ตอนที่ 19
ลอยคอในทะเล
ผมเปิดหน้าต่างรถ สูดกลิ่นเค็มของทะเลเข้าเต็มปอด
“ฮ้า สบายจัง” พูดไปก็บิดขี้เกียจไป เพราะตลอดการเดินทางนั้นหากไม่กินขนมผมก็นอนหลับ ปล่อยให้เตโชขับรถติดต่อกันนานเกือบสามชั่วโมง “นายชอบภูเขาหรือทะเลมากกว่ากัน”
ประโยคนี้คุ้นในความทรงจำ เพราะจิตรินเป็นคนถามผมก่อนเราจะสลับร่าง
“ทะเล”
ผมยิ้มให้เตโช
“ฉันก็ชอบทะเล” ผมพูดพลางหลับตารับสายลมแสงแดด ไอเย็นที่ปะทะใบหน้า กลิ่นอายของทะเล ทำให้รู้สึกเหมือนมาเที่ยวมากกว่ามาทำงาน ไม่สิ ถ้านับตามความจริง...ผมมาเที่ยวน่ะถูกแล้ว ส่วนเตโชต่างหากที่มาทำงาน “เมื่อก่อนเวลามีเรื่องทุกข์ ฉันชอบนั่งมองทะเล มองนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ฟังเสียงคลื่น ดูความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด แล้วใจจะสงบลง”
เตโชไม่ตอบอะไร แต่ผมรู้ว่าเขาฟังอยู่
“นามสกุลฉันคือนราสมุทร มีความหมายว่าน้ำทั้งสองคำ เพราะอย่างนี้มั้งฉัน
ถึงชอบทะเล”
“เตโชแปลว่าไฟ”
“นั่นสิ แล้วทำไมคนที่ชื่อไฟถึงได้หน้ามึนขนาดนี้ล่ะ” ผมหันไปเหน็บเขาพร้อมหยิกแก้มหวังให้แสดงสีหน้าออกมาบ้าง แน่นอน...ว่าไม่เป็นผล “นายควรจะชื่ออะไรสักอย่างที่แปลว่าน้ำมากกว่าอีก ฉันให้ยืมนามสกุลมั้ย เอาคำว่านรา หรือคำว่าสมุทรดีล่ะ”
“ชื่อน้ำ”
“มักง่ายไปแล้ว” ผมหัวเราะร่วน ก่อนจะหันไปมองเหม่อกับภาพของทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง งานดนตรีจะเริ่มจัดในวันพรุ่งนี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเต็มหาดพัทยา มองไปมองมาแล้วจะว่าสงบก็ไม่สงบ ควรจะบอกว่าวุ่นวายโคตรๆ ถึงจะถูก “แล้วนี่จองห้องยังไง”
“บริษัทจองให้”
“เตียงคู่?”
“ไม่รู้”
ฟังคำตอบนั้นแล้วผมสังหรณ์ใจชอบกล
แล้วก็เป็นจริงดังคาด
ผมกุมขมับขณะนั่งบน ‘เตียงเดี่ยว’ พลางเหล่มองคนหน้ามึนที่ไม่ได้กลัดกลุ้มอะไรเลย จะไปขอเปลี่ยนห้องก็ไม่ทัน เพราะด้วยงานดนตรีทำให้มีคนมากมายหลั่งไหลเข้าพัทยา ห้องเต็มจนไม่พอให้พักด้วยซ้ำไป
“คืนนี้นอนเตียงเดียวกับฉันนายโอเคใช่มั้ย”
เตโชพยักหน้ารับ ออกจะสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องทำทีเป็นเดือดเป็นร้อน ก็เป็นผู้ชายด้วยกัน แถมยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีก
“แต่ฉันไม่โอเค นายนอนกรนรึเปล่า นอนดิ้นมั้ย บอกไว้ก่อนว่าฉันเป็นคนขี้รำคาญมากๆ เลยนะ”
สายตาของเตโชคล้ายยอมรับคำด่าตัวเองของผมนั้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“อย่าเงียบสิ”
“หิวแล้ว”
“งั้นไปกินอาหารทะเลกัน” ผมรีบลุกจากเตียง ไม่ได้กินอาหารทะเลสดๆ นานมาก แค่นึกก็น้ำลายจะไหล แต่ให้ลงไปทั้งสภาพนี้ก็ไม่ได้ ผมหยิบหมวกมาใส่ หยิบแว่นกันแดดมาสวม แน่นอนว่าเอามาเผื่อคนหน้ามึนด้วย เขาดูแลตัวเองเป็นที่ไหนกัน
สุดท้ายพวกเราก็จบปัญหาเรื่องเตียงด้วยของกิน
ตอนแรกที่เดินออกจากโรงแรม ผมลอบกังวลว่าปลอมตัวแค่นี้จะรอดรึเปล่า ปรากฏว่ารอดครับ เพราะนักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ ไม่ได้มีแค่คนไทย แต่ยังมีชาวต่างชาติด้วย ส่วนสูงปานเสาไฟฟ้าของเตโชเลยดูกลืนไปซะอย่างนั้น นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นกับเพื่อน หรือให้ถูกคือผมแทบจะไม่มีเพื่อนนับตั้งแต่เกิดมายี่สิบสองปี เลยค่อนข้างระรื่นชื่นบานขณะเดินเที่ยวรอบโรงแรม
“เอาร้านนั้นกัน” ผมกระตุกแขนเสื้อเตโชพลางชี้ร้านอาหารหน้าปากซอยที่มีคนต่อแถวยาวขดสามตลบ คนหน้ามึนย่นคิ้วคล้ายไม่เห็นด้วย แต่ผมข้ามถนนไปแล้ว แถมยังหันมากวักมือเรียกไม่ให้ปฏิเสธอีกต่างหาก
เขาว่ากันว่าคนยิ่งเยอะแสดงว่าร้านนั้นอร่อยเหาะ ในฐานะพ่อครัวมือฉมัง มาถึงพัทยาทั้งทีผมก็อยากจะกินอาหารอร่อยๆ นี่นา
ผ่านไปสิบห้านาที แถวเขยื้อนไปเล็กน้อย ผมก็เริ่มบ่น
“เมื่อยชะมัด”
เตโชมองผมด้วยสายตากะไว้แล้วเชียว...เป็นอันหมดข้อสงสัยว่าทำไมตอนแรกถึงได้คัดค้าน
เขาน่ะไม่มีปัญหา เพราะคนที่มีปัญหาคือผมต่างหาก!
“ร้อน” ผมจับเตโชยืนเป็นเสาบังแดด “ทำไมตรงนี้ไม่มีลมเลยนะ”
คำถามที่ไร้คำตอบ เตโชรู้ดีว่าควรจะหุบปากเงียบเข้าไว้ถ้าไม่อยากให้ผมพาลใส่ ก่อนจะถอดหมวกมาช่วยพัดให้ผมผสมพัดให้ตัวเองบ้าง เจอคนนิ่งผมก็นิ่งตาม แม้จะบ่นกระปอดกระแปดทุกหนึ่งนาที
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ผมหิวจนแสบไส้ ยืนจนเมื่อยไปหมด แต่พอได้นั่งโต๊ะพลังงานก็หวนกลับ รับเมนูมาสั่งอาหารทันที
“ปลากะพงนึ่งมะนาว กุ้งเผา หอยแครงลวก ปูผัดผงกะหรี่ แล้วก็ข้าวผัด!”
ไม่แม้แต่จะถามความเห็นเพื่อนร่วมทาง สั่งจบผมก็เหล่มองเตโชที่นั่งอย่างสงบ ไม่โวยวายคัดค้านใดๆ
“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าตูบ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“จิระใจดี เย้”
เห็นแก่เขาพามาเที่ยว ได้สิทธิ์ที่พักฟรี ผมเลยทำตัวป๋าสักหน่อย อยู่กับเตโชดีอย่างที่ไม่ต้องมานั่งเกรงใจ ผมจะเอาแต่ใจขนาดไหนก็ได้ เพราะรู้สันดาน...แคกๆ เอาเป็นว่ารู้นิสัยกันดีอยู่แล้วหลังรู้จักกันมาสองเดือนเต็ม ถ้าเป็นคนอื่นผมคงโดนด่าเพราะทนความเอาแต่ใจไม่ไหว แต่กับคนหน้ามึนนั้นหายห่วง เตโชเป็นพวกเรื่อยๆ เอื่อยๆ สบายๆ ค่อนข้างมักง่ายและมีความอะไรก็ได้สูงมาก
อย่า อย่าคิดว่าผมเอาเปรียบเขา เตโชก็มีนิสัยแย่ๆ ตรงเงียบเกินไป บางทีก็เหมือนจะไม่สนใจอะไรเลยโดยเฉพาะสิ่งรอบข้าง ผมเลยต้องคอยระวังให้ รีบจับเขาใส่หมวกเมื่อเห็นว่าโต๊ะข้างๆ แอบเหล่มองเราสองคนอย่างสงสัย
ถ้าเป็นดาราทั่วไปคงดีใจที่มีคนจำได้
แต่บอกเลย ดาราสุดฉาวอย่างผมนั้นไม่ดีใจสักนิด และไม่ชอบเวลาถูกขอถ่ายรูปด้วย ผมชอบการแสดง แต่เกลียดการเป็นดาราสุดจิตสุดใจ โดนนินทาลับหลังยิ่งแย่ใหญ่ อย่างข่าวลือเรื่องผมกับเตโชนั้นก็ขอเล่าด้วยตัวเองดีกว่ามาจากปากคนอื่น
“น้องๆ ของคนนี้เอาน้ำเปล่าไม่เอาน้ำแข็งนะ” ผมบอกพนักงานที่ลากรถเข็นมาเสิร์ฟน้ำ นักร้องอย่างเตโชต้องถนอมเส้นเสียง เลี่ยงได้ก็จะพยายามเลี่ยงน้ำเย็น ในฐานะพ่อครัวประจำตัวเขาผมย่อมจำเรื่องนี้ได้แม่น “ยิ้มอะไร”
“ดีใจ”
“ดีใจอะไร ดีใจที่ฉันเลี้ยงข้าวเหรอ”
เตโชไม่ตอบ เขาเพียงมองผมยิ้มๆ
หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ อาจเพราะหิวมาก ผมกับเตโชเลยพากันก้มหน้ากินอย่างเดียว อาหารทะเลต้องมากินที่ทะเลจริงๆ เนื้อปลาสด เนื้อกุ้งแน่น หอยแครงลวกแบบพอดิบพอดี แม้ปูจะให้น้อยไปหน่อยแต่โดยรวมถือว่าสมราคา
“อิ่มชะมัด” ผมลูบพุง บนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษกุ้งและเปลือกหอย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมต้องคอยแกะกุ้งให้เตโชเพราะทนไม่ได้ที่เขาแกะไม่ถูกวิธีจนเหลือเนื้อตรงหาง หากมองจากภายนอก ผมอาจจะดูเหมือนคนกลัวสกปรก แต่อย่าลืมสิว่าผมชอบทำอาหาร พ่อครัวมือฉมังคนนี้เคยหมักหมู สับไก่ ทำหลายอย่างที่เลอะเทอะกว่านี้มาก
“จิระทำอร่อยกว่า”
“อย่ามาชมให้เหลิงหน่อยเลย ฉันเคยทำอาหารทะเลให้นายที่ไหน”
“งั้นทำสิ”
“นี่นายหลอกให้ฉันรับปากใช่มั้ยเตโช” ผมมองเขาอย่างรู้ทัน เห็นหน้ามึนแบบนี้แต่หมอนี่มีความกวนฝังในสูงมาก “กุ้งโลหนึ่งตั้งกี่บาท แพงจะตาย แต่ถ้านายซื้อวัตถุดิบฉันจะทำให้”
“ตกลง”
ท้องอิ่มพวกเราก็ไปเดินเล่นเลียบชายหาดส่วนของทางโรงแรมเพราะคนน้อยกว่าที่สาธารณะ ไหนๆ ก็ชอบทะเลเหมือนกันแล้วเลยไม่กลัวว่าอีกคนจะเบื่อ ผมเดินเตะทรายขณะหาทำเลเหมาะๆ วันนี้เตรียมลุยเต็มที่เลยสวมเสื้อยืดกางเกงสามส่วน ทางด้านเตโชก็สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงลายทหาร ผมเลือกจุดที่คนน้อยแถวโขดหิน ก่อนจะหันมาชวนคนข้างกายด้วยสีหน้านึกสนุก
“เล่นน้ำกัน”
“เอาสิ”
“นายลงไปก่อน” ไม่พูดเปล่ายังผลักคนหน้ามึนด้วย แต่ที่ทำให้อ้าปากหวอคือเตโชเล่นใหญ่เกินไป ผมผลักเบาๆ เอาให้เซ แต่เขาดันกระโดดถอยหลังลงทะเลอย่างจำยอม ทิ้งน้ำหนักเต็มที่จนน้ำสาดกระจัดกระจาย
แล้วผมที่ยืนอ้าปากค้างจะไปหลบทันมั้ย
จะรอดเรอะ...เปียกโชกไปทั้งหน้าเลยเนี่ย!
ผมปาดคราบน้ำที่ไหลตามคางพลางหรี่ตามองเตโชที่นั่งจมในทะเลครึ่งตัว
“เล่นน้ำกัน” เขาพูดหน้าซื่อตาใส แต่มือที่ตีน้ำใส่ผมเนี่ยไม่เห็นจะซื่อใสตรงไหน
“เล่นนายเนี่ยแหละ อย่าหนีนะ!” ผมกระโจนเข้าหาเตโช ตั้งใจจะจับเขากดน้ำให้หายแค้น ผลคือโดนคนหน้ามึนกระชากแขนล้มโครมหน้าคะมำทิ่มทะเลเข้าอย่างจัง
ผมเงยหน้าพรวด ถุยน้ำออกจากปาก ถลึงตาอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่ได้หนี” เตโชแบมือสองข้างอย่างจำยอมราวกับผู้บริสุทธิ์
“นายแกล้งฉันชัดๆ”
“จิระเริ่มก่อน”
“ฉันแกล้งนายได้แต่นายอย่างแกล้งฉันสิ!” ผมตีน้ำใส่เขาอย่างกรุ่นโกรธ ผลคือเตโชตีน้ำกลับ ทำไมเราสองคนเล่นทะเลกันเหมือนเด็กสามขวบขนาดนี้ นึกแล้วรู้สึกมันไม่ใช่ เราไม่ควรนั่งตีน้ำใส่กันอยู่ริมหาด มันทุเรศเกินไป
“หยุด” ผมยกมือตั้งตรงสี่สิบห้าองศาเพื่อห้ามทัพ “ว่ายน้ำแข่งกัน เส้นชัยคือเสาวัดระดับน้ำตรงโน้น”
เตโชไม่แม้แต่จะพยักหน้าหรือขานรับ เพราะผมพูดจบปุ๊บเขาก็เอามือจ้วงน้ำทันที ว่ายฉิวนำไปไกลแล้ว!
“ไอ้บ้าเตโช ไอ้ขี้โกง!” ผมโวยวายก่อนจะรีบว่ายตามหลังอย่างเร่งร้อน แต่ช่วงแขนขานั้นสั้นกว่าเตโชฉันใด ความเร็วในการว่ายน้ำก็ช้ากว่าฉันนั้น แล้วยังไม่นับเรื่องคนหน้ามึนออกตัวนำโด่งอีก ผมแพ้ราบคาบ หอบแฮกๆ หมดเรี่ยวแรงจนต้องตะกายตัวอ้อมหลังไปล็อกคอเตโชแก้แค้น
“ตายซะเถอะ! ตายซะเถอะ!”
เตโชเล่นใหญ่พอเป็นพิธีโดยการดิ้นขลุกขลักสามครั้ง ผมทั้งขำทั้งเหนื่อย เปลี่ยนจากล็อกคอเป็นกอดคอเขาหลวมๆ แล้วสั่งให้เตโชว่ายวนรอบเสาวัดระดับน้ำเป็นการทำโทษ แล้วผมก็ค้นพบ...ความสบายที่ตามหามานาน
เล่นน้ำแต่ไม่ต้องว่ายเองมันดีอย่างนี้นี่เองจากนั้นผมก็เกาะเตโชไม่ปล่อยประหนึ่งเขาเป็นปลาโลมา
แต่คนหน้ามึนแรงดีแค่ช่วงแรกเท่านั้น ไม่ทันไรก็กลายร่างเป็นสล็อต ว่ายเอื่อยๆ วนไปวนมาอยู่กับที่ ตอนแรกกะจะต่อว่าสักหน่อย แต่พอมองกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หัวเราะเฮฮาเต็มหาดแล้วก็คิดอยากอยู่อย่างนี้อีกสักพัก ปล่อยใจฟังเสียงคลื่น เสียงลม วุ่นวายกับการทำงานมานาน หลบมาพักร้อนทั้งทีทำอะไรให้มันช้าลงบ้างก็ดีไปอีกแบบ
“ร้องเพลงหน่อยสิ”
“เฮ...จับเอาเธอนั้นไปลอยทะเล...”
ผมตบกะโหลกเปรี้ยงเข้าให้เต็มฝ่ามือ
แต่เตโชยังไม่หยุด
“ก็กลัวเธอนั้นจะจมทะเล...ขาดเธอตัวฉันก็คงสิ้นหวัง และคงจมเห่”ยังดีที่กลับตัวทันเอาท่อนหลัง ว่าแล้วก็ให้เครดิตกันสักหน่อยกับเพลง ‘ลอยทะเล’ เพลงเก่ามากจนผมยังร้องไม่รอด ได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ พลางกอดคอเขาแน่นขึ้น
“เตโช”
“หืม” เขาขานรับในลำคอเบาๆ มุ่งมั่นกับการดำผุดดำว่ายด้วยความเชื่องช้าขนาดเต่ายังแซงหน้า
“ถ้าฉันทำอาหารไม่เป็น นายจะคบกับฉันรึเปล่า ยังอยากเป็นเพื่อนฉันมั้ย”
ไม่รู้ผีอะไรเข้าสิง อาจจะเป็นผีทะเลก็ได้...ถุย! ผมหมายถึง อาจจะเพราะมองฟ้า มองน้ำ รับอากาศเย็นๆ แล้วผมก็นึกอยากถามสิ่งที่ไม่กล้าพูดมาตลอด
“ฉันนิสัยไม่ดี ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห”
ผมกอดคอเขาแน่นขึ้น เพราะหากพูดต่อหน้าคงขลาดเขลาไม่กล้าเอ่ย
“บางทีฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง แต่ฉันคิดว่าถ้าฉันเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่จิระ ก็คงไม่อยากจะมายุ่งกับคนอย่างจิระ”
ก่อนจะกลั้นใจถามประโยคสำคัญ
“นายอยากสลัดฉันทิ้งไปไกลๆ บ้างรึเปล่า”
แต่เตโชไม่ตอบ
“บางทีฉันยังเหนื่อยตัวเองเลย ถ้าไม่มียาดมคงอกแตกตายไปแล้ว” ผมพูดติดตลก คลายมือออก ชะโงกหน้ามองเขา “นี่ พูดอะไรบ้างสิ”
เตโชดำน้ำซะงั้น ผมเลยพลอยโดนดึงลงไปด้วย พอผุดขึ้นเหนือน้ำอีกครั้งสติก็เหมือนไหลหายไปไหนก็ไม่รู้ ผมตีหลังเขาจนแดงก่ำ ไอ้บ้านี่เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“จิระ”
“ว่าไง” ผมชักหน้าหงุดหงิด หมดอารมณ์จะถามต่อแล้ว
“ผมพูดไม่เก่ง”
“ก็รู้ตัวนี่” ผมโคลงศีรษะ
“ความรู้สึกช้า”
“นั่นก็ใช่” ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“ไม่ดูแลตัวเอง”
“ยิ่งกว่าใช่เลย” ผมยกยกนิ้วโป้งให้เขา
“คุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ”
“เออ บางทีฉันก็ไม่เข้าใจนายเหมือนกัน” ผมหัวเราะขำ
“แต่จิระก็มาด้วยกัน”
“...”
“ทำไมถึงมาที่นี่ด้วยกัน”
ความเงียบเข้าแทรกกะทันหัน ผมนึกอยากให้เขาดำน้ำไปอีกรอบเราจะได้เปลี่ยนหัวข้อ แต่เพราะเตโชรอฟังอย่างตั้งใจเลยได้แต่ตอบออกมาทีเล่นทีจริง
“ก็ฉันว่าง อยากมาเที่ยว อยากมาดูนายร้องเพลง”
“จิระใจดี ใจอ่อน”
“อ่อนขนาดไหน”
เตโชวักน้ำทะเลขึ้นมาแล้วค่อยๆ ปล่อยมันไหลผ่านมือ
“นั่นเขาเรียกว่าเหลวแล้ว ไม่ใช่อ่อน!” ผมถีบเขาไม่เบาด้วยแรงโมโหโกรธา ผลคือโดนสลัดทิ้งจากแผ่นหลัง ทำเอาต้องลอยตัวตุบป่องอยู่กลางทะเลเผชิญหน้ากับเขา
“นี่...” ผมมองหน้าเขาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ย้อนกลับมาหัวข้อเดิมที่ยังค้างคาใจ “ถ้านายทนฉันไม่ไหวต้องบอกนะ บางทีฉันอ่านนายไม่ออก กลัวจะระเบิดตูมแล้วหายหัวไปเลย”
“ไม่หรอก” เตโชตอบอย่างสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน “เข้าใจจิระ”
“เข้าใจอะไร” ผมยักคิ้วท้าทาย
“เข้าใจว่าจิระนิสัยไม่ดี ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห”
“...”
“มึนๆ งงๆ”
“นั่นมันนายแล้ว!” ผมถึงกับลงทุนว่ายเข้าไปตบหัวเตโชอีกหนึ่งที ก่อนจะถือโอกาสเหนี่ยวตัวเองขึ้นหลัง กอดคอเขาตามเดิมไม่ต่างจากลูกลิง “นี่...นายแต่งเพลงมิตรภาพตราบฟ้าดินสลายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์ให้ฉันใช่มั้ย”
“อืม”
“นายชอบแต่งเพลงจากสิ่งที่อยากเล่าอยากบอก แสดงว่านั่นคือสิ่งที่นายอยากบอกฉันเหรอ”
“ใช่”
“ร้องให้ฟังอีกครั้งหน่อยสิ”
เตโชกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเปล่งเสียงออกมา แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยกลุ่มคนและความวุ่นวายผมกลับได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจน
“ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครต้องการ”แค่ประโยคขึ้นต้นก็ลอบสะท้านในอก ผมไม่เคยสังเกตเลยว่าเพลงนี้เหมือนกับเตโชมากแค่ไหน
“แต่เมื่อมีเธอเข้ามา ข้างกายฉันไม่เคยเงียบเหงา”และบางที...ก็เหมือนตัวผมเองด้วย
“อยากมีเธอแบบนี้ทุกวัน เพื่อให้ตัวฉันมีชีวิตในแบบที่ไม่เคยเป็น”ผมยิ้มบาง เพิ่งเข้าใจความหมายของคำถามของเขา เพราะถ้าไม่ใช่เตโช ต่อให้ผมว่างแค่ไหนก็คงไม่คิดจะตอบรับมาทะเลด้วยกัน แต่เพราะรู้ว่าเป็นเขา คนที่ยอมรับผมได้ คล้อยตามผมได้ อยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัด เป็นตัวของตัวเอง ถึงได้ยอมตกลง
“ฉันจะเข้าใจเธอ จะรับฟังเธอ จะต้องการเธอ”บางที...ต่อให้วันนี้ไม่ถามออกมา ผมก็รู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว
“จะไม่แยกจาก และเคียงกันตลอดไป”ผ่านเพลง ‘เคียงใจ’ นี้
กว่าจะขึ้นจากทะเล ผมกับเตโชตัวซีดมือเปื่อยไปหมด
พวกเราพลัดกันเข้าห้องน้ำ โดยผมเสียสละให้เตโชก่อนเพราะผมค่อนข้างอาบน้ำช้า ผิดกับเขาที่วิ่งผ่านฝักบัวด้วยความเร็วเสียง
“ฉันนอนตรงนี้” ผมชี้นิ้วทางเตียงฝั่งขวา “ส่วนนายนอนชิดริมเตียงไว้นะ ขอย้ำเลยว่าห้ามดิ้นมาโดน ห้ามเตะหรือป่ายมือมาโดน ถ้าฉันสะดุ้งตื่นเพราะนายจะเกรี้ยวกราดมาก”
“แล้วถ้าจิระ...” เตโชยกมือยกไม้ประกอบท่าทางสื่อความหมาย เขาคงหาคำอธิบายดีๆ ไม่ออก
โชคดีที่ผมสำเร็จวิชาเตโชวิทยาแล้ว
“ถ้าฉันเป็นฝ่ายดิ้นไปโดนนายถือว่าเจ๊ากัน”
เตโชพยักหน้ารับ หยิบหมอนขึ้นมาวางริมเตียงอย่างเจียมตัว
“เดี๋ยวก่อน สรุปนายเข้าใจว่าไง”
“ถ้าจิระรุกคือโอเค”
ผมปาหมอนใส่เขาทันที
“ไม่ใช่โว้ย!”
----------
เหมือนเขากำลังสารภาพรักกันยังไงชอบกล
แต่ในเมื่อจิระบอกว่าเพื่อนก็คือเพื่อนค่ะ เราจะไม่ฝืนใจคนเกรี้ยวกราด เพราะทั้งคู่เริ่มต้นจากคนแปลกหน้าแล้วกลายเป็นเพื่อน จะให้ข้ามขั้นคิดเป็นแฟนอาจจะยังไม่อยู่ในหัวแม้การกระทำจนบ่งบอกซะเหลือเกิน
ไม่ต้องห่วงค่ะ ขอกระซิบบอกเลยว่า...ใกล้แล้ว!!! #จิระผู้เกรี้ยวกราด
เพจนักเขียนที่ลุ้นสุดใจขาดดิ้น