ตอนที่ 7
หิวรักฉบับโปกฮา 100%
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็ต้องลากเตโชมาบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์เพื่อถ่ายทำมิวสิกวีดีโอ
“จิระ แล้วลายเซ็นเตโชของพี่ล่ะ!”
เหวอ ลืมไปเลย!ผมยิ้มประจบเอาใจพี่ช่างแต่งหน้าที่ทำแก้มป่อง เพราะยังต้องพึ่งพาอาศัยกันอีกนานทั้งในกองถ่ายครั้งนี้และซีรีส์เช็กเมท ก่อนจะรีบเอากระดาษที่ติดกระเป๋าไว้ตลอดเดินไปขอลายเซ็นกับเตโชซึ่งนั่งทำหน้ามึนอึนอ่านบทราวด้วยสีหน้าคลับคล้ายจะว่างเปล่า...
“ไหวมั้ยนั่น” เห็นท่าทางของเขาแล้วอดถามไม่ได้จริงๆ ผมทิ้งตัวนั่งข้างเตโช ชะโงกหน้าดูบทของเขา
...คำบรรยายสามบรรทัดช่างง่ายดายเสียนี่กระไร เขาแค่ยิ้มแย้มกับแฟนสาวอย่างมีความสุข โดยผมต้องแอบมองห่างๆ ทุกข์ตรมบรมโศก คำพูดสักคำก็ไม่มี แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายสำหรับเตโช
“คิดยังไงถึงได้เสนอตัวเองเนี่ย” ผมถอนหายใจเฮือกอย่างกลัดกลุ้มแทน เพราะถ้าการถ่ายทำไม่ราบรื่น พระเอกมิวสิกวีดีโออย่างผมก็ไม่สบายใจ “เอ้า เซ็นก่อน แล้วฉันจะช่วยนายเอง”
เตโชมองกระดาษแข็งและปากกาด้วยสีหน้างงงวย
“งงอะไร คนที่ขอน่ะโน่น พี่ช่างแต่งหน้าประจำบริษัท” ผมชี้ไปที่หนุ่มร่างบึกในชุดกระโปรงสีขาวซึ่งโบกมือทักทายเตโช “คิดว่าฉันจะพิศวาสนายรึไง ฝันไปเถอะ”
เตโชไม่หือไม่อือ แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาประจานรูปผมหน้าเคลิ้มในรายการสัมภาษณ์
“โว้ย ไอ้บ้านี่ เซฟเป็นรูปหน้าจอเลยเหรอ!” ผมรีบคว้าโทรศัพท์เขามากดลบ เห็นแล้วก็ขนลุกพรึ่บพรั่บไปหมดเพราะรายการนั้นพูดจริงทำจริง ตอนนี้ห้องของเตโชเลยมีรูปผมใส่กรอบแขวนอยู่กลางกองขยะ เคยคิดอยากจะเผาทิ้งอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่านับจากวันนั้นไอ้หมาหิวโหยนี่ไม่ยอมให้ผมเข้าห้องราวรู้ทัน!
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้พิศวาสเตโช หมอนี่ก็ไม่ได้พิศวาสผมเหมือนกัน แต่เขาบ้าร้องเพลงไง พอเห็นผมทำหน้าหลงใหลได้ปลื้มขนาดนั้นก็อยากเก็บเป็นที่ระลึก ใช้เป็นเครื่องรางเพิ่มพูนขวัญกำลังใจ ถ้าให้เปรียบเปรย ก็คงเหมือนกับที่ผมชวนเขามานั่งดูเช็กเมทด้วยกัน เพราะเตโชจะตั้งใจมองมิสเตอร์เอสหรือซีเคร็ทมากเป็นพิเศษแม้จะมีบทน้อยนิด เห็นแล้วพลันรู้สึกว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปนั้นมีคนเห็นค่า ไม่ต้องห่วงเรื่องข่าวฉาวหรือจับผิด จนจิตใจซาบซ่านกระชุ่มกระชวยกำลังดี
...แต่ผมอายไง! อายมากๆ เลยด้วย!!
“เซ็นเร็ว เดี๋ยวมีคนเห็นแล้วเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นแฟนคลับนาย”
“แล้วไม่ใช่เหรอ”
เตโชไอ้คนเฉื่อยจอมถ่วงเวลา! จะชูกระดาษแข็งขึ้นสูงๆ เหมือนประกาศให้โลกรู้ทำไมหา!!
“ฉันไม่หน้ามืดขนาดเป็นแฟนคลับคนที่แต่งเพลงจากจิ้งจกสองตัวและกินอาหารอร่อยเยอะเกินไปหรอกนะ” ผมจับแขนเขาให้ลดระดับลงมา ก่อนจะยัดปากกาใส่อุ้งมือแกมบังคับ
“ก็แต่งเพราะอยากร้อง”
“ร้องเกี่ยวกับแชมปิญองและน้ำพริกกะปิน่ะเหรอ” ผมทำหน้าละเหี่ยใจใส่เขา
“เป็นคนพูดไม่เก่ง” เตโชชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เออ ก็รู้จักตัวเองดีนี่ “เลยเลือกร้องเพลงแทนเล่าเรื่อง”
เห็นสีหน้ามึนอึนแต่เชื่อมั่นในการร้องเพลงอย่างเต็มเปี่ยมแล้วผมคลับคล้ายจะโดนหมัดน็อกเบาๆ จนแทบจุก กับคนที่ปากบอกว่าเกลียดอาชีพดาราอย่างผม แต่ต้องอยู่ในวงการแถมยังใช้วิธีสกปรกปลุกปั้นตัวเองทั้งการใช้เส้นแล้วยังจับคู่กับคนตรงหน้าหวังแย่งกระแสนิยมจากแฟนคลับของเขา...ไม่มีสิทธิ์อะไรไปต่อว่าเตโชได้เลย ถึงเหตุผลจะประหลาดไปบ้าง แต่สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
เอ่อ...อาจจะผิดปกตินิดนึงมั้งทำไมจู่ๆ ตรรกะของผมถึงได้เป๋ๆ ไปชอบกล เห็นแชมปิญองกับน้ำพริกกะปิเป็นเรื่องถูกเรื่องควรซะอย่างนั้น! ไม่ ไม่ ไม่ จิระ ดึงสติตัวเองเดี๋ยวนี้นะ อย่าให้คนหน้ามึนครอบงำเด็ดขาด!
ผมหยิบยาดมขึ้นมาสูดเฮือกหนึ่ง ก่อนจะหันไปถองศอกใส่เตโช ชี้นิ้วให้เขาลงลายเซ็นสักที
คนหน้ามึนยอมทำตามคำสั่งจนได้ สงสัยพูดดีๆ ไม่ชอบต้องให้ใช้ความรุนแรงสินะ เอาเถอะ เห็นแก่มิตรภาพอันดี ผมขอปฏิญาณว่าจะไม่ดูถูกความมุ่งมั่นตั้งใจของใครอีก โดยเฉพาะกับเตโชที่แสนจะอินดี้และมีสไตล์เป็นของตัวเอง
“จิระ เตโช สวัสดีจ้ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
พลันเบื้องหน้าผมมีสาวสวยเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร เธอคือนางเอกมิวสิกวีดีโอในครั้งนี้นั่นเอง
“สวัสดีครับ” ผมรีบสวมหน้ากากเด็กหนุ่มแสนสุภาพทันที แต่คนข้างกายดันก้มหน้าก้มตาเซ็นไม่สนใจโลกเอาซะเลยจนต้องก้มกระซิบเตือนข้างหู “เตโช มารยาทโว้ยมารยาท”
“ดีครับ” เตโชพยักหน้ารับ ท่าทางไร้อารมณ์สุดขีด แบบนี้จะเข้าฉากจู๋จี๋รอดเหรอเนี่ย
“เตโชเขาเป็นมือใหม่น่ะ อย่าถือสาเลย” ผมหันไปพูดกับสาวงาม “ส่วนนาย...ลุกมายืนดีๆ อย่าทำหลังค่อม นั่นแหละ หน้าก็ให้มันสดชื่นหน่อย แล้วควงแขนเป็นมั้ย ในฉากนายต้องเดินควงแขนกับเธอนะ!”
ผมทั้งตีหลัง ทั้งตบหัว แล้วยังกระชากแขนเตโชปานทารุณกรรม เล่นเอาดาราสาวเผลอผละห่างไปสามก้าว...
คล้ายจะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนโฉดไปแล้ว ผมตีเบาจะตายทำไมต้องมองด้วยสายตาหวาดผวาขนาดนั้นด้วยนะ เตโชยังไม่เห็นจะสะทกสะท้านอะไรเลย ดูมือผมซะก่อน...แดงเถือกดูเจ็บหนักกว่าเขาอีก!
เพราะรับปากไปแล้วว่าจะช่วยเขาเตรียมบทก่อนเข้าฉาก ผมเลยยอมหน้าด้านหน้าทนทรมานเตโชต่อหน้าดาราสาว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถสลัดสีหน้ามึนอึนไร้อารมณ์รักใคร่สักที จนกระทั่งผู้กำกับเรียกหมอนี่ไปลองเล่นหน้ากล้อง ความวิบัติก็บังเกิด
“คัต!”
“คัตต!!”
“คัตตตตต!!”
...แค่ฉากเดินควงแขนยังทำได้ไม่ครบสามก้าวเลย!
ผมมองจอมอนิเตอร์แล้วรู้สึกคล้ายเส้นสมองเต้นตุบๆ นี่มันเหมือนหญิงสาวที่กำลังหลงรักตุ๊กตาตัวโตแล้วลากมันมาเดินเล่นชัดๆ! ไหนกันความรักที่ทำให้ผมซึ่งอกหักรักคุดพร่ำเพ้อถึงอาหารสารพัดเมนูจนตรอมใจน้ำตาท่วม ผมแทบจะทึ้งศีรษะตัวเองเพราะปรับอารมณ์แสดงต่อจากพวกเขาไม่ทัน
“จิระ เราลองก่อนมั้ย” ผู้กำกับตัดใจจากเตโชแล้วหันมาหาผมหวังดึงบรรยากาศในกองถ่ายให้ราบรื่น
“ผม...” ผมถือยาดมเป็นคำตอบ สภาพจิตใจไม่พร้อมเพราะมัวกังวลกับเตโชจนรวบรวมสมาธิไม่ได้! ใครกันนะที่ยอมให้เขามาร่วมแสดงด้วย เป็นแอนตี้แฟนของผมรึเปล่า! นี่คือแผนล่มกองถ่ายของผู้ไม่หวังดีใช่มั้ย!
“ผมขอเปลี่ยนบทได้มั้ยครับ”
หลังได้กลิ่นพิมเสนช่วยดึงสติ ผมก็บังเกิดไอเดียขึ้นมา หลังกระซิบกระซาบกับผู้กำกับและได้รับอนุญาต ก็รีบวิ่งไปหยิบกีต้าร์คู่ใจของเตโชในห้องแต่งตัวออกมา ก่อนจะเสนอหน้าเข้าฉาก บอกให้ทั้งเตโชและดาราสาวนั่งบนเก้าอี้ ไม่ต้องควงแขนเดทหรอก แต่ร้องเพลงรักให้กันน่าจะรุ่งกว่า!
ได้ผล เพราะพอเตโชได้จับกีต้าร์ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ผู้กำกับสั่งเดินกล้องเมื่อชายหนุ่มเริ่มบรรเลง
ดูสิ ดูดวงจันทร์นั้นสิ ดวงจันทร์ดวงนั้นกินได้มั้ย จะเหมือนข้าวที่เธอทำรึเปล่า
รสชาติจะคล้ายแกงส้มชะอมไข่หรือไม่นะ แล้วมีปลาทูทอดมั้ย น้ำพริกกะปิล่ะมีรึเปล่า
ดูสิ ดูโต๊ะที่ว่างเปล่าสิ มันเคยมี...“คัต!”
ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ภาพออกมาดี ดาราสาวเองก็เคลิ้มไปกับเสียงทุ้มนุ่มของเตโชราวตกหลุมรัก เสียอย่างเดียว...หมอนี่ดันร้องเพลงอกหัก! สีหน้าท่าทางเลยออกมาจุกหน่วงไม่เข้ากับบทสักนิดเดียว!!
“เตโช ร้องเพลงรักสิ เพลงจีบสาวน่ะ” ไม่ต้องรอให้ผู้กำกับสั่ง ผมที่คล้ายจะเป็นพี่เลี้ยงเตโชไปแล้วก็ปราดไปปรับความเข้าใจคนหน้ามึนทันควัน
“ไม่เคยแต่ง”
“ร้องเพลงคนอื่นก็ได้!” อีกนิดจะยกมือไหว้เขาอยู่แล้ว “ขอร้องล่ะให้มันจบๆ ไปที!”
น้ำใสปริ่มขอบตา หาใช่มารยาแต่มาจากใจจริง เตโชเห็นสีหน้าโศกศัลย์ยิ่งกว่าอกหักของผมก็ยอมพยักหน้ารับ แต่ไม่รู้ว่าจะรุ่งหรือร่วง...
ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครต้องการเริ่มประโยคแรกมาเห็นแววล่มอยู่ลิบๆ ผู้กำกับใกล้จะสั่งคัตอยู่แล้วถ้าไม่เพราะแววตาของเตโชเปลี่ยนไป
จากที่แฝงความร้าวลึกพลันเผยความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นมา จากฤดูหนาวกลับกลายเป็นฤดูใบไม้ผลิ
แต่เมื่อมีเธอเข้ามา ข้างกายฉันไม่เคยเงียบเหงา
อยากมีเธอแบบนี้ทุกวัน เพื่อให้ตัวฉันมีชีวิตในแบบที่ไม่เคยเป็น
ฉันจะเข้าใจเธอ จะรับฟังเธอ จะต้องการเธอ
จะไม่แยกจาก และเคียงกันตลอดไป“ค...คัต!”
ไม่มีคำบรรยายใดๆ นอกจากเสียงปรบมือจากคนในกองที่ชื่นชมในตัวเตโช ไม่...ไม่ใช่ว่าเขาแสดงดี แต่เสียงร้องของเขาราวกับขับกล่อมบรรยากาศให้นุ่มละมุนปานภาพฝัน แม้สุดท้ายต้องตัดออกไปเพราะเป็นเพียงฉากหนึ่งในมิวสิกวีดีโอ แต่สีหน้าท่าทางยามร้องเพลงนั้นไม่ต่างกับชายหนุ่มกำลังซึมซับความรู้สึกรักอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเชื่ออย่างหมดใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งอย่างแน่นอน
“สุดยอดเลยค่ะ” ขนาดคนดูนอกฉากยังหวั่นไหวขนาดนี้ ดาราสาวที่ถูกร้องเพลงรักต่อหน้าย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ราวกับว่าเพิ่งถูกขอแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น “ตั้งแต่วันนี้ไปฉันต้องผันตัวเป็นแฟนคลับของเตโชแน่ๆ”
“ขอบคุณครับ” เตโชที่กลับเป็นสีหน้ามึนอึนอีกครั้งตอบเสียงเรียบเป็นมารยาท ก่อนจะเดินเอื่อยๆ หาผม
“ไหนว่าแต่งเพลงรักไม่เป็นไง”
“ไม่ใช่เพลงรัก” เตโชส่ายหน้า “เพลงมิตรภาพ”
“หา...” ผมอ้าปากค้างอย่างงุนงงสุดขีด เพลงมิตรภาพอะไรบอกว่าจะใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไปวะ ไอ้หมอนี่มันอ่อนเรื่องความรักหรือไม่รู้จักความรักกันแน่
“พร้อมมั้ยจิระ” ไม่ทันได้ถามเพิ่มเติมผู้กำกับก็เรียกผมให้เตรียมเข้าฉากต่อไป
“ขอห้านาทีครับ!” ผมเดินสวนเตโชไปนั่งหลับตาทำสมาธิคนเดียวอยู่มุมห้อง ทุกครั้งก่อนถ่ายทำ ผมมักจะปลีกวิเวกอย่างนี้เสมอเพื่อทบทวนถึงตัวละครที่ต้องแสดง ดึงความรู้สึกจากภายในออกมา แทนตัวเองเป็นคนในจินตนาการที่กำลังจะโลดแล่นผ่านจอ
“พร้อมแล้วครับ” ผมลืมตา ก่อนจะเดินเข้าฉากซึ่งเป็นระเบียงที่รอบด้านคลุมผ้าใบสีเขียวสำหรับใส่กราฟฟิก เพราะดวงจันทร์ที่ผมเห็นไม่ใช่ดวงจันทร์ธรรมดา แต่เป็น...
ดูสิ ดูดวงจันทร์นั้นสิ ดวงจันทร์ดวงนั้นกินได้มั้ย จะเหมือนข้าวที่เธอทำรึเปล่า
รสชาติจะคล้ายแกงส้มชะอมไข่หรือไม่นะ แล้วมีปลาทูทอดมั้ย น้ำพริกกะปิล่ะมีรึเปล่า
ดูสิ ดูโต๊ะที่ว่างเปล่าสิ มันเคยมีข้าวผัดหมูของเรา ไก่ทอดของเรา ไข่เจียวของเรา
ต้มยำกุ้งที่ฉันเคยชมว่าอร่อยนัก แกงจืดที่ฉันยกซดไม่ยอมแบ่ง กะหล่ำปลีทอดน้ำปลาที่ฉันติดใจ
แต่เธอเล่าหายไปไหน หรือฉันไม่สำคัญ จึงไม่ได้นั่งกินด้วยกันกับเธอ...เป็นสารพัดเมนูอาหารที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเนื้อร้อง!!!
แค่นึกก็ตลกแล้วใช่มั้ยล่ะครับ ทั้งที่เป็นเพลงอกหัก แต่ผู้กำกับและค่ายเพลงคิดเห็นตรงกันว่าควรถ่ายทำแบบเศร้าปนฮา แล้วความซวยมาตกที่ใคร ก็ตัวผมไงที่ต้องรับบทคนไม่เอาอ่าวที่ถูกผู้หญิงสลัดทิ้งไปหาผู้ชายคนใหม่ที่ดีกว่า จนนอนพังพาบอยู่ตรงระเบียง กุมท้องหิวข้าวทำตัวไหลเหมือนคนกำลังจะตาย
ตรอมใจตาย?
เปล่า หิวตาย!!
ผมต้องแสดงสีหน้าระทมทุกข์เมื่อคิดถึงคนรัก ขณะเดียวกันก็ต้องทำตัวให้ดูหิวโซมากที่สุด นี่มันยากกว่าแสดงเป็นซีเคร็ทซะอีก! ต้องดูน่าสงสารและขำไปด้วยในคราวเดียวกัน สำออยนิดๆ เล่นใหญ่หน่อยๆ แถมระหว่างเพลงยังมี...
โครกกกมีเสียงท้องร้องแทรกอีกต่างหาก!
ตรงจุดนี้เพิ่มขึ้นมาเพื่อสร้างความขบขันในมิวสิกวีดีโอในช่วงจบท่อนฮุคแรกเท่านั้น โดยผมต้องทำเป็นตกใจแล้วพยายามลากตัวเองออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรทาน ไม่งั้นต้องหิวตายคาระเบียงอย่างแน่นอน แต่ระหว่างที่เดินตัวโซเซอย่างไร้จุดหมายนั้น...ผมก็ไปเห็นภาพบาดตาเข้า
ครับ ก็ภาพของเตโชที่ร้องเพลงรักให้ดาราสาวฟังยังไงล่ะ
วินาทีนั้นผมต้องทำหน้าใจสลาย วิ่งกลับห้องด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเสียสติอยู่นิดๆ ร้องไห้คร่ำครวญพอเป็นพิธีจนกระทั่งในช่วงท้ายเพลง...ความหิวก็ทำให้ผมต้องสู้! ผมเดินเข้าห้องครัวที่ถูกเซ็ทเอาไว้ ไม่สามารถใช้ในการประกอบอาหารได้จริง แต่ก็มีอุปกรณ์สำหรับหยิบจับ สำหรับผมที่คุ้นเคยอยู่แล้วนั้นถนัดมือยิ่งกว่าถือปืนเข้าฉากเป็นไหนๆ จึงสวมผ้ากันเปื้อนก่อนจะทำหน้ามุ่งมั่น นับจากนี้จะไม่ง้อคนรักเก่าอีกต่อไป ผมจะทำอาหารด้วยตัวเอง!
แต่...ไม่รอด
วันที่ฉันล้า ใครจะเติมพลังงานให้มีกำลัง
วันที่ฉันไม่สบาย ใครจะทำข้าวต้มให้หายป่วย
วันที่ฉันเหงา ใครจะเรียกให้กินข้าวด้วยกัน
ขาดเธอคนดีนั้น ตัวฉันจะมีชีวิตอย่างไร โปรดตอบที
ฉากสุดท้ายคือภาพผมที่นั่งทรุดกอดเข่าอย่างหดหู่ โดยมีครัวพังพินาศเป็นฉากหลัง นี่มันไม่ใช่ความจริงสักนิด! ผมทำอาหารเก่งจะตายไม่มีวันทำลายครัวเด็ดขาด! แต่ในเมื่อผู้กำกับต้องการให้ผมเป็นพระเอกมิวสิกวีดีโอที่อ่อนแอ หิวโหย และห่วยแตกเรื่องการทำอาหาร ภาพจึงออกมาเศร้าปนฮาอย่างที่ตั้งใจไว้ หมดกัน...ภาพลักษณ์ที่ผมสั่งสมมา ฮึก!
ลาก่อนมิสเตอร์เอส ลาก่อนซีเคร็ท“คัต! ทำได้ดีมากจิระ!!”
ผมแทบจะปั้นยิ้มไม่ออกเมื่อได้รับคำชม ยอมรับว่าเมื่อครู่ทุ่มเทเต็มที่ทั้งตัวและหัวใจ อย่าเข้าใจผิด ผมแค่ไม่อยากถูกเทคบ่อยๆ! ก็ดูหน้าคนในกองแต่ละคนสิ ยิ้มนิดยิ้มหน่อยกันใหญ่ เห็นแล้วใจไม่ดีเลย...
ขากลับผมรีบลากเตโชออกมาจากสตูดิโอ อับอายเกินกว่าจะสบตาคนอื่นไหว พร้อมส่งกุญแจให้คนหน้ามึนขับเพราะหมดสิ้นซึ่งพลังงานจะดำรงชีวิตต่อแล้วในวันนี้...
“สนุกเนอะ”
เปลือกตาผมกระตุกหนึ่งที ก่อนจะถลึงมองเตโชพร้อมเกรี้ยวกราด
“สนุกเหรอ นี่นายเห็นเป็นเรื่องสนุกเหรอ!”
เตโชพยักหน้า มองผมด้วยสายตาประหลาดใจ
“อย่าบอกนะที่นายเสนอตัวมาเล่นเอ็มวีด้วยเพราะคิดว่ามันน่าสนุกน่ะ”
“ก็จิระ...ดูสนุก”
“พูดอะไรของนาย” ผมแยกเขี้ยวใส่เขา “ฉันเกลียดการเป็นดารา”
“แต่จิระ...ไม่เคยบอกว่าเกลียดการแสดงนี่”
เหมือนมีค้อนทุบเข้าอย่างจัง ผมชะงักกึก เพิ่งรู้สึกถึงความย้อนแย้งของตัวเองเป็นครั้งแรก
ที่เตโชพูดมาเป็นความจริง ผมเกลียดการเป็นดารา แต่ไม่ได้เกลียดการแสดง
ออกจะ...ชอบซะด้วยซ้ำไป“ผมชอบร้องเพลง จิระเข้าใจ” วันนี้เหมือนเตโชจะพูดมากผิดปกติ “จิระชอบการแสดง ผมเข้าใจ”
“พูดบ้าอะไรของนาย”
เตโชไม่ตอบ แต่หันไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถ พร้อมฮัมเพลงออกมาเบาๆ
ให้ตายสิ เสียงของเขามันน่าอิจฉาจริงๆ ขนาดฮัมยังเพราะขนาดนี้ อารมณ์ฉุนเฉียวของผมเลยพลอยบรรเทาลงไปด้วย
แต่ทำนองมันคุ้นๆ เหมือนเพิ่งฟังชอบกลสิน่า
----------
ในที่สุดก็เริ่มเห็นความคืบหน้าของคู่นี้แล้วใช่มั้ยคะ!
การจะทำให้เตโชกับจิระมาลงเอยกันนั้นถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เรานี่ลุ้นยิ่งกว่าให้ซีเคร็ทปรากฏตัวอีก 555
เริ่มเผยมุมมองในหลายๆ อย่างของเตโชค่ะ แรกเริ่มอาจจะเหมือนเด็กเอ๋อดูมึนๆ งงๆ แต่ความจริงแล้วเตโชก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ออกจะอินดี้และมีความเป็นตัวเองสูงไปสักนิด
มาลองเปรียบเทียบความต่างสุดขั้วของทั้งคู่กันดีกว่าค่ะ
เตโชนั้นรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ชอบทำอะไร และทุ่มเทไปหมดใจจนไม่สนใจคนอื่นเพราะคิดว่าไม่มีเข้าใจ จนเป็นคนไม่พูด ไม่สื่อสารกับใคร ร้องเพลงอย่างเดียว ( กว่าจะมาถึงจุดนี้ เชื่อเถอะค่ะว่าไม่ได้มีแค่แชมปิญองกับน้ำพริกกะปิแน่นอน )
ส่วนจิระ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร กำลังทำอะไร อยากทำอะไร ต้องมีคนคอยชักจูงนำทาง (ยกเครดิตให้คมสัน) เข้ากับคนอื่นไม่ได้เพราะขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
มาเอาใจช่วยทั้งสองหนุ่มด้วยกันนะคะ อย่างน้อย...เตโชก็มีอะไรดีกว่าเสี่ยที่มโนเก่งอย่างเดียวนะ 555
เพจนักเขียนที่คิดว่าถ้าด้านการแสดงไปไม่รอด เอาดีด้านตลกก็ได้นะลูกจิ
#แซะเพราะรัก #จิระผู้เกรี้ยวกราด