อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6  (อ่าน 29261 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2018 19:12:39 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 1 [22/09/2017]
«ตอบ #1 เมื่อ22-09-2017 12:23:02 »

01



ในชีวิตของคนเรามันคงต้องมีบ้างสักครั้งสองครั้งที่จนตรอกจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน อาจจะไม่ใช่ทุกคนแต่สำหรับปภินวิชมันคือครั้งนี้ เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มคือถนนเส้นที่ผู้คนส่วนใหญ่รับรู้กันว่า คนดี ๆ ไม่ควรเหยียบย่างไปในยามค่ำคืน เพราะมันคือแหล่งซื้อขายความสำราญจากเรือนร่างที่จ่ายได้ด้วยเงิน เขาลังเลเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เพราะหวั่นกลัวว่าถ้าก้าวเท้าออกไป โลกที่เขาอยู่อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่สิ่งที่ตอกย้ำไม่ให้เขาถอยเท้าหนี มันคือเงินจำนวนมากที่เขาไม่อาจหาได้จากการเป็นแรงงานรายเดือน

เมื่อสองปีก่อน มีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นบนท้องถนน อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นในยามเช้า สาเหตุเกิดจากมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงฝ่าไฟแดง พุ่งเข้าชนรถยนต์คันอื่นซึ่งกำลังออกตัวเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าบริเวณสี่แยก หลังรอไฟเขียวมาสามนาที ที่ถูกเรียกว่าอุบัติเหตุใหญ่เพราะมีรถยนต์ซึ่งเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจำนวนมาก นอกเหนือจากจำนวนรถยนต์คือจำนวนผู้เสียชีวิต

ชีวิตของปภินวิชเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือในทันที

เช้าวันนั้น พ่อ แม่และน้องสาวของเขาโดยสารไปในรถยนต์คันเดียวกันเช่นปกติ พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ตึกเดียวกัน ไปทำงานพร้อมกันตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ๆ ส่วนน้องสาวหลังจากขึ้นมัธยมก็ติดเบาะหลังรถไปลงหน้าโรงเรียนทุกเช้า ส่วนตอนเย็น เธอจะนั่งรอพ่อแม่ซึ่งผ่านมารับหลังเลิกงาน

ปภินวิชเป็นคนเดียวที่ออกจากบ้านสายกว่าคนอื่น โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ตั้งอยู่คนละทิศทางกับบริษัทของพ่อแม่ ทั้งยังใกล้บ้าน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่มีเหตุให้ต้องทำตัวเร่งรีบในยามเช้า

เขาปิดล็อกประตูบ้านและออกจากบ้านไปโรงเรียนตามปกติ กระทั่งประมาณคาบที่สองโทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาจึงสั่นระรัวขึ้นมา เขาไม่ได้หยิบออกมาดูเพราะคิดว่าเป็นข้อความ แต่เพราะการแจ้งเตือนนั้นยาวนานต่อเนื่องเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกเขาจึงตัดสายทิ้ง ทว่าสัญญาณเรียกเข้ายังมีมาต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง และถึงจะตัดสายซ้ำ ปลายสายกลับโทรกลับเข้ามาอีกครั้ง สุดท้ายเขาจำต้องขออนุญาตอาจารย์เพื่อรับสายนี้

แค่คู่สนทนาแจ้งว่าโทรมาจากโรงพยาบาลเขาก็ใจหายวูบ ยิ่งได้ยินว่ารถยนต์คันที่พ่อแม่ใช้เกิดอุบัติเหตุ เขาก็ตรงดิ่งไปโรงพยาบาลทันที ประตูรั้วโรงเรียนปิดล็อกเขาก็กระโดดข้ามรั้วไปอย่างไม่ลังเล ทั้งที่เขาเป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในกฎระเบียบมาตลอด

อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต เหลือเพียงน้องสาวที่เจ็บหนักต้องนอนพักรักษาตัวอยู่หลายเดือน

เขาได้รับเงินประกันชีวิตของพ่อแม่ เงินชดเชยและเงินเยียวยาทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่ปภินวิชรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตจนกระทั่งพวกเขาสองคนพี่น้องจบปริญญาตรี ทีแรก เขาตั้งใจว่าอย่างน้อยก็ขอให้เรียนมัธยมปลายจนจบ การมีวุฒิการศึกษาจะทำให้เขาหางานได้ง่าย แต่เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้น้องสาวของเขาตรวจพบเนื้องอกในสมอง ...ราวกับว่าพวกเขายังเผชิญเคราะห์กรรมไม่เพียงพอ

บิดามารดาของปภินวิชเป็นพนักงานบริษัท เงินเดือนของทั้งสองคนรวมกันเพียงพอต่อการผ่อนบ้านที่อาศัยอยู่ ค่าเล่าเรียนของลูกทั้งสองคนรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะ นอกจากนี้ยังมีเงินเก็บในธนาคารอยู่อีกเล็กน้อย เล็กน้อยที่ว่าคือระดับหลักแสน เด็กหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของตนไม่ได้ร่ำรวยเพราะถูกสอนไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะขาดเสาหลักของครอบครัวเร็วเกินไป ทุกอย่างจึงซวนเซไปหมด

หลังหมดปีการศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และขายบ้านเพื่อนำเงินเหล่านั้นมารักษาน้องสาว ครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่

น้องสาวของเขาได้รับการผ่าตัดเนื้องอกหลังจากรักษาอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจนแข็งแรง เธอและเขาจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาอีกหลายเดือน ก่อนจะตรวจพบเนื้องอกก้อนใหม่และมันมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

แพทย์ผู้วินิจฉัยบอกว่ามันอาจจะเป็นเนื้อร้าย นั่นหมายถึงค่ารักษาที่ตามมาหลังจากผ่าตัด

เขาไม่ยอมเสียน้องสาวไปอย่างเด็ดขาด

ยามที่ขลาดกลัวจนหันหลังกลับ ความคิดนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจทุกครั้ง ทำให้เขาย่ำเท้ากลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ จนเวลาค่อนดึกขึ้นเรื่อย ๆ เขาหยุดยืนสูดลมหายใจเข้าปอดซ้ำ ๆ พลางกล่อมตัวเองว่ามันไม่เสียหายอะไร เขาเป็นผู้ชาย การนอนกับคนแปลกหน้าไม่ได้ทำให้เขาสึกหรอ และเมื่อเทียบระหว่างศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้กับน้องสาวเดียวที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด คำว่าศักดิ์ศรีมันกลายเป็นเพียงนามธรรมที่คนส่วนมากบัญญัติขึ้นมาเท่านั้นเอง

เมื่อตัดสินใจได้ เขาจึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ทว่าท่อนแขนของเขากลับถูกรั้งไว้เสียก่อน ชายหนุ่มหันไปมองคนที่ดึงตนไว้ อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเขาหันกลับไปมองจึงปล่อยมือ แล้วยกยิ้มคล้ายพยายามผูกมิตร

“คุณปภินวิช รัตนชัยใช่ไหมครับ”

การที่คนแปลกหน้าเอ่ยชื่อจริงนามสกุลจริงของเขาออกมาทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งตัวขึ้นด้วยความหวาดระแวง

“ผมไม่ได้มาร้ายครับ แค่ต้องการพูดคุยธุรกิจกับคุณ”

ถึงจะได้ยินเช่นนั้นความระแวดระวังของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ลดน้อยลง ตัวเขาไม่ได้มีทรัพย์สินหรือมีความสามารถใดที่จะเจรจากับอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่ขมวดคิ้วเขม่นมองอย่างไม่วางใจ

“ไปหาที่นั่งคุยกันไหมครับ”

ปภินวิชสั่นศีรษะปฏิเสธทันควัน “ไม่ดีกว่าครับ ผมขอตัว”

กระนั้น ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มกลับไม่ให้เขาไปอย่างที่หวัง และกลายเป็นว่าปภินวิชถูกล้อมโดยชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำซึ่งมองปราดเดียวเด็กหนุ่มก็สามารถคาดเดาอาชีพของบุคคลที่อยู่รอบตัวได้ทันที

“ไม่ต้องตื่นตกใจไปครับ ผมรับรองความปลอดภัยของคุณ หากหลังจากที่เราคุยกันเสร็จและคุณไม่สนใจข้อเสนอของผม คุณจะยังมีชีวิต ร่างกายครบสามสิบสองและไม่บาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น”

ให้คนของตัวเองมาดักขวางทางเขาไว้แล้วบอกว่าเขาจะปลอดภัยแน่นอนเนี่ยนะ ใครมันจะไปเชื่อวะ ปภินวิชได้แต่สบถในใจ หัวใจเต้นรัวและเหงื่อซึมข้างขมับแม้ว่าอากาศยามกลางคืนจะเย็นลงแล้วก็ตาม

“รถจอดอยู่ทางนี้ครับ” คนพูดผายมือ

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พยายามข่มอาการสั่นกลัวและก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อคู่สนทนาเห็นเขาก้าวเท้าเดินจึงสาวเท้าเดินนำไป

รถยนต์ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงจอดอยู่ริมถนนไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาพูดคุยกันนัก รถยนต์สีดำเงาวับบ่งบอกฐานะของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ชายหนุ่มคนดังกล่าวยังเปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้เขาอีกด้วย ปภินวิชก้าวเท้าเข้าไปด้านใน หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วยังไม่คลายอาการตื่นกลัว

ถ้าเขาตัวคนเดียวคงไม่รู้สึกวิตกกังวลถ้าหากตัวเองต้องตาย แต่การมีชีวิตอยู่ของเขามันหมายถึงชีวิตของน้องสาวด้วยเช่นกัน

เด็กหนุ่มกุมมือตัวเองไว้แน่น เบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถยนต์ พยายามมองและจดจำทิศทางที่รถวิ่งผ่าน พร้อมคิดถึงทางหนีทีไล่ รวมถึงพยายามสงบใจเพื่อให้ตัวเองมีสติและเอาตัวรอดให้ได้

รถยนต์วิ่งเลี้ยวเข้าสู่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่านกลางใจเมือง เมื่อเห็นสถานที่จุดหมายที่อีกฝ่ายพาตนมา อารมณ์เคร่งเครียดซึ่งเกาะกุมความคิดและหัวใจของเขาอยู่จึงผ่อนคลายลงบ้าง

ชายหนุ่มที่ต้องการพูดคุยเจรจากับเขาลงจากรถและเดินนำเขาเข้าไปในโรงแรม พาเขาขึ้นลิฟต์มายังห้องอาหารชั้นบน เด็กหนุ่มก้มมองเสื้อผ้าตนเองที่ไม่น่าจะเหมาะกับสถานที่ แต่อีกฝ่ายยังเดินนำหน้าเขาไปและไม่มีพนักงานคนใดกล้ากล่าวต่อว่า ปภินวิชจึงเดินตามต่อไปเงียบ ๆ ในตอนนี้ความหวาดวิตกที่เคยมีก่อนหน้าได้จางหายไปเกือบหมด เหลือเพียงความคลางแคลงสงสัยเท่านั้น

“ทานอะไรหรือยัง สั่งอาหารก่อนไหม” คู่สนทนาถามทันทีที่พวกเขาได้ที่นั่ง น้ำเสียงที่ใช้พูดฟังดูผ่อนคลายเหมือนพูดคุยกับญาติพี่น้องคนสนิท แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางสนิทใจด้วยแน่นอนแม้ว่าความระแวงจะเจือจางลงแล้วก็ตาม

“ไม่ดีกว่าครับ เข้าเรื่องของคุณเลยดีกว่า”

ฝ่ายตรงข้ามโคลงศีรษะรับ “อ้อ... ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อกวีวัธน์ เจียรพิบูลย์ นี่นามบัตรผมครับ”

นามบัตรที่ทำมาจากกระดาษสีขาวอย่างหนาถูกเลื่อนมาตรงหน้า ปภินวิชแค่เหลือบตามองแต่ไม่ได้คิดที่จะหยิบขึ้นมาดู ระหว่างนั้นมีพนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำให้เขา ส่วนของอีกคนเป็นไวน์แดงในแก้วทรงสูง

“ผมคิดว่าคุณคงกำลังหารายได้พิเศษ ผมจึงมีงานรายได้ดีมานำเสนอ”

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงหลุบตาอ่านรายละเอียดบนนามบัตรซ้ำอีกครั้ง ตำแหน่งหน้าที่การทำงานของกวีวัธน์ซึ่งระบุอยู่บนกระดาษทำให้เขาแคลงใจ เขาไม่คิดว่าคนที่มีหน้าที่การงานดีขนาดนี้จะหาลำไพ่พิเศษด้วยการเป็นนายหน้า

“นี่เป็นตัวเลขที่คุณจะได้ต่อครั้ง” กวีวัธน์ดึงปากกาซึ่งเหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อมาเขียนตัวเลขลงบนกระดาษที่เขาขอมาจากพนักงาน จากนั้นเลื่อนไปให้เด็กหนุ่มดู ปภินวิชที่เห็นข้อเสนอนั้นถึงกับแสดงอาการตกใจ เพียงแต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความหวาดระแวงที่ฉายชัดมากกว่าเดิม

“ผมไม่ทำงานผิดกฎหมาย”

กวีวัธน์หัวเราะ “เจตนาของคุณที่ไปยืนอยู่แถวถนนเส้นนั้นไม่ผิดกฎหมายหรือ ผมจำได้ว่ามันก็ผิดกฎหมายบ้านเราเหมือนกัน”

ปภินวิชเถียงไม่ออก

“งานนี้ไม่ยาก ผมแค่อยากให้คุณดูแลนายท่าน ทำให้นายท่านพอใจ ไม่ต่างจากงานที่คุณตั้งใจจะทำ แต่ได้เงินเยอะกว่า” กวีวัธน์กล่าวเหมือนสิ่งที่บอกเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

“ผมจะเลิกทำเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ”

“อันนี้บอกยาก” คนพูดมีสีหน้าลังเล “ถ้านายท่านไม่พอใจ แค่ครั้งเดียวคุณคงไม่ต้องไปหาเขาอีก แต่ถ้านายท่านพอใจคุณ มันอาจจะมีครั้งที่สองที่สามตามมาเรื่อย ๆ”

“ผมไม่ได้คิดว่าจะทำแบบนี้ไปตลอด”

“ไม่ดีหรือไง มีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงานหนัก”

“ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่คิดจะทำงานแบบนี้หรอกนะ” ปภินวิชพูดอย่างฉุนเฉียว เขากัดงับกลืนคำว่า 'ตนเองก็มีศักดิ์ศรีลงคอ' เพราะตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ คำว่าศักดิ์ศรีก็ไม่มีความหมายแล้ว เพียงแต่ เขาไม่อยากให้น้องสาวต้องทุกข์กังวลโทษตัวเอง

กวีวัธน์พยักหน้ารับรู้ด้วยท่าทางที่เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด

“ถ้าอย่างนั้น... ก็ได้ คุณอยากทำกี่ครั้งล่ะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ปภินวิชแปลกใจอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากวีวัธน์จะเป็นนายหน้าที่มีอำนาจอยู่ไม่น้อยถึงสามารถต่อรองนายท่านที่ว่านั่นได้ หรือไม่ก็นายท่านที่ว่าอาจจะไม่ใช่คนคนเดียว

“ผมไม่รับงานอะไรที่พิเรนทร์ ๆ นะ” เด็กหนุ่มบอกออกไปก่อน

“ไม่พิเรนทร์แน่นอน แต่อาจจะมีอุปกรณ์อื่นบ้าง” กวีวัธน์บอกออกไปอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่รู้รสนิยมของนายท่านเสียด้วย จึงได้แต่บอกออกไปกลาง ๆ “แต่คุณไปยืนอยู่แถวนั้นอาจจะเจออะไรที่รุนแรงกว่าการไปกับนายท่านอีกนะ”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงครุ่นคิด เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ถ้าได้เงินตามที่อีกฝ่ายเสนอมา ทำงานเพียงไม่กี่ครั้งก็เพียงพอต่อค่ารักษาของน้องสาวแล้ว

“ถ้าคุณยังต้องการเวลาตัดสินใจ...”

“ได้ ผมตกลง” ปภินวิชพูด เขาไม่อยากลังเลอีก เขาไม่อยากให้ความรู้สึกหวั่นกลัวในใจต้องเป็นอุปสรรคให้ตัวเองลังเล เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับน้องสาวของเขาอีกแล้ว

“ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะติดต่อไป” เขาพูดพลางยกมือเรียกพนักงานให้คิดเงิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเด็กหนุ่มลงจากห้องอาหารไปที่รถและบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน แต่ปภินวิชเอ่ยปฏิเสธบอกว่าเขาสามารถกลับเองได้ จากนั้นจึงรีบสาวเท้าจากมา เพราะเขาไม่อยากให้นายหน้าอย่างกวีวัธน์รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน

เด็กหนุ่มยืนรอรถประจำทางอยู่นานจนหวั่นว่ามันจะไม่มีแล้ว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาพลางคิดว่าเขาอาจจะพลาดรถเมล์เที่ยวสุดท้ายหรือเปล่า เขามีเงินติดตัวอยู่หลายร้อยแต่ไม่อยากนั่งแท็กซี่ ตั้งแต่เหลือกันแค่สองคนพี่น้อง เขาพยายามประหยัดอดออมทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้ นั่งรออยู่นาน ในที่สุดรถประจำทางก็ผ่านมาเสียที เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

เนื่องจากขายบ้านไปแล้ว เขาและน้องสาวจึงต้องมาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่กันสองคน แม้จะเป็นหอพักหน้ามหาวิทยาลัยแต่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ถัดออกมาจากเขตใจกลางเมือง ค่าห้องเช่าจึงถูกตามสภาพห้องที่ค่อนข้างเก่า นอกจากนั้นแถวนี้ยังมีโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในบริเวณที่ไม่ห่างกันนัก อาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อยที่ต้องให้น้องสาวลาออกจากโรงเรียนเก่าและย้ายมาเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ใกล้ ๆ หอพักแต่เมื่อพูดคุยกัน น้องสาวที่น่ารักของเขาก็ยินยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี

“พี่ปลายังอุตส่าห์ลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหาเลี้ยงหนูเลย หนูจะดื้อกับพี่ได้ยังไง”

เมื่อก่อน ปภินวิชและน้องสาวเคยทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาพี่น้อง แต่หลังจากที่สูญเสียพ่อและแม่จนเหลือกันแค่สองคน เขาจึงรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองรักน้องสาวคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม

“พี่ปลา” เสียงเรียกชื่อทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง น้องสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ เธออยู่ในชุดนักเรียนเตรียมพร้อมจะไปโรงเรียน

“พี่ไม่กินเลย ง่วงหรือคะ”

อาการป่วยของเธอยังคงทรงตัว สิ่งที่แสดงอาการของโรคคืออาการปวดศีรษะในบางครั้ง หมอจึงอนุญาตให้เด็กสาวได้ไปโรงเรียนก่อนจะเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างจริงจังเมื่อพวกเขาพร้อม

“เปล่าสักหน่อย เราเถอะ รีบ ๆ กินเข้าเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”

“ไม่สายหรอก โรงเรียนของปุ้ยอยู่แค่นี้เอง เดินไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง”

เธอพูดพร้อมลงมือทานอาหารมื้อเช้าต่อจนอิ่ม เมื่อเธอพร้อมออกจากห้องเขาจึงย้ำเรื่องยาที่ต้องมีติดตัว

“ปุ้ยไม่ลืม พี่ปลาเองก็นอนต่ออีกหน่อยนะคะ เมื่อคืนก็กลับมาดึก” เธอบอกจากนั้นจึงยกมือขึ้นประนมไหว้เขา แต่ก่อนปุ้ยหรือปวันรัตน์ไม่เคยยกมือไหว้เขาก่อนออกจากบ้าน เธอไหว้แค่พ่อและแม่ตามธรรมเนียมที่ถูกสอนมา แต่เมื่อบุพการีทั้งสองเสียไป เธอจึงไหว้เขาในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง

ปภินวิชทำงานเป็นพนักงานขายสินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ป้ายรถเมล์ เขามีวุฒิมัธยมสามซ้ำยังหน้าตาดี นอกจากนี้เรื่องเคราะห์กรรมที่เขาประสบยังทำให้มีแต่คนเอ็นดูได้ไม่ยาก รวมทั้งการพยายามลดนิสัยติดตัวบางอย่างลงเพื่อให้ทำงานได้นาน ๆ เขาเป็นพวกใจร้อนชอบมีเรื่องปะทะฝีปากกับคนอื่นไปทั่วเพราะเป็นพวกขวานผ่าซาก จึงไม่อยากให้ข้อด้อยมาทำให้ชีวิตของเขามีอุปสรรคมากไปกว่าเดิม

เด็กหนุ่มออกจากห้องประมาณเก้าโมงสิบห้านาที เขาเผื่อเวลาสำหรับการรอรถประจำทางและต้องตอกบัตรก่อนเข้างานอย่างน้อยสิบห้านาทีเพื่อจัดเตรียมความเรียบร้อยของสินค้า เพราะทันทีที่ห้างเปิดพนักงานทุกคนต้องยืนประจำแผนกเพื่อรอต้อนรับลูกค้า

ปภินวิชอยู่แผนกเครื่องแต่งกายชาย ซึ่งมีทั้งแบรนด์ที่เขารู้จักและไม่รู้จัก หรือต่อให้ไม่รู้จักแบรนด์สินค้าที่ต้องดูแล ที่ห้างก็มีรุ่นพี่คอยแนะนำและมีระยะเวลาให้ทดลองงาน ซึ่งเขาได้ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว

“ปลา รีบจัดด่วนเลย เช้านี้จะมีฝ่ายบริหารมาเดินดูก่อนห้างเปิด” พี่ที่เป็นหัวหน้าเดินมาบอกเขาก่อนจะเดินเลยไปส่งเสียงเตือนคนอื่น เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กที่คล่องแคล่วว่องไวสมกับที่ทำงานในห้างสรรพสินค้ามานาน

ด้วยเหตุนั้น ตอนที่ปภินวิชได้ยินเสียงสัญญาณเตือนก่อนห้างเปิด เขาถึงเห็นกลุ่มคนในชุดสูทกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากประตูเข้าออกของพนักงาน เด็กหนุ่มรีบสาวเท้ามายืนประจำจุด มองดูพนักงานคนอื่นๆ ยืนนิ่งประจำที่เรียงเป็นแถว

เขาทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มาร่วมหนึ่งปีแล้ว จึงเริ่มเคยชินกับการตรวจประเมินของฝ่ายบริหาร นอกจากนี้บางครั้งยังมีการตรวจสอบการบริการแบบไม่ให้รู้ตัว โดยมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบแต่งตัวธรรมดาปกติปะปนไปกับผู้มาใช้บริการของห้าง กระนั้นปภินวิชก็ยังคงแอบเหลือบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทว่าความอยากรู้อยากเห็นครั้งนี้ไม่ดีเสียเลย เมื่อเขาบังเอิญไปสบตากับนายหน้าที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน เด็กหนุ่มหลุบสายตาก้มหน้าหนีอย่างรวดเร็ว อาจฟังดูว่าเป็นการหวาดวิตกเกินเหตุแต่เด็กหนุ่มก็หวั่นกลัวว่าการพบกันระหว่างเขาและกวีวัธน์เมื่อคืนจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในปัจจุบัน ถึงกระนั้นคู่กรณีกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าให้หัวใจของเขาทำงานหนักเพิ่มขึ้น ก่อนจะยอมก้าวเท้าจากไปโดยไม่พูดอะไร

กรุงเทพก็ไม่ได้แคบ ไม่รู้ว่าบังเอิญมาอยู่แถวนี้ได้อย่างไร ปภินวิชบ่นพึมพำในใจพลางลูบอกให้คลายอาการตื่นตระหนก

“เป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อเช้าเห็นท่าทางแปลกๆ”

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองชายหนุ่มพนักงานรุ่นพี่ซึ่งเดินเข้ามาหาหลังผ่านพ้นช่วงเวลาเปิดห้าง

“เปล่าครับ” เขาตอบปฏิเสธ จะให้บอกเรื่องราวที่เจอกวีวัธน์กับคนอื่นได้อย่างไร

คนฟังเลิกคิ้วมองก่อนจะสาธยายข้อมูลของกลุ่มผู้บริหารเมื่อเช้าให้ฟัง “ได้ยินจากเจ๊มาว่า มาจากสำนักงานใหญ่ เห็นว่าสุ่มตรวจห้างในเครือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เขาไม่ใช่คนพูดน้อยแต่ไม่ใช่คนช่างพูดด้วยเช่นกัน สมัยเรียนก็พูดคุยกับเพื่อนปกติ มีเพื่อนสนิทและมีกลุ่มเพื่อนที่พูดคุย ทำงาน เล่นกีฬาด้วยกันได้ เพียงแต่เมื่อถูกบังคับให้ก้าวสู่วัยทำงานแบบกะทันหัน ต้องมาทำงานร่วมกับคนที่อายุมากกว่าหลายปี เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะชวนคุยเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ในที่ทำงาน ตัวเขาก็คุยกับคนอื่นแต่เรื่องงาน

หลังจากนั้น ปภินวิชทำงานไปอย่างราบรื่นตลอดทั้งวัน คงเพราะหน้าตาด้วยล่ะมั้ง ที่ทำให้แม้แต่ลูกค้าก็เอ็นดู เมื่อรวมกับการพูดจาสุภาพไพเราะเข้าไปด้วย จึงไม่ค่อยเจอลูกค้าโวยวายแบบที่พนักงานบางคนเคยเจอ





สองสามวันหลังจากนั้น กวีวัธน์ได้ติดต่อมาเพื่อนัดหมายสำหรับการทำงานครั้งแรก ถึงจะบอกตัวเองว่าตัดสินใจแล้ว กระนั้นเขายังรู้สึกหวั่นกังวลอยู่ลึกๆ

ดูเหมือนว่ากวีวัธน์จะตรวจสอบเวลาทำงานของเขามาแล้ว เนื่องจากเวลาสำหรับการทำงานในห้างสรรพสินค้าถูกแบ่งเป็นสองกะ ตอนเช้าเข้างานตั้งแต่สิบโมงถึงหนึ่งทุ่มและกะบ่ายเข้างานตั้งแต่เที่ยงถึงสี่ทุ่ม พนักงานจะได้รับตารางการเข้างานตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เวลางานนั้นก็สลับกันไประหว่างกะเช้าและกะบ่าย ที่ปภินวิชคิดว่านายหน้าคนนั้นตรวจสอบตารางการทำงานของเขาเพราะวันที่มีการนัดหมาย เด็กหนุ่มเลิกงานตอนหนึ่งทุ่มและวันรุ่งขึ้นเขามีตารางเข้าทำงานตอนเที่ยง

เด็กหนุ่มบอกน้องสาวว่า เพื่อนที่รู้จักกันให้ไปช่วยงานกลางคืนจึงไม่กลับมานอนที่ห้องและบอกย้ำให้เด็กสาวปิดล็อกประตูให้ดี อย่าเปิดประตูให้ใครไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งก่อนหน้านั้นตั้งแต่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เด็กหนุ่มได้หากลอนประตูมาติดเพิ่มไว้แล้ว

สถานที่นัดหมายกับกวีวัธน์ในคราวนี้ยังคงเป็นร้านอาหารเช่นเดิม เด็กหนุ่มเพิ่งเลิกงานก็ตรงดิ่งมาทันที แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความกระตือรือร้น แต่เป็นเพราะห้างสรรพสินค้าที่เขาทำงานอยู่ห่างจากร้านอาหารนั้นด้วยระยะเวลาการเดินทางที่มากโข ยิ่งในช่วงเย็นที่การจราจรบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถราด้วยแล้ว กว่าจะถึงที่นัดหมายปภินวิชใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงกับเศษเวลาอีกเล็กน้อย

“ขอโทษครับ พอดีรถติด” อันที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกเลยด้วยซ้ำ ใครๆ ก็รู้ว่าสภาพการจราจรมุ่งเข้าสู่กลางเมืองเป็นเช่นไร แต่เด็กหนุ่มยังกล่าวตามมารยาท

เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับกวีวัธน์ ฝ่ายนั้นตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน เพียงแค่ครู่เดียว อาหารมากมายก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ

“ทานให้เต็มที่นะ กว่าที่นายท่านจะประชุมเสร็จคงอีกสักพัก”

เด็กหนุ่มยังไม่ได้ทานมื้อเย็น แต่กระนั้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องเกิดในค่ำคืนนี้แล้ว มันพานให้เขาทานอะไรไม่ค่อยลง ท้ายที่สุดเขาจึงทานไปเพียงแค่รองท้องเท่านั้น

“คุณเตรียมตัวมาพร้อมใช่ไหมครับ”

ปภินวิชสำลักน้ำที่กำลังยกขึ้นดื่ม โชคดีว่าอีกฝ่ายถามเขาตอนที่ทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยรู้ความหมายของการเตรียมตัวที่คนตรงหน้าพูดถึง หรือถ้าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่เขาดันนึกไปถึงเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียแล้ว

ชายหนุ่มผู้ที่เป็นนายหน้าไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงเรียกพนักงานให้เก็บเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงลุกขึ้นและเดินนำเขาออกจากร้านอาหาร

รถยนต์คันหรูพาเขาและนายหน้ามาส่งที่คอนโดสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งในย่านพื้นที่ติดริมแม่น้ำ ไม่ห่างจากร้านอาหารมากนัก อาจเพราะเริ่มค่อนดึก รถยนต์บนท้องถนนจึงซาลง ระยะทางสั้นๆ จึงใช้เวลาเดินทางไม่นาน

กวีวัธน์ยังคงเดินนำอยู่ด้านหน้าเช่นเดิม เขากดเรียกลิฟต์และใช้คีย์การ์ดแตะบนหน้าจอควบคุมภายในลิฟต์ก่อนจะกดหมายเลขชั้น ห้องพักของนายท่านไม่ถึงขนาดกับอยู่บนชั้นบนสุด แต่ลิฟต์เคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ที่ชั้นหกสิบกว่าๆ โถงทางเดินด้านนอกปูพื้นด้วยกระเบื้องเงาวับ ลองกวาดสายตานับประตูห้องคร่าวๆ ปภินวิชพบว่ามีประตูเพียงไม่กี่บานเท่านั้น

ประตูห้องของนายท่านถูกเปิดด้วยคีย์การ์ดใบเดิมที่อยู่ในมือของกวีวัธน์ เด็กหนุ่มกวาดสายตาสำรวจห้องอีกครั้งเมื่อแสงไฟค่อยๆ เรืองสว่างพร้อมเดินตามนายหน้าเข้าไปในห้อง

กวีวัธน์ผายมือให้เขานั่งที่โซฟา

“อีกพักใหญ่ๆ กว่าที่นายท่านจะกลับมา คุณก็พักผ่อนตามสบายไปก่อนแล้วกัน”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้ปภินวิชเหลือบตามองหานาฬิกา ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว นายท่านที่ว่าเลิกงานกี่โมงกันเนี่ย เด็กหนุ่มเกิดคำถามในใจ

“วันนี้ผมกลับก่อนนะ”

เขาชะงักด้วยเพราะอยากจะเอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เปลี่ยนใจพยักหน้าในทันควัน

“อ้อ... พยายามทำให้นายท่านพอใจเข้าไว้ล่ะ” กวีวัธน์ย้ำอีกรอบ ก่อนปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งรอนายท่านแต่เพียงผู้เดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2018 10:31:01 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรียกว่านายท่านนี่ภาพชายแก่ผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ฮา
ว่าแต่ครอบครัวน้องไม่มีใครแล้วเหรอ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา งี้ (หรือเราอ่านข้ามหว่า)
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :hao6: นายท่านต้องเป็นเจ้าของที่น้องทำงานแน่เลย...  :hao3:

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จินตนาการภาพนายท่านแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ มาดท่านชายเย็นชาปากหนักโผล่วาบเชียว

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :katai4: ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #6 เมื่อ26-09-2017 05:50:55 »

02



ความรู้สึกตื่นประหม่าหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยความง่วงงุน ห้องนี้อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ เบาะโซฟานุ่มกำลังดีจนยามที่พิงศีรษะลงไปคล้ายจะเคลิ้มหลับ ที่สำคัญเข็มนาฬิกาผ่านเลขสิบสองไปแล้วเขายังไม่เห็นแม้แต่เงานายท่านของกวีวัธน์

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปภินวิชกำลังเคลิ้มเหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ฉับพลันเสียงเปิดประตูได้ปลุกเขาให้สะดุ้งตื่น เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา เขาจึงลุกขึ้นยืนพลางลูบหน้าลูบตา

“นายท่าน?”เขาส่งเสียงถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจนัก เนื่องด้วยคาดเดาหน้าตาของนายท่านว่า จะต้องเป็นชายสูงอายุพุงพลุ้ย ทว่าคนที่เขาเห็นนอกจากจะเป็นชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างดีแล้ว หน้าตายังจัดอยู่ในข่ายที่เรียกว่าดีมากอีกด้วย

ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วมองคล้ายหงุดหงิดหรือกำลังไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง พร้อมสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มจึงได้มีโอกาสสังเกต ‘นายท่าน’ ให้ชัดเจนอีกครั้ง นอกจากดวงตาและใบหน้าที่ดูอ่อนล้าแล้ว ทั้งทรงผม เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งท่าทางการถือเสื้อสูท ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งเลิกงานสักนิด ทุกอย่างยังดูเป็นระเบียบเหมือนเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

“เด็กของกลอน?”

คำถามนั้นทำให้ปภินวิชงุนงง

“ฉันหมายถึง... กวีวัธน์เป็นคนพาเธอมา”

“ครับ”ทีแรกเด็กหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าอาจจะไม่สุภาพจึงส่งเสียงรับคำตามไปด้วย

“เจ้าบ้านั่น!!!”

เด็กหนุ่มได้ยินนายท่านสบถออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะส่งคำถามตามมา “ทานอะไรมาหรือยัง”

“คุณกวีวัธน์พาไปทานมาแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำแล้วตามเข้าไปในห้อง”น้ำเสียงคนพูดห้วนเข้มดั่งคนที่ออกคำสั่งมาทั้งชีวิต เขาใช้มือข้างที่คล้องเสื้อสูทชี้ไปทางห้องน้ำเนื่องจากอีกมือถือกระเป๋าเอกสาร ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวฉับๆเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง

ความตื่นประหม่าตีรวนขึ้นมาในอกของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ไม่เหลืออาการง่วงงุนในความรู้สึกอีกต่อไป เขายืนลังเลเพราะตื่นเต้นหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งจึงฮึดเรียกกำลังใจกลับมา

ปภินวิชเตรียมเสื้อผ้ามาพร้อมเพียงแต่เสื้อผ้าที่ว่านั่นมันสำหรับใส่เดินทางกลับ หลังอาบน้ำเสร็จเขาจึงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีครีมซึ่งมีอยู่บนชั้นวางของในห้องน้ำและเดินเข้าไปยังห้องที่นายท่านหายเข้าไปก่อนหน้า เขายืนเคว้งเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นไร้เงาของผู้เป็นเจ้าของ ยืนนิ่งรออยู่ครู่หนึ่งประตูอีกบานจึงเปิดออก

“ไม่มีชุดนอนเหรอ”นายท่านถามเขา เลิกคิ้วมองชุดที่เขาสวมใส่ด้วยความแปลกใจในมือข้างหนึ่งมีผ้าขนหนูผืนเล็กกำลังขยี้ซับเส้นผมเปียกชื้นบนศีรษะ

“ไม่มีครับ”

คนถามไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับเดินหายเข้าไปในประตูอีกบานหนึ่ง สองสามนาทีต่อจากนั้นจึงกลับออกมาพร้อมชุดเสื้อผ้าสีน้ำตาลซึ่งวางพับเรียบร้อยในมือ ฝ่ายนั้นยื่นมันมาให้เขา

“เอาไปเปลี่ยน”

เด็กหนุ่มประนมมือไหว้ก่อนยื่นมือไปรับและถือมันกลับไปยังห้องน้ำด้านนอก ไม่กล้าทำท่าลังเลแม้ภายในใจจะสงสัย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดอยู่แล้วจะต้องลำบากหามาให้เขาใส่ทำไม แต่นึกไปนึกมามันอาจจะเป็นเพราะรสนิยมของอีกฝ่าย เขาจึงทิ้งความสงสัยไว้แค่นั้น รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

“นั่นผ้าห่มของเธอ”เจ้าของห้องชี้มือบอก ฝ่ายนั้นนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคลุมครึ่งท่อนล่างด้วยผ้าห่มผืนหน้า เส้นผมตัดสั้นสีดำขลับบนศีรษะแห้งสนิท มองดูคล้ายเตรียมพร้อมจะเข้านอนแล้ว

“รีบขึ้นมาสิ ฉันจะปิดไฟแล้ว”

โดนเอ่ยเร่งอีกครั้งปภินวิชจึงต้องรีบก้าวเท้าขึ้นเตียง เขางุนงงตรงที่ ทำไมนายท่านจึงทำเหมือนให้ต่างคนต่างนอน ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ไฟในห้องกลับถูกหรี่ดับลงด้วยรีโมตในมือของนายท่านเสียแล้ว ทั้งห้องมืดสนิทในทันใด เด็กหนุ่มยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งเสียงของนายท่านดังขึ้นอีกรอบ

“จะนั่งอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม ถ้าไม่อยากนอนในห้องก็ออกไปข้างนอก”

ปภินวิชรีบสั่นศีรษะไม่ทันนึกด้วยว่านายท่านมองเห็นเขาได้อย่างไรทั้งที่ภายในห้องมืดขนาดนี้ เขาล้มตัวลงนอน เมื่อหัวถึงหมอนความง่วงงุนได้จู่โจมเขาอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็หลับสนิท



เด็กหนุ่มลืมตาตื่นเมื่อยามเช้ามาเยือน คนที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันเมื่อคืนลุกออกไปแล้วเพราะที่ว่างด้านข้างเหลือแต่ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มยับย่น เขาจึงลุกขึ้นพับผ้าห่มไว้ปลายเตียง พอเปิดประตูออกมาเขาได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ จึงเดินตรงไปตามทาง หลังจากพ้นเหลี่ยมผนังเขาจึงได้เห็นนายท่านนั่งอยู่หัวโต๊ะทานอาหาร ที่นั่งถัดมาคือกวีวัธน์

“ขอโทษที่ตื่นสายครับ”

“อือ ล้างหน้าแปรงฟันหรือยัง จะได้มาทานข้าว”คนพูดเป็นนายท่านที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือ ปภินวิชรับคำหมุนตัวหันหลังเดินไปหยิบกระเป๋าของตนซึ่งวางไว้บนชุดโซฟา แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มกลับออกมาด้วยชุดเสื้อผ้าของตนชุดใหม่ ส่วนชุดนอนที่นายท่านให้ยืม เขาพับเป็นระเบียบและถือออกมาด้วย

“ชุดที่ให้ยืม เดี๋ยวผมนำไปซักแล้วจะนำมาคืนให้วันหลังนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก ในห้องนอนมีตะกร้าอยู่ เอาไปใส่ไว้ในนั้น”

ถึงหูจะฟังนายท่านพูด แต่สายตาของปภินวิชกลับมองกวีวัธน์ที่กำลังยกยิ้มหน้าเป็นแต่เมื่อผู้เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้เหลือบสายตาไปมองกลับหุบยิ้มปั้นหน้านิ่งทันควัน หลังประโยคนั้นของผู้เป็นเจ้าของห้องจบ เขาจึงนำเสื้อผ้าของชายหนุ่มไปวางไว้ในตะกร้าตามที่สั่ง และเดินกลับมายืนนิ่งใกล้ๆโต๊ะทานอาหาร

“นั่งสิ”

เด็กหนุ่มขยับเท้าก้าวเข้าไปลากเก้าอี้และทรุดตัวลงนั่งตามคำสั่ง ขณะเดียวกันนายท่านก็รวบรวมเอกสารส่งคืนให้กวีวัธน์ ในนาทีนั้น ปภินวิชถึงได้สังเกตเห็นว่าในห้องมีแม่บ้านที่เป็นหญิงวัยกลางคนด้วย เธอยกข้าวต้มในถ้วยกระเบื้องมาเสิร์ฟให้นายท่านก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยกวีวัธน์และเขาเป็นคนสุดท้าย

โต๊ะอาหารยามเช้าทำให้ปภินวิชหายใจไม่ค่อยออกแม้ว่ามื้ออาหารตรงหน้าจะอร่อยรสชาติดี บรรยากาศเงียบกริบไร้สรรพเสียงพูดคุยทำให้เด็กหนุ่มตัวเกร็ง ระวังตัวถึงขนาดไม่กล้าให้ช้อนกระเบื้องกระทบถ้วยจนเกิดเสียงดัง ทั้งยังก้มหน้าก้มตาทานโดยไม่คิดที่จะเงยหน้ามองผู้ใด ละเลียดทานไปเรื่อยๆกระทั่งเห็นจากปลายหางตาว่านายท่านวางช้อนแล้วเขาจึงหยุดทาน

“อิ่มหรือเปล่า”

“อิ่มครับ”ต่อให้ไม่อิ่มแต่บรรยากาศเคร่งขรึมกดดันเช่นนี้ ปภินวิชก็ทานอะไรไม่ลง เขามองนายหน้าอย่างกวีวัธน์ที่เอาแต่ปิดปากเงียบสนิทอีกครั้งก่อนจะหลุบตามองโต๊ะ

เช็คระบุจำนวนเงินใบหนึ่งถูกเลื่อนมาตรงหน้าเขา

“เอ๊ะ”ปภินวิชเงยหน้ามองเจ้าของกระดาษใบนั้นด้วยความแปลกใจ ทว่าอีกฝ่ายได้อธิบายให้เขาฟังก่อนจะถูกเอ่ยถาม

“ค่าเสียเวลา แล้ววันนี้ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง”นายท่านลุกขึ้นเหมือนไม่อยากรอให้เขาเอ่ยแย้ง แต่จำนวนเงินในเช็คมันมากกว่าที่กวีวัธน์เคยตกลงไว้ ทั้งเมื่อคืนตัวเขาเองไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าปภินวิขเป็นคนดีหรืออยากเสนอตัวเพื่อแลกกับเงินให้ได้ ในภาวะที่สภาพทางการเงินของเขาและน้องสาวเป็นเช่นนี้ ใครยื่นเงินมาให้เขาก็ยินดีรับ สิ่งที่เขากลัวมีแต่เมื่อรับเงินไปแล้วภายหลังจะต้องชดใช้คืนเป็นเท่าตัวเสียมากกว่า

“นี่มันเยอะเกินไป แล้วเมื่อคืนก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย”เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนพูดท้วงถาม มองแผ่นหลังกว้างของนายท่านซึ่งกำลังสวมสูทสีเข้ม หลังจัดแต่งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เสร็จแล้ว ใบหน้าคมคายจึงหันมามองเขา

“เธอมีปัญหาอะไร เงินนั่นเป็นของฉันและฉันก็พอใจที่จะให้เธอ”

โดนพูดย้อนกลับมาแบบนั้นพาลให้ปภินวิชอึกอักพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเล่นแง่เพื่อให้มองดูเหมือนคนไม่เห็นแก่เงินหรอกนะ แต่เรื่องเงินเรื่องทองเขาอยากถามเพื่อให้แน่ใจ ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีการมาทวงบุญคุณกันทีหลัง

“ไม่ครับ เพียงแต่...”

อีกฝ่ายยังนิ่งเงียบรอให้เขาพูดต่อ

“นายท่านให้เฉยๆเลยหรือครับ ไม่มีพันธะผูกพันใดๆ”

คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรจากเธอทีหลังแน่นอน”

“ขอบคุณครับ”ปภินวิชกล่าวพร้อมกระพุ่มมือยกขึ้นไหว้

เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเห็นว่าปภินวิชไม่มีทีท่าสงสัยหรือกล่าวความอันใด เขาจึงหยิบกระเป๋าส่วนตัวเดินนำออกจากห้อง โดยมีกวีวัธน์เดินตามหลังมาติดๆ พ้นออกจากห้องยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนประจำตำแหน่งหน้าประตู สองคนนั้นก้มศีรษะทักทายเขา จากนั้นหนึ่งในสองคนนั้นจึงเดินนำไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ หลังจากหยุดเท้ายืนรอลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนที่ขึ้นมา เขาจึงหันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทให้จัดเตรียมรถไปส่งเด็กหนุ่มด้วย

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้”ปภินวิชส่งเสียงบอกจากตำแหน่งวงนอกสุดเยื้องไปทางด้านหลังของกวีวัธน์

“คนของฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

แน่สิ ลูกน้องที่ไหนจะกล้าบอกว่าลำบาก เด็กหนุ่มคิดในใจ กระนั้นเขาก็ยอมหุบปากนิ่งเงียบเมื่อกวีวัธน์ส่งสายตาดุๆมากำราบ

ลิฟต์เคลื่อนที่มาหยุดชั้นที่จอดรถ ปภินวิชโดนต้อนให้ไปขึ้นรถยนต์ยี่ห้อหรูคนละคันกับของนายท่าน ขณะที่กวีวัธน์เดินตามนายท่านต้อยๆไปขึ้นรถยนต์เช่นเดียวกัน คนขับรถหันมาถามเขาถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการให้ไปส่ง เด็กหนุ่มจึงบอกตำแหน่งสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นทางผ่านไปหอพักของเขาแทน จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาน้องสาว



“ไม่ถูกใจหรือครับ”กวีวัธน์เอ่ยปากถามชายหนุ่มที่เขาเรียกว่านายท่านขณะที่อีกฝ่ายกำลังดูข้อมูลข่าวสารจากแท็บเล็ต พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในรถยนต์ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารสำนักงาน มีบอดี้การ์ดทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่งตอนหน้า พ้นออกจากถนนซอยปริมาณรถยนต์ซึ่งคลาคล่ำบนท้องถนนทำให้การเคลื่อนที่ช้าลง แสงแดดแรงจัดขึ้นเรื่อยๆ แต่อากาศภายในห้องโดยสารยังเย็นฉ่ำ

“ถูกใจแล้วอย่างไร ไม่ถูกใจแล้วอย่างไร แกก็ทำอะไรโดยพลการต่อไปอยู่ดี”คนพูดยังคงก้มหน้าสนใจกับสิ่งที่อยู่ในมือ คนที่เริ่มต้นบทสนทนาจึงส่งเสียงหัวเราะราวกับไม่รู้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำไป ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ผมมีเหตุผลนะครับ”

ประโยคนั้นทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้น มองหน้ากวีวัธน์เป็นเชิงว่ากำลังรอฟังเหตุผลนั้นอยู่

“น้องเขาน่าสงสารนะครับ พ่อแม่เสียชีวิต น้องสาวป่วย ต้องการหาเงินไปรักษาน้องสาว นายท่านไม่คิดจะยื่นมือไปช่วยเหลือหรือครับ”

“คำเรียกนั่นอีก ฉันแก่ขนาดที่สามารถเรียกว่านายท่านเลยเรอะ”

คนฟังส่งเสียงหัวเราะคิกคักราวกับเด็กๆ “แก่กว่าผม แก่กว่าน้องเขามากด้วย”

“เออ เออ”คนโดนเรียกว่านายท่านเถียงไม่ออก เพราะเป็นจริงดังที่อีกฝ่ายพูดจึงได้ส่งเสียงรับคำอย่างขอไปที แล้วหยิบเช็คขึ้นมาเขียนจำนวนเงินแล้วส่งให้

“แค่นี้พอไหม”

“ให้ง่ายจังง่ะ ไม่คิดจะให้ค่าขนมหลานคนนี้บ้างหรือครับ”กวีวัธน์มองหน้าผู้มีศักดิ์เป็นน้าชายแล้วทำตาปริบๆ

“แกทำงานมีเงินเดือนแล้วยังต้องขอเงินอีก? อย่างนั้นฉันย้ายแกไปเป็นเด็กส่งเอกสารดีไหม”

“ไม่ครับ ไม่ดีเลย”กวีวัธน์รีบปฏิเสธทันควัน ชายหนุ่มแค่พูดเล่นแต่ไม่กล้าคาดเดาว่าคำพูดของน้าชายจะเล่นๆด้วยหรือไม่ ถ้าเกิดอีกฝ่ายคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเขาคงแย่ ปฏิเสธไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า

“ส่วนเงินนี่ ไหนแกบอกว่าน้องเขาน่าสงสาร พอฉันช่วยกลับมาบ่น”

“อย่างน้องเขา น้าฤทธิ์ต้องเรียกว่าหลาน”กวีวัธน์ชวนพูดไปนอกเรื่องอีกครั้ง

“แกมีปัญหาอะไรกับอายุฉันนัก”น้าฤทธิ์ที่กวีวัธน์เรียกขานเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ เสียงทุ้มต่ำเข้มห้วนอย่างกรุ่นโกรธ “เดี๋ยวถึงบริษัท ฉันจะอนุมัติย้ายแกไปเป็นพนักงานส่งเอกสารสักสองสามเดือน”

“ผมขอโทษ”กวีวัธน์ร้องเสียงหลง ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในรถชายหนุ่มคิดว่าตนคงทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจครับน้าฤทธิ์ ผมแค่แซวเล่น น้าฤทธิ์ของผมยังหล่อ หุ่นดี ดูดิกล้ามแน่นเป็นมัดๆ แหม...” น่าจะกัดแขนเล่นเบาๆ เนื้อเพลงท่อนสุดท้าย กวีวัธน์ได้แต่ฮึมฮัมในใจพร้อมกับลดมือที่กำลังบีบเคล้นกล้ามแขนแข็งๆของคุณน้าลง เมื่อเห็นสายตาคมปลาบตวัดมองตน พลางขยับตัวนั่งดีๆ กระแอมกระไอสองสามครั้งจากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“น้าฤทธิ์ไม่คิดว่าจะเอาเงินนี่ไปให้น้องเขาเองหรือครับ อย่างน้อยน้องเขาจะได้รู้ว่าน้าเป็นคนให้”

“ไม่จำเป็น เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับเขาอยู่แล้ว”

“เพราะว่าอายุห่างกันมากหรือครับ”

“แกเลิกคิดเป็นตุเป็นตะเพ้อเจ้อเรื่องนี้ซะที”พฤทธิกรหรือน้าฤทธิ์ปรามเสียงเข้ม พาลให้คนโดนดุมุ่ยหน้าด้วยความไม่ชอบใจ กระนั้นพฤทธิกรกลับไม่คิดจะต่อความหรือชี้แจงใดๆนอกจากสั่งให้รีบไปจัดการเรื่องที่ว่า

กวีวัธน์จำต้องพยักหน้ารับและสอดเช็คใส่กระเป๋าเอกสาร เพียงแต่ในสมองกลับคิดหาวิธีจัดการเด็ดๆ ที่จะทำให้น้าชายต้องอ้าปากค้างด้วยความยินดี แม้ในอนาคตอันใกล้ พฤทธิกรจะไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างที่คนเป็นหลานชายคาดหวังไว้ก็ตาม

ชายหนุ่มเลือกมาหาปภินวิชในเวลาเย็นหลังจากที่อีกฝ่ายหมดเวลางานแล้ว โดยนัดหมายฝ่ายนั้นให้มาเจอที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า แม้เวลาเย็นๆในห้างจะเต็มไปด้วยผู้มาใช้บริการทั้งในส่วนร้านอาหารและร้านค้าต่างๆในพื้นที่ แต่เพราะกวีวัธน์ได้โทรจองโต๊ะที่นั่งไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเขาไปถึงจึงเห็นเด็กหนุ่มในชุดพนักงานนั่งรออยู่ที่โต๊ะ เด็กหนุ่มยกมือไหว้เขาเมื่อเห็นเขาปรากฏตัว

“สั่งอะไรไหม”กวีวัธน์เอ่ยปากถามพลางรับเมนูจากพนักงาน

ปภินวิชสั่นศีรษะพร้อมเอ่ยปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงสั่งอาการสองสามอย่างโดยแจ้งให้พนักงานใส่กล่องเพื่อนำกลับบ้าน

“นายท่านอยากจะอุปการะคุณ”

“เงินที่ได้มาเมื่อคราวก่อนมันพอแล้วครับ ผมคงไม่คิดทำงานแบบนั้นอีก”เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง ที่จริงเขาต้องการเงินเพิ่มแค่ให้เพียงพอต่อค่ารักษาของน้องสาวเท่านั้น เพราะตั้งใจว่าจะใช้สิทธิการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ  แม้จะไม่สะดวกสบายเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่อพูดคุยกับน้องสาวแล้วเธอไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา เขาจึงติดต่อพาน้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ดูข้อมูลไว้

ปภินวิชทำงานมีเงินเดือนก็จริง แต่เงินเดือนที่ได้รับมันแค่หมื่นกว่าบาทเพียงพอแค่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างจำกัดจำเขี่ย ส่วนเงินที่ได้รับมาหลังจากพ่อแม่เสียชีวิต มันหมดไปแล้วเพราะความไม่รู้จักคิดและการเชื่อคนง่ายของเขา แม้ความรู้สึกผิดโทษตัวเองจะมีส่วนผลักดันให้เขาตัดสินใจคิดทำงานแบบนั้น แต่เขาได้คิดคำนวณอย่างรอบคอบแล้วว่า การเสียสละศักดิ์ศรีเล็กๆน้อยๆจะทำให้พวกเขาสองพี่น้องใช้ชีวิตได้สุขสบายมากขึ้น

นั่นสิ... ถ้าใช้สิทธิการรักษาคงใช้เงินไม่เท่าไหร่ กวีวัธน์คิดในใจ

“อืม ถ้าอย่างนั้นดีใจด้วยนะ”ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางพูดคุยกับเด็กหนุ่มต่อไป อย่างเรื่องที่จะให้น้องสาวไปรักษาตัวที่ไหน เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มเห็นว่า กวีวัธน์รู้ทั้งชื่อของตนโดนไม่ได้บอก ทั้งเวลาการทำงาน ไหนจะยังที่ไปโผล่แถวถนนเส้นนั้นราวกับว่าอีกฝ่ายคอยให้คนตามดูเขาอยู่ ถึงจะรู้สึกระแวงกังวลเหมือนโดนคุกคามอยู่บ้าง แต่นายท่านของกวีวัธน์กลับดูเป็นคนดีต่างจากชายหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มจึงยอมพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวที่อีกฝ่ายถามมา กระทั่งอาหารที่กวีวัธน์สั่งไว้ถูกนำมาวางให้บนโต๊ะ ชายหนุ่มจ่ายเงินค่าอาหาร จากนั้นจึงเลื่อนถุงอาหารไปให้ปภินวิช

“เอากลับไปทานกับน้องนะ”

เด็กหนุ่มชะงัก นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากถามไปว่า “ทำไมพวกคุณถึงต้องมาทำดีกับผมด้วยละครับ” ถ้าเงินที่ได้รับต้องแลกเปลี่ยนกับความสัมพันธ์ในค่ำคืน ปภินวิชคงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่นี่นอกจากให้เงินเขามาฟรีๆ ยังเลี้ยงข้าวเขาทั้งที่ปฏิเสธข้อเสนอ มันจึงยิ่งทำให้เขาแคลงคลาง ทั้งยังหวั่นกลัวอยู่ลึกๆ ถ้าเขาตอบรับไมตรีนี้เขาอาจจะต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายในสักวัน

“ไม่คิดว่าผมกับนายท่านเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้คนไปทั่วบ้างล่ะ”ใบหน้าของกวีวัธน์ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“มีมูลนิธิมากมายที่ต้องการเงินสนับสนุน”เด็กหนุ่มเอ่ยแย้ง ซึ่งทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าส่งเสียงหัวเราะกับคำพูดนั้น

“เอาเป็นว่า...”กวีวัธน์ทำท่านึก “มันเป็นผลบุญที่คุณเคยทำไว้ในอดีต”

“ผลบุญ?”

“เคยเก็บกระเป๋าเงินคืนเจ้าของหรือเปล่า”

คราวนี้ปภินวิชกลอกตานึกจากนั้นจึงเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย อาจจะมีเหตุการณ์แบบนั้น น่าจะเป็นช่วงที่เขาไปทำงานพิเศษในร้านกาแฟเมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่ที่พ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงอย่างไรการเก็บสิ่งของคืนให้ลูกค้ามันก็เป็นหน้าที่ของพนักงาน อีกอย่างคือกระเป๋าที่เขานำคืนส่งเจ้าของน่าจะไม่ใช่ของกวีวัธน์หรือของนายท่าน ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจนัก

“ผมเคยเก็บกระเป๋าคืนคุณหรือนายท่านหรือครับ”

กวีวัธน์ไม่ตอบทำเพียงยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว”ปภินวิชบอกออกไปตามที่คิด ยังไม่เชื่อสนิทใจนักว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นจะทำให้กวีวัธน์หรือนายท่านตอบแทนเขาด้วยจำนวนเงินมากมายถึงเพียงนี้

“ไม่ต้องมัวแต่คิดมากหรอก ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไว้เถอะ”

ถ้าของนั้นมาจากความจริงใจ คงไม่ต้องมาคิดมากมายอย่างนี้หรอก ปภินวิชคิดในใจ เพราะมันดูเหมือนมีอะไรแอบแฝงต่างหากที่ทำให้กังวลไม่หาย

“ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะขอตัวลาและยกมือไหว้อีกครั้ง

“อือ ถ้ามีปัญหาอะไร ติดต่อฉันได้เสมอนะ”กวีวัธน์กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกจากโต๊ะ ปภินวิชพยักหน้ารับก็จริง แต่ในใจกลับคิดว่า เขาคงไม่มีทางติดต่ออีกฝ่าย ต่อให้เจอเรื่องลำบากขึ้นมาจริงๆก็ตาม

กวีวัธน์มองตามหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินลงบันไดเลื่อนผ่านกระจกใสจากในร้าน เป็นอันว่าแผนการของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเป้าหมายไม่มีเหตุเดือดร้อนหรือรักสบายจนเลือกใช้เส้นทางลัด เขานิ่งคิดด้วยความหน่ายระอาที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด อีกอย่างเพราะเช็คใบนั้นเขาเอาเข้าบัญชีตัวเองไปแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะฮุบเงินของน้าชาย ด้วยเงินเดือนของเขาบวกกับความสนิทสนมที่มี ต่อให้เดือดร้อนจริงๆพฤทธิกรต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน แต่ที่ทำแบบนี้เพราะเขาไม่ได้คิดจะเอาเงินให้ปภินวิชทั้งก้อน แต่เจ้าของเงินตัวจริงกลับไม่อยากได้แล้วเนี่ยสิ

ชายหนุ่มส่งเสียงชิชะอย่างไม่สบอารมณ์ ครู่หนึ่งต่อมา ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และเมื่อปลายสายกดรับ เขาก็กรอกเสียงลงไปทันที

“อยากให้ช่วยทำงานให้หน่อย”


เด็กหนุ่มติดต่อทำเรื่องนัดหมายเข้ารักษาให้น้องสาวไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอเวลานัดหมายตามคิว ถึงโรงพยาบาลแห่งนี้จะอยู่ในความดูแลของรัฐบาลแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาเฉพาะทาง ราคาค่ารักษาไม่แพงแลกกับจำนวนผู้มาเข้ารักษาล้นหลาม วันที่เขาพาน้องสาวไปตรวจ ยังต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อรับบัตรคิวแต่เมื่อได้กำหนดวันผ่าตัดมาแล้ว ปภินวิชจึงรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไปอย่างราบรื่น แม้ว่าเด็กหญิงจะมีอาการเตือนจากโรคบ่อยขึ้นก็ตาม

และในที่สุด กำหนดนัดหมายที่เขานึกภาวนาเร่งวันเร่งคืนก็มาถึง

ปภินวิชแจ้งขอหยุดงานไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตารางการทำงานยังไม่ออก เพราะฉะนั้นประวัติการลางานของเขาจึงยังขาวสะอาด ส่วนน้องสาว เขาให้เธอนำใบนัดของแพทย์ไปแจ้งกับอาจารย์ประจำชั้นเมื่อวันก่อน รวมถึงแจ้งจำนวนวันที่ต้องขาดเรียนด้วย

โรงพยาบาลที่เขาต้องการให้น้องสาวไปรักษาตัวอยู่ห่างจากที่พักปัจจุบันราวๆสิบเอ็ดกิโลเมตร อยู่ในเขตกลางเมืองที่เป็นแหล่งรวมของหลายๆโรงพยาบาล ปภินวิชพาน้องสาวข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเรียกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง เขาและน้องออกจากห้องแต่เช้าช่วงประมาณหกโมงกว่าๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด ถ้ารถไม่ติดมากใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงถึง

เด็กหนุ่มหันมองน้องสาวซึ่งสองตากำลังมองวิวถนนข้างทาง ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเซียวด้วยเพราะอาการปวดศีรษะคงทำให้เธอทรมานจนนอนไม่หลับ แต่เขาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรในเมื่อแม้แต่ยาแก้ปวดยังใช้ไม่ได้ผล กระนั้นเธอกลับไม่เคยหลุดปากร้องบอกเขาสักคำ หากไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นอาการเหล่านั้นด้วยตัวเอง

กว่าจะถึงโรงพยาบาล พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่บนท้องถนนเกินจากเวลาที่เด็กหนุ่มคาดไว้ประมาณยี่สิบนาที ปภินวิชจับจูงน้องสาวมานั่งพักยังเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้บริการ จากนั้นจึงถือใบนัดเข้าไปติดต่อแผนกเวชระเบียน

เจ้าหน้าที่สาวรับเอกสารจากเขาไปเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์

“คนไข้ชื่อปวัตรันต์ รัตนชัยนะคะ”เธอถามย้ำ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เอ่อ... มีญาติคนไข้ติดต่อเข้ามาขอยกเลิกนัดหมายที่จะทำการผ่าตัดแล้วนี่คะ”

“เอ๊ะ!!! ญาติหรือครับ ญาติที่ไหน”

“เห็นแจ้งชื่อว่า คุณปภินวิช รันตชัยค่ะ ระบุเหตุผลว่าได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว”

“ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย ปภินวิชไหนครับ ผมไม่ได้มาแจ้งเลย”เด็กหนุ่มพูดถามระรัวด้วยน้ำเสียงร้อนรน นึกคับแค้นโมโหที่ใครก็ไม่รู้มากลั่นแกล้งเล่นสนุกกับเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้

“แล้วอย่างนี้จะทำยังไงครับ น้องสาวของผมจะได้รับการผ่าตัดหรือเปล่า”

“ญาติคนไข้ใจเย็นๆก่อนนะคะ เพราะมีการแจ้งขอยกเลิกนัด ทางอาจารย์หมอจึงเลื่อนคิวผ่าตัดอื่นเข้ามา ถ้าอย่างไรกรุณารอสักครู่ ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลก่อนนะคะ”

เด็กหนุ่มไม่ยอมขยับเท้าหนีไปไหน เขายืนปักหลักกดดันเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่ตรงนั้น แม้เมื่อพอจะใจเย็นลง และฉุกคิดได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเจ้าหน้าที่ แต่ก็อดรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่พวกนี้ยอมให้ใครก็ไม่รู้ที่เอาชื่อเขาอ้างหลอกลวงเอาได้ง่ายๆ พาลคิดไปว่าไม่มีการตรวจสอบบ้างเลยหรือไงนะ

ปภินวิชมองดูเจ้าหน้าที่สาวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครต่อใครวุ่นวาย จนครู่ใหญ่ๆต่อมาเธอจึงแจ้งให้เขาพาคนไข้ไปยังห้องตรวจ กระบวนตรวจวินิจฉัยต่อจากนั้นเริ่มวนลูปเข้าสู่กระบวนการที่เด็กหญิงเคยผ่านมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่การซักประวัติอาการ ตรวจร่างกายและตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาจบที่เด็กหญิงถูกแอดมิทให้นอนพักที่โรงพยาบาล โดยที่เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายของคนไข้ยังไม่ได้พูดคุยกับแพทย์เจ้าของไข้แม้แต่นิดเดียว ปภิชวินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินกลับไปที่แผนกเวชระเบียนอีกครั้ง

“ขอโทษครับ ผมจะขออนุญาตคุยกับคุณหมอหน่อยได้ไหมครับ”เด็กหนุ่มแจ้งชื่อหมอเจ้าของไข้ของน้องสาว

“ต้องขอโทษค่ะ วันนี้คุณหมอออกเวรไปแล้วค่ะ”

“แล้วน้องสาวผมต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วันครับ เมื่อไหร่ถึงจะได้ผ่าตัด”

เจ้าหน้าที่จึงถามชื่อคนไข้ก่อนจะกดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ “ต้องขอประทานโทษค่ะ แต่ยังไม่ได้คิวผ่าตัดนะคะ ถ้าอย่างไรขอให้ญาติคนไข้รออีกหน่อยจะรีบแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์หมอทราบอีกครั้งอย่างเร่งด่วนค่ะ”

ปภินวิชต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม ด้วยไม่เห็นประโยชน์ของการโวยวายต่อว่าต่อขาน เขากลับไปหาน้องสาวที่ห้องพักรวม นอกจากน้องสาวของเขาแล้วห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้ยังมีคนไข้คนอื่นที่เป็นผู้หญิงอีกหลายสิบเตียง

“อดทนหน่อยนะ”เขาเอ่ยปลอบซึ่งปวันรัตน์ได้พยักหน้าตอบกลับมา

“ไม่เป็นไร ปุ้ยรอได้ ป่วยก็ดีได้หยุดเรียนตั้งหลายวัน”เธอยิ้มบอก

“ดีตรงไหนออกจากโรงพยาบาลไปก็ต้องไปทบทวนหนังสือตามเพื่อนให้ทัน”

“พี่ปลาช่วยติวให้ปุ้ยด้วยนะ ความรู้มอหนึ่ง จิ๊บๆเนอะพี่ปลาเนอะ”เธอชวนเขาคุย เด็กหนุ่มอยู่กับน้องสาวกระทั่งหมดเวลาเยี่ยม เขาจึงเดินทางกลับห้องพัก โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้จะมาหาใหม่





ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #7 เมื่อ26-09-2017 05:55:59 »

ดังนั้นหลังจากเลิกงาน เด็กหนุ่มจึงโดยสารรถประจำทางมาหาน้องสาวที่โรงพยาบาล ก่อนเข้าไปหาน้องสาวก็แวะถามเจ้าหน้าที่เรื่องคิวนัดหมายผ่าตัด แต่มันยังคงเงียบสนิทพร้อมกับคำตอบว่าถ้ามีกำหนดเมื่อไหร่จะรีบแจ้งให้ทราบ เขาทำเช่นนั้นอยู่เป็นอาทิตย์พลางพร่ำบอกให้ตัวเองเฝ้าคอยอย่างใจเย็น กระทั่งเห็นเด็กหญิงเมื่อยามนอนหลับยังต้องขมวดคิ้วอย่างทรมาน ปภินวิชจึงย่างสามขุมออกจากห้องผู้ป่วยไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่และพยาบาล ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาโกรธกรุ่นยิ่งกว่าเดิม

“ต้องขอโทษค่ะ อาจารย์หมอที่มีหน้าที่รับผิดชอบไปดูงานต่างประเทศสองเดือนค่ะ”

“ไปต่างประเทศ? บ้าไปแล้ว ผมมาถามตารางพวกคุณทุกวัน สุดท้ายคุณกลับมาบอกผมอย่างนี้เนี่ยนะ”น้ำเสียงของเขาอ่อนระโหยเจือเสียงสะอื้น ในสมองกลวงเปล่าไร้คำพูด เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าด้วยต้องดึงรั้งสติของตนเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จมูกของเขาก็แดงก่ำน้ำเสียงอู้อี้เพราะหายใจไม่สะดวก เพียงแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด

“แล้วผมต้องทำอย่างไรครับ รอต่อไปเรื่อยๆเหรอ”เขาถาม

“ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ถ้าอย่างไรเมื่ออาจารย์หมอกลับมาแล้ว จะให้คุณปวันรัตน์ได้เข้าผ่าตัดเป็นคิวแรกเลยค่ะ”คำพูดนั้นของเธอฟังดูเหมือนหญิงสาวกระตือรือร้นตั้งใจทำงานเต็มที่ แต่สมองอั้นอึ้งของปภินวิชกลับมองเห็นแต่ความเสแสร้งจากแววตาคู่นั้น เขาสาวเท้าระหวยอ่อนแรงกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย จนปัญญาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

บนเตียงผู้ป่วย น้องสาวยังคงหลับนอนนิ่งก็จริง ตาหน้าตาเหยเกบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมาน เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงยกมือขึ้นปาดน้ำตา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดเบราว์เซอร์ ใช้สองมืออันสั่นเทากดข้อความค้นหาข้อมูลโรงพยาบาลที่จะพอทำการรักษาอาการป่วยของน้องสาวได้

สมัยที่พ่อแม่ยังอยู่ ปภินวิชใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังราคาสูงลิ่ว เขาขอเงินบิดามารดาครึ่งหนึ่งผสมกับที่ตนเองทำงานพิเศษอีกครึ่ง เมื่อสูญเสียบุพการีทั้งสอง เขาจึงนำมันไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน แล้วซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ราคาสองสามพันมาใช้ การทำงานของเครื่องจึงช้าเอื่อยสมราคาสินค้า แต่เพราะเขาเลิกเล่นเกม เลิกเข้าแอปพลิเคชันโซเชียลทั้งหลาย ทุกวันนี้เขาใช้แค่แอปพลิเคชันสำหรับสนทนากับน้องสาว เด็กหนุ่มจึงไม่นึกเดือดร้อน

เขานั่งรอหน้าเว็บที่ค่อยๆโหลดขึ้นอย่างใจเย็น พลางยกหลังมือปาดน้ำมูกน้ำตา ถ้าเจ้าหน้าที่พวกนั้นบอกเขาเร็วกว่านี้ เขาคงไม่รอมาเป็นสัปดาห์ ถ้ารู้ก่อน เขาจะได้ย้ายน้องสาวไปที่โรงพยาบาลอื่น เด็กหนุ่มคิดพลางก่นโคตรคนพวกนั้นในใจ เพราะน้องสาวเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องตัวเอง เลยไม่รู้สึกรู้สานึกเดือดร้อนล่ะสิ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ปภินวิชก็หลุดสะอื้น เขาซบหน้าลงกับเตียงผู้ป่วย ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นสายทว่าไร้สำเนียงเสียงคร่ำครวญ

ขณะที่ทุกข์ทรมานใจอย่างหนัก โทรศัพท์ในมือได้สั่นระรัวขึ้นมา ปภินวิชเงยหน้ามองรายชื่อสายโทรเข้า หน้าตาของเขายู่ยี่ยับเยิน เขาหายใจเข้าด้วยปากเพราะจมูกตันจึงไม่อยากได้ยินสูดน้ำมูกของตัวเอง โทรศัพท์ยังสั่นต่อเนื่องบ่งบอกว่าปลายสายของเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกชื่อยังอดทนถือสายรอ เด็กหนุ่มกดปุ่มรับสายและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม”

เขาจำเสียงคนพูดได้ทันที ที่สำคัญคือมันเหมาะเจาะราวกับแกล้ง เขาอ้าปากสูดอากาศหายใจอีกครั้ง ไม่อยากให้น้ำเสียงแปร่งพร่าหลุดเข้าโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายได้ยิน “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ” กระนั้นปลายสายยังคงรับรู้ได้อยู่ดี เสียงพูดจากอีกฝั่งจึงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันควัน

“เป็นอะไรหรือ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”

“คุณกวีวัธน์ครับ”ปภินวิชเอ่ยเรียกก่อนที่สัญชาตญาณลึกๆจะฉุดรั้งเขาไว้ ทว่าเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใบหน้าของเด็กหญิงซึ่งนอนอยู่บนเตียง ความหวั่นกลัวทั้งหลายพลันมลายไปสิ้น

“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง”เด็กหนุ่มพูดออกไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตนได้ก้าวเท้าตกลงไปในหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางดักไว้เสียแล้ว



         +++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



*// งงเด้!  งงเด้! พอดีว่าเขียนบทที่ 2 จบแล้วรู้สึกควรเปลี่ยนชื่อเรื่อง เลยเปลี่ยนซะเลย

ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เปิดเข้าชมนิยายเรื่องนี้ค่ะ ต้องขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามมากๆค่ะ
นิยายเรื่องนี้เป็นฉบับรีไรต์จากนิยายเก่าที่เราเขียนเมื่อสมัยยังละอ่อน  โดยเปลี่ยนธีมมาอยู่ในเมืองไทย เปลี่ยนชื่อตัวละคร เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่เพราะชื่อเดิมของเรื่องไปซ้ำกับนิยายของสำนักพิมพ์ใหญ่ และปรับแก้รายละเอียด ซึ่งเป้าหมายของเรื่องนี้คือ รักใสๆนอนจับมือ (ฮา) แม้เปิดเรื่องขึ้นมาจะดูเหมือนดราม่าหน่อยๆก็ตาม  หวังว่าทุกท่านจะยังติดตามนายท่านต่อไปน้าาาาาาา  (ยิ้ม)

และอย่างที่เขียนไว้ตอนต้น หลังจากพยายามตรวจสอบชื่ออยู่หลายชั่วโมง เราก็ได้ชื่อเรื่องใหม่ น่าจะเข้ากับเนื้อหามากกว่าเดิม (หรือเปล่า) ดังนั้น เราจึงส่งบทที่ 2 มากำนัลนักอ่านทุกท่าน


เรียกว่านายท่านนี่ภาพชายแก่ผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ฮา
ว่าแต่ครอบครัวน้องไม่มีใครแล้วเหรอ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา งี้ (หรือเราอ่านข้ามหว่า)
รอตอนต่อไปค่ะ

ต้องขอบคุณที่ทักเรื่องญาติๆคนอื่นค่ะ สารภาพตามตรงว่าเราลืม ดีนะที่เราเขียนจบบทแรกก็ลงเลย ไม่อย่างนั้นคงแก้กันยาว
ดังนั้น หลังจากนี้จะมีการพูดถึงเรื่องญาติคนอื่นๆของสองพี่น้องปลาปุ้ยกันบ้าง  แต่จากบทที่สองเชื่อว่านักอ่านเก่งๆหลายท่านก็อาจจะเดาได้แล้ว  แต่ถ้ามีจุดไหนอยากให้ปรับแก้ สามารถแจ้งบอกได้ค่ะ เรายินดีมาก(ก ไก่หลายตัวนับไม่ถ้วน) โดยเฉพาะช่วงไปหาหมอของพี่ปลาน้องปุ้ย เรากูลเกิ้ลกับเดาๆเอาทั้งนั้น 

ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #8 เมื่อ26-09-2017 07:08:35 »

ชอบจ้า  o13 เดานะ คนที่ขับรถชนครอบครัวของปลาคงเป็นใครสักคนในฝั่งคุณท่าน

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #9 เมื่อ26-09-2017 07:30:59 »

สงสารน้องง  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
« ตอบ #9 เมื่อ: 26-09-2017 07:30:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #10 เมื่อ26-09-2017 08:24:14 »

แหม ถ้าเป็นเราคงได้มีการแชร์ประสบการณ์ทางพันทิปกันบ้างละนะ เอาให้ทางโรงพยาบาลต้องออกมาดิ้นเลย ทำงานแบบนี้ เฮ้อ
สงสารน้องปลาเสียจริง กวีวัธน์ช่างไม่คิดถึงคนอื่น น้องปุ้ย (หรือเปล่า) จะเป็นยังไง อาการทรุดแค่ไหนก็ไม่ต้องสนใจเลยใช่ไหม ขอแค่แผนตัวเองสำเร็จสินะ หึ
รอตอนต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2017 15:08:58 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #11 เมื่อ26-09-2017 09:08:07 »

สงสารน้องจัง

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #12 เมื่อ26-09-2017 11:56:28 »

ตกหลุมเต็มๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #13 เมื่อ26-09-2017 15:41:16 »

อุบายผูกหัวใจ ให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน
ทั้งที่พฤทธิกร กับปภินวิช ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลย
แต่หลานกวีวัจน์ ตั้งตนเป็นกามเทพเฉยเลย
แผนนี้น่าจะสำเร็จนะ
เพราะมีความเจ็บป่วยของน้องปภินวิช มาเป็นที่ตั้ง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
«ตอบ #14 เมื่อ26-09-2017 16:35:57 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #15 เมื่อ28-09-2017 20:11:55 »

03



กวีวัธน์เดินทางมาหาเขาถึงที่ เด็กหนุ่มนั่งรออีกฝ่ายอยู่ในศูนย์อาหารของโรงพยาบาล หน้าตาหม่นหมองของเขาไร้ร่องรอยน้ำตาและการร้องไห้ ด้วยเหตุที่ในศูนย์อาหารแห่งนั้นมีปริมาณผู้คนพลุกพล่านไม่เหมาะแก่การพูดคุยกัน ชายหนุ่มจึงเดินนำเขาออกไปยังด้านนอก เดินเลี้ยวไปยังลานจอดรถ แล้วเปิดประตูให้เขาขึ้นไปนั่งยังที่นั่งตอนหลัง รถยนต์ของชายหนุ่มยังคงติดเครื่องไว้พร้อมแอร์เย็นฉ่ำ ขณะที่คนขับรถในชุดเสื้อซาฟารีออกไปยืนอยู่ด้านนอก

“เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องย้ายโรงพยาบาลและจัดหาหมอที่จะทำการรักษาให้ทันที”ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่รอให้ปภินวิชเอ่ยปาก หยุดชะงักเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเมื่อประโยคถัดไปจบลง“แต่มีข้อแม้แลกเปลี่ยน”

“ครับ”ปภินวิชตอบรับเสียงเบา เขาก้มหน้าจับจ้องแต่สองมือของตัวเอง

“คุณคงต้องลาออกจากงานที่ทำอยู่”

คู่สนทนาเงยด้วยความตกใจทันที

“ผมจะจ่ายเงินให้คุณเป็นรายเดือน ซึ่งนั่นมากกว่าเงินเดือนที่คุณได้รับอยู่ หน้าที่คือดูแลความเป็นอยู่ของนายท่าน เป็นเพื่อนไปเที่ยว กินข้าวดูหนัง”

คนฟังขมวดคิ้วรู้สึกทะแม่งๆกับรายละเอียดของงาน

“จะสงสัยทำไม พูดด้วยภาษาชาวบ้านก็เด็กเลี้ยงนั่นแหละ”

“มีสัญญาหรือเปล่าผมต้องทำงานไปนานแค่ไหน”ปภินวิชถาม ไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบโดนผูกมัดไปตลอดชีวิตแน่นอน แค่ทุกวันนี้เขาก็ยอมให้คนอื่นข่มเหงมามากพอแล้ว

“ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในการรักษาน้องสาวของคุณ”

“อย่างนี้ไม่เท่ากับผมต้องทำงานชดใช้ไม่จบไม่สิ้นเหรอ”เด็กหนุ่มถามเสียงขุ่น “คุณจ่ายค่ารักษาให้น้องสาวผม คุณจ่ายเงินเดือนแต่ละเดือนให้ แล้วผมต้องเป็นเด็กเลี้ยงไปกี่ปีกว่าจะใช้หนี้ให้คุณหมด”

“คุณคิดว่า เด็กเลี้ยงจะได้เงินเท่าไหร่ หมื่นห้าหรือสองหมื่น มันไม่น้อยอย่างนั้นหรอกนะ โดยเฉพาะเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่าน ไม่อย่างนั้นจะมีคนรักสบายขวนขวายเป็นเด็กเลี้ยงหรือไง”

ใครจะไปรู้ไม่เคยเป็นสักหน่อย ปภินวิชบ่นอยู่ในใจ

“เอาเป็นว่า เรื่องสัญญาและรายละเอียดผมจะให้คนร่างมาให้คุณดูวันหลัง วันนี้คุณกลับไปอยู่กับน้องสาวคุณก่อนก็ได้ ผมคิดว่ารออีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงน้องสาวของคุณคงได้ย้ายโรงพยาบาล และพรุ่งนี้เข้าห้องผ่าตัด ผมจะเอาสัญญามาให้คุณเซ็น”

ทุกอย่างมันเร่งรีบรวบรัดจนเด็กหนุ่มตกใจ ประโยคแรก กวีวัธน์ยังบอกว่าวันหลังจะเอาสัญญามาให้ดูซึ่งมันทำให้เขาคิดว่าน่าจะอีกหลายวัน แต่ประโยคสุดท้ายกลับบอกว่าเขาต้องเซ็นสัญญาแล้ว

“ทำไมคุณต้องรีบร้อนขนาดนี้”

“มันเหมือนขายของนั่นแหละ ผมจ่ายเงินแล้ว ผมก็ต้องได้ของ”

ปภินวิชรู้สึกได้ในนาทีนั้นว่า การขอความช่วยเหลือจากกวีวัธน์เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แม้จะไม่มีหลักฐานแต่เขานึกรู้ขึ้นมาในฉับพลัน เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้มองคล้ายเป็นแผนการของอีกฝ่าย

“ผมขอโทษ ผมไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากคุณแล้ว”เด็กหนุ่มพูดจากนั้นจึงจับประตูคิดจะก้าวเท้าลงจากรถ ทว่าคำพูดในประโยคต่อมาของกวีวัธน์ได้รั้งยึดร่างกายของเขาไว้เสียก่อน

“สุดท้าย น้องสาวก็ไม่มีความสำคัญเท่าตัวเองสินะ”กวีวัธน์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ไม่ใช่!!!”ปภินวิชปฏิเสธทันควัน

“อ้าวเหรอ ก็เห็นว่าอุตส่าห์มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือตั้งขนาดนี้แต่ขอสิ่งแลกเปลี่ยนแค่เล็กๆน้อยๆ คุณกลับปฏิเสธ”

“คุณคิดว่าการขายชีวิตตัวเองคือเรื่องเล็กน้อยเหรอ”เด็กหนุ่มตะคอกเสียงดัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้น้องสาวตายไปแลกกับการมีชีวิตอยู่ของคุณงั้นสิ”

นั่นก็ไม่เอาเหมือนกัน ปภินวิชร้องบอกตัวเองในใจ

“บางครั้งคนเราก็ต้องเลือก แม้ตัวเลือกเหล่านั้นจะไม่มีทางใดเลยที่เป็นอย่างที่ต้องการ มันมีแค่เส้นทางที่เสียมากหรือเสียน้อย ทุกข์หรือทุกข์น้อย”กวีวัธน์หัวเราะ

“เอาไว้คุณอายุมากขึ้นกว่านี้คุณก็จะเข้าใจเอง”ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องที่พวกเขาคุยค้างไว้และยังตกลงกันไม่ได้ “ยังมีเวลาเหลือหนึ่งชั่วโมง คุณลองไปตัดสินใจดูแล้วกัน ถ้าคุณตกลงกับข้อเสนอนี้ก็เซ็นอนุญาตให้น้องสาวย้ายโรงพยาบาล”

ปภินวิชก้าวเท้าลงจากรถ มองดูรถยนต์คันนั้นค่อยๆเคลื่อนที่ห่างออกไป จากนั้นจึงทรุดตัวนั่งลงกอดเข่า นึกทดท้อจนอยากร้องไห้ออกมาอีกหน ทั้งบริภาษก่นด่าโชคชะตา ตนทำกรรมเวรอะไรไว้หนักหนาถึงได้เจอเรื่องเลวร้ายติดๆกันไม่ให้เขาพักหายใจบ้าง เด็กหนุ่มคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดถึงคำสัญญาที่เคยบอกต่อหน้าโลงศพของท่านทั้งสอง พลันแรงใจก็ฮึดกลับคืนมา

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”ปภินวิชบอกตัวเอง ก่อนจะยกเท้าก้าวเดินอีกหน



รถยนต์ของกวีวัธน์เลี้ยวกลับเข้าสู่อาคารสำนักงานในช่วงเวลาบ่ายๆของวัน เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาที่หายไปจากชั่วโมงทำงานอีกครั้ง ใช่ว่าตำแหน่งงานที่เขาทำอยู่จะไปแว็บออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่หัวหน้าของเขามักจะทำสีหน้าไม่พอใจเสมอ ที่แม้แต่ฝ่ายบริหารยังรักษาระเบียบวินัยในการทำงานไม่ได้

กวีวัธน์รีบก้าวเท้าเร็วๆเดินเข้าสู่ลิฟต์ของผู้บริหาร ลิฟต์เคลื่อนที่จากชั้นที่เขากดเรียกมุ่งสู่ด้านบนโดยไม่ต้องหยุดแวะที่ชั้นใดๆ เมื่อถึงชั้นจุดหมายเสียงติ๊งได้ดังขึ้นเบาๆ เขาก้าวเท้าออกไปด้านนอกเมื่อประตูลิฟต์ถูกเปิด ทางเดินของทั้งชั้นถูกปูไว้ด้วยพรมสีน้ำตาล จึงไม่มีเสียงรองเท้ากระทบพื้น ซ้ำทั้งชั้นยังเงียบสนิท

“คุณก้อย น้าฤทธิ์ถามถึงผมหรือเปล่า”โต๊ะของเลขาหน้าห้องของพฤทธิกรตั้งอยู่มุมหนึ่งถัดจากห้องส่วนตัวของฝ่ายบริหารคนอื่นๆทางปีกขวา โต๊ะมีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์ยาวปิดทั้งมุม พื้นกว้างขวางเกินกว่าการใช้งานสำหรับเลขาคนเดียว ส่วนลิฟต์อยู่ทางปีกซ้ายตรงข้ามกับห้องประชุมและห้องรับรอง

“เปล่าค่ะ แต่มีเอกสารฝากถึงคุณกลอน”หญิงสาวตอบพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารส่งให้

“แล้วตอนนี้น้าฤทธิ์ยุ่งอยู่ไหม”

“ท่านไม่ได้แจ้งอะไรนะคะ”

“งั้น ผมฝากแฟ้มไว้ก่อน ขอเข้าไปคุยกับเจ้านายแป็บนึงเดี๋ยวออกมาเอานะครับ”กวีวัธน์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปเคาะประตูไม้สีน้ำตาลเข้มแล้วเปิดเข้าไป

พฤทธิกรเหลือบตาขึ้นมองคนที่เดินเข้าห้องก่อนจะก้มหน้ามองเอกสารในมือพลางพูดว่า “ยิ้มได้น่าเกลียดจริงๆ”

“อะไรกัน ผมยิ้มมีความสุขก็มาบอกว่ารอยยิ้มผมน่าเกลียด”

“เรอะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเห็นแผนชั่วในสมองแกมากกว่า”

กวีวัธน์สะดุ้ง ไม่นึกว่าน้าชายจะเดาอะไรได้แม่นราวกับมานั่งอยู่ในใจเขาได้ขนาดนี้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเจ้านายใหญ่กลับเอ่ยปากถามมาว่า “ออกไปเที่ยวมาสนุกไหม”

“ใครเอามาฟ้องว่าผมไปเที่ยว ไม่ใช่สักหน่อย”หลายชายปฏิเสธเสียงแข็ง ให้นั่งยันนอนยันเขาก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้ไปเที่ยวมา

“ผมไปจัดการเรื่องน้องเขานั่นแหละ”

คู่สนทนามีอาการสนใจขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“พอดีว่าโรงพยาบาลที่น้องปลาพาน้องสาวไปรักษาตัว หมอศัลย์เขาบินไปต่างประเทศกว่าจะกลับก็อีกหลายเดือน แต่อาการของน้องสาวท่าจะทนไม่ไหว”

“แล้วเงินที่ฉันให้ไป?”

“ขอโทษครับที่ยังไม่ได้มาบอก แต่น้องเขาไม่รับ”

คนฟังนิ่งคิด

“โรงพยาบาลไหนจะได้ร้องเรียน”

“อุย ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ผมให้น้องสาวย้ายไปเข้าอีกโรงพยาบาลแล้ว คิดว่าน่าจะเข้าห้องผ่าตัดพรุ่งนี้ แต่ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาเกี่ยวกับหลังจากที่น้องเขาออกจากโรงพยาบาล”คนพูดแสร้งทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ พฤทธิกรจึงยิ่งจ้องหน้ากดดันให้พูดออกมาเสียที

“ผมเคยไปเห็นสภาพหอพักที่สองพี่น้องเขาอยู่แล้ว เก่ามาก แล้วก็เป็นหอรวม ใครอยากจะขึ้นก็ขึ้นได้ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอะไรเลย ผมเลยอยากให้น้องเขาไปอยู่ที่คอนโดน้าได้ไหมครับ”เห็นสายตาน้าชายแล้วกวีวัธน์จึงรีบต่อคำอย่างไม่รอช้า “น้าก็รู้ ตอนนี้คอนโดผมปล่อยเช่าอยู่”

“เดี๋ยวฉันซื้อห้องใหม่ให้อีกห้อง”

“โอย ไม่ดีเข้าไปใหญ่เลยครับ”ชายหนุ่มโบกมือพัลวัน “แค่นี้น้องปลาเขาก็พูดขอบคุณกับเกรงใจเป็นสิบรอบจนผมแทบรับไม่ไหวแล้ว นี่ขนาดบอกว่าไม่ใช่เงินผม ผมแค่มาจัดการตามที่นายท่านสั่ง”

“นี่แกยังไม่เลิกเล่นอีกเหรอ”พฤทธิกรมีท่าทางฉุนเฉียวกับคำเรียกขานเช่นนั้น

“แล้วจะให้ผมบอกน้องเขาว่ายังไง ไม่ว่าใครต่อใครในบริษัทก็เรียกน้าว่าท่านทั้งนั้นล่ะ เรียกว่าท่านคำเดียวฟังดูเหมือนพวกตัวร้ายหรือตาแก่ตัณหากลับมากกว่าอีกนะ”ประโยคหลังกวีวัธน์ทำเหมือนแค่พูดลอยๆ

“ก็เรียกชื่อไง”พฤทธิกรกระแทกเสียง

“อ๋อ น้าอยากให้น้องเขาเรียกว่า ‘พี่ฤทธิ์’ เหรอ อืมก็ดีเหมือนกันนะ สมมติว่าถ้าเป็นผม พี่กลอนครับ ปลาอย่างนู้น ปลาอย่างนี้ เอ้ย น้าฤทธิ์แค่คิดก็กระชุ่มกระชวยแล้วอ่ะ”

พฤทธิกรได้แต่ยกมือกุมขมับกับคำพร่ำเพ้อของหลานชาย จากนั้นจึงโบกมือไล่ “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็รีบๆออกไปซะ” ทว่าคนถูกไล่กลับรีบถลามาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่

“ธุระของผมยังไม่จบเลย ยังไปไม่ได้หรอกครับ”

ในเมื่อหลานชายพูดออกมาเช่นนั้น พฤทธิกรจึงยอมวางปากกาและงานในมือ ขยับตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ที่เขานั่งอยู่ วางสองมือไว้บนที่เท้าแขนพร้อมพยักพเยิดให้อีกฝ่ายเริ่มพูดได้

“คือ... น้องปลาเขารู้สึกว่าการที่ได้รับเงินมาเปล่าๆแบบนี้มันไม่ค่อยถูกต้อง เขาเลยอยากทำอะไรตอบแทนน่ะครับ เขาบอกว่าอยากเข้ามาช่วยดูแลน้าฤทธิ์ อะไรประมาณนี้”

“ไม่จำเป็น ฉันมีแม่บ้านอยู่แล้ว”

“ก็นั่น ผมก็บอกเขาไปตามนี้ แต่น้องเขาดื้อดึงมาก เขาบอกว่าจะให้ทำอะไรก็ได้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ผมบอกปฏิเสธตั้งหลายรอบ น้องเขาเลยบอกว่าจะไปลาออกจากที่ทำงานแล้วก็มาเป็นคนรับใช้ให้นายท่าน เขาพูดแบบนี้เลย”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว ไม่น่าเชื่อว่า เด็กหน้าตาแบบนั้นจะเป็นพวกไม่ฟังเหตุผล ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่คิดในใจ

“แล้วไอ้เรื่องมาอยู่ที่คอนโดฉัน นั่นมันอะไร”

“คือน้องเขาตื๊อหนักๆ ผมเลยใจอ่อนยอมตกลงไปน่ะครับ”กวีวัธน์พูดเสียงอ่อยคล้ายรู้สึกผิดมากจริงๆที่ตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในบทสนทนา แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาปั้นน้ำมาทั้งนั้น แต่เขาต้องแสร้งแสดงออกให้สัมพันธ์กับบทที่ตนเขียนไว้ ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนจับโกหกได้ง่ายๆ

“เลยพูดไปว่า เดินทางไปมาอย่างนี้คงลำบากแย่ ไหนจะต้องดูแลน้องสาว ไหนจะต้องเผชิญรถติด...”

“ไม่เอาน้ำ”พฤทธิกรเอ่ยปากขัดการสาธยายอันยืดยาวของหลานชายอีกครั้ง

“เลยบอกว่า ย้ายมาอยู่ที่ห้องนายท่านก็ได้”

“แล้วเขาเชื่อแกหรือไง”

“ทีแรกเขาก็ลังเลเกรงใจครับ แต่พอผมบอกว่า น้าฤทธิ์ซื้อห้องอีกห้องไว้สำหรับบอดี้การ์ดกับแม่บ้าน น้องก็เลยตกลง แต่น้าคิดดู น้าจะกล้าปล่อยให้น้องปลากับน้องสาวไปอยู่อาศัยในห้องเดียวกับพวกบอดี้การ์ดเหรอ”

คอนโดในโครงการที่พฤทธิกรอาศัยอยู่ในปัจจุบันถูกเขาจับจองตั้งแต่โครงการเพิ่งลงเข็ม พื้นที่บนอาคารซึ่งเขาซื้อไว้ถูกออกแบบตามรายละเอียดการใช้งานที่คุยไว้กับสถาปนิกและมัณฑนากร โดยแยกห้องเล็กอีกห้องที่ภายในประกอบด้วยสามห้องนอน และโถงกว้างซึ่งถูกจัดตกแต่งเป็นห้องนั่งเล่นและห้องครัว ห้องเล็กนี้สำหรับบอดี้การ์ดและแม่บ้านตามที่กวีวัธน์พูด แต่ปัจจุบันแม่บ้านที่คอยดูแลคอนโดมาจากบริษัททำความสะอาด ส่วนอาหารก็ถูกสั่งมาจากร้านอาหารโดยเฉพาะ ห้องนอนห้องที่สามจึงยังว่าง

ส่วนห้องของพฤทธิกร แม้จะมีพื้นที่กว้างกระนั้นกลับมีห้องนอนเพียงห้องเดียว

“ถ้าอย่างนั้น ให้พามาหาฉัน เดี๋ยวฉันคุยเอง”

“น้าฤทธิ์จะคุยอะไรครับ”กวีวัธน์ถาม น้ำเสียงร้อนรนจนคนฟังมุ่นคิ้ว

“จะคุยอะไรทำไมแกต้องรู้ หรือทุกคำที่แกพูดมามันโกหก”

“เปล่าครับ ไม่เลย”ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ มองน้าชายเอื้อมมือไปกดปุ่มบนโทรศัพท์ ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆเมื่อดูท่าว่าแผนจะพังอีกแล้ว “คุณก้อย ช่วยตามคุณเอกภพให้ผมหน่อย”

กวีวัธน์พยายามยกยิ้มให้น้าชายแล้วทำหน้าให้เป็นปกติทั้งที่รู้สึกเหมือนเลือดบนสีหน้ากำลังจางหายไปเรื่อยๆ เอกภพมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของน้าชาย เป็นคนสนิท เป็นมือขวาที่ทำงานกับพฤทธิกรมานานหลายปี เป็นหูตาที่คอยตรวจตราสอดส่องรอบตัวพฤทธิกรอย่างซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้นจึงเดาได้เลยว่า แผนของเขาจะโป๊ะก็คราวนี้

“เรื่องที่น้าอยากให้ผมพาน้องปลามาหา เอาเป็นวันมะรืนได้ไหมครับ”กวีวัธน์ตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้รีบนัดเวลาน้าชายให้ได้ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า แล้วเช็กตารางนัดหมายของชายหนุ่มผู้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท

“อ้าว มีงานทั้งวันเลย ถ้าอย่างนั้นหลังจากจบงานเลี้ยงแฟชั่นการกุศลไหมครับ รีบคุยก่อนเดี๋ยวน้องเขาจะหุนหันลาออกจากงานจะลำบากแย่”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันให้เอกไปลองคุยดูก่อน แกยังเด็กพูดห้ามอะไรไปเขาคงไม่ค่อยฟัง”

“น้าไม่เชื่อใจให้ผมจัดการเหรอ”กวีวัธน์แสร้งถามเสียงเศร้า

“เพราะแกมันมัวแต่เล่นน่ะสิ แล้วอีกอย่างที่ยืดเยื้ออย่างนี้ก็เพราะตัวแกนั่นแหละ”

“งั้นผมสารภาพตามตรงก็ได้ ที่ผมพยายามช่วยน้องเขาเพราะ...”กวีวัธน์แกล้งหยุดประโยคไว้เพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย และพฤทธิกรก็มองเขาด้วยความสนใจในประโยคที่ขาดหายนั่นจริงๆ

“เพราะ...ผมชอบเขา”ชายหนุ่มโพล่งออกไปพร้อมจับจ้องปฏิกิริยาตอบรับของคนฟัง น้าฤทธิ์ขมวดคิ้วมุ่น ขบกรามและเบือนหน้าหนี

“ออ”เสียงขานตอบรับกลับมาคำเดียวทำให้กวีวัธน์คาดเดาอะไรมากไม่ได้

“แต่ผมไม่รวยเท่าน้า จะดูแลอะไรเขาก็ไม่ได้”

“เลยมาหลอกเงินฉันไปให้เขา”พฤทธิกรแค่นเสียงตอบกลับไป แววตาซึ่งหันกลับมาจ้องเขาดูเกรี้ยวโกรธขึ้นเล็กน้อยแต่กวีวัธน์ทำเป็นละมันไว้ไม่เก็บมาใส่ใจ เขารีบพูดต่อไปทันที

“อีกอย่าง ผมยังไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ ผมไม่รู้ว่าพวกท่านจะรับได้หรือเปล่า แต่น้องเขาเดือดร้อน จะให้ผมปล่อยคนที่ชอบต้องเจอเรื่องร้ายๆเพียงลำพังก็ทำไม่ได้ น้าคิดดู ทำแบบนั้นได้เนี่ยต้องใจร้ายแค่ไหน”

คนฟังเหมือนโดนคำพูดนั้นแทงใจดำเข้าอย่างจัง เขาขยับตัวอย่างกระสับกระส่ายก่อนจะคุมสติได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในจังหวะนั้นเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นขัดการสนทนาของทั้งคู่ คนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นคนที่เขาเรียกหา

“คุณก้อยแจ้งว่าคุณฤทธิ์เรียกหาผม?”เอกภพเอ่ยถาม เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของพฤทธิกรห่างไปประมาณสามสี่ก้าว เยื้องจากเก้าอี้ที่กวีวัธน์กำลังนั่งอยู่ไปทางด้านข้าง

พฤทธิกรมองหน้าเอกภพสลับกับหลานชาย นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยออกไปว่า “ผมอยากจะเปลี่ยนห้องทำงานในคอนโดเป็นห้องนอนอีกห้อง คุณพอจะหาคนจัดการได้หรือเปล่า”

เอกภพค่อนข้างแปลกใจเนื่องด้วยนานๆทีพฤทธิกรถึงจะสั่งให้เขาทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในบริษัท ส่วนใหญ่แล้วการจัดการเรื่องส่วนตัวของนายใหญ่เช่นนี้ หญิงสาวที่เป็นเลขาหน้าห้องจะเป็นคนจัดการเสียมากกว่า กระนั้นเขาก็ตอบรับ

ส่วนกวีวัธน์ถึงกับยิ้มกริ่มไม่กล้าเอ่ยปากขัดน้าชายสักคำ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะโมโหฉุนเฉียวจนเปลี่ยนใจ

“ขอเตียงคิงไซส์ แล้วผมอยากให้ห้องเสร็จภายในสองวัน”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”แม้คำสั่งของพฤทธิกรจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เอกภพทำงานมานานจนพอรู้ว่า ต้องทำอย่างไรหัวหน้าจึงจะพอใจ

“ขอบคุณมากครับ”จบประโยคคำพูดของพฤทธิกร เอกภพจึงก้มศีรษะและหมุนเท้าเดินออกจากห้อง

“ขอบคุณมากครับน้าฤทธิ์”กวีวัธน์กล่าวขึ้นทันทีที่ประตูถูกปิดลง ยิ้มกว้างอย่างดีใจราวกับถูกรางวัล

“ฉันไม่อนุญาตให้มาทำเรื่องเสียๆหายๆในห้องฉันนะ”

“ไม่มีแน่นอนครับ ผมรู้ว่าน้องเขายังเด็ก”กวีวัธน์พูดโดยเก็บอีกประโยคไว้ในใจ ‘น้านั่นแหละที่ต้องบอกตัวเอง ฮุฮุฮุ’



โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่กวีวัธน์ติดต่อไว้ให้หรูหราเสียจนเด็กหนุ่มไม่กล้าก้าวเท้าเพราะกลัวทำพื้นที่สะอาดเป็นเงาวับสกปรก ห้องพักผู้ป่วยที่เด็กหญิงได้อยู่ก็เป็นห้องเดี่ยวไม่รวมกับผู้ป่วยคนอื่น ยังดีที่มันไม่ได้วิลิศมาหราจนน่าตกใจ ในห้องมีเพียงโทรทัศน์ โซฟาสำหรับเฝ้าไข้และห้องน้ำในตัวเท่านั้น

“พี่ปลา ไม่ใช่ห้องรวมจะดีเหรอ ค่าห้องแพงหรือเปล่า”ปวันรัตน์ยังมีแก่ใจถามถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีเลยได้แต่พูดเลี่ยงไปว่าไม่ต้องกังวล แล้วเปิดทีวีให้น้องสาวได้ดูแก้เบื่อและขับไล่ความเงียบ เขานั่งอยู่ข้างเตียงของน้องสาวพูดคุยไปพลางกระทั่งถึงมื้อเย็นที่มีพยาบาลนำอาหารเข้ามาให้

“เดี๋ยวทานอาหารมื้อนี้แล้วต้องงดน้ำงดอาหารนะคะ พรุ่งนี้น้องปวันรัตน์ต้องเข้าห้องผ่าตัดตอนเก้าโมงนะ”คุณพยาบาลคุยกับคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

“ใช้เวลาผ่าตัดนานไหมครับ”

“ประมาณสิบสองชั่วโมงค่ะ”เธอตอบพร้อมกับเช็กสภาพร่างกายของคนไข้

คล้อยหลังพยาบาลสาว เด็กหญิงจึงพูดขึ้นมาว่า “อาหารที่โรงพยาบาลนี้น่ากินมากๆเลย พี่ปลากินด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ เมื่อกี้คุณพยาบาลก็บอกอยู่ว่ากินข้าวเสร็จต้องงดน้ำงดอาหาร ตอนเช้าก็จะไม่ได้กินข้าวนะ เพราะงั้นปุ้ยกินให้อิ่มเถอะ”

ในเมื่อชวนแล้วพี่ชายบอกปฏิเสธ เธอจึงไม่คิดเกรงใจอีก หลังจากที่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้อที่ต้องตัดเอาออกอยู่ในสมอง ปวันรัตน์ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอลงเหมือนมันจะป่วยตลอดเวลา เธอไม่ค่อยอยากอาหารเพราะรู้สึกขมปากทานอะไรก็ไม่อร่อย แต่เพราะรู้ว่า ถ้าเธอไม่กินข้าว พี่ชายจะเป็นห่วง เด็กหญิงจึงพยายามฝืนทานอาหารแต่ละมื้อให้หมดซึ่งมันต่างกับคราวนี้ คงเพราะหน้าตามันน่าทานละมั้ง เด็กหญิงคิดอยู่ในใจ หลังจากทานอาหารในจานหมดเกลี้ยง

ปภินวิชเทน้ำใส่แก้วส่งให้น้องสาว มองเธอดูดน้ำจากหลอด

“เดี๋ยวพี่กลับไปที่ห้องพักนึงแล้วจะกลับมานอนเฝ้า”

“พรุ่งนี้พี่ปลาไม่ทำงานเหรอ วันนี้ก็หยุดแล้ว”

“ไม่เป็นไร พี่ลาได้”

“ไหนตอนแรกพี่บอกว่า ถ้าไม่ลางานเลยจะได้เงินเพิ่ม ลาทำไมไม่ต้องลาหรอกปุ้ยอยู่ได้ ผ่าตัดสิบสองชั่วโมง”เธอทำท่านึก “กว่าจะเสร็จก็ตั้งสามทุ่ม พี่ปลายไม่ต้องมานั่งรอหรอก”

“งั้นเอาอย่างนี้ คืนนี้พี่นอนเฝ้าแล้วตอนเช้าก็ไปทำงาน เออ... ตารางงานเข้ากะบ่ายด้วยพอดีเลย”เด็กหนุ่มพูดเมื่อนึกขึ้นได้

“โชคดีจังเลยค่ะ”เธอยิ้มให้

เนื่องจากตกลงกับน้องสาวว่าพรุ่งนี้จะไปทำงาน เขาจึงไม่ได้กลับหอพักให้ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา แค่ลงไปที่ร้านสะดวกซื้อและซื้อของจำพวกแปรงสีฟันยาสีฟัน ส่วนสบู่มีอยู่ในห้องน้ำอยู่แล้วและเขาก็มักจะใช้สบู่ก้อนเดียวล้างทั้งหน้าล้างทั้งตัว




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2017 20:50:34 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #16 เมื่อ28-09-2017 20:13:24 »




รุ่งเช้าถัดมา ปภินวิชตื่นแต่เช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นจึงช่วยพยุงตัวน้องสาวให้มาจัดการธุระในห้องน้ำบ้าง แล้วหันไปเปิดโทรทัศน์

ก่อนเวลาเก้าโมงเช้าประมาณครึ่งชั่วโมง เด็กหญิงก็ถูกพาตัวออกจากห้องไปยังห้องผ่าตัด เหลือปภินวิชอยู่ในห้องพักผู้ป่วยคนเดียว เขาจึงจะเดินทางกลับไปทำงานตามที่คุยกับน้องสาวไว้เมื่อวาน ทว่า กวีวัธน์กลับเปิดประตูเข้ามาราวกับล่วงรู้มาก่อนหน้า

“ผมนำเอกสารมาให้ครับ”เขาระบายยิ้มอย่างน่าคบหาหากมองจากสายตาของคนภายนอก แต่กับเด็กหนุ่มที่ตัวเขารู้สึกว่าได้เห็นด้านมืดของอีกฝ่ายมากมายในชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เขาระแวงระวัง

เด็กหนุ่มรับเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาอ่านโดยละเอียด เนื้อหาใจความด้านในระบุยอดค่าใช้จ่ายที่ทำให้เขาอ้าปากค้าง ซึ่งยอดเงินที่ว่าเป็นยอดรวมเพียงแค่สองวันเท่านั้น

“ทำไมจำนวนเงินมันสูงขนาดนี้ล่ะครับ”

“มีหลักฐานประกอบ เปิดดูด้านหลังได้”

ปภินวิชพลิกกระดาษไปดูหลักฐานประกอบที่กวีวัธน์กล่าวถึงทันที หลักฐานที่ว่าเป็นกระดาษสีขาวขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่มาตรฐานทั่วไป ส่วนหัวระบุชื่อโรงพยาบาลและคำว่าใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย เด็กหนุ่มกวาดสายตาอ่านรายละเอียดค่าห้องพัก ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด และดูยอดรวมด้านล่างสลับกับเอกสารสัญญาใบแรก

“ใบแจ้งยอดนี่เป็นของจริงแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณลองไปติดต่อขอเอกสารจากเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ได้”

ปภินวิชไม่ได้มีคำโต้แย้งอะไรอีก แค่หวิวๆในอกเหมือนจะเป็นลม แต่พอนึกถึงคำโต้ตอบสนทนาระหว่างกวีวัธน์ในบ่ายเมื่อว่ากับฉุกคิดได้ว่า ยอดเงินทั้งหมดไม่ได้ออกจากกระเป๋าตัวเอง หัวใจที่สั่นไหวจึงค่อยๆนิ่งสงบขึ้น จึงพลิกหน้ากระดาษกลับมาอ่านสัญญาที่อีกฝ่ายเขียนมาต่อไป แต่เมื่อได้เห็นเงินเดือนที่ตัวเองจะได้รับแล้วในสมองของเด็กหนุ่มก็คำนวณระยะเวลาที่ต้องทำงานทันที

แค่ประมาณสองเดือนยอดหนี้ก้อนนี้ก็หมดแล้ว!!! ปภินวิชคิดว่าตัวเองต้องทำงานไปจนแก่ตายเสียอีก

“หลังจากที่น้องสาวของคุณออกจากโรงพยาบาล ผมจะส่งยอดค่าใช้จ่ายที่อัปเดตแล้วมาให้ดูอีกที”

“ครับ”หลังรับคำ เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าอ่านรายละเอียดของงานที่ถูกระบุไว้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เนื้อความในส่วนนี้ใช้ภาษาด้วยคำจำกัดความอย่างกว้างๆ ครอบคลุมพฤติกรรมทั่วไปสำหรับการจ้างพนักงาน โดยเริ่มต้นประโยคด้วย เขามีหน้าที่ต้องดูแลนายพฤทธิกร ตัณกิติยาให้ได้รับความพึงพอใจ

มัวแต่เรียกนายท่านๆ เด็กหนุ่มเพิ่งรู้จักชื่อจริงๆของผู้ชายคนนั้นก็ตอนนี้นี่เอง

ต้องไม่สร้างความขุ่นเคือง ต้องเคารพ จริงใจ ซื่อสัตย์ ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่นายจ้าง และไม่เผยแพร่ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้แก่บุคคลภายนอก

ทั้งที่ไม่มีเนื้อหาตรงส่วนใดส่อไปในทางมิดีมิร้าย แต่คนร่างสัญญายังอุตส่าห์ระบุเรื่องการเก็บความลับของสัญญาซ้ำอีก ข้อความหลังสุดนี้สร้างความกังขาให้แก่เด็กหนุ่ม ด้วยไม่เห็นความจำเป็นในการย้ำเตือน ปกติในที่ทำงานปัจจุบันของปภินวิชก็ไม่ค่อยเห็นมีใครเอาเรื่องสัญญาจ้างงานมาพูดคุยกันเสียหน่อย

“ไม่เผยแพร่ข้อมูลในสัญญานี่ หมายความว่าอย่างไรหรือครับ”

“ก็ห้ามบอกใครว่า คุณทำสัญญาฉบับนี้อย่างไรล่ะ”กวีวัธน์ตอบ

ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเก็บความลับของสัญญา เขาใส่เพิ่มเติมไว้กันเหนียว ถ้าบอกย้ำห้ามพูดเรื่องสัญญากับใคร เขากลัวเด็กหนุ่มจะสงสัยแล้วพานจะเอาไปถามกับพฤทธิกร ขณะที่นั่งมองอีกฝ่ายอ่านสัญญาเขายังนั่งลุ้นอยู่ว่า ปภินวิชจะสังเกตหรือฉุกคิดอะไรได้ไหม และโชคดีที่คำถามเข้าทางเขาพอดี

“ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดคนรอบตัวของนายท่านอย่างลูกน้องในที่ทำงานถามคุณว่า คุณเป็นอะไรกับนายท่าน ทำไมจู่ๆคุณถึงมาติดสอยห้อยตามท่านได้ คุณจะตอบว่าอะไร ‘อ๋อ ผมเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่านครับ’ อย่างนั้นหรือ”

ฟังกวีวัธน์ถามเองตอบเองแล้วเด็กหนุ่มได้แต่มุ่ยหน้าพลางพึมพำเสียงเบาว่า “ใครจะไปกล้าพูดแบบนั้น”

ส่วนถัดมากล่าวถึงหากเขาผิดสัญญา เขาจะต้องยินดีชดใช้หนี้ทั้งหมดรวมดอกเบี้ยยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์ต่อปี และกำหนดให้ผ่อนชำระต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละสามเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ทั้งหมด

เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดคำนวณยอดเงินทันที เมื่อเห็นตัวเลขเขาต้องร้องอุทานในใจ ถ้าหักลบกับเงินเดือนที่ได้ในปัจจุบัน เท่ากับว่าเขาจะเหลือเงินในแต่ละเดือนแค่ไม่กี่พันเท่านั้น ในทางกลับกัน ถ้าเขาหนีไม่ยอมจ่ายหรือไม่ยอมทำตามสัญญา

ไม่ได้หรอก!!! คำนี้ผุดขึ้นมาในใจทันที เขาจะสามารถหนีไปไหนได้ ถ้าจะพาน้องสาวหนีไปต้องรอให้เธอแข็งแรงก่อน พอหนีไปแล้วก็ต้องใช้เงิน ต้องหางานทำ ปภินวิชเกิดและเติบโตในกรุงเทพ ตอนยังเด็กเขาเคยไปเที่ยวบ้านยายที่ต่างจังหวัดบ้างเหมือนกัน แต่หลังจากไปงานศพยายตอนประถมหก แม่ก็ไม่เคยพาเขากลับไปที่นั่นอีกเลย ในความคิดของเด็กหนุ่ม ต่างจังหวัดต้องหางานทำยากกว่าในกรุงเทพ ไม่อย่างนั้นคนต่างจังหวัดคงไม่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพกันอย่างครึกโครม

ปภินวิชใช้เวลาอ่านทวนเอกสารที่หน้าตาเนื้อหาเหมือนกันทั้งสองฉบับอยู่ร่วมยี่สิบนาทีเพราะนอกจากอ่านเปรียบเทียบเนื้อหา ยังคิดโน่นคิดนี่มากมายจากนั้นถึงได้เงยหน้ามองกวีวัธน์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างกันบนโซฟาสำหรับนอนเฝ้าคนไข้

“ให้ผมเซ็นเลยหรือเปล่าครับ”เด็กหนุ่มถาม

“อืม เซ็นได้เลย”กวีวัธน์ตอบพร้อมกับส่งปากกามาให้ เด็กหนุ่มจึงจรดปากกาเซ็นชื่ออย่างไม่ลังเล และส่งเอกสารกลับไปให้ชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นก็ลงชื่อในเอกสารอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งเอกสารฉบับหนึ่งมาให้เขาเก็บไว้

“พรุ่งนี้เย็นผมจะมารับคุณไปหานายท่าน และขอให้คุณเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปอยู่ที่คอนโดของนายท่านด้วย อีกอย่างหวังว่าคุณจะลาออกจากงานให้เรียบร้อยภายในวันนี้”

“ผมคิดว่าจะเดินทางไปกลับครับ ไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับนายท่านหรอก”

“แต่นายท่านอยากให้คุณไปพักอยู่ด้วยกัน หรือคุณจะขัดความประสงค์ของท่าน”

เท่ากับว่าต้องทำตัวผูกติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ปภินวิชคิดด้วยความหวั่นใจ โดยไม่ทันได้ให้ความสนใจกับกวีวัธน์ซึ่งลุกขึ้นยืนเมื่อคิดว่าตนเสร็จธุระแล้ว

“นายท่านไม่มีคนรักหรือครับ”เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมส่งเสียงถาม กวีวัธน์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หลุบตามองเด็กหนุ่มซึ่งยังนั่งอยู่บนโซฟา แล้วยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา

“อยากรู้เหรอ”

“ผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้”

ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะ “ฉันไม่ขออะไรแลกเปลี่ยนหรอก แค่จะบอกว่า ถ้าอยากรู้ต้องไปถามนายท่านเอาเอง แต่ฉันรู้อยู่อย่างหนึ่ง”แล้วหยุดคำพูดเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่ม

“นายท่านชอบคนที่เอาใจเก่ง”




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//บทต่อไปพบกันวันพุธที่ 4 ตุลาคมนะคะ//*   



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #17 เมื่อ28-09-2017 21:10:13 »

โห นายกลอนแต่งเรื่องกับน้าชายเสียเป็นตุเป็นตะเชียว จะบอกว่าให้น้องปลาไปเป็นเด็กเลี้ยงของคุณน้าก็กลัวเขาจะไม่รับใช่ไหม

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #18 เมื่อ28-09-2017 23:36:41 »

ร้ายมากกก หลานน้าคนนี้ 5555

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #19 เมื่อ29-09-2017 01:42:11 »

รอตอนเจอกัลล :-[ :impress2: :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
« ตอบ #19 เมื่อ: 29-09-2017 01:42:11 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
«ตอบ #20 เมื่อ29-09-2017 02:36:39 »

ปั้นน้ำให้เป็นตัวเก่งนะกลอน

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
«ตอบ #21 เมื่อ04-10-2017 04:36:04 »

04

“นอกจากเอาใจเก่งแล้วยังต้องขยันออดอ้อนออเซาะ”

ความต้องการของนายท่านที่กวีวัธน์บอกช่างขัดกับสิ่งที่เขาพบเจอเมื่อครั้งก่อนอย่างมาก

“นายท่านเป็นคนจ่ายเงินให้คุณนะ ท่านต้องคอยเข้าหา คอยเอาใจพะเน้าพะนอคุณด้วยเหรอ”กวีวัธน์ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ปภินวิชยังสงบปากสงบคำด้วยนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าผู้ชายอย่างเขาต้องไปออดอ้อนออเซาะผู้ชายด้วยกันจะมีสภาพอย่างไร

“ถ้านายท่านอยากให้มีคนมาคอยออเซาะ ทำไมไม่เลี้ยงผู้หญิงล่ะ คงจะน่ารักกว่าผู้ชายอย่างผมเยอะ”

“เพราะนายท่านชอบผู้ชายไง”

ยิ่งเจอคำตอบนี้เข้าไปยิ่งพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่ และอยากได้กระจกสักบานมาส่องหน้าตัวเองว่าหน้าตาอย่างเขาเหมาะกับสายแบ๊วแบบนั้นหรือเปล่า เขาหันเข้าหากระจกรถยนต์ ใช้เงาสะท้อนรางๆสังเกตใบหน้าตัวเอง

รถยนต์บนท้องถนนเคลื่อนตัวได้ช้าแต่ไม่ถึงกับติดชะงักขยับไปไหนไม่ได้ แสงสว่างจากดวงตะวันซึ่งลาลับเหลี่ยมตึกอาคารหายไป ถูกแทนที่ด้วยความสว่างจากแสงไฟซึ่งติดตั้งอยู่ตามท้องถนนและไฟหน้าของรถยนต์ทั้งหลาย

กวีวัธน์เพิ่งเดินทางไปรับเด็กหนุ่มมาจากโรงพยาบาลโดยบอกว่าจะพาไปพบนายท่าน ก่อนออกมายังถามถึงเสื้อผ้าและการลาออกจากงาน ปภินวิชไม่กล้าบิดพลิ้วเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในคณะบริหารของห้าง ตอนที่ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้เขาดูในครั้งแรก จะเป็นเพราะเขาไม่สนใจก็ไม่ใช่ ถ้าชื่อบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่บนนามบัตรต่อให้ไม่ตั้งใจมองเขาก็ควรสังเกตเห็น แต่เด็กหนุ่มเพิ่งรู้จากพี่ที่เป็นหัวหน้างาน กิจการห้างสรรพสินค้าแค่ถูกแตกย่อยออกมาเป็นบริษัท ซึ่งยังมีอีกหลายบริษัทที่มีเจ้าของคนเดียวกัน แทบไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ในเมื่อกวีวัธน์มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยประธานบริษัท

“เรื่องที่ให้เอาใจนายท่านผมไม่ได้พูดล้อเล่น ท่านสั่งผมให้มาเตือนคุณ ผมเองก็เห็นด้วย ถ้าคุณทำให้ท่านขุ่นเคืองตัวคุณเองจะลำบากเสียเปล่าๆ”เสียงพูดจริงจังของกวีวัธน์เรียกให้ปภินวิชหันหน้ากลับไปหา ประกายในแววตาของเด็กหนุ่มที่กวีวัธน์มองเห็นมีแต่ความกังขา เขายิ้มให้ซึ่งมองคล้ายรอยยิ้มเอ็นดูยามที่ผู้สูงวัยมองดูเด็กๆ

“ท่านชื่นชอบคุณมาก ถึงขนาดอยากจะซื้อคอนโดให้อยู่ แต่เพราะกลัวคุณจะพาผู้ชายคนอื่นมาค้างในคอนโดของท่าน เรื่องนี้เลยถูกระงับไว้ก่อน”

“อย่างผมเนี่ยนะ จะพาผู้ชายขึ้นห้อง คิดอะไรบ้าๆ”แค่นึกปภินวิชก็ขนลุกเกรียว

“อย่าลืมว่าคุณเคยคิดจะขายเรือนร่างให้ผู้ชาย”

กวีวัธน์กล่าวย้ำเรื่องที่เด็กหนุ่มอยากลืมขึ้นมาอีกครั้ง กระนั้นเขาก็ได้แต่เถียงค้านอยู่ในใจ ถึงคิดที่จะทำงานแบบนั้น ปภินวิชกลับมั่นใจว่าตัวเองคงจะไม่มีทางเบี่ยงเบนไปแน่ๆ เขาทำเพราะความจำเป็น ไม่ได้ชื่นชอบโดยส่วนตัวเสียหน่อย

“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ที่ผมอยากจะเตือนคือ ถ้าคุณทำให้นายท่านขุ่นเคือง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะโดยส่งไปฝึกสอนมาใหม่ ท่านเสียดายเพราะไม่อยากให้คุณช้ำแต่ท่านก็เบื่อที่จะฝึกพวกพยศไม่รู้งาน”

“ฝึกสอน?”

“ให้ผู้ชายหลายๆคนช่วยฝึกคุณให้เป็นงานบนเตียง”กวีวัธน์บอกด้วยรอยยิ้ม พานให้ปภินวิชขนลุกเกรียวยิ่งกว่าตอนที่นึกจินตนาการว่าตนพิศวาสผู้ชายเสียอีก

“ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าไม่ทำอะไรพิเรนทร์ๆแบบนั้น”

“ถ้าคุณเป็นเด็กดี เรื่องแบบนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”รอยยิ้มเย็นเยียบยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของกวีวัธน์ เด็กหนุ่มตัวสั่นเพราะความหวาดกลัวซึ่งจู่โจมเข้ามาในหัวใจ เขายกมือกอดตัวเอง ไม่กล้าคิดว่าคำพูดของกวีวัธน์เป็นเรื่องล้อเล่น แม้ไม่มีหลักฐานแต่ปภินวิชก็เชื่อสนิทใจว่าการที่น้องสาวของเขาไม่ได้ผ่าตัดทั้งที่มีกำหนดนัดออกมาแล้ว นั่นต้องเป็นเพราะการจัดการของกวีวัธน์ หรืออาจจะเป็นคำสั่งของนายท่าน เด็กหนุ่มไม่รู้ว่านายท่านมีอำนาจแค่ไหนและเขาก็ไม่อยากท้าทายอำนาจนั้น

ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เขา เมื่อรถยนต์เข้ามาจอดเทียบหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ปภินวิชตัวแข็งไม่อยากก้าวเท้าเพราะรู้สึกเหมือนตนกำลังก้าวเข้าสู่ลานประหาร

“ผมขอโทษ ที่คำพูดของผมอาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่อย่างที่ผมบอก ถ้าคุณทำตัวดีๆ เอาใจนายท่านๆมากให้ท่านรักและเอ็นดู เรื่องแบบนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ผมรับรองได้ แม้ว่าตอนที่นายท่านเบื่อคุณแล้ว คุณก็จะมีทรัพย์สินเล็กน้อยติดตัวก่อนจะเป็นอิสระ”

ปภินวิชไม่ได้หวังอยากได้เงิน แต่คำว่าอิสระที่อีกฝ่ายพูดถึง มันช่างเย้ายวนเขาได้มากกว่า

“ในสัญญาบอกว่าผมทำงานแค่ใช้หนี้หมด”เด็กหนุ่มเอ่ยย้ำ

“อ้อ นั่นสินะ ผมลืมไป... ก็ตามนั้น ไม่ว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงก่อนหรือนายท่านจะเบื่อคุณก่อน หากคุณทำตัวดีๆ คุณย่อมได้รับมากกว่าสิ่งที่เสียไปแน่นอน”

ปภินวิชมองหน้าคนพูดที่อยู่ด้านนอก พยายามข่มความหวั่นกลัวและก้าวเท้าลงจากรถ เขามาถึงจุดนี้แล้วไม่มีทางให้ถอยกลับได้อีก อยากหนีก็หนีไม่ได้ อยากต่อต้านปฏิเสธก็ทำไม่ได้เช่นกัน น้องสาวเขาอยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย เขาจะขัดขืนอะไรได้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้เขาขุ่นแค้นที่ตนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

“ทานอาหารไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหานายท่านก่อน”

เด็กหนุ่มมองกับข้าวมากมายตรงหน้า คิดประชดประชันไปว่า กวีวัธน์ขุนเขาอย่างกับหมู สั่งกับข้าวมากมายขนาดนี้ เขาไม่มีทางทานได้หมดอยู่แล้วหรือว่าคงอยากอวดรวย อวดว่าเงินทองที่มีมากมายจนสามารถใช้ทิ้งใช้ขว้างได้ อย่าให้มีบ้างแล้วกัน ปภินวิชคิดพร้อมทั้งตักอาหารเข้าปากด้วยความฉุนเฉียว เพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะโยนเขาให้ผู้ชายคนอื่น เด็กหนุ่มจึงเกรี้ยวโกรธขึ้น เขาขายตัว เขาขายศักดิ์ศรีแต่เขาไม่ใช่ผักปลาที่จะถูกโยนให้ใครก็ได้ แล้วก็ไม่ใช่ทาส เงินมากมายนั่นนายท่านและกวีวัธน์ให้เขาด้วยจิตพิศวาส จะมาถือว่าเขาขายชีวิตไม่ได้ ฉับพลัน ประกายความคิดได้สว่างวาบในสมองของเด็กหนุ่ม

เขาจะแจ้งความ!!!

ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เยาว์ แต่ถ้ามีหลักฐานว่าอีกฝ่ายล่วงละเมิดทางเพศและค้ามนุษย์ นายท่านกับกวีวัธน์ต้องโดนจับด้วยข้อหาหนักแน่ๆ ปภินวิชยกยิ้มด้วยความสะใจ อยากให้เขาออดอ้อนออเซาะเอาใจใช่ไหม คราวนี้แหละต้องเจ็บใจจนกระอักเลือดออกมาแน่นอน



พฤทธิกรนั่งอยู่แถวหน้าติดขอบเวทีการแสดงแฟชั่นโชว์การกุศล มองดูการเดินแบบรอบสุดท้ายด้วยความเบื่อหน่ายแม้ใบหน้าจะยังนิ่งเฉยคล้ายมองด้วยความสนใจ เขาปรบมือเมื่อเหล่านางแบบซึ่งเป็นลูกหลานคนดังและเหล่าผู้มีเงินในแวดวงธุรกิจออกมายืนรวมตัวบนเวทีอีกครั้ง พิธีกรบนเวทีพูดสรุปอีกเล็กน้อยก่อนกล่าวปิดงานคืนนี้ลง แต่ใช่ว่างานจะเลิกจริงๆ ชายต้องยืนคุยอยู่กับคนรู้จักอีกครู่ใหญ่

“นี่น้องแขค่ะ ลูกสาวอา”หญิงวัยกลางคนที่ยืนคุยกับชายหนุ่มเป็นคนรู้จักของบิดา ซึ่งหลังจากที่เขามาจับธุรกิจแทนผู้เป็นพ่อก็ได้พบปะพูดคุยกับเธอบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนลูกสาวที่เธอเอ่ยปากแนะนำมองดูจากหน้าตาท่าทางแล้ว คงอายุน้อยกว่าเขาหลายปี

“ถ้าเป็นไปได้ อาอยากฝากน้องไปฝึกงานที่บริษัทคุณฤทธิ์”

“คุณแขเพิ่งจบหรือครับ”เขาหันไปถามคนที่ถูกฝาก

“เปล่าค่ะ แต่แขอยากลองทำงานในบริษัทอื่นก่อนเข้าไปช่วยงานคุณพ่อเต็มตัว”เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเอง

“อา...ครับ”พฤทธิกรตอบรับและหันไปเห็นหลานชายเดินเข้ามาพอดี เขายกมือเรียก เมื่อกวีวัธน์เดินเข้ามาใกล้จึงเอ่ยขอนามบัตรจากเจ้าตัวและส่งกระดาษแผ่นเล็กใบนั้นให้หญิงสาว

“ส่งเรซูเม่ไปที่อีเมลนี้ก่อนนะครับ ผมจะให้กลอนดูตำแหน่งให้”

“ขอตำแหน่งเลขาหน้าห้องพี่ฤทธิ์ไม่ได้หรือคะ”

คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนผู้หญิงจีบ เขาอายุใกล้จะสี่สิบแล้วจึงไม่คิดว่าผู้หญิงสาวๆจะยังมาชอบตนอยู่ แม้เขาจะพยายามดูแลสุขภาพร่างกายให้ดูดีอยู่เสมอ พยายามหาเวลาออกกำลังกายเพื่อรักษาหุ่น แต่อย่างสายตาของเขาก็ผ่านการทำเลสิกมาแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่รอผมขาวอีกอย่างเท่านั้น

“ต้องขอประทานโทษที่ขัดการสนทนานะครับ แต่น้าฤทธิ์มีทั้งเลขาและผู้ช่วยอยู่สามคนแล้ว แค่นี้ผมก็ว่างงานจนโดนน้าชายไล่ให้ไปตรวจสาขาบ่อยๆ คุณผู้หญิงอย่ามาแย่งงานผมเลยนะครับ”คงเพราะสรรพนามที่คนพูดใช้เรียกพฤทธิกรกอปรกับท่าทางสุภาพเป็นมิตรขี้เล่นของเจ้าตัว หญิงสาวสองวัยจึงไม่ถือโทษโกรธเคืองซ้ำยังหัวเราะรับมุก

“เอ่อนี่ กลอนครับ กวีวัธน์  เจียรพิบูลย์ เป็นหลานชายของผม”

“หลานหรือคะ”หญิงที่แทนตัวว่าอาถามเขาอย่างสงสัย ใครๆในแวดวงสังคมต่างก็รู้ว่าพฤทธิกรเป็นลูกชายคนเดียวของคุณดรัสพงศ์  ตัณกิติยาประธานกรรมการกลุ่มบริษัทตัณติกำจร

“ครับ เป็นญาติทางคุณแม่”พฤทธิกรตอบแล้วเหลือบมองหน้าหลานชายก่อนจะกล่าวขอตัวกับหญิงสาวทั้งสอง

“ขอโทษครับ พอดีวันนี้ผมมีธุระต่ออีกนิดหน่อย คงต้องขอตัวก่อน”เขากล่าวจบและยกมือไหว้หญิงสูงวัยกว่าตนทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเรียกรั้งชายหนุ่มได้หมุนตัวก้าวเท้าด้วยจังหวะฝีเท้าปกติเดินนำไปแล้ว กวีวัธน์จึงต้องรีบยกมือลาเดินตามน้าชายออกมา ห่างออกมาจากห้องจัดเลี้ยงแล้ว พฤทธิกรถึงได้หันหน้าไปคุยกับหลานชายขณะที่ยังก้าวเท้าอยู่เช่นเดิม

“ฉันไปรอที่รถ”หลังจบคำกล่าวสั้นๆพฤทธิกรยังก้าวเดินด้วยความเร็วของฝีเท้าเท่าเดิมลงบันไดเลื่อน ปล่อยให้กวีวัธน์แยกออกไปรับเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวพามาทานอาหาร

จังหวะที่รถยนต์แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันได ทั้งกวีวัธน์และปภินวิชก็ได้ปรากฏตัวให้เห็นพอดี

พฤทธิกรก้าวเท้าขึ้นรถที่บอดี้การ์ดเปิดประตูให้และนั่งพิงเบาะพักสายตารออยู่ภายในกระทั่งสองหนุ่มเดินตามมาถึง  เด็กหนุ่มถูกกวีวัธน์รุนหลังให้ขึ้นมายังเบาะหลังจากนั้นประตูจึงปิดลงพร้อมกับรถยนต์ที่ค่อยเคลื่อนที่ ชายหนุ่มได้ยินเสียงขยับตัวยุกยิกอยู่เป็นครู่จากคนที่นั่งอยู่ข้างกาย จึงลืมตาขึ้นมองและเอ่ยถามไปว่า

“ทานอะไรมาหรือยัง หิวหรือเปล่า”

ปภินวิชชะงักก่อนจะตอบคำถามกลับมา“คุณกวีวัธน์พาไปทานอาหารมาแล้วครับ”

“น้องสาวเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงถามเรียบเรื่อยคล้ายถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปก็จริง แต่นั่นกลับทำให้คนฟังนิ่งงัน อีกฝ่ายเงียบนิ่งไปนานจนพฤทธิกรต้องมองด้วยความแปลกใจ ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นกลับทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าชะงักเสียเอง เมื่อเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้และยกมือก้มกราบบนไหล่ พฤทธิกรตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาโดยอัตโนมัติกับไออุ่นร้อนและกลิ่นกายของอีกฝ่ายที่เข้ามาประชิด

“ผมขอบคุณนายท่านมากนะครับที่ให้การช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้นายท่าน ไม่รู้ผมว่าจะไปพึ่งใครจริงๆ”

จบประโยคนั้นยังตามมาด้วยศีรษะของเด็กหนุ่มซึ่งวางซบบนไหล่และสองแขนที่วางพาดโอบกอดรอบตัว คราวนี้พฤทธิกรจึงนิ่งยิ่งกว่าก้อนหิน ขณะที่ปภินวิชกลับเบ้หน้าด้วยอาการกล้ำกลืน อาศัยว่าภายในรถมืดสลัวมีแสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านมาได้น้อย เด็กหนุ่มจึงยังพูดประโยคที่ตนนั่งคิดเตรียมไว้ต่อไป

“ชีวิตผมมันอาภัพขาดทั้งพ่อขาดทั้งแม่ การที่นายท่านเมตตาเด็กตาดำๆคนนี้ก็เหมือนพระมาโปรด ผมหวังว่านายท่านจะเมตตาเอ็นดูผมต่อไป ถ้าผมทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอให้นายท่านว่ากล่าวตักเตือนได้เลยนะครับ ผมจะปรับปรุงตัวเชื่อฟังนายท่านทุกอย่าง”

ทว่าหลังจากได้ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มแล้ว หัวใจคนแก่กลับใจอ่อนยวบเชื่อคำพูดนั้นโดยง่าย สติพึงรู้ควรคิดพิจารณาพลันจางหายรวมกับคำพูดที่กวีวัธน์เคยบอกเล่าไว้ล่วงหน้า พฤทธิกรจึงนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มมากขึ้นตามที่อีกฝ่ายร้องขอ เขายกมือขึ้นตบแผ่นหลังบางของปภินวิชเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

“ไม่ต้องกังวลไป มีอะไรอยากให้ฉันช่วยเหลือก็บอกได้”

เด็กหนุ่มรู้สึกแขยงแขงขนกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ลูบหลังลูบไหล่แต่จำต้องข่มกลั้นฝืนทน ท่องเอาไว้ในใจว่า ‘หลักฐาน หลักฐาน’ ถ้าเขาเจอหลักฐานที่จะเอาผิดหัวหน้าลูกน้องตัณหากลับสองคนนี้ได้เมื่อไหร่ เขาก็ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก และไม่น่าเชื่อว่า ก่อนหน้านี้เขาจะเคยสิ้นคิดที่จะไปทำงานบำเรอความสุขประเภทนั้น เพราะขนาดแค่โดนลูบหลังด้วยจิตพิศวาส เด็กหนุ่มยังรู้สึกรับไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์เกินเลยลึกซึ้งจริง ปภินวิชคิดว่าตนอาจจะสลบคาเตียงไปเลยก็ได้ โดยไม่รู้เลยว่า เจ้าของฝ่ามืออุ่นร้อนที่ตนนึกรังเกียจยังไม่ได้คิดอกุศลใดๆสักนิด

ลงจากรถมา ปภินวิชยังเกาะแขนนายท่านแน่นไม่ยอมปล่อย ด้วยเกรงว่าหากทำตัวเหินห่างปุบปับจะทำให้นายท่านเอะใจ ด้วยเหตุนั้นจึงได้รับแววตาเจ้าเล่ห์สมใจส่งมาจากกวีวัธน์

“ดึกมากแล้ว ไม่รีบกลับบ้านหรือไง”พฤทธิกรหันไปพูดกับหลานชายซึ่งเดินตามลงมาจากรถยนต์อีกคัน โดยมีคนขับรถของอีกฝ่ายเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมมาส่งให้บอดี้การ์ดของเขา “เดี๋ยวแม่ก็เป็นห่วง”

ประโยคสุดท้ายของนายท่านทำให้ปภินวิชหูผึ่ง เขายกมืออีกข้างขึ้นมาปิดรอยยิ้มขำขัน นัยน์ตาแวววาวมีประกายล้อเลียน ก่อนจะขยับปากทวนประโยคนั้นแบบไม่มีเสียงให้กวีวัธน์ได้เห็น และถึงอีกฝ่ายจะเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ใช่ว่าจะตอบโต้ได้ เมื่อยังยืนอยู่ต่อหน้านายท่านเช่นนี้

“ผมโตแล้วครับ โทรบอกแม่แล้วด้วย น้าไม่ต้องห่วงหรอก”

เอ๊ะ! สรรพนามเรียกขานของกวีวัธน์ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรให้ต้องช่วยแล้ว แกกลับไปเถอะ อ๊ะ...”พฤทธิกรชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ ที่หลานชายตามมาอาจจะเพราะน้องปลาที่เจ้าตัวแอบชอบก็เป็นได้ ชายหนุ่มจึงแกะมือที่เกาะแขนตัวเองออกพร้อมทั้งรุนหลังเด็กหนุ่มไปยืนตรงหน้าหลานชาย

“เผื่ออยากจะคุยอะไรกัน แล้วถ้าพรุ่งนี้เช้าจะมาให้โทรสั่งอาหารเช้าเพิ่มมาด้วยแล้วกัน”เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะถอยเท้าไปยืนหน้าประตูทางเข้าอาคารซึ่งบอดี้การ์ดสองคนก็เดินตามเขาไปไม่ห่าง

“คุณกวีวัธน์เป็นอะไรกับนายท่านหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังกับเจ้าของชื่อ

“เป็นหลานชาย”

“อ้อ” มิน่าถึงเลวเชื้อไม่ทิ้งแถว

“คุณกวีวัธน์รีบกลับเถอะครับ คุณแม่คงรอกล่อมนอนแล้ว”

“หึ”ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นจมูก “ยังไม่ทันได้เป็นคนโปรดของนายท่านก็เริ่มทำตัวปีกกล้าขาแข็งซะแล้ว ระวังจะตกกระป๋องก่อนจะได้เป็นคนโปรด”

กวีวัธน์ยกยิ้มพลางโบกมือลาด้วยท่าทีเหนือกว่าก่อนจะหมุนเท้าไปขึ้นรถของตน เด็กหนุ่มฮึดฮัดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวจากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปหานายท่านที่ยังคงยืนรออยู่ไม่ไกล

“เจ้านั่นทำอะไรงั้นหรือ”พฤทธิกรถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเด็กหนุ่ม

“เปล่าครับ”คนตอบพูดปฏิเสธเสียงขุ่น

“เจ้ากลอนมันอาจจะทะเล้นเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีและจริงใจนะ”ชายหนุ่มพูดอวยช่วยส่งเสริมหลายชาย เพราะถ้ามองตามความเหมาะสมด้านอายุและตัดเรื่องเพศออกไป หากหลานชายของเขาจะรักจะชอบปภินวิชก็ดูเหมาะดูควร กวีวัธน์มีงานการที่มั่นคงมากพอที่จะดูแลเด็กหนุ่มได้

ฟังคำพูดของนายท่านแล้ว ปภินวิชอยากจะตีสีหน้าเหม็นเบื่อให้มากขึ้นไปอีก เป็นน้าเป็นหลายกันย่อมต้องเข้าข้างกันนะสิ แต่เขาไม่อยากพูดให้เป็นเรื่องราวจึงได้แต่ยกยิ้มเจื่อนแบบขอไปที

เดินตามนายท่านเข้าไปในลิฟต์ หลังจากกดหมายเลขชั้นจุดหมายและปล่อยให้ลิฟต์เคลื่อนที่อยู่ครู่หนึ่ง ประตูลิฟต์จึงเปิดออก โถงทางเดินสะอาดสะอ้านเรียบหรูเฉกเช่นครั้งก่อนที่เขาเคยมา แต่ทุกย่างก้าวกลับทำให้เขาใจระส่ำ ความตื่นกลัวย้อนกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้งอารมณ์โมโหหงุดหงิดที่มีต่อกวีวัธน์หายไปหมดเกลี้ยง

เมื่อนายท่านเปิดประตูเข้าไปด้านในแล้ว บอดี้การ์ดคนที่ถือกระเป๋าให้เขาจึงเดินตามเข้ามาวางกระเป๋าไว้บนโซฟา จากนั้นก้มศีรษะและเดินออกไปพร้อมปิดประตูให้

พฤทธิกรหยิบซองสีน้ำตาลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจกของชุดโซฟาขึ้นมาดู เทของชิ้นดังกล่าวออกจากซองและส่งมันให้เด็กหนุ่มที่จะมาเป็นอีกหนึ่งผู้อาศัยในห้องแห่งนี้

“คีย์การ์ด และนั่นห้องนอนของเธอ ไม่มีห้องน้ำในตัว เธอต้องออกมาใช้ห้องน้ำข้างนอก”ชายหนุ่มเจ้าของห้องชี้มือไปยังห้องที่สั่งผู้ช่วยคนสนิทจัดการไว้ให้ เขายังไม่ได้ตรวจดูแต่เพราะมั่นใจในการทำงานของเอกภพรวมทั้งเขาถือว่าได้มอบห้องเล็กนั้นให้ปภินวิชแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายให้เด็กหนุ่มอึดอัดใจ เขาเดินเข้าห้องนอนตัวเองและปิดประตูลง

เห็นเจ้าของห้องเดินหายเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวแล้ว ปภินวิชจึงได้หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าถือเข้าห้องนอนของตนบ้าง

ภายในห้องกว้างนั้นมีเพียงเตียงนอนซึ่งตั้งไว้ชิดผนังด้านหนึ่งนอกเหนือจากนั้นกลับไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใดอีก เด็กหนุ่มจึงนำกระเป๋าไปวางไว้บนเตียง หันซ้ายหันขวาจึงเห็นรีโมตเครื่องปรับอากาศติดอยู่บนผนัง เดินตรงไปยังส่วนที่ผ้าม่านปิดอยู่เป็นหน้าต่างกระจก หันกลับมามองอีกด้านถึงได้เห็นว่ามีประตูบานเลื่อน

“เจอแล้ว”ปภินวิชร้องออกมาเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพบว่าด้านในเป็นห้องขนาดเล็กซึ่งราวแขวนเสื้อผ้า ชั้นวางของมากมาย ทั้งยังมีโต๊ะเล็กหน้ากระจกครึ่งตัวและกระจกยาวเต็มตัววางชิดผนัง

เขาเดินออกไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามาวางไว้ด้านใน ไม่มีความคิดที่จะรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวน นอกจากหยิบชุดที่ต้องใส่และผ้าขนหนูออกมาจากกระเป๋า จากนั้นถือเสื้อผ้าทั้งหมดและของใช้ส่วนตัวอย่างแปรงสีฟันไปเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาประมาณสิบนาที เด็กหนุ่มก็อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นพร้อมนอน

หลังจากปิดไฟและสอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาแล้ว เขาก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว



รุ่งเช้าอีกวันเมื่อปภินวิชตื่นขึ้นมาและจัดการธุระส่วนตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินออกมายังโต๊ะอาหาร เขากลับพอว่านายท่านอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวเหมือนกำลังเตรียมพร้อมจะไปทำงาน ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะเหลือบสายตามองเขาแค่ครู่เดียวก็กลับไปจดจ่อกับหนังสือพิมพ์เช่นเดิม

“วันนี้นายท่านไปทำงานด้วยหรือครับ”

“อืม”อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ เขาจึงไม่ได้เซ้าซี้ซักถามอะไรอีก นอกจากนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่เขาเคยนั่งเมื่อคราวก่อน และเมื่อเขานั่งลงนายท่านจึงพับเก็บหนังสือพิมพ์ จากนั้นแม่บ้านจึงนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟพร้อมกับเสียงกริ่งหน้าประตูที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน ดังนั้นหลังจากจัดการเรื่องอาหารเสร็จ แม่บ้านคนดังกล่าวจึงต้องเดินไปเปิดประตู

“น้าฤทธิ์จะไปทำงานด้วยหรือครับ”กวีวัธน์เอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อก้าวมาถึงโต๊ะอาหาร เขาดึงเก้าอี้ออกและทรุดตัวลงนั่ง

“แกแปลกใจอะไร ฉันก็ไปทำงานปกติของฉัน”คนตอบมุ่นคิ้วแต่เสียงตอบเรื่อยเอื่อยตักอาหารเข้าปากอย่างไม่คิดว่าเรื่องที่หลานชายเอ่ยทักจะผิดแปลกจากเดิมตรงไหน ทว่าพฤทธิกรกลับไม่เห็นสายตาขัดใจที่กวีวัธน์ส่งไปให้เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ กระนั้นทุกอย่างกลับดูเป็นปกติเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ทั้งที่สงสัยแต่เขาเลือกที่จะไม่ถาม

“วันอาทิตย์ทั้งที น้าน่าจะหยุดบ้าง ถึงไม่กลับไปบ้านใหญ่ก็ดูหนังดูทีวีก็ได้”

“อ้อ”

กวีวัธน์ฟังดูก็รู้ว่าน้าชายรับคำแบบขอไปที เขาจึงพยักพเยิดส่งสายตาให้ปภินวิชเป็นการใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้

“งั้นไปเยี่ยมน้องปุ้ยกันดีไหมครับ”คำพูดประโยคนั้นของชายหนุ่มทำให้ปภินวิชสะดุ้ง ส่วนน้าชายเงยหน้ามองเด็กหนุ่มอีกคนเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่ปภินวิชไม่กล้าพูดอะไรได้แต่ยิ้มแหยๆ เขาไม่อยากให้ไปจะตอบออกไปได้อย่างไร

“จะได้ไปดูอาการของน้องเขาด้วย”กวีวัธน์ยังกล่าวเสริม “ถึงยังไงวันนี้ปลาก็ต้องไปเยี่ยมน้องปุ้ยอยู่ดี”

เด็กหนุ่มหน้าตึงกับสรรพนามสนิทสนมที่อีกฝ่ายใช้เรียกเขากับน้องสาว

“แกกับปลาไปกันสองคนก็ได้”

“ถ้าน้าไม่อยากไปไม่เป็นไรครับ งั้นวันนี้ผมไปทำงานกับน้าฤทธิ์ดีกว่า”กวีวัธน์เปลี่ยนใจทันควัน

พฤทธิกรมองหน้าหลานชายแล้วถอนหายใจออกมา ไม่คิดอยากจะพูดอะไรต่อจนกระทั่งอาหารมื้อนั้นเสร็จสิ้น หลานชายยังคงกระโดดตามมาขึ้นรถคันเดียวกับเขาอย่างที่ปากว่า

“เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“อะไร เป็นยังไง”พฤทธิกรเอ่ยถามกลับไป

“ก็...น้ากับน้องปลา”กวีวัธน์ทำท่ายึกยักอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมา

“ฉันไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนที่แกชอบหรอกน่า”

เป็นอันว่าเมื่อคืนต่างคนต่างนอน ดูท่าคงต้องไซโคเด็กนั่นให้มากกว่าเดิม กวีวัธน์คิดในใจ

“ตกลงแกชอบเขาแน่หรือเปล่า เช้านี้ฉันเปิดโอกาสให้ แกยังตามมาทำงานกับฉันอีก”

“ก็...ชอบ แต่เขาไม่ค่อยชอบหน้าผม ถ้าอยู่กันสองคนเขาต้องทำตาขวางหรือไม่ก็ทำท่าโมโหตลอด”กวีวัธน์พูดแถที่มีส่วนของความจริงผสมอยู่บ้าง

“ไปพูดอะไรไม่เข้าหูเขาเข้าล่ะสิ”

“แหะ แหะ แหะ”เขาไม่บอกอะไรมากเพราะกลัวโดนน้าชายจับไต๋ได้ “น้าฤทธิ์ก็ช่วยผมหน่อย ถ้าน้าไปด้วยน้องปลาเขาจะได้เกรงใจน้า”

“แล้วเขาจะยอมใจอ่อนมาชอบแกเมื่อไหร่”

“เถอะน่า ตีกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”คนเป็นหลานตอบปัดแบบขอไปที

พฤทธิกรฟังคำตอบแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ กระนั้นใช่ว่าตัวเขาเองจะดีกว่าหลานชาย เพราะมัวแต่ห่วงกังวลเรื่องความแตกต่างทั้งหลายทั้งแหล่ถึงได้แต่แอบมองเด็กคนนั้นจนหลานชายมาตกหลุมรักอีกฝ่ายเสียแทน ชายหนุ่มเบนสายตามองถนนโล่งว่างยามเช้าวันอาทิตย์พลางปัดความแปลบปลาบเล็กๆที่ทิ่มตำหัวใจทิ้งไปเสีย



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
«ตอบ #22 เมื่อ04-10-2017 11:14:24 »

เข้าใจกันไปคนละทาง ถ้าเปิดอกคุยกันนี่กลอนงานเข้าแน่ ฮา

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
«ตอบ #23 เมื่อ04-10-2017 14:33:36 »

กลอนนี่เจ้าแผนการจริงๆ ความแตกมีหนาว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
«ตอบ #24 เมื่อ04-10-2017 15:49:33 »

เจ้าเล่ห์ แสนกลจริงกวีวัจน์
อยากรู้ใครจะมาเป็นคู่ของกวีวัจน์กันนะ

ที่ไปโกหกว่าชอบปลา ก็เพื่อให้น้าฤทธิ์ ไม่ทำตัวห่างเหินปลาสินะ
แล้วความใกล้ชิดก็จะได้ผล
แต่เหมือนพฤทธิกร ก็หวั่นไหวเล็กๆและ

น้องสาวปลา ก็ได้รับการรักษาอย่างดีล้ว
ที่ยังไงปลา ก็ไม่มีทางทำได้ด้วยตัวเอง
ปลา ไม่ชอบสัมผัสของผู้ชาย
ก็ดูกันต่อไป ว่าจะยังไง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
«ตอบ #25 เมื่อ07-10-2017 09:33:57 »

อย่าเพิ่งด่วนสรุป รีบทำอะไรแบบนั้นนะน้องปลา
ดูนายท่านไปนาน ๆ ก่อน

รอตอนต่อไปจ้าา  :mew1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
«ตอบ #26 เมื่อ08-10-2017 05:41:46 »

05


กวีวันธ์แอบไปหาปภินวิชช่วงบ่ายๆอีกเช่นเคย โดยบอกน้าชายว่าขอตัวกลับก่อนเพราะเพื่อนโทรตาม และเพราะมันเป็นวันอาทิตย์ พฤทธิกรจึงพยักหน้าไม่ซักถามอะไรต่อ

วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของสำนักงานแต่พฤทธิกรมักเข้ามาเคลียร์งานต่างๆในหน้าที่จนหลานชายแสนดีอย่างเขาอดที่จะเข้ามาช่วยไม่ได้ แม้ว่าน้าฤทธิ์จะเคยบอกว่าไม่จำเป็นกระนั้นเมื่อเห็นญาติสนิททำงานไม่หยุดไม่พัก มันทำให้กวีวัธน์เป็นห่วง ซ้ำหลังๆที่เขาเข้าไปบ้านใหญ่ คุณยายยังบ่นให้ฟังว่าน้าชายทำงานเหมือนประชดแต่เจ้าตัวคนถูกบ่นกลับแค่หัวเราะ

ชายหนุ่มถอดเปลี่ยนรองเท้าและหยิบรองเท้าของตนวางบนชั้น เดินเข้าไปด้านในซึ่งแบ่งเป็นห้องเล็กๆอีกหลายห้อง เมื่อเจอป้ายหน้าห้องระบุชื่อคนป่วยที่ต้องการมาเยี่ยม เขาจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไป ปภินวิชมีสีหน้าแตกตื่นทันทีที่เห็นหน้าเขา เจ้าตัวรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ตรงเข้ามาหาและลากตัวเขาออกมาจากห้อง ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มรู้ตัวหรือไม่แต่เขาทันเห็นว่าคนป่วยบนเตียงมองตามด้วยความแปลกใจ

ปภินวิชลากเขามาหยุดที่สวนนอกอาคารอาศัยร่มไม้เพื่อหลบแดด แต่ใช่ว่าแสงอาทิตย์จะแรงจัด ท้องฟ้าด้านบนครึ้มเมฆจนดูคล้ายว่าฝนใกล้ตกในไม่ช้า

“ผมไม่อยากให้คุณพูดเรื่องงานให้น้องสาวผมได้ยิน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรทำงานตามหน้าที่ตัวเองบ้าง ผมจะได้ไม่ต้องมาคอยย้ำเตือน”

“ผมเพิ่งมาอยู่กับนายท่านวันเดียว ไม่สิ... แค่คืนเดียว คุณจะให้ผมทำอะไรนัก นายท่านยังไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยคุณจะมาเดือดร้อนทำไม”

“อ้อ น้องสาวคุณคงไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องไอซียูแล้วก็ได้มั้ง อืม...หรือถ้าพรุ่งนี้ทางโรงพยาบาลไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่ายมันจะเป็นยังไงน้า”

“คุณกวีวัธน์!!!”

“ไม่ต้องเรียกชื่อผม ผมจำชื่อตัวเองได้”ชายหนุ่มพูดเสียงระรื่น

ปภินวิชรู้สึกหงุดหงิดโมโหที่เอะอะอีกฝ่ายก็เอาน้องสาวมาอ้าง เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย นายท่านเป็นฝ่ายที่ไม่กระตือรือร้นให้เขาดูแลเองต่างหาก เห็นหน้าตายังหนุ่มแบบนั้นอาจจะหมดน้ำยาไปแล้วก็ได้ เด็กหนุ่มนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ยามโมโหกรุ่นโกรธดูเหมือนว่าความไม่ชอบใจกับสัมผัสของนายท่านที่ตนเคยรู้สึกจะจางหายไปสิ้น

“ผมไม่เคยดูแลใคร คุณอยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลยแล้วกัน โตๆกันแล้วต้องมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำกันอีกหรือไง ไม่ได้พิการสักหน่อย”ประโยคหลังๆเด็กหนุ่มงึมงำเสียงเบาแต่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันอย่างไรก็ได้ยิน ชายหนุ่มจึงกระเซ้าไปว่า

“ทำได้ก็ดีถึงนายท่านจะไม่ได้พิการก็เถอะ”เขาหัวเราะออกมา “เอาเป็นว่า ทำอาหารให้ทาน เตรียมน้ำให้อาบ เตรียมเสื้อผ้าให้ใส่ ก่อนนอนท่านนอนนวดหลังให้ท่านด้วย แล้วก็ต้องหาทางห้ามท่านไปทำงานวันอาทิตย์”

“ให้ผมทำอาหาร นายท่านคงท้องเสียแน่ ส่วนเรื่องห้ามไปทำงานใครมันจะไปทำได้ ขนาดคุณยังทำไม่ได้เลย”

“ทำอาหารไม่ได้ก็ต้องหัดทำ คุณต้องทำอาหารให้ท่านทานสามมื้อ ต่อไปผมจะยกเลิกการสั่งอาหารจากร้านข้างนอก ผมจะให้คนซื้อของสดเข้าไปให้ หรือคุณจะใช้เงินตัวเองซื้ออาหารสำเร็จเข้าไปให้ท่านทานก็แล้วแต่ แต่ผมอยากบอกให้คุณรู้ไว้อย่าง เห็นอย่างนั้น นายท่านเรื่องมากเรื่องอาหารการกินที่สุด”

“ถ้าที่คุณพูดว่านายท่านเรื่องมากเรื่องอาหารการกิน แล้วฝีมือทำอาหารบ้านๆแบบผม นายท่านจะยอมกินได้ยังไง”

กวีวัธน์ยักไหล่แบบไม่แยแส “ส่วนเรื่องการห้ามท่านไปทำงานวันอาทิตย์ ถ้าผมทำได้ ผมคงไม่ช่วยหาเด็กอย่างคุณมาให้ท่านเลี้ยงหรอก”

“ทีแรกคุณบอกแค่ว่า ผมมีหน้าที่ต้องทำให้นายท่านพอใจ”ปภินวิชพูดท้วง

“ก็นายท่านยังไม่เคยพูดว่าพอใจคุณสักคำ”

“ท่านไม่ได้พูดว่าไม่พอใจผมเหมือนกัน”เด็กหนุ่มเถียงกลับ กวีวัธน์ได้ฟังประโยคนั้นแล้วนึกขำ เขาส่งเสียงหึขึ้นจมูกก่อนพูดว่า

“ถ้านายท่านพอใจคุณจริง ท่านจะออกจากห้องไปทำงานทำไมทั้งที่เพิ่งได้เด็กมาใหม่ เรื่องง่ายๆแค่นี้ถามใครก็ต้องพูดแบบผมทั้งนั้น ยอมรับมาเถอะ คุณแค่อยากเลี่ยงงานของตัวเองเท่านั้นแหละ เอาเถอะ...”กวีวัธน์ทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา “ผมขี้เกียจมาปวดหัวกับเรื่องพรรค์นี้แล้ว ถ้าคุณไม่อยากทำผมก็ไม่อยากฝืนใจ เงินที่จ่ายไปแล้วผมจะถือว่าทำทาน แต่หลังจากนี้ก็ขอให้คุณหาเงินมาจ่ายค่ารักษาของน้องสาวด้วยตัวเองแล้วกัน”

“เดี๋ยวๆ ผมขอโทษ”เด็กหนุ่มรีบคว้าเกาะแขนของกวีวัธน์ไว้ ไม่ใช่ว่าเขารักสบายไม่อยากทำงานหนัก แต่การรักษา การดูแล การบริการของโรงพยาบาลเอกชนมันดีสมกับจำนวนเงินที่จ่ายออกไป ช่วงที่เขาไม่มาอยู่เฝ้าก็มีทั้งหมอทั้งพยาบาลคอยดูแลน้องสาวของเขาตลอด เธอเล่าให้ฟังว่า อยากได้อะไรพอบอกออกไปคุณพยาบาลก็หามาให้ อาหารไม่อร่อยก็เปลี่ยนให้แม้จะถูกจำกัดเมนูที่ให้เลือกก็ตาม แค่เรื่องอาการเจ็บป่วยก็ทำให้เด็กหญิงต้องอดทนมากพอแล้ว ถ้ามีอะไรที่ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้นอีกนิดหน่อย ปภินวิชจึงอยากจะทำให้โดยไม่คิดลังเล

“ผมทราบแล้วครับ ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง”

“ดี”กวีวัธน์ร้องบอกพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง ถ้าคุณช่วยนายท่านผ่อนคลายยามค่ำคืนด้วยก็จะดีมาก”

ปภินวิชมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“อ้าว... ก็หน้าที่จริงๆของเด็กเลี้ยงน่ะ ต่อให้นายท่านไม่เริ่มคุณก็ต้องเริ่มก่อน คุณเป็นผู้ชายก็น่าจะรู้นะว่ามันช่วยลดความเครียดได้”

เด็กหนุ่มหน้าแดง นึกอยากจะโต้ตอบกลับไปนัก อยากให้เด็กที่ไม่เคยแม้แต่จูบอย่างเขาเนี่ยนะเป็นฝ่ายเริ่ม อยากจะถามจริงๆว่าใช้อะไรคิด



หลังออกจากห้องทำงานตอนเย็นวันอาทิตย์ พฤทธิกรจะไปออกกำลังกายต่อที่ฟิตเนตของคอนโด เขาติดการออกกำลังกายมาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น แม้จะมีงานยุ่งรัดตัวมากขึ้นแต่อย่างไรต้องหาเวลามาออกกำลังกายเรียกเหงื่อให้ได้อาทิตย์ละสองถึงสามวันเพื่อรักษากล้ามเนื้อที่สร้างมา อีกอย่างคือถ้าเขาปล่อยปละละเลย ลอนกล้ามที่มีจะแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อเหลวๆรวดเร็วมาก ภาพเนื้อย้วยๆของตนเองเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มค่อนข้างจะรับไม่ได้

ออกจากฟิตเนตแล้วตามแผนปกติ เขาจะกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปหาอาหารเบาๆทานอีกมื้อ พฤทธิกรค่อนข้างใส่ใจต่อการทานอาหารให้ครบทุกมื้อ แม้จะมีเวลาน้อยแต่ก็ต้องทานโดยใช้วิธีลดเวลาเที่ยวเล่นสังสรรค์ลง นั่นเท่ากับว่าชีวิตของเขาค่อนข้างจำเจน่าเบื่อ ใช้ชีวิตอยู่กับงานทุกวันตลอดสัปดาห์แต่เพราะไม่ค่อยมีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษด้วย เขาจึงไม่ค่อยเดือดร้อนกับการดำเนินชีวิตแบบนี้

ปีหน้าเขาจะมีอายุครบสี่สิบปี สถานภาพปัจจุบันยังโสดแต่เคยมีแฟนที่คบกันจริงจังมาแล้วสองคนและเกือบจะได้แต่งงานแล้วครั้งหนึ่ง แฟนคนแรกคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นพฤทธิกรนับว่าเป็นผู้ชายเนื้อหอมที่สาวๆอยากควงด้วยเป็นอันดับต้นๆ ทั้งหน้าตาทั้งฐานะเรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อม กับแฟนคนนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตกลงเป็นแฟนกันตอนปีสอง แต่หลังเรียนจบมาสองปีเธอกลับขอเลิกด้วยเหตุผลที่ว่า เขาดีเกินไป แม้จะเสียใจแต่ชายหนุ่มได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของเธอ และปลายปีนั้น เขาก็ได้ยินข่าวการแต่งงานของหญิงสาว

แฟนคนที่สองเป็นลูกสาวของเพื่อนมารดา เขาและเธอเจอกันในงานสังคมงานหนึ่ง ตกลงคบหากันเพราะมารดาสนับสนุน แต่เธอนับว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไม่ต่างกัน ส่วนเขาในตอนนั้นแม้ว่าจะทำงานในบริษัทของบิดาแต่ด้วยตำแหน่งทายาทผู้สืบทอด ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่คบกับเขาย่อมต้องได้หน้าไม่น้อย ทว่าก่อนถึงงานแต่งเพียงไม่กี่เดือน ชายหนุ่มกลับได้รับรู้ว่า คู่หมั้นสาวไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น ตอนนั้นเขาค่อนข้างจะลังเลเพราะความรักที่มีต่อเธอ แต่เนื่องจากไม่แน่ใจว่าชีวิตคู่จะดำเนินต่อไปได้ตลอดรอดฝั่ง เขาจึงล้มเลิกงานแต่งซึ่งพานให้มารดาและเพื่อนมองหน้ากันไม่ติด หลังจากนั้นมา มารดาของเขาจึงไม่กล้าแนะนำผู้หญิงคนไหนให้อีกเพราะกลัวไปล้มเลิกงานแต่งอีกหน กอปรกับงานที่เขารับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เขาจึงไม่มีเวลาไปเอาใจหญิงสาวคนไหน

กระทั่งได้เจอเด็กหนุ่มที่หลานชายออกปากว่าแอบชอบ

พฤทธิกรยกยิ้มขำจนบอดี้การ์ดซึ่งเดินตามหลังมามองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจ

ช่วงนั้นเขายอมเสียเวลาวันละหลายชั่วโมงไปนั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟ บางครั้งก็เอางานไปทำในร้านเพียงเพราะแค่อยากเห็นหน้าเด็กคนนั้น ไม่แปลกใจเลยที่กวีวัธน์จะเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะ

ชายหนุ่มถอนหายใจ บอกตัวเองว่าคงต้องตัดใจจริงๆเสียทีแล้ว

“กลับมาแล้วหรือครับ”เสียงร้องต้อนรับดังออกมาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มแต้มประดับรอยยิ้มกว้าง ร่างเพรียวบางกว่าเดินเข้ามาใกล้พลางจับจูงมือเขาให้เดินตามเข้าไปด้านใน

“นายท่านจะอาบน้ำก่อนหรือทานอาหารก่อนดีล่ะครับ”

ชายหนุ่มนิ่งงันไปกับคำถาม จะเรียกว่าระบบประมวลผลโดนช็อตไปก็ไม่ผิดนัก ถึงกวีวัธน์จะบอกว่าเด็กหนุ่มปลื้มปริ่มยินดีกับความช่วยเหลือของเขามาก แต่เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของหลานชายทั้งหมด ที่ยอมทำตามคำพูดของฝ่ายนั้นเพราะเห็นว่าปภินวิชเดือดร้อน และกวีวัธน์บอกว่าแอบชอบเด็กหนุ่มอยู่ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็อยากจะอุ้มสมให้หลานชายได้ครองคู่กับเด็กหนุ่มคนรัก

พฤทธิกรยกมือขึ้นลูบศีรษะ “อาบน้ำก่อนแล้วกัน”ด้วยความที่คิดอะไรไม่ออก เขาจึงอยากได้เวลาตั้งตัวอีกสักนิด

ชายหนุ่มเดินเข้าห้องนอนตัวเองโดยมีปภินวิชเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาตามเข้ามาติดๆ เขายังอยู่ในชุดกีฬาซึ่งเป็นเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า ด้วยเพราะฟิตเนตที่เขาใช้บริการอยู่ในคอนโด ชายหนุ่มจึงคิดที่จะกลับมาอาบน้ำที่ห้องตัวเอง

หลังหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำกลับยังเห็นเด็กหนุ่มเดินตามทำท่าจะเข้ามาด้วย

“ขอโทษทีนะ ฉันไม่ค่อยชอบให้ใครอาบน้ำด้วย”

ประตูตรงหน้าถูกดึงปิดดังปัง ปภินวิชหน้าชา หน้าแตก หน้าม้านและอีกหลายความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ตามมาด้วยความรู้สึกกรุ่นโมโห เขารึอุตส่าห์ทำใจกล้าเตรียมใจอยู่นานกับการปรนนิบัติพัดวีบ้าๆนี่ กลับมาใช้ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์แบบนั้นปฏิเสธง่ายดาย เด็กหนุ่มมองค้อนประตูตรงหน้าราวกับเป็นตัวแทนของคนที่เขาค่อนแคะ ก่อนจะสะบัดหน้าซ้ำแล้วเดินออกไปรอข้างนอก

นายท่านใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัว เด็กหนุ่มไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามให้ตัวเองหน้าแตกซ้ำสอง เขาใช้เวลาช่วงนั้นปั้นหน้ายิ้มเรียกแรงฮึดกลับมาใหม่ และอุ่นอาหารอีกรอบ

ปภินวิชทำกับข้าวได้เพราะถึงอย่างไรเขากับน้องสาวก็ใช้ชีวิตตามลำพังมาเป็นปี ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่เขาก็พอทำอาหารได้บ้างอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เพียงพอต่อการประทังชีวิตช่วงที่แม่ติดโอที แม้จะซื้อข้าวแกงถุงมาทานบ้างแต่การทำอาหารทานเองมันช่วยลดค่าใช้จ่ายได้หลายบาท ยิ่งช่วงหลังที่น้องสาวป่วย เด็กหนุ่มจึงค่อนข้างใส่ใจกับการทำอาหารมากเป็นพิเศษ แต่กระนั้นมันก็ยังคงเป็นอาหารพื้นๆในความคิดของเขา

“หือ เมนูวันนี้เธอสั่งเหรอ”นายท่านเอ่ยปากถามเมื่อเห็นหน้าตาอาหารทั้งสามอย่างที่เขาทำไว้ และเมื่อชายหนุ่มเจ้าของห้องถามแบบนั้น เขาจึงเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วพลางคิดไปว่าเมนูสิ้นคิดแบบแกงจืด ผัดผักและไข่เจียวคงไม่ค่อยโดนใจอีกฝ่ายเสียเท่าไร่

“เปล่าครับ ผมทำเอง”ปภินวิชยิ้มแหย

“อ้อ”ทว่าชายหนุ่มแค่พยักหน้ารับและนั่งลงตรงที่นั่งประจำ เห็นเช่นนั้น ปภินวิชจึงรีบกุลีกุจอตักข้าวใส่จานมาให้ แล้วยืนมองอย่างใจจดใจจ่อ

“ไม่ทานด้วยกันเหรอ”

“อ๊ะ ทานครับ”เมื่อโดนทัก เขาจึงไปตักข้าวมาบ้างรอให้นายท่านตักข้าวใส่ปากและไม่มีข้อติติงอะไรแล้วเขาจึงตัวข้าวเข้าปากตัวเองบ้าง

“ทำไมถึงทำอาหารล่ะ กลอนไม่ได้บอกเหรอว่าฉันสั่งอาหารจากร้านข้างนอก”

“ก็คุณกวี...คุณกลอนนั่นแหละที่บอกให้ผมทำ”เด็กหนุ่มตอบหน้ามุ่ยพร้อมเปลี่ยนไปเรียกชื่อเล่นของคนที่ถูกกล่าวถึงตามผู้ที่อาวุโสกว่า

“งั้นคราวหน้าก็ชวนเจ้านั่นมากินด้วยกันสิ”

“คงไม่ต้องชวนหรอกครับ คุณกลอนเขาให้ผมทำอาหารให้นายท่านทานทั้งเช้า กลางวัน เย็นเลย เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้คุณกลอนมาหานายท่านอีก คงได้ทานด้วยแน่ๆ”

“อย่างนั้นไม่ต้องหรอก อย่างที่ฉันบอก ฉันสั่งอาหารจากร้านอาหารอยู่แล้ว”

“มันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ”ปภินวิชถามด้วยความกังวล

“ไม่ๆ ก็อร่อยดี”พฤทธิกรรีบปฏิเสธเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าเสีย “แค่... ไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อย”

“ไม่ได้เหนื่อยหรอกครับตอนนี้ผมไม่ได้ทำอะไรด้วย แล้วมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมควรทำ”

พฤทธิกรเห็นว่าเป็นจังหวะดีที่เด็กหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงพูดไปว่า “เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ไม่เห็นต้องคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร ฉันช่วยเพราะอยากช่วย”

คำพูดของพฤทธิกรสะดุดหูนัก ช่วยเพราะอยากช่วยอะไร ไม่ต้องคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร เด็กหนุ่มคิด ตัวเองให้หลานชายมาเรียกเก็บให้ทำงานชดใช้ทุกบาททุกสตางค์แท้ๆ ยังมาอ้างเรื่องบุญคุณอยากช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่แน่ว่าเงินก้อนแรกนั่นก็แค่เอามาล่อเขาเฉยๆ ปภินวิชหน้าตึงขึ้นมาทันควันเมื่อคิดมาถึงจุดนี้

ฝ่ายพฤทธิกรที่เห็นว่าอารมณ์ของเด็กหนุ่มขุ่นเคืองขึ้นจึงไม่คิดพูดอะไรเพื่อกวนโมโหอีกฝ่ายอีก พลางคิดว่าที่กวีวัธน์เอ่ยเล่าให้ฟังคงเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่น้อย

เขาก้มหน้าทานข้าวจนหมดจาน หลังอาหารยังมีผลไม้ล้างปากที่ปภินวิชยกมาเสิร์ฟขณะที่เด็กหนุ่มเก็บจานอาหารทั้งหมดไปวางในอ่างล้างจาน ก่อนจะยกจานผลไม่ของตัวเองมาทานบ้าง ระหว่างนั้นพวกเขาเพียงแค่ทานอาหารด้วยกันเงียบๆ

เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด ชายหนุ่มเจ้าของห้องได้พาตัวเองมานั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งถูกย้ายออกมาวางด้านนอกติดระเบียง พื้นที่ระเบียงด้านนอกนั้นเขาให้จัดตกแต่งเป็นสวนและมีสระว่ายน้ำย่อมๆ ไว้สำหรับช่วงที่เขาขี้เกียจออกจากห้องจะได้มีกิจกรรมให้ทำบ้าง แต่กระนั้นกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย เขาใช้บริการสระว่ายน้ำนอกระเบียงแทบนับครั้งได้

พฤทธิกรนั่งทำงานเพียงไม่นานก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอน ทว่าเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วกลับพบว่ามีเด็กหนุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกันมานั่งอยู่บนเตียงของเขาด้วย

“ผมมานวดให้นายท่านครับ”คนพูดยกยิ้มหวาน พฤทธิกรรับรู้แล้วว่าถ้าเขาขัดใจ เด็กหนุ่มคงจะเคืองขุ่นขึ้นอีก เขาจึงยอมตามใจเดินไปล้มตัวลงนอนคว่ำให้ปภินวิชได้ทำอย่างที่ตั้งใจ

ปภินวิชลงน้ำหนักมือกดนวดแผ่นหลังกว้างตั้งแต่ช่วงบ่า กล้ามเนื้อแน่นๆภายใต้เสื้อชุดนอนซึ่งตัดเย็บมาจากผ้าฝ้ายทำให้เด็กหนุ่มต้องลงน้ำหนักแทบทั้งตัว กระนั้นคนที่นอนคว่ำหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าเจ็บหรือปวด และเพราะคิดอยากแก้แค้นเล็กน้อยๆ ปภินวิชถึงกดเข่าลงไปด้วยก่อนจะลามไปถึงขั้นใช้เท้าเหยียบ กระนั้นสีหน้านายท่านกลับดูเคลิ้มเพลินเหมือนจะหลับเสียมากกว่า

เด็กหนุ่มไม่มีความรู้เรื่องนวดคลายเส้น จึงได้แต่กดๆเหยียบๆเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆจนทั่วแผ่นหลัง เมื่อเห็นจังหวะดีๆที่ชายหนุ่มดูคล้ายเผลอหลับ เขาจึงละมือ แล้วคิดอุตริว่าจะลักหลับอีกฝ่ายเสีย

สำหรับเรื่องการขายเรือนร่างแลกเงินนั้นเขาได้ยินมาตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมแต่แค่ฟังเฉยๆ จนมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่หาทางออกไม่ได้จริงๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างเขา เด็กหนุ่มคิดว่าตนคงไม่ได้เป็นฝ่ายรุกง่ายๆ แต่ตั้งใจไว้ว่าหากมีคนซื้อ เขาจะขอเป็นฝ่ายทำเพราะเคยอ่านกระทู้มาว่า ‘เกย์รุกหายาก’ ถึงจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ากับใครเลยก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครย่อมต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น แต่ก็เตรียมตัวมาเป็นรับด้วยเหมือนกันเพราะจากข้อมูลที่อ่านมา ครั้งแรกของฝ่ายรับเขาบอกเล่ากันว่า เจ็บเหมือนจะตายให้ได้ เขาถึงกลัวนัก

คราวนี้ได้โอกาส ประกอบกับที่กวีวัธน์บอกให้เขาเริ่มก่อน ไม่แน่ว่าเพราะนายท่านอาจจะเป็นรับแต่กลัวเสียเชิงเลยไม่กล้ารุกเข้าหา ถึงจะเป็นครั้งแรกแต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจในทฤษฎีของตัวเองมาก

เขานั่งคุกเข่าคร่อมชายหนุ่มร่างใหญ่ไว้ จากที่บีบๆคลำๆอยู่เมื่อครู่ เขาเดาได้ว่านายท่านนอนแบบไม่ใส่ชั้นใน พอเขาทิ้งสะโพกปุ๊บบั้นท้ายตึงแน่นของอีกฝ่ายก็สัมผัสร่างกายเขาผ่านเนื้อผ้าแค่สองชิ้นพอดี เด็กหนุ่มใจเต้นตูมตามด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามควบคุมมือให้หยุดสั่นขณะสอดมือลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วรั้งให้ชายเสื้อเลิกสูงขึ้น แผ่นหลังของชายหนุ่มเห็นลอนกล้ามเนื้อชัด ผิวเนื้อเนียนเรียบไร้สิวฝ้าไม่ต่างผิวผู้หญิงยิ่งสนับสนุนความเข้าใจของปภินวิชเข้าไปใหญ่ เด็กหนุ่มทิ่มหน้าเพื่อดอมดมกลิ่นตัวของอีกฝ่ายทันที

แหม...ตัวก็หอมด้วย เขาคิดในใจ

เขาพยายามจะไถจมูกขึ้นไปตามแผ่นหลังแต่ติดตรงที่ชายเสื้ออีกด้านโดนร่างหนาทับไว้ จึงต้องเปลี่ยนวิธีเล้าโลม ย้ายไปแทะเล็มใบหูของนายท่านแทน เพราะจากที่เขาอ่านมา ใบหูคืออีกหนึ่งจุดอ่อนเวลาร่วมรัก เด็กหนุ่มงัดมาทุกกระบวนท่า ทั้งขบเม้มทั้งใช้ลิ้นเลีย จนคนที่เคลิ้มใกล้หลับรู้สึกตัว

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดป่ายด้วยความรู้สึกรำคาญ ทว่ามือข้างนั้นกลับโดนยึดไว้และโดนบังคับให้พลิกตัว ตามมาด้วยความรู้สึกนุ่มหยุ่นซึ่งสัมผัสอยู่ที่ริมฝีปาก คราวนี้สติสตังจึงกลับมาครบถ้วน เขาเห็นปภินวิชหลับตาพริ้ม จมูกของเด็กหนุ่มเฉียดแก้มเขาไปมา พร้อมความรู้สึกที่ริมฝีปากถูกดูดดึงอย่างเอาเป็นเอาตายชัดเจนขึ้นมา ทั้งเนื้อตัวของเด็กหนุ่มร่างเพรียวยังแนบทาบอยู่บนร่างของเขา

พฤทธิกรรู้สึกว่านี้คือภาวะฉุกเฉินที่สุด!!!

เขาใช้สองมือยันไหล่ของเด็กหนุ่มและดันร่างนั้นออกห่าง

“นายท่านตื่นแล้วหรือครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทะนุถนอนนายท่านเอง”

เขาอยากจะถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!

ปภินวิชพยายามจะคลุกวงในเขาให้ได้ ฝ่ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายปะป่ายไปทั่ว จนเขากลัวว่าตัวเองจะตบะแตกแล้วพาให้มองหน้าหลานชายไม่ติด พฤทธิกรตัดสินใจพลิกร่างเด็กหนุ่มเปลี่ยนตำแหน่งให้ตัวเขากลับมาอยู่ด้านบนก่อนดึงผ้าห่มมาห่ออีกฝ่ายไว้จนกลายเป็นแหนมเนือง

“นายท่าน”ปภินวิชร้องแต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เขากอดก่ายร่างที่ถูกพันด้วยผ้าห่มไว้แน่น กดศีรษะของเด็กหนุ่มแนบอกพลางลูบหน้าลูบหลังกล่อมนอน แม้ได้ยินเสียงสูดลมหายใจฮึดฮัดและการขยับดิ้นอย่างต้องการให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เขาก็ได้แต่ปลอบไปว่า

“นอนซะ นอนซะ”

เป็นจนครู่ใหญ่กว่าร่างในอ้อมกอดจะหลับสนิท

ช่างเป็นคืนที่สุ่มเสี่ยงจริงๆ ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ



เช้าวันถัดมาปภินวิชสะดุ้งรู้สึกตัวตื่น เขาก้มมองผ้าห่มที่ห่อพันร่างกายซึ่งมันถูกคลี่ออกและเปลี่ยนเป็นห่มคลุมไว้ปกติธรรมดา ข้างกายเป็นที่นอนว่างเปล่า เด็กหนุ่มจึงยิ่งเร่งรีบลุกออกจากที่นอน สาวเท้ายาวๆจนกลายเป็นวิ่งทั้งที่ระยะทางจากห้องนอนของนายท่านถึงโต๊ะอาหารห่างกันเพียงไม่กี่เมตร

“ขอโทษครับ เช้านี้ผมต้องเป็นคนทำอาหาร”

“อืม แม่บ้านแจ้งแล้วว่ากลอนยกเลิกการสั่งอาหาร”พฤทธิกรพูดขณะยกกาแฟขึ้นจิบรองท้องด้วยรู้ว่าอาจจะไม่ได้ทานอาหารเช้า

“สักครู่ครับ เดี๋ยวผมทำอาหารให้”

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยออกมาจัดการ”ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ หากเป็นอาหารง่ายคงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เขาเคร่งครัดต่อเวลางานก็จริงแต่เพราะตื่นเช้าเป็นกิจวัตรและเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเช้าก็หมดไปกับการเสพข่าวสารบ้านเมือง จึงไม่เคร่งเครียดให้เด็กหนุ่มต้องร้อนรน

ปภินวิชใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขากลับออกมาและตรงไปเปิดตู้เย็นทันที โดยของสดที่มีแช่อยู่ในตู้ถูกเขาสำรวจไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน และเช้านี้เขาตั้งใจจะทำข้าวต้มเช่นเดิม สองครั้งก่อนที่ได้ทานอาหารกับนายท่าน อาหารทั้งสองมื้อเป็นข้าวต้มทั้งคู่ ครั้งแรกเป็นข้าวต้มกุ้ง ส่วนอีกครั้งเป็นข้าวต้มปลา แต่เนื่องจากเขาตื่นสายจึงต้องยอมเปลี่ยนเมนูกะทันหัน

เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นตอนที่ปภินวิชกำลังตักไข่ดาวหน้าตาบ้านๆใส่จาน

เขาเลือกทอดไส้กรอก แฮม ไข่ดาวและปิ้งขนมปังให้เป็นมื้อเช้าของนายท่าน แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่เชฟ ไข่ดาวของเขาจึงหน้าตาเหมือนไข่ดาวสำหรับใส่กะเพราไก่ แม้จะรู้สึกอับอายกับฝีมือของตัวเองที่ดูไม่ค่อยเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ และนายท่านก็ใจดีมากพอที่จะไม่เอ่ยทักอะไรให้ความอายได้เพิ่มสูงขึ้น

“นี่มันไข่ดาวอะไรน่ะครับ”

แต่คนที่พร้อมจะล้อเลียนและเหยียบเขาซ้ำยังคงมีอยู่ ทว่าประโยคที่ทำให้เขากรุ่นโกรธมีหลุดออกมาประโยคเดียวก่อนที่จะกวีวัธน์จะกล่าวสั่งอาหารอีกจาน เด็กหนุ่มยกจานของตัวเองมาให้ก่อนจะหันไปจัดการส่วนของตน

ระหว่างนั้นพฤทธิกรกับกวีวัธน์จึงพูดคุยเรื่องอื่นๆแทนที่จะหยิบช้อนกับส้อม กระทั่งไส้กรอก แฮม ไข่ดาว ขนมปังของเขาสำเร็จอยู่บนจานและถูกยกมาวางที่โต๊ะ ทั้งสองคนถึงจะเริ่มทาน

“ใส่อะไรไว้หรือเปล่า ทำไมไม่กิน”กวีวัธน์เอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งลุ้นแทนที่จะลงมือกิน

“เปล่าครับ”คนตอบสั่นศีรษะยิก “แค่อยากรู้ว่าคนอื่นจะคิดว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร”

“แค่เอามาทอด ต้องใช้ฝีมือด้วยเหรอ”

“คุณทอดไข่ดาวเป็นหรือเปล่า ถ้าทำไม่เป็นไม่ต้องมาพูด”

“อ๋อเหรอ”กวีวัธน์ลากเสียงอย่างจงใจกวนประสาท จนน้าชายต้องห้ามปรามเพราะกลัวจะตีกันเสียก่อน

“กินเข้าจะได้ไปทำงาน”

หลังจากนั้น ต่างคนจึงต่างทานไม่มีเสียงพูดคุยอีก พฤทธิกรมีสีหน้าเรียบเฉยพยายามข่มอารมณ์ในอกที่ค่อยๆปะทุ เขาไม่ค่อยอยากมองภาพหลานชายกับเด็กหนุ่มครงหน้านัก จึงได้แสร้งเป็นตั้งใจทานอาหารกระทั่งอาหารในจานหมดลงจึงรวบช้อน ดื่มน้ำแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบสูทที่วางพาดไว้ที่พนักโซฟาขึ้นมาสวม หลานชายจึงรีบทานให้อิ่มแต่ก่อนจะได้ลุกจากโต๊ะกลับโดนคนที่นั่งตรงข้ามเหยียบเท้า ทั้งขยับปากขมุบขมิบว่าให้อยู่ก่อน

“เดี๋ยวฉันไปก่อน”พฤทธิกรพูดเมื่อหันไปทันเห็นเด็กหนุ่มขยับปากแบบไม่มีเสียงคุยกับหลานชาย

“เอ้อ...ครับ”กวีวัธน์จำต้องตอบรับเมื่อโดนเด็กหนุ่มเหยียบเท้าไม่ปล่อยราวกับจงใจจะเอาคืน

หลังจากที่พฤทธิกรออกจากห้องและประตูถูกปิดลงแล้ว ปภินวิชจึงลุกขึ้นเดินไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะกล่าวกับแม่บ้านให้ช่วยเก็บจากให้ จากนั้นจึงลากหลานชายเจ้าของห้องเข้าห้องนอนของตน


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


รู้สึกว่ามีแต่คนชื่นชอบน้องกลอนอย่างนี้ต้องพิจารณาเพิ่มบทกับค่าตัว

กลอน : จริงหรือครับเจ้ ขอบคุณมากครับ

คนเขียน : แหมไม่เป็นไรจ้า น้องกลอนที่น่ารักของพี่

น้าฤทธิ์ : เปลี่ยนพระเอกด้วยเลยดีไหม!!! ชอบมันเหลือเกินนี่  อายุป่านนี้แล้วยังริอาจทำตัวเป็นหญ้าแก่มาล่อวัวอ่อน (น้าฤทธิ์หงุดหงิดมาก ยืนกอดอกกระดิกเท้ารัวๆ)

คนเขียน : อุย! ไม่ดีค่ะ พ่อคุณทูนหัวของน้อง นิยายเรื่องนี้น้องเขียนมาเพื่อพี่ฤทธิ์เลยนะคะ อย่าเพิ่งน้อยใจไป เดี๋ยวอีกสองสามตอนรับรองว่าออร่าความหล่อของพี่ฤทธิ์จะทำให้คนอ่านฟินกระจายแน่นอน (มั้งนะ คาดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น)

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
«ตอบ #27 เมื่อ08-10-2017 07:21:40 »

กลอนเจ้าแผนการ o13

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
«ตอบ #28 เมื่อ08-10-2017 08:42:51 »

ช่างปั้นเรื่อง ๆ เล้ยยยยย หลานคนนี้ ไปบอกน้าว่าชอบน้องเขา แล้วแบบนี้ น้าเขาก็ไม่อยากยุ่งน่ะสิ อยากเห็นหน้าคนแผนแตกจริง ๆ  :katai5:

รักน้าฤทธิ์แล้ว น้อง(พยายาม)รุก แต่คุณน้ากลับเอาผ้ามาพันซะนี่ เพื่อความปลอดภัยของน้อง  :กอด1:

เห็นไหมนายกลอน แผนนายมันมีจุดบอด  :katai3:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
«ตอบ #29 เมื่อ12-10-2017 06:36:24 »

06



“นายท่านไม่ได้ชอบผู้ชาย”ปภินวิชชิงพูดออกไปก่อน “เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผม เพราะฉะนั้นคุณจะเอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อยกเลิกสัญญาไม่ได้”

“อะไร? คุณรู้ได้อย่างไร”ชายถามด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

“ผมก็ทดสอบมาแล้วนะสิ ต้องให้ผมเล่าให้ละเอียดเลยไหมว่าทดสอบอย่างไรบ้าง”เด็กหนุ่มบอกเสียงขุ่น

“เป็นไปไม่ได้”กวีวัธน์พึมพำเสียงเบา ซ้ำยังหันมาถามย้ำอีกรอบ “คุณแน่ใจหรือ”

ปภินวิชถึงกับอ้าปากพะงาบๆ แล้วจะให้เขาเล่ายังไง ให้บอกว่า ‘เมื่อคืนเขาทดลองปล้ำนายท่านดูแล้ว’ เหรอ ทั้งที่อุตส่าห์เตรียมใจอยู่ตั้งนานแต่ต้องโดนปฏิเสธซ้ำๆ เขาไม่ได้หน้าหนาเหมือนถนนคอนกรีตนะ สำหรับเรื่องเมื่อคืนก็นับว่าเป็นความอับอายของเขาที่สุดแล้ว ทั้งที่ต้องไปฉีกยิ้มเอาใจ ทั้งที่ต้องไปทำอะไรบ้าๆแบบนั้น

“ผมต่างหากที่ต้องถาม คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าน้าชายของคุณชอบผู้ชาย นายท่านเคยคบผู้ชายมาก่อนหรือไง”เด็กหนุ่มเปลี่ยนมาไล่บี้อีกฝ่ายแทน

“เฮ้ย! แน่ใจดิ”กวีวัธน์ตอบไม่เต็มเสียงนักพลางคิดไปว่า หรือน้าฤทธิ์จะไปนั่งเฝ้าคนอื่นวะ

“ผมเริ่มคิดแล้วว่าไอ้เรื่องที่คุณยกมาข่มขู่ผมมากมาย คุณพูดโกหกหรือเปล่า”ปภินวิชเห็นได้ทีจึงถามคาดคั้น ทว่ากวีวัธน์ไม่ยอมแสดงท่าทีเสียขวัญออกมาง่ายๆ

“ไม่เชื่อก็ลองไปถามนายท่านดู”

“ดี แล้วจะได้รู้ว่าคุณพูดจริงหรือเปล่า”

“เอาเลย แต่บอกไว้ก่อน น้าชายของผมไม่ชอบให้ใครเข้าไปกวนเวลาทำงาน เตรียมใจไว้ด้วยละกันถ้าเกิดคุณไปทำให้น้าฤทธิ์อารมณ์เสีย”

เด็กหนุ่มชะงักเท้าทันที ทั้งยังหันหน้ากลับไปบอกอย่างไม่ให้เสียเชิงว่า “งั้นเดี๋ยวผมไว้ถามตอนเย็นก็ได้” เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่เรียกว่ารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี จากนั้นจึงพูดทิ้งท้ายว่า ‘ไปเยี่ยมปุ้ยดีกว่า’ แล้วเผ่นแผล็วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้กวีวัธน์นึกสงสัยว่า หรือผิดคนจริงๆ

กวีวัธน์นึกสงสัยจนต้องแวะหาน้าชายก่อนเข้าห้องทำงานของตัวเอง

“น้าฤทธิ์เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ทำอะไรคนที่แกแอบชอบอยู่แล้ว”พฤทธิกรตอบอย่างรวดเร็วราวกับคิดเตรียมคำตอบมาไว้ล่วงหน้า ที่จริงเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองไปไกล แต่ด้วยความที่อายุอานามของเขาก็ไม่ใช่น้อยถือได้ว่าผ่านโลกมามาก รวมถึงถ้าให้น้ำหนักคำพูดของหลานชายที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้นเป็นจริงทุกคำ อีกฝ่ายอาจจะแค่สำนึกในบุญคุณอยากตอบแทนหรือแค่หลงใหลไปกับความมั่งมีของเขาเท่านั้น

“เอ่อ...น้าฤทธิ์ผมมีอะไรจะสารภาพ”

แต่คำสารภาพของกวีวัธน์กลับโดนขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของพฤทธิกร ชายหนุ่มยกมือบอกหลานชายให้รอก่อน จากนั้นจึงปุ่มสปีกเกอร์เพื่อรับสาย

“ครับ”

“คุณฤทธิ์คะ ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ”เป็นเสียงของสุธาณีซึ่งเป็นเลขาหน้าห้องที่ดังลอดออกมา

“ครับเดี๋ยวผมออกไป”หลังจากตัดสายเขาจึงหันมาบอกหลานชายพร้อมกับลุกขึ้นยืน ทั้งหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กติดมือมาด้วย “เรื่องที่แกจะสารภาพ เอาไว้ค่อยพูดหลังจากที่ประชุมเสร็จแล้วกัน” เขาสาวเท้าเดินออกจากห้อง เพียงแต่ประโยคต่อมาของหลานชายทำให้ต้องชะงักเท้าหยุดยืนหน้าบานประตู

“ผมบอกปลาไปแล้วนะครับ แต่น้องเขาปฏิเสธเพราะเขาบอกว่าชอบน้าฤทธิ์”กวีวัธน์รีบพูดออกมาทันทีที่ประโยคก่อนหน้าของน้าชายจบลง หัวใจของพฤทธิกรกระเด้งกระดอนเพราะประโยคนั้น เขายังยืนนิ่งไม่หันหลังกลับไปมองและพยายามข่มใจให้สงบ จากนั้นจึงจับลูกบิดหมุนเปิดประตูและก้าวเท้าออกไป

เมื่อเห็นเขาออกมาจากห้อง สุธาณีจึงขยับลุกหยิบปากกาและสมุดของตนเดินตามมา เช้านี้เขามีประชุมสรุปยอดไตรมาสที่สองและการกำหนดเป้าหมายในไตรมาสที่สามของปี ห้องประชุมที่ใช้จะอยู่ชั้นล่างถัดลงไปอีกสองชั้น ด้วยความที่เขามีบริษัทในเครืออยู่ในความดูแลหลายแห่งเท่ากับว่าทั้งอาทิตย์นี้เขามีประชุมเกือบทุกวัน

กวีวันธ์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาทีหลัง

“นึกว่าจะเศร้าใจจนโดดประชุม”พฤทธิกรเอ่ยแซวอย่างนึกครึ้มอกครึ้มใจ กระแสเสียงในสำเนียงฟังดูรื่นเริงจนหลานชายรู้สึกหมั่นไส้ ออกจะชัดเจนขนาดนี้ยังบอกว่าเขาเพ้อเจ้อ เขาทั้งหลอกล่อทั้งขุดหลุมพรางไว้มากมายน้าชายยังไม่ยอมกระโดดลงมาเสียที ไม่รู้จะหวงความโสดไว้ทำไม

“เงียบเลย”

“แล้วจะให้ผมพูดอะไร”กวีวัธน์ก้าวเท้าเดินตามออกไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก “ผมเป็นมืออาชีพมากพอที่จะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้”

“ทั้งที่ชอบเอาเวลางานไปทำเรื่องส่วนตัว?”

โดนแซะกลับมาเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกแต่ชายหนุ่มก็ยังคงแก้ต่างให้ตัวเองเสียงเจื่อน “แค่ไม่กี่ครั้งเอง เวลาทำงานผมก็ตั้งใจนะ”

พฤทธิกรตัดบทไม่ต่อความด้วยการส่งเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อสองเท้าได้เหยียบย้ำเข้าสู่ห้องประชุม ภายในห้องมีผู้จัดการของสาขาต่างๆมาเตรียมอุปกรณ์เพื่อนำเสนออยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาเดินไปนั่งหัวโต๊ะกล่าวเริ่มการประชุมก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมาเปิดดูประกอบ ทั้งเลขาสาวและผู้ช่วยหนุ่มทั้งสองคนนั่งเยื้องไปทางด้านหลัง

ชายหนุ่มทำท่าเหมือนนั่งฟังรายงานการประชุมดังเช่นไตรมาสก่อนๆเพียงแต่ต่างกันตรงที่ ครั้งนี้ใจของเขากลับไม่ค่อยจดจ่อเรื่องงานมากนัก เหตุการณ์เมื่อคืนคอยจะรบกวนเขาอยู่ร่ำไป พฤทธิกรไม่คิดว่าหน้าอ่อนๆแบบนั้นจะใจกล้าถึงขนาดนี้ แต่เขาพอจะรู้ ปภินวิชไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับใครมาก่อน เพราะจุมพิตของอีกฝ่ายดูเงอะงะจนเขาคิดว่าเด็กหนุ่มน่าจะอยากกัดปากเขาให้จมเขี้ยวมากกว่าปลุกเร้าอารมณ์

เขาพยายามบังคับใบหน้าของตัวเองไม่ให้ยกยิ้มและกำหนดสายตาให้จดจ่อกับการนำเสนอ แต่ในใจกลับกระหวัดคิดขึ้นมาอีกว่า หรือเขาจะลองเสี่ยงดูสักครั้งดี



ปกติการประชุมจะทำให้พฤทธิกรเหนื่อยล้าแม้ท่าทางภายนอกที่คนอื่นเห็นจะดูปกติก็ตาม แต่คราวนี้เขามัวแต่ใจลอยถึงจะรับรู้เนื้อหาการประชุมกระนั้นกลับปลอดโปร่งจนต้องแสร้งยกหลังฝ่ามือขึ้นมาบังรอยยิ้มที่มุมปาก กระแอมกระไอกลบเกลื่อนและพยายามปรับสีหน้าอีกครั้ง

“คุณฤทธิ์ไม่สบายหรือเปล่าคะ”สุธาณีซึ่งเดินตามหลังมาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

พวกเขาเพิ่งออกจากห้องประชุมซึ่งชนกับช่วงพักเที่ยงพอดี ตอนบ่ายเขาไม่มีประชุมอีกแล้วแต่มีรายงานอีกสองสามฉบับที่ต้องตรวจดู จากนั้นช่วงบ่ายสามเขามีนัดกับบริษัทธุรกิจบันเทิงของต่างชาติเรื่องร่วมลงทุนการสร้างค่ายหนังร่วมกัน

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

พวกเขากลับขึ้นไปชั้นบนและตรงไปยังห้องทานอาหารของผู้บริหาร ทว่าทันทีที่พฤทธิกรเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักเท้า ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ด้านในก็รีบยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ท่านประธานใหญ่จึงหันไปมองหลานชายเพื่อตั้งคำถาม กวีวัธน์ถึงได้ชะโงกหน้ามาดูและออกอาการชะงักเหมือนกัน

“อ้าว ทำไมยังอยู่อีกล่ะคะ เอ๊ะ! ปิ่นโต”เป็นเลขาสาวที่ส่งเสียงออกไปและคลายอาการตะลึงงันของสองหนุ่มน้าหลาน และปิ่นโตที่ถูกพูดถึงยังเป็นแบบเถาทรงกลมสามชั้นสีฟ้าอ่อน และก่อนที่เธอจะได้ซักไซ้อะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของสำนักงานกลับดังขึ้นขัดจังหวะ สุธาณีจึงต้องกล่าวขอออกไปรับโทรศัพท์

“ก็... คุณกลอนบอกให้ผมทำอาหารกลางวันให้นายท่านด้วย”ปภินวิชตอบด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเคอะเขินเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทาง

“แล้วขึ้นมาได้ยังไง”

“พอผมบอกเคาน์เตอร์ข้างล่าง เขาก็ให้ขึ้นมาครับ”

“นายไม่ใช่พนักงานของร้าน”สุธาณีกลับเข้ามาพร้อมบอดี้การ์ดของพฤทธิกรซึ่งปกติจะพักอยู่อีกห้อง

อาหารกลางวันของฝ่ายบริหารจะถูกสั่งมาจากร้านข้างนอก บางครั้งอาจจะเป็นร้านค้าของศูนย์อาหารในตึกซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการของสำนักงานเพื่อสุ่มตรวจสอบคุณภาพและรสชาติของอาหาร หากวันไหนที่สุธาณีสั่งอาหารจากร้านประจำ และเธอไม่ติดประชุม หญิงสาวจะขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดของฤทธิ์ให้ไปช่วยรับมาให้ ลิฟต์ของฝ่ายบริหารไม่อนุญาตให้คนนอกใช้ แม้กระทั่งพนักงานในบริษัทยังต้องมีบัตรอนุญาตซึ่งมีเฉพาะบางบุคคลเท่านั้น

และครั้งนี้ช่างบังเอิญเหมาะเจาะที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ข้างล่างส่งข้อความมาแจ้งเรื่องคนส่งอาหารตอนที่หญิงสาวอยู่ในห้องประชุม และเธอดันพลั้งเผลอชะล่าใจบอกอนุญาตปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ขึ้นมาด้านบน

“เดี๋ยวๆใจเย็นก่อน”พฤทธิกรร้องปรามก่อนจะมีเหตุการณ์ชุลมุน แต่บอดี้การ์ดของท่านประธานคุ้นหน้าปภินวิชแล้วจากท่าทีตื่นตัวจึงผ่อนคลายลงตั้งแต่เห็นหน้าเด็กหนุ่ม

“จะว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ... คนที่ผมอุปการะไว้น่ะ”ชายหนุ่มอธิบายต่อ มองหน้าเลขาสาวด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด และดูเหมือนว่าประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งเลขาหลายต่อหลายปีของหญิงสาวทำให้เธอพอจะรู้ว่า ‘อะไรควรพูด อะไรไม่ควรถาม’

“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้น คุณฤทธิ์จะให้สั่งทำการ์ดใช้งานลิฟต์ไหมคะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”พฤทธิกรตอบตกลง

“โอ้...เกิดอะไรกันขึ้นหรือ ยืนออกันเต็มไปหมด”คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงไปนักเมื่อพฤทธิกรพร้อมผู้ช่วยสองคน และบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนขวางอยู่บริเวณประตูทางเข้าห้องอาหาร ชายหนุ่มที่รู้ตัวว่ากำลังยืนขวางทางจึงขยับเท้าหลีกทางกันเป็นแถว ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวจึงฉวยจังหวะนี้สะกิดชายหนุ่มหนึ่งในบอดี้การ์ดให้ลงไปช่วยรับอาหารจากเคาน์เตอร์ชั้นล่าง เนื่องจากพนักงานร้านตัวจริงโดนสกัดไว้เพราะมีคนขึ้นมาส่งอาหารตัดหน้า

“ไม่มีอะไรหรอกครับอาธร พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”พฤทธิกรเอ่ยบอก เจ้าของคำถามมีชื่อจริงว่าชยธร มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของพฤทธิกรและมีตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท

“แล้วเด็กคนนั้นใครหรือ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียว”

คนโดนชมขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกดีกับคำชมแบบนี้หรอกนะ เด็กหนุ่มคิดในใจ

“อ้อ... รุ่นน้องเจ้ากลอนนะครับ พอดีกลอนไปช่วยเหลืออะไรไว้เขาจึงทำอาหารมาตอบแทน”

“ดูหน้าเด็กกว่ากลอนเยอะเลยนะ รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยหรือ”ชยธรพูดถามพลางเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ

“ครับ ประมาณนั้น แต่น้องเขาเป็นรุ่นน้องผมหลายปี แบบรุ่นน้องของรุ่นน้องน่ะครับ”หลานชายรีบกล่าวเสริมคำพูดของน้าชายทันที จนปภินวิชยังแปลกใจกับอาการเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยของน้าหลานคู่นี้ เด็กหนุ่มจึงคิดว่า สงสัยจะเตี๊ยมกันไว้

เมื่อสุธาณีกลับเข้ามาในห้องพร้อมกล่องอาหาร ผู้ร่วมวงสนทนาจึงแยกย้ายหาที่นั่ง ขณะที่หญิงสาวเดินนำอาหารไปจัดเตรียมใส่จาน

ในห้องมีโต๊ะกลมสองตัวถูกวางล้อมด้วยเก้าอี้โต๊ะละหกตัว ไม่มีครัวสำหรับทำอาหารแต่มีเครื่องครัวจำพวกกาต้มน้ำ เตาไมโครเวฟและตู้เย็น มีตู้ชั้นวางจานติดผนังและด้านล่างของตู้เป็นซิงค์ล้างจาน

พอเห็นว่าจำนวนคนเยอะกว่าที่คาดไว้ ปภิชวินถึงกับออกอาการเงอะงะเหลอหลา คนต้นเรื่องอย่างกวีวัธน์จึงได้รีบสาวเท้ามาช่วยเด็กหนุ่มเทอาหารใส่จาน และยิ่งเห็นหน้าตาอาหารจากร้านที่สุธาณีกำลังจัดเตรียมอยู่ด้วยแล้ว เขายิ่งใจเสีย

“คุณไม่เห็นต้องแกล้งผมแบบนี้”เด็กหนุ่มกระซิบพูดเสียงเบา นึกค่อนขอดที่อีกฝ่ายกลั่นแกล้งให้เขาต้องเสียหน้า นายท่านสั่งอาหารมาทานอยู่แล้ว ทำไมต้องให้เขาพยายามทำอะไรเปิ่นๆแบบนี้ด้วย

“แล้วคุณจะมาทำไมไม่ยอมบอกก่อน”

อ้าว!!! โทษเขาอีก ปภินวิชอยากจะตะโกนบอกออกไปแบบนั้นนัก แต่ติดที่เสียงพูดคุยของพวกคนใหญ่คนโตในห้องนี้มันไม่ได้ดังมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แค่เสียงกระซิบคุยเมื่อกี้ เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันดังก้องทั้งห้องแล้ว ถึงขนาดที่คุณเลขาหญิงหันมามอง

อาหารหน้าตาเหมือนกันทั้งสองชุดถูกยกไปวางบนโต๊ะทั้งสองตัว โต๊ะตัวหนึ่งเป็นที่นั่งของพฤทธิกร อาผู้ชาย กวีวัธน์ซึ่งได้มานั่งที่โต๊ะตัวนี้เพราะมีศักดิ์เป็นหลานชายของประธานบริษัท และประธานบอร์ดบริหารของบริษัทย่อย ส่วนอีกตัวเป็นของผู้ช่วยประธานบริษัทอย่างเอกภพ เลขาสาว บอดี้การ์ดทั้งสองคนและตอนนี้มีปภินวิชรวมอยู่ด้วย

เด็กหนุ่มหน้าตึงอย่างขุ่นเคืองแต่สุธาณีอมยิ้มกับหน้างอหงิกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยชวนคุย “น้องชื่ออะไรคะ”

“ชื่อปลาครับ”ได้ยินน้ำเสียงถามด้วยความเอ็นดูของหญิงสาว ปภินวิชจึงไม่กล้าตีสีหน้าฉุนเฉียวใส่อีกฝ่าย

“ลองทานกับข้าวอันนี้ดูนะคะ อร่อยมากเลย”สุธาณีพูดพลางตักอาหารให้ ก่อนจะต้องยิ้มเจื่อนเมื่อเด็กหนุ่มหน้างอขึ้นมาอีก

“พี่คิดว่าคุณกลอนคงไม่ได้คิดแกล้งน้องปลาหรอกค่ะ”เธอพูดปลอบ ทว่าคนฟังไม่ตอบทำเพียงแค่ตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“ไม่อย่างนั้นเธอจะยกกับข้าวของน้องปลาไปที่โต๊ะโน้นหรือ”

“ก็แค่ต้มข่าไก่กับไข่เจียวเหี่ยวๆ พวกเขาคงไม่กินหรอกครับพี่”เด็กหนุ่มมองกับข้าวสี่อย่างตรงหน้าแล้วนึกเปรียบเทียบกับฝีมือตัวเอง โต๊ะโน้นยิ่งแล้วใหญ่กับข้าวมีตั้งหกอย่าง และไข่เจียวที่ทอดมานานจนเหี่ยวๆน่าเกลียดแบบนั้นยิ่งเทียบไม่ได้เข้าไปใหญ่ ทำไมถึงคิดทำไข่เจียวใส่ปิ่นโตมาวะ เด็กหนุ่มนึกบ่นตัวเองอยู่ในใจ

“งั้น... เอาไว้รอดูตอนเก็บจานแล้วกัน ค่อยไปโมโหตอนนั้นก็ยังไม่สาย แล้วพี่จะช่วยเอาคืนคุณกลอนให้ ตอนนี้น้องปลากินข้าวให้เยอะๆก่อนดีกว่านะ”ไม่พูดเปล่า สุธาณียังตักอาหารใส่จานของเด็กหนุ่มอีกหลายอย่าง พอโดนคะยั้นคะยอเช่นนั้นเขาจึงตักอาหารอย่างไม่อิดออด และด้วยสภาพกระเพาะอาหารของผู้ชายถึงสี่คนไม่นานกับข้าวบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง

เด็กหนุ่มช่วยสุธาณีเก็บจานไปวางไว้บนซิงค์ เธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องล้างเดี๋ยวช่วงบ่ายจะมีแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดให้ และยกยิ้มยักคิ้วหลิ่วตาเมื่อกับข้าวของปภินวิชหมดเกลี้ยงเช่นด้วยกัน พานให้คนทำวางหน้าไม่สนิทเพราะกล่าวบ่นหาเรื่องไปเยอะ

“อาขอตัวก่อนนะ”ชยธรลุกออกจากโต๊ะเป็นคนแรก ซึ่งเสียงกล่าวประโยคนั้นเรียกความสนใจทั้งสุธาณีและปภินวิชให้หันไปมอง

พฤทธิกรจึงลุกขึ้นจากโต๊ะบ้าง ตามมาด้วยฝ่ายบริหารคนอื่นที่ขอตัวแยกย้ายกันไป ในห้องทานอาหารจึงเหลือเพียงท่านประธานใหญ่ เลขาสาว ผู้ช่วยหนุ่มพ่วงตำแหน่งหลานชาย และเด็กหนุ่มที่มาอยู่ในที่แห่งนี้แบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ส่วนเอกภพและบอดี้การ์ดอีกสองคนเดินหายออกจากห้องไปก่อนหน้าแล้ว

“ปลา”พฤทธิกรส่งเสียงเรียกชื่อให้เด็กหนุ่มละสายตาที่เอาแต่ก้มหน้าจ้องมองพื้นอย่างไม่รู้ตัวให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอบคุณสำหรับกับข้าว มันอร่อยมาก”

หัวใจที่ฝ่อแฟบเพราะกลัวคำตำหนิพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงผู้มากวัยกว่าทำให้เขารู้สึกร้อนวูบแปลกๆ จนอดที่จะต้องก้มหน้าลงอีกครั้งไม่ได้

“ม...ไม่เป็นไรครับ”เขาตอบกลับเสียงเบา

กวีวัธน์ส่งเสียงกระแอมขัดจังหวะบรรยากาศหวานๆในภวังค์มีแต่สองเราขึ้นมาด้วยอาการหมั่นไส้ พฤทธิกรถึงได้สติรู้ตัวว่าหลานชายเพิ่งอกหักมาหมาดๆ จึงปรับสีหน้าและเอ่ยบอกเด็กหนุ่มว่า ตนมีงานในช่วงเย็น

“เย็นนี้ฉันกลับดึก”เขาพูดและนิ่งค้างไป จะบอกว่าไม่ต้องทำกับข้าวรอก็กลัวจะกระทบใจหลานชายอีก และเพราะไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดีจึงหมุนตัวหันหลังเดินออกไปเสียดื้อๆ กวีวัธน์เห็นน้าชายเดินออกไปง่ายๆทั้งที่ทำเหมือนมีคำพูดที่อยากจะเอ่ย จึงได้เดินตามออกไป

แต่ปภินวิชกลับไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร เขาหันมองหญิงสาวที่ส่งเสียงพูดกับตน “น้องปลารีบไปไหนหรือเปล่าคะ ถ้าอย่างไรรอพี่เดี๋ยวได้ไหม พี่จะออกคีย์การ์ดสำหรับใช้ลิฟต์ให้”

“คงไม่ต้องหรอกครับ ผมคงไม่มาอีก”

“ไม่มาก็เก็บไว้กับตัวได้ค่ะ คุณฤทธิ์ท่านคงอยากให้น้องปลามีเก็บไว้ไม่อย่างนั้นคงไม่ตอบอนุญาตตอนที่พี่ถาม”กล่าวจบหญิงสาวก็จับจูงข้อมือหนุ่มน้อยให้เดินตาม เดินไปเปิดห้องรับรองให้นั่งพักพร้อมพูดบอกให้รอเดี๋ยวจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

เมื่อได้นั่งนิ่งให้ใจสงบ ปภินวิชถึงได้นึกขึ้นได้ ว่าที่ตนเองลงทุนทำกับข้าวหิ้วปิ่นโตมาเป็นข้ออ้างเพื่อขอเข้าพบนายท่านเพราะอะไร เขาตั้งใจจะมาถามเรื่องที่คุยกับคุณกวีวัธน์เมื่อเช้าเสียหน่อย กะจะถามให้รู้แน่ชัดไปเลยว่านายท่านชอบผู้ชายจริงๆหรือเปล่า แต่เพราะมาเจอคนเยอะแยะนี่แหละ เลยไม่มีโอกาสที่จะได้ถามเรื่องนี้ ถ้าเขาเดินออกไปบอกอยากขอคุยกับนายท่านตอนนี้ คุณพี่ผู้หญิงจะบอกทางให้เขาไปพบนายท่านหรือเปล่า

จะว่าไป ยังไม่รู้จักชื่อพี่คนนั้นเลย เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ

นั่งอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ปภินวิชจึงหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นสองพันบาทของตัวเองขึ้นมาเล่น กดเปิดหน้าจอแล้วต้องรออยู่อีกชั่วอึดใจใหญ่กว่าหน้าจอจะติด จากนั้นจึงกดเข้าแอปพลิเคชันโซเชียลชื่อดัง กลุ่มเพื่อนอัปเดตเรื่องการรับน้องและมหาวิทยาลัยใหม่จนเต็มหน้าฟีด เขามองภาพเหล่านั้นด้วยความสะท้อนใจและนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลิกติดตามโลกในสังคมออนไลน์ เขาควรจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้สนุกกับเพื่อนในมหาวิทยาลัย ถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ ถ้าไม่มีไอ้คนขับรถสารเลวคันนั้น

แกร๊ก!!!

เสียงเปิดประตูทำให้ปภินวิชดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมสูดลมหายใจเข้าเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนหันไปยกยิ้มให้กับคนที่เดินเข้ามา

“รอนานเลย พี่ขอโทษนะ”สุธาณีพูดพร้อมยื่นคีย์การ์ดลายกราฟิกสีฟ้าระบุการใช้งานบนหน้าบัตรส่งมาให้ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ก่อนรับมาถือ

“ขอบคุณครับ”

“ครั้งหน้าถ้ามาอีกก็ให้แจ้งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมยื่นบัตรใบนี้ให้พนักงานดู แล้วเอาบัตรไปนี้มาใช้ในลิฟต์ มาเดี๋ยวพี่สอน”หญิงสาวเดินนำออกไป

ตอนที่เขาขึ้นมา พนักงานหน้าเคาน์เตอร์เดินมาส่งเขาที่ลิฟต์พร้อมทั้งกดหมายเลขชั้นให้ด้วย ปภินวิชจึงแค่ยืนเฉยๆรอให้ลิฟต์เปิดอีกครั้งเท่านั้น พนักงานหญิงคนนั้นยังบอกอีกว่าถ้าจะลงมาให้ใช้โทรศัพท์ของสำนักงานกดศูนย์แล้วเดินมาที่รอหน้าลิฟต์

วิธีการใช้คีย์การ์ดใบนี้แทบไม่ได้แตกต่างจากคีย์การ์ดคอนโดของนายท่านที่เขาเคยได้รับมาก่อนหน้า เมื่อได้รับคำอธิบายเพียงรอบเดียวเขาจึงพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจทันที และไหนๆเขาก็มาอยู่ในลิฟต์แล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยบอกลาหญิงสาวเพื่อขอตัวกลับ

เธอโบกไม้โบกมือให้เขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด ตอนที่ลิฟต์เคลื่อนที่มาถึงชั้นล่าง เขาจึงนึกขึ้นได้ว่า

“อ้าว ลืมเลย” ปภินวิชลืมเป้าหมายที่ตนอุตส่าห์ถ่อมาที่นี่อีกครั้ง



พฤทธิกรออกจากบริษัทอีกครั้งตอนประมาณบ่ายสองครึ่ง โรงแรมที่นัดหมายไม่ไกลจากอาคารสำนักงานนักจึงไม่ต้องเผื่อเวลารถติดเป็นชั่วโมง ครั้งนี้พวกเขาโดยสารมาในรถยนต์ขนาดเจ็ดที่นั่ง มีบอดี้การ์ดสองคนนั่งอยู่ด้านหน้าเช่นเดิม ส่วนที่ตามเขาในครั้งนี้ด้วย มีประธานบอร์ดของบริษัทโรงภาพยนตร์และหลานชาย

กวีวัธน์เข้ามาฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยของเขาได้ร่วมหนึ่งปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทำงานในฝ่ายขายทั้งที่จบบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในตอนแรกพฤทธิกรตั้งใจจะดัดนิสัยชอบใช้เส้นสายของหลานชาย แต่ที่ไหนได้ ผลการทำงานกลับดีเกินคาดคงเพราะฝีปากแบบนั้นด้วยละนะ ชายหนุ่มคิดในใจ และถึงจะขายของก็ละเอียดเรื่องตัวเลขอย่างคนเรียนบัญชี เขาจึงย้ายหลานชายสุดแสบมาไว้ใกล้ๆตัว คนได้ย้ายตำแหน่งดีใจยกใหญ่ถึงกับลงทุนจัดปาร์ตี้เลี้ยงขอบคุณเลยทีเดียว

พฤทธิกรตั้งใจที่จะเกษียณอายุการทำงานเท่ากับบิดา ท่านประธานคนก่อนพอมีอายุครบหกสิบก็โยนงานส่งต่อมาให้เขาปั๊บ ตอนนี้เขาจึงเริ่มมองหาทายาทที่จะมาทำงานแทน เพราะจะสี่สิบแล้วยังไม่ได้แต่งงานเสียที เรื่องที่จะยกบริษัทให้ลูกของตนจึงต้องตัดทิ้งไป

เขาเป็นลูกคนเดียวเพราะบุพการีทั้งสองวางแผนว่าจะมีน้องเมื่อเขาเข้าอนุบาล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะบุญไม่ถึงที่จะมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน จึงมีเพียงญาติผู้น้องที่อายุห่างกันเก้าปีเสียแทนแต่ก็สนิทกันมากในระดับหนึ่งเพราะแต่ก่อนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน หลังจากที่บิดาเกษียณจึงได้ยกบ้านหลังนั้นให้อาธร แล้วย้ายไปอยู่หมู่บ้านชานเมืองกับมารดา

ส่วนกวีวัธน์เป็นลูกชายของญาติผู้พี่

ให้เทียบกันแล้ว บริษัทนี้ควรจะยกให้ชัญชกรที่เป็นญาติผู้น้องดูแลต่อไป บริษัทของตระกูลก็ควรให้คนนามสกุลเดียวกันครอบครอง แต่เจ้าตัวสำมะเลเทเมาอย่างน่าเอือมระอาจนหลายคนเปรียบเทียบว่าเขาคือผ้าสีขาว ส่วนญาติผู้น้องคือผ้าย้อมสีดำ ไม่รู้ว่าการได้ไปเรียนในสิ่งที่ชอบตามที่ชัญชกรขอไว้จะทำให้ฝ่ายนั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆหรือเปล่า

เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ พฤทธิกรจึงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“กลอน หานักสืบไปตรวจดูความเป็นอยู่ของผู้หญิงที่เคยคบกับชาหน่อยได้ไหม”

“น้าฤทธิ์อยากรู้อะไรหรือครับ น้าชาเขาโดนผู้หญิงตามขู่ฆ่าอีกแล้วเหรอ”กวีวัธน์ถามพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ถ้าโดนอย่างนั้นจริงคงต้องจัดการเองแล้วล่ะ”

ญาติผู้น้องของเขาคนนี้เป็นเสือผู้หญิงที่ควงสาวเจ็ดวันไม่เคยซ้ำหน้า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนไม่จบเพราะมัวแต่เที่ยวเล่นสังสรรค์ โดนอาธรยึดทั้งรถยนต์ทั้งบัตรเครดิตก็ยังไปอาศัยอยู่กับผู้หญิง จนไม่รู้ไปทำอีท่าไหนโดนผู้หญิงถือปืนมาดักยิงถึงหน้าบ้านแต่เป็นหน้าบ้านผู้หญิงอีกคนที่ชัญชกรไปนอนด้วยในคืนนั้น ที่พลิกล็อกกว่านั้นคือ ชัญชกรกลับโดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์และลักทรัพย์ ซ้ำร้ายโทรศัพท์หายเพราะเมาหนัก น้องชายของเขาจึงได้ประสบการณ์นอนในคุกหนึ่งคืนเพิ่มขึ้นมา

“จำได้ว่าชามันมั่วผู้หญิงตั้งเยอะ อาจจะมีใครที่ท้องขึ้นมาแต่ไม่ได้ส่งข่าวบอกหรือเปล่า”

“น้าจะรับลูกน้าชามาเลี้ยงเหรอ แล้วไม่ยกบริษัทให้ผมแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่เบาะถัดไปถึงกับส่งเสียงหัวเราะออกมา “วันนั้นคุณกลอนยังบอกว่าไม่อยากทำงานหนักอย่างน้าฤทธิ์อยู่เลย”

“ครับ ผมกะว่าจะปรับโครงสร้างใหม่และนั่งนับเงินอย่างเดียว แต่ติดอยู่ที่ว่าถ้านายแม่รู้เข้า ผมคงโดนแพ่นกระบาลแยก”

พฤทธิกรหัวเราะขึ้นมาบ้างเมื่อนึกถึงภาพญาติผู้พี่คนดังกล่าวผู้ซึ่งเป็นมารดาของคนพูดตามไปด้วย ก่อนจะพยายามวกกลับเข้าเรื่องขณะที่สายตามองเห็นว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าชาไปก่อเรื่องให้ผู้หญิงไว้ ฉันก็ไม่อยากให้ฝ่ายหญิงต้องลำบากเพราะความไม่รับผิดชอบจากคนของเรา”

“ป่านนี้เด็กไม่โตกันหมดแล้วหรือครับ”กวีวัธน์พูดเดา

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงค่อยมาคิดกันทีหลัง แต่คราวนี้ให้สืบอย่างเดียวอย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันสั่งปลดแกไปเป็นเด็กส่งเอกสารแน่”พฤทธิกรพูดขู่ไปอีกประโยค หลานชายจึงส่งเสียงตอบรับกลับมาอย่างจริงจังแข็งขัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//ใกล้แหละ ใกล้โดนจับได้แหละ//*

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด