07: สถานะหมดอาลัยตายอยากบอกไปแล้ว...
ผมบอกเลิกติณห์ไปแล้ว...
ถึงจะรู้สึกแย่ แต่ก็ยอมรับตามตรงเลยว่าโล่งใจฉิบเป๋งที่เรื่องมันจบสักที พอวางสายตาติณห์ได้ ผมถึงกับนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปตลอดทั้งคืนโดยไม่หลับ ขณะที่ติณห์ยังคงเทียวโทรมาไม่หยุดหย่อน และแน่นอนว่าผมไม่ได้รับสักสาย แม้แต่ข้อความก็ไม่ได้เปิดดู จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ติณห์ไม่โทรมาแล้ว ผมเลยปิดโทรศัพท์ ถอดซิมส์การ์ดออก ตั้งใจว่าจะไปเปลี่ยนเบอร์ใหม่เพราะถ้ายังใช้เบอร์เดิมอยู่ มีหวังความลับคงได้แตกเข้าสักวัน ส่วนเฟซบุ๊กนั่น...ผมก็ปิดแอคเคานท์ไป เอาเป็นว่าบล็อกทุกช่องทางที่ติณห์จะติดต่อได้เลยอะ
เลิกแล้วก็ต้องเลิกให้ขาด... ผมหมายถึงเลิกกันในสถานะแฟนจอมปลอมน่ะนะ ต่อไปนี้ผมจะไม่แสร้งทำตัวเป็นยูอีกแล้ว เข้าหาติณห์ด้วยความเป็นไอ้ศิลป์นี่แหละ
ทว่า...มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะหลังจากที่ผมตัดการติดต่อของติณห์ทุกช่องทาง ผมก็ตั้งใจว่าจะสานต่อสัมพันธ์ระหว่างผมกับติณห์โดยการเริ่มจากเพื่อน เฝ้ารอติณห์มากินข้าวกับพวกป้องตอนเที่ยงทุกวัน แต่ก็ไม่มีวันไหนเลยสักวันที่ติณห์จะโผล่หน้ามาให้เห็น พอถามพวกเพื่อนๆ ของเขา ผมก็ได้คำตอบว่า...
“เราก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน นี่ไม่มาเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว ไปหาที่ห้องก็ไม่มีใครอยู่ ว่าแต่ศิลป์อยู่ข้างห้องมันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมันบ้างหรือไง”
เออ จะว่าไป ผมก็ไม่เห็นหน้าติณห์เลยตั้งแต่วันนั้นเหมือนกันนะ ไม่เห็นออกไปกินข้าวหรือไปซื้ออะไรเลย ปิดห้องเงียบเชียบ แต่ผมมั่นใจนะว่าเขาไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องนั่นแหละ เพราะถ้าออก ผมก็ต้องได้ยินเสียงสิ
แต่...ถึงจะไม่ได้ออก ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะ หรือว่า...จะฆ่าตัวตาย?
ไม่อยากจะคิดในแง่ลบอย่างนั้นเลย ทว่าผมก็อดคิดไม่ได้ ตามติ่งติณห์มานาน ผมก็พอรู้อยู่ว่าเขาเป็นคนเซ้นส์ซิทีฟแค่ไหน ผมเลยรีบเข้าไปเช็กความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กของเขาเผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มีการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพใดๆ ทั้งที่ปกติแล้วจะต้องโพสต์หนึ่งนาที สามสเตตัสทั้งวัน
หรือว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ?
ผมเป็นห่วงจนอยู่ไม่สุข วันนี้เลยโดดเรียนกลับหอทันที ไปเคาะห้องเรียกอยู่นานจนป้าแม่บ้านต้องมาบอกว่าเห็นเขาออกไปข้างนอกเมื่อกี้ ผมเดาว่าเขาคงจะไปหาอะไรกินน่ะนะ เลยรีบวิ่งลงไปข้างล่างเผื่อจะได้เจอ แต่แล้วก็ต้องกินแห้วเพราะที่ร้านอาหารตามสั่งข้างล่างก็ไม่มีติณห์เหมือนกัน
เอาเถอะ แค่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ผมก็โล่งใจแล้ว
แต่หลังจากนั้น ผมก็ยังไม่ได้เจอเขาเหมือนเดิมนะ ลองเอาซิมส์การ์ดเก่าใส่โทรศัพท์ดูเพื่อเช็กว่าเขาโทรมาบ้างหรือเปล่า ก็ไม่มีข้อความเตือนมิสคอลล์จากเขาเหมือนกัน ข้อความอะไรในโปรแกรมแชทก็ไม่มี
สงสัยจะตัดใจได้แล้วมั้ง...
ผมดีใจนะถ้าเขาตัดใจจากผมที่แสร้งเป็นยูได้ แต่ใครมันจะไปทำได้เพียงแค่ไม่กี่วันวะ ผมรู้เลยว่าเขากำลังเฮิร์ตหนัก เพราะหลังจากวันนั้นก็ยังไม่ไปเรียน เพื่อนมาตามถึงห้องก็ไม่เปิดห้องให้ แถมพวกเพื่อนๆ ของติณห์ก็แสนดีเหลือเกิ๊นนน เห็นติณห์ไม่ยอมเปิดห้องให้ก็ไม่รบกวน ปล่อยให้เฮิร์ตจนสมใจอยาก จนในที่สุดผมก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจตรงดิ่งไปเคาะห้องเขาทันทีที่กลับมาถึงหอ
“ติณห์...อยู่ไหม”
ไม่เคาะเปล่า ร้องเรียกด้วย แต่มีแค่ความเงียบงันตอบกลับมาเท่านั้น
“ติณห์ เราศิลป์เองนะ เปิดประตูให้หน่อย”
ลองเรียกดูอีกทีก็ยังเงียบ
“ติณห์...”
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้องที่ท่านเรียก ยืนเคาะมาเกือบชั่วโมงก็ยังไม่เปิด
โอเค วันนี้ผมถอดใจแล้ว กลับห้องก่อน ไว้เดี๋ยวค่อยมาใหม่
ผมตั้งใจไว้เลยว่าจะมาเคาะเรียกเขาทุกวัน อย่างน้อยก็ต้องได้เจอหน้าให้สบายใจหน่อย ก่อนจะกลับเข้าห้องมา ตรงไปอาบน้ำแล้วกะจะกินข้าวเย็นที่ซื้อมากินบนห้อง ทว่าพอผมเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ยังนอกระเบียงห้อง หูผมก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึ๊ง’ แว่วเข้าหู
มันคือเสียงโทรศัพท์นั่นแหละ แต่...ไม่ใช่โทรศัพท์ของผม
ผมเลยรีบชะโงกหน้าไปมองยังห้องข้างๆ ทันใด ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นโทรศัพท์ของติณห์
ใช่! โทรศัพท์ของติณห์ อยู่ในมือติณห์ แล้วติณห์ก็...ยืนอยู่ตรงระเบียง!
ถ้ายืนอยู่เฉยๆ ผมจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่นี่ยืนหันหน้าออกนอกระเบียง แล้วยืนซะชิดกับขอบปูนเลย ท่าทางเหมือนจะกระโดดลงไปยังไงก็ไม่รู้ ผมเลยรีบร้องห้ามทันควัน
“เฮ้ยติณห์! อย่าโดดนะ!”
ผ้าเช็ดตัวที่พันเอวอยู่หลุดลุ่ยไปก็ไม่สนละ ใครจะเห็นหรรมก็ปล่อยแม่ง ตอนนี้ชีวิตติณห์สำคัญที่สุด
พอได้ยินเสียงเรียก ติณห์ก็หันมามองหน้าผมช้าๆ ผมชะงักไปทันทีที่เห็นสีหน้าของเขา
โห...ตาโคตรโหลอะ โทรมโคตร ได้นอนบ้างไหมวะเนี่ย
จากที่ห้ามๆ อยู่ พูดไม่ออกเลย ก่อนที่ติณห์จะเหลือบมองมายังลำตัวของผมแล้วว่าเนิบๆ
“โป๊แล้วนั่น”
เป็นน้ำเสียงที่เหมือนจะปกตินะ แต่มันไม่ปกติ ผมเองก็ได้สติขึ้นมาในตอนนี้ รีบคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาพันเอวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบพูด
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะติณห์ กลับเข้าห้องไปก่อน แล้วเดี๋ยวเปิดประตูให้เราด้วย เดี๋ยวเราไปหา”
ติณห์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่อยู่ฟังแล้ว รีบพุ่งออกจากห้องของตัวเองไปเคาะประตูห้องติณห์เร็วๆ ไม่สนใจที่จะใส่เสื้อผ้าด้วย วิ่งมันออกไปทั้งผ้าเช็ดตัวนี่แหละ ตอนนี้ชีวิตของติณห์สำคัญกว่าเรื่องโป๊แล้ว
รอแป๊บเดียว ติณห์ก็มาเปิด ผมพรวดพราดเข้าห้องเขาไปเลย ก่อนจะปิดประตูแล้วพูดเร็วๆ
“เมื่อกี้จะทำอะไรน่ะ จะกระโดดลงไปใช่ไหม”
ไม่ต้องถาม ผมก็พอจะรู้ว่าสีหน้าผมในตอนนี้ดูตื่นตูมแค่ไหน
ติณห์มองหน้าผมอย่างเหนื่อยๆ แล้วว่าออกมาช้าๆ
“ไม่ได้จะกระโดด”
“จริงเหรอ”
“อืม แค่ออกไปยืนรับลม”
“แน่ใจนะ”
“อืม เราจะกระโดดลงไปทำไมล่ะ”
“ก็คิดว่าจะฆ่าตัวตายอะไรแบบนั้นน่ะ” ผมว่า
ติณห์ยกยิ้มแบบฝืนๆ แล้วสวนกลับมา
“ทำไมเราจะต้องฆ่าตัวตายด้วย”
“ก็...อกหักไม่ใช่เหรอ”
“รู้ได้ไงว่าเราอกหัก เรายังไม่ได้บอกใครเลย”
ผมชะงักไปอีกรอบ นึกขึ้นมาได้อีกรอบว่าพวกเพื่อนๆ ของเขาก็ยังไม่รู้ว่าที่ติณห์หายหน้าหายตาไปเป็นเพราะอะไร ก่อนที่ผมจะรีบพูดเร็วๆ
“ระ...เราก็เดาไปเรื่อยนะ ดูจากสภาพของติณห์แล้ว มันเหมือนคนอกหักยังไงไม่รู้ ตางี้โหลเชียว หนวดเคราก็ไม่เกิน สงสัยน้ำท่าก็ไม่อาบด้วยมั้งเนี่ย เสื้อผ้ายับยู่เชียว”
หัวเราะตบท้ายกลบเกลื่อนไปอีกหน่อย ซึ่งก็น่าจะใช่ เพราะพอสิ้นเสียงผม ติณห์ก็ยกยิ้มฝืนๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“สภาพให้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมพยักหน้า
“ช่วยไม่ได้นะ ยังไงก็หนีความจริงไม่ได้ ใช่ เราโดนแฟนทิ้ง แต่เราไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายอะไรหรอก แค่อยู่ในห้องแล้วมันอึดอัดน่ะ เลยไปยืนเล่นที่ระเบียง”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ติณห์ไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างที่ผมกลัว ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งว่าตัวเองก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าเขาเลยเมื่อติณห์พยักหน้ามา
“แล้วนี่...จะอยู่ในห้องเราด้วยสภาพนี้จริงๆ น่ะเหรอ”
ผมเหลือบมองตัวเอง
เวรเอ๊ย... ทั้งตัวมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กางเกงในก็ไม่ใส่!
ตอนนี้เองที่หน้าเริ่มร้อนขึ้นมา ยิ่งเห็นติณห์หัวเราะเบาๆ ผมก็ยิ่งหน้าร้อนผ่าว ปกติเวลาเจอหน้าเขา ผมก็อายจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะตกใจที่คิดไปเองว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ผมคงไม่ทะเล่อทะล่าออกมาทั้งอย่างนี้หรอก ตอนนี้หน้าร้อนจนจะถึงจุดเดือดอยู่แล้ว!
“งะ...งั้นเดี๋ยวเรากลับห้องก่อนแล้วกัน”
ทำอะไรไม่ถูกก็ต้องรีบกลับหลุมตัวเองล่ะ
ผมรีบหันหลังให้ ตั้งใจว่าจะรีบกลับเข้าห้อง แต่ติณห์ก็คว้าไหล่ผมเอาไว้ก่อน พอผมหันไปมองก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่
“ศิลป์”
“หะ...หืม?”
“แต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ เรากินคนเดียวแล้วกินไม่ค่อยลงเลย”
พอจะเข้าใจอยู่นะ ตอนที่ผมอกหักครั้งแรก ผมก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับเหมือนกัน อย่างน้อยมีเพื่อนไปด้วยก็น่าจะพอทำให้หายเศร้าได้บ้าง
และเพื่อชดเชยความผิดโดยที่เขาไม่รู้ ผมเลยรีบพยักหน้ารับ
“อืม งั้นเดี๋ยวเราเสร็จแล้วจะมาเรียกนะ ติณห์ก็ไปล้างตาล้างตาซะ จะได้ลงไปกัน”
พูดจบ ผมก็วิ่งกลับห้องปรู๊ดไป แต่งตัวด้วยความไวแสง ออกจากห้องมาอีกทีก็เห็นว่าติณห์มายืนรออยู่ที่หน้าห้องแล้ว
เราลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งข้างล่างหอ ติณห์บอกว่าไม่รู้จะกินอะไร ผมเลยรับหน้าที่สั่งอาหารเมนูง่ายๆ มาให้เขา ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ว่าติณห์คงจะกินอะไรไม่ค่อยลง
นั่งเขี่ยไปเขี่ยมาจนผมอยากจะด่าเพราะรำคาญแล้วเนี่ย...
แต่ด่าไม่ได้ไง สาเหตุที่เขาซังกะตายแบบนี้มันเป็นเพราะผม ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ถ้ายังไม่หิวตอนนี้ก็ห่อขึ้นไปไว้กินบนห้องก็ได้นะ เราก็ทำอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน”
“อืม”
ติณห์ครางรับ ไม่ค่อยหือค่อยอือเท่าไหร่ บอกตามตรงว่าการที่มีผมมากินข้าวเป็นเพื่อนก็ไม่ได้ทำให้เขาเจริญอาหารขึ้นมาเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังเอาแต่นั่งมองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่อีกต่างหาก
อะ...อะไรวะ จ้องหน้ากันขนาดนี้ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรอยากพูด?
ผมโคตรรกลัวว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยูเลย แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินข้าวในจานตัวเองเงียบๆ ทว่าได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อติณห์เอ่ยปาก
“ศิลป์”
“หะ...หืม?”
“เป็นลูกพี่ลูกน้องของยูใช่ไหม”
นั่นไง! มันมาแล้ว!
ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่าตอนสวมรอยเป็นยู ดันไปบอกเอาไว้ว่าตัวจริงๆ ของตัวเองเป็นญาติกัน พอเลิกกันแล้ว แน่นอนว่าติณห์ต้องถามหายูแน่ๆ ซึ่งก็จริงอย่างที่ผมคิด เพราะพอผมตอบรับไป เขาก็ว่าขึ้นมาอีก
“เรามีเรื่องอยากจะถาม”
“อะ...อะไรเหรอ”
“แม่ของยูป่วยจริงเหรอ”
ระแวงเรื่องนี้ล่ะสินะ
“อืม ป่วยน่ะ อยู่โรง’บาล”
โกหกไปตามบทที่เคยวางไว้เพื่อความแนบเนียน
“จังหวัดไหน”
แต่อันนี้ก็ลืมไปว่าไม่เคยบอก ว่าแต่สถานการณ์แบบนี้คืออะไร ถามอดีตแฟนไม่ได้ก็เลยมาเค้นถามเอากับผมที่เข้าใจว่าเป็นญาติแทนน่ะเหรอ!?
“ถามทำไมเหรอ”
ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุด กลัวว่าจะออกพิรุธเสียเหลือเกิน ขณะที่ติณห์มองหน้าผมนิ่ง
“ศิลป์รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นแฟนกับยู”
ผมพยักหน้า
“แล้วก็รู้ด้วยว่าเราเลิกกับยูแล้ว”
ผมพยักหน้าอีก
“ที่ไม่บอกก็เพราะยูสั่งไว้ใช่ไหม”
มึงนี่ก็คิดเองเออเองจัง!
แต่ก็นะ ไหนๆ แล้วก็เนียนไปเลยแล้วกัน
“อืม ยูบอกว่าไม่ให้บอกเรื่องของยูกับติณห์น่ะ เห็นบอกว่าเลิกแล้วก็ให้เลิกขาดกันไป”
ผมรู้ว่าประโยคหลังค่อนข้างจะทำร้ายจิตใจติณห์นะ แต่ให้เข้าใจว่ายูใจร้ายกับเขาน่าจะเป็นการดีกว่า
ติณห์หน้าม้านไป เงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมาอีก
“ไม่เหลือเยื่อใยให้กันเลยเนอะ” แล้วก็คลี่ยิ้มฝืนๆ “บอกเรามาตามตรงเถอะศิลป์ ยูมีคนอื่นใช่ไหม”
ยังจะวกกลับมาเรื่องนี้อีก ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่ายูอะไรนั่นไม่ได้มีคนอื่นหรอก แต่ที่ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้เป็นเพราะผมกลัวจะโดนจับได้ว่าไปหลอกเขา อันที่จริงผมอยากจะหยุดโกหกเขาแล้วนะ ทว่าถ้าบอกความจริงไป ผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายโดนเกลียดแทนยู
ดังนั้นเลยต้องโกหกไปอีก
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เห็นยูพูดๆ อยู่เหมือนกันว่า...คุยกับคนอื่นอยู่”
ยิ่งพูด ปลายประโยคก็ยิ่งเบาลงๆ
ติณห์มีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาทันที มือทุบไปบนโต๊ะดังปึงจนโต๊ะอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว ผมเองยังสะดุ้งจนช้อนส้อมในมือกระจัดกระจายไปหมด
“มีคนอื่นจริงๆ ด้วยสินะ”
นี่ก็พูดเสียงต่ำซะจนผมเสียวสันหลัง ผมเลยรีบยกมือปรามเป็นเชิงให้ใจเย็นๆ
“บะ...บอกว่าคุยกับคนอื่นแต่ไม่ได้หมายความว่ามีคนอื่นนะ ใจเย็นๆ ก่อน”
แต่ติณห์จะไปฟังอะไรล่ะ มองหน้าผมแล้วว่าเสียงแข็ง
“แค่คุยกับคนอื่นก็เท่ากับว่านอกใจแล้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่เลิกกับเรานั่นแหละ”
เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วโว้ย!
ผมเกือบจะหลุดปากอธิบายไปแล้ว แต่คิดๆ ดูแล้ว เงียบไว้จะดีกว่า ให้เข้าใจไปแบบนั้นแหละดีแล้ว
และเพราะไม่พูดอะไร ติณห์เลยล้วงเอาแบงค์ร้อยมาวางไว้บนโต๊ะพลางว่า
“ฝากจ่ายค่าข้าวด้วยนะ เรากลับห้องก่อน”
“เดี๋ยวสิติณห์”
ผมร้องเรียก แต่ไม่ทันแล้ว ติณห์ลุกพรวด เดินดิ่งออกนอกร้านไปเป็นที่เรียบร้อย ผมมองตามหลังเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ผมว่าผมทำเรื่องที่ถูกต้องแล้วนะ แต่ทำไมถึงยังไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิดล่ะ หรืออันที่จริง...ผมไม่ควรเริ่มตั้งแต่แรก?
ก็ไม่ควรเริ่มตั้งแต่แรกจริงๆ นั่นแหละ ไม่ต้องไปถามใครเลย แม้แต่เด็กอนุบาลยังตอบได้เลยว่าไม่ควรไปหลอก ไปโกหกเขาตั้งแต่ตอนนั้น แต่เรื่องมันเกิดไปแล้วนี่นา จะทำอะไรได้ นอกจากจะโทรหานาเดียแล้วเล่าให้ฟังว่าติณห์ยังอยู่ดี ไม่ได้เป็นอะไร แค่เฮิร์ตจนไม่อยากออกไปไหนก็เท่านั้น แต่พอบอกไปอย่างนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของติณห์ก็พากันแห่มาที่ห้องของติณห์ทันที พวกนั้นบอกว่าไม่ควรปล่อยให้เพื่อนเจ็บช้ำน้ำใจอยู่คนเดียว ผมก็เห็นดีด้วยนะ แต่...
...พวกมึงจะมาโวยวายโหวกเหวกที่หอกูไม่ได้โว้ย! เดี๋ยวก็โดนด่ากันยกแก๊งหรอก!
ผมรีบบอกนาเดียให้ปรามไอ้พวกนี้เลย ก่อนที่พวกมันจะเสียงดังไปมากกว่านี้ ป้องก็เลยเป็นตัวตั้งตัวตีชวนไปผับแถวๆ มหาวิทยาลัย
ใช่ ผับ... แหล่งอโคจรที่ผมโคตรจะเกลียดเลย!
สาบานเลยนะว่าตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งมา ผมเคยไปผับแค่ครั้งเดียวตอนรับเพื่อนใหม่เท่านั้น เพราะตอนนั้นถูกรุ่นพี่ลากไปเลี้ยงสายรหัส แล้วผมก็ประจักษ์ได้ว่าไลฟ์สไตล์และนิสัยของผมไม่ได้เข้ากับสถานที่เที่ยวแบบนี้เลยแม้แต่น้อย เว้นก็แต่พวกผู้ชายจากคณะสถาปัตย์ฯ พวกนี้ แล้วก็นาเดียที่ดูเหมือนจะคุ้นชิน
นั่งไปก็อึดอัดไป มือถือแก้วนมปั่นแน่นเพราะผมไม่ดื่มเบียร์หรือเหล้า ขณะที่คนอื่นชงเหล้ากันดื่มอย่างสนุกสนาน เสียงเพลงอะคูสติกดังมาให้ได้ยินก้องไปหมด ทุกคนก็ดูสนุกสนานกันดีนะ ได้ยินว่าช่วงนี่เรียนกันหนัก พอได้มาเที่ยวมาผ่อนคลายทีนึงก็ร่าเริง
กันใหญ่ ยกเว้นผม...กับติณห์
ติณห์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม ท่าทางซังกะตายมาก เขาโดนเพื่อนๆ สวดยาวเป็นมหากาพย์เรื่องที่ไม่ยอมไปเรียนจนโควตาหยุดหมด ถ้าหยุดเรียนอีก อาจจะต้องดร็อป ติณห์เลยรับปากว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนตามปกติ ก่อนจะนั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากเงียบๆ มีชนแก้วกับเพื่อนๆ บ้างตอนถูกชวน
แต่ก็นะ...ยังไงก็ดูหมดอาลัยตายอยากอยู่ดี งานจะกร่อยก็เพราะเขานี่แหละ จนเพื่อนๆ ชักทนเห็นท่าทางของติณห์แบบนี้ไม่ไหว พากันพูดเรื่องนี้จนได้ทั้งที่พยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงในตอนแรก
“อย่าเศร้าสิวะมึง มาเที่ยวทั้งทีก็ร่าเริงหน่อย แค่แฟนทิ้งเอง หล่อๆ อย่างมึงอะ หาใหม่ได้อีกเยอะแยะ จะไปสนใจอะไรกับแค่ผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เห็นค่ามึงวะ”
ป้องพยายามปลอบ ดูจากท่าทางแล้วคงยังไม่รู้กันสินะว่าติณห์เป็นเกย์ แต่ติณห์ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดทำท่าทางซังกะตายได้เลย ยังคงนั่งจับแก้วเหล้านิ่งไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม ทำเอาเพื่อนคนอื่นๆ ต้องพูดขึ้นมาบ้าง
“จะบอกให้มันอย่าเศร้าคงยากว่ะไอ้ป้อง โดนแฟนทิ้งนะเว้ย ไม่ได้สอบตกมีน ในเมื่อมึงจะเศร้าขนาดนี้ก็เอาเต็มที่เลยไอ้ติณห์ เมาให้หัวราน้ำไปเลย”
ประโยคนี้เป็นของกันย์ ปลายประโยคหันไปพูดกับติณห์ แม็กซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ผมพูดไม่ออกเลยกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จะมีก็แต่นาเดียเท่านั้นที่หรี่ตามองผมแล้วได้แต่ส่ายหน้า ก่อนเจ้าหล่อนจะเฉไฉมองไปทางอื่น ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจติณห์เหมือนกันนะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
ติณห์ยังคงนั่งเฉย ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบบ้างเป็นระยะ สายตาดูโคตรเศร้าเลย ถึงเขาจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าข้างในเขาเจ็บปวดมาก
ทว่า...ความเจ็บปวดก็มาแสดงออกตอนที่นักร้องของผับเริ่มร้องเพลงออกมานี่แหละ
[1]ต่อให้ฉันจะรักเธอมากเท่าไร
แต่ก็รู้ว่าเธอคงจะไม่สนใจ แต่ยังฝันไกล
และยังคงหวังเอาไว้ข้างในจิตใจว่าสักวันเธอจะมีฉัน
แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้ เมื่อเธอคิดว่าฉันไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร
ก็อยากจะขอมีเธอเรื่อยไปในใจไปอีกแสนนาน…
มึงจะร้องเพลงเศร้าทำมะเขือเผาอะร้ายยย! ร้องเพลงที่มันคึกคักหน่อยสิเว้ย!
ผมรีบค้อนขวับใส่นักร้องทันควัน แต่เหมือนกับว่าที่ร้องเพลงนี้ก็เพราะมีคนไปขอน่ะ ผมเลยได้แต่หันกลับมามองติณห์อย่างเป็นห่วง ขณะที่เขาก้มหน้าลงไปแล้ว
เพลงมันคงแทงใจล่ะสินะ...
อยากเข้าไปกอดปลอบชะมัดเลย แต่ทำได้แค่จิ้มเอาเอ็นไก่ทอดเข้าปากเคี้ยวๆ รอให้เพลงนี่มันจบไปก็เท่านั้น
กว่าจะจบ ผมก็โคตรอึดอัดเลย พอจบได้ถึงหายใจโล่งออกมาอีกที ทว่าความเวรตะไลมันไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะทันทีที่เพลงแรกสิ้นสุดลง ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ก็ไปขอเพลงอีก
[2]มันเจ็บจะขาดใจอยู่ตรงหน้าเธอ
แต่ต้องเก็บไว้ไม่แสดงว่าเสียใจ
เมื่อเธอเลือกจะไป ฉันต้องทำยังไง
เพียงหนึ่งคำคงฉุดรั้ง เธอไม่ไหว... คำว่ารักเธอ
ยิ่งมีเพลงเศร้าตามมาอีกเพลง ติณห์ก็ยิ่งซึมหนัก ผมเห็นแล้วอยากจะลุกไปขอเพลงปูนาขาเก หรือเพลงอะไรก็ได้ที่เป็นจังหวะชะชะช่าเลย อะไรไม่ว่า แม่งพอจบเพลงนี้ มีต่ออีกเพลงด้วย
[3]อยากพบอีกครั้งหนึ่ง อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีดีกับเธออีกสักครั้ง
ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้
มึงจะอกหักอะไรกันนักหนาวะ! พอได้แล้วเว้ย!
กลายเป็นผมที่เลิ่กลั่กบ้างแล้ว มองหน้าติณห์พลางคิดวุ่นไปหมดว่าจะทำยังไงดีให้เขาไม่รู้สึกแย่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะดวงตาทั้งสองข้างของติณห์เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนที่เขาจะกลั้นมันเอาไว้แล้วกระดกเหล้าเข้าปากชนิดไม่บันยะบันยังแทน
จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่...
ซัดพรวดๆ รวดเดียวหมดจนแทบจะกระดกขวดดื่มเพียวๆ อยู่แล้ว ทำเอาเพื่อนๆ ต้องปรามเป็นการใหญ่
“เฮ้ยๆ ไอ้ติณห์ พอได้แล้วมั้ง ดื่มเยอะเกินไปแล้ว”
“กูไม่เป็นไร...”
ติณห์ว่าเสียงอ้อแอ้ พยายามที่จะคว้าขวดเหล้ามาชงอีก แต่ก็ถูกใครสักคนดึงไปก่อน
“เอามา!”
ติณห์ขมวดคิ้ว หัวเสียอย่างรุนแรงใส่แม็กซ์ที่ยกขวดเหล้าหนี กันย์ที่อยู่ใกล้ๆ รั้งติณห์เอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะอาละวาด
“พอได้แล้วมึงอะ ดื่มเยอะขนาดนี้จะไปเรียนไหวได้ยังไงวะ ไหนบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนไง”
“เรื่องของกู เอาเหล้ามา!”
ชักจะเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้เลย ปกติจะเห็นผ่านหน้าเฟซบุ๊กเท่านั้น ติณห์ที่ผมเห็นเพอร์เฟ็กต์ไปหมดทุกด้าน แต่พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า...เขาก็เป็นคนเหมือนกับผมนี่แหละ มีเสียใจ มีรัก มีผิดหวังเป็น
“เอามาให้กู!”
ยิ่งเห็นเขาอาละวาด ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไปเล่นกับความรู้สึกของเขาอย่างนั้น ก่อนที่ความคิดนั้นจะเลือนหายไปเมื่อป้องพูดขึ้น
“กูว่าเอามันกลับก่อนดีกว่าว่ะ เดี๋ยวแม่งอาละวาดร้านพัง เก็บเงินเลยๆ”
ไม่มีใครขัด พร้อมใจกันเห็นด้วยเต็มที่ ก่อนที่หวยจะมาออกที่ผมหลังจากที่พวกเราจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวศิลป์ดูแลมันหน่อยนะ เราจะไปส่งนาเดียที่หอ ไอ้กันย์กับไอ้แม็กซ์มันต้องกลับบ้านคนละทาง ศิลป์อยู่หอเดียวกับมันก็ฝากด้วยแล้วกัน”
แล้วมึงจะให้กูแบกคนเมาขึ้นหอยังไง!?
ถ้าติณห์เมาแบบมีสตินะ ผมจะไม่ว่าเลย ยินดีด้วยซ้ำที่จะได้ดูแล แต่นี่เมาแบบหัวทิ่มเลยเถอะ หลังจากอาละวาดเป็นที่พอใจแล้ว สติสัมปชัญญะก็เหมือนจะเลือนหายไปหมด ขนาดเพื่อนๆ ยังต้องแบกออกมานอกร้านถึงสองคน แล้วผมตัวคนเดียวจะไปแบกยังไง
“แต่เรา...”
“เดี๋ยวเราเรียกแท็กซี่ให้ ที่หอมีลิฟต์ คงไม่ยากหรอกมั้ง”
“แต่ว่า...”
ผมจะบอกให้ใครสักคนไปช่วยผมนี่แหละ แต่พอเหลือบไปมองยังนาเดียที่หรี่ตามองผมแล้ว ผมก็จำต้องหุบปาก ยิ่งนาเดียพูดขึ้นมาด้วยว่า...
“คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ แค่ดูแลคนอกหักน่ะ”
ผมเลยต้องพยักหน้ารับไป
เออ ไม่มีปัญหาอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูรับผิดชอบเอง!
จะบอกผมเป็นนัยๆ นั่นแหละว่าเป็นความผิดของผมที่ทำให้ติณห์เป็นแบบนี้ ผมเลยต้องรับผิดชอบ
พอไม่เถียงอะไรอีก ไอ้พวกนั้นก็เรียกแท็กซี่ให้อย่างรวดเร็ว พากันแบกหัวแบกท้ายติณห์ขึ้นรถให้เสร็จสรรพ พอมาถึงหอ ผมก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากพี่ยามให้ช่วยแบกติณห์ลงมาจากรถ แล้วพาเขาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน กว่าจะขึ้นมาได้ก็เล่นเอาหอบฮั่ก ติณห์ใช่ว่าจะตัวเล็กๆ เสียที่ไหนล่ะ ผมตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ สูงแค่คิ้วเขาเองเถอะ
แต่สุดท้ายก็พากลับขึ้นห้องมาจนได้ล่ะนะ ทว่าความซวยยังไม่จบแค่นั้น เพราะว่า...
...คีย์การ์ดของห้องติณห์หายเว้ย!
หายไปไหนก็ไม่รู้ ล้วงในกระเป๋ากางเกงแล้วก็ไม่มี จะลงไปขอ คนดูแลหอก็ไม่อยู่แล้วเพราะมันดึกมาก ผมเลยยืนคิดว่าจะเอายังไงอยู่พักหนึ่ง จะให้ปล่อยเขานอนข้างหน้าห้องก็ไม่ได้ สุดท้ายก็เลยจำใจ ต้องพาเข้ามาในห้องของตัวเอง
แบกติณห์มาที่เตียงเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบจัดการเก็บโปสเตอร์รูปของเขาที่แปะอยู่บนผนังห้องออกจนเกลี้ยง ข้าวของเครื่องใช้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายแหล่ที่เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาก็รีบเก็บยัดทั้งในตู้และใต้เตียง กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาหอบจนลิ้นห้อย โชคดีที่เขาเมาจนไม่ได้สติ เลยไม่ได้เห็นว่าผมกำลังทำบ้าอะไร
เวรจริงๆ เลยไอ้ศิลป์เอ๊ย ทำไมจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ
ผมยีหัวตัวเองจนยุ่งไปหมด อยากจะด่าตัวเองนักที่สร้างเรื่องบ้าๆ ขึ้นมาให้ตัวเองเดือดร้อน แต่ก็ต้องระงับความคันปากนั่นเอาไว้เมื่อหูได้ยินเสียงครางเบาๆ มาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
“ยู...”
ผมเดินเข้าไปใกล้ พลันเขาก็ละเมอออกมาอีก
“ทิ้งเราไปทำไม...”
สงสารเขาจับใจเลย เพราะพอสิ้นเสียง น้ำตาสีใสก็รินไหลออกมาจากหางตา
“ยู...เรารักยูนะ ทิ้งเราไปทำไม...”
ไม่ใช่แค่น้ำตาหยดเดียว ไหลพรากออกมาเป็นสายเลย เขาร้องไห้ทั้งที่ไม่มีสติ
ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยื่นมือไปลูบเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ เม้มริมฝีปากแน่น ในใจอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยความผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบแผ่วเบา
“เราขอโทษ”
พูดจบก็จะผละออกมา ทว่าข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“อย่า...อย่าไป”
ผมเบิกตาโตอย่างตกใจที่เห็นว่าติณห์ลืมตาขึ้นมา ใจงี้หายแวบเลย แล้วก็ยิ่งพรึงเพริดหนักเข้าไปอีกเมื่อถูกดึงเข้าไปหาเขาอย่างแรงจนผมล้มไปนอนทาบทับอยู่บนตัวเขา อะไรไม่ว่า...กอดผมด้วยเถอะ
โว้ย! โดนกอดเว้ย!
ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ชอบ ตะ...แต่มันต้องไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้!
“อย่าทิ้งเราไปได้ไหม”
ติณห์พึมพำ มองหน้าผมด้วยสายตาปรือๆ
“ระ...เราไม่ใช่...”
ผมจะบอกว่าผมไม่ใช่ยู เขาเมาแล้วก็กำลังเข้าใจผิด แต่บอกไม่ทันแล้ว เพราะพอพูดได้แค่นั้น ติณห์ก็พูดออกมาอีก
“เรารักยูนะ”
แล้วก็ใช้มือรั้งท้ายทอยผมให้โน้มลงต่ำ ริมฝีปากหนาก็เข้าครอบครองริมฝีปากผมทันที ขณะที่ผมเบิกตาโพลงยิ่งกว่าเดิม
จูบ!?
ชวนตะลึงพรึงเพริดหนักกว่าเดิมอีกเมื่อติณห์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ยังเอามือมาสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อของผม ลูบไปที่แผ่นหลัง
ขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนลงไปจับที่...
...ที่ก้น!
คลึงเคล้นขยุ้มขยำอย่างเมามันส์ ปากก็ประกบจูบอีกครั้ง ไม่ยอมให้ผมผละขัดขืนออกห่างได้เลย แทรกลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นผมอย่างโหยหา ส่วนผมก็ตาพร่าเลือน หัวสมองมึนเบลอกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหมด
นี่มันจะมั่วไปกันใหญ่แล้ว!
[1] Unloveable - Mild
[2] ขาดใจ - Pancake
[3] เข้ากันไม่ได้ - Synkornize feat. Muzu