พี่อัคอาวุโสสุด” ธนัทรีบโบ้ยทันทีเมื่อไม่เป็นตามแผน
“สบายมาก” อัครเดชรับปากอย่างว่าง่าย “งั้นพี่ไปทำงานต่อล่ะ เอ๊ะ จิเปลี่ยนเบอร์แล้วใช่มั้ย ขอเบอร์ใหม่หน่อยสิ”
“ใช่ๆ นายเปลี่ยนเบอร์ทำไมไม่บอกกันสักคำ เอาเบอร์มาเดี๋ยวนี้เลย”
ผมยกมือให้พวกเขาทั้งคู่เงียบก่อนจะหันไปหยิบยาดมมาสูดเฮือกใหญ่
“จิเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ จะเป็นลมเหรอ”
“อืม...คุยงานเสร็จแล้วคงอยู่ต่อไม่ไหว” ไหนๆ ก็ถูกเข้าใจผิดไปแล้ว ผมเลยทำทีเป็นกุมขมับคล้ายวิงเวียน โชคดีที่เมื่อคืนเพิ่งโต้รุ่งมา สีหน้าซูบซีดใต้ตาดำคล้ำอย่างอ่อนเพลียทำให้คำโกหกนี้น่าเชื่อถือหลายสิบเท่า โดยเฉพาะกับจิระ...ผู้มีหน้าตาเป็นอาวุธ
“งั้นจิคุยงานเสร็จแล้วรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” อัครเดชว่าอย่างเป็นห่วง ลืมเรื่องขอเบอร์ซะสนิท
“นั้นสิ รีบพักผ่อนเถอะนะ ว่าแต่นายกลับยังไง ฉันไปส่งมั้ย วันนี้ฉันขับรถมา...”
ธนัทเป็นอดีตเด็กเลี้ยงเสี่ยหรือเป็นเด็กเลี้ยงจิตรินกันแน่วะเนี่ย!“ฉันกลับเองได้ ขอบคุณนะ” ผมส่งยิ้มอ่อนแรงให้พวกเขาก่อนจะรีบขอตัวเดินไปหาผู้กำกับเป็นการตัดบท นึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่เมื่อก่อนสำออยใส่เสี่ยบ่อยเลยสวมหน้ากากได้ไม่ยากเย็น ทำให้ทั้งธนัทและอัครเดชเชื่อหมดใจ ว่าแต่...พายที่ยืนอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ตรงมุมห้องนั้นต้องการอะไรจากผมรึเปล่านะถึงได้มองมาตาไม่กะพริบ
รู้สึกขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกตั้งใจว่าถ้าต้องเล่นซีรีส์ด้วยกันผมจะไปเกาะพาย เพราะเขาพูดน้อย สงบเสงี่ยมเจียมตัวดี แต่พอเห็นสายตานั้นแล้วแอบสยองขวัญชอบกล
“จิ เดี๋ยวเรามาลองเล่นเป็นมิสเตอร์เอสดูนะ ถือว่าเป็นการแคสติ้งก็ได้ คนเขียนบทจะได้เขียนบทให้เข้ากับเรา”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“งั้นผมขอดูด้วยได้มั้ย!” ธนัทที่ว่างงานอาสาทันที “ผมเล่นคู่กับมิสเตอร์เอสได้นะครับ”
“ดีเลย พายเองก็มาด้วยสิ”
“คะ...ครับ” พายที่แอบอยู่ตรงมุมพอโดนเรียกก็เดินเข้าฉากอย่างลังเล สายตาที่เขามองผมนั้นค่อนข้างประหลาด ราวกับว่า...กำลังจับผิด
หรือพายจะรู้เรื่องผมกับจิตรินเป็นคนละคนกันแล้ว!?
ผมลอบกลืนน้ำลาย นึกอยากหยิบยาดมมาดมอีกรอบ แต่ติดที่ว่าคนเขียนบทเรียกให้ผมเข้าไปคุยถึงเนื้อเรื่องคร่าวๆ ที่อยากให้ลองแสดง
“บทของเราคือมิสเตอร์เอสที่ความจำเสื่อม ถูกล้างสมองว่าพระเอกคือศัตรูขององค์กร โชคดีที่ก่อนหน้านี้ฉันปูทางว่าองค์กรมีแฮกเกอร์คนใหม่ที่เก่งมาก เป็นเหตุผลให้พายถูกพวกพระเอกรั้งตัวให้มาช่วยเหลือพ่วงตามหามิสเตอร์เอส ในเมื่อต้องแก้ใหม่งั้นให้แฮกเกอร์คนนั้นคือจิเลยแล้วกัน เข้าใจนะ”
“เข้าใจครับ” ผมพยักหน้ารับ
“ฉากที่ฉันอยากให้ลองแสดงคือฉากที่มิสเตอร์เอสลอบเข้ามาในบ้านแล้วเห็นห้องทำงานนี้ จนเผลอเดินไปจับคอมพิวเตอร์และโซฟาตัวที่ใช้นอนเป็นประจำในซีซันหนึ่ง ในความรู้สึกของมิสเตอร์จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนและไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงโหยหาและคุ้นเคยกับห้องนี้เหลือเกิน จากนั้นธนัทจะเข้ามา...ความจริงแล้วควรจะมาให้พร้อมหน้าพร้อมตากับอัครเดชด้วย แต่ไม่เป็นไร เอาเท่าที่มีก่อนแล้วกัน พวกเธอลองต่อบทกันสดๆ นะ เอาแค่สั้นๆ ก็พอ แต่ให้รู้ว่า มิสเตอร์เอสจำธนัทไม่ได้ และมีความรู้สึกเป็นปรปักษ์ ฉันอยากเห็นว่าจิระจะตีความยังไง”
“ได้ครับ”
“ตกลงครับ”
ผมกับธนัทขานรับพร้อมกัน
“ส่วนพาย เดี๋ยวเรารอฉากอื่นนะ ฉันอยากเห็นจิระแสดงในหลายๆ แบบ”
“ครับ” พายพยักหน้ารับ ก่อนจะหาที่นั่งดีๆ ในการเป็นผู้ชมชั้นเยี่ยม มาถึงตอนนี้ เหล่าพนักงานเบื้องหลังทั้งหลายที่เตรียมตัวกลับบ้านก็ตัดสินใจรอชมอย่างสนใจ ไม่เว้นกระทั่งพี่ช่างแต่งหน้าที่เอาใจช่วยผมไม่ใกล้ไม่ไกล เขาเป็นคนเดียวกับที่ช่วยแต่งตัวให้ผมตอนถ่ายทำมิวสิกวีดีโอของเตโช
“ถ้าพร้อมแล้วบอกนะจิ” ผู้กำกับกล่าวเมื่อเห็นผมหลับตาอย่างทำสมาธิอยู่กลางฉากซึ่งเป็นห้องทำงานของมิสเตอร์เอส ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ พยายามนึกถึงมิสเตอร์เอส นึกถึงสิ่งที่ดูจนตาแฉะมาตลอดคืน
มิสเตอร์เอส...เป็นคนเฉื่อยชาที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ทำให้มักเดินหลังค่อมหน่อยๆ แม้จะโดนล้างสมอง แต่ใช่ว่าเขาจะเปลี่ยนนิสัยข้อนี้
ผมลืมตาขึ้น หันไปส่งสัญญาณมือให้ผู้กำกับ
กล้องเริ่มเดินทันที ทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบเมื่อผมเริ่มก้าวขาด้วยท่าทางห่อไหล่เล็กน้อยคล้ายประหม่า สำหรับมิสเตอร์เอส ห้องนี้เป็นห้องของศัตรู ฉะนั้นเขาต้องรู้สึกตื่นกลัวอยู่ไม่น้อยแต่ไม่แสดงออก จึงถ่ายทอดผ่านจังหวะการก้าวเดินที่เนิบช้าเป็นพิเศษอย่างระวังภัย คราแรก มิสเตอร์เอสมองสำรวจด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งบนโต๊ะกลางห้อง
มิสเตอร์เอสขมวดคิ้ว ก่อนจะลองเดินเข้าไปใกล้โดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ ลองวางนิ้วทาบบนคีย์บอร์ด แม้สีหน้าจะปรากฏความรู้สึกใดๆ แต่ปลายนิ้วที่สัมผัสแป้นทีละนิ้วคล้ายโหยหานั้นทำให้ผู้พบเห็นราวถูกข่วนหัวใจเบาๆ
พลันมิสเตอร์ผงะคล้ายสำนึกได้ว่ามาที่นี่เพื่ออะไร แต่พอสะบัดหน้าหนีก็ไปปะทะกับโซฟาตัวนุ่มเสียนี่ มิสเตอร์เอสนิ่งงัน ไม่เข้าไปสัมผัสเหมือนที่เพิ่งทำเมื่อครู่ แต่เลือกที่จะยืนนิ่ง มองโซฟาด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่ต้องเอ่ยคำใด ไม่ต้องแสดงออกให้มากมาย แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเต็มไปด้วยความหน่วงหนึบ
ธนัทเปิดประตูพรวดเข้ามาในจังหวะนั้น
มิสเตอร์เอสสะดุ้งเฮือกทันที เขาไม่มีทักษะในการต่อสู้แม้แต่น้อย ที่ลอบเข้ามาได้ก็เพราะอาศัยการย่องเบาล้วนๆ จะหลบก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่ยืนประจันหน้ากับธนัทอย่างมึนอึนทำอะไรไม่ถูก
“มิสเตอร์เอส!” ธนัทร้องเรียกอย่างดีใจ “ในที่สุดนายก็กลับมา! หายไปไหนมาน่ะ รู้มั้ยว่าพวกฉันตามหานานมาก ถึงขนาดคิดว่านายหนีตามสาวซะอีก! แหม หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง มิสเตอร์เอสของเรามีความรักกับเขาบ้างแล้ว ไหนลองเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สาวคนนั้นแจ่มมั้ยว่าไงเพื่อน”
แม้ธนัทจะหยอกแซวตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ แต่สายตาเต็มไปด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง เขาตีบทแตกกระจุย
“มิสเตอร์เอส?” ธนัทเอ่ยเรียกอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นผมก้าวถอยหลัง ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ แม้มิสเตอร์เอสจะไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า แต่ตอนนี้กลับดูนิ่งเสียจนน่าหวาดหวั่น
ธนัทรับรู้ถึงความผิดปกติทันที
“มิสเตอ...”
“ผมไม่ใช่มิสเตอร์เอส” ผมเอ่ยแทรกเสียงเรียบ สายตาที่มองธนัทแฝงความดูแคลน “โค้ดเนมของผมคือ ‘ซีเคร็ด(Secret)’ ศัตรูของพวกคุณ!”
“คัต!”
เปลือกตาผมกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของผู้กำกับ ก่อนจะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงชอบกล การแสดงเป็นมิสเตอร์เอสในช่วงเวลาไม่ถึงห้านาที ทำให้สมองของผมต้องใช้งานหนักในการตีความและพยายามเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครอย่างยิ่งยวดจนใช้พลังงานเยอะกว่าที่คาดไว้หลายเท่า
“ทำไมประโยคสุดท้ายถึงบอกแบบนั้นล่ะ โค้ดเนมซีเคร็ดนั่นเราตั้งจากอะไร แล้วทำไมถึงมองธนัทแบบนั้น เย้ยหยันดูถูก? จิตีความมิสเตอร์เอสออกมายังไง” คนเขียนบทรีบปราดเข้าหาผมทันที เร็วกว่าธนัทซะอีก
“เพราะองค์กรไม่น่าจะให้มิสเตอร์เอสใช้ชื่อเดิม ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้ตัวมิสเตอร์เอสที่ความจำเสื่อมสับสน ตัวละครตัวนี้มีจุดเด่นที่ลึกลับตั้งแต่ซีซันแรก จะตั้งชื่อใหม่ก็ไม่ควรให้แตกต่างกันเกินไป ตัวเอสมาแปลงเป็นซีเคร็ดได้พอดี มีความหมายเดียวกันและจดจำง่าย ได้ยินก็เข้าใจว่าหมายถึงใคร”
คนเขียนบทจดสิ่งที่ผมพูดลงในกระดาษยิกๆ
“พูดต่อสิ”
“ส่วนที่มองธนัทอย่างเย้ยหยันดูถูก ก็เพราะว่ามิสเตอร์เอสมีความเชื่อมั่นในฝีมือการแฮกเกอร์ของตัวเองมาก รูปลักษณ์ภายนอกของมิสเตอร์เอสอ่อนแอไม่สู้คน แต่เรื่องแฮกกิ้งเขาคืออันดับหนึ่ง ตามบทแล้ว พวกธนัทพยายามจะโค่นล้มแฮกเกอร์คนใหม่ขององค์กรโดยดึงพายมาร่วมด้วย พอเจอหน้ากัน ธนัทกลับเรียกชื่อมิสเตอร์เอส ชื่อของเพื่อนเก่าที่เคยเป็นแฮกเกอร์เหมือนกัน ก็ไม่แปลกที่จะอยากประกาศตัวโดยคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเป็นไหนๆ”
พูดจบผมก็เหลือบมองคนเขียนบทอย่างประหม่าด้วยกลัวว่าจะตีความผิด อันที่จริงแล้ว...ไอ้ความภาคภูมิใจที่ว่านั่นก็แอบอิงมาจากเตโชล้วนๆ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นกับตอนร้องเพลงน่ะเหมือนคนละคน ขนาดน้ำเสียงตอนพูดยังต่างกันเลย!
“อืม...ไอเดียเรื่องเปลี่ยนชื่อฉันไม่ทันคิดจริงๆ แต่จะให้เรียกมิสเตอร์เอสมันก็ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ซีเคร็ด เป็นตัวเลือกที่ดี ส่วนความรู้สึกว่าเหนือกว่าในฐานะแฮกเกอร์...ยอดมาก! เรื่องนี้ฉันนึกไม่ถึงเลย เวลาพูดถึงมิสเตอร์ตอนห่างจากคอมพิวเตอร์ ก็นึกแต่ภาพเด็กหนุ่มหน้านิ่งดูอ่อนแอบอบบางสถานเดียว ความคิดภาคภูมิใจอย่างนั้นไม่เคยใส่ในเรื่องสักครั้ง ไม่เลวๆ เก่งมากเลยนะจิ เราตีความมิสเตอร์เอสได้มีมิติขึ้นมากเลย!"
ผมยิ้มแห้ง เพราะบทของมิสเตอร์เอสในซีซันแรกนั้นค่อนข้างซ้ำซากจำเจอยู่ไม่น้อย ที่โด่งดังขึ้นมาได้ก็ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความลึกลับ และใบหน้าล้วนๆ
“งั้นให้จิเข้าฉากกับพายอีกมั้ย” ผู้กำกับถามอย่างนึกคึกคล้ายอยากเห็นผมผ่านกล้องไม่รู้หน่าย
“แน่นอนสิ!”
“เอ่อ...วันนี้จิไม่ค่อยสบายนะครับ” ธนัทที่หาจังหวะแทรกมานานเอ่ยพร้อมกับชี้มาที่ผม...ไอ้เราก็กำลังแอบควานหายาดมอยู่เลยเชียว “ในเมื่อเรื่องการแสดงที่หลายคนเป็นห่วงไม่มีปัญหางั้นให้จิกลับไปพักเถอะครับ”
ผู้กำกับกับคนเขียนบทคล้ายจะเพิ่งสังเกตว่าผมหน้าซีดผิดปกติ เลยยอมปล่อยตัวแต่โดยดี
ค่อยยังชั่ว...“กลับด้วยกันนะจิ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
...ซะที่ไหน!ธนัทเข้ามาช่วยประคองผมประหนึ่งว่าจิระนั้นเปราะบางปานแก้วใส ผมที่ไม่ชอบให้ใครแตะตัวอยู่แล้วพยายามจะเขยิบหนี แต่เขาดันจับต้นแขนผมแน่นปานมือปลาหมึก อยากสะบัดทิ้งอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าผมรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ
แสดงเป็นมิสเตอร์เอสเหนื่อยก็จริง แต่อาการคงไม่หนักขนาดนี้หรอกหากไม่นึกอุตริโต้รุ่งมามาดๆ!
ใช่แล้ว...ผมถ่างตาเพื่อเรื่องนี้ทั้งคืนเลยนะ ลากสังขารมาถึงกอง คิดนู่นทำนี่ แล้วยังต้องใช้สมองตีความหนักอีก จะรู้สึกหมดแรงอยากทิ้งตัวลงนอนเอาตอนนี้ก็ไม่แปลกหรอก!
ด้วยเหตุนี้ผมเลยยอมให้ธนัทประคองออกจากห้องอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ขนาดบอกว่าวันนี้ผมขับรถมา ธนัทยังอาสาว่าจะขับรถผมไปส่งแล้วค่อยวกมาเอารถตัวเองที่บริษัท อะไรจะทุ่มทุนสร้างถึงขนาดนี้ แต่แล้วเราสองคนต่างก็ชะงักไปเมื่อเห็นเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งยืนอยู่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างรถของผม
เสาไฟฟ้า...ไม่สิ...เตโช!
“กลับด้วย” พอเห็นผม เตโชก็พูดออกมาสองคำที่เต็มไปด้วยความหมายแสนลึกล้ำ
ผมงี้น้ำตาจะไหล ผู้ชายคนหนึ่งอยากไปส่งด้วยความหวังดีแต่ไม่บริสุทธิ์ใจ ส่วนอีกคนหวังติดรถประหยัดน้ำมันช่วยลดโลกร้อน จิระล่ะกลุ้ม
“ใครน่ะจิ เพื่อนเหรอ”
ดูเหมือนธนัทจะไม่รู้จักเตโช เขาคงไม่ค่อยฟังเพลงเท่าไหร่
“อืม...เพื่อน”
เพื่อน(เคย)ร่วมงานน่ะนะผมขานตอบในใจ ให้เลือกระหว่างคนคิดไม่ซื่อกับคนซื่อไม่คิด ผมย่อมเลือกอย่างหลังแน่นอนที่สุด
“เตโช” ผมถือโอกาสผละตัวจากธนัทเดินเข้าหาเสาไฟฟ้ามีชีวิตแล้วยัดกุญแจรถใส่มือเขาทันที “ขามาฉันขับ ขากลับนายขับ”
“ได้” เตโชว่าง่ายสุดๆ พูดจบเขาก็เข้าประจำตำแหน่งทันที
“ฉันมีคนช่วยขับรถแล้ว นัทเองก็กลับดีๆ ล่ะ” ผมหันไปบอกกับธนัทด้วยรอยยิ้มหวานหยดก่อนจะรีบพาสารร่างตัวเองยัดเข้าไปในเบาะหลัง พอปิดประตูปุ๊บก็หมดแรง ตัวไถลนอนราบในทันที
“ถึงแล้วปลุกด้วยนะ” ผมพูดกับเตโช
“ได้”
ผมกลอกตาหนึ่งครั้ง แม้จะตงิดใจหน่อยๆ กับการการกระทำสุดประหลาดของเตโชแต่ง่วงจนเปลือกตาหนักไม่ไหวแล้ว
---------
รู้สึกตัวอีกครั้งผมก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อมเบาๆ ชวนให้จิตใจเบาสบาย
พอลองลืมตาขึ้นมา ก็เห็นร่างของผู้ชายตัวโตที่นั่งหันหลังพิงขอบเตียง เกากีตาร์เป็นทำนองช้าคลอกับเสียงร้องที่คล้ายจะฮึมฮัมไม่ได้ศัพท์ แต่กลับชวนเคลิบเคลิ้มหลงละเมอในเสียงทุ้มนุ่มอย่างเป็นธรรมชาตินั้นเหลือเกิน
ผมหลับตาฟังอย่างเผลอไผลจนเกือบจะหลับไปอีกรอบ จนกระทั่งเสียงร้องนั้นหยุดลง
พอลืมตาอีกทีก็เจอกับเตโชที่จ้องกลับหน้ามึน
“รู้ได้ไงว่าฉันตื่นแล้ว”
“ไม่รู้”
“แล้วหยุดเล่นทำไม” ผมยันตัวนั่งดีๆ บนเตียง สำรวจห้องของเตโชที่อย่าหวังว่าจะได้เห็นสีวอลเปเปอร์ เพราะแปะโปสเตอร์ปนมั่วตั้งแต่วงดนตรีที่ชอบยันลายหมาแมวและต้นไม้ใบหญ้า แถมพื้นห้องยังเต็มไปด้วยหนังสือเพลง หนังสือกีตาร์ แผ่นซีดี และกระดาษจดเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วทั้งที่แบบแผ่หรากับและแบบขยำทิ้งเป็นก้อนกลม รกชะมัด เล่นเอาผมไม่รู้จะก้าวลงเตียงยังไงเลย
“หิว”
ผมเกือบหลุดหัวเราะ ที่เขาว่ากันว่าฟังเพลงช่วยเยียวยาจิตใจคงจะจริง เพราะอารมณ์ผมที่แปรปรวนขึ้นลงไปมาเริ่มจะสงบนิ่ง ไม่ยักหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าอึนๆ ของเตโช
“สั่งอะไรขึ้นมากินสิ”
“เบื่อพิชช่า”
“เคเอฟซี?”
“เบื่อเคเอฟซี”
“แล้วจะกินอะไร”
“...”
เตโชมองผมคล้ายจะค้นหาคำตอบ แล้วผมต้องช่วยคิดให้เขาเหรอ มันใช่หน้าที่ของผมมั้ย!
แต่เอาวะ เขาสู้อุตส่าห์ลำบากพาผมขึ้นมานอนแถมยังเล่นกีต้าร์ฮัมเพลงให้ฟังอีกยอมแสดงฝีมือหน่อยก็ได้ เพราะผมเองก็หิวโซแล้วเหมือนกัน
กว่าจะเดินกระย่องกระแย่งออกจากห้องนอนของเตโชได้ก็เล่นเอาผมแทบหอบ พอหันไปมองอีกทีแทบเป็นลมเพราะเตโชกวาดกระดาษทั้งหมดกองตรงปลายเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินตามออกมาหน้าตาย ความพยายามเมื่อครู่ของผมช่างไร้ค่า!
“นายอยากกินอะไร” ผมถามน้ำตาซึม ไอ้เราอุตส่าห์มารยาทงามไม่กล้าแตะต้องแท้ๆ พอเดินออกมาจากห้องนอน...ผมนี่โอ้โหเลย ห้องหรือกองขยะโปรดบอกที ทำไมถึงมีแต่เศษกระดาษกระจายเต็มไปหมด กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ถอดทิ้งเละเทะ ถุงขนมก็เกลื่อนกลาดไม่รู้จักเก็บ จิระถึงกับก้าวขาไม่ออก ต้องเหาะข้ามไปใช่มั้ยถึงจะพ้น หรือจับกองรวมๆ เหมือนที่เตโชทำดีนะ
“สตูเนื้อ”
“สตูเนื้อบ้านนายทำง่ายนักเหรอ ฉันหิวจนท้องร้องไปหมดใครจะไปรอจนเนื้อเปื่อยกันล่ะ เอาอย่างอื่น!”
เตโชกะพริบตาปริบเมื่อถูกขึ้นเสียงใส่ ก่อนจะทำหน้ามึนอึนราวกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะโดนว่าอีก
ผมนวดหัวคิ้วอย่างระงับอารมณ์ เขาไม่ตอบ งั้นผมเลือกเองแล้วกัน!
เดินกระย่องกระแย่งไปเปิดตู้เย็นแล้วละเหี่ยใจเหลือเกิน ทั้งตู้มีแค่ไข่ไก่กับนมแล้วก็พวกขนมหวาน ผมเลยกวักมือเรียกเขาให้เดินเข้าห้องตัวเอง ชี้นิ้วบอกให้เตโชไปนั่งตรงโซฟา ก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนลายตารางมาสวมแล้วเดินเข้าครัวอันเป็นอาณาจักรอันแสนสุข
พอได้ทำอาหารผมก็เหมือนได้รับการปลดปล่อย ระบายความตึงเครียดตลอดวันผ่านการจับมีดทำครัว
หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ต้มยำกุ้ง หมูสับผสมข้าวโพดทอดกระเทียม และกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาก็วางเรียงบนโต๊ะ ผมตักข้าวมาสองจานแล้วเริ่มรับประทานอาหารโดยไม่รอเตโชที่เพิ่งจะยันตัวลุกเอื่อยๆ จากโซฟา
“มองอะไร กินสิ” ผมบอกกับคนหน้ามึนที่พอนั่งปุ๊บก็เอาแต่จ้องผมตาปริบๆ ไม่ยักจะจับช้อนสักที
“บทเช็กเมท”
...เวรล่ะ! ผมเผลอทิ้งบทเช็กเมทซีซันสองไว้บนโซฟานี่หว่า!!“นายอ่านรึยัง”
เตโชพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบสมุดจดและปากกายื่นให้ผม
“ลายเซ็น”
“...กินข้าวก่อนมั้ย ฉันไม่หนีไปไหนสักหน่อย”
เตโชพยักหน้ารับอีกรอบ ก่อนจะยอมจับช้อนส้อมสักที ผมแอบลุ้นในใจเมื่อเห็นเขาตักต้มยำชิมเป็นอย่างแรก
ลองบอกไม่อร่อยดูสิพ่อจะไล่กลับห้อง!ปรากฏว่าเตโชไม่ตอบอะไรสักคำนอกจากเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยประมาณศูนย์จุดศูนย์สองเซนติเมตร ก่อนจะลองชิมหมูสับผสมข้ามโพดทอดกระเทียมต่อ เขากินเข้าไปทั้งชิ้นแล้วกลืนลงคออย่างรวดเร็วจนน่าสงสัยว่าเคี้ยวละเอียดรึเปล่า จากนั้นก็จบท้ายที่กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา ดูจากการเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยไม่พูดไม่จาแล้ว...ผมถือว่าอร่อยก็คงได้สินะ
“ตอนอยู่ในรถฉันบอกให้ปลุกทำไมไม่ปลุกล่ะ” หลังพวกเราพากันกินไปครึ่งจานผมก็ชวนคุย
“ปลุกไม่ตื่น”
“นายปลุกยังไง”
เตโชตอบด้วยการเอื้อมมือมาจิ้มๆ แขนผม
...คงจะรู้สึกตัวหรอกนั่นน่ะ! “แล้วมีใครเห็นตอนนายอุ้มฉันขึ้นมารึเปล่า” ผมถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เกรงว่าไม่ทันจะดังประเดี๋ยวจะดับซะก่อน มิวสิกวีดีโอก็ยังไม่ทันเผยแพร่ ซีรีส์ก็ยังไม่ทันฉาย
เตโชส่ายหน้าเป็นคำตอบพร้อมกับแย่งชิงหมูทอดชิ้นสุดท้ายไปอย่างหน้าไม่อาย เฮ้ย! ผมอุตส่าห์เล็งไว้
“นายอยู่ที่นี่นานรึยัง” ผมข่มใจถามอย่างหงุดหงิด ส่วนเตโชซึ่งเคี้ยวหมูทอดสบายใจเฉิบชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งอะไร”
“หนึ่งปี”
หนึ่งปีเลยเหรอ แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้ย้ายตามมาสักหน่อย คิดมากไปเองสินะ
ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่หายสงสัยซะทีเดียว
“ทำไมนายไม่ตกใจเลยล่ะที่เห็นฉันอยู่ห้องข้างๆ ไหนบอกว่าอยากเจอมานานถึงขนาดระบุตัวไปถ่ายเอ็มวีไง”
“คมสันบอก” เตโชตอบพลางซดน้ำต้มยำจนเกือบหมดถ้วย
คมสัน...คมสันอีกแล้ว เขาคิดพิเรนทร์อะไรอีก!“บอกตอนไหน”
“วันที่ถ่ายเอ็มวี” เตโชพูดพลางจัดการกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาจนหมดจานตามสองอย่างแรกไปติดๆ... “คมสันบอกว่าจิระทำอาหารเก่ง ถ้าเจอให้ลองฝากท้อง หากอร่อยก็ไม่ต้องเกรงใจ”
คมสันโว้ย!!!ผมรู้สึกเสียใจทันทีที่ลงมือทำอาหารให้เตโช พูดแบบนี้แสดงว่าคิดฝากท้องกับผมไปอีกหลายมื้อน่ะสิ!
“แล้วคมสันบอกอะไรอีก” ผมวางช้อนส้อม หมดอารมณ์จะแย่งชิงกับเด็กหนุ่มผู้หิวโหย
“บอกว่าจิระมีรถขับ เวลาไปทำงานก็ขอติดรถได้ จิระใจดี”
ผมอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะตายไปซะ
...แต่ก็นึกได้ว่าชีวิตยังมีค่าเกินว่าจะมาตายโง่ๆ แบบนี้
“แล้วมีอะไรอีก” เส้นเลือดข้างขมับผมเต้นตุบๆ
“จิระชอบกินสตูเนื้อ ชอบนอนดึก ชอบทำอาหาร ชอบสะสมของแพงๆ แต่ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบไหว้คนอาวุโสกว่า ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอ...”
“พอๆๆ!” ผมทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว รีบยกมือห้ามเตโชก่อนจะลุกขึ้นมาอาละวาดพ่นไฟทำลายล้างเพื่อบรรเทาความเกรี้ยวกราด จุดประสงค์ของคมสันคืออะไร เขาคิดจะจับคู่กับเตโชเรอะ ใช้เล็บขบของหัวแม่เท้าคิดรึไง!
“ลายเซ็น”
...ให้ตายเถอะเตโช รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ยว่าโดนเลขาใจเหี้ยมคาดหวังอะไรบ้าง!ผมถอนหายใจเฮือก เห็นเขามึนขนาดนี้จะยอมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วกัน
“ฉันจะเซ็นให้ถ้านายรับปากว่าจะไม่ขอติดรถฉัน ไม่มาฝากท้องที่ห้องฉันอีก”
พลันเตโชผงะเล็กน้อย เงยมองผมอย่างอึกอัก
“จิระ...ไม่ใจดี?”
“เออ ฉันไม่ใช่จิระคนใจดี แล้วจะทำไม” ผมเชิดหน้าวางท่าหาเรื่องเต็มที่ แอบนึกกลัวเตโชอาละวาดอยู่เหมือนกัน แต่ปรากฏว่าเขาทำหน้าห่อเหี่ยว ปานเด็กน้อยที่ค้นพบว่าดาราในดวงใจไม่เป็นดังฝัน
“รับปากสิ!”
“อืม...”
จบเรื่องจบราวกันสักที ผมเซ็นชื่อให้เตโช ก่อนจะไล่เขาออกจากห้องด้วยความปลื้มปิติเป็นล้นพ้นที่หลุดจากกับดักของจอมวายร้าย
อย่าคิดว่าจะเป็นดังใจซะทุกเรื่องเลยคมสัน! ฉันคือจิระ จิระที่เป็นโสดและรักตัวเองที่สุดโว้ย!! -------------
มาแล้วค่ะกับการพลิกบทบาทตัวจริงเสียงจริงของจิระ แฟนคลับมิสเตอร์เอสจากเรื่องก่อน มาติดตามกันต่อกับซีเคร็ดในภาคนี้นะคะ รับรองแซ่บสมเป็นจิระแน่นอน คนละคนแสดงก็ตีความไปคนละแบบเนอะ ส่วนเตโช....ก็ยังคงมึนอึนกันต่อไป คมสันวางแผนอะไรอยู่...ตอนหน้ามีเฉลยค่ะ! เพราะ #จิระผู้เกรี้ยวกราด ไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน!!
อ่านแล้วชอบขอคอมเม้นเป็นกำลังใจกันด้วยน้า เรื่องนี้คงอัพช้าหน่อยค่ะเพราะก่อนหน้านี้บ้าพลังไปนิด รีปริ้นคิงคลับแล้วแต่งจิตรินต่อรัวๆ ไม่พักเลยเพราะกลัวออกไม่ทันงานหนังสือ เลยรู้สึกเร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้น แต่รับประกันว่าจะไม่ทิ้งช่วงนานค่ะ

เพจนักเขียนที่โสดเลยอัพฉลองวันคนโสด