ตอนที่ 9
โฆษณาตัวแรกของจิระ
ไม่ง่ายที่จะได้ร่วมงานกับพาย เพราะในซีรีส์ผมจะได้เข้าฉากกับอัครเดชหรือธนัทมากกว่า ทำให้จนถึงตอนนี้ก็แทบไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย แต่สายตาที่มักมองตามเสมอนั้นมันชวนจั๊กจี้ชอบกล ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพายคิดยังไงกับผม...และจิตรินเคยไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว
แต่...
“นายมาทำไม!”
ครับ วันถ่ายโฆษณา เตโชที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยติดรถผมมานั่งจ๋องอยู่ในสตูดิโอซะอย่างนั้น ช่วงนี้เขางดรับงานเพื่อทุ่มเทในการแต่งเพลงอย่างเต็มที่ จึงทำตัวเอื่อยเฉื่อยลอยไปลอยมาได้สุขเกษมเปรมปรีดิ์น่าอิจฉาเป็นที่สุด
“ให้กำลังใจ”
ผมทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เขา คนอย่างจิระไม่ต้องมีสล็อตมาให้กำลังใจก็ได้โว้ย
“หนาวมั้ย”
เตโชชี้มาที่ชุดของผมซึ่งค่อนข้างอวดเรือนร่าง เป็นเสื้อแขนกุดครึ่งตัวเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบเรียบ เพราะรู้ว่าต้องใส่ชุดนี้ผมเลยลงทุนไม่กินข้าวตั้งแต่เมื่อเย็นวานเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาว่าลงพุง แล้วดูไอ้คนหน้ามึนตรงหน้าสิ เปิดกล่องข้าวในกองกินกันต่อหน้า เห็นแล้วหิวน้ำลายแทบไหล นี่มันทรมานกันชัดๆ
“ไม่หนาว”
หิวมากกว่าผมเอ่ยต่อในใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องใบหน้าที่ต่างไปจากเดิมอย่างสนใจ ขอบตาถูกกรีดซะคมกริบ เส้นผมเสยไปด้านหลังเปิดเผยโครงหน้าชัดเจนจนดูราววายร้ายอย่างบอกไม่ถูก แถมยังใช้สเปรย์ย้อมเป็นสีดำเข้ากับคอนเซปงานอีกต่างหาก เท่ากับว่าตอนนี้ถ้าไม่นับสีผิวแล้วผมโดนย้อมดำไปหมดทั้งตัว
ผมหมุนซ้ายหมุนขวา ข้อแตกต่างระหว่างเวอร์ชั่นจิตรินกับของผมคือเสื้อคลุมที่มีขนนกติดเพิ่มขึ้นมาเพื่อความหรูหรา ผมยืนสะบัดไปสะบัดมาดูขนนกที่สละชีพทีละเส้นแก้เบื่อระหว่างรอพายแต่งตัว เตโชคงรำคาญเลยจับแขนผมให้นั่งข้างๆ แล้วยกช้อนจ่อปาก
“ไม่กิน” ผมบ่ายหน้าหนีพร้อมกลืนน้ำลายด้วยความหิวโหย คล้ายจะได้ยินเสียงท้องร้องเป็นทำนองเพลงหิวรักชอบกล “ถ่ายเสร็จค่อยกิน”
“เดี๋ยวเป็นลม”
“ฉันไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” ผมถลึงตาใส่เตโช ตอนนี้ก็แต่งตัวคล้ายจอมมารอยู่แล้ว พอทำหน้าดุเลยดูน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า แต่คนหน้ามึนไม่สะทกสะท้านจนผมใจแป้ว หยิบโทรศัพท์มาส่องอีกครั้งว่าภาพลักษณ์สีดำแบบนี้ไม่ช่วยให้น่าเกรงขามบ้างเลยรึไง
“จิระ พายพร้อมแล้วจ้า”
ผมเข้าฉากเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเดินออกมาจากห้องแต่งตัว พายสวมชุดแบบเดียวกับผม ขนนกสีขาวนั้นทำให้เขาเปล่งประกายคล้ายจะโบยบินขึ้นสวรรค์ ใบหน้าก็แต่งในโทนสีอ่อน พร้อมจะล่องลอยไปในอวกาศให้คนไขว่คว้าอยากจับจอง
แล้วดูผมสิ
ก้มมองเล็บปลอมสีดำยาวแล้วรู้สึกเหมือนมาถ่ายหนังสยองขวัญมากกว่าโฆษณาโทรศัพท์
“ทั้งสองคนมาติดสลิงเร็วเข้า”
ผมกับพายต่างไม่พูดไม่จา ในเมื่อเขาไม่ทักก่อนผมก็ยินดีปิดปากเงียบแม้จะแอบเหลือบเป็นระยะจนตาเกือบเป็นตะคริวก็ตาม โฆษณาครั้งนี้ต้องการความตื่นตาจากเดิมเพราะโทรศัพท์รุ่นใหม่นี้แม้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นแค่ไม่กี่อย่างแต่มีลวดลายพิเศษ นั่นคือเมื่อต้องแสงแล้วจะเกิดประกายคล้ายขนนก แม้จะเป็นลายเดียวกันแต่เมื่อแยกสีขาวกับสีดำกลับให้อารมณ์แตกต่างโดยสิ้นเชิง สินค้านี้มีจำนวนจำกัด ทำขึ้นมาในโอกาสครบรอบสิบปีของทางบริษัท เหมาะสำหรับนักสะสมโดยเฉพาะ
ความซวยของผมอยู่ที่ตอนเรียนกับจิตรินไม่มีการสอนเรื่องทรงตัวบนสลิง เพราะคนเขียนบทบอกว่าซีเคร็ทไม่จำเป็นต้องผาดโผนขนาดนั้น เมื่อโดนเกี่ยวสลิงที่กางเกงเลยรู้สึกพะวงอยู่ไม่น้อย ผิดกับพายที่ดูจะคล่องแคล่วคุ้นเคย ถ้าจำไม่ผิด พายเริ่มเข้าวงการจากบทตัวประกอบ ก่อนจะค่อยๆ ไต่เต้าจนกลายเป็นนักแสดงหลักในซีรีส์เช็กเมทซีซันสอง เทียบกันแล้วเขาผ่านประสบการณ์ทำงานมากกว่าผมหลายสิบเท่า
“จิหน้าซีดเชียว ไหวนะจ๊ะ”
“ไหวครับ”
ผมเริ่มแยกไม่ออกว่าตัวเองหน้าซีดเพราะหิวหรือเสียวกันแน่ เพราะดึงสลิงขึ้น ขาสองข้างห้อยต่องแต่ง ผมก็จับสายสลิงตัวเกร็งไปหมดเพราะกลัวตก โอ๊ย แค่โฆษณาโทรศัพท์ต้องเหาะเหินเดินอากาศขนาดนี้เลยเหรอ
“จิระอย่าหันไปหันมาสิจ๊ะ แล้วอย่าจับสายด้วย”
ไม่ให้จับด้วยเหรอ!?ตัวผมหมุนไปหมุนมาในอากาศ เพราะพอเบี่ยงตัวไปทางซ้ายก็หมุนติ้ว พอเบี่ยงตัวไปทางขวาก็หมุนติ้วอีก ไม่ว่าจะขยับทางไหน ตัวผมก็โซไปเซมาพร้อมจะหมุนติ้วๆ อยู่เสมอ แล้วจะให้ผมปล่อยมือได้ยังไง แต่เถียงไปก็ไร้ค่า ในเมื่อพายสามารถทรงตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมเลยจำใจต้องทำตามคำสั่งนั้น
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ละจากสายสลิงอย่างอาลัยอาวรณ์ประหนึ่งกำลังแยกจากของรัก ผมกลั้นใจ หลับตาปี๋ ตอนแรกยังดีอยู่หรอก แต่พอโน้มตัวไปข้างหน้าเท่านั้นแหละ...
“อ๊ากก!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อลำตัวพลิกตลบ เปลี่ยนให้ขาชี้ฟ้า หน้าชี้ดิ้น ผมดิ้นแด่วๆ อย่างตกใจเกินควบคุม มองไปมองมาคล้ายปลาติดเบ็ดที่กำลังขาดน้ำ ชักดิ้นชักงอกำลังพอดี
ทีมงานรีบเข้ามาช่วยจับตัวผมให้หยุดดิ้น ก่อนจะหย่อนสายสลิงลงมาเพื่อให้ปรับสมดุลร่างกายเสียใหม่ ผมลูบอก รู้สึกหน้ามืดคลับคล้ายจะเป็นลมเมื่อขาสัมผัสพื้นอีกครั้ง พอหันไปมองอีกฝั่งพายก็ถูกนำตัวลงมาพักชั่วคราว เพราะมีสิทธิ์ว่าต้องรอผมอีกนาน
“ไหวมั้ยจิ” พี่ช่างแต่งหน้าช่วยพัดและซับหน้าให้ผมอย่างเป็นห่วง เพราะเหงื่อเริ่มซึมตามใบหน้าและแผ่นหลังจากร่างกายที่เกร็งจนล้า
“ไหว...ครับ”
วินาทีไม่ไหวก็ต้องไหว! หลายคนมองผมอย่างลำบากใจ ปนด้วยความผิดหวังและเหนื่อยหน่าย อาจคิดว่าผมรับงานมาโดยไม่เตรียมตัวให้พร้อม แต่...ไม่เห็นมีใครบอกผมก่อนเลยว่าต้องไปห้อยโหนอยู่บนสลิงน่ะ!
ผมเงยมองความสูงแล้วกัดฟัน เอาวะ สู้ตายโว้ย!
หน้าท้องเริ่มวูบโหวงเมื่อถูกดึงขึ้นอีกครั้งด้วยความเชื่องช้าระดับเต่าคลานเพื่อให้ผมคลายความกลัว ครั้งนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย ผมเลยลองปล่อยมืออีกครั้ง ไม่ทันได้ดีใจก็หลุดร้องลั่นซ้ำประวัติศาสตร์เดิมเพราะหน้าทิ่มอีกแล้ว!
“ว้าย จิระ”
ผมคร้านจะดิ้นกระแด่วๆ เยี่ยงปลาติดเบ็ดอีกครา แต่เลือกที่ร้องหายาดมจากพี่ช่างแต่งหน้าเมื่อถูกพาลงมานั่งพักเป็นครั้งที่สอง
“อย่าใจร้อนสิจิระ ทรงตัวดีๆ อย่าขยับเร็วเกินไป อย่าลน อย่ากลัว”
ผมยิ้มเจื่อน ถ้าง่ายอย่างปากพูดก็ดีสิ ผมมองทีมงานที่พากันหาที่นั่งรอ มองผู้กำกับที่มองนาฬิกาอย่างหวั่นใจแล้วก็พลอยลนลานตามไปด้วย ไม่มีเวลาให้พักหรือปรับตัวนานกว่านี้แล้ว ผมสูดยาดมเข้าเต็มปอด มุ่งมั่นว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตีลังกาพลิกตลบ เพราะขืนนานกว่านี้...ผมเกรงว่าตัวเองจะไม่ไหว
ก็ท้องมันหิวสุดๆ!!
“จิระ อย่าหลุกหลิก!”
สติผมเริ่มจะลอยไกล ยิ่งหลายคนตะโกนให้คำแนะนำเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมึนเบลอเท่านั้น ในอกหวิว หน้าท้องโหวง พอเป็นแบบนี้เลยยิ่งไม่กล้าปล่อยมือเข้าไปใหญ่
ทันใดนั้นเอง...
เธอ...ลอยในอากาศ
เบาๆ ก็ขาด...เบาๆ ก็ปลิว“มาเบาๆ ขาดๆ เบาๆ ปลิวๆ อะไรตอนนี้หา!!” ผมตะโกนลั่น ชี้นิ้วด่าตามทิศทางเพลงอย่างลืมตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนพร้อมกันเงียบ ก่อนจะตั้งสติได้ว่ากองถ่ายครั้งนี้มีนักร้องหน้ามึนคนหนึ่งร่วมชมด้วย
วินาทีนั้นทุกคนพากันงง ไม่รู้ว่าจะปรามเตโชที่แทรกการถ่ายทำหรือท้วงผมว่าอย่าขึ้นเสียงก่อนดี
“อ้าว จิระ ปล่อยมือได้แล้วนี่นา”
ว่าไงนะ
ผมก้มมองตัวเองในท่าชี้นิ้วด่าเตโชแล้วพบว่าท่าตอนนี้กำลังสวยมากจนอยากให้ผู้กำกับยกกล้องถ่ายเดี๋ยวนี้เลย! เมื่อทำสำเร็จครั้งแรก ผมก็ค่อยๆ ขยับตัวอย่างใจเย็นขึ้นเพราะเริ่มมีกำลังใจ แม้จะดูทุลักทุเลอยู่บ้างแต่อยู่ในแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังถูกทิ้งให้ห้อยโหนอยู่บนสลิงจนพอปรับตัวและจับทริคได้ ทีมงานจึงเริ่มแยกย้ายกันไปเตรียมถ่ายทำ
ทันทีที่เท้าแตะพื้น ผมก็มองหาเตโชด้วยแววตาซาบซึ้งแกมขอบคุณ
แต่คนหน้ามึนดันหายหัวไปแล้ว!!
“เตโชหายไปไหนเหรอ” ผมกระซิบถามพี่ช่างแต่งหน้าระหว่างเดินออกจากฉาก เพราะทางผู้กำกับจะเริ่มถ่ายจากพายก่อนเพื่อเป็นไกด์ให้ผมกะจังหวะคร่าวๆ
“เอ...เมื่อกี้ยังอยู่เลยนะ ดูสิ กีต้าร์ก็ยังไม่เก็บ”
หรือจะไปเข้าห้องน้ำผมตั้งข้อสงสัย เชื่อว่ายังไงเขาคงไม่หนีกลับก่อนแน่ๆ เพราะเป็นฝ่ายขอติดรถมาด้วยกันเองในตอนเช้า
“จิ จับคิวให้ดีๆ นะจ๊ะ”
“ครับ” ผมหันมาเงยหน้าจับจ้องพายที่เริ่มการถ่ายทำด้วยฉากเปิดตัวแรก นั่นคือการทำท่าลอยในอากาศพร้อมขนนกสีขาวที่ถูกโปรยลงมาจากเบื้องบน ขาวสะอาดตา งามสง่าและบริสุทธิ์ พายเอื้อมมือแตะขนนกอย่างอ่อนโยน เผยรอยยิ้มซุกซนเล็กๆ พลางขยับเปลี่ยนท่าทางราวกับไม่ได้ทรงตัวอยู่บนสลิงสองเส้นยังไงยังงั้น
“คัต!”
ผมกลืนน้ำลาย ไม่มั่นใจตัวเองเอาซะเลยว่าจะทำได้ดีอย่างพาย
“จิระ พร้อมมั้ย”
“พะ...พร้อมครับ!” ผมมองไปทางที่นั่งว่างเปล่าและกีต้าร์หนึ่งตัวอย่างกังวล เมื่อไม่เห็นวี่แววคนหน้ามึนจะกลับมาก็หลับตาทำสมาธิขณะถูกเกี่ยวสลิงเตรียมท่องนภา
ท่องไว้จิระ...เธอลอยในอากาศ เบาๆ ก็ขาด เบาๆ ก็ปลิวผมร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมาเพื่อปลอบประโลมจิตใจไม่ให้ลุกลนจนเสียงาน
“แอคชั่น!”
ฉากของผมค่อนข้างคล้ายกับพาย นั่นคือการห้อยโหยอยู่บนสลิงขณะที่ขนนกสีดำถูกปล่อยลงมา แต่ผมต้องเหยียดยิ้มโฉด ใช้ดวงตาจิกกล้องอย่างมีพลังห้ามสั่นไหวหรือเผยความหวาดกลัวเด็ดขาด
โชคดีที่เป็นการถ่ายโฆษณาจำกัดเวลาแค่ไม่กี่นาที ภาพเปิดตัวสำหรับนักแสดงสองคนจึงกินเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แม้ผมต้องถ่ายซ้ำหลายเทค แต่ก็ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที
“คัต!”
แทบทุกคนในกองแทบถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ไอ้บ้าเตโช...ยังไม่กลับมาเลย
ตกส้วมตายไปแล้วเรอะผมคิดประชดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตบหน้าเรียกสติเพื่อเตรียมตัวสำหรับฉากต่อไป คราวนี้พายขึ้นมาลอยตัวอยู่ข้างๆ ผม พวกเราต้องต่อสู้กันโดยมีขนนกสีขาวและสีดำโปรยลงมาอย่างตระการตาพร้อมแสงสีเสียงที่ค่อนข้างโอเวอร์เกินจริง สำหรับท่าทางการปล่อยพลังนั้นมีการซ้อมคิวกันก่อนแล้วจึงค่อนข้างราบรื่น...รื่นอะไรล่ะ! วิบัติโคตรๆ!
คราวนี้ไม่ใช่แค่ผม แต่พายเองก็หวิดตีลังกาไปหลายตลบเพราะการสู้กันบนอากาศนั้นไม่ง่ายเลย พอเห็นเขาเองก็เสียการทรงตัว ผมเลยไม่กดดันตัวเองมากเพราะไม่มีข้อเปรียบเทียบอีกต่อไป
ฉากนี้กินเวลานานที่สุดร่วมสองชั่วโมง ผมสู้จนลิ้นห้อย จนหน้าซีด พายเองก็เหงื่อซึมทำท่าจะไม่ไหวแล้ว ผู้กำกับจึงได้ภาพที่พอใจ การต่อสู้ระหว่างสีขาวและสีดำนั้นไม่อาจตัดสินได้เด็ดขาด ฉากสุดท้ายจึงเป็นเราสองคนที่หันหลังชนกัน ถือสินค้าหันเข้าหากล่อง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันคนละขั้ว
“แล้วคุณล่ะ จะเลือกใคร”
ความน่าสนใจของโทรศัพท์รุ่นลิมิตเต็ดนี้คือการเผยยอดขายแบบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไลฟ์สดบนเพจ โดยแทนภาพสินค้าทั้งสองสีเป็นเราทั้งสองคนในท่าต่อสู้กัน ฉะนั้นคำพูดในตอนท้าย จึงกึ่งๆ ท้าทายว่ายอดขายของสีไหนจะดีกว่า เป็นการตลาดแบบแข่งขันโดยกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นจะมีการจัดงานเพื่อประกาศผล และจับรายชื่อผู้โชคดีที่ซื้อสินค้ามาเข้าร่วมงานมีตติ้งพิเศษของผมและพาย แต่ทางผู้ว่าจ้างได้กระซิบบอกพวกเราทั้งคู่แล้วว่าสุดท้ายจะตัดสินให้เสมอโดยไม่สนยอดแท้จริงเพื่อไม่ให้เป็นการหักหน้าพรีเซ็นเตอร์นั่นเอง
“คัต!”
ผมแทบจะหลั่งน้ำตาแห่งความปรีดาเมื่อจบงานสักที พอถอดสลิงออกไปได้ผมก็ชาไปทั้งตัว โดยเฉพาะช่วงง่ามขาและจิระน้อยที่เหมือนจะคอพับเสื่อมสมรรถภาพไปแล้ว
“ว้าย จิระ!”
“จิระ!!”
อ้าว ทุกคนร้องเรียกผมทำไม ผมก็ยังอยู่ดีไง...เอ...ทำภาพถึงพร่ามัวขนาดนี้ ท้องก็หวิวใจก็หวิว ผมเป็นอะไรนะ
“ยาดมอยู่นี่แล้วจิระ ยาดมลูกรักของจิระไง ตื่นมาดมมันเร็วเข้า!”
กลิ่นหอมแสนคุ้นเคยที่แทบจะยัดมาในรูจมูกทำให้ผมยกมือห้ามปราม แต่กลับเหนื่อยเหลือเกิน ทำไมมือมันหนักแบบนี้ ผมกะพริบตาปริบพยายามปรับภาพให้ชัด ก่อนจะเห็นเงารางเลือนของคนหลายคนที่เข้ามารุมล้อม
“อย่ารุมๆ เว้นที่ให้จิระหายใจหน่อย!”
...อย่าบอกนะว่าผมเป็นลม!!
สติเริ่มหวนคืนขึ้นมาทีละนิด ทำให้ผมตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นลมจริงๆ ซะด้วยสิ ก็เล่นตีลังกาคว่ำหงายขนาดนั้นไม่อ้วกก็บุญแค่ไหนแล้ว ผมหิวจนแสบท้องไปหมด กวาดตามองด้วยสภาพร่างกายที่ยังร่อแร่เพื่อมองหาใครบางคน...
“อ้าปาก” คนที่ควรจะตกส้วมแทรกวงเข้ามาอย่างเป็นปริศนา พร้อมส่งหลอดเข้าปากผมอย่างรู้ใจ อา...นี่มันน้ำเย็นนี่นา พอได้ดมยาดม ดื่มน้ำ ผมก็เริ่มค่อยยังชั่วขึ้นแม้จะยังมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง เมื่อเห็นผมสบายดีแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายไปเก็บของ เหลือแค่พี่ช่างแต่งหน้ากับเตโชที่ช่วยกันหามผมเข้าห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนชุด
“นาย...หายไปไหนมา” ผมถามเตโชที่หายหัวจากสตูดิโอร่วมสองชั่วโมง คนหน้ามึนไม่ยอมตอบ เพราะทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผมก็เจอกับ...สวรรค์!
ข้าวกะเพราหมูสับ ลูกชิ้นปิ้ง ไก่ทอด หมูฝอย ขนมเบื้อง นะ...นี่มัน...ของใครกัน!!
“ของจิระ” เตโชตอบพร้อมหิ้วปีกผมมาทิ้งตัวบนเก้าอี้หน้าโต๊ะแต่งตัวซึ่งมีอาหารวางเรียงละลานตา ผมเอื้อมมือที่ยังสั่นระริกลองแทะไก่ทอดเจ้าดังที่คุ้นๆ ว่าอยู่ไกลจากบริษัทเป็นอย่างแรก วินาทีที่กัดลงไป ความกรอบของหนังไก่ก็ทำให้ผมถึงกับบรรลุ แล้วยังเนื้อนุ่มๆ หมักรสอย่างดีนี่อีก ฮือ...ชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว
“กินดีๆ” เตโชลูบศีรษะผมขณะนั่งจ้วงไม่สนใจใคร ทำไมลูกชิ้นปิ้งร้านนี้น้ำจิ้มถึงอร่อยขนาดนี้! แล้วไข่ดาวที่ยังเด้งดึ๋งนี่อีก จิ้มปุ๊บแตกปั๊บ คลุกข้าวกินกับกะเพราแล้วสุดยอดเกินบรรยาย ให้ตายสิ โชคดีชะมัดที่เขาตามมาด้วย
“จิระ”
“อั้นไอ่แอ่งออกอะ! ( ฉันไม่แบ่งหรอกนะ! )” ผมตะโกนลั่นเมื่อถูกขัดขวางความสุขกะทันหัน พอหันไปมองก็เจอพายที่ทำหน้าไปไม่เป็นในชุดไปรเวทเตรียมกลับบ้าน
“เอ่อ...ผมไม่ได้จะขอกิน” พายอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อน “แต่ผมขอคุยกับจิระได้มั้ย”
“ออนอี้อ่ะออ ( ตอนนี้น่ะเหรอ) ” ผมถามแก้มตุ่ย รับน้ำจากพี่ช่างแต่งหน้ามาดื่มก่อนจะติดคอตายซะก่อน
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร” พายคงเกรงใจความหิวโหยของผมเลยยอมล่าถอย “ไว้เจอกันในกองเช็กเมทนะ”
ผมมองท่าเดินที่คงจะเจ็บง่ามไม่ต่างกันด้วยสายตางุนงงและประหลาดใจ
พายไม่เคยเป็นฝ่ายทักผมก่อน ไม่แม้แต่จะเข้ามาสอบถามหรือเข้าใกล้ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้เรียกตัวไปคุยสองต่อสอง หรือว่าพอมาถ่ายโฆษณาด้วยกัน เขาก็หวนระลึกถึงสมัยที่จิตรินยังอยู่ร่างผมเลยอยากปรับความเข้าใจกันนะ
คิดไปก็ป่วยการเปล่า ผมกินต่อดีกว่า งั่มๆ!
-------------
หนูจิระกับการถ่ายโฆษณาหฤโหด 555
พอเป็นจิระ ทั้งบท ทั้งการถ่ายทำ ก็โหดขึ้นกว่าสมัยเป็นจิตรินหนึ่งเท่าตัว เรื่องอื่นจิตรินอาจทำไม่ได้ แต่ถ้าต้องมาห้อยโหนบนสลิงคิดว่าจิตรินก็คงฉิวกว่าจิระแน่นอนค่ะ ความถึกของหนูจิเราจะไม่พูดถึง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ได้เห็นฉากเป็นลมคอยมองหาเตโชของจิระสิเนอะ ^0^
เพจนักเขียนที่ทุ่มซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่เพราะอยากไปมีตติ้งกับจิระ#จิระผู้หิวโหย เอ๊ย #จิระผู้เกรี้ยวกราด