ตอนที่ 15
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ผมนอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืนแล้ว แต่ที่หนักสุด เห็นจะเป็นคืนล่าสุดเนี่ยล่ะ
เพราะวันนี้คือวันเปิดกองซีรีส์เช็กเมท!!
ขอย้ำอีกครั้ง...ว่าตอนซีซันหนึ่งก็มีการเปิดกองให้สื่อมวลชนเข้ามาเก็บภาพ แต่ทุกอย่างไม่ค่อยราบรื่นนักเพราะข่าวฉาวของผมมาแรงแซงทางโค้ง เบียดพื้นที่สื่อจนขึ้นหน้าหนึ่งเป็นที่กระฉ่อนเมือง...ดาราหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงโดนจับคากองด้วยข้อหายาเสพติด ไม่ดังก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ซึ่งครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด! จะให้ทุกคนเก็บภาพสวยๆ ของนายจิระจนลืมเรื่องครั้งก่อนให้หมด!!
แต่...
(( จิระ ช่วยผมด้วย ))
คนที่ขอเบอร์ผมไปเมื่อสองวันก่อน โทรมาขอคำปรึกษา...ไม่สิ ขอความช่วยเหลือตั้งแต่เช้าตรู่!
“เอ่อ...แล้วมีอะไรล่ะ” ผมถามอย่างไม่ใส่ใจขณะกดเปิดลำโพงแล้ววางบนเคาน์เตอร์เพราะกำลังทอดไข่ดาวสำหรับอาหารเช้าของตัวเองและเตโช ป่านนี้คนหน้ามึนคงยังไม่ตื่น เพระผมต้องรีบออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า เพื่อเข้ากองไปซ้อมคิวก่อนที่พวกนักข่าวจะมา
(( ผม....ได้จดหมายขู่ครับ ))
ผมเลิกคิ้ว คาดไม่ถึงว่าพายจะโทรมาปรึกษาเรื่องนี้
(( จดหมายส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน...เขียนว่าถ้าผมเข้ากองวันนี้ระวังจะไปไม่ถึง ผม...กลัวมากเลย ไม่กล้าขับรถของตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะถูกเล่นตุกติกรึเปล่า แต่ก็ไม่กล้าไปเรียกแท็กซี่คนเดียวด้วย ผมกลัวเจ้าของจดหมายดักทำร้ายผมครับ )) พายอธิบายรัวเร็วแทบไม่เว้นช่วงหายใจ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเว้าวอน (( จิระ...มารับผมได้มั้ย ))
หากเป็นงานมีตติ้งเมื่อสองวันก่อน แฟนคลับเขาต้องกรีดร้องยอมถวายชีวิตเมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ แต่บอกเลย ผมไม่สะทกสะท้าน ถามกลับเสียงเรียบเฉยอย่างแล้งน้ำใจ
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน” ผมว่าพลางตักไข่ออกจากกระทะ ก่อนจะใส่ข้าว ลูกเกด มะเขือเทศสับ และซอสลงไปผัดรวมกัน ครับ ผมทำข้าวผัดอเมริกัน เป็นเมนูเรียกร้องจากเพื่อนข้างห้องที่ยังหลับอุตุ “นายไม่โทรหาคนอื่นล่ะ แจ้งตำรวจไปเลยก็ได้”
(( ผมไม่อยากให้งานเสีย...วันนี้เป็นวันเปิดกองโปรโมทเช็กเมท ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องไปให้ได้ แต่ผมก็กลัวว่าถ้าไปคนเดียวจะเกิดอะไรขึ้น ความจริงระหว่างถ่ายทำซีซันสองมีคนส่งจดหมายขู่มาเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ถึงขนาดขู่ทำร้าย...จิระ ผมนึกถึงคนอื่นไม่ออกเลยจริงๆ คิดว่าอย่างน้อยถ้าไปกับนายก็คงดี ))
“แล้วปกติโดนขู่ว่าอะไรล่ะ” ผมถามราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง...ซึ่งก็เป็นความจริง
(( จดหมายขู่ให้ถอนตัวจากซีรีส์...แอนตี้แฟนที่ไม่พอใจเมื่อผมรับบทนักแสดงหลักแทนจิระน่ะครับ ))
...ซะที่ไหนกันล่ะ นี่มันเรื่องของผมชัดๆ!!
กลิ่นข้าวไหม้แตะจมูก ผมสะดุ้งรีบเทข้าวลงจานก่อนจะปิดเตา เพราะตระเตรียมไก่ทอด ไข่ดาว และไส้กรอกเสร็จหมดแล้ว พอมองควันที่พวยพุ่งจากเมนูอาหารรสเลิศพลันรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออก มันจุกหน่วงอยู่หน่อยๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก
หลงนึกว่าตัวเองมีแอนตี้แฟนอยู่คนเดียว ลืมไปเสียสนิทว่าพายน่ะซวยกว่าผมเยอะ!
เพราะคราของผมยังถือว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง แต่พายน่ะโดนผมแย่งบทตอนซีซันหนึ่งจนมิสเตอร์เอสที่ควรจะเป็นเขาโด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อกลับมาแสดงนำในซีซันสองก็ถูกเปรียบเทียบด้วยบทบาทที่ทับซ้อนกัน ในกองวางตัวลำบากไม่พอ ชีวิตจริงถึงกับโดนข่มขู่ ผมกุมขมับ ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างเชื่องช้า
แฟนคลับของมิสเตอร์เอสที่ปลาบปลื้มผมคงไม่พอใจเมื่อพายขึ้นมาเป็นตัวหลัก
ทั้งที่บทนั้นควรจะเป็นของเขาตั้งแต่ซีซันแรก!
ผมเริ่มเห็นใจพายตงิดๆ ทั้งที่ได้จดหมายขู่ประจำ แต่เขายังวางตัวเป็นปกติได้ดีเยี่ยม วันงานมีตติ้งก็เล่นกับแฟนคลับอย่างเต็มที่ ลังเลจะปรึกษาผมอยู่นานก็ไม่ได้โอกาส หากผมปฏิเสธเขาคงสารเลวไปสักหน่อย
“นายคิดว่าถ้าฉันไปรับเข้ากองด้วยกัน แอนตี้แฟนคนนั้นจะไม่กล้าลงมือสินะ”
เพราะคนคนนั้นคือแฟนคลับตัวยงของมิสเตอร์เอส ถ้ากล้าลงมือกับผมก็ผิดจรรยาบรรณเกินไป
(( ครับ...ขอโทษนะครับจิระ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก ))
พายเอ่ยเสียงสั่นเครือ ราวกับว่าเขาจนทางตันแล้วจริงๆ ถึงได้เลือกโทรหาผม
(( อีกนิดเราจะถ่ายทำเช็กเมทซีซันสองจบแล้ว ถึงตอนนั้นจดหมายขู่ก็คงจะหยุดไป ผมไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เลยไม่กล้าบอกใครทั้งกับคุณคมสันและตำรวจ คิดว่าเดี๋ยวทุกอย่างก็จบ... ))
ใจอ่อนยวบอย่างหยุดไม่อยู่ เขาซวยเพราะผมว่าหนักแล้ว มานึกดูดีๆ พายเป็นดาราตัวเล็กๆ ที่ไม่มีคนสนับสนุนดุนหลังในวงการ ถึงได้โดนปาดหน้าเค้กไปง่ายๆ โดยไม่มีใครช่วยประท้วง เรียกว่ามาถึงจุดนี้ด้วยความอดทนและพยายามของตัวเอง สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดของดาราประเภทนี้ คือกลัวมีปัญหา เพราะรู้ดีว่าจะไม่มีคนช่วยแก้ต่างให้เลย
“ก็ได้ ฉันจะไปหานาย”
ใจอ่อนอีกจนได้จิระ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าตัวเองมีส่วนต้องรับผิดชอบ และกับแค่การไปรับแค่วันนี้วันเดียวก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร ซีรีส์ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว อีกไม่นานความวุ่นวายทั้งหลายก็จะจบลง “กินอะไรรึยัง ฉันกำลังทำข้าวเช้า เดี๋ยวจะทำเผื่อไปด้วย”
ผมเปิดตู้เย็นดูว่ายังมีไข่กับไก่เหลือหรือเปล่า
(( ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่ ))
“ตามใจนาย”
ผมปิดตู้เย็นอย่างโล่งอก หลังกดวางสายก็แบ่งข้าวออกเป็นสองส่วน ของตัวเองใส่จานเตรียมกิน ของเตโชใส่ปิ่นโต
เงยมองเวลาแล้วผมก็นึกขอบใจตัวเองที่นอนไม่หลับจนตื่นเช้า เพราะกองมีนัดตอนแปดโมง เท่ากับว่าผมยังมีเวลาเหลือเฟือในการกินและไปรับพาย
แต่ไปถึงยิ่งเร็วก็ยิ่งดี หลังกินส่วนของตัวเองหมดผมก็รีบล็อกห้อง เดินไปแขวนถุงใส่ปิ่นโตกับกลอนประตูของเตโช ก่อนจะส่งข้อความหาพายเพื่อให้เขาส่งจีพีเอสมากันหลง
ที่พักของพายไม่ใช่คอนโดหรือหมู่บ้าน แต่เป็นบ้านเดี่ยวในซอยซึ่งอยู่ลึกเข้าไปท่ามกลางแมกไม้ ผมรู้สึกราวกำลังหลงป่า คิดว่าพายคงจะมีที่ดินสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรถึงได้ปล่อยให้ต้นไม้ขึ้นรก มองแล้วก็น่าสยองไม่น้อย เพราะมีที่ซ่อนแอบเยอะจนยากตามตัว เผลอๆ จะไม่ได้มีแค่คน แต่มี...ผี...ด้วย
เพียงนึก ผมก็กลืนน้ำลายแล้วส่ายหน้าถี่รัว จะบ้าเหรอจิระ ตั้งสติก่อนรถพุ่งเข้ากลางป่ากลางดงเถอะ!
และแล้วก็ถึงตัวบ้านที่ค่อนข้างเก่าโทรมคาดว่ามีอายุหลายปี ผมมองซ้ายมองขวา กลัวจะมีงูพุ่งออกมาจากข้างทาง เลยรีบเข้าไปกดกริ่งหน้าประตูไม่แม้แต่จะปลอมตัว เพราะถ้าไม่นับคนโรคจิตตามติดชีวิตคนอื่นแล้ว คงไม่มีคนสติดีที่ไหนคิดบุกรุกบ้านหลังนี้หรอก
“ขอบคุณนะครับจิระที่มารับผม”
“ไม่เป็นไร” ผมรีบเดินเบียดพายเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูทันที มันก็จะผวาหน่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงนกร้องรับอรุณคลอคู่กับใบไม้เสียดสีกันยามเช้าตรู่ “ไหนล่ะจดหมายขู่ ขอดูหน่อย”
อย่าหาว่าสอดรู้เลย แต่ในเมื่อเกี่ยวพันกับตัวเองมาถึงขนาดนี้แล้วผมก็อยากเห็นกับตา พายยิ้มเจื่อน เดินไปหยิบกองจดหมายในถุงขยะให้คุ้ยเอาเอง ผมเลือกหยิบจดหมายที่วางอยู่ด้านบนและใหม่สุดขึ้นมาพิจารณา ความน่ากลัวของมันคือไม่ได้ติดแสตมป์หรือลงทะเบียนใดๆ เท่ากับว่า...คนคนนี้มาหย่อนจดหมายหน้าบ้านพายเองกับมือ!
โอ๊ย นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!“บ้านนายไม่มีกล้องวงจรปิดเหรอ”
“มีครับ แต่ถึงมีก็ทำอะไรไม่ได้ ผมบอกจิระแล้ว...ผมไม่อยากแจ้งตำรวจ”
“แล้วนายเห็นคนร้ายรึเปล่า” ผมถามพลางเปิดจดหมายอ่าน ตัวอักษรเขียนด้วยหมึกสีแดงตวัดหางยาวน่าสยดสยอง ขู่ว่าหากคิดออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียวไปเข้ากองวันนี้ ระวังจะไปไม่ถึง
ขนาดไม่โดนเองผมยังขนลุกเฮือกๆ แล้วพายที่เผชิญเรื่องนี้มาตลอดการถ่ายทำแถมยังเก็บเป็นความลับได้ดีมาตลอดจะรู้สึกยังไง ผมชักนับถือเขา เข้มแข็งเป็นบ้าเลยว่ะนาย
“เห็นครับ แต่เขาสวมฮู้ด คาดหน้ากากอนามัยปิดหน้าครึ่งล่าง ใส่แว่นดำ ผมรู้แค่ส่วนสูงและรูปร่างคร่าวๆ เท่านั้น คิดว่าคงจะเป็นผู้ชาย...” พายเล่าขณะกำมือแน่น พยายามควบคุมไม่ให้น้ำเสียงสั่นเครือ “คนคนนี้รู้ตารางการถ่ายทำเช็กเมทด้วยครับจิระ ผมเลยยิ่งกลัว...กลัวว่าเขาจะเป็นคนใน ผมเลยไม่กล้าคุยกับใครในกอง ผมไม่อยากมีปัญหา ถ้าเขาเป็นคนของบริษัทขึ้นมา เป็นคนใหญ่คนโตในนั้น ผมก็คงทำอะไรไม่ได้”
เรียกว่าพายจนทางตันอย่างแท้จริง
ตัวคนเดียวในวงการก็น่าเศร้าแบบนี้ จะทำอะไรก็เกรงว่าจะไปเหยียบตาปลาเข้า โดยเฉพาะกับพายที่เคยมีประเด็นตั้งแต่ซีรีส์เช็กเมทซีซันหนึ่ง ตอนเขามารับบทเป็นมิสเตอร์เอสตัวปลอม...เห็นว่าเคยสร้างปัญหาในกองจนโดนผู้กำกับด่า
เมื่อได้โอกาสอีกครั้งจึงไม่กล้ามีปากเสียง
“ขอโทษนะที่ทำจิระเครียดไปด้วย กาแฟมั้ยครับ เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเพราะกังวลเรื่องนี้เลยต้มน้ำไว้ชงกาแฟ ดื่มก่อนเข้ากองจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอสัปหงก”
“ก็ดี” ผมรับน้ำใจอย่างยินดียิ่ง “ของฉันน้ำตาลสองช้อน นมหนึ่งช้อนนะ”
“ครับ” พายยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างพายและจิตรินเป็นยังไงนั้นผมไม่ค่อยกระจ่างแจ้งแก่ใจนัก แต่ดูจากการกระทำของเขาตอนนี้ คิดว่าคงมีความรู้สึกดีๆ ในแง่มิตรภาพมากกว่าชู้สาว เพราะคนที่เสนอให้พายรับบทมิสเตอร์เอสตัวปลอม จนได้รับโอกาสแสดงบทนำในซีซันสองก็คือจิตริน พายย่อมซาบซึ้งบุญคุณไม่น้อย
เด็กหนุ่มออกมาอีกครั้งพร้อมกาแฟสองถ้วย ผมเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะรับมาดื่ม รสชาติติดขมนิดๆ แต่จะต่อว่าก็ทำไม่ได้เพราะแค่นี้จิตใจพายก็บอบช้ำมากพอแล้ว ผมยกดื่มหมดแก้ว ไม่หวังในรสชาติ แต่หวังในฤทธิ์ของคาเฟอีน
“จริงสิ จิระบอกใครเรื่องมารับผมรึเปล่าครับ” พายโพล่งถามขึ้นมาราวลูกกวางน้อยตื่นตูม
“เปล่า” ผมตอบอย่างเข้าใจพาย คนคนนี้หวาดระแวงไปหมดจนกลายเป็นคนประหม่าซะแล้ว “นายอยากปิดเป็นความลับไม่ใช่รึไง ฉันไม่ใช่คนปากเปราะ วางใจเถอะ”
“ดีจัง” พายคลี่ยิ้มปลอดโปร่ง “จิระ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากถามคุณมานานแล้วครับ”
“ถามมาสิ” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ กะเวลาเตรียมตัวเข้ากอง
“ทำไมคุณถึงกลับมารับบทซีเคร็ทในซีซันสองล่ะ”
ผมเลิกคิ้ว มองพายที่ดวงตาหลุบต่ำปิดความรู้สึกแล้วคิดว่าเขาคงอยากรู้ว่าผมใช้เส้นสายอะไรในการแทรกตัวเองเข้ามากลางเรื่องได้
“คมสันเป็นคนยัดบทให้ฉัน ตอนแรกฉันปฏิเสธแล้ว แต่เขาบังคับให้รับ” ผมตอบตามความจริง เส้นก๋วยจั๊บยังสู้เส้นขนของจอมมารไม่ได้ เพียงโบกมือทุกคนล้วนต้องทำตาม เพียงปรายตาทุกคนต้องยอมสยบ นี่แหละหนาโฉมหน้าของเลขาสุดโหดแห่งบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์
“คุณเลิกกับเสี่ยแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“เลิกนานแล้ว แต่คมสันคงถูกใจหน้าตาฉันละมั้ง” ผมพูดทีเล่นทีจริง
“จิระรู้มั้ยครับ ว่าบทที่ผมได้รับมาตอนเซ็นสัญญาซีซันสองนั้นไม่ใช่อย่างที่ถ่ายทำกันในตอนนี้เลย”
“ก็ไม่แปลกนี่ เรื่องนี้ถ่ายไปฉายไปเพราะอิงกับคนเขียนบทที่ผีเข้าผีออกอยู่แล้ว” ผมหัวเราะเบาๆ แอบจิกกัดคนเขียนบทจอมโหดที่ตั้งแต่เห็นผมก็ชี้นิ้วไล่ให้ไปเรียนการต่อสู้ทันที
แต่พายไม่เข้าถึงอารมณ์ขันของผม
เขากล่าวต่อราวกับว่าประโยคเมื่อครู่เป็นเพียงเสียงนกเสียงกาไร้ค่าไร้ความหมาย
“ตอนแรกบทของซีซันสอง ผมเป็นตัวนำเรื่อง เป็นแฮกเกอร์ที่มาแทนมิสเตอร์เอส ผมต้องสู้กับแฮกเกอร์ปริศนาขององค์กร เอาชนะและลากตัวเขาออกมา คนเขียนบทจงใจเขียนเอื้อกับผมซึ่งต้องแสดงฝีมือทั้งด้านบู๊และบุ๋น เพื่อให้คนดูรู้สึกว่าเก่งกาจกว่ามิสเตอร์เอส สมแล้วที่เลือกมาแทนที่เขา...”
พายค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด ความขลาดกลัวปานกวางน้อยเลือนหายจนหมดสิ้น
“แต่เมื่อคุณก้าวเข้ามาในกอง ทุกอย่างก็พลิกกลับตาลปัตร บทของผมถูกลด แต่กลับเพิ่มให้กับซีเคร็ท ผมที่ควรจะเอาชนะแฮกเกอร์ขององค์กร กลับพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ได้แสดงอย่างที่ต้องการแสดงเลย ซีซันสองนี้ควรจะเป็นเรื่องของสมาชิกใหม่อย่างผม ไม่ใช่เรื่องราวของมิสเตอร์เอสที่ความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอครับ”
มาถึงตอนนี้ถ้ายังไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนด่าผมก็โง่เต็มทน
“พา...”
แต่พูดออกไปไม่ทันเต็มคำดี ผมที่ผุดลุกพรวดพราดก็หน้าคะมำกับพื้น ร่างกายหนักอึ้งอย่างประหลาด แต่ที่หนักกว่าคือหนังตาที่พยายามปิดลงไปอยู่ได้
ยื้อไว้สิหนังตา สู้เข้า ฝืนเข้าสิ!“กาแฟใส่ยานอนหลับครับ” พายกล่าวกับผม ก่อนจะนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ช่วยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าอย่างอ่อนโยน “ผมเคยเกลียดคุณ จากนั้นก็ชอบคุณ และก็กลายเป็นเกลียดคุณ”
จากเกลียดเป็นชอบสองประโยคแรก คิดว่าพายคงหมายถึงจิตริน
ฉะนั้นไอ้คำว่าเกลียดคำหลัง จึงเป็นตัวผมคนเดียวล้วนๆ เกลียดอย่างเดียวเพียวๆ ไม่มีอะไรเจือปน
“คุณกลับมาทำไมครับ คุณทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ทำไม ทั้งที่ผมอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณแท้ๆ”
...อย่ามาตีหน้าเศร้า ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนกับนาย คนที่เป็นคือจิตรินโน่น!ผมตะโกนแย้งในใจ
“คุณแย่งงานผมสองครั้งเลยนะครับจิระ” พายยังคงกล่าวกึ่งตัดพ้อ ทว่าน้ำเสียงกลับไร้อารมณ์ร่วม เหมือนเตโช...แต่เย็นชากว่าเตโชหลายเท่า “ครั้งแรก...คือเช็กเมทซีซันหนึ่ง ตอนนั้นผมแคสติ้งเข้ามารับบทมิสเตอร์เอส ได้รับเลือกจากผู้กำกับเองแท้ๆ แต่ในวันถ่ายทำคมสันกลับพาคุณมาแย่งบทนั้นไป ผมไม่ดีตรงไหนหรือครับ ผมแสดงได้ดีกว่าคุณ ได้บทนี้มาด้วยความสามารถของตัวเอง แต่ถูกเด็กใหม่ที่ใช้เส้นสายปาดหน้าเอาดื้อๆ แทนที่จะมีคนร้องเรียนเรื่องนี้ หรืออย่างน้อย...ก็บอกว่าผมเหมาะกับบทนั้นที่สุด กลับกลายเป็นว่าคุณผูกมิตรไปทั้งกอง จนทุกคนพากันลืมเลือนผม ลืมว่าใครกันแน่ที่ควรรับบทของมิสเตอร์เอส”
ผมกัดลิ้น ความเจ็บทำให้เรียกสติคืนได้ส่วนหนึ่ง ก่อนจะพยายามเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง แต่พายตาไว แย่งไปปิดเครื่องก่อนจะโยนทิ้งส่งๆ ไม่สนใจไยดี นั่นเครื่องเป็นหมื่นเลยนะ!
“อย่าซนสิครับ ผมไม่อยากทำร้ายคุณนะ กับคนที่เคยเป็นเด็กเสี่ย มีเลขาท่านประธานสนับสนุน มีใบหน้าที่ทำเงินมหาศาล ผมไม่คิดสั้นขนาดทำลายทรัพย์สินของบริษัทหรอกครับ”
ช่างจริงใจดีเหลือเกิน
ผมถลึงตามองพายอย่างเกรี้ยวกราด
“อย่ามองผมแบบนั้นสิ ผมวางยาคุณ เพราะไม่อยากให้คุณปรากฏตัวในกองวันนี้ จำได้มั้ยครับ ตอนซีซันหนึ่ง คุณทำให้การเปิดกองโปรโมทของเช็กเมทถูกกลบด้วยข่าวฉาว ครั้งนี้ผมจะทำให้เป็นแบบนั้นอีกครั้ง จิระที่จู่ๆ ก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้ ช่างเป็นคนเหลวแหลก ไร้ความรับผิดชอบ เกินกว่าจะให้โอกาสครั้งที่สาม ผมต้องการแค่นี้...ขอแค่คุณไม่ไปกอง...แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่มีข่าวฉาวติดตัวอย่างคุณ”
“แก...” ผมจิกนิ้วกับพื้นพรมอย่างโกรธแค้น ไอ้ที่เขาพูดมาผมยอมรับ ผมทำตัวเอง ทำลายอนาคตกับมือ แต่เพราะอย่างนี้ไงผมถึงอยากแก้ตัว! วันนี้เป็นวันที่ผมกลัวแสนกลัว กังวลจนนอนไม่หลับ ตื่นมาทำกับข้าวตั้งแต่ตีห้าก็เพราะหวังยิ่งกว่าใครให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เหรอ!
ผมอยากให้ทุกคนมองผมใหม่ มองจิระคนนี้ มองฝีมือการแสดง หลงลืมเรื่องราวในอดีต
แต่พายกลับ...ใช้สิ่งนั้นกดให้ยิ่งตกต่ำ!
“ผมยังจำวันที่เห็นคุณในกองซีซันสองได้ดี วันที่คุณแย่งงานจากผมไปอีกครั้ง ตอนแรกผมดีใจ เพราะนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็ติดต่อคุณไม่ได้อีกเลย แต่เมื่อเห็นคุณแสดงบทของซีเคร็ทได้ดีขนาดนั้น ผมก็หวั่นใจ...” พายตบไหล่ผมเบาๆ อย่างปลอบโยนให้เลิกพยายามตะเกียกตะกายอย่างไร้ค่าสักที “ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าคุณกลับมาเพื่อแย่งทุกอย่างไปจากผม ทำไมครับ ในที่สุดผมก็ได้รับบทนำ ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงนำแล้วแท้ๆ แต่ทำไมทุกคนถึงพูดแต่มิสเตอร์เอส พูดถึงซีเคร็ท ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ทุกคนก็สนใจแต่คุณ แล้วผมล่ะ...ผมคือตัวอะไร!”
“ตัว...ขี้อิจฉาไง!!”
ถ้าคิดว่าผมจะปลอบใจเขาก็ฝันไปเถอะ ผมโมโหถึงขนาดรวบรวมพลังเสียงตวาดใส่เขาได้ แม้จะแลกกับลิ้นที่เจ็บแปลบจนเลือดไหลซิบก็ถือว่าคุ้มค่า
“ฉันจะบอกให้ชัดอีกครั้ง ฉันไม่ได้อยากเป็นดารา และฉันไม่ได้อยากแสดงในซีซันสองแต่แรก แต่ถูกยัดเยียดมาต่างหาก ถ้าจะโทษ ก็ไปโทษตัวต้นเรื่องโน่น!!!” ผมตะโกนสุดเสียง วาดหวังว่าความเกรี้ยวกราดจะฝืนให้ความง่วงซึมไม่เป็นผล “เรื่องบทที่เปลี่ยน ก็ไปโทษคนเขียนบท เรื่องที่นายไม่ถูกพูดถึง ก็โทษตัวเองซะ อย่ามาโทษฉันคนเดียว! เข้าใจมั้ย!!!”
โดนพลังเสียงของผมเข้าไป พายถึงกับผงะถอยไปด้านหลัง เบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง
“คุณ...เปลี่ยนไปนะ”
“หรือจะให้ฉันโอ๋นาย บอกว่าที่นายทำน่ะถูกแล้ว จะบ้ารึไง ฉันไม่ใช่จิระคนเดิมที่นายรู้จัก คนที่นายเคยให้อภัยก็ไม่ใช่ฉัน!”
ผมตวาดลั่น ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดัง เพราะเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นทุกที
“นายจะให้กองถ่ายวันนี้พังไม่ได้ ทุกคนทุ่มเทกันมานานแค่ไหนนายก็รู้ งบไม่ใช่น้อย แล้วยังชื่อเสียงของบริษัท...”
“ชื่อเสียงของคุณต่างหากครับ” พายไม่สนใจ “การถ่ายทำซีรีส์เช็กเมทจะจบพร้อมๆ กับเส้นทางในการเป็นดาราของคุณ คุณไม่ได้อยากเป็นอยู่แล้วนี่ งั้นคงเข้าทางเลยสิ”
ผมกัดลิ้นอีกครั้ง แต่ดันชามากกว่าเจ็บ ความง่วงงุนเริ่มเข้าแทรก แต่ผมพยายามฝืนถ่วงสุดความสามารถ
“ตอนซีซันหนึ่ง คุณพูดดีเหลือเกิน ให้กำลังใจผม ตีสนิทผม ช่วยเหลือผม ดึงสติผม แต่ดูสภาพคุณตอนนี้สิ” พายมองผมราวมองคนแปลกหน้า
ก็บอกแล้วไงว่าคนนั้นไม่ใช่ฉัน!พายุแห่งความเกรี้ยวกราดก่อตัวอีกครั้งเมื่อถูกเปรียบเทียบกับจิตริน
“เพื่อกลับเข้าวงการอีกครั้ง คุณที่ถูกเสี่ยทิ้งแล้วถึงกับยอมเกาะติดเตโช ดึงแฟนคลับของนักร้องคนนั้นมาช่วยสนับสนุน คุณมันน่ารังเกียจ จิระ”
“แล้ว...ไง” ผมยังฝืนทนเถียงกับพายไม่ลดละ “ฉันจงใจใช้แฟนคลับเตโชมาสนับสนุนตัวเองแล้วยังไง มันหนักหัวนายนักเหรอ ถ้าหนักมากก็เลียนแบบสิ ฉันไม่หวงและไม่จดลิขสิทธิ์หรอกนะ!”
ผมไม่เห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน เพราะภาพเบื้องหน้ารางเลือนลงทุกที
“ผมไม่หน้าหนาอย่างคุณหรอก”
แต่น้ำเสียงเหยียดหยามนั้นได้ยินเต็มสองรูหู
“ราตรีสวัสดิ์ จิระ”
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป!! ฉัน...ฉัน...ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!”
“อ้อ จดหมายขู่ผมเป็นคนทำเองทั้งหมดนะครับ หากคุณยังไม่รู้” พายพูดทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะเดินออกจากบ้านพร้อมล็อกประตูแน่นหนา
ถึงตอนนั้นผมซึ่งถูกทิ้งให้นอนตาหนักอยู่คนเดียวก็ไม่อาจฝืนได้อีก
สติถูกพรากไปอย่างรวดเร็ว ด้วยใจที่คับแค้นเกินบรรยาย
ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่พาย!!“คุณจิระ”
ได้ยินเสียงเรียกดังแผ่วพร้อมกับมือที่ตบแก้มเป็นระยะ
ผมครางเบา ก่อนจะพลิกตัวหาท่าที่สบายในการหลับใหล
“คุณจิระ ตื่นสิครับ”
“ไม่ไหวหรอกสัน โดนยาไปขนาดนี้คงต้องรอเขาตื่นมาเองแล้วล่ะ”
“งั้นพาตัวไปก่อน”
“ไปไหน”
“บ้านเสี่ย”
----------
เรื่องนี้จะว่าผิดก็ผิดกันหมดนะคะ แต่ก็อย่างที่จิระบอก จะมายกยอดให้รับคนเดียวก็ไม่ถูก เพราะมันโยงกันมาตั้งแต่ตอนจิระสลับร่างกับจิตรินเลย ถ้าให้นับกันจริงๆ ต้องไปโทษคมสัน แต่คมสันก็มีเหตุผลที่ยัดจิระมาในกองนี้เหมือนกัน ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ส่วนหนูจิระ คนปากร้ายใจดี ก็มารับกรรมกันไป
เพจนักเขียนที่กัดผ้าเช็ดหน้าสงสารจิระ
ปล.เห็นโมเม้นเบิ้มสันบ้างมั้ยคะ 555