ตอนที่ 21
เทศกาลดนตรี
ยาแรงของคุณหมอนับว่าดีจริง
เพราะเตโชไข้ลดลงมาก เสียอย่างเดียว...
“แคกๆ”
เขายังไออยู่เลย!
ตัดภาพมาที่หลังเวที ท่ามกลางแสดงสีเสียงและเสียงกรีดร้องอย่างสนุกสนานของเหล่านักท่องเที่ยวนับหมื่นที่มาร่วมงานเทศการดนตรีในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แม้จะมีการแบ่งเวทีออกเป็นสามส่วนอิงจากแนวเพลง กระจายตามชายหาดพัทยาเพื่อไม่ให้แออัด ถึงอย่างนั้นทุกเวทีก็แน่นขนัดแทบไม่มีที่ยืน งานเริ่มตั้งแต่หกโมง แต่เสียงด้านนอกยังคึกคักและมีวี่แววว่าคนจะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมพาเตโชนั่งหลบมุม เพราะทีมงานทุกคนกำลังวุ่นวายเนื่องจากมีศิลปินรับเชิญหลายสิบชีวิต ทั้งที่รอขึ้นแสดงและที่แสดงเสร็จแล้ว
นี่เป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยเผชิญมาก่อน...เพราะนักแสดงนั้นมักถ่ายทำแต่ในสตูดิโอ ถูกจัดแสงจัดฉากต่อหน้าผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ แต่นักร้องต้องร้องเพลงสดๆ ต่อหน้าคนนับพันนับหมื่น หากผิดพลาดจะไม่มีการเทคครั้งที่สองที่สาม มองคนป่วยที่สีหน้าดีขึ้นแล้วผมก็กังวลหนัก จับมือเขาแน่นพลางถามย้ำเป็นรอบที่เก้าสิบแปด
“นายไหวแน่นะ”
เตโชคงคร้านจะตอบ เลยใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวผมเบาๆ ให้สงบจิตสงบใจ
เพราะคนขึ้นเวทีอย่างเขาน่ะไม่ยักจะตื่นเต้นเลยสักนิด! คนหน้ามึน หน้าตาย หน้าไร้อารมณ์เป็นยังไงก็เป็นยังไงแม้จะได้รับโอกาสขึ้นแสดงบนเวทีใหญ่ก็ตาม ไม่รู้ว่าเพราะไม่คาดหวัง เพราะคนที่อยากให้เห็นอย่างครอบครัวไม่คิดมาดูความสำเร็จ หรือเพราะรักการร้องเพลง เชื่อมั่นในน้ำเสียงของตัวเองจนไม่ประหม่ากันแน่
ผมก็อยากจะเชื่อตามเขาหรอกนะ...แต่กลัวร่างกายจะไม่ไหวนี่สิ!
คิวการแสดงของเตโชคือตอนสามทุ่ม ร้องทั้งหมดสามเพลง เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องขึ้นเวทีแล้ว แต่คนหน้ามึนยังไอคอกแคกไม่ยอมหยุด
“ทำไมถึงอ่อนแอแบบนี้หา”
ดูหน้าแดงๆ ตาโรยๆ นั่นแล้วผมปวดหนึบในอกอย่างบอกไม่ถูก วันนี้ควรเป็นวันที่เขามีความสุข ดีใจกับการขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรกในชีวิตสิ ต้องร้องเพลงออกไปสุดเสียง แสดงความสามารถออกไปสุดตัว แต่กลับ...
“ขนาดฉันกุมมือนายทั้งวัน นอนอยู่ข้างๆ กันยังไม่ป่วยเลย ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้” ผมพูดด้วยความกังวลไม่ใช่ก่นด่า เตโชเองก็เข้าใจ ถึงได้หลับตาพริ้ม ถือโอกาสซบหน้ากับไหล่ผมหวังปลอบอารมณ์พลุ่งพล่าน
“อย่าเพิ่งหลับ” ผมตบแก้มเขาเบาๆ “ฉันว่าเพราะนายนอนไม่เป็นเวลาแน่ๆ บางวันนั่งแต่งเพลงทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอนเลยไม่ใช่เหรอ ไม่ได้แล้วนะ กลับไปต้องปรับเวลานอนให้ดี มีที่ไหนกัน นายเด็กกว่าฉันแต่ดันอ่อนแอกว่าฉันอีก ฟังอยู่มั้ยเนี่ยเตโช”
คนหน้ามึนพยักหน้ารับเชื่องช้า ก่อนจะนอนหนุนด้วยใบหน้าหลับพริ้มแสนสบายจนไม่กล้าขัด ผมถอนหายใจเฮือก บ่นต่อไม่ออก เลยหยิบยาดมขึ้นมาสูดเป็นระยะเพื่อไม่ให้เครียดจนอกแตกตาย
“เตโชเป็นอะไรน่ะ” ทีมงานที่กำลังเดินไล่ดูความพร้อมของศิลปินชะงักเมื่อเห็นเตโชนั่งตัวเหลวละลายคาไหล่
“ไม่สบายนิดหน่อยครับ” ผมตอบแทนคนหน้ามึนที่ไม่กระดิกตัว
“ไหวใช่มั้ย อีกสิบห้านาทีต้องสแตนด์บายแล้วนะ”
“ไหวครับไหว” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ฉีกยิ้มสดใสทดแทนส่วนของคนหน้ามึนเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจแก่ทีมงาน แม้ลับหลังจะรีบก้มกระซิบข้างหู ถามเตโชรอบที่เก้าสิบเก้าอย่างกลัดกลุ้มเหลือหลาย “นายไหวแน่นะ”
เตโชชูสองนิ้วเป็นคำตอบ
สิบนาทีผ่านไป ผมทนนั่งเฉยไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจสะกิดปลุกเขาเพื่อให้เตรียมตัวก่อนทีมงานจะเดินมาตาม
คนหน้ามึนปรือตาเชื่องช้า สีหน้าดูเซื่องซึมอย่างบอกไม่ถูก แล้วยังนวดขมับเบาๆ...ผมคิดว่าคงเพราะที่นี่เสียงดังเกินไป เขาเลยปวดหัว อาการไข้ที่เริ่มดีขึ้นเย็นจึงกำเริบหนัก
และก็ใช่อย่างที่คิดจริงๆ ผมกังวลแทบบ้าเมื่อลองแตะหน้าผากเขาแล้วพบว่าอุณหภูมินั้นพุ่งสูงกว่าเดิม
“เตโช...นายไม่เป็นไรนะ” ผมถามเสียงเบาหวิว ประคองใบหน้านั้นด้วยสองมือ รู้ดีกว่าใครว่ายังไงคนตรงหน้าต้องฝืนตัวเอง เพราะไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสแสนล้ำค่านี้อย่างแน่นอน หากเป็นผมที่ไม่สบายวันเปิดกอง ต่อให้ตายยังไงก็ต้องลากสังขารไปให้ได้เหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ห่วงเขาจับใจ
สองมือโอบประคองใบหน้านั้นอย่างทะนุถนอมเหมือนกลัวเขาจะเป็นอะไรไป สบสายตาจ้องไม่กะพริบเพื่อดูอาการ เตโชจ้องผมกลับ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ โน้มศีรษะลงมาเชื่องช้า
เปลือกตาผมกระตุกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนในระยะประชิด
รู้ตัวอีกทีริมฝีปากผมก็ถูกช่วงชิงไปแล้ว
ผมเบิกตาค้าง เวลาคล้ายถูกหยุดลงกะทันหัน ทั้งที่เป็นเพียงการสัมผัสเบาๆ ไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่การกระทำของเตโชทำให้ความกลัดกลุ้มทั้งหลายของผมกระเด็นปลิวไปถึงดาวอังคาร
เพราะที่เหลือในสมองตอนนี้มีเพียงสีขาวโพลน
“ตะ...ตะ...”
ผมอ้าปากพะงาบๆ ตัวแข็งค้างขยับเขยื้อนไม่ได้
“เตโช รีบมาสแตนด์บายได้แล้วค่า!”
เสียงของทีมงานช่วยเรียกสติให้หวนคืน ผมไม่กล้ากระโตกกระตาก เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเร็วมาก และเตโชก็เนียนเกินไป เขาถือโอกาสที่ผมประคองหน้าสบตาในระยะใกล้โน้มศีรษะเพียงเล็กน้อยและผละห่าง ไม่มีใครสังเกตเห็น มีเพียงผมที่รู้ดีแก่ใจว่าโดน ‘จูบ’ เข้าแล้ว
แต่ไอ้การแตะเบาๆ เพียงเสี้ยววินั่นจะเรียกว่าจูบก็ยังไม่แน่ใจ
“ไม่ต้องห่วง”
“หะ...ห่วงอะไร” สมองผมยังประมวลผลไม่เสร็จ
“ได้พลังงานแล้ว” เตโชพยักหน้าหงึกหงัก สีหน้าดูดีกว่าเดิมราวได้ยาวิเศษ เขาสะพายกีต้าร์ขึ้นหลัง ก่อนจะเดินตรงไปทางเวทีอย่างมาดมั่นผิดกับสล็อตที่ตัวเหลวมาตลอดวันโดยสิ้นเชิง
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเรียกสติของตัวเองคืนมาแบบเต็มร้อย สลัดเรื่องเมื่อครู่ทิ้งแล้วรีบไปจับจองที่นั่งหน้าจอมอนิเตอร์สำหรับถ่ายทอดสดซึ่งตั้งอยู่กลางห้องท่ามกลางความวุ่นวายหลังเวที
เพียงเห็นใบหน้ามึนนั้นปรากฏบนจอ ผมก็หลุดยิ้มอย่างหายห่วง
เพราะนั่นคือเตโช
นักร้องที่พร้อมจะเปล่งเสียงขับกล่อมทุกคนภายใต้บทเพลงที่เขาแต่งขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในชีวิต บทเพลงที่มาจากหัวใจ และร้องออกมาจากเบื้องลึกในจิตใจ
ภาพของเขาที่ปรากฏบนจอนั้นไม่แม้แต่จะตื่นเวที เพราะเจ้าตัวปรับขาตั้งไมค์อย่างเชื่องช้า วางกีต้าร์บนตัก ก่อนจะหลับตาเมื่อทำนองเริ่มบรรเลงเพื่อเตรียมตัวเปล่งเสียงร้องออกมา
เพลง ‘เวลา’
เวลาไม่เคยหยุด แต่วันนั้นเหมือนโลกทั้งใบได้หยุดลง
เวลาไม่อาจย้อนคืน แต่ทำไมจนวันนี้ยังวนเวียนไม่จางหาย
นับตั้งแต่เสียเธอไป ตัวฉันก็เหมือนนาฬิกาตาย
เวลาของฉันไม่มีความหมาย
เมื่อไม่มีเธอความสนุกสนานครึกครื้นของแสงสีเสียงแห่งเมืองพัทยา คล้ายถูกห้วงเวลาอันแสนเศร้าของเตโชดูดเข้าไปในโลกของเขา สปอร์ตไลท์ที่สาดส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าแฝงความเจ็บลึกตามเนื้อเพลง น้ำเสียงที่ก้องกังวาน เว้าวอน ร้าวรานนั้นชำแรกในใจคนฟังจนพากันโบกมือตามทำนองเชื่องช้า บางคนถึงกับหลับตาเพื่อซึมซาบกับอารมณ์ของเพลงอย่างเต็มที่
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ลืมเสียสนิทว่าเตโชกำลังป่วย จนกระทั่งช่วงท่อนสุดท้ายที่เตโชเผลอหลุดไอออกมาเบาๆ แต่เขาแก้สถานการณ์ได้ดีโดยทำทีเป็นฮัมเพลงในลำคอแทนการร้องจึงพอกลบเกลื่อนไปได้
ผมถึงกับหยิบยาดมมาสูดเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ดูการแสดงของเขาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ โดยเฉพาะเมื่อเพลงที่สองคือเพลง ‘หิวรัก’
แต่ผมคงคิดมากเกินไป
เพราะเพียงทำนองขึ้นมาบรรยากาศของผู้ชมก็เริ่มสนุกสนานเฮฮาทันทีทั้งที่เป็นเพลงอกหัก เตโชเองก็โยกศีรษะอย่างเพลิดเพลินไปด้วย และเมื่อถึงท่อนฮุคทุกคนก็พร้อมใจกันร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ดูสิ ดูดวงจันทร์นั้นสิ ดวงจันทร์ดวงนั้นกินได้มั้ย จะเหมือนข้าวที่เธอทำรึเปล่า
รสชาติจะคล้ายแกงส้มชะอมไข่หรือไม่นะ แล้วมีปลาทูทอดมั้ย น้ำพริกกะปิล่ะมีรึเปล่า
ดูสิ ดูโต๊ะที่ว่างเปล่าสิ มันเคยมีข้าวผัดหมูของเรา ไก่ทอดของเรา ไข่เจียวของเรา
ต้มยำกุ้งที่ฉันเคยชมว่าอร่อยนัก แกงจืดที่ฉันยกซดไม่ยอมแบ่ง กะหล่ำปลีทอดน้ำปลาที่ฉันติดใจ
แต่เธอเล่าหายไปไหน หรือฉันไม่สำคัญ จึงไม่ได้นั่งกินด้วยกันกับเธอ
ผมไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่มีคนชอบเพลงหิวรักมากขนาดนี้
แม่นทุกท่อนจนน้ำตาซึม!!
เอาเถอะ ผมถือว่าเป็นเรื่องดีไปเพราะพอมีคนช่วยร้อง เตโชก็แอบก้มหน้าไอเบาๆ ระหว่างเพลงได้โดยไม่ผิดสังเกต จนกระทั่งถึงเพลงที่สาม...
“เพลงนี้ผมไม่เคยร้องที่ไหน” เตโชเอ่ยด้วยใบหน้าสุดแสนไร้อารมณ์ แต่ผมเห็น...เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาหน้าซีดกว่าตอนก่อนขึ้นเวทีจนน่าเป็นห่วง “ผมอยากให้ทุกคนได้ฟัง...เพลง ‘เคียงใจ’”
เพลงสุดท้ายสำหรับการแสดงในงานพัทยาคือเพลงรัก
คนที่ร้องเพลงอกหักมาตลอด กลับเผยยิ้มบางออกมาอย่างมีความสุขเมื่อดีดกีต้าร์ออกมาเป็นทำนองแว่วหวาน ราวกำลังตกหลุมรักใครสักคนจริงๆ
ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครต้องการ
แต่เมื่อมีเธอเข้ามา ข้างกายฉันไม่เคยเงียบเหงา
อยากมีเธอแบบนี้ทุกวัน เพื่อให้ตัวฉันมีชีวิตในแบบที่ไม่เคยเป็น
ฉันจะเข้าใจเธอ จะรับฟังเธอ จะต้องการเธอ
จะไม่แยกจาก และเคียงกันตลอดไป
น้ำเสียงของเตโชที่ร้องในเพลงนี้นั้นทุ้มนุ่ม และมั่นคง ราวกำลังให้คำสัญญามากกว่าขอความรัก เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกแสนอบอุ่นไปทั้งหัวใจ เพียงได้ยินก็เชื่อแต่โดยดีว่าคนคนนี้พร้อมจะอยู่เคียงกันไปชั่วชีวิต
สีหน้าของคนฟังโดยเฉพาะหญิงสาวนั้นพากันเคลิบเคลิ้ม ก่อนทุกคนจะเผยสีหน้าตกใจเมื่อเตโชไอหนักไม่หยุด
ทำหน้าที่จบแล้ว แถมยังอาการทรุดหนัก เตโชลุกพรวดพราดออกจากเก้าอี้เดินลงจากเวทีโดยไม่คิดล่ำลาใดๆ
เห็นอย่างนั้นผมก็ผละจากจอมอนิเตอร์ เก็บยาดม ก่อนจะเดินไปรอรับเขาข้างเวทีโดยไม่ลืมถือน้ำอุ่นติดมือมาด้วย
“นายไหวแน่นะ” คำถามรอบที่หนึ่งร้อยของวัน
เตโชชูสองนิ้วเป็นคำตอบ แต่ครั้งนี้โดนผมปัดทิ้งอย่างเกรี้ยวกราด
“ไหวบ้าอะไร ไอหนักขนาดนี้ หน้าก็ซีดขนาดนี้ มานี่เลย มานั่งตรงนี้เลย” ผมรีบจูงเขาไปนั่งพัก ร้อนใจเมื่อคนหน้ามึนตาเยิ้มหนักกว่าทุกที ไอ้รอยยิ้มหวานๆ เมื่อกี้คงไม่ใช่ว่าเพ้อเพราะพิษไข้หรอกนะ
ผมทาบมือกับหน้าผากเขา ย่นคิ้วทันทีเมื่ออุณหภูมิแทบจะเทียบเท่ากับตอนเช้าอยู่รอมร่อ
“กลับกันเถอะ ฉันจะไปลาทีมงานให้”
เตโชหยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย คงฝืนตัวเองมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วเพราะเขาเริ่มตาลอย พร้อมจะทิ้งตัวนอนทุกเมื่อทุกเวลา
ต้องขอบคุณผู้จัดงานที่เข้าใจ จึงให้รถตู้พาผมกับเตโชไปส่งผมที่โรงแรมก่อนงานเลิกทั้งที่ในช่วงท้ายควรจะขึ้นไปร้องเพลงรวมกับศิลปินท่านอื่นด้วย แต่จะให้ตัวแพร่เชื้ออยู่หลังเวทีก็ไม่ถูก เกิดมีใครติดขึ้นมารับรองยุ่งยากกว่าเดิมแน่
ผมหิ้วปีกเตโชขึ้นห้อง กว่าจะโยนเขาให้นอนแผ่บนเตียงได้ก็เมื่อยตัวไปหมดเพราะไอ้เราเองก็ใช่ว่าจะแรงเยอะปานช้างสาร สงสัยจบงานนี้ต้องหันไปออกกำลังกายบ้างแล้ว
“ไปหาหมอมั้ย” ผมนั่งริมเตียงพลางถามเสียงค่อย
“ไม่...” เตโชจับมือผมไปกุมแน่นอย่างที่ทำมาตลอดวัน เสียงเขาเริ่มเปลี่ยนแล้ว ผมกระวนกระวายจนแทบอยู่ไม่สุข
“ไปหาหมอกันเถอะ” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กไม่ยอมโต
“ไม่เอา...” เตโชซุกหน้ากับมือผม ดึงผ้าห่มคลุมตัวจนมิดลำคอ
“เตโช” ผมเริ่มดุ แต่คนหน้ามึนไม่รับฟัง คราวนี้คลุมผ้าไปทั้งหัว เห็นแล้วก็อ่อนอกอ่อนใจจนยอมลดความเกรี้ยวกราดลงเพราะกลัวเขาจะหายใจไม่ออกตายซะก่อน
“ไม่เอาก็ไม่เอา” ผมตบหลังเขาเบาๆ “ปล่อยมือก่อนสิ ฉันจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”
เตโชส่งเสียงประท้วงเล็กน้อย แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“จะปล่อยดีๆ หรือจะให้ฉันเปลี่ยนจากตบหลังเป็นตบหัวนาย”
คนป่วยยอมปล่อยอย่างสุดแสนเสียดายเป็นล้นพ้น ยอมลดผ้าห่มลงมาเป็นระดับคอเพื่อปรือตามองผมอย่างตัดพ้ออย่างกับลูกหมาจนอดสงสารไม่ได้ ผมรีบเข้าเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวเขา จับแก้ผ้าเพื่อเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่ ก่อนจะถือโอกาสอาบน้ำทำธุระส่วนของตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อมานอนจับมือเคียงข้างกัน
เตโชหลับไปแล้ว เขาหลับลึกด้วยความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมนอนตาค้างมองเพดานด้วยความค้างคาในใจ
ค้างคาเพราะลืมถามเรื่อง...เอ่อ...จูบซะสนิท!!!
มานึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ผมถอนหายใจเฮือก พลิกตัวหันมองเตโช สงสัยชะมัดว่าตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่...หรือว่าไม่ได้คิดอะไรเลย
นึกแล้วขมองก็ปวดตุบๆ ตามรอยคนป่วย ผมหลับตา ตัดสินใจนอนเอาแรงเพื่อตุนพลังงานไปสู้รบปรบมือกับสล็อตสำหรับการเค้นคอถามในวันพรุ่งนี้ดีกว่า
หวังว่าเขาจะให้คำตอบที่น่าพอใจนะ
“ราตรีสวัสดิ์ ไอ้บ้าเตโช”
-----------
สุขสันต์วันปีใหม่ 2018 ค่ะ!!! คิดว่าคงไม่มีของขวัญอะไรดีไปกว่าความคืบหน้าของคู่นี้ ><
ขอให้ทุกคนอ่านแล้วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีความสุขต้อนรับปีใหม่ปีนี้นะคะ เราเองก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยอีกปีนะคะ สำหรับเรื่องนี้...เรียกว่าเป็นครั้งแรกของเราเลยก็ได้....ที่แต่งนิยายหื่นๆ มาตลอดแล้วมาแต่งเรื่องนี้ที่ผ่านไปยี่สิบตอนแล้วพระนายเพิ่งได้จูบกัน! แถมยังเป็นจูบแบบแตะๆ อีกต่างหาก แต่ถึงจะแค่แตะไวๆ ก็ฟินไปถึงหัวใจนะคะ
#จิระผู้เกรี้ยวกราด
เพจนักเขียนที่เขินตัวแตกปล.หนังสือเรื่องนี้เปิดPre-orderเเล้วนะคะ แต่เนื่องจากยังลงไม่จบเลยไม่สามารถลงรายละเอียดได้ตามกฎของเล้า ถ้าใครที่สนใจสามารถเข้าไปลองส่องได้ที่เพจของเราค่า
