ตอนที่ 26
เปลี่ยนภาพลักษณ์
เมื่อเดินออกจากห้องสตูดิโอ คมสันก็พาผมไปลานจอดรถ แถมยังเปิดประตูให้นั่งข้างหลังอีกต่างหาก มองไปมองมาก็คล้ายกับฉากในหนังที่บอดี้การ์ดช่วยบริการคุณหนู แต่ในความเป็นจริง...ผมเหมือนตัวประกันที่กำลังโดนลวงมาฆ่า
เพราะพอหย่อนก้นนั่งปุ๊บ ผมก็เห็นทันทีว่าคนขับคือใคร
เบิ้ม...บอดี้การ์ดของเสี่ยที่มีรูปร่างบึกบึนแข็งแรงเยี่ยงโคถึก หน้าบากข้างหนึ่งประหนึ่งผ่านการศึกอย่างโชกโชน
“พวกคุณจะพาผมไปไหน”
ผมลังเลว่าควรจะร้องขอชีวิต หรือจะสวดมนต์พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนดี
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่พาคุณจิระไปฆ่าหรอก” แล้วดูจอมมารตอบสิ...ช่วยให้ใจชื้นดีมากเลย...ผมประชดนะครับ
“คุณจิระบอกคุณเตโชรึยังครับ”
“บอกแล้วว่าวันนี้จะกลับช้า ให้เขาซื้อข้าวไปกินก่อนได้เลย”
“ดีครับ”
คำพูดส่อไปทางสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตมาก คืนนี้ผมจะได้กลับห้องอย่างปลอดภัยมั้ย ทุกคนได้โปรดเอาใจช่วยด้วยนะครับ หรือถ้าผมไม่มีโอกาสได้ล่ำลาเตโช ก็ช่วยหาคนไปบอกเขาด้วยว่าผมนั้นไปดีแล้ว นับจากนี้ให้หาพ่อครัวคนใหม่ อย่าอดตายคาห้องเป็นอันขาด
“วันนี้คุณจิระขับรถมารึเปล่าครับ”
“เตโชขับมาส่งแล้วก็วกกลับไปบริษัทเขา ตอนนี้คงขับกลับคอนโดไปแล้ว”
“ดีครับ”
ฮือ...ผมกำลังจะตายจริงๆ ใช่มั้ย
“หลับตาทำไมครับ”
“ฉันกำลังคิดว่าจะเขียนพินัยกรรมยังไงดี”
“แค่ตัดผมถึงกับต้องเขียนพินัยกรรมเลยเหรอครับ”
“ใช่...แค่ตัดผมก็ต้อง...เดี๋ยวนะ ตัดผม!?” ผมลืมตาโพลง เงยมองคมสันที่คลี่ยิ้มขบขันกับท่าทางหวาดกลัวเกินจริงของดาราในสังกัด ขณะที่เบิ้มนั่งทำหน้าปลงตกอยู่ข้างๆ อย่างระอา
“ตอนนี้งานด้านเช็กเมทเสร็จหมดแล้ว และภาพยนตร์จะเริ่มเปิดกองอาทิตย์หน้า บทที่คุณได้รับในเรื่องนี้...จะต้องเป็นเด็กหนุ่มร่าเริงสดใสที่ค่อนไปทางแก่นเซี้ยว จะให้ไว้ทรงผมปรกหน้าปรกตาแบบมิสเตอร์เอสหรือซีเคร็ทไม่ได้หรอกครับ”
ผมกะพริบตาปริบๆ
“สรุปว่านายจะพาฉันไปตัดผม”
“ใช่ครับ คุณคงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ใช่มั้ย”
นิ้วเรียวจับเส้นผมนุ่มละเอียดยาวปรกบ่าแล้วอดตื่นเต้นไม่ได้ว่าการปรับภาพลักษณ์ครั้งนี้จะเป็นยังไง
“ไม่มีปัญหา!”
“จิระ...”
เตโชชะงักค้างอยู่หน้าประตูพร้อมเหม่อมองผมด้วยความอึ้งตะลึงสุดขีด เริ่มจากเปลือกตาที่เบิกกว้าง ริมฝีปากที่อ้าเป็นหลุมดำ ใบหน้าที่แข็งค้าง ทุกอย่างดูตลกมากจนอดฉีกยิ้มกว้างไม่ได้
“ทำไม ฉันตัดผมแล้วดูไม่ดีเหรอ”
ขอนำเสนอจิระกับทรงผมใหม่ที่โล่งคอเบาสบายมากๆ เดิมทีเส้นผมของผมค่อนข้างหยักศกนิดๆ ย้อมสีชายาวปรกบ่าปรกตาจนต้องคอยปัดเสยไม่ก็ทัดหูอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ถูกเล็มสั้นระต้นคอและหน้าม้าสั้นเผยให้เห็นโครงหน้าทั้งหมดจนกลายเป็นเด็กหนุ่มแสนสดใสแกมซุกซนที่พร้อมจะเข้าหาทุกคนด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
“ดู...เด็ก”
“ใช่ ก็ในบทฉันต้องเป็นเด็กวัยรุ่นนี่” ผมเดินเข้าไปใช้ไหล่สะกิดไหล่เบาๆ พร้อมยักคิ้วยิ้มยั่ว “อายุยี่สิบเท่านายตอนนี้เลย”
แล้วเตโชก็กอดผมทั้งตัว
ผมหัวเราะร่าเพราะเขาดันจั๊กจี้แถมมาด้วย
“โอ๊ย ไอ้บ้า จะจี้ฉันทำไม พอ พอได้แล้ว!” ผมตบเกรียนป้าบเข้าให้ “แล้วกินอะไรรึยัง”
“ยัง...” เตโชตอบเสียงเอื่อย
“ฉันบอกให้ซื้อข้าวมากินเลยไม่ใช่เหรอ” ผมขมวดคิ้วมุ่นทันควัน ก่อนจะลากแขนเตโชกลับห้องตัวเอง “นายนี่พูดไม่ฟังเลย แต่เอาเถอะ ดีนะที่ฉันรู้แกว เลยซื้อราดหน้าเจ้าดังแถวร้านตัดผมมาฝากด้วย มากินกัน!”
เตโชพลิกข้อมือเปลี่ยนเป็นฝ่ายเกาะกุมประสานนิ้วกับผมแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
“นายจะกินเส้นใหญ่หรือบะหมี่กรอบ”
“จิระเลือก”
“ฉันอยากกินสองอย่างเลยเลือกไม่ถูก งั้นแบ่งกันกินแล้วกันเนอะ”
เตโชพยักหน้าหงึกหงักอีกครั้ง ก่อนจะก้มหอมแก้มผมดังฟอด
“อะไรของนายเนี่ย” ผมลูบแก้มปนขำผสมเขิน ก็จู่ๆ คนหน้ามึนเล่นทำหวานไม่บอกกล่าวเอาตอนท้องร้องหิวข้าว จะไม่ให้งงได้ยังไง
“จิระตัดผมแล้วดูเด็ก”
“นายพูดไปแล้ว”
“ดูสดใสขึ้น”
“แน่นอนสิ” พอผมสั้นแล้วก็เบาหัว เปลี่ยนภาพลักษณ์ไปอีกแบบหนึ่ง
“น่ารักขึ้น”
“...”
“น่าหอม”
“ไปรอที่โต๊ะเลยไป๊!” ผมสะบัดมือไล่เตโชแล้วเข้าครัวแกะถุงราดหน้าใส่จานเพื่อตัดบท ก็ดูสายตาเขาสิ จ้องเอาจ้องเอาอยู่ได้ คนที่พอใจกับจิระในทรงผมใหม่ที่สุดเห็นทีจะไม่ใช่คมสัน แต่เป็นเจ้าตูบที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หูหางกระดิก ชอบอกชอบใจเวลาเห็นหน้าผมชัดขึ้น จะก้มมาหอมมาทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวเส้นผมเข้าปาก
“คมสันบอกว่าเอ็มวีเบื้องหลังกว่าจะได้เปิดตัวคงจะเป็นช่วงที่เช็กเมทฉายจบ ถ้านายอยากเห็นฉันจะแอบเอาฉบับตัดต่อมาให้ แต่คิดว่าทางบริษัทนายก็น่าจะได้ตัวอย่างคลิปก่อนเผยแพร่นะ”
“อยากดูกับจิระ” เตโชพูดพร้อมเลื่อนจานให้ผมจ้วงบะหมี่กรอบได้ง่ายๆ หลังเขาตักเข้าปากไปคำโตจนแก้มบวมตุ่ยอยู่ข้างเดียว
“งั้นถ้าฉันขอจากคมสันได้แล้วเรามาดูด้วยกัน” ผมระงับความรู้สึกอยากหยิกแก้มคนตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้ววันนี้นายเป็นยังไงบ้าง”
“คุยเรื่องเอ็มวี”
“เพลงเคียงใจน่ะเหรอ”
เตโชพยักหน้ารับ ก่อนจะเอื้อมมือมาตักเส้นใหญ่ราดหน้าของผมบ้าง
“เฮ้ๆ อย่าทำหกสิ”
เตโชรีบดึงทิชชูมาเช็ดคราบเปื้อนที่ทำหกทันควัน
“นายไม่ระวังเลยนี่หว่า เฮ้อ...หันหน้ามานี่” ผมตัดเส้นให้พอดีคำก่อนจะยื่นช้อนจ่อปากอีกฝ่าย พร้อมคุยเรื่องที่ยังค้างกันอยู่ “สรุปแล้วนายไม่ให้ฉันเป็นพระเอกเอ็มวีเพลงเคียงใจจริงๆ เหรอ นายแต่งให้ฉันนี้ ทำไมฉันถึงไม่ได้เล่นล่ะ”
เตโชอ้าปากกินอย่างว่าง่าย เคี้ยวหงุบๆ สามครั้งก่อนจะตอบเสียงเอื่อย
“ผู้จัดการไม่อนุญาต”
“ทำไม!” จิระเกรี้ยวกราดแล้ว
“จิระเยอะเกินไป”
“อะไรเยอะเกินไป เรื่องเยอะเหรอ ฉันออกจะเรียบร้อยน่ารักเวลาทำงาน” ผมเถียงกลับอย่างโมโห พาลวางช้อนหมดอารมณ์จะกิน เตโชเลยก้มหน้าก้มตาตักบะหมี่กรอบแล้วเป็นฝ่ายป้อนผมบ้าง
“เอ็มวีมีจิระเยอะเกินไป”
ผมชักหน้าเซ็งขณะเคี้ยวบะหมี่กรอบดังกรุบๆ หาคำโต้เถียงไม่ออกในเมื่อมิวสิกวีดีโอของเตโชก็มีผมเยอะเกินไปจริงๆ เพลงเวลาก็หนึ่ง เพลงหิวรักก็หนึ่ง ถ้ายังมีเพลงเคียงใจอีก...ผมว่าคนทั่วไปอาจจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักร้องไม่ใช่นักแสดง เพราะเล่นกินขาดทุกผลงานของเตโชจนเกินหน้าเกินตา
“ฉัน...ยอมรับก็ได้” ผมตอบหลังเคี้ยวเสร็จ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่จานเขาอย่างเอาแต่ใจ “ตักหมูให้บ้างสิ ฉันกินหมูของตัวเองหมดแล้ว”
เตโชป้อนผมอย่างว่าง่าย ช่วยดับอารมณ์คุกรุ่นให้กลายเป็นปกติ
“แล้วใครจะมาแสดงเอ็มวีเคียงใจแทนฉันล่ะ”
คนหน้ามึนชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เล่นเอาผมแทบจะสำลักราดหน้า
“นายเนี่ยนะ!?”
โทษเถอะ ผมยังจำวันที่เขาแสดงในมิวสิกวีดีโอเพลงหิวรักได้อยู่เลย แค่ฉาก
เดียว...กับแค่การเดินควงแขน ล่อไปหลายสิบเทคจนผู้กำกับหัวร้อน!
“ผู้จัดการนายก็เห็นด้วยงั้นเหรอ”
เตโชพยักหน้ารับขณะช่วยส่งน้ำให้ ผมบอกขอบคุณเขาเบาๆ ก่อนถามต่อ
“แล้วนายจะแสดงยังไง ไม่สิ ให้ถูกคือ...นายจะแสดงได้เหรอเตโช”
ผมไม่ได้ดูถูกเขาหรอกนะ แต่ว่า...ในเมื่อโลกให้คนคนหนึ่งมีพรสวรรค์เรื่องการร้องเพลง โลกก็ยุติธรรมพอจะไม่ให้เขาเชี่ยวชาญด้านการแสดง เข้าใจความหมายใช่มั้ยว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแบกทั้งมิวสิกวีดีโอน่ะ!!
“นายถ่ายทำวันไหน”
ไม่ได้การ ผมห่วงมากจนอยากไปนั่งเฝ้าคอยกำกับแทน ไม่งั้นเตโชต้องโดนทีมงานฆ่าตายด้วยความเกรี้ยวกราดหลังผ่านไปร้อยเทคแน่ๆ
“อาทิตย์หน้า”
เหี่ยวในทันดล
“ฉันติดเข้ากองภาพยนตร์...” ผมเอ่ยเสียงอ่อนอย่างสุดเสียดาย จะขอเลื่อนก็ไม่ได้ในเมื่อขอคิวนักแสดงคนอื่นหมดแล้ว "ถ้ามีเวลาฉันจะโทรหา นายก็คอยรายงานสถานการณ์ด้วยนะว่าเป็นยังไง”
“ได้” เตโชรับปากถึงค่อยวางใจ เพราะคนคนนี้ไม่เคยโกหก
“เดี๋ยวฉันจะซ้อมท่องบทหลังกินเสร็จ นายล้างจานแล้วกลับห้องได้เลยนะ”
“...”
“หรือจะไปเอากีตาร์มาเล่นรอก็ได้ เพราะฉันท่องบทในห้องน้ำอยู่หน้ากระจก ไว้ง่วงแล้วจะมาตาม อ้อ นายก็ไปอาบน้ำห้องตัวเองให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“อืม” เตโชตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนจาง แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะตั้งแต่กลับมาจากพัทยาคนหน้ามึนก็มักหาโอกาสมานอนกอดผมเสมอ ขอย้ำว่ากอด ที่หมายถึงสองมือโอบกอด ไม่ใช่การทำอะไรใต้ร่มผ้าแต่อย่างใดเพราะพวกเราสองคนต่างมีงานรอจ่อทุกวันจนหมดแรงจะทำเรื่องสิบแปดบวก
แต่คนขี้หงุดหงิดอย่างผม ถ้าไม่เป็นฝ่ายเข้าไปซุกๆ กับอกเขาก่อนเตโชย่อม
กอดผมไม่ได้ บางวันเลยตื่นมาด้วยสภาพต่างคนต่างนอนคนละฝั่ง หมิ่นเหม่จะตกเตียงด้วยผ้าห่มคนละผืน
แต่จะเป็นแบบไหนผมก็ชอบทั้งนั้น
เพราะเราต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองเหมือนสมัยยังเป็นเพื่อน กินข้าวด้วยกัน ดูเช็กเมทด้วยกัน พูดคุยเล่าเรื่องในแต่ละวัน สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือการสัมผัสแบบกอดจูบ และแววตาตอนมองกันที่สื่อความหมายลึกซึ้งกว่าเดิม
เป็นความรักสุดราบเรียบแต่แสนราบรื่น
ต้องขอบคุณเตโชสินะที่ทำให้ผมมีความสุขขนาดนี้
-------------
อย่าแปลกใจทำไมตอนนี้มันสั้นๆ ค่ะ แบบว่ามันดันจบฉากพอดี OTL
ส่วนตอนหน้าได้เข้ากองภาพยนตร์กันแล้วค่ะ ใครคิดถึงจิตริน เตรียมป้ายไฟฝอยรอได้เลย น้องฝอยจะมาพร้อมกับตัวละครใหม่ที่จะมาร่วมแสดงกับจิระค่ะ หลังจากนี้จะยิงยาวยันจบแล้วน้า ฉะนั้นเก็บบรรยากาศละมุนๆ สบายๆ ในตอนนี้ไว้นะคะ เพราะจิระกับเตโชจะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการทำงานที่ไม่มีคมสันช่วยผลักช่วยดัน ภาพที่ต่างคนต่างไปนั่งเฝ้าว่างงาน แบบนั้นจะไม่มีแล้วค่ะ กลับสู่ชีวิตจริงไม่มีจอมมารหนุนหลัง!!
เพจนักเขียนที่เตรียมป้ายไฟรอน้องฝอย