ตอนที่ 16
เอาคืนหรือไม่เอาคืน
ผมตื่นมาอีกครั้งด้วยสภาพงัวเงียและดวงตาที่เลื่อนลอย
ก่อนจะรีบลุกพรวดเมื่อเห็นเพดานไม่คุ้นเคย เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ห้องนี้คือที่ไหน!?
ผมสติแตกสุดขีด เดินลงจากเตียงพร้อมก้มมองนาฬิกาข้อมือเพื่อดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ก่อนจะชะงักค้าง เพราะตอนนี้...เวลาสามทุ่มตรงเผงไม่มีขาดไม่มีเกิน
ขาค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง
น้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาด้วยอารมณ์เจ็บจุก...โดนเอาคืนครั้งนี้เจ็บแสบแสนสาหัส ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างพายจะวางแผนเล่นงานผม แต่...กับตัวเขาเองที่กดดันตัวเองถึงขนาดนั้นก็คงจะถึงขีดสุดของความอดทนแล้วจริงๆ
...แต่มันใช่ความผิดผมซะที่ไหนล่ะ!
ทุกอย่างที่เขาเท้าความมาล้วนมีคมสันเป็นผู้ขับเคลื่อนให้บรรลุผลทั้งนั้น แถมไอ้คนที่ถูกพูดถึงยังไม่ใช่คนเดียวกัน แต่เป็นสองคน!
จิตรินในร่างของผมตอนแสดงซีรีส์เช็กเมทซีซันหนึ่ง และตัวผมตอนรับบทซีเคร็ทในซีซันสอง
ฉะนั้นจะเอาความผิดทั้งหมดมาโยนให้ผมรับคนเดียวไม่ได้!
ต้องโทษคมสัน! ใช่แล้ว...โทษคมสัน...คม...
“คมสัน!!” ผมตะโกนเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดด้วยเจ้าของชื่อที่เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมนั่งแหมะกับพื้นอย่างหมดสภาพ
“ครับ ผมคมสัน” คุณเลขารับมุกซะด้วยสิ เดี๋ยวก่อน...มันใช่เวลาเหรอ!
“ฉันมาที่นี่ได้ยังไง”
“เบิ้มเป็นคนอุ้มคุณมา”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ฉันหมายถึง...นายหาตัวฉันเจอได้ยังไง”
“เป็นความลับทางธุรกิจครับ”
ความลับทางธุรกิจตรงไหนวะ นี่มันคุกคามความเป็นส่วนตัวกันชัดๆ! ผิดกฎหมาย นี่มันผิดกฎหมาย!
“นาย...ฝังเครื่องติดตามตัวในร่างฉันเหรอ” ผมกอดตัวเองด้วยมือสั่นเทา ไม่รู้ทำไมถึงคิดพิเรนทร์โยงถึงบทบาทของมิสเตอร์เอสในซีซันสอง แต่เชื่อมั้ย...ผมว่าอย่างคมสันหากคิดจะทำก็ทำได้ว่ะ...
“คิดไกลไปแล้วครับ” คมสันถอนหายใจเฮือก ยอมเฉลยก่อนที่ผมจะเตลิดหนัก “ผมใส่เครื่องติดตามตัวในนาฬิกาของคุณต่างหาก”
“นาฬิกาเรือนนี้เสี่ยเป็นคนซื้อให้ฉัน” ผมแก้ต่าง ไม่ใช่ว่ายังรักยังหลงเสี่ย แต่ผมเสียดายมูลค่าของมันจึงสวมทุกวันไม่เคยห่างกาย
“เสี่ยสั่งให้ผมซื้อมาก่อนจะมอบให้คุณครับ”
สิ้นคำนั้นเป็นอันหมดข้อสงสัย เพราะผมเชื่อว่าคนอย่างเสี่ย...ไม่มีทางเดินเลือกนาฬิกาให้กับเด็กเลี้ยง เขาถนัดเรื่องชี้นิ้วสั่งที่สุด ถึงได้ถูกคมสันปิดหูปิดตา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายใต้การปกครองอย่างเผด็จการของเลขาคนนี้
“พายล่ะ”
“ผมยังไม่ทำอะไรเขา เพราะอยากรู้เรื่องทั้งหมดจากปากคุณก่อน”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะเล่า”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณอารมณ์ไม่ดี ฉะนั้นจะให้อยู่คนเดียวสักครู่” คมสันว่าพลางหยิบของขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะข้างเตียง “นี่คือกุญแจรถของคุณ เบิ้มช่วยขับกลับมาให้ จอดอยู่ที่โรงรถของคฤหาสน์ ส่วนนี่โทรศัพท์ ผมเป็นคนเก็บมาเอง”
ผมมองของสองสิ่งด้วยแววตาสับสน
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็โทรมานะครับ”
คมสันจากไปแล้ว เขาเดินออกจากห้องด้วยความสุขุมเยือกเย็นจนน่าชื่นชม เป็นผมซะอีกที่ยังปรับตัวไม่ทัน เริ่มต้นไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ก่อนอื่น...ก็เปิดโทรศัพท์สินะเสียงแจ้งเตือนดังระรัวทันทีจนสะดุ้ง ผมค่อยๆ ไล่ดูสายโทรเข้านับร้อย ส่วนใหญ่มาจากคมสัน เขาคงโทรหาผมก่อนจะใช้ยุทธวิธีตามตัวจากนาฬิกา ที่เหลือคือผู้กำกับ คนเขียนบท อัครเดช และธนัท
เพียงเห็นรายชื่อจากกองถ่ายเช็กเมท ผมก็เค้าเห็นลางแห่งความวิบัติอยู่รำไรจนไม่กล้าโทรกลับ ก่อนจะสะดุดตากับข้อความเข้าของคนคนหนึ่ง คนที่ไม่คิดจะโทรหา แต่เลือกส่งข้อความถามไถ่
‘เป็นอะไรมั้ย’
ข้อความสั้นๆ ประกอบด้วยคำสี่คำ จากชายที่ชื่อเตโช
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ไม่รู้อะไรดลใจ รู้ตัวอีกทีก็กดโทรหาเขาแล้ว
(( ให้ไปรับมั้ย ))
ไม่ถามว่าผมอยู่ไหน หายตัวทั้งวันได้ยังไง หรือเกิดอะไรขึ้น
เตโชกลับถามว่าให้ไปรับมั้ย
วินาทีนั้นจิตใจที่เต้นรัวด้วยความเกรี้ยวกราดกึ่งหวาดหวั่นมาตลอดของผมพลันสงบลงอย่างเหลือเชื่อ
“อืม มารับหน่อย”
สี่ทุ่มตรง เตโชนั่งแท็กซี่มารอผมที่หน้าคฤหาสน์หลังโตของเสี่ย หลังได้รับข้อความจากเขาแล้วผมก็เริ่มปฏิบัติการหลบหนี นั่นคือการไต่บันไดเชือกลงมาจากหน้าต่างห้องของคมสันที่อยู่ชั้นสอง ต้องขอบคุณบทเรียนของจิตรินที่ทำให้ผมปีนป่ายได้คล่องแคล่ว และขอบคุณเลขาจอมมารที่มีรสนิยมในการเก็บสะสมของพิศดาร เพราะนอกจากบันไดเชือกแล้ว เขายังมีกุญแจมือ โซ่ แส้ และอีกสารพัดอย่างที่ผมไม่ขอกล่าวถึง
อดีตเด็กเลี้ยงที่เคยเข้าออกราวกับเป็นบ้านของตัวเองอย่างผม การไปโรงรถนั้นง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วย โชคดีเหลือเกินที่มีคนลืมรีโมตไว้พอดี ผมเลยใช้มันเปิดประตูรั้วคฤหาสน์ ก่อนจะขับรถออกมาแวะรับเตโชซึ่งยืนหนาวสั่นอยู่ข้างนอกได้อย่างราบรื่น
เกือบลืมบอกไป ตอนนี้ข้อมือซ้ายผมว่างเปล่า เพราะวางนาฬิกาคืนบนเตียงของคมสัน แม้ครั้งนี้จะโชคดีได้ใช้ประโยชน์ แต่ให้อยู่ในสายตาจอมมารตลอดไปน่ะอย่าได้ฝัน!!
อารมณ์ที่เริ่มพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้งสงบลงทันทีเมื่อเตโชเปิดประตูฝั่งคนขับพลางก้มหน้าพยักพเยิดเป็นเชิงให้ผมไปนั่งอีกฝั่ง ด้วยความขี้เกียจ ผมที่ปีนลงชั้นสองมาแล้วเลยปีนข้ามฝากไปนั่งประจำข้างคนขับ ปล่อยให้เตโชกลายร่างเป็นสารถี ใช้แรงงานแลกค่าน้ำมัน เพราะปกติเวลาเขาขอติดรถมาด้วยก็มักรับตำแหน่งนี้เสมอ
เพิ่งสังเกตว่าเขามีของฝากติดมือมาด้วยก็ตอนที่ถุงพลาสติกถูกวางแหมะบนตัก
เป็นกล่องข้าวของเซเว่น ยังอุ่นๆ อยู่เลย
คล้ายจะได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องขึ้นมาทันทีที่เปิดฝากล่อง ผมก้มหน้าเขินอาย มาสำนึกตัวเองได้ก็ตอนนี้ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าแล้ว แม้จะนอนอย่างเดียวก็ต้องการพลังงานนะขอบอก
แม้รสชาติของข้าวกล่องอีซี่โกจะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน แต่ด้วยความหิวโหยทำให้ผมกินหมดในเวลาอันรวดเร็ว พอท้องอิ่ม สติก็เริ่มมา ผมเงยมองหน้าเตโช สงสัยว่าเขาไม่คิดจะถามกันหน่อยเหรอ ทั้งเรื่องที่จู่ๆ ผมมาโผล่ในคฤหาสน์หลังยักษ์ ทั้งเรื่องที่ผมหายหัวไปทั้งวัน เขาทำหน้าราวว่าผมให้มารับก็มารับ พอได้ตัวคนแล้วก็สบายใจไม่คิดเซ้าซี้
ไอ้คนมึนคนนี้นี่...
ผมล่ะอ่อนอกอ่อนใจกับเขาเหลือเกิน แต่อีกใจ ก็รู้สึกโชคดีชะมัดที่มีคนอย่างเตโชในเวลาที่ไม่รู้จะหันเข้าหาใคร
“ขอบคุณ”
“มีอีกกล่องข้างหลัง”
“ฉันไม่ได้ขอบคุณเรื่องข้าว ฉันขอบคุณเรื่องที่มารับ และฉันอิ่มแล้ว ขอบคุณนะ”
เตโชเหลือบมองผมด้วยแววตาปนขบขัน เอ่อ...ผมบอกว่าไม่ได้ขอบคุณเขาเรื่องข้าว แต่ตบท้ายด้วยการขอบคุณเรื่องข้าว
ย้อนแย้งกว่าใครก็จิระนี่เองเมื่อเห็นกล่องข้าวถูกเก็บใส่ถุงเรียบร้อย เตโชก็วางโทรศัพท์ตัวเองแหมะบนตักผมเป็นลำดับต่อมา
ผมมองของสิ่งนั้นพร้อมย่นหน้า ไม่คิดจะเปิดดูสักนิด แต่พอหันไปมองเตโช เขาก็เอียงศีรษะส่งสัญญาณให้ผมเปิดให้ได้ เอาไงเอากันวะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ตอนแรกคิดว่าจะเป็นข่าวเรื่องผมเบี้ยวนัดวันเปิดกอง ถูกด่าว่าเป็นดาราเนรคุณ ได้โอกาสแล้วยังทำให้ทีมงานเสียหาย นักข่าวรอเก้อ
แต่ไม่ใช่! เพราะสิ่งที่เตโชอยากให้ผมเห็นคือคลิปเสียงที่หลุดออกมา ข่าวที่ฉาวอยู่แล้วยิ่งฉาวหนัก ผมขมวดคิ้ว กดเปิดคลิปเสียงที่ว่าฟังทันที
‘ฉันจะบอกให้ชัดอีกครั้ง ฉันไม่ได้อยากเป็นดารา และฉันไม่ได้อยากแสดงในซีซันสองแต่แรก แต่ถูกยัดเยียดมาต่างหาก ถ้าจะโทษ ก็ไปโทษตัวต้นเรื่องโน่น!!!’ผมอ่านรายละเอียดคลิปที่ถูกอัพโหลดลงยูทูป ผู้อัพอ้างว่าเป็นหนึ่งในทีมงานที่มาตามตัวจิระไปกองถ่ายในวันนี้ แต่กลับโดนปฏิเสธและถูกพูดอย่างนี้ใส่ จงใจป้ายสีว่าผมทำตัวเหลวแหลกไม่เอาอ่าว ไม่อยากรับบทซีเคร็ท เลยประท้วงไม่เข้ากอง
พายคงกะกระทืบผมจมดินเลยสินะ
ปวดหัวขึ้นมาชอบกล ผมกุมขมับ ส่งโทรศัพท์คืนเตโช แต่เขารับไปกดเปิดอีกคลิป ก่อนจะส่งให้ผมอีกครั้ง
‘ฉันจงใจใช้แฟนคลับเตโชมาสนับสนุนตัวเองแล้วยังไง มันหนักหัวนายนักเหรอ ถ้าหนักมากก็เลียนแบบสิ ฉันไม่หวงและไม่จดลิขสิทธิ์หรอกนะ!’
เทียบกับคลิปแรกแล้ว คลิปนี้น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชันและดูแคลน ถ้าไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาก่อน ผมคงรังเกียจคนคนนี้สุดหัวใจ แต่ในเมื่อนั่นเป็นตัวผมเอง และไอ้สิ่งที่พูดกับที่ทำก็เป็นความจริง ผมเลยทำเพียง...เลิกคิ้วใส่เตโช
คนหน้ามึนไม่หือไม่อือ ไม่แม้แต่จะโกรธเกลียดถีบผมลงจากรถ ราวกับว่าการให้ผมฟังคลิปนั้นเป็นหน้าที่ เมื่อทำเสร็จแล้วก็เป็นอันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง
“เดี๋ยว” ผมรั้งมือเขา ไหงเป็นตัวเองซะได้ที่หงุดหงิดอยากอาละวาดแทนคนหน้ามึน “นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“รู้สึกสิ”
“รู้สึกอะไร”
“เป็นห่วง...” เตโชเก็บโทรศัพท์แล้วพลิกมือว่างเปล่ามากอบกุมประสานนิ้วกับผม “เป็นห่วงมาก”
“แต่ฉันใช้ประโยชน์จากนาย ตั้งใจสร้างกระแสคู่จิ้นเพื่อแย่งแฟนคลับนายนะ”
“ให้แย่ง” เตโชพูดเหมือนกำลังแบ่งลูกชิ้นกัน... “ยกให้หมดเลย”
“จะบ้าเรอะไง ของแบบนี้ยกให้ง่ายๆ ที่ไหน!” แล้วทำไมกลายเป็นผมที่ตวาดสั่งสอนถึงจริยธรรมที่มนุษย์พึงมีกันล่ะ ทั้งที่ตอนแรกอยากปิดหูปิดตาแท้ๆ แต่พอเห็นเตโชไม่ยี่หระ ผมเลยหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดเช็ก คาดไว้ไม่มีผิด ตอนนี้กระแสในโซเชียลพร้อมใจกันก่นด่าไม่มีชิ้นดี เดิมทีแฟนคลับของผมแบ่งเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ติดตามซีรีส์เช็กเมท กลุ่มสองคือแอนตี้แฟน กลุ่มสามคือเพิ่งมาติดตามการแสดงของผมและเอาใจช่วย ส่วนกลุ่มสี่คือแฟนคลับของเตโช
ก่อนหน้านี้กลุ่มหนึ่ง สาม และสี่ ร่วมมือกันจนแอนตี้แฟนล่าถอย
แต่ตอนนี้...กลายเป็นทั้งสามกลุ่มนั้นว่าร้ายผมยิ่งหนักกว่าแอนตี้แฟนซะอีก ทั้งผิดหวังและโกรธเกลียด โดยเฉพาะกลุ่มของเตโชที่สร้างกระแสเก่งมากเพราะมักเป็นวัยรุ่น รุมด่าผมไปถึงครอบครัวลามปามจนเรื่องราวใหญ่โต
“เพราะเป็นจิระ” เตโชบีบมือผมที่นั่งซึมกระทือกับคำวิจารณ์แผ่วเบา เขาอาจคิดในใจก็ได้ว่าช่างไม่เจียมตัวเองเอาซะเลย ปากแข็งใจอ่อนอย่างนี้ยังริเปิดดูคำว่าร้ายเสียดสีอีก “เพราะเป็นจิระ ทุกคนเลยชอบ...จิระไม่ได้แย่ง พวกเขาชอบจิระ เลยสนับสนุน”
“แต่ตอนนี้...”
“ถ้าไม่ใช่จิระ ต่อให้ยกให้แต่แรก...ก็ไม่มีประโยชน์”
นานครั้งจะได้ยินเตโชพูดมีสาระกับเขาบ้าง ผมคล้ายจะถูกเขาเคาะเรียกสติแรงๆ ด้วยไม่กี่ประโยคจากน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยทว่าแฝงความจริงจังและจริงใจ
ต่อให้ผมใช้เส้น วางแผนดึงแฟนคลับจากเตโชมาแล้วยังไง ทุกอย่างคือความพยายามของผมไม่ใช่เหรอ ทุกผลตอบรับที่ออกมาดี ทุกคำชื่นชมต่อซีเคร็ท เพราะทุกคนยอมรับในตัวตนของผม ชื่นชมฝีมือการแสดงของผมไม่ใช่เหรอ
ดูกระแสที่ตีกลับราวลืมเลือนความจริงข้อนี้แล้ว ผมพลันรู้สึกคล้ายภาพเบื้องหน้าแตกพร่า
ต่อให้ทุกคนจะลืมเลือน แต่เตโชที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอดนั้นไม่เคยลืม
เหมือนกับที่แม้ผมจะร้องไห้จนตัวโยน แต่ไออุ่นจากมือที่กอบกุมและบีบเบาๆ นั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจน
เตโชขับรถมือเดียว ไม่คิดรั้งกลับ ไม่คิดเปิดปาก และไม่แม้แต่จะมองผมเพื่อไม่ให้รู้สึกอับอาย
ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวแห้งราวกับน้ำตาที่เก็บกลั้นมานานนับตั้งแต่สลับร่างกับจิตรินถูกปล่อยออกมาทั้งหมด ผมสะอื้นน้อยๆ ขณะใช้แขนเสื้อเช็ดหน้า ก่อนจะมองเตโชด้วยดวงตาแดงก่ำ ยอมปล่อยมือเขาให้ขับรถสบายๆ สักที
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าเล่าก็จะฟัง”
ผมหลุดหัวเราะพรืด ไม่รู้ว่าทำไมถึงขำในสถานการณ์ที่ไม่ควรขำ แต่น้ำเสียงสุดเฉยชาของเขานั้นทำราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นช่างเล็กจ้อยขี้ปะติ๋วเสียเหลือเกิน
“กลับกันเถอะ...ฉันเหนื่อยแล้ว”
ผมนอนพิงเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้า
“พอแล้ว...”
หลังกลับถึงห้องตัวเองที่คอนโด จัดการธุระส่วนตัวสวมชุดนอนเรียบร้อย ผมก็กลั้นใจโทรหาคมสัน
จอมมารกำลังรออยู่เลยเชียว
(( โชคดีนะครับที่โรงรถไม่ได้ล็อกประตู ))
และรู้ด้วยว่าผมแอบปีนหนีออกไปยังไง เอาเถอะ คนอย่างจอมมาร หากจะปล่อยคนก็ทำได้ง่าย ถ้าจะขังคนก็ทำได้สบายๆ เช่นกัน การที่เขาปล่อยให้ผมอยู่ในห้องคนเดียว ยื่นกุญแจรถคืนโทรศัพท์ให้ก็เป็นการบ่งบอกกลายๆ แล้วว่าอยากจะไปเลียแผลที่ไหนก็ไปซะ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยโทรมา
และตอนนี้ผมก็พร้อมแล้ว
เรื่องราวทุกอย่างถูกเล่าละเอียดยิบ นับตั้งแต่พายขอเบอร์ผมตอนงานมีตติ้ง และการขอร้องแกมพาดพิงของพายที่ทำให้ผมใจอ่อน กาแฟที่วางยานอนหลับ จดหมายปลอม และคลิปเสียงหลุดว่าผมพูดออกไปด้วยอารมณ์แบบไหน
คมสันไม่ว่าผมสักคำ แต่ร่วมด้วยช่วยกันแบ่งปันข้อมูล
(( ตอนเข้ากองวันนี้ พายบอกไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคุณเลย เขาอ้างเรื่องที่ไม่ได้สนิทสนมกับใครในกองถ่ายทำให้หลุดจากเป็นผู้ต้องสงสัย อันที่จริง...ผมช่วยแก้ตัวว่าคุณจิระอาหารเป็นพิษ แต่พอมีคลิปเสียงออกมา ทุกอย่างเลยกลับตาลปัตร ))
กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะอีกครั้ง
อ้างอีกอย่างแต่ผลออกมาอีกอย่าง สถานการณ์คุ้นๆ ชอบกลแฮะ ผมยิ้มขื่น เริ่มปลงตก
(( อยากเอาคืนมั้ย ))
ก่อนจะตัวสั่นเทาขึ้นมาเมื่อน้ำเสียงจอมมารพร้อมลุย
“เอาคืนยังไง”
(( ผมมีหลักฐาน )) คมสันเอ่ย (( ตอนไปรับตัวคุณมา ผมว่างมากเพราะปลุกยังไงคุณก็ไม่ตื่น และพายก็ยังอยู่ในกองถ่าย ผมเลยถือโอกาสสำรวจบ้านเขา เก็บจดหมายปลอมพวกนั้นมาด้วย ลองเทียบลายมือแล้วพบว่าเป็นลายมือของเขา พายคงกะให้คุณจิระเห็นคนเดียวเลยทำเองลวกๆ ไม่ได้ตัดแปะตัวอักษรกลบเกลื่อนลายมือให้แนบเนียน โชคดี ผมเงยไปเห็นกล้องวงจรปิด เลยลองเปิดคอมฯที่บ้านพาย และโชคดีมาก ที่เขาลงโปรแกรมกล้องไว้ในเครื่อง หลังลองเปิดส่วนของวันนี้ดูแล้วเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีเสียงก็เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยม ผมเลยดึงไฟล์ส่งเข้าเมลตัวเองเรียบร้อยแล้วครับ ))
...กลัวแล้ว!!!ผมกลืนน้ำลาย นึกขยาดจอมมารผู้เหี้ยมโหด
“ถ้ามีหลักฐานพร้อมขนาดนี้จะถามฉันทำไม ไม่จัดการไปเลยล่ะ”
(( เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับบริษัท นักแสดงสองคนมีเรื่องบาดหมางขนาดใส่ความกันเองจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต หากแฉออกมาเรตติ้งซีรีส์เช็กเมทซีซันสองคงมีแต่ลงกับลง ))
“อ้อ เพราะอยากปกป้องบริษัทสินะ” ผมว่าแกมประชด
(( แต่ถ้าอยากเอาคืน...ผมจะยอมยกประโยชน์ให้จำเลย ))
“เลขาใจโหดอย่างนายน่ะเหรอจะช่วยปกป้องฉันแทนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท” ผมถามกึ่งหาเรื่อง ไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างคมสันจะยอมทิ้งความเป็นเลขาหน้าเลือด
(( ก็คนอย่างผม...ที่ผลักดันคุณมาตั้งแต่เริ่มเนี่ยแหละครับ ))
รอยยิ้มผุดบางออกมาโดยไม่รู้ตัว
เพราะอย่างนี้ไง...ถึงจะกลัวจอมมารมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เคยเข็ดกับเขาสักที
คมสันช่วยผมมามาก ทั้งผลักทั้งดัน ฉุดกระชากลากถูเพื่อให้เดินในเส้นทางที่ผมพยายามปฏิเสธมาตลอด ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำ ถ้าไม่มีเขา ก็คงไม่มีดาราที่ชื่อจิระในวันนี้
“ขอบคุณ...ที่สนับสนุนคนไม่เอาไหนอย่างฉันมาตลอด” ผมพูดเสียงเบาหวิว “แต่พอแล้วล่ะ ฉันไม่อยากให้เช็กเมทเสียไปกว่านี้ ตอนซีซันหนึ่ง คนที่ทำให้จิตรินถูกจับกลางกองก็คือฉัน คราวนี้เกิดกับตัวเองบ้าง ถือว่ากรรมตามสนองแล้วกัน”
คมสันเงียบไปนานจนผมชักหวั่น
(( โตขึ้นแล้วนะครับคุณจิระ ))
น้ำเสียงนั้นแฝงความภาคภูมิใจในตัวผมบ้างมั้ยนะ
“ฉันไม่ใช่เด็กที่ต้องให้นายมาคอยจี้ตลอดหรอกน่า!” ผมแสร้งตะโกนแก้เก้อ เพราะหากเป็นจิระคนเดิม คงไม่วายเลือกแฉพายเอาสะใจไว้ก่อนจนคนไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมด “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปิดเป็นความลับรู้กันแค่วงใน พอเข้ากองอีกรอบฉันจะวิ่งไปกอดพาย กระซิบว่าเพื่อนรัก คมสันรู้ความจริงหมดแล้วนะ เอาให้เขาตกใจกลัวจนขาสั่นไปเลย!”
(( ผมเพิ่งชมคุณว่าโตขึ้นเองนะครับ ))
“โว๊ะ ไม่คุยด้วยแล้ว!” ผมวางสายจากคมสัน ก่อนจะฮัมเพลงระหว่างเป่าผมให้แห้งเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ น่าแปลกชะมัดที่เพิ่งเจอเหตุการณ์น่าโมโหมาแท้ๆ แต่ผมยังยิ้มออก
คงเพราะคนรอบตัวผมนั้นต่างเชื่อใจและเข้าใจ
พอเดินออกมาก็ปะกับเตโชที่นั่งจ๋องบนโซฟาหน้าตาเคร่งเครียด เขาเงยมองผม ไม่พูดอะไรแต่คล้ายจะเรียกให้เข้าใกล้ชอบกล
“มีอะไร”
จิระกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเตโชวิทยาไปแล้วเหรอ...
คนหน้ามึนไม่ตอบ แต่ส่งกระดาษสองแผ่นให้ผม
“เพลงของซีเคร็ท”
“ห้ามให้นักแสดงดูไม่ใช่รึไง” แม้จะแอบแย้งแต่ผมตาวาวมาก รีบทิ้งตัวนั่งข้างเตโชแล้วแกะเนื้อเพลงทีละท่อนด้วยความลุ้นระทึก
“ให้จิระดู”
แล้วจิระของนายไม่ใช่นักแสดงรึไง
“เอาเถอะ ฉันจะไม่บอกใครป้องกันไม่ให้นายโดนปรับแล้วกัน” ผมเอนตัวพิงไหล่เตโช ทั้งที่หลับไปทั้งวันแล้วแต่ยังรู้สึกเพลีย ตัวอ่อนเปลี้ยเรี่ยวแรงหดหาย ไม่รู้ว่าตัวอุ่นๆ ของเขามีเวทมนตร์ให้ผ่อนคลาย หรือเป็นผมเองที่อยากทำตัวเหลวทิ้งน้ำหนักใส่กันแน่
“ชอบมั้ย”
“ชอบ” ผมอมยิ้มพลางดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ “ร้องให้ฟังหน่อยสิ”
คนหน้ามึนทำตามขอ เอียงศีรษะเข้าหาผม ฮัมเพลงออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน ไม่เข้ากับเพลงของเช็กเมทแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ทักท้วง เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้ร้องถึงมิสเตอร์เอส แต่กำลังร้องให้ผม...จิระ
เป็นเพลงของผมคนเดียว
---------
น้ำตาจะปริ่มกับจิระที่โตขึ้นแล้ว เทียบกับเรื่องของเสี่ย เด็กน้อยที่ทำตามใจตัวเองไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนยังไง กับจิระในตอนนี้แล้ว...คมสันก็คงจะภูมิใจมากๆ เลยนะคะ นับว่าการให้จิระกับเตโชมาเจอกันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะการมีเตโชอยู่เคียงข้างในวันนี้...นับเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดของทั้งคู่จริงๆ
เพจนักเขียนที่มองจิระราวลูกสาวรอออกเรือนปล.เรื่องเพิ่งจะครึ่งทาง อย่าเพิ่งตกใจคิดว่าเช็กเมทจบแล้วเรื่องจะจบน้า เรื่องราวของเตโชกับจิระเพิ่งเริ่มต้นในสายสีชมพูค่ะ