In a Relationship #สถานะรัก - 08:08: สถานะตัดใจไม่ได้[7/11/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: In a Relationship #สถานะรัก - 08:08: สถานะตัดใจไม่ได้[7/11/60]  (อ่าน 12200 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

In a Relationship #สถานะรัก

เขา...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เน็ตไอดอล’ ส่วนผม...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ติ่ง’
แอบตามติ่งเน็ตไอดอลอย่าง ‘ติณห์’ หรือที่รู้จักกันในกลุ่มแฟนคลับในชื่อ ‘ตินติน’ อยู่หลายปี ติ่งหนักจนแทบจะหายใจออกเป็นชื่อผู้ชายคนนั้น ทว่าชีวิตของไอ้ ‘ศิลป์’ ช่างน่าเศร้า เป็นติ่งมาตั้งนานแต่ไม่เคยมีโอกาสคุยกับเขาสักที อย่าว่าแต่คุยเลย รู้ว่าผมเป็นแฟนคลับหรือเปล่าเถอะ ก็ผมน่ะเอาแต่ติ่งลับๆ ไม่เปิดเผยตัวนี่

แค่ได้ติ่งก็สุขใจแล้ว...
...
...

ใช่ที่ไหนล่ะ! ต้องแสดงตัวให้รู้ว่าเป็นติ่งตัวพ่อต่างหากโว้ย!

เพราะความไม่มั่นใจเลยเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กตัวเองเป็นรูปลูกพี่ลูกน้องแล้วทักเขาไปรัวๆ
หากแต่ผิดคาด พิมพ์ยังไม่ทันเสร็จ อีกฝ่ายก็ทักมาแล้ว

‘ผมเป็นแฟน...’
‘น่ารักจัง อยากรู้จัก ชื่ออะไรครับ’

กดลบประโยคที่พิมพ์ไปก่อนหน้าแทบไม่ทัน จู่ๆ ใครจะไปคิดล่ะวะว่าจะโดนเน็ตไอดอลที่ตัวเองชอบจีบ

โอกาสแบบนี้ต้องไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปแล้วล่ะไอ้ศิลป์!

------------------------------------------------------

สารบัญ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 19:18:24 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
In a Relationship สถานะรัก
 
บทนำ

กว่าสองชั่วโมงแล้วที่ผมนอนจ้องหน้าจอโทรศัพท์และไถไปมาบนหน้าไทม์ไลน์โซเชียลเน็ตเวิร์กของ ‘ใครบางคน’

ใครบางคนคนนั้นมีชื่อเก๋ๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘TinTin’ แน่นอนว่าไม่ใช่ชื่อจริงของเขา เป็นเพียงแค่ชื่อเล่นที่คนทั่วๆ ไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ติดตามเขาตั้งให้เพื่อความน่ารักก็เท่านั้น ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เรียกเขาแบบนั้น แต่ระยะหลังมานี่ ผมแอบตั้งชื่อเล่นให้เขาที่รู้แค่เฉพาะผมว่า ‘พ่อแมว’ ทว่าชื่อที่แท้จริงของเขาเป็นเพียงคำสั้นๆ คำเดียว

‘ติณห์’

นั่นแหละครับชื่อเขา ชื่อจริง นามสกุลจริง อันนั้นผมก็รู้ อย่าว่าแต่ชื่อกับนามสกุลเลย อายุ คณะ มหาวิทยาลัยที่เรียน ของกินที่ชอบ สเปกผู้หญิง งานอดิเรก และข้อมูลอีกมากมายจิปาถะอะไรที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำคัญกับชีวิตผมเท่าไหร่ ผมก็รู้

ทำไมน่ะเหรอ?

ก็ผมเป็น ‘ติ่ง’ เขาไง

ติ่ง เป็นศัพท์เฉพาะที่เมื่อก่อนเคยใช้เรียกเด็กผู้หญิงวัยมัธยมผมสั้นเท่าติ่งหูที่คอยตามกรี๊ดดารานักร้องเกาหลี จนตอนนี้เอามาใช้เรียกแฟนคลับของใครก็ตามแต่ทั่วๆ ไป นั่นหมายความว่าผมเองก็เป็นติ่งเขาเช่นกัน ทว่าเขาไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักร้อง ใช่ไม่นายแบบ ไม่ใช่อะไรเลย สิ่งที่เขาเป็นก็คือ... ‘เน็ตไอดอล’

เน็ตไอดอลก็คือคนที่มาดังบนอินเทอร์เน็ตอะไรแบบนั้นเพราะรูปร่างหน้าตาดีน่ะ ติณห์ก็เป็นหนึ่งในเน็ตไอดอลที่ผมติดตามมานานแล้วเช่นกัน ซึ่งขณะนี้เขากำลังดัง มีสาวๆ เก้งและกวางกรี๊ดมากมาย ที่สำคัญ...ผมรู้สึกว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อติณห์มันมากขึ้นทีละน้อยจนตอนนี้ผมเริ่มคิดเกินเลยกับเขาเกินเลยกว่าเน็ตไอดอลแล้ว

สายตาจ้องมองยังจอโทรศัพท์ ดูรูปโปรไฟล์ของผู้ชายที่แต่งตัวสไตล์ร็อก ย้อมผมสีบลอนด์สว่าง หน้าตาดูแบดๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

ไม่ใช่อึดอัดเพราะเขาหล่อโคตรๆ นะ อันนั้นเป็นสิ่งที่ผมปลื้มและชื่นชอบอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้ผมอึดอัดก็คือบรรดาคอมเมนต์ใต้วิดีโอที่เขาถ่ายวิดีโอไลฟ์สดทักทายแฟนคลับที่ติดตามเขามากกว่า

ข้อความพวกนั้น... แม่ง Sexual Harassment ชัดๆ

ถูกต้อง! ผมไม่ชอบ อ่านแล้วคิ้วกระตุก จิตใจร้อนรุ่น อยากจะด่ากราดทุกคนที่ไปคอมเมนต์หยาบโลนแบบนั้นใส่คนที่ผมชอบ แต่ก็นะ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ถึงผมจะเป็นติ่งตัวพ่อ คลั่งถึงขนาดสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นแอดมินเว็บบอร์ดแฟนคลับของเขาโดยเฉพาะ แต่เชื่อไหม... เขายังไม่รู้จักผมเลยเถอะ ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าแอดมินบอร์ดแฟนคลับเขาคือใคร ชื่ออะไร หน้าตายังไง

แม่งโคตรไร้ตัวตนเลย...

เหมือนจะดีนะที่เขาไม่รู้ว่าคนที่คลั่งเขาแทบตายเป็นผู้ชาย ตอนแรกที่ผมไม่เปิดเผยตัวเป็นเพราะผมไม่อยากให้เขารู้สึกอึดอัด พูดง่ายๆ ว่าแคร์เขานั่นแหละ แต่พอถึงวันที่เขามีคนชอบมากขึ้น มันเท่ากับว่าคู่แข่งผมก็เพิ่มมากขึ้น มันทำให้ผมมานั่งคิด
ช่างมันเถอะ แค่ได้เป็นติ่งอยู่ลับๆ ก็สุขใจแล้ว



..
..
.

ใช่ที่ไหนล่ะ! ต้องแสดงตัวให้รู้ว่าเป็นติ่งตัวพ่อต่างหากโว้ย!

...แต่ทำยังไงถึงจะอยู่ในสายตาเขาดี?

และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมนั่งจ้องรูปโปรไฟล์เขาไม่หยุด
ปลายนิ้วกดเข้าไปที่ปุ่มข้อความ หลังจากนั้นก็กดออก

กดเข้า...กดออก...

ทำซ้ำๆ อยู่หลายต่อหลายรอบ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจ

ทักไปแม่งเลยแล้วกัน บอกให้รู้ไปเลยว่าชอบ

กดเข้าไปที่ข้อความอีกครั้ง ตั้งท่าจะส่งข้อความไปให้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ของตัวเองที่เป็นรูปของผม

ถ้าทักไปในสภาพหน้าตาแบบนี้ มีหวังถูกมองเมินแหงๆ ไม่อยากคิดหรอกนะว่าตัวเองหน้าตาไม่ดีหรืออะไรแบบนั้น แต่ว่าสภาพหน้าจืดๆ ใส่แว่นเทอะทะ ผมหยักศกเชยๆ อะไรแบบนั้นแล้ว มีหวังเขาไม่ตอบกลับมาแน่ สำคัญกว่านั้นคือ...ขืนผมทะเล่อทะล่าไปบอกว่าผมชอบเขา แต่เขาดันไม่ชอบผู้ชายด้วยกันขึ้นมาล่ะจะว่าไง

อย่างน้อยถึงจะต้องแห้วกลับมาก็ขอดูดีไว้ก่อนแล้วกัน

ผมจึงตัดสินใจลบรูปตัวเองที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมดทิ้ง โชคดีที่แอคเคาทน์นี้เป็นแอคเคาทน์สำหรับติ่งโดยเฉพาะ จึงไม่มีรูปผมสักเท่าไหร่นัก เพื่อนที่รู้จักกันในโลกของความเป็นจริงก็ไม่มี หมายความว่าไม่มีใครรู้ชื่อหรือตัวตนจริงๆ ของผมเลย ผมจึงไม่กังวลสักเท่าไหร่ถ้าเขาจะตามหาตัว

แต่พอลบรูปตัวเองออกไปแล้ว มันก็ต้องหารูปอื่นมาใส่ล่ะสินะ?

ถ้าจะเอารูปพวกคนหน้าตาดีๆ ที่เสิร์ชหาในเน็ตมาใส่ เขาก็ไปค้นได้ว่าผมแอบอ้างตัว ซึ่งผมไม่อยากทำแบบนั้น ไหนๆ จะสารภาพความในใจทั้งที มันก็ต้องสร้างความประทับใจและแนบเนียนหน่อย ถึงตอนสุดท้ายเขาอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชายก็เถอะ
แต่จะเอารูปใครล่ะ?

นั่งนึกอยู่นาน เปิดดูรูปในโทรศัพท์ก็บังเอิญไปเห็นรูปของใครบางคนเข้า

ไอ้นี่...หน้าตามันน่ารักว่ะ

จิ๊กรูปมันมาเลยก็แล้วกัน!

จัดการอัปรูปรัวๆ ตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ เสร็จปุ๊บก็กดเข้าไปที่ปุ่มข้อความอีกครั้ง ส่งสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนทักทาย ไม่ได้หวังว่าติณห์จะอ่านหรอกเพราะเดาได้ว่าวันหนึ่งๆ เขาคงจะมีคนส่งข้อความหาเยอะ ทว่าผ่านไปได้ไม่ครบนาทีดี มันก็ขึ้น...

...อ่าน

เฮ้ย! อ่านแล้ว!

ใจเต้นโครมครามทันใด หนักกว่าเดิมด้วยเมื่อเขาส่งข้อความพร้อมสติ๊กเกอร์กลับมาพร้อมกับข้อวามสั้นๆ
 
‘ดีครับ’
 
มือผมสั่นระริก ถึงขนาดต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะพิมพ์ข้อความลงไปบ้าง
 
‘สวัสดีครับ’
 
ดีที่มันเป็นการพิมพ์คุยกัน เพราะถ้าเป็นการพูด รับประกันเลยว่าเสียงผมต้องสั่นแน่ๆ ขนาดเคยเจอเขาตัวจริงแบบห่างๆ ผมยังตื่นเต้นจนแทบเป็นบ้าเลย เรื่องคุยคงไม่ต้องพูดถึง

ติณห์ส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนกลับมาอีก ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆ แล้ว ผมส่งข้อความหาเขาเพราะอะไร

สารภาพรักสิ! สารภาพรักไง!

เท่านั้นก็ตัดสินใจพิมพ์ไป
 
‘ผมเป็นแฟน...’
 
...แฟนคลับ

ตั้งใจจะพิมพ์อย่างนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้พิมพ์เสร็จ อีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาก่อน ไม่รู้ว่าเพราะเห็นผมเงียบไปนานหรืออะไร แต่ที่รู้ๆ คือข้อความประโยคนั้นมันทำให้ผมต้องเบิกตาค้าง
 
‘น่ารักจัง อยากรู้จัก ชื่ออะไรครับ’
 
ฮะ...เฮ้ย!

กดลบข้อความที่พิมพ์ไปเมื่อกี้แทบไม่ทัน กะพริบตาหลายๆ ทีเพื่อความชัวร์ว่าไม่ได้อ่านผิด แล้วก็ไม่ได้อ่านผิดจริงๆ ด้วยเมื่อเขาส่งประโยคถัดไปตามมา
 
‘เปิดกล้องคุยกันไหมครับ’
 
ดะ...เดี๋ยว! อันนี้กูว่าไม่ใช่ละ

ยังคงอึ้งอยู่จนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่รีบออกจากหน้าต่างแชทนั้นมาแล้วเอาหมอนปิดหน้า กรีดร้องเป็นบ้าอยู่คนเดียว
เขาเล่นด้วยว่ะไอ้ศิลป์ เอายังไงต่อดีล่ะทีนี้น่ะ!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
01: สถานะแฟน

ทำยังไงต่อล่ะ ในเมื่อเขาเสนอมา ผมก็ต้องสนองสิ นั่นมันคนที่ผมชอบชนิดคลั่งไคล้จนแทบจะปริ๊นท์รูปเขาออกมาสกรีนเป็นปลอกสวมหมอนข้างแล้วได้เสียสมสู่กันเลยนะ!

นั่นก็เกินไปหน่อย เอาเป็นว่าผมปริ๊นท์มาสกรีนทำเป็นลายปลอกหมอนข้างจริง แต่ผมไม่ได้สมสู่ได้เสียอะไรกับหมอนข้างหรอกนะ ทำอย่างนั้นก็จะออกแนวโรคจิตมากเกินไปหน่อย แต่ก็ยอมรับว่าเวลาที่ช่วยตัวเอง ผมก็แอบคิดถึงหน้าติณห์อยู่เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ผมจะไม่พูด ที่จะพูดถึงก็คือ... ผมเปิดกล้องคุยกับเขา

เปิดครับ... แต่วันแรกเนี่ย ใส่มาส์กที่เป็นหน้ากากกันเชื้อโรคปิดหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนตอนคุยก็ใช่ว่าผมจะให้กล้องมาส่องตรงหน้าผมจนเห็นชัดเจนอะไรหรอกนะ แค่ให้เป็นส่วนที่ถูกหน้ากากปิดไว้เท่านั้น ที่เหลือก็ให้ดูตรงช่วงคอกับลำตัวไป

ซึ่งมันก็ดูแปลกๆ พิลึกดีเหมือนกัน และผมก็ไม่คิดด้วยว่าการที่เปิดกล้องคุยอย่างนั้นจะทำให้ติณห์สนใจจะคุยกับผมต่อแต่อย่างใด ในหัวผมคิดแค่ว่าขอแค่ได้คุยกับเขา แค่นั้นมันก็เหนือความคาดหมายของผมที่ตามติ่งเขาอยู่มากแล้ว

ทว่า...เขาดันไม่หยุดคุยแค่นั้นว่ะ

หลังจากวันนั้นก็ยังจะทักมาชวนคุยอี๊กกก!

แล้วผมทำไงล่ะ ต้องหนี...

...หนีเสียที่ไหน ไม่หนีไม่พอ ยังหน้าด้านสวมรอยเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เนียนคุยกับเขาไปอีกต่างหาก แล้วก็ไม่ใช่ว่าติณห์ไม่สงสัยนะ แรกๆ ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าผมคงอายเลยไม่กล้าเปิดหน้า แต่พอผ่านไปร่วมสัปดาห์ เขาก็หลุดปากพูดออกมาจนได้

[ยู ทำไมตอนคุยกับเราต้องปิดหน้าตลอดเลยล่ะ]

ยู คือชื่อลูกพี่ลูกน้องของผมเอง มันเป็นผู้ชายที่หน้าตาค่อนไปทางสวยและเรียบร้อย ถ้าคุณเห็นผมแล้วคิดว่าผมเป็นคนเรียบร้อยนะ บอกเลยว่าไอ้ยูเนี่ย มันเรียบร้อยกว่าผมอีก อย่างกับผ้ารีดจับจีบแล้วพับวางไว้บนพาน ส่วนผมเหมือนผ้าที่พอจะรีดให้เรียบๆ ไปแบบลวกๆ เท่านั้น เพราะนิสัยจริงๆ ของผมนั้น... แรดเสียไม่มี

ไม่อยากจะด่าตัวเองอย่างนั้นหรอก แต่เห็นท่าทางระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำตอนคนที่ตัวเองชอบมาคุยด้วยแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะออกอาการดีใจจนเนื้อเต้น อารมณ์เหมือนหมาเจอเจ้าของอะ กระดิกหางสั่นดุ๊กดิ๊กเลยทีเดียว

“ช่วงนี้เราเป็นภูมิแพ้น่ะ เราก็เลยต้องใส่มาส์กเอาไว้”
แรดไม่พอ ตอ-แหลไปอีก ผมก็ไม่คิดว่าติณห์จะเชื่อหรอกนะ เพราะสีหน้าของเขาที่เห็นในจอโทรศัพท์ดูจับผิดผมไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เขาก็ดี๊ดี พอผมพูดออกไปอย่างนั้น แทนที่เขาจะคาดคั้น เขากลับถามออกมาด้วยความห่วงใย

[แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า กินยาหรือยัง]

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เรากินยาแล้ว”
[กินยาแล้วอาการดีขึ้นไหม ถ้าไม่ดีขึ้น ให้เราพาไปหาหมอไหม]

โถ...พ่อเจ้าประคุณรุณช่อง ช่างมีน้ำใจอะไรเยี่ยงนี้ อะไรไม่ว่า ถูกถามอย่างนั้นก็ทำให้ความตอแหลของผมทวีมากขึ้นไปอีก

“ก็...แค่กๆ ดีขึ้นแล้วล่ะ”

ตอคงไม่พอ ต้องซุงแล้วล่ะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะสำออยอะไรได้ขนาดนี้

[ไม่เห็นดีขึ้นเลย ไอแบบนี้แสดงว่าเป็นหนัก ให้เราพาไปหาหมอไหม]
“ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ตินตินมีถ่ายแบบไม่ใช่เหรอ ไปนอนเถอะ ดึกมากแล้วนะ แค่ก...”

ไอตบท้ายไปอีกเพื่อแสดงความอ่อนแอให้เห็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมแทบจะวิ่งกู่ก้องร้องตะโกนไปสามบ้านแปดบ้านแล้วล่ะว่าติณห์เป็นห่วงผม

หมายถึง...ผมที่สวมรอยเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเองน่ะ
[แต่ว่า...]
“ไปเถอะ เราไม่เป็นไร แค่ก...”

ยัง...มึงยังจะสำออยไม่เลิกอีก

สีหน้าของติณห์ดูเป็นกังวลจริงๆ แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหนมันก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญอยู่อย่างเดียวคือ... คนบ้าอะไรวะ หล่อโคตรๆ เลย ยิ่งได้อินไซด์แบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งใจเต้นแรงมากขึ้นไปใหญ่ อะไรไม่ว่า จะคลั่งไคล้เขามากกว่าเดิมด้วย

หล่อจนแทบอยากจะกลืนกินไปทั้งตัว ไม่หลงเหลือเอาไว้ให้ใครได้กลิ่นจริงๆ
[แน่นะ?]

ติณห์ทำหน้าตาไม่มั่นใจเล็กน้อย แต่พอผมตอบรับและตัดบท
“อือ แน่ ไปนอนเถอะ ฝันดีนะ”

ติณห์ก็ดูจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
[ก็ได้ เราไปนอนก็ได้ แต่ยูต้องสัญญากับเราข้อนึง ยูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ อย่าให้ป่วยไปมากกว่านี้อีก]

สั่งประหนึ่งพ่อ แต่ผมชอบเอามากๆ เลย เพราะมันทำให้ผมรู้สึกดีที่ติณห์เป็นห่วงอย่างนี้ พูดตรงๆ ก็คือผมรู้สึกดีที่เขาเห็นผมในสายตาน่ะ ปกติเวลาไปตามติ่งเขาก็จะเป็นคนนอกสายตาตลอด เขาเอาแต่พูดคุยทักทายแต่พวกติ่งผู้หญิงนี่ ทว่าใครจะยักรู้ว่าจริงๆ แล้ว เขาน่ะ...ชอบผู้ชาย

เป็นความลับที่ผมรู้กับติณห์แค่สองคน แล้วก็ไม่คิดที่จะเอาไปบอกใครด้วย เพราะถ้าบอกไป มีหวังความสุขชั่ววูบของผมในตอนนี้คงอันตรธานหายไปแน่

ถึงจะไม่ได้เป็นตัวผมที่แท้จริงที่เขาถูกใจ แต่ออกมาในรูปแบบนี้มันก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“งั้นก็ฝันดีนะ”

ผมตัดบทอีกครั้ง เตรียมตัวจะวางสาย โบกมือลาแล้วด้วยซ้ำ แต่ติณห์กลับรั้งผมเอาไว้

[เดี๋ยวก่อนสิยู เรามีเรื่องอะไรจะถาม]
“อะไรเหรอ”
[เอ่อ...คือ...]

ติณห์ดูอึกอักไปนิด ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าแก้มทั้งสองข้างของเขาดูแดงขึ้นมานิดๆ ด้วย
“มีอะไรก็พูดมาสิ เรารอฟังอยู่นะ”

พอผมพูดไปอย่างนี้ ติณห์ก็โพล่งออกมาเสียงดัง
[เราชอบยูนะ เป็นแฟนกับเราไหม]

กลายเป็นผมที่นิ่งงันแล้ว ถ้าไม่ได้สวมมาส์กปิดปากไว้ล่ะก็ อีกฝ่ายคงจะเห็นชัดเจนเลยล่ะว่าผมอ้าปากค้างกว้างแค่ไหน
“ตะ...ตินตินหมายถึงเป็นแฟนที่เป็นคนรักน่ะเหรอ”

ติณห์พยักหน้า เบี่ยงสายตาไปมองทางอื่นเล็กน้อย

[ใช่ แบบนั้นแหละ คือเราชอบยูตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลย พอยิ่งคุยด้วยก็ยิ่งชอบ ชอบจนทนไม่ไหวแล้วถึงต้องมาขอเป็นแฟนแบบนี้ อย่าหาว่าเราบ้าเลยนะที่หลงยูหัวปักหัวปำทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันได้แค่อาทิตย์เดียว]
ถ้าติณห์ไม่หล่อ ผมจะคิดว่าเขาบ้านะ แต่เพราะเขาหล่อ แถมเป็นคนที่ผมชอบไง ผมเลยไม่ได้คิดอะไร นอกจากอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น

“พูดจริงเหรอ”
[พูดจริง]
“เอาจริงใช่ไหม”
[อืม]

ชัดแล้วว่าของจริงแน่นอน ที่ผมได้ยินอะไรนั่นไม่ได้หูฝาด มันก็น่าจะดีใจอยู่หรอกนะว่าคนที่เขาชอบคือตัวตนของผมจริงๆ แต่เพราะมันไม่ใช่ไง ผมเลยลังเลไปนิด ด้วยคิดว่าไอ้เรื่องการเป็นแฟนอะไรนี่มันชักจะเลยเถิดไปมากสักหน่อยน่ะ ตอนแรกผมคิดแค่ว่าเขาแค่อยากจะคุยเฉยๆ เพราะเห็นว่ายูมันหน้าตาดีเลยอยากรู้จัก ไปๆ มาๆ ดันหวยมาออกในรูปแบบนี้ ทางที่ดี ผมควรจะ...

...ตอบรับไปเลยโว้ย! ในที่สุดความฝันของไอ้ศิลป์ก็เป็นจริงแล้ว!

เป็นเรื่องที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะ ถ้าใครรู้ ผมก็คงถูกด่ากระจาย แต่ไม่มีใครรู้ไง งั้นก็ช่างมันเถอะ เอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้งก็พอแล้ว

“ได้สิ เราเองก็ชอบตินตินมากเหมือนกัน”

คำพูดของผมเรียกรอยยิ้มของติณห์ออกมาได้ทันที เป็นรอยยิ้มดีใจที่ดูเหมือนเด็กเล็กๆ มาก น่ารักน่าชังเสียจนผมอยากจะกระชากเขาออกมาจากโทรศัพท์แล้วดึงเข้ามากอดแน่นๆ เลยล่ะ ขณะที่ติณห์ยิ้มกว้างให้ผม ยกมือขึ้นเกาต้นคอ พร้อมพูดอย่างเขินๆ

[ขอบใจที่ตอบรับเรานะ จากนี้ไปเป็นแฟนกันแล้วนะยู]
 
ก็นั่นแหละความเลยเถิด...

จู่ๆ ก็ได้สถานะแฟนมาแบบมึนๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ ชอบเลย ชอบมาก รู้สึกดีสุดๆ และเพราะเราสองคนเริ่มต้นสถานะเป็นแฟนกัน ดังนั้นจึงมีข้อตกลงกันนิดหน่อยว่า...

...ผมจะไม่เปิดตัวว่าเป็นแฟนของเขาเด็ดขาด

ก็อ้างเหตุผลว่าเพราะเขามีคนติดตามเยอะน่ะนะ ถ้าเขาเปิดตัวไปว่ามีแฟน แถมเป็นผู้ชาย ผมคงจะโดนถล่มไม่ใช่น้อย ติณห์ก็เข้าใจข้อเท็จจริงนี้ดีจึงยอมทำตามนั้น แต่จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้กลัวอะไรแบบนี้หรอก ที่กลัวน่ะก็คือ... กลัวเขาจะจับได้ว่ารูปผู้ชายที่เขาชอบน่ะมันไม่ใช่ผม

เลยต้องเนียนๆ กันไปหน่อย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่พอกลายเป็นแฟนเขาแล้ว ความดัดจริตของผมก็ทวีมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จากที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘เรา’ ตอนนี้กลายเป็น ‘เค้า’ ละ ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มความน่าเอ็นดูล้วนๆ

นับจากวันนั้นที่ตกลงเป็นแฟนกันจนถึงวันนี้ ผมมีความสุขมากเลยนะ ถึงจะรู้ว่ามันไม่ถูกต้องก็เถอะที่สวมรอยเป็นคนอื่นแบบนี้ แต่เอาจริงๆ ก็ใช่ว่าผมต้องการจะเป็นแฟนกับติณห์ด้วยการมโนเป็นคนอื่นตลอดไป กะว่าสักระยะหนึ่งก็จะเลิก ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน อาจจะแค่เดือนหรือสองเดือนเท่านั้น ที่แน่ๆ คือ...ผมต้องเลิกกับเขาก่อนที่จะตกหลุมรักเขาแบบจริงจัง

หมายถึง...ตกหลุมรักเขาแบบคนรักน่ะ เพราะเอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็รักเขาอยู่แล้ว แต่เป็นในรูปแบบของแฟนคลับะอไรแบบนั้น
ทว่า... เหมือนกับสวรรค์จะลงโทษผมเร็วเกินไปหน่อยที่ทำผิดศีลห้าข้อสี่ว่าด้วยเรื่องการมุสา เพราะจู่ๆ วันนี้ติณห์ก็โทรมาหาตอนหัวค่ำ ซึ่งมันผิดปกติมากๆ โดยปกติแล้ว ผมจะคุยกับเขาตอนช่วงดึกๆ ก่อนนอนเท่านั้นน่ะ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้มีอะไร ติณห์ถึงได้โทรมาหาไวขนาดนี้

ผมกดรับสายด้วยไม่คิดอะไร พอกรอกเสียงลงไป อีกฝ่ายก็ตอบรับมาทันที

[ยู อยู่ห้องหรือเปล่า]
ถามมาแบบชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย
“อยู่สิ ถ้าไม่อยู่ห้องแล้วจะให้เค้าไปอยู่ไหนเหรอ”

แรดมากๆ แรดจริงๆ สำเนียงการพูดในตอนนี้ชวนน่าหมั่นไส้มาก หากแต่ติณห์ไม่ได้สนใจ นอกจากจะพูดเรื่องที่อยากพูด
[ถามดูเฉยๆ น่ะ]
“ถามเฉยๆ หรือว่าอะไรกันแน่ คิดถึงกันก็บอก” ผมแกล้งหยอก ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ตามมา ถึงได้พูดออกไปอีก “ฮั่นแน่ หัวเราะอย่างนี้แสดงว่าคิดถึงเค้าจริงๆ ด้วย”
[อือ คิดถึง]

ติณห์ตอบกลับมาแบบนี้ ผมก็ยิ้มกว้างเลยสิ เพราะปกติแล้ว ติณห์จะไม่ค่อยมาอ้อนด้วยคำพูดอะไรทำนองนี้เท่าไหร่ จะออกเป็นแนวปกป้องผมเสียมากกว่า ทำเอาผมยิ้มกว้างออกมาอย่างเก็บไม่มิด

“ให้เค้าส่งรูปให้ไหมล่ะถ้าคิดถึงเค้าขนาดนี้น่ะ”

รูปที่ว่าก็ไม่ใช่รูปผมหรอก เป็นรูปของยูที่ผมไปเซฟมาจากกลุ่มแชทครอบครัวน่ะ

และแทนที่ผมจะได้รับคำตอบว่าโอเค ติณห์กลับตอบกลับมาว่า...

[ถ้าได้เห็นยูตัวจริง เราจะหายคิดถึงกว่านี้]
“งั้นเปิดกล้องก็ได้นะ”

คิดว่าหมายถึงแบบนั้นผมถึงได้เสนอออกไป

[ไม่เอา]
ติณห์ตอบกลับมาเสียงห้วน

“ทำไมอะ อยากมาหาเค้าเหรอ”
[อือ อยากเจอตัวจริง เราเห็นแต่รูป เวลาเปิดกล้องก็ไม่เคยเห็นหน้า เห็นแต่ตัว เราอยากเห็นหน้ายูบ้าง]

ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ติณห์พูดในทำนองนี้ ตั้งแต่คบกันเป็นแฟนมาได้หลายอาทิตย์ เขาก็พูดแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าคำตอบของผมก็คือการปฏิเสธ อ้างว่าไม่ว่างบ้าง อ้างว่าไม่อยู่บ้าง สารพัดข้ออ้างเท่าที่จะเป็นไปได้ ครั้งนี้ผมเองก็จะปฏิเสธเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เห็นติณห์อ้อนแบบนี้ ผมเลยหยอดไปสักหน่อย

“ทำไมถึงอยากเห็นอะ เราไม่หล่อ”
[อยากเห็นหน้าแฟนมันแปลกตรงไหน]

น้ำเสียงออกจะติดงอนนิดๆ ฟังแล้วน่ารักน่าหยิกชะมัด ผมเกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วเชียว แต่ก็นะ ลองให้มาเห็นหน้าผมดูสิ แล้วจะสะพรึง

“ก็ไม่แปลกหรอก เค้ายังอยากเห็นหน้าตินตินเลย”
[ถ้างั้นก็มาเจอกันสิ]

ผมเงียบนิ่งไปครู่ ใจอยากจะตอบรับชะมัด แต่ผมจะไปตอบรับอะไรได้ล่ะ ในเมื่อผมไม่ใช่ยู แต่คือไอ้ศิลป์ ติ่งของเขาที่สวมรอยเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเองไม่พอ ยังจะมีหน้าไปเป็นแฟนเขาอีก ก่อนที่ผมจะทำเนียนปฏิเสธไปตามเรื่องอย่างที่เคยทำ

“แต่ช่วงนี้เค้าไม่ค่อยสบาย เค้าป่วยแล้วโทรมอะ คงจะไปเจอไม่ได้”
[ป่วยอีกแล้วเหรอ]
“อือ ภูมิเจ้าเก่าน่ะ จามจนจมูกแดงเลย”
[ก็หมายความว่ายูออกจากห้องไม่ได้เพราะอายจมูกว่างั้น?]
“อืม ทำนองนั้นแหละ”
[ก็เห็นอ้างอย่างนี้ทุกครั้ง]

คราวนี้น้ำเสียงติดออกจะกระแทกกระทั้นนิดๆ การที่ผมได้มาเป็นแฟนมโนของติณห์ทำให้ผมรู้เรื่องเขามาอีกอย่างหนึ่งว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่ต้องการความเอาใจใส่ไม่น้อย ถึงจะเป็นฝ่ายดูแลใส่ใจผมเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งก็จะแสดงความงอแงออกมาให้เห็น ซึ่งทุกครั้งที่เขามีอาการแบบนี้แล้วถ้าผมไม่ตอบสนอง มันจะจบลงด้วยบทสนทนาที่ไม่ค่อยดีทุกที ผมก็ไม่อยากให้เขารู้สึกแย่หรอก เพราะแค่โกหกเขามาจนถึงตอนนี้ ผมก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว ถึงจะยังหน้าด้านหน้าทนโกหกไม่เลิกก็เถอะ เพราะเหตุผลนั้นเลยทำให้ผมรีบง้อเขาอย่างรวดเร็ว

“อย่างอนเลยนะที่รัก เค้าไม่สบายจริงๆ ไม่อยากให้คนอื่นเห็นแฟนตินตินตอนหน้าโทรมๆ น่ะ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเค้าเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง อีกอย่าง ตินตินออกจะดัง ถ้าแฟนหน้าตาแย่ คงได้ถูกโซเชียลรุมถล่มว่าเราไม่เหมาะกันแน่ๆ”
เพราะเหตุผลนั้นบอคอแตกอะไรล่ะ ไม่อยากให้เห็นว่าตัวจริงของแฟนที่ติณห์คบหาอยู่คือผมต่างหาก ปัญหาของผมจริงๆ มีแค่กลัวเขารู้ความจริงเท่านั้นแหละ

ติณห์ส่งเสียงอือออให้ได้ยินตามมาคล้ายกับว่าจะยอมรับฟังแต่โดยดี ทว่าเปล่าเลย เพราะทันทีที่ผมพูดจบ แทนที่ผมจะโล่งใจ เขากลับทำให้ผมต้องลืมตาโพลงด้วยความตกใจเสียอย่างนั้น

[ออกมาหาเราไม่ได้เพราะกลัวคนอื่นมอง งั้นก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้เราอยู่ที่หน้าห้องยูแล้ว แค่เราเห็นคนเดียวคงไม่เป็นไรใช่ไหม]

เฮ้ย!?

ผมถึงกับกระเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว เบิกตาโตทันควัน ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตั้งสติแป๊บนึงถึงได้ถามออกไปอีก

“มะ...หมายความว่าอะไรที่บอกว่าอยู่หน้าห้อง?”
[ก็หมายถึงเราอยู่หน้าห้องยูแล้ว มาเปิดประตูเร็ว หน้าโทรมก็ไม่เป็นไร เรารับได้ มาเปิดประตูเร็ว]

แต่กูรับไม่ได้เว้ย!

ไม่ใช่รับไม่ได้ที่ตัวเองหน้าโทรมด้วยนะ รับไม่ได้ที่กูดันไม่ใช่ไอ้ยูนี่แหละ!

เหนือสิ่งอื่นใด ผมรีบทิ้งตัวลงจากเตียง ปรี่ไปยังประตู ส่องตาแมวมองไปนอกห้องก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้ชายผมบลอนด์ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูจริงๆ และคนคนนั้นก็คือติณห์

ดะ...ได้ไงเนี่ย

มาหากูที่ห้องได้ยังไงเนี่ย!?

ในหัวคิดวุ่นวายเป็นพัลวันว่าอีกฝ่ายรู้ที่อยู่ผมได้ไง เพราะเท่าที่จำได้ ผมก็ไม่เคยบอกว่าอยู่ไหนนะ จนกระทั่งติณห์ที่ไม่เห็นผมตอบอะไรกลับไปพูดออกมา

[ขอโทษนะที่เรามาโดยไม่บอกก่อน เราไม่ได้ตั้งใจจะสตอล์กเกอร์ยู แต่เห็นยูเคยเช็กอินที่หอพักนี้กับเลขห้องนี้ เราก็เลยลองตามมาดูน่ะ]

นึกออกทันทีว่าหาที่อยู่ผมเจอได้ยังไง

ไอ้บ้าเอ๊ย! เคยเช็กอินไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรูปมาเป็นรูปลูกพี่ลูกน้องแล้วลืมลบทิ้ง!

ผิดพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ที่มือไม้ผมสั่นเทาไปหมดด้วยคิดไม่ออกว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ดี ขณะที่ติณห์เร่งรัดขึ้นมาอีก

[เปิดประตูให้หน่อยนะครับที่รัก เรามาเจอหน้ากันหน่อยนะ]

มะ...ไม่เอาโว้ย!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
02: สถานะมีงานเข้า

กว่าจะหาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ให้ความลัพธ์เรื่องที่ผมปลอมเป็นยูถูกเปิดเผยและไล่ให้ติณห์กลับไปก่อนได้ ก็เล่นเอาเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง เห็นอย่างนั้น ติณห์ก็เป็นคนที่หัวดื้ออยู่เหมือนกัน ต่อให้ผมพูดอะไร เขาก็ยืนกรานอย่างเดียวว่าจะไม่ไปไหน กระทั่งผมแกล้งทำเสียงสั่นๆ แล้วพูดว่า...

“คำพูดของเค้าไม่มีความหมายอะไรสำหรับตินตินแล้วสินะ ตินตินถึงไม่ฟังเราเลย เค้าจะรู้สึกยังไงที่เอาหน้าโทรมๆ ไปให้ตินตินเห็น ก็คงจะไม่แคร์แล้วสินะ”

ตามมาด้วยทำเสียงสูดน้ำมูกเล็กๆ ติณห์ก็ยอมอ่อนข้อลงให้ผมทันที

แม่งโคตรกระแดะ... แต่ก็เอาเถอะ ถือว่ามันทำให้ผมรอดตัวไปได้ก็แล้วกัน เพราะทันทีที่ผมทำเสียงแบบนั้น ติณห์ที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ถอนหายใจออกมา แล้วว่าเสียงแผ่ว

[ก็ได้ เรากลับก่อนก็ได้ ความจริงก็เป็นความผิดเราเองแหละที่มาโดยไม่บอกยูก่อน งั้น...พักผ่อนเยอะๆ นะ พรุ่งนี้เราจะโทรหา]
แล้วทำหน้าตาสลดโคตรๆ ใส่ผมที่ส่องตาแมวมองอยู่ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดสุดๆ ไปเลย ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกด้วยที่เห็นเขายอมกลับไปแต่โดยดี

เฮ้อ... เกือบไปแล้วไหมล่ะไอ้ศิลป์

แต่พอผ่านไปได้ไม่ถึงชั่วโมง ติณห์ก็ตั้งสถานะดราม่านิดๆ บนโลกโซเชียล
 
Tintin Tin
1 hr. สาธารณะ
ต้องทำยังไงถึงจะยอมเข้าใจว่าคิดถึงมาก - รู้สึกเหนื่อย
 
ดราม่าเบอร์แรงงง แต่ถ้าเห็นหน้ากูขึ้นมา จะรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมเลยขอบอก

ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเข้าไปกดเลิฟให้เบาๆ แล้วก็ส่งข้อความหา ติณห์ก็ตอบแหละนะ แต่เป็นการถามคำตอบคำ แล้วจากนั้นก็ขอตัวไปนอนโดยที่ไม่ได้โทรคุยกันเหมือนกับทุกคืน

คงจะโกรธผมนิดๆ นั่นแหละ แต่ให้ทำไงได้ ใครมันจะกล้าเอาหน้าตัวเองไปให้เห็นกันล่ะ

หลังจากวันนั้น ก็ดูเหมือนติณห์จะเคืองผมมากเหมือนกัน ผมทักแชทไป เขาก็จะแค่เปิดอ่านแล้วตอบสั้นๆ เท่านั้น ถ้าโทรไปก็เลี่ยงที่จะไม่รับ แล้วใช้วิธีส่งข้อความกลับเอา แทนที่ผมจะเบาใจนะที่เขาเป็นแบบนี้ ทว่ากลับไม่เลย ผมเริ่มใช้ชีวิตไม่เป็นสุขเสียมากกว่า จะออกจากห้องแต่ละทีก็ต้องคอยมองซ้ายขวา กลัวแม่งจะมาโผล่จ๊ะเอ๋อยู่หน้าห้อง ขณะเดียวกันก็ต้องคอยตามเช็กอารมณ์ของติณห์ด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะถึงจะยังไง ผมก็ยังแคร์เขานะ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม

นั่นแหละที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องเช็กสเตตัสเขา ซึ่งเขาก็โพสต์ข้อความอยู่ตลอดทั้งวัน...
 
Tintin Tin
3 min. สาธารณะ
เรื่องมันเศร้า เหล้าเข้มๆ ก็ไม่ช่วยอะไร - รู้สึกเหนื่อย
 
Tintin Tin
3 min. สาธารณะ
ผมเหนื่อย ผมยอมรับ ผมอยากพักแล้วครับ แต่ผมไม่ยอมแพ้ - รู้สึกมีกำลังใจ
 
Tintin Tin
2 min. สาธารณะ
ผมเข้าใจคุณ แต่คุณเข้าใจผมไหม - รู้สึกท้อ
 
Tintin Tin
1 min. สาธารณะ
แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก - รู้สึกมีความหวัง
 
Tintin Tin
1 min. สาธารณะ
อีกแล้ว คิดถึงเธออีกแล้ว - รู้สึกคิดถึง
 
Tintin Tin
1 min. สาธารณะ
อยากเจอจัง - รู้สึกมีความรัก
 
ไม่ทั้งวันละ แม่งทุกๆ นาทีเลยเถอะ สามนาที สิบสเตตัสที่แท้ทรู ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความเชิงตัดพ้อ แล้วจากนั้นก็มีบรรดาแม่ยกเข้ามาให้กำลังใจโน่นนี่นั่น ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกดไลก์บ้าง เลิฟบ้าง ไปตามประสา ทั้งที่ในใจอยากจะไปเจอหน้าแล้วกอดแน่นๆ บอกขอโทษสักหมื่นครั้งให้สาสมกับความผิดของตัวเอง

ผมทำให้เน็ตไอดอลที่ตัวเองชอบดราม่าน้ำตาตกถึงขนาดนี้ได้ยังง้ายยย!

กลายเป็นตัวเองบ้างละที่เป็นฝ่ายดราม่า ผมถอนหายใจยาว มองเวลาบนหน้าจอโทรศัพย์แล้วก็เอามันวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ตั้งแต่ตื่นมาก็เอาแต่นั่งส่องโซเชียลของติณห์ แล้วก็ทำมือลั่นใส่ไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ได้ส่งข้อความหาหรือโทรไปหรอกนะ เพราะผมทักเขาไปแล้ว เขาไม่ตอบ ทว่าดันมาโพสต์พร่ำเพ้ออยู่หน้าไทม์ไลน์แทน

ดูท่าทางเขาคงไม่อยากคุยกับผมน่ะเลยไปเรียกร้องความสนใจจากบรรดาแฟนคลับแทน แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ท้องผมร้องประท้วงอย่างรุนแรงแล้ว สมควรแก่เวลาที่ต้องออกไปหาอะไรกินก่อน

พอเปิดประตูออกไป ผมก็เจอเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมาจากห้องข้างๆ พอดี แวบแรกที่เห็น ผมถึงกับสะดุ้งเลยนะ เพราะคิดว่าเป็นติณห์มาดักรออยู่หน้าห้อง แต่พอเห็นหน้าชัดๆ แล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะไอ้บ้าที่โผล่พรวดมานั้นคือเพียว เด็กปีหนึ่งข้างห้องที่เรียนกันคนละมหาวิทยาลัย

“อ้าวพี่ศิลป์ สวัสดีครับ”
เด็กนั่นทักผม ผมเลยยิ้มกลับ จริงๆ แล้วเราไม่ได้สนิทกันสักเท่าไหร่หรอก แต่ผมก็ทักกลับไปตามประสาคนมีมารยาทดี
“อ้าวเพียว จะไปไหนล่ะเนี่ย?”
“ไปหาข้าวกินอะ พี่ล่ะ”
“เหมือนกัน”
“ไปกินด้วยกันไหมพี่” จู่ๆ มันก็ชวน
“หือ?”
“ผมหาเพื่อนกินข้าวด้วยกันอะ กินคนเดียวแล้วโคตรเหงา” แล้วก็ยิ้มหวานออกมา “อีกอย่างเราอยู่ห้องข้างกันทำความรู้จักกันไว้ดีกว่าพี่ ผมเป็นเด็กดีนะ ไม่ดื้อไม่ซนด้วย”
เอ๊ะอ๊ะ? อะไรของมึงเนี่ย คิดจะเต๊าะกูเหรอ?

ความจริงไอ้เด็กเพียวก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรหรอกนะ ถึงจะหล่อเทียบกับติณห์ไม่ได้ แต่ก็กระตุกต่อมเก้งแรดให้ผมได้ดีเลยทีเดียว ผมกระแอมสองสามครั้ง เก็บอาการดี๊ด๊าหน่อยๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาก็มีผู้ชายมาชวนไปกินข้าวด้วย แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายชวนตามมารยาทก็เถอะ ก่อนจะตอบตกลงไป

“เอางั้นก็ได้”
“งั้นร้านป้าอุ๊ด้านล่างแล้วกันนะพี่”
“ตามใจเพียวเลย”

ใช้เวลาไม่นานก็ลงมาถึงร้านอาหารตามสั่งด้านล่างหอ ร้านป้าอุ๊ดังมีคนแน่นทุกวัน ยิ่งตอนเที่ยงแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนไอ้เด็กเพียวก็ชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟมองหาโต๊ะว่าง ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปไหล่มันเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีโต๊ะว่างอยู่ไม่ไกล

“ตรงนั้นว่างนะ”
สิ้นเสียง เพียวก็พุ่งพรวดไปจองโต๊ะทันทีประหนึ่งจะกลัวปาดหน้า ผมหรี่ตามองความแอคทีฟของมันเล้กน้อย ก่อนจะเดินตามไปติดๆ พอผมนั่งได้ มันก็จัดการหยิบกระดาษแผ่นเท่าฝ่ามือกับปากกาที่มีประจำอยู่ทุกโต๊ะขึ้นมาจดรายการอาหาร
“พี่ศิลป์เอาอะไรดีครับ”
“พี่เอาข้าวผัดแกงเขียวหวานแล้วกัน”
“โอเค”

จดเสร็จก็เอารายการอาหารไปส่งให้ป้าอุ๊แล้วกลับมานั่ง ผมก็ทำหน้าที่ไปเอาน้ำแข็งใส่แก้วและเทน้ำเปล่ารอมันเดินกลับมา เด็กนั่นขอบคุณผมเสียงแผ่ว ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โทรศัพท์ของมันก็สั่นครืดๆ อยู่บนโต๊ะ เรียกความสนใจไปเสียก่อน ผมก็ไม่ได้อยากจะสนใจมันเท่าไหร่หรอก ถ้าหากว่าจู่ๆ มันไม่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แบบนั้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าเพียว”
ต่อมเผือกทำงานทันที สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านคืองานของเรา เหมือนจะเป็นห่วงนะ แต่...หึ! ส่ายหน้ารัว อยากเผือกล้วนๆ
“คือผม...” เพียวอ้าปากจะบอกแล้วทำท่ายึกๆ ยักๆ

ผมก็แสร้งทำเป็นมีมารยาทดีทั้งๆ ที่อยากจะจับมันเขย่าแล้วบอกให้พูดออกมาเร็วๆ กูรอฟังอยู่

“เอ่อ ถ้าลำบากใจไม่เป็นไรนะ พี่ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น”
ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นบ้าบออะไรล่ะ กูหาสิ่งบันเทิงเริงใจมาคลายเครียดอยู่เนี่ย ไหนๆ เอาเรื่องมึงมาให้เผือกหน่อยซิ!

“ไม่พี่ ไม่ได้ลำบากอะไร ที่จริงผมเองก็อยากปรึกษาใครสักคนเหมือนกัน ถ้าพี่ศิลป์ไม่ว่าอะไรนะครับ”
“แต่พี่ไม่รู้ว่าจะให้คำปรึกษาเราได้หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรพี่ ถือซะว่าฟังผมบ่นไปเรื่อยแล้วกัน”
“อ่า ก็ได้”

ผมแกล้งสวมวิญญาณทำเป็นผู้ปรึกษาชำนาญการ ขณะที่คนตรงหน้าก็ร่ายออกมายาวเหยียด

“คือผมรู้จักกับพี่คนนึงในทวิตเตอร์ เขาเป็นนายแบบ แต่เขาไม่เปิดเผยหน้าตา” แล้วก็เปิดแอคเคาท์ผู้ชายคนหนึ่งให้ผมดูประกอบ “คุยไปคุยมาก็สนิทกันพอประมาณอ่ะพี่ ทีนี้ผมก็อยากรู้จักตัวจริงเขาบ้างไม่ใช่ให้ฝั่งนู้นรู้จักผมอยู่แค่ฝ่ายเดียว ไปๆ มาๆ คุณรีทวีตก็ให้คำใบ้ผมมาว่าตัวเองเรียนอยู่ที่ไหน คณะ สาขาอะไร ผมก็อยากเจอเขามากไงเลยสอบเข้าที่เดียวกับเขาจนได้ แต่แทนที่จะบอกผมว่าตัวเองเป็นใครกลับไม่ยอมมาเจอสักที”

อะเระ? ทำไมเหมือนถูกพูดเรื่องของตัวเองเลยวะ?

ผมเบิกตาโต หูผึ่ง ต่อมเผือกทำงานอย่างหนักหน่วงทันที พลันตั้งข้อสันนิษฐาน

“เขาอาจจะอายหรือเปล่า”
“อายอะไรล่ะพี่ ฮอตปรอทแตกขนาดนั้นมีอะไรน่าอาย”
“เอ่อ ไม่รู้สิ”
“ยังไม่หมดนะพี่ศิลป์ มีรุ่นพี่คนนึง...” เพียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมีอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ “...อ่า พี่จะกินข้าวก่อนไหม กินเสร็จแล้วผมค่อยเล่าต่อ”
“ไม่เป็นไรพี่กำลังเพลิน...เอ่อ หมายถึงกำลังตั้งใจฟังเลย”

ถ้าจะให้พูดก็คือกำลังเผือกเพลินน่ะ...

“โอเค ต่อนะพี่ คือรุ่นพี่คนนั้นเขามีพิรุธมากอะ ผมสงสัยว่าเขาจะเป็นคุณรีทวีต แล้วหลักฐานมันชี้ชัดมากว่าต้องเป็นเขาแน่ๆ แต่พอผมถามเขากลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่ก็บอกปัดไปเรื่องอื่นตลอด ผมไม่เข้าใจอะ ทำไมต้องปิดบังกันด้วย ที่เขาบอกผมว่าเรียนอยู่ที่ไหนไม่ใช่เพราะอยากให้ผมรู้จักเขาเหรอ”

ไอ้นี่ก็วัยรุ่นว้าวุ่นมาก ผมฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

“พี่ว่าเขาคง...ไม่มั่นใจหรือเปล่า”
“ไม่มั่นใจ?”

เวรละ เผลอเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปซะแล้ว

“ใช่ จะว่าไงดีล่ะ” ผมยกมือเกาแก้มตัวเองแก้เก้อเล็กน้อย

จะบอกมันดีไหมวะเรื่องที่ตัวเองดันปลอมเป็นลูกพี่ลูกน้องแล้วไปหลอกคนอื่นเนี่ย ถ้าบอกก็คงไม่เป็นไรมั้ง ไหนๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกับผม แล้วมันก็อุตส่าห์เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังด้วย คงจะไม่เป็นไร

“พี่เองก็...รู้จักกับคนคนนึงผ่านเฟสบุ๊ค พวกเราคบกันแต่เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่เขากำลังคบด้วยไม่ใช่คนเดียวกับในรูปโปรไฟล์”
“หา?!”
เด็กนั่นอ้าปากค้าง ทำหน้าแบบไม่เชื่อในขณะที่ผมหัวเราะแห้งๆ

“ก็นะ เพียวดูพี่สิ หน้าตาพี่มันจืดชืดแบบนี้ ขืนบอกความจริงไป...”
“พี่ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นสักหน่อย”
“พี่รู้ตัวเองน่า” ผมถอนหายใจ

ไม่ได้แย่...แต่ก็ไม่น่าพิสมัยหรือเปล่าวะ

“ไม่เอาสิพี่ อย่าดราม่าๆ”

กลายเป็นว่ามันพยายามปลอบใจผมซะงั้นอะ ความจริงแล้วกูกำลังเผือกเรื่องของมึงอยู่นะ

“พี่ไม่ได้ดราม่าสักหน่อย ว่าแต่เพียวเถอะ ที่เอาแต่มองโทรศัพท์บ่อยๆ เพราะเขาทักมาล่ะสิ ไม่ตอบหน่อยเหรอ”
“ไม่อะ”
“อ้าว”
“ไม่อยากตอบ ทีเขายังไม่ตอบผมเลยว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมผมต้องตอบเขาด้วยล่ะ”
“มันก็พูดยากนะ”
“ยังไงครับ”
“ก็...พี่คิดว่าถ้าไม่มีใครยอมใครเลยบางทีเรื่องมันอาจจะยุ่งยากกว่าเดิม ไม่รู้สิ แค่ความเห็นพี่นะ แต่ก็แล้วแต่เพียวจะตัดสินใจแหละ”

จากนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ เอาแต่กินข้าวในจานใครจานมัน กินเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทาง

ส่วนผม... พอนึกถึงเรื่องที่พูดกับเพียวแล้วก็ได้แต่สังเวชตัวเอง

ทำเป็นให้คำปรึกษาคนอื่น เรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอดเลยไอ้ศิลป์เอ๊ย!

ปวดหัวขึ้นมาหนึบๆ ทันใด ปวดกระบอกตาด้วยเพราะวันนี้เอาแต่นั่งอ่านสเตตัสตามติดชีวิตของติณห์มากเกินไป ติณห์แม่งก็โพสต์เหวอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ถ้าเอามาก็อปใส่เวิร์ดแล้วปริ๊นท์ออกมา คงจะได้เป็นหน้าๆ อะ

ตินตินเอ๊ย ไปเขียนเรื่องสั้นส่งนิตยสารศาลาคนเศร้าไป๊!

เออลืม พ.ศ.นี้มันไม่มีแล้วสินะไอ้ศาลาคนเศร้าเนี่ย ไปเล่าลงพันดริ๊ฟท์ไปถ้าจะยาวเป็นหน้าๆ ขนาดนี้

แต่ผมก็เข้าใจแหละนะว่าสาเหตุที่ทำให้เขาพร่ำเพ้อได้ถึงขนาดนี้มันเป็นเพราะ...ผม

คิดแล้วก็อายตัวเอง เป็นเพราะผมบ้าบอคอแตกอะไรล่ะ เป็นเพราะยูที่ผมสวมรอยเป็นมันต่างหาก
ผมได้แต่ถอนหายใจ เดินกลับเข้าห้องพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วยว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี

หรือจะต้องเลิก? เลิกก่อนที่เรื่องราวมันจะบานปลายไปมากกว่านี้

ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ยังไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันจริงจังอะไรเท่าไหร่ รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า
เข้าห้องมาได้ ผมก็สูดลมหายใจเข้าปอด กระโดดเหย็งไปมาเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

ผมจะโทรไปบอกเลิกเขา!

ตัดสินใจแล้ว ยังไงก็ต้องทำ ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่มันคือสิ่งที่ควรทำ ให้หลอกคบต่อไปแบบนี้ ผมทำไม่ได้แน่ หนึ่ง...เพราะรู้สึกผิด และสอง...ผมไม่อยากจะหลอกคนที่ตัวเองชอบ ถ้าเกิดเขารู้ความจริงขึ้นมาว่าผมไม่ใช่ยู แถมยังเป็นติ่งตัวพ่อของเขาอีก เขาจะผิดหวังแค่ไหน ถึงตอนนั้นผมคงไม่มีหน้าไปตามติ่งเขาเหมือนเดิมแน่ การได้กลับมาเป็นติ่งแล้วตามเขาแบบเงียบๆ จะเป็นการดีกว่า

เอาวะ!

เลิก!

ต้องเลิก!

ก็ตั้งใจแล้วล่ะว่าจะบอกเลิกอย่างแน่นอน ทว่าติณห์ก็โทรเข้ามาเสียก่อน ทำเอาผมที่ถือโทรศัพท์อยู่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะลังเลไปว่าจะรับหรือไม่รับสายดี ขณะที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นตึกตักไปด้วย
โทรศัพท์ดังแล้วก็หยุดไป จากนั้นก็มีสายเข้ามาใหม่

เห็นทีคราวนี้คงต้องรับละ

ผมกระแอมไอ ลองเสียงก่อนว่าร่าเริงหรือยัง จากนั้นก็กดรับพร้อมกับกรอกเสียงลงไป
“ฮัลโหล ว่าไงตินติน คิดถึงเค้าเหรอถึงโทรมา”

[ใช่ คิดถึง แล้วก็อยากเจอหน้าด้วย ทำไมไม่ยอมมาเจอเรา เราขอเหตุผลที่ฟังขึ้นมากกว่าเรื่องที่ยูเป็นภูมิแพ้แล้วจมูกแดงเลยไม่กล้าออกมาเจอเราได้ไหม]

มาถึงก็ใส่มาเลยชุดใหญ่ไฟกะพริบปิ๊บๆ ผมควรจะดีใจนะที่ติณห์ตอบกลับมาแบบนี้ แต่น้ำเสียงแม่งโคตรน่ากลัวเลยเถอะ ใครมันจะไปดีใจลงวะ
“ก็...เค้า...”

ผมก็คิดหาข้ออ้างใหม่ทันที ทว่ายังไม่ทันจะคิดออก ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของติณห์ดังขึ้นมาก่อน

[หรือจะไม่ได้ชอบเราแล้ว?]
“เฮ้ย เปล่าเลย เค้าชอบตินตินนะ ชอบมาก ชอบจะตายอยู่แล้ว”

ไอ้นี่ก็ดันพูดออกไปแบบไม่ทันคิด พูดแล้วก็เพิ่งสำเหนียกตัวเองได้

ปากไวอีกแล้วไอ้ศิลป์!

[เราก็ชอบยูมากเลยนะ ขอร้องล่ะ อย่าใจร้ายกับเราอย่างนี้ได้ไหม]
ประโยคนี้ฟังดูแล้วโคตรน่าสงสาร ผมอยากจะเจอเขาเดี๋ยวนี้เลย แต่มันทำไม่ได้ไง

“ตินติน... คือเค้า...”
[ลำบากใจที่จะเจอเราเหรอ]
“เปล่าหรอก แต่ตอนนี้เค้า...”

ในหัวคิดหาข้ออ้างเป็นพัลวันเลยทีเดียว ก่อนจะหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายดังขึ้นมาอีกที

[ไม่เป็นไร ไม่อยากมาเจอเราตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เรายังมีโอกาสวันอื่นอีก เพราะยังไงพวกเราก็ไม่ได้อยู่ไกลกันแล้ว]
ผมชะงักกับคำนี้ พลันสังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ
“มะ...หมายความว่าไงที่ว่าไม่ได้อยู่ไกลกันแล้ว?”
[ก็อาทิตย์นี้เราจะย้ายหอมาอยู่ห้องข้างๆ ยูน่ะ]

หา!?

[ห้องข้างๆ ยูยังมีอีกห้องที่ว่างใช่ไหมล่ะ เราก็เรียน ม. เดียวกันด้วย ไว้ไปเรียนพร้อมกันนะ]

ฉิบ - หาย - แล้ว!

มีงานเข้าไม่ทันตั้งตัวเลย มือที่ถือโทรศัพท์อยู่นี่เย็นเจี๊ยบ หน้าซีดเป็นไก่ต้มไปแล้วมั้งป่านนี้

[ดีใจไหมที่เราจะไม่ต้องโทรคุยกันแล้ว แต่คุยกันต่อหน้าเลย]

ไม่ดีใจเลยโว้ย! มึงนี่แม่ง!

เดี๋ยวๆ โทษๆ มึงไม่ได้ นี่มันเน็ตไอดอลหนึ่งในดวงใจ ต้องบูชาไว้เหนือหัว
“ดะ...ดีใจมากๆ เลย เย่...”

เย่พ่อง... เสียงฟังดูห่อเหี่ยวมากเลยเถอะ

จากนั้นติณห์ก็ชวนผมคุยอีกสองสามประโยคแล้วก็วางไป ปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่กลางห้องตัวเองด้วยไม่รู้จะไปต่อยังไง

เลี้ยวกลับก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไปไม่ถึง แล้วแบบนี้จะเอายังไงต่อดีวะเนี่ยไอ้ศิลป์!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
03: สถานะเนียน

จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ได้แต่เนียนๆ ไป ทำทีเหมือนดีใจทั้งที่ในใจนี่แทบจะพุ่งไปกระโดดถีบติณห์ที่ทำอะไรไม่ปรึกษาก่อน แต่ต่อให้ปรึกษา ก็แน่นอนแหละว่าผมไม่เห็นด้วยแน่ถ้าเขาจะย้ายมาอยู่ข้างๆ ห้อง ไอ้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันน่ะพอเข้าใจได้เพราะมันเป็นความบังเอิญ แต่ไอ้ที่จะย้ายมาอยู่ใกล้ๆ มันไม่ได้โว้ย! เดี๋ยวกูก็ความแตกหมดหรอกว่าสวมรอยเป็นคนอื่นน่ะ!

ในเมื่อเรื่องมาเป็นแบบนี้ ทีนี้จะบอกเลิกก็ยากละ แม่งหาข้ออ้างไม่ได้ ไอ้จะบอกไปตามตรงเลยว่าเราเลิกกันเถอะอะไรแบบนั้นก็ดูใจร้ายไป ถ้าติณห์เป็นผู้ชายเลวๆ สักหน่อย แบบว่ามีกงมีกิ๊ก ไม่ได้คุยกับผมคนเดียวอะไรแบบนั้น ผมคงเอามาเป็นข้ออ้างในการบอกเลิกไปแล้ว แต่นี่เขาดันเป็นคนดีไง จะให้บอกเลิกยังไงไหว

ถึงจะปลอมเป็นคนอื่นแต่ก็ยังมีมนุษยธรรม จิตใจอารีและโอบอ้อมเมตตานะ ผมเลยได้แต่เนียนเป็นแฟนในมโนของติณห์ต่อไป กระทั่งจนถึงวันที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ข้างห้อง

คือ...เขาก็ไม่ได้บอกผมหรอกนะว่าจะย้ายเข้ามาวันนี้ ตอนที่กำลังจะออกไปเรียน ผมก็ดันได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากข้างนอกก่อนจะเปิดประตู จากนั้นก็มีลางสังหรณ์แปลกๆ เลยรีบพุ่งไปเอาหน้าแนบแอบมองจากตาแมว ทันใดนั้นก็เห็น...

“มึงยกดีๆ สิวะ ของหล่นเสียงดัง รบกวนห้องอื่นเขา”
“ก็มันหนักนี่หว่า ของมึงเยอะจังวะไอ้ติณห์”

ติณห์กับเพื่อนอีกสามสี่ห้าหน่อช่วยกันขนเฟอร์นิเจอร์กันอย่างขะมักเขม้น เพื่อนๆ หล่อมากเลย แต่ว่านะ... มันใช่เวลาที่กูจะมาชื่นชมแก๊งคนหล่อไหม!?

เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ธาตุไฟเข้าแทรก หน้าที่ซีดอยู่แล้ว ซีดกว่าเดิมไปอีก ผมไม่รู้จะทำไงดีเลย ออกไปตอนนี้มีหวังถูกจับได้แน่
แต่ความวิตกจริตของผมมันคงยังไม่สาแก่ใจพระเจ้า ดลบันดาลให้ติณห์โทรเข้ามาอีก

งานเข้าไม่หยุดเลยโว้ย!

ผมไม่รับสาย ได้แต่รีบปิดเสียงเรียกเข้า พอไม่รับสายนึง อีกสายนึงก็โทรเข้ามา อะไรไม่ว่า ตอนนี้ติณห์มายืนอยู่หน้าห้อง มือกดโทรหาระรัวแล้วด้วยเถอะ

แล้วกูจะต้องทำยังไงเนี่ย! เช้านี้ก็มีพรีเซ้นต์ด้วยเถอะ จะไม่ไปก็ไม่ได้ เลยได้แต่ยืนเลิ่กลั่กอยู่ครู่หนึ่ง ติณห์ที่อยู่ข้างนอกห้องก็โทรไม่หยุด สีหน้าก็เริ่มดูหงุดหงิดไปด้วย ผมนี่ใจเต้นตุ้บๆ เลย แต่โชคดีที่เพื่อนๆ ของติณห์ที่เพิ่งขนของเสร็จเดินเข้ามาหาเสียก่อน

“ขนเสร็จแล้วก็รีบไป ม.ได้แล้วมึง จะได้ไปกินข้าว มีเรียนบ่าย”
“เออ แล้วอย่าลืมที่สัญญาไว้ด้วยล่ะ เลี้ยงข้าวอะเลี้ยงข้าว”

ฟังดูก็รู้ว่าติณห์คงจะติดสินบนเพื่อนว่าถ้ามาช่วยขนของก็จะเลี้ยงข้าว พอโดนเพื่อนคะยั้นคะยอมากๆ เข้า ติณห์ก็จำเป็นต้องวางสายแล้วเดินตามเพื่อนไปแต่โดยดี ทว่าก็ไม่วายเหลือบมองมาที่ประตูหน้าห้องผม ก่อนจะเดินจากไป

เห็นแผ่นหลังของเขาเดินหายไปในลิฟต์ ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เกือบไปแล้วไหมล่ะกู...

รออยู่ในห้องอีกเกือบชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครวนกลับมา ผมถึงได้ออกจากห้องไป แน่นอนว่าไปเข้าห้องเรียนและพรีเซ้นต์สาย โดนอาจารย์ดุและถูกเพื่อนสนิทอย่างนาเดียด่าไปตามระเบียบ แถมตอนพรีเซ้นต์ก็ทำได้ไม่ดีอีกด้วยเพราะในหัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของติณห์ในวันนี้ไม่หยุด

ก็จะไม่ให้คิดได้ไงล่ะ สายตาที่เขามองมาตอนที่ผมหลบอยู่ในห้องมันแบบ... โคตรน่าสงสารอะ แววตามีแต่คำว่าทำไมๆๆ
พอเรียนเสร็จ ผมก็มาหลบมุมระหว่างที่รอนาเดียเข้าห้องน้ำ มือถือโทรศัพท์ มองหน้าจอที่ขึ้นมิสคอลล์เป็นสิบๆ สายกับข้อความที่ไม่ได้อ่านอีกเป็นสิบๆ ข้อความ พลันตัดสินใจว่าจะโทรไปหา แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะบอกเหตุผลที่ไม่รับสายว่าอะไรดี ทว่าระหว่างที่ยืนคิดอยู่นั้น ติณห์ก็โทรเข้ามากะทันหัน

ผมตาเหลือก เกือบทำโทรศัพท์หลุดมืออยู่แล้วถ้าไม่ตั้งสติไว้ได้ทัน สายแรกไม่รับ สายสองก็โทรมาอีก คราวนี้ไม่รับก็จะดูใจร้ายไปหน่อยแล้ว ผมเลยกระแอมไอเล็กน้อยแล้วกดรับไป

“ฮะ...ฮัลโหล”
พยายามทำเสียงสดใสแล้วนะ แต่เสียงดันหดหู๊หดหู่แบบสำนึกผิดโดยไม่รู้ตัว

ส่วนติณห์... พอผมรับสายปุ๊บ ก็รีบกรอกเสียงมาทันที

[ยูเป็นอะไร ทำไมไม่รับสายเรา]

น้ำเสียงออกแนวหาเรื่องนิดๆ อะ แต่ผมเข้าใจนะ เป็นผมก็โมโหเหมือนกันแหละ โทรหาแล้วแฟนไม่ยอมรับสายเป็นสิบๆ สายแบบนี้เนี่ย

“คือเค้า...มีธุระน่ะ”

โกหกไปอีกแล้ว ปกติแล้วติณห์จะต้องไม่ถามนะว่ามีธุระอะไร เพราะติณห์ไม่ค่อยจุกจิกอะไรเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เขากลับถาม

[ธุระอะไรที่ทำให้ยูไม่รับสายเราตั้งแต่เมื่อเช้า]

นั่น...โดนจี้แล้วกู

“ก็...” ผมอึกอักไปนิด “เค้าไม่สบายใจที่จะบอกตินตินเลยอะ”

ประเด็นคือไม่รู้จะบอกยังไงว่ากูไม่ใช่ยู!

และเพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มั้ง ติณห์ก็เลยชะงักไปนิดแล้วก็ถามออกมาเสียงเครียด

[ไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกเราสิ]
“เรื่องส่วนตัวน่ะ”
[เรื่องส่วนตัวของยูเหรอ แสดงว่าเราไม่ได้สำคัญเลยสินะ]

ตอนนี้งอนแล้วจ้า

“ก็สำคัญ แต่ว่า...”

แต่ว่ากูไม่รู้จะพูดยังไงโว้ย!

คิดผิดชะมัดเลยที่รับสาย แต่พอผมอึกอักไม่เลิก ติณห์ก็ถามเสียงเครียด

[ยู เราเป็นแฟนยูนะ เป็นคนรักกัน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกเราได้ เรื่องของยูก็เหมือนเรื่องของเรา ถ้าเราช่วยได้ เราก็จะช่วย บอกเราเถอะ เราเป็นห่วงนะ]

แสนดีโคตรๆ เลยเว้ย!

ไอ้เรื่องที่ว่าจะบอกเลิกก็เป็นอันต้องยกเลิกไป พลันหัวก็คิดเรื่องมโนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“คือแม่ของเราป่วยหนักน่ะ เราเลยต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่กรุงเทพฯ อีกเมื่อไหร่”

ติณห์เงียบไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว ผมชักใจไม่ดี แต่พอจะพูด เขาก็ตอบกลับมา
[แล้วแม่ของยูเป็นอะไรมากไหม]

แทนที่จะตัดพ้อต่อว่าผมเรื่องที่ผมไม่ยอมบอกว่าหนีกลับบ้านเกิด เพราะผมเคยบอกไว้ว่าบ้านผมอยู่ที่ต่างจังหวัด อันนี้โกหกนะเพราะจริงๆ แล้วยูเป็นคนกรุงเทพฯ แต่เกิด แถมอยู่ตัวคนเดียวด้วย พ่อแม่เลิกกันไปนานแล้ว พอแต่งงานใหม่ก็ซื้อคอนโดฯ ไว้ให้ยูอยู่ ใช้ชีวิตเอง ผมก็ไม่ได้เจอยูนานแล้วเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นญาติทางแม่ที่ไม่สนิทเลยก็ว่าได้

แต่นั่นไม่ได้สำคัญสำหรับตอนนี้ คือตอนนี้ต้องสวมบทเป็นดาวพระศุกร์ชีวิตรันทดอย่างเร่งด่วน

“ก็ค่อนข้างหนักเหมือนกัน แต่ตินตินอย่าโกรธเค้าเลยนะ ที่เค้าไม่บอกก็เพราะไม่อยากให้ตินตินไม่สบายใจ”
บีบน้ำตาไปอี๊กกก แถมติณห์ก็ดันเชื่อด้วยนะ

[เราจะไปโกรธยูได้ยังไง เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ เรื่องเจอกัน ไว้ทีหลังก็ได้ ยังไงตอนนี้เราก็อยู่ห้องข้างๆ กันแล้ว]
เหมือนติณห์พยายามจะบอกผมว่าเขาย้ายมาแล้ว แต่ไม่ต้องบอก ผมก็รู้แล้วล่ะ เห็นย้ายสำมะโนครัวกันมาเรียบร้อยแล้ว
[งั้นเดี๋ยวไว้เย็นนี้เราโทรหาอีกทีนะ ไว้คุยกัน]

ติณห์ทำท่าจะวางสาย ทว่าผมก็ดันคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้เสียก่อน
“เอ้อ ตินติน เดี๋ยวก่อน”
[หืม?]
“เค้าลืมบอกอีกเรื่องนึงน่ะ”
[เรื่องอะไร]
“แบบว่าตอนนี้เค้าไม่อยู่ห้อง แล้วก็ดูท่าทางจะไม่อยู่ยาวด้วย แม่เค้าป่วยหนัก เค้าเลยลาเรียนไปเทอมนึง ส่วนที่ห้อง เค้ากลัวไม่มีคนดูแลเลยให้ลูกของป้าไปอยู่ที่ห้องเราแทนน่ะ พอดีเรียน ม.เดียวกันน่ะ”

โกหกเป็นตุเป็นตะไม่พอ เอาตัวจริงๆ ของตัวเองเข้าไปเป็นตัวละครเพิ่มอีกเอาซี่!

ส่วนติณห์ก็ดูจะอึ้งไปนิดๆ ตอนได้ยินผมบอกว่าลาเรียนไปเทอมนึง เพราะก่อนหน้านั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย

ฮือ...ขอโทษนะ พอดีเพิ่งนึกบทเพิ่มขึ้นมาได้เมื่อกี้

แล้วไอ้ที่บอกว่าเรียน ม.เดียวกันอะไรนั่น จริงๆ แล้ว ยูมันเรียนที่เดียวกับผมเสียที่ไหนกันล่ะ ตอนที่โกหกเล่าเรื่องของตัวเอง ผมก็มีผสมความจริงลงไปอยู่เหมือนกันเพราะผมกลัวว่าตอนคุยๆ ไปแล้วหลุดเรื่องอะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมมหา’ลัยตัวเองขึ้นมาแล้วเดี๋ยวจะความแตก เลยโกหกแบบนั้นไป

แถมโกหกว่าเรียนวารสารศาสตร์ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นคณะของผมต่างหาก...

แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว ติณห์นิ่งไปครู่ใหญ่ทีเดียว พอผมเรียก...

“ตินติน...”
เขาก็โพล่งขึ้นมา
[อืม เข้าใจแล้ว แล้วลูกของป้ายูชื่ออะไรอะ]
“ศิลป์... พี่ศิลป์น่ะ อายุมากกว่าพวกเราปีนึง”

ยูเรียนปีสอง คณะอะไรก็ไม่รู้ ส่วนติณห์เรียนปีสอง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เท่ากับว่าผมอายุมากกว่าเขาปีนึง

“เค้า...ฝากดูแลพี่ศิลป์ด้วยนะ พี่เขาอาจจะเป็นคนเงียบๆ ขี้อายหน่อย แต่นิสัยดีมาก มีอะไรก็บอกพี่ศิลป์ได้นะ จะได้ช่วยๆ กัน”

ฝากฝังตัวเองให้แฟนตัวเองเสียเลย ฟังดูงงเนอะ แต่ผมคิดว่าถ้าเอาตัวตนจริงๆ ของตัวเองเข้าไปแทรก มันน่าจะดีกว่าเพราะตอนที่ผมขอเลิกเป็นแฟนกับติณห์ในฐานะยูแล้ว เขาจะได้มีที่พึ่งพิงยามเจ็บปวดอ่อนไหว ซึ่งนั่นก็คือผมตัวจริงนั่นเอง เหอๆๆ เนียนมะ?

แต่ติณห์ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย กระทั่งผมเรียกถึงได้ตอบมาสั้นๆ

[อืม เข้าใจแล้ว ไว้เราจะไปทำความรู้จักนะ]
“ครับ งั้น...เค้าวางแล้วนะ ตอนเย็นคุยกัน”

ตัดสายกันไปแค่นี้ ผมสบายใจไปนิดนึงที่จู่ๆ ก็คิดแผนใหม่ขึ้นมาได้ ถ้าถามแบบละเอียดก็คือการบอกเลิกไปเนียนๆ นั่นเอง ให้ติณห์มาสนิทกับผมที่เป็นศิลป์ตัวเป็นๆ พอเริ่มสนิทกันก็ให้ยูตัวปลอมบอกเลิก จากนั้นผมก็จะได้เข้าหน้าติณห์ได้อย่างสบายใจ
เนียนมากกก ออกแนวชั่วไปหน่อย แต่วิธีนี้น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ

วางสายจากติณห์ได้ไม่ถึงนาทีดี นาเดียที่เข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องน้ำนานสองนานก็ออกมา พร้อมกับใบหน้าที่แต่งเติมเครื่องสำอางแบบจัดเต็ม ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของตัวเองพลางถาม

“ทำไมต้องแต่งหน้าเต็มขนาดนี้ด้วยเนี่ย”
นาเดียเชิดหน้าขึ้น บอกสั้นๆ “ฉันมีนัด”

ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่านัดอะไร

“นัดกินข้าวกลางวันกับผู้ชายอีกแล้วล่ะสิ”

แต่งหน้าเต็มทีไรก็ไม่เคยพ้นเรื่องนี้ นาเดียยิ้มร่าให้ผมทันที

“ถูก วันนี้ผู้ใหม่ เพิ่งสอยดาวได้เมื่อวาน”

ฟังแล้วก็ต้องกลอกตา เออ มันสวย เพื่อนผมมันสวยสุดๆ ไปเลย เป็นดาวคณะสุดแสนจะแซ่บ เป็นลูกครึ่งอีกต่างหาก ไปที่ไหนก็ได้ผู้ชายกลับมาตลอด แล้วก็เพราะนิสัยตรงๆ ของมันเลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงในคณะชอบสักเท่าไร เหมือนกับผมที่ไม่มีเพื่อน เราสองคนเลยมาคบกันเหมือนกับว่าเพราะไม่มีใครคบเลยต้องคบกันเองอะไรประมาณนั้น

ผมก็ไม่ได้ว่ามันเรื่องที่มันชอบเต๊าะผู้ชายไปเรื่อยหรอกนะ เพราะบางทีพวกเพื่อนๆ ของผู้ชายที่มันเดตด้วยก็เป็นอาหารตาชั้นดีให้กับผมเหมือนกัน แม้ว่าผมจะไม่แสดงออกถึงความหื่นกาม แต่หูตาก็นะ...แพรวพราวบ้างเป็นบางครั้ง

ผมเดินตามเพื่อนสาวคนสนิทมาที่โรงอาหารหลังตึกคณะ ระหว่างที่รอคู่เดตคนใหม่ของเพื่อนตัวเองมา ผมก็ไปจัดการซื้อข้าวซื้อน้ำมานั่งกินรอ แต่วันนี้กินได้ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องของติณห์ ถึงจะบอกว่าหาทางออกได้แล้ว เอาเข้าจริง ผมก็ยังเป็นกังวลอยู่นะ คือมันไม่สบายใจน่ะ ต้องโกหกซ้ำโกหกซ้อนมันก็ยังไงๆ อยู่

หรือว่าจะบอกเลิกแล้วจบกันไปเลยดีวะ?

แต่...คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง

“เฮ้อ...”

ผมถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ตัว ทำเอานาเดียที่นั่งรอผู้ชายอยู่เหลือบมองแล้วถามออกมาอย่างสงสัยจนได้

“เป็นไรยะหล่อน ถอนหายใจอยู่ได้ ผู้ทิ้ง?”

หล่อน... คือสรรพนามที่นาเดียใช้เรียกแทนตัวผม อันที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบหรอกนะ ถึงผมจะเป็นเกย์ แต่ยังไงผมก็ยังเป็นผู้ชาย ไม่ได้ออกสาวขนาดนั้นสักหน่อย มาเรียกหล่อนๆ ก็ยังไงอยู่ แต่จะบอกไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เรียกมาสามปีแล้ว ติดปากไปเรียบร้อย

“ไม่มีอะไร แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ผมตอบปัดๆ

เท่านั้นนาเดียก็หรี่ดวงตาคู่สวยลงทันที
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยแต่ถอนหายใจทิ้งขว้างขนาดนี้ เรื่องผู้ชายแน่นอน ไหนบอกมาว่าอะไรที่ฉันยังไม่รู้”

แทบไม่มีเรื่องไหนเลยที่นาเดียไม่รู้ จะไม่รู้ก็คือ...
“เรามีแฟนน่ะ”

...เรื่องนี้แหละ แล้วก็เรื่องที่ผมตามติ่งเน็ตไอดอลบนเฟซบุ๊กอีกเรื่องที่ไม่เคยบอกไป

นาเดียถึงกับอ้าปากค้าง อุทานออกมาทันที

“คุณพระ อะไรยังไง ไหนเหลามาค่ะ”

มือเรียวตบโต๊ะรัวๆ ผมเหลือบมองหน้าสวยๆ นั่นแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครา แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องของติณห์นะ เรื่องเพื่อนตรงหน้านี่แหละ มึงจะขี้เผือกไปถึงไหน!

จะด่ามันก็ไม่ได้ ผมเองก็ขี้เผือกเหมือนกัน ตอนฟังเรื่องของเพียวนี่ระรื่นมาก คนคอเดียวกันถึงคบกันได้ล่ะสินะ

“ก็ไม่มีอะไร เรามีแฟนแต่ว่าแฟนเราชอบคนอื่นน่ะ เราเลยคิดว่าจะเลิกกับเขา”
“เฮ้ย อะไรของหล่อนวะ เพราะแฟนชอบคนอื่น นอกใจตัวเอง ก็เลยจะเลิกแบบไม่ทำอะไรเลย?”

ส่วนนาเดีย พอได้ยินผมเล่าก็ทำหน้าปูเลี่ยนทันที แถมเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นด้วย ผมก็กระดากปากที่จะเล่านะ ถึงจะสนิทกันแค่ไหน แต่มันก็พูดยากแหละเรื่องนี้

“อืม ก็ต้องอย่างนั้น”
ให้เข้าใจไปแบบนี้แล้วกัน ช่วยไม่ได้แฮะ

“แล้วยังไง จะไม่ทำอะไร ปล่อยให้แฟนไปได้ดีกับคนอื่น ส่วนหล่อนก็จะเลิกยุ่งกับเขาง่ายๆ เลยว่างั้น?”
ผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดเสียงเบา

“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละ เราไม่ใช่คนที่เขาชอบนี่นา” ผมหมายถึงผมไม่ใช่ยู ซึ่งเป็นคนที่ติณห์ชอบ

ทว่านาเดียกลับมีอาการฮึดฮัด คว้าตลับแป้งออกมาเช็กหน้าตัวเองเป็นการใหญ่
“มันจะไปยากอะไร หล่อนก็ทำตัวให้เขาชอบสิยะ จะมาทำเป็นหงอยทำไม เขาเป็นแฟนหล่อน ตัวก็ยังอยู่กับหล่อน โอกาสยังมีมากกว่าอีก”
“ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างที่เธอพูด เราก็คงทำไปแล้ว คนอย่างเรานี่ใครจะมาชอบ ตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกันมา เคยเห็นเรามีแฟนหรือมีใครมาจีบไหมล่ะ”

พอผมพูดไปอย่างนั้น นาเดียก็ปิดฝาตลับแป้งแต่งหน้าดังแกร๊ก หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“แล้วมันไม่ง่ายตรงไหน หล่อนชอบเขา แต่เขาชอบคนอื่น หล่อนก็แค่เอาตัวเองไปให้เขาเจอบ่อยๆ เดี๋ยวเขาก็ชอบหล่อนเองนั่นแหละ เอาใจเยอะๆ ดูแลพะเน้าพะนอมากๆ แถมตอนนี้ยังมีสถานะเป็นแฟนหล่อนด้วย ลูกไก่ในกำมือชัดๆ ดูฉันสิ ฉันยังทำได้เลย ขนาดแค่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งเองนะ”

เออ อันนั้นผมไม่เถียง นาเดียมันเป็นสาวฮ็อตปรอทแตกที่เดินไปทางไหนก็ได้ผู้ชายกลับมากินจริงๆ แต่กับผมมันไม่ใช่ไง คนละเรื่องกันเลยเถอะ ถึงผมจะมีแผนเอาตัวเองไปแทรกให้ติณห์เจอบ่อยๆ อย่างที่นาเดียพูดเมื่อกี้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีอะไรมารับประกันว่ามันจะได้ผลนี่ ผมเลยตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันฟังว่าจริงๆ เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ ไม่ใช่อย่างที่มันเข้าใจไปในตอนแรก

“คืองี้นะนาเดีย ผู้ชายที่เราชอบน่ะ เขาไม่ใช่แค่ชอบคนอื่น แต่คนที่เขาชอบน่ะคือลูกพี่ลูกน้องเรา”
“เอ๊ะ?” นาเดียทำหน้างงทันที “ลูกพี่ลูกน้องหล่อนไปรู้จักกับเขาได้ไง เรียนอยู่ ม.เดียวกันเหรอ?”

นาเดียรู้จักยูเพราะเคยได้ยินผมเล่าให้ฟังตอนที่เห็นรูปของยูในโทรศัพท์ผม แต่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน

ผมส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เท่านั้นนาเดียก็นิ่วหน้า

“เอ้า แล้วนางเรียน ม.ไหน ตัวผู้ชายอะ”
“เรียน ม.เรานี่แหละ”
“แล้วจะไปรู้จักลูกพี่ลูกน้องหล่อนได้ไง”

ยิ่งถาม หน้าสวยๆ ก็ย่นยู่หนัก ผมเม้มปากไปครู่ก่อนจะว่า

“ก็ใช่... แบบ... เราสวมรอยว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเอง แล้วก็ไปคบกับเขาน่ะ ที่บอกว่าเป็นแฟนคือเขาเป็นแฟนเราที่สวมรอยเป็นยูอะไรแบบนั้น เข้าใจหรือยัง ส่วนที่บอกว่าเขาชอบคนอื่น เราก็หมายถึงเขาชอบยู ไม่ได้ชอบเราที่เป็นศิลป์อะ”

เท่านั้นนาเดียก็ทำหน้าไม่เชื่อ พลางส่งเสียงแหลมออกมา

“หา!? แล้วเขาไม่รู้? ไม่ระแคะระคายเลยว่าหล่อนไม่ใช่?”

ผมส่ายหน้า ก่อนจะว่า “ไม่รู้ไม่พอ เชื่อเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่คุยเปิดกล้องกันทุกวัน เราใส่หน้ากากนะ แล้วก็ถ่ายให้เห็นแค่ช่วงคอลงไปถึงหน้าอก คือมันก็ไม่น่าจะคล้ายกันกับยูอยู่แล้วปะ แต่ดันเชื่อ แถมแม่งย้ายมาอยู่ข้างห้องแล้วด้วยเถอะตอนนี้อะ”

คราวนี้นาเดียถึงกับเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นทาบอก
“ต๊าย บันเทิ๊งงง!”

โอเวอร์แอ็คติ้งสุดไรสุดจ้าแม่คนนี้

“แต่ก็เอาเถอะหล่อน ถ้าไม่เวิร์กก็เลิกไป ผู้ชายก็งี้แหละ เป็นของกินเล่นที่อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง เดี๋ยวความแตกด้วย รีบเลิกก่อนโดนจับโป๊ะ”

ตอนนี้ดันเห็นดีเห็นงามกับผมทันที เชื่อได้เลยว่าในใจของเพื่อนคนนี้ก็คงคิดเหมือนกันแหละว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ถูกต้อง รีบเลิกที่ว่าก็คือการหนีความผิดนั่นแหละ

แต่ว่านะ... ผมก็ยังเสียดาย...

“นาเดีย”

คิดยังไม่ทันจบเลย เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี

จะไม่ให้คุ้นได้ไงล่ะ ก็หมอนี่เป็นเดือนมหาวิทยาลัยปีที่แล้วนี่ อย่าบอกนะว่านาเดียกำลังเดตกับเด็กปีสอง?

ใช่อย่างแน่นอน เพราะพอผมหันไปมองเพื่อนตัวเองก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังยิ้มกว้างแล้วขยับที่ให้อีกฝ่ายนั่ง

“มาแล้วเหรอ นั่งสิ ป้องกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลย มากินพร้อมนาเดียนั่นแหละ”

แล้วก็จีบกันมุ้งมิ้งกุ๊งกิ๊ง เห็นแล้วก็หมั่นไส้ตงิดๆ ก่อนที่ผมจะตระหนักได้ว่านอกจากผู้ชายที่ชื่อป้องแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกสองสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ โต๊ะ ป้องเองก็แนะนำเพื่อนๆ ตัวเองในตอนนี้

“พอดีเราพาเพื่อนมาด้วยน่ะ เบื่อข้าวที่โรงอาหารคณะแล้ว นาเดียคงไม่ว่าอะไรนะถ้าเพื่อนเราจะกินข้าวด้วย”
“อือ ไม่ว่าหรอก เพราะเราก็พาเพื่อนมาเหมือนกัน นี่ศิลป์นะ เรียนคณะเดียวกับเรา”

ผมยิ้มรับเล็กน้อย ป้องเองก็ยิ้มทักทายผมเช่นกัน ก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนตัวเองที่พากันทยอยมานั่งข้างๆ ผมบ้าง ผมก็ไม่ได้สนใจฟังหรอกว่าใครเป็นใครบ้างเพราะในตอนนี้ยังคงเอาแต่คิดวุ่นวายถึงเรื่องติณห์

“นี่เพื่อนเรา คนนี้ชื่อกันย์ แม็กซ์ แล้วก็ติณห์”

ติณห์...

เฮ้ย! ติณห์เหรอ!?

ผมถึงกับเหลือบตามองหน้าเพื่อนของคู่เดตนาเดียทันที ก่อนจะประจักษ์ได้ว่าไอ้เดือนมหา’ลัยปีสองคนนี้มันมาจากคณะสถาปัตย์ฯ ดังนั้นพวกเพื่อนๆ ของมันก็...

ติณห์ตัวจริงเสียงจริงเลยโว้ย!

ติณห์นั่งลงตรงข้างผม ยกมือทักทายเล็กน้อย

“หวัดดีครับ”
ส่วนผมก็นั่งตัวเกร็ง หน้างี้คงขาวซีดไปแล้วมั้ง

นี่รู้หรือยังวะว่าผมคือศิลป์คนเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของยูน่ะ?

ท่าทางจะยังไม่รู้ เพราะพอทักเสร็จก็นั่งเงียบ ในมือกดโทรศัพท์ไถไปมา ท่าทางดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ จนเพื่อนคนอื่นๆ ต้องถามเพราะไม่เห็นเขาลุกขึ้นไปซื้อข้าวมากินสักที

“มึงไม่กินข้าวเหรอวะไอ้ติณห์”
“ไม่ล่ะ กูไม่หิว”
“ทะเลาะกับเด็กอีกล่ะสิมึงอะ ทำหน้าตาเฮิร์ตแบบนี้”

ป้องร้องแซ็ว คนอื่นๆ หัวเราะ แต่ติณห์ไม่ขำด้วย แค่เหลือบมองแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์ต่อไป

จิ้มทำไมรู้ไหม?

ส่งข้อความมาหาผมโว้ย! โทรศัพท์แม่งสั่นจนกูจะกลายเป็นคนทรงเจ้าอยู่ละเนี่ย!

เหงื่อกาฬไหลพราก แทบอยากจะลุกไปจากตรงนี้ให้พ้นๆ ท่าทางเลิ่กลั่กจนนาเดียที่นั่งคุยอี๋อ๋อกับเด็กมันสังเกตเห็นเลยถามผมออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่ายะหล่อน หน้าซีดเชียว”

ทุกสายตาหันมามองทางผมทันที ตอนนี้บอกตามตรงว่าทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว รีบพยักหน้าเรียกเพื่อนทันที

“ไปกับเราแป๊บนึงดิ”
สั้นๆ แค่นั้น นาเดียก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ เลยหันไปบอกป้องแล้วลุกขึ้นตามผมมา ผมไปหลบมุมอยู่ที่ห้องน้ำในโรงอาหาร พอนาเดียมาถึงก็ถามทันที

“มีอะไรยะ ทำหน้าเหมือนท้องผูก”
“เธอเห็นผู้ชายคนที่ชื่อติณห์ที่นั่งข้างเราปะ”
“อือ เห็น ทำไม ถูกใจว่างั้น? มิน่า หน้าซีดตัวสั่น ทีแท้ก็หิวเหยื่อ”
“เปล่าๆ คือจะถามว่าเธอรู้ไหมว่าเขาเป็นเน็ตไอดอล”

นาเดียส่ายหน้าพรืด ก็แน่ล่ะ รู้ก็แปลกละ ไม่เคยบอกนี่

“ตกลงหล่อนอยากจะพูดอะไรกันแน่”
เห็นผมอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดสักที นาเดียก็เข้าประเด็นเลย

ผมถอนหายใจออกมา ว่าไปตามตรง

“ผู้ชายที่เราบอกว่าเราสวมรอยไปเป็นแฟนเขาน่ะ...คือคนนั้นนั่นแหละ”

นาเดียถึงกับอ้าปากค้าง มองไปยังโต๊ะกินข้าวที่พวกเราเดินจากมา สลับกับมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อ
“งานงอกแล้วไอ้ศิลป์ จุดไต้ตำตอโคตรๆ เลย”

แล้วใครใช้ให้มึงไปเดตกับเด็กคณะสถาปัตย์ฯ ล่ะเว้ย! ถ้ารู้ว่ามึงเดตกับเด็กคณะนี้ กูก็ไม่มานั่งหัวโด่ตรงนั้นหรอก!

แม่ง งานเข้าไม่หยุดเลยโว้ย!
-----------------------
หายไปนาน บ.ก.ฟาดแส้รัวเลยค่ะ 555
ต่อจากนี้จะมาอัปวันละตอนนะคะ ฝากเรื่องใหม่ของเก๊าไว้ด้วยเน้อ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ฮ่าอ่ะ แล้วแบบนี้จะเนียนไงต่อ
สนุก รอๆๆๆ

ออฟไลน์ caffeine_0258

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกกกก

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
สงสารตินณ์

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เบิกตาโพลง ยกมือขึ้นทาบอก
“ต๊าย บันเทิ๊งงง!”

นาเดียชอตนี้ได้ใจมาก 555

เชียร์พี่ศิลป์สู้ๆ รักแท้แพ้ใกล้ชิด เอาหน้าไปเจอน้องตินตินบ่อยๆ  ยูก็ยูเหอะ
 :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8:  :-[ 5555

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
04: สถานะพี่ข้างห้อง

ผมก็พยายามทำตัวเนียนๆ ไปนะ เนียนกว่านี้ก็รองพื้นชนิดที่โบกหน้าทีแล้วไม่เห็นรูขุมขนอะ แต่เอาจริงๆ ถึงจะเนียนแค่ไหนก็ออกท่าทางพิรุธ แน่นอนว่านาเดียมันเห็นชัดๆ ส่วนเด็กมันก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า ดูกระสับกระส่ายแปลกๆ
กูควรกระสับกระส่ายไหมล่ะ คนที่กูหลอกมาเป็นเดือนๆ มานั่งอยู่ข้างๆ เนี่ย!

โชคดีที่ติณห์ไม่ได้สนใจอะไรผมเท่าไหร่นัก คุยยังไม่คุยเลย เอาแต่นั่งจิ้มโทรศัพท์ส่งข้อความหาผม พอผมไม่รับไม่ตอบ เขาก็ไปตั้งสเตตัสเฟซบุ๊ก หนึ่งนาที สิบสเตตัส ตัดพ้อความรักรัวๆ

ตั้งสถานะเยอะขนาดนี้ กูว่าเอามารวมเล่มขายเลยเถอะ

แต่จะไปว่าอะไรก็ไม่ได้ ทั้งหมดนั่นมันเกิดจากความผิดผมเอง พอกินข้าวเสร็จและนาเดียแยกย้ายกับเด็กมันเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ติณห์ส่งข้อความหาเป็นร้อยอะ ไหนจะโทรมาอีก เห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ใจไม่ดีเลย ยิ่งนึกถึงหน้าเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนพิมพ์ข้อความพวกนี้แล้วด้วยนะ โอ๊ย...แม่งโคตรสงสารเลย

 
‘ยู ทำไมไม่ตอบเราอะ’
‘ไม่ว่างเหรอ’
‘ถ้าว่าง โทรกลับหาเราหน่อยนะ เราเป็นห่วง’
‘ยู...’
‘...’
‘สติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนร้องไห้’

 
และอีกสารพัดข้อความที่ผมอ่านข้ามๆ ไป ตอนนี้จะให้ผมโทรกลับเพื่อไปปลอบใจเขา ผมก็ไม่กล้าทำแล้วล่ะ ได้แต่ส่งข้อความไปสั้นๆ ว่า...
 
‘แม่เราอาการไม่ค่อยดีน่ะ ไว้ว่างแล้ว เราจะโทรกลับนะ’
 
แช่งแม่ตัวเองไปอีกกู๊! ไอ้ศิลป์! ไอ้ลูกทรพี!

ยกมือท่วมหัวไหว้ขอโทษแม่รัวๆ ตบปากสามครั้งแล้วโยนไปให้นาเดียที่ยังนั่งแชทดี๊ด๊ากับผู้ชายคนใหม่ในคอนเลคชันไม่เลิก ก่อนผมจะกลับมาที่หอตัวเอง นั่งคิดอยู่พักใหญ่ว่าจะเอายังไงต่อดี

เรื่องอะไรน่ะเหรอ?

ก็เรื่องที่ผมสวมรอยเป็นยูแล้วอ้างว่าลูกพี่ลูกน้องมาอยู่ที่ห้องแทนไง ซึ่งนั่นมันก็คือตัวผมในตอนนี้ ซึ่งผมที่สมมติว่าตัวเองเป็นยูก็บอกไปแล้วว่าไอ้ศิลป์คนนี้จะไปอยู่ที่ห้องแทน แต่จากที่เมื่อกี้ไปกินข้าวกัน ขนาดแนะนำตัวไปแล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ติณห์ยังไม่เอะใจว่าเลยผมอาจจะเป็นศิลป์คนเดียวกันกับลูกพี่ลูกน้องยูหรือเปล่า แล้วจะให้ผมเดินไปบอกตรงๆ เหรอว่า ‘ศิลป์นะครับ พี่ของยูนะ’

เหอะ มีพิรุธฉิบหาย

ผมเลยนั่งคิดอยู่นานว่าจะเอาไงดี สุดท้ายพอกลับมาถึงห้องก็โทรหาติณห์แล้วทำเสียงดี๊ด๊าใส่
“ฮัลโหล ตินติน เจอพี่ศิลป์หรือยัง”
[ยังอะ]

ได้ยินอีกฝ่ายพูดมา ผมก็ลอบถอนหายใจ

นั่นไง ไม่ได้สนใจกูสักกะนิด

“ถ้ายังไม่เจอ ตินตินกลับห้องเมื่อไหร่ก็คงจะเจอเนอะ เค้าฝากพี่ศิลป์ด้วยนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ศิลป์ได้เลย เค้าบอกพี่ศิลป์ให้แล้วว่าพ่อแมวมาอยู่ห้องข้างๆ”

ผมแสร้งอ้อนไปหน่อย ดูติณห์จะอารมณ์ดีขึ้นมานิดๆ จากนั้นเราก็คุยกันสัพเพเหระ ติณห์เลี่ยงที่จะถามเรื่องแม่ที่ป่วย ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากจะคุยอะไรที่มันเซ้นส์สิทีฟ ผมยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากคุยเล่นไปตามปกติ แล้วก็เข้าไปเช็กเฟซบุ๊กของติณห์
 
Tintin Tin
3 min. สาธารณะ
รักคือความเข้าใจ เราเข้าใจเธอนะ อดทนนะครับ - รู้สึกรัก
 
Tintin Tin
2 min. สาธารณะ
รักกันมากแค่ไหน จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีอุปสรรค - รู้สึกฮึกเหิม
 
Tintin Tin
1 min. สาธารณะ
เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ นะ - รู้สึกคุณแฟนสู้ๆ คุณแฟนสู้ตาย
 
มาอีกแล้ว สามนาที หลายสเตตัส แต่ค่อนข้างจะไปในทางบวก มีโพสต์รูปด้วย อารมณ์แบบนี้ก็ยังจะโพสต์รูปอีกเนอะ ส่วนผมก็เซฟรูปใหม่ลงโทรศัพท์ตัวเองรัวๆ

เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่าเขาพยายามแสดงออกมาอย่างนั้นเพื่อให้ยูในร่างผมเห็นแล้วสบายใจว่าเขาไม่เป็นไร แต่จริงๆ แล้วในใจคงจะหงอยอยู่เหมือนกัน อยากเจอแฟนมากถึงขั้นลงทุนย้ายหอมาอยู่ห้องข้างๆ แต่ดันไม่เจอนี่ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ ตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยล่ะว่าเขารักยูขนาดไหน คิดๆ ดูแล้วก็น่าอิจฉายูอยู่เหมือนกัน ถ้าผมหน้าตาดีอย่างยูมันสักครึ่งนึงนะ ป่านนี้ผมโผล่หน้าไปหาเขาแล้ว

แต่ตอนนี้ผมก็โผล่หน้าไปหาเขาได้แล้วไม่ใช่หรือไง? ก็หาช่องทางเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิดเขาแล้วนี่?
เท่านั้นก็กลายเป้นผมบ้างละที่ฮึกเหิม

เอาวะ เวลาอย่างนี้ต้องเอาตัวเองไม่แทรกเพื่อดามใจเว้ย!

ผมรอกระทั่งติณห์กลับมาถึงห้อง พอเห็นเขาเดินออกจากห้อง ผมก็รีบโผล่ออกมาด้วยคิดว่าเขาคงจะไปหาอะไรกินมื้อเย็น
พอเปิดประตูปุ๊บ ผมก็ทำท่าทางเหมือนตกใจน้อยๆ ก่อนจะยิ้มให้เขา

“อ้าว ติณห์นี่ บังเอิญจังเลยนะ อยู่หอนี้เหรอ”
บังเอิญม้ากมาก กูยืนจ้องที่ตาแมวมาตั้งแต่เมื่อกี้ละ
ส่วนติณห์ที่ออกมาเจอหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัวก็ย่นคิ้วน้อยๆ

“นายคือ...”
“เพื่อนของนาเดียน่ะ ที่เราเจอกันที่โรงอาหารวันนี้ไง”

ติณห์ร้องอ๋อออกมา ดูท่าทางไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ผมไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ได้สนใจ ก็แม่งเอาแต่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ส่วนผมก็โคตรจืดโลกลืม ขนาดไปตามติ่งเขาเวลาเขาออกอีเวนท์อะไรพวกนั้น แถมยังเป็นแอดมินของบอร์ดติ่งเขาอีก เขายังไม่รู้เลยว่าคือผม ถ้าเขาจำได้นี่สิถึงจะแปลก

“แล้วนี่จะไปไหน กินข้าวเหรอ”
ติณห์พยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนมองไปที่ประตูห้องแล้วเอ่ยปากถามบ้าง
“อยู่ห้องนี้เหรอ”
“อ๋อ ใช่ เพิ่งมาอยู่น่ะ”

ผมโกหกออกไปทันที ตอนนี้ผมคือศิลป์ ลูกพี่ลูกน้องของยูแล้ว พอเห็นติณห์ย่นคิ้วมากกว่าเดิม ผมก็ออกปากถามอีก

“ยูคงบอกแล้วใช่ไหมว่าเราเป็นพี่ของยูที่มาอยู่แทน?”

ติณห์พยักหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุจนผมสัมผัสได้ พานจะทำให้ผมอึกๆ อักๆ ไปด้วยอีกต่างหาก ก่อนที่ผมจะรีบหัวเราะแห้งๆ แล้วส่งเสียงออกมาอีกที

“งั้นขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกทีแล้วกันเนอะ เราชื่อศิลป์นะ เรียนอยู่วารสารฯ ปีสาม เห็นว่าติณห์อยู่ปีสอง แต่ไม่ต้องเรียกเราว่าพี่หรอก คนกันเองๆ”

มีมิตรไมตรีสุดๆ แต่ติณห์ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาเลย เอาแต่ทำหน้าเครียด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงตอบรับใดๆ ทำเอาผมอึดอัดโคตรๆ จนทำอะไรไม่ถูก

คิดถูกหรือเปล่าวะที่เสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางในความสัมพันธ์ปลอมๆ เนี่ย ดูเหมือนเขาจะไม่โอเคเท่าไหร่เลย

แต่จะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมต้องรีบอัปเปหิตัวเองออกจากตรงนี้ก่อน ขืนอยู่นานกว่านี้ คงโดนติณห์กินหัวอย่างแน่นอน สายตาที่มองมาที่ผมดูโคตรจะไม่พอใจเลยเถอะ

“เดี๋ยวเรา...ลงไปกินข้าวก่อนนะ หิวแล้วอะ แหะๆ”
หัวเราะแห้งๆ เรียบร้อย พอติณห์ไม่ตอบอะไรมาอีกก็รีบจรลีจากมา ทว่าก็ได้ยินเสียงของติณห์ดังมาทันทีที่ผมหันหลังให้
“เฮ้ย”

ผมที่กำลังจะเดินไปถึงกับชะงักกึก พอหันกลับมาก็เห็นว่าติณห์กำลังเดินเข้ามาใกล้แล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้า จ้องผมเขม็ง
“มะ...มีอะไรเหรอ”

ผมประหม่าไปทันที ใช้นิ้วดันแว่นตาตรงสันจมูกขึ้นด้วยแก้เก้อ แต่ติณห์ก็ยังมองจ้องผมอยู่ ตอนนี้ยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางกับหน้าตาหาเรื่องนี่โคตรเท่ แทบกระตุกต่อมติ่งผมให้แตกเลย ทว่าก็ต้องหยุดคิดเรื่องนั้นไปเมื่อได้ยินเสียงของคนตรงหน้าเอ่ยออกมา

“นายเป็นพี่ของยูแน่เหรอ”
จู่ๆ มาถามอะไรวะ

“นะ...แน่สิ” ผมตอบไป ในใจก็หวั่นใจไปว่าไปทำอะไรให้ดูเป็นพิรุธหรือเปล่า ติณห์ถึงได้มาถามแบบนี้

แต่ก็ไม่กล้าถามไปตามตรงนะ ยิ้มแห้งๆ ไป ก่อนที่ติณห์ที่เพ่งพินิจผมอยู่นานจะย่นคิ้วแล้วเอ่ยออกมา
“พี่จริงนะ ไม่ใช่ผัวใช่ไหม”

คำถามตรงๆ นี้ทำให้ผมถึงกับเบิกตาโตทันควัน

ผัวเผอบ้าบออะไรล่ะเว้ย! ไอ้ยูมันก็หน้าสวยซะขนาดนั้น กูก็แต๋วแตกซะขนาดนี้ มึงจะให้กูเอาตูดดูดกันเหรอ!?

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ!”

ผมรีบปฏิเสธทันควัน โบกไม้โบกมือประกอบด้วย ติณห์ทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่เลยถามออกมาอีก

“ถ้าไม่ใช่ งั้นขอเข้าไปดูห้องของยูหน่อยได้ไหม”

จะบ้าเหรอ!? ให้เข้ามาก็รู้หมดดิว่ากูเป็นติ่งน่ะ!

“ดะ...เดี๋ยวขอถามยูก่อนได้ไหม พอดีเป็นห้องของยูน่ะ เรากลัวยูจะโกรธเอา”
เรียกแทนตัวเองว่า ‘เรา’ ให้ต่างจากที่ยูเรียกแทนตัวเองว่า ‘เค้า’ จะได้ไม่เป็นที่น่าสงสัย
และพอผมพูดไปอย่างนั้น ติณห์ก็บอก
“ได้”

ผมเกือบจะโล่งใจอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่พูดขึ้นมาอีก

“งั้นเดี๋ยวเราโทรเลย”

มึงจะโทรตอนไหนก็ได้ แต่มาโทรตอนที่โทรศัพท์กูอยู่ในกระเป๋ากางเกงไม่ได้โว้ย!

“ดะ...เดี๋ยวก่อน”

ไม่ทันแล้ว ห้ามไปก็ไม่ทันการแล้ว ติณห์เอาโทรศัพท์ออกมาโทรเป็นที่เรียบร้อย ผมใจเต้นระรัวเลยด้วยกลัวว่าจะโป๊ะแตก แต่เดชะบุญ...โทรศัพท์ปิดเสียง เปิดสั่นมาตั้งแต่ตอนเรียน ยังไม่ได้ตั้งค่ากลับคืน มันก็เลยได้แต่สั่นระริกอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมเท่านั้น ผมถึงกับลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเลย ส่วนติณห์ก็ออกอาการหงุดหงิด บ่นพึมพำออกมา

“ทำไมไม่รับสายวะ”
แล้วก็ตั้งท่าจะโทรไปอีก ผมเลยรีบขัดขึ้นมาก่อน

“สงสัยยูจะยุ่งๆ น่ะ ช่วงนี้แม่ป่วยอยู่ด้วย ไว้ค่อยโทรดึกๆ จะดีกว่านะ”

ติณห์เหลือบมองหน้าผม ผมยิ้มแห้งๆ ให้ ในใจลุ้นระทึกเลยว่าจะฟังผมไหม แต่สุดท้ายก็ฟัง
“อือ งั้นค่อยว่ากัน”

โล่งฉิบหาย หายใจยาวออกมาได้ทั่วท้องสักที ส่วนตอนนี้ก็ต้องรีบหนีไปก่อน ถึงจะอยากเจอหน้าติณห์แบบใกล้ชิดตามประสาติ่งแค่ไหน แต่เอาเข้าจริง แม่งโคตรอึดอัดเลย โดยเฉพาะที่ผมมีความผิดเป็นชนักติดหลังแบบนี้

“ระ...เราไปกินข้าวก่อนนะ หิวแล้ว”
หาข้ออ้างที่จะหนีทันควัน พูดจบก็ก้าวออกมาเลย แต่จู่ๆ ติณห์ก็เดินมาขนาบข้าง ผมเหลือบไปมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ติณห์ก็ว่าออกมาเสียงเรียบ
“เราเพิ่งย้ายมาอยู่หอนี้ ไม่รู้ว่ามีร้านข้าวไหนอร่อยบ้าง พาไปกินหน่อย”

พาไปได้ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่กูหนีความผิดอยู่อย่างนี้โว้ย!

“ทำไม พาไปไม่ได้ ไม่สะดวกเหรอ?”
พอเห็นผมมองเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาก็ถาม แล้วแทนที่ผมจะปฏิเสธ ผมดันพยักหน้ารับหงึกหงัก
“สะ...สะดวกม้ากมาก ติณห์อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเราพาไป ร้านอร่อยๆ เยอะแยะเลย”

ตอแล้!

เสียงด่าของนาเดียกับเอ็กเซ็นต์เสียงสูงดังเข้ามาในหัวเลย ฮือ...

“งั้นก็ไปกันสักที หิวแล้ว”

ติณห์ว่าเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในลิฟต์ ผมยิ้มแห้งๆ แล้วรีบก้าวตามไป ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเจื่อนลงแบบฉับพลัน
หาเหาใส่หัวคืออะไร เข้าใจได้ในตอนนี้นี่แหละ



 
ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวกัน ติณห์ไม่พูดไม่จานอกจากตอนที่สั่งข้าว เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ไอ้ที่กดโทรศัพท์นั่นก็คือส่งข้อความให้ผมแหละ พอผมไม่ตอบก็ไปโพสต์สเตตัสเวิ่นเว้อในเฟซบุ๊ก อันที่จริงมันก็น่าจะเป็นเรื่องปกตินะ แต่ติณห์ที่ผมเห็นในตอนนี้กับติณห์ที่ผมรู้จักมาก่อนหน้า มันดูเหมือนเป็นคนละคนกันเลย

ผิดหวังไหม? ...ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ผมไม่ได้หวังจะให้เขาเป็นเหมือนติณห์ที่อยู่ในฐานะแฟน อันนั้นเป็นมุมที่เขาเปิดเผยให้แฟนได้เห็นแค่คนเดียว แต่ผมกลัวเขาจะผิดหวังมากกว่าถ้าเขารู้ว่าแฟนของเขาคือผม

กินข้าวเสร็จ ผมก็พาติณห์ไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่มินิมาร์ทใต้หอ ก่อนจะกลับขึ้นห้องพร้อมกัน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

ผมบอกลา ไขกุญแจห้อง เตรียมจะเข้าห้องแล้วล่ะ แต่ติณห์กลับไม่ยอมเปิดประตูห้องตัวเองสักที เอาแต่ยืนจับลูกบิดแล้วมองมายังประตูห้องผมให้ผมเสียวสันหลังวูบๆ วาบๆ
“มะ...มีอะไรเหรอ”

ใจจริงอยากถามว่ามองอะไรมากกว่า พอจะเดาได้อยู่หรอกนะว่าเขาพยายามจะมองเข้าไปด้านใน ซึ่งก็จริงเพราะทันทีที่ผมพูด ติณห์ก็เดินเข้ามาหา

“อยากดูว่าข้างในเป็นไง”
เดินเข้ามาหาไม่พอ แม่งทำท่าจะชะโงกเข้าไปด้วย

มึงจะโผล่เข้าไปดูไม่ได้โว้ย เดี๋ยวจะเห็นความติ่งของกูแล้วตกใจ!

ผมรีบดึงประตูปิดทันที เสียงดังปังทำเอาติณห์มองหน้าผมเขม็ง
“คะ...คือเราว่าโทรขออนุญาตจากยูก่อนดีกว่านะ”
“เราเป็นแฟนยู ทำไมต้องขออนุญาตอะไรให้ยุ่งยากด้วย ยังไงยูก็ให้เข้าอยู่แล้ว ไม่เข้าตอนนี้ วันหน้าก็ต้องได้เข้า”
แต่ไม่ใช่วันนี้ไง!
“เราว่าโทรคุยกับยูก่อนดีกว่านะ จริงๆ”

ผมยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง เอาตัวเข้าไปยืนขวางประตูแล้วด้วย ติณห์ชักสีหน้าใส่ผมทันควัน

“ความลับเยอะจังวะ หรือว่าจะเป็นผัวของยูจริงๆ ไม่ใช่พี่”

อ๋อ ที่อยากรู้อยากเห็นมากก็เพราะอยากจะจับผิดเรื่องนี้น่ะสินะ!

เข้าใจได้แล้วล่ะว่าทำไมติณห์ถึงได้ดูระแวงนัก จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มาโผล่ที่ห้องแฟนตัวเองแบบนั้น แล้วอ้างตัวว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง เป็นผมก็ระแวงวะ

แต่ต้องไม่ระแวงว่ากูกับไอ้ยูมันได้กันเองเข้าใจไหม!? ถึงจะไม่รู้ว่ายูเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ความหน้าสวยของมันก็ทำให้ผมซึ่งเป็นเกย์รับขนลุกนะเว้ย!

“ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เป็นลูกพี่ลูกน้องจริงๆ”
ผมเถียง ติณห์ขมวดคิ้วหนัก ก่อนจะถามออกมา

“จริงนะ?”
“จริงสิ”
“แน่นะ?”
“อ๋อ แน่สิ”
อย่ายั่วนะ
มายั่วสิ
คนอวดดี
จะอวดดี
งั้นพี่ไป

เอ่อ...อันหลังๆ นี่ผมต่อเอง พอดีตอบเพลินไปหน่อย เนื้อเพลง พ่อแง่ แม่งอน ของสุเทพ วงศ์กำแหง เลยโผล่เข้ามาในหัว จริงๆ มันหยุดตั้งแต่ที่ผมตอบว่าแน่สิแล้วล่ะ

“น่าสงสัยฉิบ”
ติณห์บ่นพึมพำ ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาอีกครั้ง

แล้วจะให้กูทำยังไงล่ะโว้ย รูปมึงโชว์ซิกแพ็กเป็นขนมปังปลาติดหราอยู่ที่ข้างฝาอย่างนั้น ถ้ามึงเห็น มันดูมีพิรุธกว่าอีกไหม!?

แต่ก็ไม่มีอะไรหลุดออกจากปากผม นอกจากเสียงหัวเราะเท่านั้น ติณห์เลยพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“เค เดี๋ยวโทรไปบอกยูก่อนก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน”
“อื้อ เข้าห้องไปได้แล้ว”

ผมพยักเพยิดพร้อมกับออกปากไล่ ติณห์พยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วเป็นฝ่ายไขประตูกลับเข้าห้องตัวเอง เห็นเขาหายเข้าไปแล้ว ผมก็ถอนหายใจ จะกลับเข้าห้องตัวเองบ้าง แต่จู่ๆ ประตูห้องติณห์ก็เปิดออกมา ผมรีบคว้าประตูปิดทันที หันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่ติณห์มองแล้วทำหน้าเฉยๆ

“ยังไม่เข้าห้องไปอีก”
ติณห์ถาม แต่...อันนี้กูต้องถามมึงมากกว่าไหม จะโผล่ออกมาอีกรอบเพื่อ!?
“กะ...กำลังจะเข้าแล้ว พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของน่ะ”

เนียนไปแม่งเลย

ติณห์พยักหน้าแล้วทำท่าจะกลับเข้าห้องไปอีกที ส่วนผมก็กะจะลงไปตั้งหลักที่มินิมาร์ทข้างล่างก่อน ขืนเป็นแบบนี้อยู่คงไม่ได้เข้าห้องแน่ แต่พอกำลังจะเดินไป ติณห์ก็ส่งเสียงตามมาให้ได้ยิน

“ลืมบอกไป จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคุณพี่ข้างห้อง คงจะได้รบกวนอีกเยอะ”
ผมหันไปมอง ติณห์ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วก็หายเข้าห้องตัวเองไป เท่านั้นใจผมก็เต้นตึกตักขึ้นมาทันที

ผะ...แผนนี้มันก็ไม่แย่นะ อย่างน้อยเขาก็จำผมได้แล้ว!
------------------------
หายไปหลายวัน เอ้า ตอนใหม่ค่ะ เอาไป 555
พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่นะ เดี๋ยวมาอัปให้ค่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สงสารติณนะแต่ก็สงสารศิลป์เหมือนกัน  วันนึงรู้ความจริงจะเป็นไงเนี่ย คงหลบไปไม่ได้ตลอดหรอก

ออฟไลน์ caffeine_0258

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอตอนต่อไปค่ะะ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เฮ้อ... มันจะไปกันใหญ่นะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
จะรอดไปขนาดไหน ลุ้นต่อ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
05: สถานะติ่งแตก

แต่ถูกจำได้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนถูกจับผิดมากกว่า เพราะทุกครั้งที่โผล่หน้าออกจากห้อง ติณห์ก็จะต้องรีบกุลีกุจอโผล่หน้ามาให้เห็น ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะเขาอยากคุยกับผมนะ แต่หึ...ไม่ใช่

แม่งจะเข้ามาดูในห้องผมให้ได้เลยเว้ย!

อะไรไม่ว่า ก่อนหน้าก็โทรหาผมที่เขาเข้าใจว่าเป็นยูเพื่อขออนุญาตเข้าไปดูในห้องอีก ผมก็ปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ อ้างว่า ‘เดี๋ยวจะรบกวนพี่ศิลป์เอา พี่ศิลป์เขาเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง’ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ติณห์ฟังได้เลย ปากก็บอกว่าโอเคนะ แต่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่โอเค

เป็นนักสืบโคนันหรือยังไงวะ จะเอาอะไรกับกูอี๊ก!

จะไปว่าอะไรก็ไม่ได้ด้วย ผมมันเป็นคนมีชนักติดหลัง เห็นติณห์โผล่หน้ามาอย่างนั้น ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้ แล้วรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว หลังๆ ก็เลยต้องทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบ จะเข้าจะออกก็ต้องระวัง ไม่อย่างนั้นความลับเรื่องผมเป็นติ่งของติณห์ได้แตกแน่

ส่วนไอ้เรื่องการได้อยู่ใกล้ชิดเน็ตไอดอลที่ผมชอบเนี่ย เมื่อก่อนตอนที่จะเป็นแฟนปลอมๆ กับเขา ผมก็เคยคิดเหมือนกันนะว่าการได้อยู่ใกล้จะเป็นเรื่องดี แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว แม่งไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย ผมจะกลายเป็นคนวิตกจริตเพราะเรื่องที่ไปโกหกเขาไว้อยู่แล้ว!

แต่ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับกรรม เรียกว่ากรรมตามสนองก็ได้ เพราะถูกติณห์ระแวงว่าผมจะเป็นชู้ของยู ผมเลยระแวงว่าติณห์จะรู้ว่าผมคือยูตัวปลอม ระแวงจนหน้าดำใต้ตาคล้ำ จะไปไหนมาไหนก็ทำท่าทางเหมือนโจรย่องเบา จนนาเดียที่เห็นท่าทางผมแบบนี้มาร่วมอาทิตย์ชักรำคาญ พูดออกมาจนได้

“หล่อนจะทำท่าเหมือนไปวิ่งราวกางเกงในผู้ชายแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันยะ เห็นแล้วลำไย”

เธอว่าระหว่างที่เรากินข้าวกลางวันในมหาวิทยาลัยกัน โชคดีที่วันนี้นาเดียไม่ได้นัดป้องมากินข้าวด้วย ป้องบอกไว้ว่ามีต้องไปคุยธุระเรื่องงานกลุ่ม ผมเลยไม่ต้องทนนั่งอึดอัด เพราะถ้าป้องมา เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ต้องมาด้วย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือติณห์
“เอ้าว่าไง ถามเนี่ย จะทำหน้าตาท่าทางแบบนั้นอีกนานแค่ไหน มันไม่เจริญหูเจริญตาเข้าใจไหม”

นาเดียพูดออกมาอีกแล้ว ผมเหลือบมองหน้า หยุดมือที่ใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานเล่นแล้วว่าเนิบๆ
“เราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ มีเรื่องกวนใจนี่หว่า”
“เรื่องกวนใจ? เรื่องอะไรใจอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่อง...”

ผมพยักหน้าราวกับรู้ว่านาเดียจะพูดอะไร เท่านั้นแม่คนนี้ก็ส่งเสียงแหลม

“โอ๊ย หล่อนก็บอกๆ เขาไปเลยว่าหล่อนเป็นยู หรือบอกไปก็ได้ว่าไม่ใช่ยู จะมานั่งอมพะนำแล้วทำหน้าบูดให้มันได้อะไรขึ้นมา”

บอกได้ที่ไหนกันล่ะ ถ้ามันง่ายขนาดนั้น กูบอกไปนานแล้วโว้ย!

“บอกไม่ได้หรอก เราไม่อยากให้ติณห์เสียความรู้สึก”
“งั้นก็แกล้งหายไปเลยแล้วกัน จบปึ้ง”
“แบบนั้นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ติณห์เสียความรู้สึกอะ”
นาเดียทำหน้าตารำคาญผมขึ้นมาทันที
“ไอ้เรื่องเสียความรู้สึกน่ะ มันเสียอยู่แล้ว จะบอกหรือไม่บอก จะหายหรือไม่หาย แต่เรื่องที่หล่อนทำน่ะ เป็นใครก็ทำให้เสียความรู้สึกทั้งนั้นแหละ”

พูดอีกก็พูดอีก ถ้าผมเจอกับตัวอย่างที่ติณห์โดนผมหลอกบ้าง ผมก็คงจะรู้สึกแย่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป จะบอกหรือไม่บอก การที่ผมไม่ใช่ยู ไม่ใช่คนที่เขารัก ยังไงก็ต้องรู้สึกแย่อยู่ดี ซึ่งนั่นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยเพราะผมชอบติณห์ ชอบมากๆ เสียด้วย

“เฮ้อ หล่อนเนี่ยน้า” เห็นผมเงียบนิ่งไปนาน นาเดียก็ถอนหายใจออกมา “ในเมื่อไม่ว่าจะตัดสินใจยังไง ติณห์ก็ต้องเสียความรู้สึก แล้วหล่อนจะยื้อไว้ทำไมยะ ฉันไม่เห็นว่าใครจะมีความสุขสักคน ติณห์ก็ระแวงว่าหล่อนจะเป็นชู้ของยู หล่อนก็ระแวงว่ายูจะรู้ความลับ มันสนุกตรงไหนเนี่ย”

“เราก็อยากจะรีบจัดการปัญหานี้เหมือนกันนะ แต่เราไม่อยากให้ติณห์เกลียดเราอะ”
ผมว่าไปตามตรง คราวนี้นาเดียวางช้อนลงบนจานแล้วรวบเข้าหากัน

“ต่อให้เกลียดหรือไม่เกลียด หล่อนก็ควรจบเรื่องนี้ให้ไว ไม่ใช่ให้มาค้างคาอยู่แบบนี้ ยิ่งปล่อยไว้นานก็จะยิ่งบานปลายนะ ขอเตือนไว้ก่อน”

เรื่องนั้นน่ะผมรู้ ผมถึงได้มานั่งคิดอยู่นี่ไง

นาเดียมองผมที่ไม่พูดอะไรอีกเล็กน้อย ถอนหายใจมาให้ได้ยินอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดประโยคสุดท้ายออกมา

“จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันน่ะนะ แต่ถ้าหล่อนจบเรื่องนี้ได้ในตอนนี้ อย่างน้อยหล่อนก็ยังเป็นเพื่อนกับติณห์ได้อยู่นะ”

ผมเหลือบมองหน้านาเดียทันที ขณะที่นาเดียล้วงเอาตลับแป้งพับมาเช็กความเรียบร้อยของหน้าตัวเอง

อย่างน้อยก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เหรอ...



 
บางทีการเป็นเพื่อนอาจจะดีกว่าเป็นแฟน เพราะการเป็นแฟน ผมจะต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถ้าเป็นเพื่อน ผมสามารถเปิดเผยตัวจริงได้ แถมยังติ่งอย่างใกล้ชิดได้อีกต่างหาก

ได้คำแนะนำจากเพื่อนมาอย่างนี้ พอเลิกเรียน ผมก็รีบกลับมาที่ห้องแล้วตั้งใจว่าไม่ว่ายังไง วันนี้ก็จะโทรไปบอกเลิกติณห์ให้รู้แล้วรู้รอด การบอกเลิกถึงจะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากกว่าปล่อยให้คาราคาซัง

คิดดังนั้น ผมก็คว้าโทรศัพท์ออกมา ตั้งใจว่าจะกดโทรหาติณห์เพื่อคุยเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้จะได้กดเบอร์โทรออก ข้อความแจ้งเตือนจากเว็บบอร์ดติ่งที่ผมเป็นแอดมินอยู่ก็ขึ้นมาให้เห็น ผมชะงักไปครู่ ก่อนจะตัดสินใจกดเข้าไปดูข้อความ

ข้อความนั้นเป็นข้อความเตือนการตั้งกระทู้ใหม่ พอเข้าไปดูเนื้อหาก็ปรากฏว่าเป็น...

ติณห์ได้งานโฆษณาตัวใหม่เว้ย!

ต่อมติ่งทำงานทันใด ไอ้ที่ว่าจะบอกเลิกบอกอะไรนี่ ผมลืมไปชั่วขณะเลย รีบพิมพ์ข้อความตอบกระทู้ข่าวที่แอดมินอีกคนตั้งอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ได้ข้อมูลใหม่ๆ มาเพียบ

หนึ่งคือติณห์ได้งานโฆษณาเป็นพรีเซ็นเตอร์อาหารเสริมเกี่ยวกับผิวที่ขายออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตตัวหนึ่ง

สองคือสถานที่ถ่ายทำคือสตูดิโอไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยผมนัก

และสาม...ป้อง เด็กของนาเดียก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย แต่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าตัวอื่นในแบรนด์เดียวกัน

เท่านั้นแหละ ผมก็รีบโทรหานาเดียทันที ก่อนจะกรอกเสียงหวานลงไป

“นาเดียเหรอ เรามีอะไรให้ช่วยหน่อย”
[มีอะไรก็รีบๆ พูดมาย่ะ ฉันกำลังจะไปกินข้าวกับป้อง]
“คือ...เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าป้องจะไปถ่ายโฆษณา”
[อือ แต่เอ๊ะ หล่อนรู้ได้ยังไง ฉันบอกแล้วเหรอ]
“ยังไม่ได้บอกหรอก แต่รู้ได้ไงก็ช่างมันเถอะ เรามีเรื่องจะขอร้อง”

นาเดียบ่นพึมพำนิดๆ น้ำเสียงรำคาญหน่อยๆ แล้วก็ถามออกมา
[อะๆ ว่ามา จะขอร้องเรื่องอะไร]

ผมยิ้มร่าทันควัน ก่อนจะว่าชัดถ้อยชัดคำ
“วันถ่ายโฆษณาอะ ขอเราไปด้วยคนดิ”



 
กว่านาเดียจะรับปาก ผมก็ต้องมานั่งสาธยายว่าทำไมผมถึงอยากไปดูการถ่ายทำโฆษณากับเธอนัก ถามไปถามมา คาดคั้นไปคาดคั้นมา ในที่สุดผมก็ยอมเอ่ยปากบอกจนได้ว่าผมน่ะ...

“เราเป็นติ่งน่ะ”

นาเดียทำหน้าสงสัยทันควัน ละริมฝีปากออกจากหลอดในแก้วสมูทตี้แล้วถามผม

“หมายถึงติ่งที่คล้ายๆ ติ่งศิลปินงี้น่ะเหรอ”
“อือ แต่เราเป็นติ่งเน็ตไอดอล”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่มาดูป้องถ่ายโฆษณาอะ ป้องไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลสักหน่อยนี่”

มันความจำเสื่อมหรือยังไงวะถึงจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกอะไรไว้

“เราจะไปเป็นติ่งเด็กเธอทำไม โน่น คนที่เราติ่งน่ะ ติณห์ต่างหาก”

นาเดียทำท่าเหมือนจะจำได้ขึ้นมาในตอนนี้ว่าผมเคยบอกว่าติณห์เป็นเน็ตไอดอล ก่อนที่เธอจะทำหน้าตกใจขึ้นมา

“เฮ้ย งั้นก็อย่าบอกนะว่าที่หล่อนไปหลอกเขาว่าตัวเองเป็นยูจนตกลงเป็นแฟนกันนี่ เป็นเพราะหล่อนติ่งติณห์จนทำเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นมาน่ะ!”

ถูกเผงเลย แต่มึงไม่ต้องเสียงดังก็ได้เว้ย!

“เบาๆ สิ โต๊ะอื่นได้ยินหมดแล้ว”

ผมรีบก้มหน้าลง ร้องบอกให้เพื่อนตัวดีเบาเสียง นาเดียคงจะลืมไปว่าตอนนี้เรามานั่งรอติณห์กับป้องอยู่ที่คาเฟ่ละแวกสตูดิโอที่ใช้เป็นที่ถ่ายโฆษณา พอผมเตือนไปอย่างนั้น นาเดียเลยโน้มตัวลงตาม กระซิบกระซาบถาม

“บ้าเอ๊ย แล้วทำไมหล่อนถึงไม่เคยบอกฉันเลยยะว่าติ่งผู้ชายคนนี้”

จะให้บอกได้ยังไงล่ะ มันเป็นความลับระดับชาตินี่หว่า

ความจริงก็ไม่ระดับชาติหรอก แต่เพราะผมไม่ค่อยอยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของผมเท่าไหร่น่ะ ก็เลยไม่ได้บอกนาเดีย แม้แต่เพื่อนสนิท ผมก็ไม่อยากให้มารู้ว่าผมคลั่งไคล้ใครบางคนจนเข้าขั้นบ้า ตามติดไปทุกงานอีเว้นท์ที่เขาไปออกแบบนี้น่ะ อันที่จริงจนถึงตอนนี้ ผมก็ไม่ได้อยากจะบอกนาเดียด้วยซ้ำ แต่เพราะการไปถ่ายทำรอบนี้ ทางทีมงานไม่อนุญาตให้บรรดาแฟนคลับตามเข้าไปดูเพราะเจ้าของแบรนด์ต้องการความเป็นส่วนตัว ทีมงานจะได้ทำงานได้สะดวก ผมเลยต้องมาพึ่งนาเดียแบบนี้แหละ เพราะยังไงนาเดียก็อ้างตัวว่าเป็นแฟนป้องได้ ส่วนผมก็อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของแฟนป้องอีกที

วีไอพีสุดๆ ไปเลย…

“เราคิดว่ามันไม่สำคัญน่ะ ก็เลยไม่ได้บอก”
“แต่นายนี่มันติ่งตัวพ่อเลยนี่หว่า”

นาเดียวิเคราะห์ สายตาก็ปราดมองสารรูปของผมไปด้วย

ผมก็แต่งตัวมาแบบธรรมดาแหละนะ แค่ออฟชันในการติ่งพร้อม ทั้งกล้องโปรฯ ทั้งเลนส์หลากหลายแบบ เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาเก็บรูปเข้าสต็อกชนิดกล้องไม่พังก็จะไม่หยุดถ่ายเลย

“ไม่ได้เป็นตัวพ่อหรอก เรามือใหม่หัดติ่งเอง”

ผมโกหกด้วยไม่อยากให้นาเดียมองว่าผมเป็นไอ้บ้าโรคจิตที่คลั่งไคล้ผู้ชายด้วยกันเข้ากระดูกแบบนี้ แต่นาเดียก็รู้ว่าผมโกหก ทว่าไม่ได้ใส่ใจเพราะเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นขัด

“ว่าไงป้อง อ้อ เราอยู่ที่ร้านกาแฟแถวสตูฯ น่ะ งั้นเดี๋ยวเราออกไปรอหน้าร้านนะ จะได้ไปกัน”
จากนั้นก็คุยอีกสองสามประโยคแล้วก็วางสาย พลันหันมาบอกผม
“ป้องกับติณห์จะถึงหน้าร้านแล้ว จ่ายตังค์แล้วไปกันเถอะ”

ผมไม่รอช้า รีบเก็บข้าวของแล้วลุกตามเพื่อนออกไปทันที วันนี้ติณห์ก็ยังคงหล่อเหมือนเดิม ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังดูดีในสายตาผม เขายกมือขึ้นทักทายนิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร จะมีก็แต่ป้องที่ชวนคุยเพราะเขาตื่นเต้นที่ได้ถ่ายโฆษณาเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าเป็นเพราะติณห์แนะนำให้เจ้าของแบรนด์ว่ามีเพื่อนอยู่อีกหลายคน ก็เลยได้มาลองงานนี้เพราะป้องมีภาพลักษณ์เหมาะสม
 
เดินมาไม่นานก็ถึงสตูดิโอ มันก็เป็นเหมือนสตูดิโอถ่ายรูปทั่วๆ ไปนั่นแหละ ติณห์กับป้องถูกพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับแต่งหน้านิดหน่อย จากนั้นก็มีผู้กำกับมาซักซ้อมคิวงานให้ ถึงผมจะตามติ่งติณห์มานานเป็นปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดหรืออินไซด์ขนาดนี้มาก่อน อย่างดีก็แค่ไปเกาะขอบเวที ตามถ่ายรูประรัวก็แค่นั้น วันนี้มันโคตรของโคตรจะพิเศษมากๆ จนผมเก็บอาการดีใจแทบไม่อยู่เลย

“เอ้าๆ ระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ เก็บอาการบ้างย่ะ”

นาเดียที่เห็นผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยืนมองดูติณห์เข้าฉากแขวะออกมาอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่ผมจะรีบเม้มปากเพื่อเก็บอาการ ทว่าก็เก็บได้ไม่อยู่เลยเพราะตอนนี้กลายเป็นว่าตาทั้งสองข้างของผมยิ้มแทนริมฝีปากแล้ว

อู๊ย ตื่นเต้นมาก เห็นว่างานนี้มีถอดเสื้อโชว์ด้วย

อย่างที่บอกล่ะครับว่าเป็นงานพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าแบรนด์เกี่ยวกับผิว ดังนั้นก็จะต้องพรีเซ้นต์ผิว ผู้กำกับซักซ้อมคิวกับติณห์อีกที ก่อนที่จะมีเสียงร้องว่า ‘แอคชั่น’ ดังขึ้น

รอบข้างเงียบสงบ จะมีก็แต่ติณห์เท่านั้นที่เล่นไปตามบทเพียงลำพัง เริ่มตั้งแต่เดินมาเสยผม ช้อนตามองกล้อง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดเสื้อทีละน้อย ซิกแพ็กที่ผมเคยเห็นแต่ในรูปก็ปรากฏให้เห็น ผมถึงกับมองตาไม่กะพริบ ยิ่งติณห์ใช้มือลูบหน้าท้องตัวเองพร้อมกับทำหน้าเซ็กซี่ๆ ส่งมาทางผม... เอ่อ ต้องบอกว่ามาทางกล้องถึงจะถูกกว่า

แต่อะไรก็เอาเถอะ แค่เห็นเท่านั้น ผมที่ตื่นเต้นอยู่แล้วก็ยิ่งใจเต้นตึกตักมากขึ้นไปใหญ่ ต่อมติ่งแทบแตกโพละระเบิดกระจุยกระจายทันใด ยิ่งเขายื่นมือไปคว้าเอากล่องอาหารเสริมมาถือในมือพร้อมกับพูดว่า...

“อยากขาวใส ผิวสุขภาพดี กินคอลลาเจนแบบเดียวกับตินตินสิครับ คอลลาเจนฟิตฟิต ผิวสวยสั่งได้”

จากนั้นก็ขยิบตา

โว้ยยย ช็อตนี้กูตายยย

ผมหันไปหานาเดียที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที ก่อนจะทำหน้าดี๊ด๊าใส่ นาเดียถึงกับเบ้หน้าใส่ผม

“เป็นอะไรของหล่อนยะ ทำหน้าอย่างกับกินของเปรี้ยวมา”

กูกำลังกรี๊ดไม่มีเสียงอยู่!

แต๋วแตกกันไปเลยทีเดียว พอเริ่มตั้งสติได้ ผมก็กระแอมไอเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วยิ้มออกมา
“เลือดลมเดินดีจังเลยเนอะ”

เท่านั้น นาเดียก็เข้าใจได้ทันที

“แหม เห็นผู้ชายแล้วทำเป็นระริกระรี้ แฮ่นมาก”

ก็แค่กับติณห์คนเดียวเท่านั้นแหละเว้ย!

แล้วผมก็รีบทำตัวให้เป็นปกติทันทีเมื่อติณห์ที่เพิ่งถ่ายวิดีโอเสร็จเดินเข้ามาหาผมกับนาเดีย ก่อนออกปากถาม
“เมื่อกี้คิดว่าเป็นไงบ้าง”
“ก็...ดีนะ”

จริงๆ อยากจะบอกว่าเห็นแล้วอยากจะวิ่งไปที่ตู้เอทีเอ็มแล้วกดเงินมาเปย์ให้เลย หูย...อยากได้

นาเดียเหล่มองผมพลางยิ้มกรุ้มกริ่มทันที ผมเหลือบเห็นสายตาก็รู้ว่ากำลังถูกด่าเป็นนัยๆ อยู่ว่า ‘แรด’

คำด่านี้ไม่น่าเอามาใช้กับผู้ชายเลยนะว่าไหม แต่ผมก็ยอมรับแหละว่าตอนนี้ผมนองอกจริงๆ ยิ่งติณห์เดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ผมก็หันไปส่งซิกให้เพื่อนเป็นพัลวัน

ขยิบตารัวๆ ส่งให้ไปเลย เป็นสัญญาณว่าไปไหนก็ไป ออกจากตรงนี้ไปหน่อย ให้โอกาสกูอยู่กับติณห์แบบสองต่อสองที แต่นาเดียดั๊นนนไม่เข้าใจเว้ย หันมาขมวดคิ้วใส่ผมเสียอย่างนั้นอะ

“อะไร”

ยังจะมีหน้ามาถามอีก กูจะเป็นสันนิบาตลูกนกอยู่แล้ว ส่งซิกจนไม่รู้จะส่งยังไงแล้วเนี่ย

ก็ยังขยิบตาให้รัวๆ ถี่ๆ ตอนนี้เหมือนนาเดียจะเริ่มเข้าใจได้ละ ร้องอ๋อออกมา ก่อนจะว่าขึ้น

“เดี๋ยวเราไปหาซื้อน้ำก่อนนะ คอแห้งจัง กว่าป้องจะได้ถ่ายคงอีกนาน ไม่มีใครเอาอะไรเนอะ”
“เราเอา...”
“ไม่เอาอะ ไปเถอะ”

เห็นติณห์ทำท่าจะพูด ผมก็รีบขัดก่อน นาเดียก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบหายไปจากตรงนี้ทันที ปล่อยให้ติณห์มองตามอย่างงงๆ แล้วพึมพำออกมา

“จะฝากซื้อน้ำซะหน่อย อะไรวะ”

ผมหันไปยิ้มให้ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่สะพายมา

“หิวน้ำเหรอ ดื่มของเราก็ได้นะ เราซื้อมาเมื่อกี้ ยังไม่ได้แกะเลย”

จริงๆ ไม่ได้ซื้อมาเมื่อกี้หรอก ซื้อมาก่อนที่ติณห์จะเข้าถ่ายทำต่างหาก เพราะผมรู้ว่าหลังจากถ่ายทำ ติณห์จะต้องเหนื่อย พอเหนื่อยแล้วก็ต้องหิวน้ำแน่ๆ ผมเลยเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน

เพื่ออะไรรู้ไหม?

...สร้างความประทับใจยังไงล่ะ อย่างที่นาเดียบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะสร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนด้วยตัวตนจริงๆ ของผม ไม่ใช่รักแบบแฟนที่เป็นตัวตนที่ผมสร้างขึ้น

ติณห์มองผมอย่างไม่แน่ใจครู่หนึ่ง ผมเลยพยักหน้าให้ไปอีกที

“เอาสิ เราให้”
“แล้วนายไม่หิวน้ำเหรอ”
“ไม่อะ ตอนนี้ยังไม่หิว ติณห์ดื่มเถอะ ทำงานมาเหนื่อยๆ นี่เนอะ”

ยิ้มกว้างให้ด้วย เป็นรอยยิ้มหวานแบบสุดๆ บอกตามตรงว่าการที่ผมมาทอดสะพานให้อะไรแบบนี้มันก็ชวนให้ละอายใจปนกระดากอายเหมือนกันนะ แต่ช่วยไม่ได้นี่หว่า ด้านได้อายอด ท่องไว้ว่า...สร้างความประทับใจ...สร้างความประทับใจ...

“อืม ก็ได้ งั้นเดี๋ยวไว้เราใช้คืนก็แล้วกัน”

ติณห์รับขวดน้ำไป แกะฟอยล์ออก เปิดฝาแล้วยกดื่ม หยดน้ำไหลผ่านลำคอมายังหน้าอกเล็กน้อย ผมมองตามแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย

เซ็กส์แอพพึลสูงฉิบหาย... ต่อมติ่งใกล้จะระเบิดแตกดังโพละอีกรอบแล้ว!

อยากจะหยิบกล้องมาถ่ายรัวๆ ในตอนนี้เลย แล้วก็ไม่ใช่แค่นึกอยากด้วยนะ มือผมไปหยิบกล้องมาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอได้จังหวะก็กดชัตเตอร์รัว ทำเอาติณห์ชะงัก หันมามองอย่างรวดเร็ว

“ทำไรอะ”
“หะ...หืม ทำอะไรเหรอ”
“หมายถึงถ่ายรูปทำไมไง ที่นี่เขาไม่ให้ถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ”

ผมไม่ได้ลืมหรอกว่าเขาสั่งห้ามไม่ให้ถ่ายรูป ผมเลยไม่ได้ถ่ายมาตั้งแต่ต้นเพราะเจ้าของแบรนด์กลัวว่าความลับของแบรนด์จะถูกล้วง แต่เมื่อกี้ผมไม่ได้ถ่ายรูประหว่างที่เขาถ่ายทำกันไง ถ่ายตอนที่ติณห์นั่งพักอยู่ต่างหาก แล้วก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรด้วย พวกทีมงานก็เห็นว่าผมถ่ายรูปเมื่อกี้ เขาก็เฉยๆ กัน งั้นก็แสดงว่าถ่ายได้

“ว่าไง ตกลงถ่ายทำไม”
พอถูกถามมาอีก ผมก็รีบหาคำตอบอย่างรวดเร็ว เพราะสีหน้าของติณห์ในตอนนี้ดูรำคาญขึ้นมานิดๆ แล้ว
“ก็...เราก็จะส่งไปให้ยูดูไง ยูบอกกับเราว่าให้เราถ่ายรูปติณห์ไว้เยอะๆ ยูอยากเก็บไว้”

ตอแล้อีสคัมมิ่งงง!

พูดจบ ผมก็หัวเราะแห้งๆ ส่วนติณห์ก็ค่อยๆ คลายหัวคิ้วออกจากกัน
“งั้นก็โอเค ถ่ายอีกไหมล่ะ จะได้มีส่งให้ยูเยอะๆ”

แหม พออ้างว่าเป็นยูทีนึงนี่ อะไรๆ ก็โอเคหมดเลยนะ

น้อยใจในชะตาวาสนาของตัวเองอยู่เหมือนกันนะที่ในสายตาของติณห์มีแต่ยูแบบนั้นน่ะ แต่ก็เอาเถอะ ผมดันไปเป็นคนเริ่มทำเรื่องบ้าๆ เองนี่

พอได้รับอนุญาต ผมก็ยกกล้องขึ้นมา กดถ่ายรูปไปอีก สักพักถึงได้หยุดมือ ก่อนที่ติณห์จะส่งขวดน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดมาให้ผม
“อะ เอาไป”
“เอามาทำไมอะ”
“ไม่หิวน้ำเหรอ เห็นเหงื่อแตกพลั่ก แอร์ก็ไม่ได้ไม่เย็นนะ ทำไมเป็นคนขี้ร้อนงี้”

ผมถึงรู้ตัวในตอนนี้ว่าตัวเองเหงื่อท่วมตัวขนาดไหน

ก็จริง... แอร์ไม่ใช่ว่าไม่เย็น เย็นเลยล่ะ แต่ที่เหงื่อแตกเป็นเพราะผมโกหกเขาซึ่งๆ หน้าเรื่องยู แถมยังคิดเรื่องอะไรไม่เป็นเรื่องไม่หยุดหย่อนอีกต่างหาก ความกังวลมันเลยผุดขึ้นมาน่ะ

“ถ้าไม่ได้รังเกียจก็ดื่มซะ เราไม่ได้เป็นไวรัสตับอักเสบบี ไม่มีเชื้ออะไรแน่นอน”

พูดจบก็ดึงกล้องในมือผมลงมาวางที่ตัก ก่อนจะยัดขวดน้ำใส่มือผม พลันลุกไปหาผู้กำกับที่ร้องตะโกนเรียกให้มาถ่ายทำใหม่อีกครั้งเพราะเทคเมื่อครู่นี้ยังไม่ดีพอ ดูท่าทางวันนี้ติณห์คงต้องทำงานหนักแน่ๆ ส่วนผมก็...หัวใจทำงานหนักมากๆ

ผมมองขวดน้ำในมือนิ่งๆ พลันก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงขวดน้ำอยู่คนเดียวเป็นบ้าเป็นหลังอีกต่างหาก

ถือว่าเป็นก้าวที่ดีแล้วล่ะนะไอ้ศิลป์ มาตามติ่งครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ โว้ย!
--------------------------------
บ.ก.บอกว่าอัปเรื่องนี้บ้างเถอะ อย่ามัวอัปแต่เรื่องอื่น มีสต็อกไว้ทำไมไม่อัป 555
เดี๋ยวจะมาอัปให้ทุกวันนะคะ แต่เดี๋ยวจะมีช่วงไว้อาลัย
หนูแดงจะหายไประหว่างวันที่ 21-31 ต.ค.เน้อ อาจจะมีโผล่มาบ้าง รอกันหน่อยนะคะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
06: สถานะเลิก

ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปทั้งวันเลยจริงๆ ผมกลับจากสตูดิโอมาด้วยอารมณ์รื่นเริงสุดๆ เอารูปออกจากกล้องไปแต่ง อัปลงเว็บบอร์ดด้วยความชื่นบาน พร้อมกับคอมเมนต์อิจฉาริษยาจากบรรดาติ่งของติณห์ด้วยกัน

ผมเท้าคางมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก เลื่อนขึ้นเลื่อนลงอ่านคอมเมนต์แล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ่งเห็นคอมเมนต์ที่ว่า...

‘แอดมินโชคดีมาก วีไอพีสุดๆ พ่อแมวคงเห็นเป็นคนพิเศษสินะถึงได้ยอมให้ถ่ายทุกช็อกแบบนี้’

คนพิเศษเหรอ...

ผมก็อยากเป็นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ได้เท่านี้ก็ดีแล้วล่ะ

และหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของผมกับติณห์ก็ดีขึ้น เรียกว่าไงดีล่ะ ไม่ได้ดีขึ้นในลักษณะของคนรักหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ แต่ทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน ติณห์ก็คุยกับผมมากขึ้น วางตัวตามสบายมากขึ้น ชวนคุยก่อนมากขึ้นอะไรแบบนั้น ผมรู้ว่าเขามองผมเป็นแค่เพื่อนรุ่นพี่ หรือไม่ก็เพื่อนแฟนของเพื่อนในกลุ่มเขาอะไรแบบนั้นเท่านั้นแหละ แต่ผมก็อดไม่ได้ทุกครั้งที่จะใจเต้นกับการกระทำของเขาในทุกครั้ง

วันนี้ก็เช่นกัน นาเดียนัดป้องมากินข้าวที่โรงอาหารหลังตึกคณะเหมือนเดิม กันย์ แม็กซ์ กับติณห์ก็มาด้วย ติณห์พยักหน้าทักผมแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ

“วันนี้กินไรอะ” พลางเหลือบมองชามอาหารตรงหน้าผม
“เส้นใหญ่เย็นตาโฟน่ะ”

ผมตอบให้ จังหวะเดียวกับที่แว่นบนสันเลื่อนตกลงมาที่ปลายจมูกพอดี ผมคว้าเอาไว้แทบไม่ทัน ท่าทางเด๋อๆ ด๋าๆ นั่นคงจะทำให้ติณห์ขำล่ะมั้ง เพราะจู่ๆ ติณห์ก็หัวเราะออกมา

“ขาแว่นหลวมแล้วมั้ง ไหลลงมาง่ายขนาดนี้น่ะ”
ขาแว่นไม่ได้หลวมหรอก กูไม่มีดั้งรั้งเอาไว้

อยากจะบอกแบบนี้นะ แต่ไม่เอาดีกว่า ตอกย้ำเรื่องหน้าตาไม่ดีของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องที่ดี

ไม่ใช่ว่าไม่ดีกับติณห์นะ ตัวเองนี่แหละที่จะปวดใจ เดี๋ยวเผลอเอาเงินที่เก็บไว้สำหรับติ่งไปเปย์ค่าอัปดั้งแบบไม่รู้ตัว

“แหะๆ มันก็แบบนี้แหละ ประจำ”

ผมหัวเราะแห้งๆ ดันแว่นขึ้นให้เข้าที่เหมือนเดิม ติณห์ยิ้มรับให้ผมเล็กน้อย แล้วก็ถูกเพื่อนๆ ชวนไปซื้อข้าว ติณห์ซื้อเย็นตาโฟกลับมากิน ผมมองแล้วก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้

กินเหมือนกันเลย นี่สินะเขาถึงบอกว่าเนื้อคู่มักมีอะไรคล้ายๆ กัน

คิดเข้าข้างตัวเองไปเรียบร้อย ก่อนจะต้องรีบเก็บรอยยิ้มนั้นลงไปเมื่อจู่ๆ ติณห์ก็หันมาหา

“กินเลือดปะ”
“ทำไมอะ”
“เราไม่กินอะ ลืมบอกแม่ค้าว่าไม่ต้องใส่เลือดมา”
“ไม่กิน แล้วทำไมไม่เอาไว้ในชามล่ะ”
“ไม่ชอบให้มีของกินที่ไม่ชอบอยู่ในชามนี่หว่า”

ท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเขาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ผมใจอ่อนยวบเลยทีเดียว

ฮือออ... อันที่จริงผมก็ไม่ชอบกินเลือดนะ แต่ถ้าเขาไม่ชอบ ผมกินแทนก็ได้

“อื้อ เอามาให้เราสิ”
เสนอหน้ายื่นชามเย็นตาโฟของตัวเองให้อีก ติณห์ใช้ช้อนตักเอาเลือดสองก้อนเน้นๆ มาใส่ชามผม ก่อนจะว่าตบท้าย
“ช่วยกินให้หน่อย ขอบใจนะ”

จากนั้นก็นั่งกินโดยไม่สนใจผมอีก มีแต่ผมเท่านั้นที่เม้มริมฝีปากแน่น กลั้นรอยยิ้มอย่างเต็มที่

ติณห์แม่งจะรู้ไหมวะว่าเขาน่ะน่ารักฉิบเป๋งเลย

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าอกข้างซ้ายเบาๆ ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ข้างในตัวนี่มันดีชะมัด ก่อนที่ผมจะต้องชะงักการกระทำทั้งหมดเมื่อนาเดียซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองผมด้วยสายตาหมั่นไส้ พร้อมกับอ้าปากพูดโดยไม่มีเสียง

‘แรด’

ผมยักคิ้วให้เล็กน้อย

เออ ไม่ปฏิเสธก็ได้ แรดก็แรดวะ มีความสุขแบบนี้ก็ดีแล้ว



 
เพราะผมมัวแต่มีความสุขที่ติณห์ดีกับผมในฐานะที่ผมเป็นศิลป์ ทำเอาผมลืมไปเกือบหมดว่าจริงๆ แล้ว ผมยังคงอยู่ในสถานะของยูตัวปลอมที่เป็นแฟนติณห์อยู่

มัวแต่ระรื่นกับความสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงจนลืมความสัมพันธ์ในจอมปลอม ทำเอาผมกับติณห์เริ่มมีปัญหากัน เอ่อ...ผมหมายถึงผมที่เป็นยูตัวปลอมน่ะนะ เรื่องมันเกิดขึ้นจากที่จู่ๆ เย็นนี้ติณห์ก็โทรมาขณะที่ผมกำลังนั่งแต่งรูปของเขาที่เพิ่งถ่ายมาใหม่อยู่

“ฮัลโหลตินติน ว่าไง”
ผมรับด้วยน้ำเสียงเริงรื่นตามปกติ ก่อนที่ติณห์จะกรอกเสียงตามมา
[ว่างไหมยู คุยได้หรือเปล่า]
“คุยได้สิ ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะ”
[ไม่รู้สิ เราไม่ได้คุยกันมาอาทิตย์นึงแล้ว ข้อความก็แทบไม่ได้ส่งหากัน เราก็เลยคิดว่ายูคุยไม่ได้]

เป็นคำประชดน่ะนะ ตอนนี้เองที่ผมตระหนักขึ้นมาได้ว่าผมละเลยเขาไปอาทิตย์กว่าๆ แล้ว
“เฮ้ย คุยได้ อยากคุยอะไรคุยมาเลยตินติน”

ผมกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง ในขณะที่ติณห์เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง ส่วนผมก็ตอบรับ ‘อืมๆ’ เป็นระยะ สายตายังคงจ้องมองจอโน้ตบุ๊ก มือก็จับเม้าส์อีดิตรูปไปเรื่อยๆ กระทั่งจู่ๆ ติณห์ก็ถามขึ้นมา

[ฮัลโหล ยู ได้ยินไหม]
“หา? อือ ได้ยิน ว่าไงเหรอ”
[เราถามว่าแม่ยูเป็นยังไงบ้าง ถามตั้งหลายรอบแล้ว ไม่เห็นตอบล่ะ]

รู้ในตอนนี้ว่าเมื่อครู่เอาแต่สนใจจอโน้ตบุ๊กตรงหน้าจนไม่ได้ยินเสียงของติณห์ที่พูดอยู่

“อ๋อ ก็ดี ไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วงมากแล้ว”
ผมว่า โกหกออกไปเนียนๆ ขณะที่ติณห์ครางรับ
[เหรอ]
“อืม”

จากนั้นเดดแอร์ก็หลั่งไหลเข้ามา ไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรนะ แต่ดันสนุกกับการอีดิตรูปอยู่ ส่วนติณห์ก็เงียบโดยไม่มีสาเหตุ ก่อนที่อีกไม่นานหลังจากนั้น ผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจตามมา

[ยู พักนี้ไม่สนใจเราเลยนะ]
“สนสิ ทำไมจะไม่สนล่ะ”
[ถ้าสนใจกันจริง ทำไมตอนเราคุยกับยูถึงถามคำตอบคำแบบนี้ ทำอะไรอยู่]
“ไม่ได้ทำอะไร”

จริงๆ คืออีดิตรูปอยู่ แต่จะให้บอกไปยังไงล่ะ ถ้าบอกไป ติณห์ก็ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าผมเป็นใคร

ติณห์เงียบไปครู่กับการไม่ใส่ใจของผม แล้วก็ถอนหายใจออกมา

[ถามจริง ทำอะไรอยู่กันแน่]
“ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เค้าก็คุยกับตินตินอยู่นี่ไง”

แต่ติณห์ไม่เชื่อ เขาถอนหายใจเต็มแรงออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมา

[ถ้าไม่ได้ทำอะไรแล้วทำไมถึงไม่สนใจเรา ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ทำเหมือนไม่ใส่ใจ เบื่อเราแล้วใช่ไหม]
จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา ผมถึงกับชะงักมือที่จับเม้าส์เคลื่อนไปเคลื่อนมาอยู่ทันที

เดี๋ยวนะ... อาการนี้มันงอนแบบงี่เง่านี่หว่า

ผมถึงกับงุนงงไปครู่ ตั้งแต่สวมรอยเป็นยูและคบกับติณห์มา ไม่เคยเลยสักครั้งที่ติณห์จะพูดอะไรทำนองนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

“เค้าไม่เคยเบื่อตินตินเลยนะ คิดมากไปแล้ว”
ผมรีบส่งเสียงกระเง้ากระงอดง้อทันที ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ติณห์อารมณ์ดีขึ้น
[ถ้าไม่ได้เบื่อแล้วทำไมถึงไม่สนใจกัน มีคนอื่นคุยด้วยแล้วใช่ไหมล่ะ เราถึงไม่ได้สำคัญน่ะ]

เดี๋ยวนะ ไปไกลแล้วโว้ย!

“เค้าไม่ได้มีคนอื่นนะตินติน”

ผมเริ่มเครียดขึ้นมาละ รูปเริปอะไรที่อีดิตอยู่ ตอนนี้เทไปก่อนเลย ขณะที่ติณห์เริ่มฟาดงวงฟาดงามากกว่าเดิม

[ถ้าไม่ได้มีคนอื่นแล้วมันหมายความว่าอะไร โทรหาก็ไม่โทร ส่งข้อความหาก็ไม่มี มีแต่เราที่คอยตาม พอเราอยากเจอก็ไม่ยอมมาเจอ จะเอายังไงกันแน่!]

เริ่มเสียงดังกับผมขึ้นมาแล้วด้วย บอกตามตรงว่าผมตกใจหน่อยๆ เหมือนกันนะที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ก็เข้าใจได้ อันนี้มันเป็นความผิดผมเองแหละ ผมเลยรีบพูด

“เค้าขอโทษ แต่ตินตินก็รู้ใช่ไหมว่าแม่เค้าป่วย เค้าต้องดูแลแม่เลยไม่ว่างดูแลยูอะ”
ติณห์ถอนหายใจใส่เต็มแรง
[เราไม่เคยไม่เข้าใจยูเลยเว้ย เรารู้ว่าแม่ยูป่วย เราถึงไม่ตามตอแยอะไรมาก แต่นี่มันจะเกินไปแล้ว ให้เราไปหาได้ไหมละ จะได้เลิกอ้างเรื่องนี้สักที]

ผมรู้ว่าถ้าผมบอกว่าได้ ติณห์จะต้องไม่รอช้าที่จะไปหาแน่ แต่จะให้ไปหาใครล่ะ พ่อแม่ยูเลิกกัน ยูมันอาศัยอยู่คนเดียว แถมไม่ได้ติดต่อผมมานานแล้วด้วย จะให้ไปหาอะไร

ผมเลยต้องรีบกลบเกลื่อนก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกว่านี้

“เค้าขอโทษจริงๆ นะตินติน ยกโทษให้เค้าได้ไหม เค้าสัญญาว่าหลังจากนี้ เค้าจะสนใจตินตินให้มากๆ อย่างอนเค้าเลยน้า”

ทำตัวปัญญาอ่อนใส่ไปเลย เห็นติณห์เงียบไป ก็อ้อนไปอีกหลายๆ รอบ

“น้าตินตินน้า อย่าโกรธเค้าเลยนะพ่อแมว”

ช็อตนี้ ติณห์คงต้านทานไม่ไหวล่ะมั้ง เลยยอมง่ายๆ

[อือ เราไม่เป็นไรแล้ว]

ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจทันควัน
“งั้นเรามาดีกันเถอะ รักกันๆ อย่าทะเลาะกันเลยเนอะ”
[อืม]

ติณห์ตอบรับเสียงแผ่ว ผมนึกถึงสีหน้าท่าทางของติณห์ที่ดูจ๋องๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ขึ้นมาได้ฉับพลัน

น่ารักแฮะ...

แต่ความเป็นจริงของอีกฝั่งหนึ่งที่ปลายสายนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะน่ารักเหมือนกับที่ผมคิดหรือเปล่า



 
หลังจากที่ทะเลาะกันไปครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ทุกอย่างก็เหมือนจะดีนะ แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่เลยสักนิด เพราะหลังจากวันนั้น ผมกับติณห์ก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความน้อยใจของติณห์นั่นเอง ทั้งที่ผมก็ใส่ใจเขา สนใจเหมือนเดิมตามปกติ ไม่ละเลยอย่างที่เคยทำมา พยายามโทรหาเขาบ่อยขึ้น ส่งข้อความหาบ่อยขึ้น แต่พอถึงตอนที่ต้องเปิดกล้องคุยทีไร ติณห์ก็มักจะบีบคั้นให้ผมเผยหน้าตาให้เห็นแทนช่วงหน้าอกลงไปทุกที ซึ่งสุดท้ายมันจะจบลงที่การทะเลาะกันเพราะผมปฏิเสธ
สถานการณ์นี้ยืดเยื้อมาเป็นอาทิตย์ จนผมชักจะเครียดขึ้นมาทีละน้อย สีหน้าหมองจนแม้แต่นาเดียยยังอดทักไม่ได้

“หน้าคล้ำเชียวหล่อน อย่างกับโดนของ ไปทำอะไรมายะ”

ผมที่นั่งเอาหลอดคนเครื่องดื่มเล่นในร้านกาแฟที่มหาวิทยาลัยระหว่างรอเรียนในคาบบ่ายเหลือบมอบหน้านาเดียเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“เอ้าๆ ถามแล้วไม่ตอบอีก หยิ่งเหรอ”
ก็อยากจะตอบอยู่หรอกนะ แต่พอนึกถึงเรื่องที่ทะเลาะกันกับติณห์ขึ้นมาแล้ว ผมก็เหนื่อยใจขึ้นมาน่ะ
“แล้วแต่หล่อนนะ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”

นาเดียว่าอย่างไม่แคร์ มือถือช้อนตักชีสเค้กกิน จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่หลุดออกมา

“เราทะเลาะกับติณห์ว่ะ”
“หืม? เรื่อง?”
“เรื่องไร้สาระ”
พอได้ยินผมพูดแบบนี้ นาเดียก็เลิกคิ้วสูง
“ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระนี่ ทะเลาะกันในสถานะไหนยะ สถานะเพื่อนระหว่างติณห์กับศิลป์ หรือสถานะแฟนระหว่างติณห์กับยูที่หล่อนสวมรอย”
“อย่าพูดดังสิ”

ผมรีบท้วงทันใดด้วยกลัวว่าจะมีใครที่รู้จักติณห์ได้ยิน ก่อนนาเดียจะทำหน้าตาไม่แคร์ใส่ ทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วเปิดปากเล่า

“ในสถานะแบบที่สอง ช่วงนี้ติณห์งี่เง่าเป็นพิเศษเลยว่ะ”
“ยังไงล่ะ”
“ก็แบบ...หาว่าเราไม่ใส่ใจ เราเบื่อบ้าง มีคนอื่นบ้าง ทะเลาะกันทุกวันจนเราเครียดหัวจะระเบิดอยู่แล้ว”

ผมทำหน้าอย่างที่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะตอนที่พูดออกไป นาเดียมองหน้าผมก่อนจะว่าเสียงเรียบ

“มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับคนเป็นแฟนกัน เวลาที่อีกฝ่ายมีท่าทีห่างเหิน มันก็ต้องระแวง หรือไม่ก็น้อยใจน่ะนะ”
“แต่เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยนะ เราก็พยายามจะทำในสิ่งที่เขาต้องการอยู่ แต่เหมือนเขาจะไม่พอใจเลยสักอย่าง จนเราไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี่ย”
“จะให้ฉันพูดจริงๆ ไหมล่ะ”
จู่ๆ นาเดียก็พูดขึ้นมาแบบนี้ ทำเอาผมมองหน้าเธอทันที
“พูดอะไร”
“ความสัมพันธ์ของหล่อนกับติณห์น่ะ”

ผมนิ่งไปครู่ ก่อนจะพยักหน้า เพราะคิดว่านาเดียจะมีคำแนะนำดีๆ ให้เนื่องจากเธอค่อนข้างเชี่ยวชาญในเรื่องความรัก เหมาะสำหรับการเป็นศิราณีอย่างยิ่ง

แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวังเมื่อนาเดียพูดออกมา

“หล่อนทำอะไรเพื่อติณห์ไม่ได้หรอกเพราะหล่อนไม่ใช่แฟนเขาจริงๆ ที่สำคัญ หล่อนไม่ใช่ยูด้วย ต่อให้ทำดีมากแค่ไหน ถ้าไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่ได้เห็นหน้า ก็ตอบสนองความต้องการของติณห์ไม่ได้หรอก”

ผมถึงกับจุกไปเลย พูดไม่ออก เหมือนมีอะไรมาอุดปากอยู่ และยิ่งจุกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อนาเดียว่าออกมาอีก

“ที่เขางี่เง่ากับหล่อนแบบนี้ เขาก็แค่อยากเจอหล่อน...ไม่สิ เจอยูเท่านั้น”
ใช่สินะ... ผมไม่ใช่ยูนี่ แล้วก็จริงอย่างที่นาเดียว่าด้วย เพราะช่วงนี้เวลาผมทะเลาะกับติณห์ เขาก็มักจะตบท้ายว่า ‘ก็ให้เราไปหาสิ’
หรือไม่ก็ ‘ถ้าอย่างนั้นก็เปิดหน้าให้เราดูสิ’ ตลอดเลย มันคงเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ แหละ เขาถึงได้ทำตัวไม่มีเหตุผล
ผมเงียบไป คิดทบทวนทุกอย่าง ขณะที่นาเดียเห็นผมแล้วก็ถอนหายใจ

“ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของหล่อนเลยนะ แต่ถามจริงๆ ว่าหล่อนมีความสุขแน่เหรอที่แสร้งเป็นคนอื่นเพื่อความสุขจอมปลอมน่ะ หล่อนก็เห็นแล้วนี่ว่าการสวมรอยเป็นคนอื่นมันไม่ได้ทำให้ใครมีความสุขเลยนะ แม้แต่หล่อนหรือตัวติณห์เอง มันถึงเวลาที่ต้องหยุดเล่นสนุกได้แล้วมั้ง”

ผมเหลือบมองนาเดียที่มองผมเหมือนกัน ในใจก็คิดแบบนั้น ผมมาตระหนักเอาได้ก็ตอนที่นาเดียบอกนี่แหละว่าความสัมพันธ์บ้าๆ นี่มันควรจบเสียที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จะมีแต่นาเดียเท่านั้นที่ทำลายความเงียบขึ้น

“ตอนนี้มีโอกาสที่หล่อนจะยุติความสัมพันธ์แล้วกลับมาเป็นตัวเองแล้วนะ คิดดีๆ แล้วกันว่าจะเอายังไง ฉันคงแนะนำให้ได้แค่นี้”

คำแนะนำแค่นี้... เป็นคำแนะนำที่ทำให้ผมรู้สึกตัวอย่างจังเลยว่าผมเป็นใคร



 
กลับมาถึงหอ พอฟ้ามืด ผมก็โทรหาติณห์อีกตามปกติ ก่อนที่การสนทนาระหว่างผมกับติณห์จะหยุดชะงักเมื่อติณห์สัมผัสได้ว่าผมเริ่มเหม่อลอยเพราะช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยพอ เนื่องจากว่าทะเลาะกับติณห์จนดึกดื่นทุกวัน ตอนเช้าก็ต้องตื่นไปเรียน บ้างทีทะเลาะจนดึก สุดท้ายไม่ได้ทำงานส่งอาจารย์ก็ต้องอยู่โต้รุ่ง วันนี้ผมก็เลยเบลอๆ ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาพูดอีกแล้ว

[ทำอะไรอยู่]
น้ำเสียงขุ่นๆ ถามกลับมา ผมได้สติ รีบปฏิเสธ
“ไม่ได้ทำอะไร”
[แล้วทำไมตอบคำถามเรา]
ถามเหรอ? ถามอะไร
“ขอโทษนะตินติน เมื่อกี้พูดว่าอะไรเหรอ เค้าไม่ทันฟัง”

ผมถามกลับซื่อๆ ขณะที่ติณห์พ่นลมหายใจหนักๆ มาให้ได้ยิน

[ทำไมถึงไม่ฟังเรา เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ]
จิตใต้สำนึกบอกเลยทันทีว่าอีกไม่กี่อึดใจให้หลังจะต้องทะเลาะกันอีกแน่ ซึ่งก็จริงเพราะเมื่อผมตอบว่า...
“พอดีเค้าเหนื่อยๆ น่ะ ก็เลยเบลอๆ”
[เหนื่อยหรือเพราะไม่อยากคุยกับเรากันแน่ ใช่สิ ยูคงมีคนอื่นที่คุยด้วยแล้วรู้สึกดีกว่าสินะ เราถึงไม่ได้สำคัญแบบนี้]

มาอีกแล้ว...

ผมถอนหายใจ เหนื่อยมากเหลือเกิน และเสียงถอนหายใจของผมก็คงจะดังไปเข้าหูติณห์ล่ะมั้ง เขาถึงประชดประชันออกมา

[ถอนหายใจแบบนี้แสดงว่าคงจะเบื่อเราแล้วจริงๆ ล่ะมั้ง]
“เค้าไม่เคยเบื่อตินตินเลยนะ”
[แต่ก็ไม่ได้อยากคุยด้วย]
“ไม่ใช่ไม่อยากคุย เค้าอยากคุยนะ แต่วันนี้เค้าเหนื่อยจริงๆ”
[เหนื่อยจริงๆ หรือข้ออ้างที่จะไม่คุยกันแน่]

ก็บอกว่าเหนื่อย ไม่เข้าใจหรือไงวะ!

ผมเริ่มรำคาญขึ้นมาละ ต่อให้ชอบเขามากแค่ไหน แต่พอถูกจับผิดไปมา ถูกบีบคั้นมากๆ ผมก็เหนื่อยที่จะคุยเหมือนกัน อีกอย่าง ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกัน ทำให้หลุดปากกระแทกเสียงออกไป

“ตินติน เค้าว่าตินตินเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”
[พูดไม่รู้เรื่องยังไง]
“เค้าว่าตินตินความอดทนต่ำมากเลยนะพักนี้ ระเบิดใส่เค้าบ่อยมากไปแล้ว”
พอผมพูดไปตามความจริงว่าเขามักโกรธผมบ่อยๆ ติณห์ก็แค่นหัวเราะมาให้ได้ยินเล็กน้อย

[เราความอดทนต่ำงั้นเหรอ ที่ผ่านมาเราไม่เคยอดทนเลยสินะ ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาตั้งสองสามเดือน เรายังไม่เคยเจอหน้ายูเลยสักครั้ง นอกจากรูปถ่ายก็ไม่เคยเห็นหน้าผ่านวิดีโออะไรทั้งสิ้นเพราะยูปฏิเสธตลอด เราก็ยอมมาตลอดจนถึงตอนนี้ แบบนี้ยังจะบอกว่าเราความอดทนต่ำอีกเหรอ]

ก็ไม่ได้ความอดทนต่ำหรอก เรียกได้ว่าเขามีความอดทนสูงมากเลยทีเดียว ผมเลยพูดไม่ออก

[ว่าไง เราถามว่าเราความอดทนต่ำมากเหรอ]
“ก็...ไม่...”
[แล้วพูดแบบนั้นทำไม]
“เรา...ไม่ได้ตั้งใจ”
[ไม่ได้ตั้งใจหรือเพราะมีคนอื่นแล้วกันแน่ ถึงไม่เห็นหัวเรา ไม่เคยคิดถึงว่าเราทำอะไรให้ยูบ้างแบบนี้]

สุดท้ายก็วนกลับมาเรื่องเดิมจนได้ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก ขมับทั้งสองข้างเต้นตุบๆ ไปหมด ไม่ว่าจะพูดยังไง ติณห์ก็จะวนกลับมาเรื่องผมมีคนอื่น หรือไม่ก็ไม่สนใจเขาอะไรแบบนี้

ให้ตาย ไม่เคยอยากพักมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ก่อนที่มันจะพีคไปกว่านั้นเมื่อติณห์หลุดปากมา

[ไม่รักเราแล้วใช่ไหม]

รักสิ...

ผมอยากตอบไปแบบนี้นะ แต่จู่ๆ คำพูดของนาเดียก็แวบเข้ามาในหัวเสียก่อน

มันถึงเวลาที่ต้องหยุดเล่นสนุกได้แล้วมั้ง...

ผมเลยไม่พูดคำนั้นออกไปทั้งที่ปกติแล้วจะต้องพูด ขณะที่ติณห์ร้องถามมาอีก

[เราถาม ทำไมถึงไม่ตอบ]

เอาวะ บางทีมันคงจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติความสัมพันธ์บ้าๆ นี้สักที

เท่านั้น ผมก็ตัดสินใจเปล่งเสียง
“ตินติน... เค้าว่านะ เราเข้ากันไม่ได้เลย ตินตินอยากได้อย่าง เค้าอยากได้อย่าง บางที...”

ผมเงียบไป ใจเต้นระส่ำที่จะต้องพูดประโยคนั้นไป ขณะที่ติณห์ก็น่าจะเริ่มเดาได้แล้วว่าผมตั้งใจจะพูดอะไร เพราะเขาผ่อนน้ำเสียงลงแล้วพูดกลับมา

[บางทีอะไร]
“บางทีเลิกกันน่าจะดีกว่า”

ความเงียบเข้ามาคั่นกลางระหว่างเราสองคนทันที ติณห์ไม่ตอบอะไรอีก มีแต่ผมเท่านั้นที่ย้ำคำพูดนั้นออกมาอย่างชัดเจน

“เราเลิกกันเถอะนะตินติน”
----------------------
ทุกคนทำใจดีๆ ไว้ มันไม่ได้ดราม่านะ (ถึงมันจะส่อเค้าลางก็ตาม 555)
พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่จ้า เดี๋ยวมาอัปให้เน้อ ฝากกำลังใจไว้ล่วย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
07: สถานะหมดอาลัยตายอยาก

บอกไปแล้ว...

ผมบอกเลิกติณห์ไปแล้ว...

ถึงจะรู้สึกแย่ แต่ก็ยอมรับตามตรงเลยว่าโล่งใจฉิบเป๋งที่เรื่องมันจบสักที พอวางสายตาติณห์ได้ ผมถึงกับนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปตลอดทั้งคืนโดยไม่หลับ ขณะที่ติณห์ยังคงเทียวโทรมาไม่หยุดหย่อน และแน่นอนว่าผมไม่ได้รับสักสาย แม้แต่ข้อความก็ไม่ได้เปิดดู จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ติณห์ไม่โทรมาแล้ว ผมเลยปิดโทรศัพท์ ถอดซิมส์การ์ดออก ตั้งใจว่าจะไปเปลี่ยนเบอร์ใหม่เพราะถ้ายังใช้เบอร์เดิมอยู่ มีหวังความลับคงได้แตกเข้าสักวัน ส่วนเฟซบุ๊กนั่น...ผมก็ปิดแอคเคานท์ไป เอาเป็นว่าบล็อกทุกช่องทางที่ติณห์จะติดต่อได้เลยอะ

เลิกแล้วก็ต้องเลิกให้ขาด... ผมหมายถึงเลิกกันในสถานะแฟนจอมปลอมน่ะนะ ต่อไปนี้ผมจะไม่แสร้งทำตัวเป็นยูอีกแล้ว เข้าหาติณห์ด้วยความเป็นไอ้ศิลป์นี่แหละ

ทว่า...มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะหลังจากที่ผมตัดการติดต่อของติณห์ทุกช่องทาง ผมก็ตั้งใจว่าจะสานต่อสัมพันธ์ระหว่างผมกับติณห์โดยการเริ่มจากเพื่อน เฝ้ารอติณห์มากินข้าวกับพวกป้องตอนเที่ยงทุกวัน แต่ก็ไม่มีวันไหนเลยสักวันที่ติณห์จะโผล่หน้ามาให้เห็น พอถามพวกเพื่อนๆ ของเขา ผมก็ได้คำตอบว่า...

“เราก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน นี่ไม่มาเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว ไปหาที่ห้องก็ไม่มีใครอยู่ ว่าแต่ศิลป์อยู่ข้างห้องมันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมันบ้างหรือไง”

เออ จะว่าไป ผมก็ไม่เห็นหน้าติณห์เลยตั้งแต่วันนั้นเหมือนกันนะ ไม่เห็นออกไปกินข้าวหรือไปซื้ออะไรเลย ปิดห้องเงียบเชียบ แต่ผมมั่นใจนะว่าเขาไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องนั่นแหละ เพราะถ้าออก ผมก็ต้องได้ยินเสียงสิ

แต่...ถึงจะไม่ได้ออก ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะ หรือว่า...จะฆ่าตัวตาย?

ไม่อยากจะคิดในแง่ลบอย่างนั้นเลย ทว่าผมก็อดคิดไม่ได้ ตามติ่งติณห์มานาน ผมก็พอรู้อยู่ว่าเขาเป็นคนเซ้นส์ซิทีฟแค่ไหน ผมเลยรีบเข้าไปเช็กความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กของเขาเผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มีการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพใดๆ ทั้งที่ปกติแล้วจะต้องโพสต์หนึ่งนาที สามสเตตัสทั้งวัน

หรือว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ?

ผมเป็นห่วงจนอยู่ไม่สุข วันนี้เลยโดดเรียนกลับหอทันที ไปเคาะห้องเรียกอยู่นานจนป้าแม่บ้านต้องมาบอกว่าเห็นเขาออกไปข้างนอกเมื่อกี้ ผมเดาว่าเขาคงจะไปหาอะไรกินน่ะนะ เลยรีบวิ่งลงไปข้างล่างเผื่อจะได้เจอ แต่แล้วก็ต้องกินแห้วเพราะที่ร้านอาหารตามสั่งข้างล่างก็ไม่มีติณห์เหมือนกัน

เอาเถอะ แค่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ผมก็โล่งใจแล้ว

แต่หลังจากนั้น ผมก็ยังไม่ได้เจอเขาเหมือนเดิมนะ ลองเอาซิมส์การ์ดเก่าใส่โทรศัพท์ดูเพื่อเช็กว่าเขาโทรมาบ้างหรือเปล่า ก็ไม่มีข้อความเตือนมิสคอลล์จากเขาเหมือนกัน ข้อความอะไรในโปรแกรมแชทก็ไม่มี

สงสัยจะตัดใจได้แล้วมั้ง...

ผมดีใจนะถ้าเขาตัดใจจากผมที่แสร้งเป็นยูได้ แต่ใครมันจะไปทำได้เพียงแค่ไม่กี่วันวะ ผมรู้เลยว่าเขากำลังเฮิร์ตหนัก เพราะหลังจากวันนั้นก็ยังไม่ไปเรียน เพื่อนมาตามถึงห้องก็ไม่เปิดห้องให้ แถมพวกเพื่อนๆ ของติณห์ก็แสนดีเหลือเกิ๊นนน เห็นติณห์ไม่ยอมเปิดห้องให้ก็ไม่รบกวน ปล่อยให้เฮิร์ตจนสมใจอยาก จนในที่สุดผมก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจตรงดิ่งไปเคาะห้องเขาทันทีที่กลับมาถึงหอ

“ติณห์...อยู่ไหม”

ไม่เคาะเปล่า ร้องเรียกด้วย แต่มีแค่ความเงียบงันตอบกลับมาเท่านั้น

“ติณห์ เราศิลป์เองนะ เปิดประตูให้หน่อย”

ลองเรียกดูอีกทีก็ยังเงียบ

“ติณห์...”

ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้องที่ท่านเรียก ยืนเคาะมาเกือบชั่วโมงก็ยังไม่เปิด

โอเค วันนี้ผมถอดใจแล้ว กลับห้องก่อน ไว้เดี๋ยวค่อยมาใหม่

ผมตั้งใจไว้เลยว่าจะมาเคาะเรียกเขาทุกวัน อย่างน้อยก็ต้องได้เจอหน้าให้สบายใจหน่อย ก่อนจะกลับเข้าห้องมา ตรงไปอาบน้ำแล้วกะจะกินข้าวเย็นที่ซื้อมากินบนห้อง ทว่าพอผมเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ยังนอกระเบียงห้อง หูผมก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึ๊ง’ แว่วเข้าหู
มันคือเสียงโทรศัพท์นั่นแหละ แต่...ไม่ใช่โทรศัพท์ของผม

ผมเลยรีบชะโงกหน้าไปมองยังห้องข้างๆ ทันใด ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นโทรศัพท์ของติณห์

ใช่! โทรศัพท์ของติณห์ อยู่ในมือติณห์ แล้วติณห์ก็...ยืนอยู่ตรงระเบียง!

ถ้ายืนอยู่เฉยๆ ผมจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่นี่ยืนหันหน้าออกนอกระเบียง แล้วยืนซะชิดกับขอบปูนเลย ท่าทางเหมือนจะกระโดดลงไปยังไงก็ไม่รู้ ผมเลยรีบร้องห้ามทันควัน

“เฮ้ยติณห์! อย่าโดดนะ!”

ผ้าเช็ดตัวที่พันเอวอยู่หลุดลุ่ยไปก็ไม่สนละ ใครจะเห็นหรรมก็ปล่อยแม่ง ตอนนี้ชีวิตติณห์สำคัญที่สุด

พอได้ยินเสียงเรียก ติณห์ก็หันมามองหน้าผมช้าๆ ผมชะงักไปทันทีที่เห็นสีหน้าของเขา

โห...ตาโคตรโหลอะ โทรมโคตร ได้นอนบ้างไหมวะเนี่ย

จากที่ห้ามๆ อยู่ พูดไม่ออกเลย ก่อนที่ติณห์จะเหลือบมองมายังลำตัวของผมแล้วว่าเนิบๆ

“โป๊แล้วนั่น”

เป็นน้ำเสียงที่เหมือนจะปกตินะ แต่มันไม่ปกติ ผมเองก็ได้สติขึ้นมาในตอนนี้ รีบคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาพันเอวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบพูด

“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะติณห์ กลับเข้าห้องไปก่อน แล้วเดี๋ยวเปิดประตูให้เราด้วย เดี๋ยวเราไปหา”

ติณห์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่อยู่ฟังแล้ว รีบพุ่งออกจากห้องของตัวเองไปเคาะประตูห้องติณห์เร็วๆ ไม่สนใจที่จะใส่เสื้อผ้าด้วย วิ่งมันออกไปทั้งผ้าเช็ดตัวนี่แหละ ตอนนี้ชีวิตของติณห์สำคัญกว่าเรื่องโป๊แล้ว

รอแป๊บเดียว ติณห์ก็มาเปิด ผมพรวดพราดเข้าห้องเขาไปเลย ก่อนจะปิดประตูแล้วพูดเร็วๆ

“เมื่อกี้จะทำอะไรน่ะ จะกระโดดลงไปใช่ไหม”
ไม่ต้องถาม ผมก็พอจะรู้ว่าสีหน้าผมในตอนนี้ดูตื่นตูมแค่ไหน

ติณห์มองหน้าผมอย่างเหนื่อยๆ แล้วว่าออกมาช้าๆ

“ไม่ได้จะกระโดด”
“จริงเหรอ”
“อืม แค่ออกไปยืนรับลม”
“แน่ใจนะ”
“อืม เราจะกระโดดลงไปทำไมล่ะ”
“ก็คิดว่าจะฆ่าตัวตายอะไรแบบนั้นน่ะ” ผมว่า

ติณห์ยกยิ้มแบบฝืนๆ แล้วสวนกลับมา

“ทำไมเราจะต้องฆ่าตัวตายด้วย”
“ก็...อกหักไม่ใช่เหรอ”
“รู้ได้ไงว่าเราอกหัก เรายังไม่ได้บอกใครเลย”

ผมชะงักไปอีกรอบ นึกขึ้นมาได้อีกรอบว่าพวกเพื่อนๆ ของเขาก็ยังไม่รู้ว่าที่ติณห์หายหน้าหายตาไปเป็นเพราะอะไร ก่อนที่ผมจะรีบพูดเร็วๆ

“ระ...เราก็เดาไปเรื่อยนะ ดูจากสภาพของติณห์แล้ว มันเหมือนคนอกหักยังไงไม่รู้ ตางี้โหลเชียว หนวดเคราก็ไม่เกิน สงสัยน้ำท่าก็ไม่อาบด้วยมั้งเนี่ย เสื้อผ้ายับยู่เชียว”

หัวเราะตบท้ายกลบเกลื่อนไปอีกหน่อย ซึ่งก็น่าจะใช่ เพราะพอสิ้นเสียงผม ติณห์ก็ยกยิ้มฝืนๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“สภาพให้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมพยักหน้า

“ช่วยไม่ได้นะ ยังไงก็หนีความจริงไม่ได้ ใช่ เราโดนแฟนทิ้ง แต่เราไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายอะไรหรอก แค่อยู่ในห้องแล้วมันอึดอัดน่ะ เลยไปยืนเล่นที่ระเบียง”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ติณห์ไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างที่ผมกลัว ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งว่าตัวเองก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าเขาเลยเมื่อติณห์พยักหน้ามา

“แล้วนี่...จะอยู่ในห้องเราด้วยสภาพนี้จริงๆ น่ะเหรอ”

ผมเหลือบมองตัวเอง

เวรเอ๊ย... ทั้งตัวมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กางเกงในก็ไม่ใส่!

ตอนนี้เองที่หน้าเริ่มร้อนขึ้นมา ยิ่งเห็นติณห์หัวเราะเบาๆ ผมก็ยิ่งหน้าร้อนผ่าว ปกติเวลาเจอหน้าเขา ผมก็อายจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะตกใจที่คิดไปเองว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ผมคงไม่ทะเล่อทะล่าออกมาทั้งอย่างนี้หรอก ตอนนี้หน้าร้อนจนจะถึงจุดเดือดอยู่แล้ว!

“งะ...งั้นเดี๋ยวเรากลับห้องก่อนแล้วกัน”

ทำอะไรไม่ถูกก็ต้องรีบกลับหลุมตัวเองล่ะ

ผมรีบหันหลังให้ ตั้งใจว่าจะรีบกลับเข้าห้อง แต่ติณห์ก็คว้าไหล่ผมเอาไว้ก่อน พอผมหันไปมองก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่

“ศิลป์”
“หะ...หืม?”
“แต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ เรากินคนเดียวแล้วกินไม่ค่อยลงเลย”

พอจะเข้าใจอยู่นะ ตอนที่ผมอกหักครั้งแรก ผมก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับเหมือนกัน อย่างน้อยมีเพื่อนไปด้วยก็น่าจะพอทำให้หายเศร้าได้บ้าง

และเพื่อชดเชยความผิดโดยที่เขาไม่รู้ ผมเลยรีบพยักหน้ารับ

“อืม งั้นเดี๋ยวเราเสร็จแล้วจะมาเรียกนะ ติณห์ก็ไปล้างตาล้างตาซะ จะได้ลงไปกัน”

พูดจบ ผมก็วิ่งกลับห้องปรู๊ดไป แต่งตัวด้วยความไวแสง ออกจากห้องมาอีกทีก็เห็นว่าติณห์มายืนรออยู่ที่หน้าห้องแล้ว

เราลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งข้างล่างหอ ติณห์บอกว่าไม่รู้จะกินอะไร ผมเลยรับหน้าที่สั่งอาหารเมนูง่ายๆ มาให้เขา ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ว่าติณห์คงจะกินอะไรไม่ค่อยลง

นั่งเขี่ยไปเขี่ยมาจนผมอยากจะด่าเพราะรำคาญแล้วเนี่ย...

แต่ด่าไม่ได้ไง สาเหตุที่เขาซังกะตายแบบนี้มันเป็นเพราะผม ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“ถ้ายังไม่หิวตอนนี้ก็ห่อขึ้นไปไว้กินบนห้องก็ได้นะ เราก็ทำอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน”
“อืม”

ติณห์ครางรับ ไม่ค่อยหือค่อยอือเท่าไหร่ บอกตามตรงว่าการที่มีผมมากินข้าวเป็นเพื่อนก็ไม่ได้ทำให้เขาเจริญอาหารขึ้นมาเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังเอาแต่นั่งมองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่อีกต่างหาก

อะ...อะไรวะ จ้องหน้ากันขนาดนี้ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรอยากพูด?

ผมโคตรรกลัวว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยูเลย แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินข้าวในจานตัวเองเงียบๆ ทว่าได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อติณห์เอ่ยปาก

“ศิลป์”
“หะ...หืม?”
“เป็นลูกพี่ลูกน้องของยูใช่ไหม”

นั่นไง! มันมาแล้ว!

ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่าตอนสวมรอยเป็นยู ดันไปบอกเอาไว้ว่าตัวจริงๆ ของตัวเองเป็นญาติกัน พอเลิกกันแล้ว แน่นอนว่าติณห์ต้องถามหายูแน่ๆ ซึ่งก็จริงอย่างที่ผมคิด เพราะพอผมตอบรับไป เขาก็ว่าขึ้นมาอีก

“เรามีเรื่องอยากจะถาม”
“อะ...อะไรเหรอ”
“แม่ของยูป่วยจริงเหรอ”

ระแวงเรื่องนี้ล่ะสินะ

“อืม ป่วยน่ะ อยู่โรง’บาล”

โกหกไปตามบทที่เคยวางไว้เพื่อความแนบเนียน

“จังหวัดไหน”

แต่อันนี้ก็ลืมไปว่าไม่เคยบอก ว่าแต่สถานการณ์แบบนี้คืออะไร ถามอดีตแฟนไม่ได้ก็เลยมาเค้นถามเอากับผมที่เข้าใจว่าเป็นญาติแทนน่ะเหรอ!?

“ถามทำไมเหรอ”

ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุด กลัวว่าจะออกพิรุธเสียเหลือเกิน ขณะที่ติณห์มองหน้าผมนิ่ง

“ศิลป์รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นแฟนกับยู”

ผมพยักหน้า

“แล้วก็รู้ด้วยว่าเราเลิกกับยูแล้ว”

ผมพยักหน้าอีก

“ที่ไม่บอกก็เพราะยูสั่งไว้ใช่ไหม”

มึงนี่ก็คิดเองเออเองจัง!

แต่ก็นะ ไหนๆ แล้วก็เนียนไปเลยแล้วกัน

“อืม ยูบอกว่าไม่ให้บอกเรื่องของยูกับติณห์น่ะ เห็นบอกว่าเลิกแล้วก็ให้เลิกขาดกันไป”

ผมรู้ว่าประโยคหลังค่อนข้างจะทำร้ายจิตใจติณห์นะ แต่ให้เข้าใจว่ายูใจร้ายกับเขาน่าจะเป็นการดีกว่า
ติณห์หน้าม้านไป เงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมาอีก

“ไม่เหลือเยื่อใยให้กันเลยเนอะ” แล้วก็คลี่ยิ้มฝืนๆ “บอกเรามาตามตรงเถอะศิลป์ ยูมีคนอื่นใช่ไหม”

ยังจะวกกลับมาเรื่องนี้อีก ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่ายูอะไรนั่นไม่ได้มีคนอื่นหรอก แต่ที่ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้เป็นเพราะผมกลัวจะโดนจับได้ว่าไปหลอกเขา อันที่จริงผมอยากจะหยุดโกหกเขาแล้วนะ ทว่าถ้าบอกความจริงไป ผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายโดนเกลียดแทนยู

ดังนั้นเลยต้องโกหกไปอีก

“เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เห็นยูพูดๆ อยู่เหมือนกันว่า...คุยกับคนอื่นอยู่”

ยิ่งพูด ปลายประโยคก็ยิ่งเบาลงๆ

ติณห์มีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาทันที มือทุบไปบนโต๊ะดังปึงจนโต๊ะอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว ผมเองยังสะดุ้งจนช้อนส้อมในมือกระจัดกระจายไปหมด

“มีคนอื่นจริงๆ ด้วยสินะ”

นี่ก็พูดเสียงต่ำซะจนผมเสียวสันหลัง ผมเลยรีบยกมือปรามเป็นเชิงให้ใจเย็นๆ

“บะ...บอกว่าคุยกับคนอื่นแต่ไม่ได้หมายความว่ามีคนอื่นนะ ใจเย็นๆ ก่อน”

แต่ติณห์จะไปฟังอะไรล่ะ มองหน้าผมแล้วว่าเสียงแข็ง

“แค่คุยกับคนอื่นก็เท่ากับว่านอกใจแล้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่เลิกกับเรานั่นแหละ”

เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วโว้ย!

ผมเกือบจะหลุดปากอธิบายไปแล้ว แต่คิดๆ ดูแล้ว เงียบไว้จะดีกว่า ให้เข้าใจไปแบบนั้นแหละดีแล้ว

และเพราะไม่พูดอะไร ติณห์เลยล้วงเอาแบงค์ร้อยมาวางไว้บนโต๊ะพลางว่า

“ฝากจ่ายค่าข้าวด้วยนะ เรากลับห้องก่อน”
“เดี๋ยวสิติณห์”

ผมร้องเรียก แต่ไม่ทันแล้ว ติณห์ลุกพรวด เดินดิ่งออกนอกร้านไปเป็นที่เรียบร้อย ผมมองตามหลังเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

ผมว่าผมทำเรื่องที่ถูกต้องแล้วนะ แต่ทำไมถึงยังไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิดล่ะ หรืออันที่จริง...ผมไม่ควรเริ่มตั้งแต่แรก?




 
ก็ไม่ควรเริ่มตั้งแต่แรกจริงๆ นั่นแหละ ไม่ต้องไปถามใครเลย แม้แต่เด็กอนุบาลยังตอบได้เลยว่าไม่ควรไปหลอก ไปโกหกเขาตั้งแต่ตอนนั้น แต่เรื่องมันเกิดไปแล้วนี่นา จะทำอะไรได้ นอกจากจะโทรหานาเดียแล้วเล่าให้ฟังว่าติณห์ยังอยู่ดี ไม่ได้เป็นอะไร แค่เฮิร์ตจนไม่อยากออกไปไหนก็เท่านั้น แต่พอบอกไปอย่างนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของติณห์ก็พากันแห่มาที่ห้องของติณห์ทันที พวกนั้นบอกว่าไม่ควรปล่อยให้เพื่อนเจ็บช้ำน้ำใจอยู่คนเดียว ผมก็เห็นดีด้วยนะ แต่...

...พวกมึงจะมาโวยวายโหวกเหวกที่หอกูไม่ได้โว้ย! เดี๋ยวก็โดนด่ากันยกแก๊งหรอก!

ผมรีบบอกนาเดียให้ปรามไอ้พวกนี้เลย ก่อนที่พวกมันจะเสียงดังไปมากกว่านี้ ป้องก็เลยเป็นตัวตั้งตัวตีชวนไปผับแถวๆ มหาวิทยาลัย

ใช่ ผับ... แหล่งอโคจรที่ผมโคตรจะเกลียดเลย!

สาบานเลยนะว่าตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งมา ผมเคยไปผับแค่ครั้งเดียวตอนรับเพื่อนใหม่เท่านั้น เพราะตอนนั้นถูกรุ่นพี่ลากไปเลี้ยงสายรหัส แล้วผมก็ประจักษ์ได้ว่าไลฟ์สไตล์และนิสัยของผมไม่ได้เข้ากับสถานที่เที่ยวแบบนี้เลยแม้แต่น้อย เว้นก็แต่พวกผู้ชายจากคณะสถาปัตย์ฯ พวกนี้ แล้วก็นาเดียที่ดูเหมือนจะคุ้นชิน

นั่งไปก็อึดอัดไป มือถือแก้วนมปั่นแน่นเพราะผมไม่ดื่มเบียร์หรือเหล้า ขณะที่คนอื่นชงเหล้ากันดื่มอย่างสนุกสนาน เสียงเพลงอะคูสติกดังมาให้ได้ยินก้องไปหมด ทุกคนก็ดูสนุกสนานกันดีนะ ได้ยินว่าช่วงนี่เรียนกันหนัก พอได้มาเที่ยวมาผ่อนคลายทีนึงก็ร่าเริง
กันใหญ่ ยกเว้นผม...กับติณห์

ติณห์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม ท่าทางซังกะตายมาก เขาโดนเพื่อนๆ สวดยาวเป็นมหากาพย์เรื่องที่ไม่ยอมไปเรียนจนโควตาหยุดหมด ถ้าหยุดเรียนอีก อาจจะต้องดร็อป ติณห์เลยรับปากว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนตามปกติ ก่อนจะนั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากเงียบๆ มีชนแก้วกับเพื่อนๆ บ้างตอนถูกชวน

แต่ก็นะ...ยังไงก็ดูหมดอาลัยตายอยากอยู่ดี งานจะกร่อยก็เพราะเขานี่แหละ จนเพื่อนๆ ชักทนเห็นท่าทางของติณห์แบบนี้ไม่ไหว พากันพูดเรื่องนี้จนได้ทั้งที่พยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงในตอนแรก

“อย่าเศร้าสิวะมึง มาเที่ยวทั้งทีก็ร่าเริงหน่อย แค่แฟนทิ้งเอง หล่อๆ อย่างมึงอะ หาใหม่ได้อีกเยอะแยะ จะไปสนใจอะไรกับแค่ผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เห็นค่ามึงวะ”

ป้องพยายามปลอบ ดูจากท่าทางแล้วคงยังไม่รู้กันสินะว่าติณห์เป็นเกย์ แต่ติณห์ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดทำท่าทางซังกะตายได้เลย ยังคงนั่งจับแก้วเหล้านิ่งไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม ทำเอาเพื่อนคนอื่นๆ ต้องพูดขึ้นมาบ้าง

“จะบอกให้มันอย่าเศร้าคงยากว่ะไอ้ป้อง โดนแฟนทิ้งนะเว้ย ไม่ได้สอบตกมีน ในเมื่อมึงจะเศร้าขนาดนี้ก็เอาเต็มที่เลยไอ้ติณห์ เมาให้หัวราน้ำไปเลย”

ประโยคนี้เป็นของกันย์ ปลายประโยคหันไปพูดกับติณห์ แม็กซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย

ผมพูดไม่ออกเลยกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จะมีก็แต่นาเดียเท่านั้นที่หรี่ตามองผมแล้วได้แต่ส่ายหน้า ก่อนเจ้าหล่อนจะเฉไฉมองไปทางอื่น ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจติณห์เหมือนกันนะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
ติณห์ยังคงนั่งเฉย ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบบ้างเป็นระยะ สายตาดูโคตรเศร้าเลย ถึงเขาจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าข้างในเขาเจ็บปวดมาก

ทว่า...ความเจ็บปวดก็มาแสดงออกตอนที่นักร้องของผับเริ่มร้องเพลงออกมานี่แหละ

 
[1]ต่อให้ฉันจะรักเธอมากเท่าไร
แต่ก็รู้ว่าเธอคงจะไม่สนใจ แต่ยังฝันไกล
และยังคงหวังเอาไว้ข้างในจิตใจว่าสักวันเธอจะมีฉัน
แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้ เมื่อเธอคิดว่าฉันไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร
ก็อยากจะขอมีเธอเรื่อยไปในใจไปอีกแสนนาน…
 

มึงจะร้องเพลงเศร้าทำมะเขือเผาอะร้ายยย! ร้องเพลงที่มันคึกคักหน่อยสิเว้ย!

ผมรีบค้อนขวับใส่นักร้องทันควัน แต่เหมือนกับว่าที่ร้องเพลงนี้ก็เพราะมีคนไปขอน่ะ ผมเลยได้แต่หันกลับมามองติณห์อย่างเป็นห่วง ขณะที่เขาก้มหน้าลงไปแล้ว

เพลงมันคงแทงใจล่ะสินะ...

อยากเข้าไปกอดปลอบชะมัดเลย แต่ทำได้แค่จิ้มเอาเอ็นไก่ทอดเข้าปากเคี้ยวๆ รอให้เพลงนี่มันจบไปก็เท่านั้น

กว่าจะจบ ผมก็โคตรอึดอัดเลย พอจบได้ถึงหายใจโล่งออกมาอีกที ทว่าความเวรตะไลมันไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะทันทีที่เพลงแรกสิ้นสุดลง ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ก็ไปขอเพลงอีก
 
[2]มันเจ็บจะขาดใจอยู่ตรงหน้าเธอ
แต่ต้องเก็บไว้ไม่แสดงว่าเสียใจ
เมื่อเธอเลือกจะไป ฉันต้องทำยังไง
เพียงหนึ่งคำคงฉุดรั้ง เธอไม่ไหว... คำว่ารักเธอ

ยิ่งมีเพลงเศร้าตามมาอีกเพลง ติณห์ก็ยิ่งซึมหนัก ผมเห็นแล้วอยากจะลุกไปขอเพลงปูนาขาเก หรือเพลงอะไรก็ได้ที่เป็นจังหวะชะชะช่าเลย อะไรไม่ว่า แม่งพอจบเพลงนี้ มีต่ออีกเพลงด้วย
 
[3]อยากพบอีกครั้งหนึ่ง อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีดีกับเธออีกสักครั้ง
ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้

มึงจะอกหักอะไรกันนักหนาวะ! พอได้แล้วเว้ย!

กลายเป็นผมที่เลิ่กลั่กบ้างแล้ว มองหน้าติณห์พลางคิดวุ่นไปหมดว่าจะทำยังไงดีให้เขาไม่รู้สึกแย่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะดวงตาทั้งสองข้างของติณห์เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนที่เขาจะกลั้นมันเอาไว้แล้วกระดกเหล้าเข้าปากชนิดไม่บันยะบันยังแทน

จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่...

ซัดพรวดๆ รวดเดียวหมดจนแทบจะกระดกขวดดื่มเพียวๆ อยู่แล้ว ทำเอาเพื่อนๆ ต้องปรามเป็นการใหญ่

“เฮ้ยๆ ไอ้ติณห์ พอได้แล้วมั้ง ดื่มเยอะเกินไปแล้ว”
“กูไม่เป็นไร...”

ติณห์ว่าเสียงอ้อแอ้ พยายามที่จะคว้าขวดเหล้ามาชงอีก แต่ก็ถูกใครสักคนดึงไปก่อน

“เอามา!”

ติณห์ขมวดคิ้ว หัวเสียอย่างรุนแรงใส่แม็กซ์ที่ยกขวดเหล้าหนี กันย์ที่อยู่ใกล้ๆ รั้งติณห์เอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะอาละวาด

“พอได้แล้วมึงอะ ดื่มเยอะขนาดนี้จะไปเรียนไหวได้ยังไงวะ ไหนบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนไง”
“เรื่องของกู เอาเหล้ามา!”

ชักจะเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้เลย ปกติจะเห็นผ่านหน้าเฟซบุ๊กเท่านั้น ติณห์ที่ผมเห็นเพอร์เฟ็กต์ไปหมดทุกด้าน แต่พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า...เขาก็เป็นคนเหมือนกับผมนี่แหละ มีเสียใจ มีรัก มีผิดหวังเป็น

“เอามาให้กู!”

ยิ่งเห็นเขาอาละวาด ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไปเล่นกับความรู้สึกของเขาอย่างนั้น ก่อนที่ความคิดนั้นจะเลือนหายไปเมื่อป้องพูดขึ้น

“กูว่าเอามันกลับก่อนดีกว่าว่ะ เดี๋ยวแม่งอาละวาดร้านพัง เก็บเงินเลยๆ”

ไม่มีใครขัด พร้อมใจกันเห็นด้วยเต็มที่ ก่อนที่หวยจะมาออกที่ผมหลังจากที่พวกเราจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว

“เดี๋ยวศิลป์ดูแลมันหน่อยนะ เราจะไปส่งนาเดียที่หอ ไอ้กันย์กับไอ้แม็กซ์มันต้องกลับบ้านคนละทาง ศิลป์อยู่หอเดียวกับมันก็ฝากด้วยแล้วกัน”

แล้วมึงจะให้กูแบกคนเมาขึ้นหอยังไง!?

ถ้าติณห์เมาแบบมีสตินะ ผมจะไม่ว่าเลย ยินดีด้วยซ้ำที่จะได้ดูแล แต่นี่เมาแบบหัวทิ่มเลยเถอะ หลังจากอาละวาดเป็นที่พอใจแล้ว สติสัมปชัญญะก็เหมือนจะเลือนหายไปหมด ขนาดเพื่อนๆ ยังต้องแบกออกมานอกร้านถึงสองคน แล้วผมตัวคนเดียวจะไปแบกยังไง

“แต่เรา...”
“เดี๋ยวเราเรียกแท็กซี่ให้ ที่หอมีลิฟต์ คงไม่ยากหรอกมั้ง”
“แต่ว่า...”

ผมจะบอกให้ใครสักคนไปช่วยผมนี่แหละ แต่พอเหลือบไปมองยังนาเดียที่หรี่ตามองผมแล้ว ผมก็จำต้องหุบปาก ยิ่งนาเดียพูดขึ้นมาด้วยว่า...

“คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ แค่ดูแลคนอกหักน่ะ”

ผมเลยต้องพยักหน้ารับไป

เออ ไม่มีปัญหาอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูรับผิดชอบเอง!

จะบอกผมเป็นนัยๆ นั่นแหละว่าเป็นความผิดของผมที่ทำให้ติณห์เป็นแบบนี้ ผมเลยต้องรับผิดชอบ

พอไม่เถียงอะไรอีก ไอ้พวกนั้นก็เรียกแท็กซี่ให้อย่างรวดเร็ว พากันแบกหัวแบกท้ายติณห์ขึ้นรถให้เสร็จสรรพ พอมาถึงหอ ผมก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากพี่ยามให้ช่วยแบกติณห์ลงมาจากรถ แล้วพาเขาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน กว่าจะขึ้นมาได้ก็เล่นเอาหอบฮั่ก ติณห์ใช่ว่าจะตัวเล็กๆ เสียที่ไหนล่ะ ผมตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ สูงแค่คิ้วเขาเองเถอะ

แต่สุดท้ายก็พากลับขึ้นห้องมาจนได้ล่ะนะ ทว่าความซวยยังไม่จบแค่นั้น เพราะว่า...

...คีย์การ์ดของห้องติณห์หายเว้ย!

หายไปไหนก็ไม่รู้ ล้วงในกระเป๋ากางเกงแล้วก็ไม่มี จะลงไปขอ คนดูแลหอก็ไม่อยู่แล้วเพราะมันดึกมาก ผมเลยยืนคิดว่าจะเอายังไงอยู่พักหนึ่ง จะให้ปล่อยเขานอนข้างหน้าห้องก็ไม่ได้ สุดท้ายก็เลยจำใจ ต้องพาเข้ามาในห้องของตัวเอง

แบกติณห์มาที่เตียงเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบจัดการเก็บโปสเตอร์รูปของเขาที่แปะอยู่บนผนังห้องออกจนเกลี้ยง ข้าวของเครื่องใช้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายแหล่ที่เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาก็รีบเก็บยัดทั้งในตู้และใต้เตียง กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาหอบจนลิ้นห้อย โชคดีที่เขาเมาจนไม่ได้สติ เลยไม่ได้เห็นว่าผมกำลังทำบ้าอะไร

เวรจริงๆ เลยไอ้ศิลป์เอ๊ย ทำไมจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ

ผมยีหัวตัวเองจนยุ่งไปหมด อยากจะด่าตัวเองนักที่สร้างเรื่องบ้าๆ ขึ้นมาให้ตัวเองเดือดร้อน แต่ก็ต้องระงับความคันปากนั่นเอาไว้เมื่อหูได้ยินเสียงครางเบาๆ มาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง

“ยู...”

ผมเดินเข้าไปใกล้ พลันเขาก็ละเมอออกมาอีก

“ทิ้งเราไปทำไม...”

สงสารเขาจับใจเลย เพราะพอสิ้นเสียง น้ำตาสีใสก็รินไหลออกมาจากหางตา

“ยู...เรารักยูนะ ทิ้งเราไปทำไม...”

ไม่ใช่แค่น้ำตาหยดเดียว ไหลพรากออกมาเป็นสายเลย เขาร้องไห้ทั้งที่ไม่มีสติ

ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยื่นมือไปลูบเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ เม้มริมฝีปากแน่น ในใจอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยความผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบแผ่วเบา

“เราขอโทษ”
พูดจบก็จะผละออกมา ทว่าข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“อย่า...อย่าไป”

ผมเบิกตาโตอย่างตกใจที่เห็นว่าติณห์ลืมตาขึ้นมา ใจงี้หายแวบเลย แล้วก็ยิ่งพรึงเพริดหนักเข้าไปอีกเมื่อถูกดึงเข้าไปหาเขาอย่างแรงจนผมล้มไปนอนทาบทับอยู่บนตัวเขา อะไรไม่ว่า...กอดผมด้วยเถอะ

โว้ย! โดนกอดเว้ย!

ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ชอบ ตะ...แต่มันต้องไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้!

“อย่าทิ้งเราไปได้ไหม”

ติณห์พึมพำ มองหน้าผมด้วยสายตาปรือๆ

“ระ...เราไม่ใช่...”

ผมจะบอกว่าผมไม่ใช่ยู เขาเมาแล้วก็กำลังเข้าใจผิด แต่บอกไม่ทันแล้ว เพราะพอพูดได้แค่นั้น ติณห์ก็พูดออกมาอีก

“เรารักยูนะ”

แล้วก็ใช้มือรั้งท้ายทอยผมให้โน้มลงต่ำ ริมฝีปากหนาก็เข้าครอบครองริมฝีปากผมทันที ขณะที่ผมเบิกตาโพลงยิ่งกว่าเดิม

จูบ!?

ชวนตะลึงพรึงเพริดหนักกว่าเดิมอีกเมื่อติณห์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ยังเอามือมาสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อของผม ลูบไปที่แผ่นหลัง
ขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนลงไปจับที่...

...ที่ก้น!

คลึงเคล้นขยุ้มขยำอย่างเมามันส์ ปากก็ประกบจูบอีกครั้ง ไม่ยอมให้ผมผละขัดขืนออกห่างได้เลย แทรกลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นผมอย่างโหยหา ส่วนผมก็ตาพร่าเลือน หัวสมองมึนเบลอกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหมด
นี่มันจะมั่วไปกันใหญ่แล้ว!

[1] Unloveable - Mild

[2] ขาดใจ - Pancake

[3] เข้ากันไม่ได้ - Synkornize feat. Muzu

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2017 16:42:00 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่าวเฮ้ยย  :o8: :o8:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
08: สถานะตัดใจไม่ได้

“ดะ...เดี๋ยวนะติณห์”

พอริมฝีปากเป็นอิสระ ผมก็รีบร้องท้วง แต่ก็ร้องได้เท่านั้นแหละเพราะติณห์ไม่ฟังอะไรแล้ว จับผมที่นอนอยู่บนตัวเขาพลิกลงมานอนบนเตียง เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมเป็นฝ่ายอยู่ด้านล่างเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเขาก็เหยียดตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล จับขาทั้งสองข้างของผมแยกออก แทรกตัวเข้ามาตรงกลาง มือทั้งสองข้างถอดเสื้อตัวเองโยนทิ้งไปข้างเตียง หลังจากนั้นก็มาปลดเข็มขัดกางเกง รูดซิปลง ทำเอาผมเผลอปราดมองไปยังกางเกงบ็อกเซอร์ที่โผล่ออกมาให้เห็น พลันกลืนน้ำลายเอื้อก

เฮ้ยๆๆ ไปไกลแล้ว!

แต่...ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ยอมปัดป้อง พอถูกติณห์โน้มหน้าลงมาจูบอีกครั้งก็ดันจูบตอบไปเสียอย่างนั้นอะ ก่อนที่จะต้องตัวร้อนผ่าวไปทั้งร่างเมื่อติณห์ลูบลากมือเข้ามาที่ใต้เสื้อผมจนไปโดนส่วนอ่อนไหวอะไรต่อมิอะไรข้างใน แล้วก็ทำให้ผมพรึงเพริดมากขึ้นไปอีกเมื่อติณห์ประทับจูบลงมาบนยอดอกข้างหนึ่งของผม

แอ๊มมม กอนนาสวิง ฟอร์มเดอะแชนเดอร์เลี้ยยยย... เพลง Chandelier ของ Sia แม่งแวบเข้ามาในหัวเลย

ไม่ตัดเข้าโคมไฟแล้ว เล่นใหญ่เบอร์นี้ต้องตัดเข้าแชนเดอร์เลีย โว้ย! สติโว้ย!

บอกตัวเองนี่แหละว่าให้มีสติ ดันเคลิ้มไปกับการกระตุ้นเร้าอีก แต่ต่อให้บอกตัวเองยังไง ผมก็ห้ามอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว แขนโอบกอดแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า คิดในใจว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเลย ได้ถูกติณห์กอด ชาตินี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

ทว่า...ความคิดบ้าบอคอแตกก็ต้องมีอันสลายไปทันทีที่หูของผมได้ยินเสียงกระซิบ

“ยู...เรารักยูนะ”

ตอนนี้แหละตาสว่างเลย

ทำบ้าอะไรของมึงอยู่วะไอ้ศิลป์ คนที่ติณห์อยากกอดคือยูต่างหากเว้ย!

แขนที่โอบกอดติณห์อยู่คลายออกทันที ในใจปวดร้าวขึ้นมาที่รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้ว คนที่ติณห์โหยหาคือยูตัวปลอมต่างหาก ไม่ใช่ผม ผมเลยเอามือมาดันหน้าอกเขาให้ถอยออกห่างพลางว่า

“ติณห์ เดี๋ยวก่อนนะ เราไม่ใช่ยู”

พูดไปก็เจ็บไป เริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดียังไง มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ความรู้สึกของติณห์คนเดียวละ แต่มันกระทบต่อความรู้สึกของผมด้วย

อ้อมกอดนี้ ติณห์มีไว้ให้ยูตัวปลอม

จูบนี้ก็มีไว้ให้ยูตัวปลอม

ความรักก็มีไว้ให้ยูตัวปลอมเช่นกัน

ในสายตาเขาไม่ได้มีผมเลย...

“พอได้แล้วติณห์ หยุด”

ผมเริ่มเสียงแข็งเมื่อติณห์ไม่ยอมหยุดง่ายๆ เอาแต่ซุกไซ้ใบหน้าลงบนซอกคอผม จนผมต้องขึ้นเสียง

“บอกให้หยุดไงติณห์! พอได้แล้ว!”

ตอนนี้ถึงได้หยุด แต่ไม่ใช่หยุดเพราะผมสั่ง เป็นเพราะจู่ๆ เขาก็หลับคาซอกคอผมไปต่างหาก

เพราะเมาสินะ...

สังเวชตัวเองยิ่งกว่าเดิมอีก ไม่ใช่แค่เผลอปล้ำผมเพราะหลงคิดว่าผมเป็นยูอย่างเดียวไม่พอ ยังจะเป็นเพราะเมาอีกด้วย
ผมถอนหายใจยาว ลูบแผ่นหลังของติณห์เบาๆ เป็นการปลอบทันทีที่ได้ยินเขาพึมพำ

“ทิ้งเราไปทำไมยู...”

จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนจากของเหลวบางอย่าง

คงจะร้องไห้อีกแล้วสินะ

ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เลยปล่อยให้เลยตามเลย กระทั่งติณห์ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ถึงได้จับเขาพลิกไปนอนข้างๆ ส่วนตัวเองก็นั่งมองคนที่หลับอยู่เงียบๆ

ผมหลอกเขาว่าตัวเองเป็นยู ดีใจที่ได้เป็นแฟนปลอมๆ กับเขาเพื่อจะได้เห็นเขาเสียใจอย่างนั้นเหรอ?

แน่นอนว่าไม่ใช่ ผมอยากเห็นเขายิ้มมากกว่า อยากเห็นรอยยิ้มเหมือนในรูปที่เขาถ่ายลงเฟซบุ๊กหรือไม่ก็พวกรูปโปสเตอร์ที่เขาไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าให้

ผมมองไปตามรูปของเขาที่แปะอยู่ทั่วห้องแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

บางทีการกลับไปเป็นติ่งแล้วอยู่เงียบๆ เหมือนเดิม ไม่ต้องให้เขารับรู้ตัวตนน่าจะดีกว่า

เขาก็อยู่ในโลกของเขา ส่วนผมก็อยู่ในโลกของผม

ผมลุกขึ้นไปแกะเอาพวกรูปโปสเตอร์ต่างๆ ออกมารวบรวมใส่ในกล่องแล้วเก็บไว้ใต้เตียงเพราะกลัวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ติณห์ตื่นมาเห็นแล้วจะตกใจ เขาไม่ควรรู้ว่าผมเป็นติ่งตัวพ่อของเขา รู้แค่ว่าผมเป็นลูกพี่ลูกน้องของยูก็พอ

ลูกพี่ลูกน้องของอดีตแฟนจอมปลอมของเขาที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด

นั่นแหละ สถานะที่ผมควรจะเป็นล่ะ




 
วันใหม่มาถึง ติณห์ตื่นมาในสภาพไม่ค่อยดีนัก ดูท่าทางจะยังไม่สร่างเมาเท่าไหร่ เขาดูตกใจมากทีเดียวตอนเห็นผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือปลายเตียง พอผมบอกว่าเพราะเขาเมา แล้วยังทำคีย์การ์ดห้องตัวเองหายก็เลยพากลับเข้าห้องไม่ได้ ผมจึงต้องพามานอนที่ห้องผมก่อน เท่านั้นติณห์ก็มีท่าทีสงบลง ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองพลางว่า

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”
“อือ”

ผมสิต้องเป็นฝ่ายที่ขอโทษน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะผม เขาก็คงไม่ตกอยู่ในสถานะแบบนี้

แต่ผมไม่พูด แค่รู้สึกผิดในใจตามลำพัง ก่อนถามออกไป

“แล้ว...ยังคลื่นไส้อยู่ไหม พอดีเราซื้อพวกน้ำผลไม้มา อยู่ในตู้เย็นน่ะ ถ้ายังคลื่นไส้อยู่ เดี๋ยวเราไปเอามาให้ดื่มจะได้ดีขึ้น”
“อืม นิดๆ”

เท่านั้น ผมก็ลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำส้มกล่องออกมาเอาหลอดเจาะแล้วส่งให้เขา

“ขอบใจนะ”

ผมยิ้มให้เป็นคำตอบ มองติณห์จิบน้ำส้มเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาอีก

“เมื่อคืนนี้เราเมามากเลยเหรอ”
“ก็เละเหมือนกันอะ”
“แล้วนี่อย่าบอกนะว่าแบกเรามาที่นี่คนเดียว”

ผมพยักหน้า เท่านั้นติณห์ก็พึมพำออกมา

“ไอ้พวกเพื่อนเวรนี่ ปัดภาระเลยนะพวกมึง”

ผมพอจะเดาได้เลยว่าเพื่อนของติณห์แต่ละคนคงจะไม่อยากมานั่งฟังเขาคร่ำครวญ หรือไม่ก็กอดคอหลับที่โถส้วมในห้องน้ำ ไม่ก็ตามเช็ดอ้วกล่ะมั้งถึงได้โยนหน้าที่มาให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรหรอก มันก็ดีอยู่ที่ได้ใกล้ชิดเขา แต่ไม่ดีอยู่อย่างนึงก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

ก็ว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้วนะ แต่จู่ๆ ติณห์ก็ถาม

“เมื่อคืนนี้เราอ้วกไหม”
“ไม่นะ”
“แล้วเมาเรื้อนหรือทำอะไรให้นายลำบากหรือเปล่า”
“ก็...ไม่นี่”

อยากจะบอกว่ามันก็มีอยู่เรื่องนึง แต่ช่างมันเถอะ ไม่พูดถึงจะดีกว่า

“ขอบใจนะที่ช่วยดูแลเรา ถ้าศิลป์ไม่ช่วย เราคงถูกปล่อยให้นอนอยู่ที่ร้านเหล้าแล้วล่ะมั้ง”
ผมหัวเราะแห้งๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจเราหรอก เราก็แค่อยากทำให้”

และจะทำให้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้วไม่ว่าทางไหนทั้งนั้น เป็นติ่งอย่างเดียวพอ
ประโยคนี้ก็ไม่ได้พูด แค่คิดในใจ ติณห์ก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วส่งกล่องน้ำส้มคืนให้ผม

“เราขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหม ยังมึนหัวอยู่เลย”
“อือ เอาสิ ตามสบายเลย แต่เช้านี้เรามีเรียนนะ ติณห์อยู่ห้องเราไปก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยไปขอคีย์การ์ดใหม่ที่นิติฯ ข้างล่างแล้วกัน ถ้าออกไปแล้วก็ฝากล็อกห้องให้เราด้วยนะ เดี๋ยวเราเอาคีย์การ์ดไป”
“ได้ ขอบใจนะ”

แล้วบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นี้ ติณห์ทิ้งตัวลงนอน ซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้ม ไม่นานก็ผล็อยหลับไป ผมลุกไปแต่งตัว หยิบข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเอกสารแล้วเตรียมตัวจะออกมา แต่ก็ต้องชะงัก เดินกลับไปยืนมองหน้าติณห์ที่หลับไปแล้วนิ่งๆ
จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมได้เห็นเขาใกล้ๆ แบบนี้

ขอโทษนะติณห์... เราจะเฟดตัวเองออกจากชีวิตติณห์เร็วๆ นี้ล่ะ




 
“หล่อนก็เลยจะย้ายออกจากหอเดิมอย่างนั้นสินะ”

เป็นประโยคแรกที่นาเดียพูดกับผมหลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงการแก้ปัญหาที่ผมตั้งใจจะทำด้วย ซึ่งใช่... ผมจะย้ายออกจากหอเดิม เพราะติณห์อยู่ห้องข้างๆ ยังไงดูแล้วเขาคงไม่ย้ายออกง่ายๆ เพราะน่าจะรอวันที่ยูกลับมา ซึ่งแน่นอนว่ามันจะไม่มีวันนั้น ยูไม่ได้อยู่ห้องข้างๆ สักหน่อย

“ก็จะให้เราทำยังไงได้ล่ะ ย้ายไปแหละดีแล้ว”

ได้ยินผมพูดอย่างนั้น นาเดียก็ถอนหายใจ คว้าแก้วน้ำมาถือในมือ ใช้มืออีกข้างจับหลอดคนน้ำในแก้วเล่น

“ก็แล้วแต่หล่อนจะตัดสินใจนะ แต่ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี”
“ทำไมล่ะ”
“แล้วหล่อนคิดว่าการหนีปัญหาอย่างนั้นมันคือวิธีที่ถูกต้องแล้วหรือไง”

ถูกย้อนถามมาอย่างนี้ ผมก็นิ่ง

ใช่...ผมกำลังจะหนีปัญหา ก็ให้ทำยังไงได้ล่ะ ตอนนี้ผมสำเหนียกตัวเองได้แล้วว่าต่อให้เป็นไอ้ศิลป์คนนี้ ผมก็ไม่มีวันที่จะเข้าไปอยู่ในใจของติณห์ได้ อะไรไม่ว่า ผมไม่มียางอายพอที่จะทำแบบนั้นด้วย ความตั้งใจ ความดี๊ด๊าในตอนแรกมลายหายไปเกลี้ยง มีแต่ความสำเหนียกตัวเองว่าไอ้สิ่งที่ผมคิดๆ ไว้ตั้งแต่แรกน่ะ มันโคตรจะไร้สาระเลย แล้วก็...

“แต่เราไม่อยากเห็นแก่ตัวอีกแล้ว”

นั่นแหละที่ผมจะบอก ไม่อยากจะเห็นแก่ตัว คิดแต่ความสุขของตัวเองอีกแล้ว

นาเดียถอนหายใจออกมา กลอกตาแล้วว่าอย่างระอา

“แต่การที่หล่อนจะหนีปัญหาแล้วทิ้งให้ติณห์แก้สิ่งที่หล่อนก่อไว้คนเดียว มันก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง หล่อนคิดว่าติณห์ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ถึงจะตัดใจจากยูปลอมๆ ที่หล่อนสร้างขึ้นได้กัน”

ผมนิ่งไปอีก ลืมคิดถึงจุดนี้ไปสนิทเลย

นั่นสินะ เมื่อไหร่กันที่ติณห์จะตัดใจได้...

“ก็แล้วแต่หล่อนนะ ฉันก็พูดได้แค่นี้ ปัญหาของหล่อน หล่อนเป็นคนผูกปมไว้ก็ต้องแก้เอง หรือจะโยนทิ้งไปเลย ให้คนที่หล่อน ‘ชอบมาก’ ตามแก้ปัญหาที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตามใจ”

นาเดียจงใจเน้นคำว่า ‘ชอบมาก’ เป็นพิเศษ ตอกน้ำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ผมเลยจะแก้ตัว

“แต่ว่าเรา...”

แล้วก็ถูกเพื่อนสาวยกมือขึ้นเป็นปางค์ห้ามญาติเอาไว้ ก่อนที่จะสวนคืนกลับมา

“ไม่ต้องมาแก้ตัวหรือให้เหตุผลอะไรกับฉันหรอกย่ะ สิ่งที่หล่อนควรทำคือโน่นนน ไปดูแลติณห์โน่น ไปจัดการปัญหาซะ ไม่ใช่มาบอกกับฉันอย่างโน้นอย่างนี้”

ผมพูดต่อไม่ออกเลยพอถูกนาเดียปัดวาระนี้ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ถึงจะน่าเคืองอยู่สักหน่อยแต่ก็จริงอย่างที่เธอพูด ผมควรเอาเวลาไปจัดการเรื่องนี้กับติณห์มากกว่า ก่อนที่จะเงียบนิ่งไป เปิดปากพูดอีกทีก็ตอนที่นาเดียชวนไปเข้าคลาสเรียนตอนบ่ายเมื่อถึงเวลา ขณะที่ในหัวผมคิดครุ่นไม่หยุดว่าจะทำยังไงกับปัญหานี้ดี




 
เอาเข้าจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่ใช่ไม่คิดจะทำ คิด...แต่คิดไม่ออกว่าจะทำอะไร มีความสับสนในชีวิตสูงมาก สุดท้ายก็เลยได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยเสียเวลาเปล่า ตั้งแต่วันนั้นที่ติณห์เมาไปนอนห้องของผม กลับมาถึงหอก็ไม่เห็นเขาอยู่แล้ว หลังจากนั้นเวลาเจอกัน ผมก็ทักทายเขาบ้าง แต่เป็นการทักทายที่โคตรจะห่างเหินเลย เช่น พยักหน้าให้ ยิ้มให้ก็เท่านั้น เวลาที่ป้องลากเพื่อนๆ ไปกินข้าวกลางวันกับนาเดียโดยมีผมไปด้วย ผมก็แค่ยิ้มทักเขาเฉยๆ แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกัน มันดูไม่ค่อยดีนะ แต่จริงๆ แล้วมันดี ดีตรงที่เขากลับมาเรียนได้ตามปกติแล้วน่ะ

อันที่จริงจะจะบอกว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก ติณห์ก็ยังมีท่าทางซึมๆ อยู่ ที่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาซึมจริงๆ คือ...เขาไม่อัปเดตสถานะเฟซบุ๊กเลย รูปอะไรก็ไม่มีทั้งที่จริงๆ เขาเป็นคนติดโซเชียลมาก ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจจะไปดูเรื่องพวกนั้นหรอก เอาแต่สังเกตเขาตัวเป็นๆ มากกว่า กระทั่งมีคนมาตั้งกระทู้ในบอร์ดที่ผมดูแลอยู่ ผมก็เลยฉุกใจคิดเรื่องนี้ขึ้นมา
 
‘กระทู้คำถาม: ช่วงนี้พ่อแมวไม่อัปเดตชีวิตเลย มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?’
 
ความคิดเห็นที่ 1: ช่วงนี้ที่มหา’ลัยใกล้สอบหรือเปล่า
 
ความคิดเห็นที่ 2: ช่วงนี้ที่ ม.ตินตินไม่มีสอบนะ
 
ความคิดเห็นที่ 3: ป่วยหรือเปล่า
 
ความคิดเห็นที่ 4: ล่าสุดเห็นที่ ม.ก็ปกติดีนะคะ ป.ล.เราเรียนที่เดียวกับพ่อแมวค่ะ แอร๊!

 
และอีกหลากหลายความเห็นมากมายที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา คงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่...จู่ๆ ผมก็มาสะดุดกับความคิดเห็นหนึ่งเข้า

ความคิดเห็นที่ 10: ตอบ คห.4 เมนต์บนคุณ เขาคงหมายถึงป่วยใจน่ะครับ ไม่ใช่ป่วยกาย โรคซึมเศร้าไรงี้

 
“โรคซึมเศร้าเหรอ...”

ผมครางออกมา ในใจก็รู้สึกเป็นห่วงติณห์ขึ้นมาแปลกๆ ว่ากันว่าไอ้โรคซึมเศร้าเนี่ยมันดูออกยากมากเลยนะว่าใครเป็นหรือไม่เป็น บางคนรู้ตัวอีกทีก็เป็นหนักแล้ว ผมไม่เป็นห่วงอะไรเลยเท่ากับการที่รู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฆ่าตัวตายได้

เท่านั้นแหละ ผมก็อยู่ไม่สุข รีบเข้าไปเช็กความเคลื่อนไหวของติณห์ทันที สถานะที่เขาอัปเดตล่าสุดก็ตั้งแต่ครั้งก่อนโน้นที่ผมเห็น จากนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวอะไรอีกเลย เอาซิมส์การ์ดโทรศัพท์เบอร์เก่าที่เคยใช้ติดต่อเขามาเปิดดู ก็ไม่เห็นว่ามีข้อความมิสคอลล์หรือข้อความอะไรแสดงให้เห็น

หรือว่า...ติณห์คิดที่จะ...

โอเค เป็นห่วงจนลุกลี้ลุกลนละ ผมสูดหายใจเข้าปอด บอกตัวเองให้ใจเย็นๆ รอจนกระทั่งถึงหัวค่ำเพราะช่วงนั้น ติณห์น่าจะกลับจากมหาวิทยาลัยแล้ว จากนั้นก็รีบออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเขารัวๆ

เคาะอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับ ผมยิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ เอาโทรศัพท์มาโทรออกหานาเดีย ฝากให้เธอถามป้องว่าติณห์ออกจากคณะมาหรือยัง พอได้ยินคำตอบว่ากลับไปตั้งนานแล้ว ผมก็ยิ่งใจไม่ดีใหญ่

ถ้าออกจากคณะ ออกจากมหาวิทยาลัยมาแล้ว แต่ไม่กลับห้อง... แล้วติณห์จะไปที่ไหน

ผมรัวเคาะประตูไม่หยุด สักพักก็เริ่มทนไม่ไหว กดเบอร์เขาแล้วโทรออกทั้งที่ไม่ควรจะโทร ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจากที่ไม่ไกลนัก

เดี๋ยวนะ เสียงโทรศัพท์ดังเหรอ หรือว่า...

ผมรีบหันไปมองทางด้านหลังทันที เท่านั้นก็เห็นว่าเสียงมันดังมาจากผู้ชายที่ยืนหอบข้าวของสัมภาระตรงหน้า และผู้ชายคนนั้นก็คือ...

“ติณห์”

ผมครางออกมา ขณะที่ติณห์มองผมนิ่ง

“มายืนทำอะไรที่หน้าห้องเราเหรอ”
“คือ...เราเห็นว่าถึงเวลากินข้าวเย็นแล้วน่ะ ก็เลยจะมาชวนไปกินด้วยกัน”

ต้องขอบคุณความตอแหลตลบตะแลงของตัวเองที่ทำให้หัวไวขนาดนี้ ก่อนที่ติณห์จะพยักหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชู

“โทรหาเราเหรอ”
“อะ...อือ”
“เอาเบอร์เรามาจากไหน”

ถูกถามมาอย่างนี้ ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่าผมในฐานะศิลป์ไม่มีเบอร์ติณห์ แต่ถ้าอยู่ในฐานะยูตัวปลอม ผมดันท่องจำเบอร์เขาได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะรีบโกหกไปอีกรอบ

“ระ...เราขอมาจากนาเดียน่ะ นาเดียมีเบอร์เพื่อนของป้องทุกคน เอาไว้ใช้โทรตามป้อง เราก็เลยขอมา”

โบ้ยขี้ให้เพื่อนซะเลย แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้านาเดียคบหากับใครเป็นแฟนแบบจริงจังแล้ว เธอจะขอเบอร์เพื่อนสนิทแฟนเอาไว้หมด ไว้ใช้โทรตามแฟนประสาผู้หญิงขี้จุกจิก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นในตอนนี้ก็คือ...กูใช้เบอร์เก่าโทรหาติณห์หรือเปล่าวะ!?

เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ถ้าใช้เบอร์เก่าโทรนี่มีหวังงานงอกแน่ ถูกจับพิรุธได้อย่างแน่นอน ยิ่งถูกติณห์ถามมาว่า...

“เบอร์นี้เบอร์ศิลป์เหรอ”

ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ

“เอ่อ...”

เปลี่ยนซิมส์ไปหรือเปล่าวะ โอ๊ย จำไม่ได้!

ผมหลุกหลิกขึ้นมาทันควัน แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อติณห์พูดออกมาอีก

“เราจะได้เมมไว้ ยังไม่มีเบอร์ศิลป์เลย”

ดูท่าจะไม่ใช่เบอร์เก่าสินะ ค่อยยังชั่ว สงสัยเปลี่ยนคืนแล้วจำไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ

“อือ เบอร์เราเอง เมมไว้เลย มีอะไรจะได้โทรหากัน”

ผมยิ้มแห้งๆ ตอบรับไปตามประสา ติณห์พยักหน้า เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเมื่อจัดการเสร็จสิ้น ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดออกมา

“งั้นเดี๋ยวรอเราเก็บของแป๊บนึงนะ จะได้ไปกินข้าวกัน กินข้าวคนเดียวมาเป็นอาทิตย์แล้ว ไปกินกับศิลป์บ้างก็ดีเหมือนกัน”

ผมพยักหน้ารัวๆ จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเขา สุดท้ายก็ต้องกลับมาข้องเกี่ยวเพราะเป็นห่วงจนได้

ตัดใจไม่ได้... ไม่ใช่แค่ติณห์คนเดียวหรอกที่อยู่ในสถานะนี้ ผมเองก็เหมือนกัน ตัดเขาไม่ลงเลยให้ตาย

ตัดไม่ลงยิ่งกว่าเดิมด้วยเมื่อจู่ๆ ติณห์ที่ผลุบหายเข้าไปในห้องโผล่หน้ากลับออกมาทั้งที่ยังไม่ได้วางของในมือลงเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

“เออศิลป์ เรามีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยหน่อย”
“อะไรเหรอ”

ติณห์มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาฉับพลัน

“จริงๆ เราก็ไม่อยากจะขอร้องศิลป์หรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของเรา แต่เราก็ไม่อยากจะไปรบกวนเพื่อนคนอื่นในตอนนี้เหมือนกัน”
“ถ้าช่วยได้ เราก็จะช่วยนะ”

ผมบอกเพื่อให้เขาสบายใจ ผมยินดีช่วยอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับยูน่ะนะ แต่ในใจก็คิดว่าคงจะหนีไม่พ้นเรื่องนี้อย่างแน่นอน ขณะที่ติณห์มีสีหน้าหนักใจมากขึ้นไปอีก

“คือว่า...”
แล้วก็ไม่ยอมพูดจนผมต้องออกปากถาม
“คือว่าอะไร”
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

รู้เลยว่าเขาไม่อยากจะขอร้อง แต่ที่พูดออกมาในตอนแรกมันก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่รู้จะพึ่งใครแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงได้มาบอกกับผมอย่างนั้นน่ะ ผมเลยเค้นถามไปอีก

“จะไม่มีอะไรได้ไง ก็ติณห์บอกเราอยู่ว่ามีเรื่องอยากให้ช่วย”
“แต่มันไม่เกี่ยวกับศิลป์”
“คิดว่าเราเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่ก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ บอกมาเถอะถ้าไม่ใช่เรื่องของยูน่ะ”

ผมรีบดักคอเลยทั้งที่รู้ว่าไม่ควรจะพูด ติณห์หัวเราะแห้งๆ ออกมาเล็กน้อย คงจะเสียหน้าอยู่เหมือนกันที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น และผมก็คิดว่ามันน่าจะจบลงโดยการที่ติณห์ไม่ยอมบอกอะไร แต่ผิดคาดเพราะสิ่งที่ติณห์อยากให้ผมช่วยมันไม่ใช่เรื่องของยู แต่เป็นเรื่อง...

“เราขอยืมเงินกินข้าวหน่อยดิ ตังค์หมดอะ”

ดะ...เดี๋ยวนะ นี่จะยืมเงินหรอกเหรอ

หนังคนละม้วนจากที่คิดไว้เลยนี่หว่า!
------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ มาๆ หายๆ อีกละ งานเยอะเหลือเกิน ฮา
เกาะกันไว้นะคะ พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่จ้า

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
สงสารติณห์จับใจ น้ำตาไหลเลยเรา เฮ้อออออ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
อดใจไม่ไหว ตามไปอ่านมา อิอิ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามจ้าตาม  :mew1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
มารอค่าาา กำลังลุ้น  :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด