เรื่องแซบๆ แต่แอบเศร้าของผู้ชายคนหนึ่งใน The Diary ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีผัว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องแซบๆ แต่แอบเศร้าของผู้ชายคนหนึ่งใน The Diary ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีผัว  (อ่าน 59719 ครั้ง)

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 1


The Diary ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีผัว

     อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน
     หากว่าเธอท้อแท้วันใด ถูกสิ่งใดทำใจร้อนรน หากต้องการมีใครสักคนที่พร้อมให้ความอุ่นใจ
ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...

     ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นมันจะผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่ได้ยินเพลงๆ นี้ น้ำตาแห่งความเหงาก็จะถูกกลั่นออกมาจากดวงตาคู่เศร้าคู่นี้ทุกทีสิน่า...คลอบ้าง ไหลบ้าง ก็แล้วแต่ว่าสภาวะอารมณ์ตอนนั้นมันเป็นยังไง แค่ซึ้งไปกับเพลงเฉยๆ หรือว่าภาพในอดีตมันได้กลับมากระแทกหัวใจเข้าดังโครมอีกครั้ง

10.45 น.
     ผมถอดหูฟังที่เสียบจากโทรศัพท์มือถือออก แล้วลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ แต่งตัว พร้อมเปิดช่อง 3 ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ รายการโปรดอีกรายการ ผมชอบดูข่าวนะ และไม่ว่าจะดึกแค่ไหนผมก็จะต้องรอดูข่าวรอบดึกหรือข่าวเช้าวันใหม่ก่อนนอนทุกครั้ง ก็แปลกเนอะ ตอนเด็กๆ เกลียดข่าวมากถึงมากที่สุด เพราะมันอาจดูเป็นสาระเกินกว่าคนไร้สาระอย่างผมจะรับได้ (ในตอนนั้นนะ) แต่ทุกวันนี้ผมว่าผมดูข่าวมากกว่าดูละครซะอีก
     วันนี้เป็นวันเสาร์ผมควรพักผ่อนนอนอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ไปเดินช้อปปิ้งตากแอร์ตามห้างฯ อย่างที่ใครๆ เค้าก็ต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นกัน แต่ทว่าผมกลับปฏิเสธทั้งสองช้อยส์นี้ แล้วมุ่งไปยังออฟฟิศแถวลาดพร้าวที่ที่ผมทำงานมากว่า 8 ปีแล้ว ผมใช้เวลานั่งอยู่หน้าคอมฯ ทั้งวันโดยไม่มีความรู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเลย จะว่าไปมันก็เหมือนเพื่อนอีกคนในชีวิตของผมที่ช่วยคลายเหงาได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าผมจะด่าจะว่ามันยังไง (เมื่อมันแฮงค์หรือเข้าไม่ได้ให้เซ็งจิตอยู่บ่อยๆ) มันก็ไม่มีปากเสียงหรือเถียงกลับเลยสักครั้ง (บ้าปะยะ คอมฯ นะไม่ใช่คน) ที่สำคัญมันยังช่วยเบิกเนตรนำผมไปสู่หนทางแห่งความฉลาดเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีอะไรหรอกที่มันไม่รู้ อู๊ย! มันรู้ลึกรู้ดียิ่งกว่าทีวีพูลซะอีกน่ะ (ฮา)
     เพลง...ขาดไม่ได้เลยสักครั้ง เมื่อเปิดคอมฯ ผมก็ต้องเปิดเพลง และเพลงในเครื่องของผมแต่ละเพลงนั้นน่ะ คนอายุ 30 อัพจะต้องชอบ (ผมเชื่ออย่างนั้นนะ) แหม ก็เพลงยุคนั้นน่ะ เบิร์ด มาลีวัลย์ นันทิดา เจ แหวน ใหม่ มาช่า ติ๊นา อัสนี-วสันต์ นูโว ฯลฯ (โอ้โห! เพลงหรือพงศาวดารกันยะ เพื่อนๆ น้องๆ มักจะเม้าธ์ผมทุกที...แต่มันก็ฟังกันนะ เชอะ!) ขอบอกว่าดังสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่จริงๆ แล้วเพลงของพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ อาๆ เหล่านี้ก็ดังลากยาวมาจน ณ บัดนาวเลยทีเดียว อ๊ะ! หรือว่าจะเถียง (คงเถียงไม่ออกหรอก เพราะปากกำลังฮัมเพลง สบาย สบาย ถูกใจก็คบกันปายยยย อยู่ล่ะสิ...ใช่ม้า?)
     ผมนั่งเช็กเมล์ ดูเว็บ เล่นเอ็ม สลับกับการกินพอคเวียนเนอร์ไส้กรอกสุดโปรดจาก 7-11ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมต้องตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เมื่อเพลงที่ผมเซ็ตเอาไว้รันมาถึงเพลงนี้...
อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน...
     พลันภาพในอดีตเมื่อ 17 ปีที่แล้วก็แว้บเข้ามาให้สมองทั้งสามส่วนอย่างรวดเร็ว

                            ………………………………………………………………….

     “ตั้ม...ตั้มจะไปแล้วจริงๆ เหรอ” ผมเอ่ยเสียงอ่อยๆ พร้อมกับน้ำตารื้นๆ
      “ครับ” ตั้ม แฟนรุ่นน้องที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในชีวิตของผมตอบกลับมาแค่นี้
      “แล้วเราจะได้เจอกันอีกมั้ย”
     “ไม่รู้เหมือนกันครับ”
     ตั้มหันมามองหน้าผม ซึ่งผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่า ณ ตอนนี้ตั้มรู้สึกกับผมยังไง เหมือนเดิมอย่างที่เราเคยเป็น หรือว่ามันกำลังจะจบพร้อมๆ กับที่เค้ากำลังจะจาก
     “ตั้ม...พี่ขอหอมแก้มตั้มเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย”
     ผมเริ่มเสียงสั่น เอ่ยขอร้อง ทั้งๆ ที่ผมกับตั้มเราก็เป็นแฟนกันนะ แล้วผมจะขอร้องเค้าทำไมล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่เข้าใจในตัวตั้มเหมือนกัน
     “เอ่อ...อย่าดีกว่าพี่ อายเค้าน่ะ”
     มันก็สมควรอายอยู่หรอก เพราะเราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในที่รโหฐานแต่อย่างใด เรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกโรงเรียน ซึ่งตั้มกำลังรอพ่อกับแม่มารับกลับให้ไปเรียนต่อที่เชียงใหม่...แล้วเค้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก!
     “ขออีกครั้งเดียว ครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอ” ผมยังคงดื้อดึงแกมอ้อนวอน เพราะผมรักเค้า มันทรมานมากๆ เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ คนที่ผมรักเค้ากำลังจะไปแล้ว
     “…………”
     ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากปากของตั้ม ผมเริ่มถอนหายใจแบบห่อเหี่ยวออกมาเบาๆ แล้วรู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าของผมมันร้อนและชาไปพร้อมๆ กัน อืม...ไม่ก็ไม่ ผมบอกกับตัวเองในใจ แล้วถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า...มันจะจบแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย ต่ออีกหน่อยได้มั้ย ที ‘คู่กรรม’ กว่าโกโบริจะตายได้ โห...โฆษณาเป็นสามสี่เบรกยังนอนครวญครางอยู่ในอ้อมกอดแม่อังจนเหน็บกินขาเล่นเอาชาแทบลุกไม่ขึ้น เผลอๆ นานอีกนิดแม่อังอาจจะกลายเป็นแม่อัม (พาต) ก็ได้...ยืดแบบนี้บ้างไม่ได้เหรอ...ผมพยายามเล่นมุกกับตัวเองเพื่อกลบความเคว้งในสมองตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลย...
     ทุกอย่างเงียบ...เงียบจริงๆ
     และ...ในที่สุด ช่วงเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึง...มันก็มาแล้ว
     “พี่เนล...พ่อกับแม่ตั้มมารับแล้วนะ” ผมหลุดจากอาการเหม่อลอยทันทีที่ได้ยินเสียงตั้ม
     “ตั้มไปนะ”
     “โชคดีนะ” นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้อวยพรให้กับตั้ม ขอให้ตั้มโชคดี ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ มันเหมือนมีอะไรจุกอยู่ตรงคอ หัวใจผมเต้นแรง หายใจไม่ทั่วท้อง น้ำตาเริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง
     ตั้มคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งไปที่รถของพ่อและแม่ที่จอดรออยู่ ประตูรถเปิดออก ผมมองไม่ละสายตา มองทุกภาพ มองทุกวินาทีที่ตั้มไปที่รถ กำลังจะก้าวขาขึ้นรถ แล้วเข้าไปนั่งที่รถ ปิดประตูรถ แล้วรถคันนั้น คันที่พรากเราสองคนก็เคลื่อนตัวออกไป ผมยังคงมองอย่างไม่ละสายตา มองตามไปจนกระทั่งรถออกจากประตูโรงเรียนไปจนลับตา ขาผมเริ่มไม่มีแรง ยืนแทบไม่ไหว แต่จะให้ผมนั่งจมอยู่คนเดียวอย่างนี้ และตรงนี้ ผมคงบ้าตายแน่ๆ ผมตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์ไปหา ‘ตู่’  เพื่อนสนิทต่างโรงเรียนอีกคน บ้านตู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ไม่เกิน 5 นาทีผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึง
     “ตู่...ตั้มมันไปแล้วอะ”
     เสียงสะอึกสะอื้นพร้อมน้ำตาที่ตอนนี้ไหลประดุจดังท่อน้ำแตก ตู่ไม่พูดอะไรมาก เพราะรับรู้เรื่องราวของผมกับตั้มมาโดยตลอด คำปลอบโยนของตู่ยิ่งทำให้ผมร้องหนักเป็นทวีเท่า จนมันรำคาญหรือว่ามันอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นก็ไม่รู้ มันเลยบอกว่าจะออกไปหาซื้ออะไรมาให้กิน คิดดูสิ สภาพผมตอนนี้มันคงกินอะไรได้หรอก แต่ก็เอาเหอะ เพื่อนหวังดี ผมก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หลังจากตู่ออกไปแล้ว ผมเริ่มทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกทันที พี่ตู่ นันทิดาคือตัวช่วยในวินาทีนั้น กับเพลงดังของอัลบั้มชุดนี้
     ...อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน...
     ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...
     รอบแรกผ่านไป
      อยากดูแลเมื่อยามเธอหมองเศร้า อยากเป็นเงาเมื่อเธอเหงาใจ อยากเดินเคียงเมื่อเธอต้องการผู้ใด ข้างกายสักคน...
     รอบที่สองผ่านไป
      ขอเป็นคนหนึ่ง ซึ่งคอยห่วงใยแต่เธอเรื่อยไป แม้จะเป็นคนสุดท้าย ที่เธอจะมอง...แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะมอง...
     รอบที่ 3, 4, 5, 6.....และรอบที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับอีก
     ผมนึกขำกับตัวเองเหมือนกัน ร้องไห้ไป พอจบก็ต้องกดกรอเทปใหม่ (อ้อ...สมัยยุคหินเก่ายังไม่มีเครื่องเล่นซีดีอะนะ) มันจะเศร้าหรือจะตลกดีเนี่ย?

                            ………………………………………………………………….

     เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ทำให้ผมคิดถึงตั้มขึ้นมาทันที เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนี่ แล้วตอนนี้ตั้มจะเป็นยังไงบ้าง มีแฟนหรือยัง ทำงานอะไร และอยู่ที่ไหน หลายคำถามที่ผมถามตัวเอง แต่ก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้...Google ผมนึกถึง Google ขึ้นมาทันที เว็บที่เวิลด์ไวด์สุดๆ ผมไม่รอช้ารีบพิมพ์ชื่อ-นามสกุลของตั้ม แล้วกดเซิร์ชรออย่างใจจอใจจ่อ ไวกว่าความคิด ชื่อของตั้มก็ขึ้นที่หน้าจอ ผมดีใจมาก หัวใจบีบตัวแรงเพราะความตื่นเต้น ผมจะสามารถติดต่อตั้มได้อีกครั้งแล้วใช่มั้ย
     ข้อมูลของตั้มถูกจัดเก็บอยู่ในรูปของใบสมัครงานออนไลน์ ถึงจะไม่ละเอียดมากนัก แต่มันก็มีทั้งที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ (ที่บ้าน) อี-เมล์ จะให้เขียนจดหมายไปหาเหรอ แล้วผมจะเขียนอะไรล่ะ จะขึ้นหัวเริ่มต้นว่ายังไง ไม่...ไม่ดีกว่า หรือว่าโทรไปคุยเลยดี ไม่อะ ผมไม่กล้าที่จะโทรหาเค้าแน่นอน ผมกลัว ผมไม่รู้ว่าความที่เราห่างกันกว่า 17 ปี เค้ายังจะเก็บผมไว้ในซอกหลืบรอยหยักแห่งความทรงจำบ้างหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าเค้าไม่มีทางลืมผมแน่นอน!
และช้อยส์สุดท้ายที่เหลืออยู่ที่จะสามารถติดต่อกับตั้มได้ ผมเลือกแอดเมล์ตั้มไว้ในเอ็มของผม เผื่อถ้าตั้มออนเมื่อไหร่ เรา (คง) จะได้คุยกัน ผมคิดอย่างนั้น

                                ....................................................................

     เช้าวันจันทร์...ผมรีบมาทำงานเร็วกว่าปกติ จนน้องๆ ที่ออฟฟิศอดแซวไม่ได้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เพราะปกติกว่าจะเห็นผมเข้ามาทำงานก็สายๆ โน่นแน่ะ ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วตอ (แหล) กลับไปว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เลยตื่นเช้าอะ แต่ไม่ใช่หรอก ผมอยากจะเจอตั้มต่างหาก หวังในใจลึกๆ ว่า ตั้มคงจะออนเอ็มแน่ๆ เซ้นส์มันบอกน่ะ แต่...แต่ผมก็ต้องผิดหวัง เพราะมันยังออฟไลน์อยู่ เอ๊ะ! หรือว่าเมล์นี้ตั้มจะไม่ใช้แล้ว เฮ้อ...รู้งี้ตื่นสายเหมือนเดิมก็ดีอะ อุตส่าห์แหกขี้ตามา แต่ก็ช่างเหอะ จะไปอะไรมาก ผมปลอบใจตัวเองอยู่ลึกๆ คิดได้อย่างนั้นก็นั่งทำงาน เขียนสคริปต์ ตรวจสคริปต์น้องๆ คุมลงเสียง เช็กงานในห้องตัดต่อ ง่วนกับงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง....
     ตั้มออนแล้ว...ตั้มออนแล้วจริงๆ ด้วย แต่...ผมตื่นเต้นได้ยังไม่เท่าไหร่ ก็ต้องรู้สึกเฟลนิดๆ เมื่อเห็นหัวเอ็มของตั้มเขียนว่า TUM LOVE NOI และรูปที่ดิสฯ ก็เป็นรูปตั้ม (แหมไว้ผมยาวซะด้วย เซอร์เชียว) ผู้หญิงคนหนึ่ง (คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ตั้มบอกว่า LOVE นั่นล่ะ) และเด็กอีกสองคน หรือว่า...อืม...น่าจะใช่ ผมคิดว่าน่าจะใช่...
     เอาน่า...ลองคลิกเข้าไปคุยหน่อยละกัน...ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่คิดเสียว่าคนเคยรู้จักกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน คุยกันไม่เสียหายอะไรหรอก อันนี้ผมคิดแค่คนเดียวนะ ผมไม่รู้ว่าตั้มจะคิดแบบผมหรือเปล่า

     NEL says :  สวัสดีตั้ม

      ………………….
     ………………….
     ………………….
     ………………….
     และ .....................

     ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนที่ท่าน (อยากจะ) คุยด้วย เอ...หรือว่าตั้มไม่อยู่แต่ออนทิ้งไว้ หรือว่าตั้มไม่คุ้นกับเมล์ที่แอดเข้ามาหาเลยไม่คุยด้วย หรือว่าตั้มทำงานยุ่งอยู่เลยไม่สนใจตอบกลับ หรือว่า...หรือว่า...และอีกหลายหรือว่าเหตุผลที่ผมอยากรู้เหลือเกิน
     TUM says : หวัดดี ใครอะ
     เย้!!! ตั้มตอบกลับแล้ว ผมตื่นเต้นบอกไม่ถูกจริงๆ หัวใจของผมตอนนี้มันเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ผมจะตอบกลับว่าไงดีเนี่ย อืม...
     NEL says : “เอ่อ...พี่เนลไง จำพี่เนลได้ปะ”
     TUM says : “เนลไหนอะ”
      NEL says : “ก็พี่เนลที่เคยอยู่หอเดียวกับตั้มตอนเรียนที่ลำปางไง หอของมาสเตอร์บุญทวีไงล่ะ”
     TUM says : “จำไม่ได้อะ”
     ไม่จริง! ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าตั้มจะจำไม่ได้ นอกเสียจากตั้มจะรถพลิกคว่ำหรือหัวคะมำฟาดพื้น จนสติไม่สมประดี ตั้มกำลังจะปฏิเสธว่าเราเคยรู้จักกันใช่มั้ย?
     NEL says : “พี่ยังจำไอ้ดิวน้องตั้มได้เลย และก็พวกไอ้ก้อ ไอ้หนุ่ม ไอ้ต่อง เพื่อนๆ ของตั้มที่หอไง”
     …………………….
     …………………….
     ……………………..
     ตั้มเงียบไปนาน ผมรู้ว่าตั้มจำทุกอย่างได้ดี และผมก็รู้ว่าตั้มคงไม่อยากคุยกับผมเท่าไหร่หรอก
TUM says : “อ๋อ จำได้ละ”
     เชอะ! อย่ามาทำฟอร์มเลยคนเรา
      NEL says : “เป็นไง สบายดีมั้ย มีแฟนหรือยังอะ”
     TUM says : “ลูกสองแล้ว”
     ใช่จริงๆ ด้วย เด็กสองคนที่ดิสฯ นั้น ใช่ลูกของตั้มอย่างที่ผมคิดจริงๆ และนั่นก็คงเป็นเมียของตั้ม ผมนึกถามตัวเองอีกครั้งว่าผมต้องการคุยกับตั้มเพื่ออะไรอีก ถ้าเพื่อต้องการให้ความรู้สึกดีๆ เมื่อ 17 ปีกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง บอกได้เลยว่าความเป็นไปได้เท่ากับ ศูนย์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และก็ศูนย์
     NEL says : “ตั้มรู้ปะ พี่เคยเขียนเรื่องตั้มลงในนิตยสารด้วยนะ”  
     คือก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องของผมกับตั้มลงในคอลัมน์นิตยสารผู้หญิงที่เผ็ดแซบฉบับหนึ่ง เป็นเรื่องสั้นๆ ที่พูดถึงความรักในช่วงหนึ่งของชีวิต
     TUM says : “จริงดิ เขียนไรอะ เอ็กซ์ปะ”
     NEL says : “เต็มเหนี่ยว อิๆๆๆ”
     ผมดีใจนะที่ตั้มยังตอบกลับผมมาด้วยภาษาที่ขี้เล่นเหมือนแต่ก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ตัวหนังสือก็ตามที แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจเกิดขึ้นได้
     ..................................
    ..................................
    ...................................
    ...................................
     ตั้มเงียบอีกแล้ว ครั้งนี้ตั้มเงียบไปนานมากๆ และ...ในที่สุดตั้มก็ออฟไลน์ เฮ้อ…ผมพร่ำบอกกับตัวเองว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ ทุกอย่างมันต้องเดินไปตามวิถีของมัน ต้องอยู่กับความจริง และปัจจุบันนี่แหละคือความเป็นจริงที่สุด!!!

                          .....................................................................

    
Share This Topic To FaceBook

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 2

 
17 ปีที่แล้ว

     ผมเรียนอยู่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดลำปาง เป็นโรงเรียนคริสต์ที่มีชื่อเสียง (ซึ่งบางคนมันทะลึ่งแปลชื่อย่อโรงเรียนผมซะเสียเลยว่า ไอ้ เสือ ชุ่ย ฮึ่ม! มันน่านัก) ผมเรียนที่นี่มาตั้งแต่ ป.1 จนตอนนี้ผมอยู่ ม.5 แล้ว หลังจากที่ปิดเทอมไปอยู่ที่บ้านนานพอควร ก็ถึงเวลาที่นักเรียนสุดซ่าขาสั้นต้องกลับมาอยู่หอรอรักอีกครั้ง บ้านผมอยู่ต่างอำเภอน่ะ ส่วนโรงเรียนอยู่ในตัวเมือง เพื่อความสะดวกพ่อกับแม่ก็เลยให้ผมมาอยู่ที่หอใกล้ๆ โรงเรียน ซึ่งหอที่ผมอยู่นี้เป็นหอของมาสเตอร์บุญทวี (มาสเตอร์ก็คือครูนั่นแหละครับ โรงเรียนคริสต์เค้าจะเรียกอย่างนี้กัน) ซึ่งท่านก็สอนอยู่ที่โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ด้วย ท่านสอนวิชาคณิตศาสตร์น่ะครับ บ้านของท่านเปิดเป็นหอพัก แล้วมีร้านขายของอยู่หน้าบ้าน เด็กที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับผมซะส่วนใหญ่ จะมีต่างโรงเรียนบ้างก็คนสองคน
     ผมมาถึงก่อนวันเปิดเรียนวันนึง หอยังเงียบอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีใครกลับมา ผมหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังเดินเข้าหอ สวัสดีทักทายมาสเตอร์และภรรยาของท่านซึ่งเป็นครูเหมือนกัน แต่สอนคนละโรงเรียน ก็คุยกันนิดๆ หน่อยๆ ผมก็ขอตัวท่านไปเก็บของเพราะมันหนักและก็เยอะเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงตู้เสื้อผ้าของผมนั้น ผมได้เดินผ่านเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนม้านั่งยาวคนเดียว นึกในใจ...ใครวะ? หน้าตาน้องเค้าก็น่ารักใช้ได้ทีเดียวเชียวแหละ แต่ผมก็ได้แค่เหลือบมองนิดๆ เท่านั้น ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ ขอไปจัดการกับของในมือก่อน โอ๊ยยยย! หนัก...
     ตกเย็นบรรดาเด็กหอทั้งหลายก็ทยอยกลับมาจนครบทุกคน โหวกเหวก เจี๊ยวจ๊าว มึงมาพาโวยกันสนุกตามสไตล์เด็กโจ๋ที่ไม่ได้เจอกันนาน ผมก็ด้วยแหละ นั่งเม้าธ์เรื่องตลกๆ กับ ‘โอ’ และ ‘ใหญ่’ สองน้องเตยหัวใจแหววที่สนิทกับผมอย่างออกรสออกชาติเหมือนกัน
     “เออ พี่เนล เห็นเด็กใหม่หรือยังอะ น่ารักเนอะ” นังใหญ่ แต๋วแหววรุ่นน้อง ม.2 ต่างโรงเรียน เริ่มเอ่ยถึงเด็กผู้ชายคนที่ผมเจอตอนกลางวัน
     “อ๋อๆ อืม...ชื่ออะไรน่ะ อยู่ชั้นไหน” ผมเริ่มสนใจขึ้นมาทันที
     “ชื่อตั้ม มาจากเชียงใหม่ ย้ายโรงเรียนจากที่นู่นมาเข้า ม.1 ที่นี่ มากับน้องอีกคนชื่อดิว”
     โห เชื่อเลย ขนาดผมกลับมาถึงก่อนมัน เห็นน้องคนนี้ก่อนมัน ผมยังไม่รู้ลึกรู้ดีเท่ามันเลย
     “คนชื่อดิวดูเหมือนจะเป็นนะ น้องว่า ” โอ เตยหวานหน้าตาน่ารัก รุ่นน้อง ม.2 โรงเรียนเดียวกับผมที่มักจะแทนตัวเองว่าน้อง เริ่มออกความเห็นถึงน้องของตั้ม
     “เหรอ...เออ เข้าไปเม้าธ์ในห้องดีกว่า จะได้แต่งหน้าเล่นกันด้วย”
     แต่งหน้า เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมมักจะแต่งเล่นให้โอกับใหญ่เป็นประจำ สวยบ้าง เละบ้าง แล้วแต่อารมณ์ แต่เด็กมันก็สมยอม เพราะกะเทยน้อยหอยเสียบพวกนี้อยากสวยกันอยู่แล้ว ขอให้ได้มีสีสันบนใบหน้าเหอะ แต่งเสร็จก็ตามสเต็ป เดินประกวดเล่นกันสองคนในห้องนอน อ้อ! ห้องนอนของผมเป็นห้องนอนรวม ที่นี่จะมีอยู่ 3 ห้องใหญ่ ห้องนึงก็จะมีประมาณ 6-7 คน ซึ่งตั้มก็นอนอยู่ในห้องเดียวกับผมด้วย!

                                    ……………………………………………………………..

     ชีวิตในช่วงนักเรียน ม.ปลายของผมก็ยังคงสนุกสนานกับกิจกรรมมากมายเช่นเคย อาจจะมีลดน้อยลงไปบ้าง เพราะอยู่ในช่วงที่ต้องเตรียมตัวในการสอบเอ็นทรานซ์ แต่ไม่ว่าเวลาที่โรงเรียนมีงานเล็กใหญ่ยังไง ก็ต้องมีผมและเพื่อนๆ สนิทในกลุ่มจัดการแสดงร่วมตลอด ซึ่งตอนอยู่ ม.ต้นกลุ่มผมจะมีกันหลายคน แต่พอขึ้นม.ปลายก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปเรียนต่อที่อื่น ที่หลงเหลืออยู่เป็นปูชนียสถานประจำโรงเรียนก็มีผม เออุ่ม และเอจักรี ทีมสตรีทีสเกิร์ตที่ยังคงกอดคอกันแหววสร้างความครื้นเครงและป่วนชาวบ้านได้ไม่หยุด
     หลังเลิกเรียนอีกหนึ่งกิจกรรมที่พวกเราไม่เคยพลาดเลย (เพราะถ้าพลาดอาจจะถูกมาสเตอร์ชาติ โค้ชหน้าเข้มด่าเอาได้) นั่นก็คือต้องซ้อมวอลเลย์บอล เพราะพวกเราเป็นนักกีฬาของโรงเรียน และเคยสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนด้วยการคว้าเหรียญทองมาแล้ว เออ...พูดถึงวอลเลย์บอลทีไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมใครๆ ก็ต้องบอกว่าวอลเลย์บอลเป็นกีฬาของกะเทย ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็เล่น ผู้ชายก็เล่น (ถึงแม้เปอร์เซ็นต์น้อยก็ตาม) อืม...ผมคิดเอาเองนะ หรือจะเป็นเพราะมันมีต้นกำเนิดมาจากซีรี่ส์ญี่ปุ่นเรื่อง ‘ยอดหญิงสิงห์วอลเลย์บอล’ หรือ ‘ยอดหญิงชิงโอลิมปิก’ อะไรนี่แหละ ที่มีตัวเอกชื่อ จุง โคชิกะ (จำได้บ่? ถ้าจำบ่ได้ผมว่าคงต้องนั่งทางในหรือไม่ก็ต้องระลึกชาติเอากันแล้วล่ะ) ซึ่งแต่ละนางก็จะมีท่าไม้ตายทั้งลูกตบจานบิน ลูกเสิร์ฟม้วนถล่ม ลูกเตะฟรีคิก เอ๊ย! อันหลังนี้ไม่ใช่นะ แหะๆๆ  เหล่านี้กระมังน้องนุชตุ๊ดแต๋วเลยอยากตั้งแถวหน้ากระดานให้โค้ชขานชื่อ ฮิตาชิ มาค่ะ...ซันโย มาค่ะ...มิตซูบิชิ มาค่ะ แล้วรวมตัวกันโชเด๊ะ! วาดลวดลายอรชรทั้งตีทั้งตบลูกยางกันอย่างเมามัน ซึ่งครั้นจะให้ไปเตะฟุตบอลก็คงกลัวสีข้างจะหัก เพราะพวกผู้ชายอาจแกล้งเตะพลาดแล้วมาฟาดใส่เอา หรือจะให้ไปเล่นบาสฯ อะโห ชอบอะชอบอยูร้อก ปะทะเนื้อๆ เน้นๆ  แต่ถ้าถูกทั้งศอก ทั้งไหล่ ทั้งตัวกระแทกเอา ผมว่าอีกไม่ช้าคงได้นั่งวีลแชร์ไปแข่งพาราลิมปิกเกมส์เป็นแน่...สรุป! วอลเลย์บอลน่ะเจ๋งสุดแล้ว มันคงเป็นกีฬาที่ปลดปล่อยสุดๆ สำหรับคนพันธุ์ G (ay) น่ะ ก็แหม...เสิร์ฟได้ก็กรี๊ด ตบได้ก็กรี๊ด รับได้ก็กรี๊ด แถมถูกตบใส่หน้าก็ยังกรี๊ดอีก (อ๊ากกก เจ็บนะยะ ดั้งกู!!!) 555+ เอวังก็ด้วยประการฉะนี้แหละน้อ

                                          .......................................................

     เกือบสองอาทิตย์ได้แล้วมั้ง ผมยังไม่เคยได้คุยกับตั้มจริงๆ จังๆ สักทีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีเรื่องอะไรจะคุย อืม...คงใช่ คงไม่มีเรื่องอะไรจะคุยจริงๆ นั่นแหละ
     “พี่เนลกินหนมปะ” ผมหันไปตามเสียงนั้น ขณะที่กำลังอ่านเขียนไดอารี่อยู่บนเตียง
     “ไม่อะ แต๊งค์กิ้ว แปรงฟันแล้ว” ผมยิ้มปฏิเสธให้ตั้ม
     “วันก่อนพี่เต้นเก่งเนอะ เพื่อนผมเฮแซวกันใหญ่เลย”
ตั้มคงหมายถึงงานวันสัปดาห์ห้องสมุดที่ผมได้แสดงโชว์เพลงแมงมุมของแสงระวีน่ะ โห ขอบอกว่าแมงมุมทั้งสามตัว (ผม เออุ่ม และเอจักรี) เต้นชนิดที่ว่าถ้าเกาะฝาบ้านอยู่ล่ะก็มีหวังพังทั้งแถบแน่ๆ เพราะแต่ละคนส่ายกันซะจนลืมไปว่ายังมีกระดูกกันอยู่ (ฮา)
     “แล้วตั้มชอบปะล่ะ”
     “ชอบดิ มันส์ดีพี่ งานหน้าเอางี้อีกนะ แมงมุม แมงมุม ขยุ้มหัวนม ฮ่าๆๆ”
ผมยิ้มรับคำชมแล้วก้มหน้าเขียนไดอารี่ต่อด้วยความอายนิดๆ แต่ตั้มก็ยังคงไม่ไปไหน นั่งอยู่เตียงข้างๆ เหมือนจะพยายามชวนผมคุยต่อ 
     “เออ พี่เนล อาทิตย์นี้พี่กลับบ้านปะ”
     “ไม่อะ มีเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ตั้มกลับเหรอ”
     “ไม่กลับอะพี่”
     ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ บรรดาตัวซ่าทั้งไอ้ก้อ ไอ้หนุ่ม ไอ้ต่อง ไอ้ดิว นังโอ และนังใหญ่ ก็พาเหรดเข้ามาในห้องกัน มันไม่ได้เพิ่งเสร็จกิจจากการรุมลงแขกนังน้องสองสาวนั่นหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด คงโดนมาสเตอร์บุญทวีไล่ให้มานอนกันนั่นล่ะ เพราะก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว คือที่หอจะดูทีวีเกินกว่านี้ไม่ได้น่ะ เพราะถ้าตื่นสายไปโรงเรียนไม่ทันล่ะก็จะต้องเจอแจ๊กพ็อตชุดใหญ่เลยล่ะ

                                        ............................................................

     ทุกวันศุกร์เด็กที่หอส่วนใหญ่ก็จะลากลับบ้านกันเป็นปกติ ศุกร์นี้ก็เช่นกัน จะมีเหลืออยู่ก็ไม่กี่คน จะว่าเงียบก็เงียบดีอยู่หรอก แต่จะว่าเหงามันก็เหงาเอาการอยู่นะ เพราะทั้งนังโอกะนังใหญ่ไม่อยู่ไม่รู้จะเม้าธ์เรื่องตลกๆ ให้ใครฟัง...เซ็ง
คืนนี้หนีเที่ยวดีกว่า! จู่ๆ ไอเดียสุดเจ๋งก็เด้งเข้ามาในสมองของผมอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว ไปเต้นระบำฉ่ำโบ๊ะดีกว่า เธคสุดฮิต The Bees คือช้อยเดียวที่ผมคิด เพราะเป็นที่ประจำ พวกวัยรุ่นวัยโจ๋ส่วนใหญ่ก็มาที่นี่กันทั้งนั้น และไปแต่ละที โอ้โห นึกว่าจะไปเดินแฟชั่นวีค ก็กลุ่มผมน่ะดิ แต่งตัวกันซะชนิดที่ว่าจอห์น กัลเลียโนยังต้องยอมแพ้เลยขอบอก อ๊ะ! แต่ผมไม่ได้แต่งตัวจากหอไปนะ และก็ไม่ใช่ว่าจะขออนุญาตเที่ยวกลางคืนได้ด้วย อย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่เป็นหอพักอิสระ แต่เป็นหอที่มีครูเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นปฏิบัติการล่าฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมต้องแอบปีนประตูหลังหอหนีเที่ยวซึ่งเป็นสังกะสีแถมสูงกว่า 2 เมตรอีก (เอากะมันดิ) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและก็คิดว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย ประมาณว่า The Bees อยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่นั่นว่างั้นเหอะ!
     ตีสามผมปีนกลับด้วยความระมัดระวัง (ลองไม่ระวังสิ สังกะสีจะได้บาดตาย) และไม่ลืมที่จะหยิบยืมวิชาตัวเบามาจากนินจาฮาโตริ ค่อยๆ ย่อง ค่อยๆ ย่อง จนไปถึงห้องนอนที่ตอนนี้ปิดไฟมืด แต่ยังพอเห็นแสงสลัวๆ อยู่บ้าง ผมนั่งลงที่เตียงพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก...เฮ้อ คืนนี้ก็รอดอีกตามเคย
     “พี่เนลไปไหนมาอะ” เฮ้ย! ผมสะดุ้งกับเสียงนั้น ใจนึกว่าโดนผีหลอกซะแล้ว
     “อ้าว ตั้ม...ยังไม่หลับอีกเหรอ โห เล่นเอาตกใจเลย พอดีไปข้างนอกมา หลับเหอะ ”
ที่แท้ก็ตั้มน่ะเอง คงได้ยินเสียงผมตอนเปิดประตูมั้งเลยตื่น แต่ผมว่าผมก็เบามือสุดๆ แล้วนะ ไม่ใช่เพราะกลัวคนในห้องตื่นหรอก แต่กลัวมาสเตอร์บุญทวีตื่นต่างหากล่ะ
     “ไปเที่ยวมาเหรอ”
     “อืม โทษทีนะที่ทำให้ตื่น”
     “ไม่หรอก พอดีจะลุกไปฉี่อยู่แล้ว”
     “ช่วยถือเอาปะ” โห กล้าพูดไปได้ไงอะ คงเป็นเพราะฤทธิ์สิงคโปร์สลิงกับบลูฮาวายที่ซัดไปหลายแก้วแน่ๆ
     “อย่างตั้มต้องยก ไม่เรียกถือหรอกพี่ อิๆๆ” ดูความทะลึ่งของตั้มมันสิ เอ...จะว่าตั้มก็ไม่ถูก ผมดันทะลึ่งก่อนทำไมล่ะ น้องมันก็เลยสวนกลับบ้าง เออ..ดี อย่างนี้สิมันส์ดี หึๆๆ
     “เออๆ ไปยกตามสบายเหอะ พี่นอนละ กู๊ดไนท์” คืนนี้ผมคงไม่มีฤทธิ์ต่อกรกับใครแล้วล่ะ ความง่วงเข้าครอบงำเต็มพิกัด หาวววว...ว

                                    .........................................................

     “พี่เนลๆ ตื่นๆ วันนี้เรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ มาสเตอร์เลิศให้มาตามอะ”
     “ตาย! ลืมไปเลย”
     ผมสะดุ้งตื่นทันทีโดยไม่มีอาการงัวเงีย วันนี้ต้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ แต่โชคดีตรงที่ไม่ต้องไปเรียนไหนไกล ก็เรียนที่หอที่ผมอยู่นี่ล่ะ มาสเตอร์เลิศท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียน ท่านก็มาสอนเสริมให้ ผมค่อนข้างที่จะสนิทกับมาสเตอร์ท่านนี้เป็นพิเศษ เพราะท่านเป็นกันเองกับนักเรียน สอนสนุก ไม่ถือตัว และเป็นที่ปรึกษาที่ดีในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ...ว้าว!!!
     “ขอบใจตั้มที่ปลุก”
     “เอ้า! เร็วๆๆๆ” ตั้มยืนหัวเราะผมที่กำลังลุกลี้ลุกลนคว้าอุปกรณ์อาบน้ำวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร็ว
     หลังเรียนพิเศษเสร็จ สองเพื่อนซี้เออุ่มกับเอจักรีก็ชวนผมไปเที่ยวที่อพาร์ตเมนต์ของทั้งคู่ซึ่งอยู่ไม่ห่างหอผมเท่าไหร่หรอก แต่นังสองคนนี้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันหรอกนะ อยู่กันคนละห้อง คนละชั้น นังเออุ่มอยู่กับแม่ ส่วนนังเอจักรีอยู่กับน้องชาย ผมมักจะไปขลุกอยู่ที่ห้องของนังสองคนนี้เป็นประจำ บางครั้งก็แอบมานอนค้างบ้าง และห้องของนังเออุ่มนี่แหละก็คือห้องปฏิบัติการเมคโอเวอร์ของเหล่าบรรดาเทเลทับบี้ตุ๊ดซี่หัวเกรียนก่อนที่จะไปเที่ยว The Bees ไงล่ะ ฮิๆ
     “คืนนี้ไม่ไปเที่ยวอีกเหรอยะ”
     นังเออุ่ม ตุ๊ดเหนือแท้และดั้งเดิมเอ่ยชวนด้วยสำเนียงกึ่งเหนือกึ่งกลาง She คนนี้เพิ่งจะเข้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกับผมเมื่อตอน ม.4 มาจากกรุงเทพฯ โห เดิร์นมาเชียว ไอ้เราก็เด็กต่างจังหวัดอะเนอะ เห็นคนแต่งตัวแปลกตาก็นึกว่าเก๋แล้ว ทั้งเสื้อผ้า หน้า พร็อบ หล่อนนอนสต็อปมากๆ หืม เด็กกรุงเทพฯ เริ่ดอะ พอนานๆ ไป ได้รู้จักมันมากขึ้น ได้เห็นอะไรมากขึ้น ก็เลยรู้ว่า เออ อีนี่มันย้อมแมว แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่สาวลาดพร้าว แต่เป็นคนบ้านน้อกบ้านนอกเหมือนกันนี่แหละ (ฮา)
     เออ...คงสงสัยใช่มั้ยล่ะ ว่าทำไมนังคนนี้มันชื่อแปลกๆ จริงๆ แล้วมันชื่อเอเฉยๆ นี่แหละ แต่คำว่า ‘อุ่ม’ น่ะเป็นภาษาเหนือ หมายถึง ‘กุม’ มันมีที่มาอย่างนี้...คือทุกทีเวลานังนี่จะอาบน้ำมันจะไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวแบบพวกผมคือนุ่งแค่เอวอะ แต่มันเล่นกระโจมอกแบบว่าอึ๋มตู้มซะเต็มประดา เท่านั้นล่ะความหมั่นไส้เลยเข้าตาเพื่อนอีกคนมันเลยจัดการกระตุกผ้าเช็ดตัวนังเอหลุดจนเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใคร่อยากจะเห็นนัก นังเอผงะไปชั่วขณะ แล้วรีบประสานมือทั้งสองกุมหนอนข้าวโพดเอาไว้ แหม...เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ ได้ดีจริงๆ “อีอุ่มๆๆๆ ” นี่ล่ะคือที่มาของฉายามันล่ะ
     “ไปอีกเหรอ ไม่ไปแล้วนะ”
     นี่ก็นังเอจักรี ชื่อเล่นเอ ชื่อจริง จักรี คนนี้เรียนกับผมมาตั้งแต่ป.1 รหัสที่หน้าอกเสื้อนักเรียนข้างขวาต่อกันเลยนะจะบอกให้ She เป็นคนที่นิสัยดีคนนึงเลยล่ะ She คนนี้เรื่องผู้ชายจะไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเท่าไหร่ แต่พอมีเข้ามาทีนี่เล่นเอาเพื่อนๆ อิจฉาเหมือนกันเลยล่ะ (ปัจจุบันนี้ She เป็นวิศวเกย์ เอ๊ย! วิศวกร หน้าที่การงานก้าวไกล เพราะคุณเธอเรียนเก่งมาก เอ็นฯ ติด 3 ปีซ้อน เหมือนรับตำแหน่ง 3 ปีซ้อนยังไงไม่รู้เนอะ ทั้งนิติฯ มช. วิทยาศาสตร์ มช. สุดท้ายก็สมหวัง She ซะที เพราะ She ได้เอ็น เอ๊ย! เอ็นฯ ได้วิศวะ ม.เกษตร สมใจ) ผมประทับใจเพื่อนคนนี้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว
     “เธอ...เธอเป็นกะเทยเหรอ”
     ดูมันทัก เอออี่นี่ รัศมีกูแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ตอนนี้ผมคิดถึงตอนนั้นนะ ฮิๆๆ สรุปว่าวันนี้เราไม่ไปเที่ยวกัน เพราะผมก็ไม่อยากไปเหมือนกัน หนีเที่ยวบ่อยๆ ถูกจับได้เดี๋ยวซวย
หลังจากที่เรา 3 คนกินข้าวเย็นร้านประจำกันเรียบร้อยแล้ว นังเอจักรีก็ขี่มอเตอร์ไซค์ (แต่ไม่ได้นุ่งสั้น) มาส่งผมที่หอ ผมเห็นตั้มกับดิวกำลังนั่งกินข้าวอยู่เลยยิ้มทัก พร้อมยื่นถุงบัวลอยไข่หวานให้
     “อะนี่ ซื้อมาฝาก”
     “แล้วของผมอะ” ดิวน้องตั้มเอ่ยขอบัวลอยขึ้นมาบ้าง ทั้งๆ ข้าวยังเต็มปากมันอยู่เลย
     “ก็นี่ไงคนละถุง รู้น่าว่าเหลืออยู่ในหอกันแค่สองคนพี่น้อง”
     ตั้มยิ้มให้ผมบางๆ รอยยิ้มนี้มันช่างดูอบอุ่นในใจยังไงบอกไม่ถูก ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้นานแล้ว หลังจากที่ต้องเสียน้ำตาให้กับคนๆ นึงไป ตั้มกำลังจะมาแทนที่คนๆ นั้นเหรอ? สำหรับผม ผมไม่เคยที่จะปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองอยู่แล้ว ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก หรือแม้กระทั่งเกลียดผมก็แสดงออกมาให้ได้รู้กันเลย แต่สำหรับตั้มผมไม่สามารถไปคิดแทนเค้าได้ หรือเดาใจเค้าออกว่า ณ ตอนนี้เค้าคิดอะไรอยู่บ้าง!

                                   ........................................................

     

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 3

     คืนนี้ก็เหมือนกับทุกๆ คืนที่ก่อนนอนผมต้องเขียนบันทึกชีวิตในแต่ละวันลงไดอารี่สีชมพู (ซึ่งต่างจากของพี่แหวน ฐิติมา เพราะของเค้าน่ะเป็นไดอารี่สีแดง) ไดอารี่เล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่ถูกเขียนระบายทั้งรัก สุข ทุกข์ เศร้า เหงา บางหน้ายังคงมีร่องรอยของคราบน้ำตาที่หยดลงบนหน้ากระดาษให้เห็นอยู่ รวมถึงเรื่องราวของคนที่ผมรู้สึกดีด้วย และอีกหนึ่งคนที่ผมรู้สึกดีด้วยนั้นที่ผมกำลังจะเขียนลงในหน้าถัดไปนั้นก็คือ...ตั้ม ผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ชอบคนง่าย และก็รักคนง่ายด้วย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมไม่ชอบนิสัยข้อนี้ของผมเลย
     “เขียนอะไรอะพี่เนล” ผมแทบจะพลิกหน้ากระดาษกลับแทบไม่ทัน เมื่อตั้มเดินมานั่งข้างๆ เตียงผมพร้อมเอ่ยทักจนผมไม่ทันตั้งตัว
     “เอ่อ ก็เขียนไดอารี่เรื่อยเปื่อย”
     “พี่เนลเค้าเขียนจดหมายถึงแฟนเค้าตะหากล่ะ ฮ่าๆ” ไอ้ดิวตะโกนแซวมาจากเตียงตรงข้าม ฮึ่ม...เจือก  กูยังไม่มีแฟนโว้ยยยย!!!
     “ไรอะ โห มีแฟนละ อกหักๆ” ตั้มแกล้งทำทีท่าทะลึ่งใส่ผม จนผมอดที่จะเขินในความขี้เล่นไม่ได้
     “ไปเลย กลับไปนอนกันได้ละทั้งพี่ทั้งน้อง เดี๋ยวเหอะ” ผมพูดไล่ตั้มไปแต่ไม่ได้จริงจังหรอก เพราะตั้มคงเห็นสีหน้าที่ยังยิ้มของผมอยู่
     “ไม่อะ ตั้มจะนอนเตียงนี้” เตียงนี้ที่ตั้มหมายถึง ก็คือเตียงของผมเอง!
     ผมไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่สนใจคำพูดของตั้มหรอกนะ เพียงแต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกของเด็กขี้เล่นอย่างตั้มมากกว่า ถ้าคิดมากไป แล้วมันไม่เป็นอย่างที่คิดล่ะ เราจะเสียความรู้สึกไปเปล่าๆ
     ...แต่ผมว่า ผมไม่ได้คิดมากไปแล้วล่ะ ตั้มมานอนกับผมจริงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าในใจของตั้มกำลังคิดอะไรอยู่ ตั้มชอบผมเหรอ? ผมไม่กล้าคิดหรอก ตั้มจะมาชอบผู้ชายแบบผมได้ยังไง ทั้งๆ ที่ตั้มก็รู้ว่าผมกับเค้ามันคนละขั้วกัน
     “นี่ จะนอนจริงๆ เหรอ”
     ตั้มไม่พูดอะไร ได้แต่นอนหลับตาอมยิ้มห่มผ้าสบายใจอยู่ข้างๆ ผม โดยที่ไม่ต้องรอให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธว่าจะให้หรือไม่ให้นอนด้วย
     “พี่เนลเสร็จพี่ตั้มแน่ๆ ฮ่าๆ” ไอ้ดิวเด็กซ่ายังคงแซวไม่เลิก จนผมแสร้งหันหน้าไปทำตาเขียวใส่ ...ได้ผล! ไอ้ดิวหุบปากแล้วทำทีเอาผ้าห่มคลุมโปงหัวเราะคิกๆ ด้วยความทะเล้น
     คืนนี้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก นอนไม่หลับ สับสนในใจไปหมด ถามว่าผมชอบตั้มมั้ย ผมตอบได้เลยว่าผมชอบ ชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว แต่ผมไม่นึกว่ามันจะเร็วแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการท่าทีว่าชอบตั้มให้ตั้มได้รู้เลย...ผมแอบคิดเล่นๆ ว่ามันคงตลกน่าดูเลยนะ ถ้าผมจะเป็นแฟนกับเด็กรุ่นน้อง ม.1 ซึ่งห่างกับผมตั้ง 4 ปี!
     “ทำไมยังไม่หลับอะ นอนไม่หลับเหรอ”
     “อ้าว! นึกว่าหลับไปแล้ว เห็นหลับตาสนิทเลย” ผมหันหน้าไปถามตั้ม ซึ่งหน้าเราสองคนแทบจะชนกันแล้วตอนนี้
     “ก็หลับไปแป๊บนึงแล้ว”
     “ถามจริงๆ เหอะ ไม่กลัวพี่ปล้ำเหรอมานอนด้วยอย่างนี้น่ะ” ผมเริ่มคุยแหย่แบบทีเล่นทีจริง
     “บ้า ปล้ำอะไร ผู้ชายกับผู้ชายปล้ำกัน บ้าแล้ว” นี่ตั้มมันไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันเนี่ย เด็กหนอ...ผู้ชายกับผู้ชายเค้าก็รักกันได้ เค้าก็มีอะไรกันได้ ฮ่วย! ผมงงไปหมดแล้ว มันยังไงกันเนี่ย หรือว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดมาตั้งแต่แรก คือตั้มเค้าไม่ได้คิดอะไรกับผมเลย...แต่
     “พี่เนล...กอดได้ปะ”
     ผมมองหน้าตั้มแบบตกใจนิดๆ แสงสว่างที่ลอดเข้ามากระทบพอที่จะทำให้ผมเห็นสีหน้าที่ดูนิ่งๆ และจริงจังของตั้มได้ ผมบอกตามตรงว่าเล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกันที่ตั้มพูดแบบนี้
     “แบรรรรรรรรรร่…ฮิๆๆๆ พูดเล่น นึกว่าเอาจริงอะดิ” ตั้มแลบลิ้นทำท่าทางลิงหลอกเจ้าใส่ผม...ผมอึ้งรอบสอง นี่โดนเด็กหลอกเหรอเนี่ย ฮึ่ม! 
     “ตั้ม!” ผมพูดแบบขบฟันเบาๆ ด้วยความอาย แต่พยายามเก็กหน้าไว้ไม่ให้ตั้มจับพิรุธได้ว่าผมหน้าแตกที่เริ่มจะคิดอะไรไปไกลแล้ว
     “โอ๋ๆๆ แหย่เล่นเฉยๆ นะ หลับซะๆ ตั้มไม่แกล้งแล้ว” แน่ะ ดูสิ ยังจะมาทำท่าทียียวนใส่อีก อย่างนี้เค้าเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังนะ มีรึผมจะยอม หึๆๆ
     “ไม่หลับแล้ว” ผมได้ทีแกล้งตั้มกลับบ้าง โผเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบทีเล่นทีจริง (แต่ออกไปทางจริงเสียมากกว่า อิๆๆๆ) ให้มันรู้ซะบ้างว่าฆ่าได้หยามไม่ได้...เสร็จ!
     “ขอโทษคร้าบบบ...บ ตั้มยอมแล้ว จะไม่แกล้งแล้วคร้าบบบ” ดูเหมือนว่าตั้มกำลังอ้อนวอนขอร้องผมไม่ให้แกล้ง แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ลูกเล่นของตั้มเท่านั้น เพราะดูตั้มไม่ได้กลัวหรือมีทีท่าว่ารังเกียจที่ผมเล่นกับตั้มแบบนี้เลย หนำซ้ำยังหัวเราะคิกๆ ชอบใจอีกต่างหาก
     “จะเอาจริงใช่ปะ” ผมหยุดแกล้งตั้มทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของตั้ม
     แล้วต่อจากนั้น...ความรู้สึกที่แสนจะอบอุ่นที่หัวใจของผมมันเรียกร้องก็ได้เกิดขึ้น มันไม่ได้มีอะไรมากหรอก เพียงสัมผัสทางกายแค่ภายนอกมันก็สามารถบอกอะไรได้เยอะแล้วล่ะ...ผมมีความสุขนะ และผมก็เชื่อว่าตั้มก็มีความสุขเหมือนกัน ผมมองตั้มเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ต้องการให้ใครคอยดูแล ให้ความอบอุ่น ถ้าตั้มต้องการให้ผมดูแล ผมก็จะทำ แต่จะได้นานแค่ไหนผมไม่สามารถบอกตัวเองได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมบอกได้แค่เพียงว่าผมรู้สึกดีกับน้องคนนี้มาก!
 
                           ....................................................................

     หลังจากคืนนั้นดูเหมือนว่าเราทั้งสองคนจะสนิทกันขึ้นกว่าแต่ก่อน นอนก็นอนด้วยกัน แต่ก็ไม่มีใครแซวอะไร มีแค่คำถามจากนังใหญ่และนังโอที่ถามว่า ‘เมื่อไหร่กันเหรอ?’ แค่นั้น แล้วทุกอย่างก็ให้มันสองคนเข้าใจกันเอาเอง ส่วนก้อ หนุ่ม ต่อง ก็เป็นอันรู้กัน พวกนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแอนตี้อะไรตั้ม จะไปกล้าแอนตี้อะไรล่ะ เด็กหอชายล้วนเรื่องแบบนี้มันก็ต้องเคยมีกันเป็นธรรมดา รวมทั้งพวกมันด้วยแหละ!
     มีคนเคยถามผมเหมือนกันว่า ทำไมผู้ชายกับผู้ชายถึงมีอะไรกันได้ แล้วพวกนี้เค้าเป็นเกย์กันเหรอ ผมอยากจะบอกว่าผู้ชายบางคนที่มีอะไรกับกะเทยนั้น ไม่จำเป็นว่าเค้าจะต้องเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว อะไรตามหรอก พวกเค้าก็เป็นผู้ชายแท้ๆ นี่แหละ เพียงแค่เค้าอาจจะมองเห็นว่าคนพวกนี้ไม่เหมือนกับพวกเค้า อะไรที่ต่างจากพวกเค้าก็ย่อมไม่ใช่ผู้ชาย ฉะนั้นความรู้สึกทางใจอาจจะไม่ใช่ แต่ว่าทางกายเค้าสามารถระบายได้อย่างที่เค้าต้องการ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เต็มร้อยเหมือนกับผู้หญิงก็ตาม แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันนะที่ผู้ชาย (แท้ๆ) เหล่านั้นกลับมีใจที่นึกรักเกย์หรือว่ากะเทยได้อย่างง่ายดาย!
     อย่างที่โรงเรียนของผมซึ่งตอนแรกที่บอกว่าเป็นโรงเรียนชายล้วนนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่เชิงเป็นโรงเรียนชายล้วนซะทีเดียวหรอก เพราะมีผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ว่าน้อยมาก She เหล่านั้นจะสิงอยู่แค่ชั้นม.ปลายเท่านั้น ห้องนึงก็มี 2-3 คน (แต่ว่าปัจจุบันทราบมาว่าโรงเรียนของผมกลายเป็นโรงเรียนสหอย่างเต็มที่ไปแล้ว งานนี้กะเทยมีหนาว ฮิๆๆ) ตั้งแต่ผมเรียนที่นี่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ม.5  ผมมองเห็นว่าการที่เด็กผู้ชายจะชอบกับกะเทยมันเป็นเรื่องปกติมาก บางทีเห็นควงคู่เป็นแฟนกันเลยก็มี ซึ่งก็ไม่มีการแอนตี้กันเกิดขึ้นจากเพื่อนฝูง จะมีแซวกันบ้าง พูดหยอกกันบ้าง ‘เฮ้ย! เมียมึงๆ’ หรือไม่ก็ ‘เมียกูห้ามยุ่งนะเว้ย’ อะไรประมาณนี้ ยิ่งตอนเข้าค่ายลูกเสือไม่ต้องพูดถึง เต็นท์ไหนเต็นท์นั้นถ้ามีกะเทยอยู่รับรองโชคทองจากซองมาม่าแจกกันให้รึ่มโดยไม่ต้องรอให้โหน่งหรือเท่งมาแจกหรอก หรือบางเต็นท์ก็ไม่เน้นคอมโบเซ็ต อาจจะมีแค่ชุดแฮปปี้มีลพอกล้อมแกล้มๆ ให้ได้ตื่นเต้นกันเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่มีใครอายใคร เพราะเด็กผู้ชายซ่าๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเล่นพิเรนทร์กันอย่างนี้อยู่แล้ว (แต่บางรายก็ไม่ซ่านะ เด็กเรียนด้วยซ้ำ ว้าว!)
     “ฉันว่ากะเทยก็ไม่ต่างอะไรกับที่ฉุกเฉินทางเพศนะ” เออ...ผมก็ปฏิเสธไม่ออกซะด้วยสิ เมื่อเพื่อนในกลุ่มเปรียบเทียบให้ฟัง แถมยังอดขำไม่ได้ อืม ช่างคิดนะมึง!!!
     หลังจบกิจกรรมเข้าค่าย หลายคู่ก็เข้าสู่ประตูวิวาห์กันเป็นแถว คบกันนานบ้าง ไม่นานบ้างก็ว่ากันไป แต่สำหรับผมกับตั้มตอนนี้เราก็โอเคกันดีนะ จะกุ๊กกิ๊กๆ กันสองคน จนนังใหญ่กะนังโอสองน้องสุดที่ร้ากกก...ก ชักจะเริ่มงอนๆ บ้างละ เพราะไม่ค่อยจะมีเวลาเม้าธ์เรื่องตลกๆ ให้มันฟังกัน แต่มันก็เข้าใจว่าข้าวใหม่ปลามันอะเนอะ (โห...ก็ว่าไปนั่น)

                          ....................................................................

14 กุมภาพันธ์
 
     วันนี้หลายๆ คนแฮปปี้กันมาก เสื้อนักเรียนเต็มไปด้วยสติกเกอร์รูปหัวใจหลากหลายสี ใครมีมากก็เท่ากับคนนั้นฮอต แต่บางคนนี่ลักไก่ไปซื้อมาติดกันเองก็เยอะ ก็ฮาๆ กันไปไม่ว่ากัน (บางคนก็มีเต็มเสื้อเหมือนกัน เอ่อ...ไม่ใช่สติกเกอร์หรอกนะ แต่เป็นรอยตรีนน่ะ นัยว่าคงมีคนรักเยอะน่ะ) ส่วนผมน่ะเหรอ อืม..เท่าที่ดูก็เยอะใช่ย่อยนะ ไม่ใช่จะฮอตอะไรมากมายหรอก ก็มีของเพื่อนๆ ด้วยล่ะ คละเคล้าไปกับของเด็กรุ่นน้องหลายๆ คนที่รู้จักกันดี และก็มีทั้งที่ไม่รู้จักกันก็อุตส่าห์เอามาติดให้ (น้องๆ มันคงเห็นผมเหมือนพระพุทธรูปกระมัง เลยนึกจะเอาทองมาปิดกัน)
หลังเลิกเรียนวันนี้ผมกลับหอเร็วกว่าปกติเพราะไม่มีซ้อมวอลเลย์บอล เข้าห้องนอนพร้อมหนังสือการ์ตูนขวัญผวากว่า 10 เล่มที่ตั้งใจว่าจะอ่านให้หนำไปเลย ขณะที่ผมนอนอ่านการ์ตูนไปได้สักพัก ประตูห้องก็เปิดออก...ตั้มนั่นเอง!
     “กลับมาแล้วเหรอ”
     ตั้มไม่ตอบแต่กลับยิ้มแบบมีเลศนัย
     “ยิ้มอะไร เดี๋ยวเหอะ”
     “แฮปปี้ วาเลนไทน์” ตั้มยื่นกล่องช็อกโกแลตให้ผม เล่นเอาผมยิ้มไม่หุบเลยแบบว่าปลื้มสุดๆ ไม่คิดว่าเด็กรุ่นน้องคนนี้จะคิดอะไรจริงจังและจริงใจกับผมขนาดนี้ แต่ผมสิ กลับไม่ทันคิดที่จะเตรียมอะไรไว้เซอร์ไพรส์ตั้มบ้างเลย
     “แต๊งค์กิ้วหลายๆ” ผมเอ่ยขอบใจตั้ม พร้อมกับหันไปหยิบดอกกุหลาบที่อยู่บนเตียงให้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ดอกไม้ที่ผมเตรียมไว้ให้ตั้มหรอก แต่เป็นดอกที่เพื่อนๆ ให้ผมมาน่ะ เฮ้อ...แย่จริงๆ
     “แฮปปี้ วาเลนไทน์เช่นกัน แกะกินเลยได้ปะเนี่ย”
     ตั้มไม่ตอบแต่เดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมบนเตียง หอมแก้มผม แล้วบอกให้ผมหอมแก้มเค้ากลับบ้าง ผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย ก็แหม...คนเรารักกันแล้วนิ เรื่องแบบนี้มันก็นอมอลๆ อยู่แล้ว นิสัยขี้เล่นของตั้มอีกอย่างที่เค้าชอบแกล้งผมก็คือ เวลาที่เราจะคิสกันนี่แหละ ได้ขำตลอด ก็พอปากประกบกันเค้าดันเป่าลมแรงๆ แกล้งผมให้ผมสำลักซะนี่ ดูเค้าจะมีความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้กับผม ผมก็มีความสุขไม่น้อยไปกว่าเค้าหรอก
     ตั้มเป็นเด็กที่น่ารัก แต่บางครั้งก็ออกจะขี้น้อยใจไปซะหน่อย เวลาที่เห็นก้อหรือว่าต่องมาเล่นกับผม เล่นในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามามีอะไรกันหรอกนะ แค่หยอกล้อกันแบบสนุกๆ เท่านั้นเอง แต่ด้วยความที่ตั้มยังเป็นเด็กกระมังเลยรู้สึกน้อยใจว่าคนที่เค้ารู้สึกดีด้วยไปยุ่งกับคนอื่นทำไม...ทำไมไม่เล่นไม่ยุ่งกับเค้าคนเดียว คือออกอาการหวงน่ะ เฮ้อ...มองดูเหมือนผมเป็นหม่าม้าตั้มยังไงก็ไม่รู้เนอะ ที่ประมาณว่าไปอุ้มลูกคนอื่นมาเล่นไม่ได้ เพราะลูกตัวเองจะงอนเอา (ฮา)
     “พี่เนล ตั้มมันนั่งร้องไห้ที่ห้องเรียนพิเศษอะ” ไอ้เจ้าดิวเดินมาบอกผม
      “อีกแล้วเหรอ”
     บ่อยครั้งที่ตั้มเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าตั้มเค้าน้อยใจน่ะ แต่ดีอย่างที่ตั้มไม่งอนจนงี่เง่า แค่อธิบายให้ฟังว่าอะไรเป็นอะไร ก็ยิ้มได้แล้ว
     ก่อนที่ผมจะมาลงเอยกับตั้มได้อย่างทุกวันนี้ ผมต้องผ่านเรื่องราวของการเสียน้ำตามานักต่อนักแล้ว ก็อย่างที่บอกในตอนต้นว่าผมนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างรักคนง่าย ชอบคนง่าย บางทีใครเผลอมาพูดดี ทำดีเข้าหน่อย ก็หลงเค้าแล้ว ทั้งๆ ที่บางทีเค้าอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเราเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อน บ่อยครั้งที่ผมร้องไห้ฟูมฟายจนแน่นหน้าอกไปหมด ทำเอาผมขยาดกับการอกหักไปเลย เพราะเมื่อไหร่ที่อกหักอาการสุดแสนจะทรมานนี้ก็จะเกิดขึ้นกับตัวผมอีก แต่ผมก็หนีมันไม่พ้นซะที...กับตั้มนี้น่ะเหรอ ผมยังไม่คิดถึงเรื่องนี้หรอก เพราะตลอด 2-3 เดือนที่เราคบกันมาจนถึง ณ วันนี้ ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเราต่างก็มีความสุขกันดี 
      แต่...
     แต่...ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าความสุขของผมนั้นมันจะจบลงเร็วอย่างนี้! 

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
มาตามเรื่องใหม่ คนแถวนี้นี่เอง อิอิ

dorgchant

  • บุคคลทั่วไป
มาให้กำลังใจก่อน เดี๋ยวตามมาอ่านนะครับ  :m1:
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เคยเรียนรร.เครือนี้ด้วยครับ แต่ไม่ใช่ลำปาง สมัยนั้นเด็กมันเรียก "อ้วกใส่ชาม" และจะมีรร.เอกชนที่เป็นพันธมิตรอีกสองโรงเรียนคือ "เด็กเสือก" กับ "ซาละเปา"
ผมเรียนที่นั่นตั้งแต่ อ.2-ม.3 ครับ แต่เป็นนร.ไป-กลับ เลยไม่มีประสบการณ์แบบนร.ประจำ ตอนนั้นผมอ่อนต่อโลกมาก ใสซื่อ อินโนเซ็นต์ เรียบร้อย เป็นที่รักของมิส มาสเตอร์หลายๆคน แต่ทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง กว่าจะขึ้นรถเมล์ สองแถวเป็นก็ม.3แน่ะ (อาย) เรื่องความรักก็ไม่มีอยู่ในสมองเลย เอาแต่เรียน - กลับบ้าน จนกระทั่งมาปีสุดท้าย แต่ก็ได้แค่แอบชอบครับ ทุกวันนี้ก็ยังเห็นคนที่เคยชอบอยู่ เค้ามีร้านอยู่ใน MBK ครับ ซักวันจะหาเวลาไปบอกเค้าอีกที(หวังว่าคงจำหน้าเราได้)  :m20:

ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยสัมผัสกับความรักเลยครับ ได้แต่อ่านจากเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ แล้วคิดว่าซักวันคงมีกะเค้าบ้างน้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2008 01:35:50 โดย dorgchant »

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
อ่านไปก็แอบเศร้าไป

จิตตกเลยทีเดียว

แต่ในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ

อย่างน้อย  สักครั้งที่ได้เจอคนที่ใช่

เป็นกำลังใจให้นะคร้าบบบ   :L2:

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
ป้าก็เคยเรียนสถาบันเดียวกับคนเขียน
แต่น่าจะรุ่นบรรพบุรุษไปอีกหลายปี
เพราะสมัยป้าเป็นโรงเรียนชายล้วนจริงๆ
ยังไม่มีชั้นม.ปลาย เพราะสมัยนั้นยังเป็น มัธยมศึกษา(มศ.)
บราเธอร์(อธิการ)ไม่ใช่คนไทย เป็นแขกอินเดีย
ปกครองด้วยระบบไม้เรียว เฮี้ยบสุดๆ

ยุคนั้นโรงเรียนของเราดังมาก เรื่องภาษาอังกฤษและเรื่องวงโยธวาทิต

นานๆทีได้อ่านเรื่องของสถาบันเดิมก็สุขใจจ๊ะ

dorgchant

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาดันก่อนครับ ตกไปเยอะแล้ว  :m23:

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ ดีใจจังเลยที่มีรุ่นพี่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ :oni2:

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป

มาอ่านตอนที่ 4 กันต่อครับ


     วันนี้ชีวิตของผมควรจะยังคงมีความสุขอยู่ ความสุขที่ถูกตั้มแกล้ง ได้คุยกับตั้ม ได้เล่นกับตั้ม ได้หอมแก้มตั้ม แต่ทว่า...มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมซะแล้ว ทำไมล่ะ?
     “โอ...ตั้มอยู่ไหนอะ” ผมเอ่ยถามถึงตั้มทันทีที่กลับมาถึงหอ
      “เห็นอยู่ตรงหลังหออะพี่”
     ผมรีบเก็บกระเป๋านักเรียน แล้วทำทีย่องเบาๆ ไปที่หลังหอเพื่อจะทำเซอร์ไพรส์ตั้ม แต่สิ่งที่ผมได้รับตอบจากตั้มนั้นกลับทำให้ผมต้องเซอร์ไพรส์ซะเอง!
     “จ๊ะเอ๋ !!!”
     “………..”
     “ทำไรอยู่ คิดถึงปะ”
      “………..”
      “หอมแก้มทีดิ หรือว่าตั้มจะหอมพี่”
      “………..”
      “ตั้มเป็นอะไรอะ”
      “…………”
     “ตั้ม...มีอะไรรึเปล่า ตั้มโกรธอะไรพี่รึเปล่า”
     “เปล่า”
     “ตั้ม...ต้องมีสิ ตั้มไม่เหมือนเดิม”
     “ไม่มีอะไรหรอกพี่”
     ไม่จริง! ตั้มไม่ใช่ตั้มคนเดิม สีหน้า แววตา ดูไม่ขี้เล่นและสนุกสนานเหมือนเก่า แต่กลับดูเฉยเมยอย่างน่าใจหาย มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
      “ตั้มบอกพี่สิว่าพี่ทำอะไรผิด โกรธอะไรพี่”
     “ไม่มีอะไรหรอก”
     ไม่ว่าผมจะอ้อนวอนถามตั้มกี่ครั้ง คำตอบที่ได้มามันก็ไม่เคลียร์สำหรับผมเลย ความรู้สึกของผมตอนนี้น่ะเหรอ...มันแย่มาก เสียงสั่น หน้าชา หัวใจเต้นระรัว เหมือนคนกำลังจะหมดแรง ตั้มที่น่ารักขี้เล่นของผมไปไหน แล้วคนที่ผมยืนคุยอยู่ด้วยนี่ใครกัน!
     ตั้มปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียวที่หลังหอ สมองตอนนี้คิดไปเรื่อยเปื่อย สับสนไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่นั่งถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมตั้มไม่เหมือนเดิม...ทำไมตั้มไม่เหมือนเดิม...ทำไมตั้มไม่เหมือนเดิม!!!
     เมื่อถามตั้มแล้วไม่รู้เรื่อง โออาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้ ผมปาดน้ำตาแล้วตัดสินใจเดินไปถามโอซึ่งมีสีหน้าที่ดูเหมือนว่ากำลังจะมีอะไรบอกกับผมเหมือนกัน
      “โอ ตั้มมันเป็นอะไร ทำไมมันมึนตึงกับพี่อย่างนี้อะ”
     “พี่เนล”
     “…………” ผมไม่พูดอะไรต่อ รอฟังแต่คำตอบที่ผมมั่นใจว่าโอต้องรู้อะไรแน่นอน
     “ก็ตอนที่พี่เนลไม่ค่อยนอนหออะ ตั้มกับอีใหญ่มัน...”
     “………..”
     ผมไม่ต้องรอให้โอพูดประโยคต่อไป เท่านี้ผมก็พอจะเดาอะไรออกแล้วล่ะ ผมร้องไห้ออกมาแบบไม่อายโอเลย อาการแน่นหน้าอกสุดแสนทรมานมันกลับมาอีกแล้ว ตั้ม...ทำไมตั้มถึงทำแบบนี้...ผมได้แต่ร่ำร้องกับตัวเองว่าผมผิดใช่มั้ยเนี่ยที่ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ผมคิดถึงตัวเองมากเกินไปเหรอ ผมติดเพื่อนมากเกินไปใช่มั้ย ไม่เอาใจใส่ตั้มเท่าที่ควร แต่มันก็เพียงแค่วันสองวันเท่านั้นเองนะ ตั้มเหงามากถึงขนาดต้องหาคนอื่นมาเป็นที่พึ่งแทนผมเลยเหรอ?
     ตอนนี้ผมก็ไม่ต่างอะไรกับอากาศที่ลอยไปลอยมา ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในสายตาของตั้มแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่คำทักทายสักคำเลย แค่รอยยิ้มสักนิดเมื่อเจอกันก็ไม่มีให้ ทำไมตั้มถึงทำร้ายจิตใจกันได้ลงคอขนาดนี้ รวมถึงใหญ่ด้วย ทั้งๆ ที่มันก็รู้ว่าผมกับตั้มเราเป็นอะไรกัน และผมก็เป็นพี่ที่คอยให้ความสนุกสนานกับมันตลอด แล้วทำไมมันถึงทำกับผมได้ แต่นี่มันยังไม่เจ็บเท่าที่เค้าทั้งสองคนต้องนอนด้วยกันทุกคืน หัวเราะคิกคักกันใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข ซึ่งผมต้องนอนอมทุกข์อยู่เตียงตรงข้าม ได้ยินได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่อยากจะรับรู้ ลองคิดดูสิว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน ผมต้องนอนร้องไห้แทบทุกคืนโดยมีโอคอยปลอบใจ ผมไม่รู้ว่าตั้มจะรู้สึกอะไรมั้ยที่ทำให้ผมเสียใจ แล้วใหญ่ล่ะรู้สึกอะไรบ้างมั้ย หรือเพียงแค่ต้องการสนองความรู้สึกตัวเองที่แอบชอบตั้มมาตลอด
     ถามผมว่าทำไมไม่แย่งกลับคืนมาล่ะ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าใจของตั้มไม่มีให้ผมแล้ว นาทีนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าคำปลอบใจจากเพื่อนอีกแล้วล่ะ การได้อยู่กับเพื่อนมันคงช่วยทำให้สภาพจิตใจผมดีขึ้น...รึเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่อย่างน้อยมันก็คงดีกว่าที่ผมจะมานั่งอัดอั้นอยู่คนเดียว

                     ..................................................................................

     ผมพยายามตัดใจจากตั้มถึงแม้ว่ามันจะทำได้ยากอยู่สักหน่อยก็ตาม ผมเจ็บนะ และผมก็โกรธตั้มมากด้วยที่ทำกับผมแบบนี้ ความรู้สึกของผมไม่ใช่เรื่องที่จะมาเล่นๆ กัน คุณคบใครคุณก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของคนที่คุณคบด้วยสิ ผมเพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่ารักมากก็เกลียดมากก็วันนี้แหละ ใหญ่เองก็ไม่กล้าสู้หน้าผมหรอก (ถ้ากล้าสู้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วแหละ) เพราะคงกลัวผมจะบ็อกซ์ละมั้ง หึ! แต่ผมไม่ทำหรอก...ไร้สาระ!
     ผมกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง ใช้ชีวิตสนุกกับเพื่อนเต็มที่โดยไม่ต้องมาคิดหน้าคิดหลังว่าจะมีใครแคร์ หรือว่าต้องแคร์ใคร ตอนนี้ผมจะไปชอบใครผมก็สามารถทำได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าตั้มจะน้อยใจร้องไห้อีกต่อไป ถ้าถามผมว่าในใจผมไม่เหลือความรู้สึกดีๆ กับตั้มไว้สักนิดเลยเหรอ มันตอบยากนะ เอาเป็นว่า ณ วินาทีนี้มันเฟลมาก ส่วนอนาคตก็ยากเกินคาดเดา
     “นี่เป็นไง อาการปกติยัง” นังเออุ่มเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง (หรือกระแหนะกระแหนก็สุดจะคาดเดา)
     “ก็โอเค”
     “เนลมันใจแข็งจะตาย”
     “แข็งมาก แข็งจนเกือบจะตายเลยน่ะสิไม่ว่า” นังเออุ่มยังไม่เลิกประชดประชัน
     “เดี๋ยวกูถีบเลยนี่ เม้าธ์อยู่ได้”
     “สมน้ำหน้า ก็รู้อยู่ว่าช่วงนี้น้ำในหอยมันไม่เท่ากัน ฮอร์โมนมันก็เลยขาดการทรงตัว อารมณ์ไม่ปกติ ระวังมึงจะโดนมันฆ่าเอาได้นะ ฮ่าๆๆ” นี่นังเอจักรีมันจะเข้าข้างผมหรือว่าจะล้มทับผมกันแน่เนี่ย
     “เออ...พวกมึงนะ อย่างงี้ทุกทีเลย”
     “ล้อเล่นน่า ทำซีเรียสไปได้” นังเอจักรีได้ทีตบหัวแล้วลูบหลัง เชอะ!
     “กูถามจริงๆ นะ แล้วมึงต้องตอบจริงๆ ด้วย ถ้าวันนึงตั้มกลับมาขอคืนดี มึงจะใจอ่อนยอมดีด้วยปะ”
     “...........................”
     “ตอบ” นังเออุ่มพยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบจากผมให้ได้
     “ไม่รู้...ให้ถึงวันนั้นก่อนละกัน แต่กูก็ไม่รู้นะว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า”
     “พนันกันมั้ยว่าไม่นานหรอก ตั้มมันต้องกลับมาหามึง” ทำตัวเป็นเทพธิดาพญายม เอ๊ย! พยากรณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะนังเอจักรีผีก่อนบ่าย!
     “เหรอ....อ” ผมพูดจาลอยหน้ากวนส้นทีนใส่มันทั้งสอง จนมันอดไม่ได้ที่จะรุมเอาส้นทีนใส่หน้าผมเหมือนกัน (ฮา)
     นี่ล่ะเพื่อน ที่ให้ความสุข ความสนุกที่แท้จริง กัดกันบ้าง เม้าธ์กันบ้าง ก็ฮาๆ กันไป เพราะอย่างน้อยๆ เพื่อนก็ยังเป็นห่วงเรา จริงใจกับเรา ซึ่งใครบางคนอาจจะมีให้เราได้ไม่เท่ากับเพื่อน...จริงมั้ย!

                                 …………………………………………………………

     “พี่เนล ไอ้ตั้มร้องไห้” นังน้องโอสวมวิญญาณกระจอกข่าวรายงานข่าวด่วนรายวันอย่างต่อเนื่อง
     “มาบอกทำไม” ผมตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ แต่ในใจก็นึกใคร่รู้ว่าตั้มร้องทำไม
     “ตั้มกับใหญ่มันเลิกกันแล้วนะ”
     “ทำไมล่ะ”
     “ใหญ่มันบอกน้องว่ามันเบื่อ”
     คำสาปแช่งของนังเอจักรีสำแดงฤทธิ์แล้วหรือนี่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บรื๋อออ...ไม่หรอก มันแค่บังเอิญมากกว่าน่ะ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรหรอกนะที่เค้าเลิกกันเร็ว เพราะผมรู้สึกเฉยๆ กับตั้มไปแล้ว และก็ไม่ได้ถามอะไรจากโอต่ออีก แต่ก็นึกโมโหเหมือนกันทีหักอกเราไม่ยักกะเสียใจ แต่พอโดนนังใหญ่ทิ้งกลับร้องไห้ฟูมฟาย หึ คนเรา!

     “เห็นมะ กูบอกแล้ว ผิดคำพูดซะที่ไหน”
     ผมพุ่งตรงไปที่อพาร์ตเมนต์ของนังสองเอทันที แล้วตั้งวงสนทนาปัญหามึงกะกูกันสุดพลัง
     “มันให้เหตุผลว่าเบื่อแค่นั้นเหรอ...เออ ง่ายดีเนอะ พอจะเอาของเค้าก็ขโมยไปกินหน้าด้านๆ พออิ่มแล้วก็โยนทิ้ง อีใหญ่นี่มันสัน...จริงๆ เลย” นังเออุ่มออกอาการหัวเสียแทนผม ทำอย่างกะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับมันน่ะ
     “จำวันที่ถามวันนั้นได้ปะ แล้วมึงบอกว่าให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วจะบอกว่าจะคืนดีหรือไม่คืนดี นี่ไง วันนี้มันก็มาถึงแล้ว มึงจะตอบได้ยัง”
     “………………”
     “เอางี้ มึงไม่ต้องตอบกูสองคนก็ได้ แต่มึงต้องตอบใจของมึงเอง แต่กูรู้นะว่ามึงอะยังรักตั้มอยู่ ”
     “มึงรู้ได้ไง” 
     “อย่าลืมนะว่ากูเป็นแม่หมอ หึๆๆๆ” เออ...ผมก็ลืมไป นังเอจักรีมันท่าจะเป็นแม่หมอจริงๆ ล่ะมั้ง มันถึงได้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แม้กระทั่งการอ่านใจคนออก ใช่ ลึกๆ ผมยังรักตั้มอยู่น่ะแหละ แต่ผมก็ยังต้องทำใจแข็ง ไม่ยอมกลับไปง้อขอคืนดีง่ายๆ หรอก เพราะผมไม่ใช่เป็นคนที่ก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตั้มต่างหาก ตั้มเป็นคนทำ ตั้มต้องชดใช้กรรม! (โห ถ้าจะดูละครเยอะไปมั้งเนี่ยผม อิๆๆ)

     คืนนี้ตั้มกับใหญ่แยกกันนอนเตียงใครเตียงมัน อืม คงจะเลิกกันจริงๆ น่ะ ผมรู้สึกสงสารตั้มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกความรู้สึกนึงก็แอบสะใจนิดๆ เหมือนกัน...ทิ้งเรา แล้วโดนเค้าทิ้งบ้าง เป็นไง รู้สึกแล้วใช่มั้ย และคืนนี้แหละผมจะทำให้ตั้มรู้สึกเสียดายผมบ้าง ผมชวนก้อมานอนกับผม ซึ่งก้อก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดมานอนด้วยโดยดี ประหนึ่งโดนมนต์ดำจากครูพนอ ณ ลองของสะกดเข้าให้ (คิดได้เนอะ) ได้ผล ตั้มนอนไม่เป็นสุขลุกนอนลุกนั่งขึ้นมาดูอยู่หลายรอบ จนในที่สุดคงทนไม่ได้คลุมโปงไปเลย (คิดไปเองเปล่าวะ)
     หมายเหตุ...ใครที่คิดไปไกลว่าผมกับก้อมีอะไรกัน คิดใหม่ด้วย เราแค่นอนคุยเล่นกันเฉยๆ เพราะผมเพียงที่จะคิดใช้ก้อเป็นแค่เครื่องมือทำลาย (ความรู้สึก) ตั้มเท่านั้น หึๆๆๆ (โอ๊ย! อาการหนักแล้วกู)

     ผมไม่ได้พูดกับตั้มนานเท่าไหร่แล้วนี่...อืม ถ้านับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกือบๆ เดือนแล้วสินะ เสียดายเวลาเหลือเกิน หนึ่งเดือนที่ผ่านมามันควรจะเป็นเวลาของเรา เฮ้อ...แต่ก็ช่างเหอะ อย่าไปรื้อฟื้นมันอีกเลย เดินหน้าต่อไปดีกว่า ว่าแล้วผมก็หยิบไดอารี่สีชมพูมาเปิดหน้าที่เขียนคำกลอนเตือนใจเอาไว้ ผมจำไม่ได้หรอกว่าเปิดอ่านหน้านี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้อ่าน มันมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยล่ะ...
     อนาคตเป็นอย่างไร เราไม่รู้
     วันนี้อยู่ พรุ่งนี้ตาย คล้ายความฝัน
     อดีตผ่านมาแล้ว ก็แล้วกัน
     ปัจจุบันยังคงอยู่...สู้ต่อไป

                           ..........................................................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
จิ้มๆๆๆๆๆ  คนแต่ง   

เนอะคนมันรัก  ให้ตายยังไงก้ให้อภัยเค้าได้เสมอ

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
ป้าเห็นด้วยกับรีบน
คนเราถ้ายังรักกันอยู่ ก็ต้องให้อภัยได้

dorgchant

  • บุคคลทั่วไป
ง่า เผลอแอบมาอัพตอนประชุม  :laugh:

กลับมาดีกันไวๆนะครับ  :o8:

three

  • บุคคลทั่วไป
ชอบครับนายเอกเข้มแข็งดีอ่ะชอบๆ :L2:

marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
คนเราถ้ารักกันอยู่ ก็ต้องให้อภัยกันได้ แต่..............ขอเล่นนังใหญ่ก่อนได้ป่ะ แบบว่าเคืองอ่ะ
ส่วนคนของเราเนี๊ยถ้าอยากมาคืนดี ก็ขอแสบ ๆ หน่อยล่ะกัน ไม่งั้นมันจะได้ใจ
แรงไปป่าวเนี๊ย :m29:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0

     อนาคตเป็นอย่างไร เราไม่รู้
     วันนี้อยู่ พรุ่งนี้ตาย คล้ายความฝัน
     อดีตผ่านมาแล้ว ก็แล้วกัน
     ปัจจุบันยังคงอยู่...สู้ต่อไป


ชอบกลอนนี้จังอะ

ไม่ซับซ้อน  ง่ายๆ  แต่เตือนใจได้ดี

แต่ว่านะ  จะปล่อยให้มันผ่านเลยไปจริงๆ อะเหรอ  คนที่เรารักทั้งคนอะ

เฮ้อออออ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

........ชีวิตไม่สิ้นก็คงต้องดิ้นกันต่อไป...... :a2: :a2:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
ชื่อเรื่องเศร้าได้ใจ

ผิดแต่

ข้าพเจ้ายังไม่มีผัว (รอมานานแระ)

 :oni1:

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป

three

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nuichanel

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 5

     เวลาและวารีไม่มีวันที่จะถอยหลังหรือว่าไหลย้อนกลับ แต่สำหรับเรื่องของความรักมันอาจจะพลิกผันได้ตลอดเวลา หลายคู่เลิกกัน แล้วก็กลับมารักกัน เกลียดกัน ก็กลับมาดีกัน เดินหน้า ถอยหลัง เดินหน้า แล้วก็ถอยหลัง เป็นจังหวะชะชะช่า มันช่างน่าขันดีจังเนาะ ผมอยากจะบอกว่าชีวิตของผมตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่กล่าวมาเลย มันมีเค้ารางๆ ว่าความทรงจำเมื่อวันวานกำลังจะคืบคลานมาให้ผมได้ตื่นเต้นอีกครั้ง
     ผมรู้สึกว่าตั้มกำลังจะกลับมาเป็นตั้มคนเดิมแล้ว ผมไม่ได้หลอกความรู้สึกของตัวเองหรอกนะ แต่มันสัมผัสถึงได้จริงๆ ตั้มมักจะแอบมองผมอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าผมจะทำอะไร เค้าคงอยากจะเข้ามาคุยกับผมมั้ง แต่คงไม่กล้าเพราะชนักติดหลังอยู่นี่ แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ ตอนนี้ผมก็เริ่มใจอ่อนกับตั้มลงมากแล้วล่ะ แค่เพียงรอจังหวะเท่านั้น
     ...และในที่สุดผมก็ทนเสียงเรียกร้องหัวใจของตัวเองไม่ได้ ผมเห็นตั้มกำลังวาดรูปอยู่ที่ห้องเรียนพิเศษ ลบวาดๆ อยู่นั่นแหละ คงวาดไม่ได้น่ะซี่ อิๆๆๆ สม! เอ้า...ลองดูอีกสักตั้งน่า ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าให้กับตัวเอง แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหาตั้ม
     “วาดให้เอาปะ”
     ตั้มเงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองอะไรสักอย่าง 
     “……………”
     “ว่าไงล่ะ ตกใจอะไร หน้าเหมือนผีหรือไง”
     “อืม เหมือน เอ๊ย! ไม่ใช่...เอาดิ วาดให้หน่อย วาดไม่ได้สักที ยากเป็นบ้าเลยอะ” ตั้มเริ่มจูนสติกลับมาเป็นปกติ และเป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของตั้ม แววตาขี้เล่นเหมือนเช่นวันวาน ตั้มดูจะดีใจจนออกนอกหน้าสุดๆ ที่ผมพูดด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับผมหรอก ผมก็ดีใจที่เรากำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกัน
     “มาสเตอร์เค้าให้วาดรูปมืออะ แล้วต้องให้มีแสงแรเงาอะไรอย่างเนี้ย ยากบรม ตั้มลบวาดจนกระดาษเยินหมดแล้วเนี่ย”
     “กระจอกจะตาย แค่นี้ก็วาดไม่ได้”
     ผมใช้เวลาวาดให้ตั้มไม่นานก็เสร็จ เพราะผมก็มีฝีมือในการวาดรูปอยู่บ้าง รูปมือที่ผมวาดให้ตั้มนั้นน่ะ มันเป็นสัญลักษณ์ไอ เลิฟ ยู คงนึกกันออกนะว่าเป็นยังไง
     “โห เจ๋งอะพี่ สวยดี เอแน่นอน”
     “เอบวก ไม่ใช่เอเฉยๆ ไอ้น้อง” ผมได้ทีคุยทับตั้ม เราสองคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเก่าๆ กลับมาอีกครั้ง
     คืนนี้ผมเข้านอนอย่างมีความสุข...แต่ก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะหยิบไดอารี่สีชมพูขึ้นมาเขียนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมเขียนไปยิ้มไป นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอตั้ม ได้คุยกับตั้ม แล้วตอนที่เราสองคนรักกัน ส่วนเรื่องที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นผมกลับคิดข้ามไปเพราะไม่อยากให้มารกในสมองอีก
     “เขียนไดอารี่อีกละ เขียนเรื่องตั้มหรือเปล่าเนี่ย เอามาอ่านหน่อยสิ” ตั้มเดินตรงมาที่เตียงผม ทำท่าจะแย่งไดอารี่มาอ่าน
     “ไม่เอา ไม่ให้อ่าน ยังเขียนไม่เสร็จเลย”
     “ตั้มรู้นะ เขียนด่าตั้มใช่ปะ”
     “ก็รู้แล้วนี่ จะเอาไปอ่านทำไมล่ะ”
     “เขียนด่าเหรอ...เสร็จแน่” 
     ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ตั้มก็เข้ามาประกบปากผม รสจูบของตั้มไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงอบอุ่นนุ่มนวล ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มไปกับสิ่งเร้าของตั้มนั้นเอง ตั้มมันดันแกล้งผมอีกแล้ว ก็เล่นเป่าลมเข้าปากผมซะจนสำลัก ฮึ่ม! มันน่านักดูสิ นิสัยไม่เปลี่ยน แต่ก็น่ารักดี
     “ตั้มไม่ได้ทำแบบนี้นานแล้วนะ”
     “เหรอ ก็มัวไปทำกับใครอยู่ล่ะ” ผมไม่วายได้ทีแขวะตั้ม
     “ตั้มขอโทษนะ ตั้มจะไม่ทำอีกแล้ว สัญญา ดีกันนะ”
     ผมยิ้มให้แทนคำตอบ
     “เออ...ถามหน่อยดิ อยากรู้ ตอบจริงๆ นะ”
     “ว่ามาสิ”
     “คืนนั้นที่พี่นอนกุ๊กกิ๊กกับก้ออะ ตั้มรู้สึกยังไงบ้าง”
     “อยากเข้าไปร่วมด้วย ฮ่าๆๆ” เอากะเค้าสิ ตอบไม่คิดเลย จะพูดให้เราซึ้งหน่อยไม่มีอะ แต่ก็ช่างเหอะ อย่างน้อยๆ คืนนี้ความรู้สึกที่แสนจะอบอุ่นมันก็ทำให้ผมนอนหลับอย่างมีความสุขแล้วล่ะ เอ๊ะ! หรือว่าจะไม่ได้หลับกันนะ (ฮา)

                            ...............................................................

     เช้านี้ผมมาโรงเรียนอย่างสุขสุดๆ จนสองซี้เอจักรีและเออุ่มอดไม่ได้ที่จะออกอาการหมั่นไส้ แต่ผมรู้นะว่ามันสองคนก็ดีใจกับผมด้วยเหมือนกัน ใครบ้างล่ะอยากจะเห็นเพื่อนอมทุกข์ จริงมั้ย?
     ช่วงกลางวัน ผมนั่งทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่โรงอาหาร ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า เค้าจะมีการแบ่งโซน โซนมัธยมต้น มัธยมปลาย ประถม โซนใครโซนมัน สักพักตั้มก็เดินเข้าประตูฝั่งมัธยมปลายผ่านโต๊ะที่ผมนั่งทานข้าว ตั้มยิ้มให้ พร้อมยกมือทำสัญลักษณ์ ไอ เลิฟ ยู แบบเดียวกับที่ผมวาดให้ตั้มไปเมื่อคืน...โรแมนติกมากๆ เลยอะ
     “อ้วกกกก!!!” นังสองเอพร้อมใจประสานเสียง แล้วทำหน้าตายก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ส่วนผมน่ะเหรออยากจะกระโดดถีบมันเหลือเกิน แต่ติดที่ตรงลุกไม่ไหวเพราะโดนไอเลิฟยูทับอยู่ อ้วกกก!!! (อันนี้ของผมเอง)

     “ไง ได้เท่าไหร่ เอบวกหรือเปล่า” ผมถามถึงคะแนนรูปที่วาดทันทีที่ตั้มกลับมาถึงหอ
     “เอมากเลยพี่ ซีคร้าบบบ”
     แป่ว...ผมยิ้มเจื่อนๆ แสร้งทำหน้าเศร้า เฮ้อ...ฝีมือตกไปเยอะเลยเหรอเนี่ย ผมก็ว่าผมวาดสวยแล้วนะ หรือว่าคิดไปคนเดียวเนี่ย?
     “ไม่เป็นไรหรอกพี่ แค่ซีตั้มก็ปลื้มแล้วนะ ในใจคิดว่าได้แค่ดีอะ”
     “พูดงี้ใช่ปะ คืนนี้ไม่ให้นอนด้วยนะ”
     ตั้มทำท่าลิงหลอกเจ้าใส่ผม ด้วยอารมณ์ของเด็กขี้เล่น นี่กระมังคงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของตั้มที่ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรักเค้า

     ช่วงนี้ก็ใกล้สอบไฟนอลแล้ว ผมกำลังจะขึ้น ม.6 ส่วนตั้มก็จะขึ้น ม.2 ผมไม่อยากให้ถึงวันที่ผมต้องจบ ม.6 เลย เพราะผมคงไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับตั้มอีกแน่นอน ผมต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย มีชีวิตที่ต้องโตขึ้น ผมกลัวว่าถ้าเราต้องห่างกันแบบนี้ ไม่ใครก็ใครต้องเป็นฝ่ายเซย์กู๊ดบายแน่ แต่ผมคงไม่เอ่ยก่อนหรอก ตั้มน่ะสิ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวใจตั้มนะ เค้าเป็นคนน่ารักที่ค่อนข้างหล่อ ขี้เล่น ใครอยู่ใกล้ก็ต้องชอบ ผมรู้มาว่าพวกแต๋วแหววรุ่นเดียวกับตั้มก็ทำทีมาฉอเลาะเอานู่นเอานี่มาให้อยู่บ่อยๆ ทำเอาผมตาเขียวไปหลายทีเหมือนกัน

     “มาสเตอร์ครับ ความสุขจะอยู่กับเราได้ไม่นานจริงเหรอครับ” ผมนั่งคุยกับมาสเตอร์เลิศต่อหลังจบคลาสภาษาอังกฤษ
     “นึกไงถึงถามล่ะ มีอะไรกับตั้มอีกหรือเปล่าเนี่ย”
     “อ๋อ ปะ เปล่าครับ แค่บางทีเนลรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น ก็เลยถามมาสเตอร์ดูว่าคิดไปเองหรือเปล่า”
     “ฟังนะ จริงๆ แล้วน่ะ ความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คนรอบข้างหรือว่าสิ่งแวดล้อมใดๆ ก็ตาม แต่ความสุขที่แท้จริงนั้นน่ะ อยู่ที่ตัวของเราเอง ถ้าเราทำตัวเราให้เป็นสุข ยิ้มรับได้กับความจริงที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เราก็จะเป็นสุข และความสุขนี้แหละจะอยู่กับเราไปนานแสนนานเลยล่ะ”
     “แล้วถ้าเรารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นล่ะครับ”
     “หมายถึง...ความผิดหวังน่ะเหรอ”
     “………….”
     “คนเราจะสมหวังทุกเรื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มีผู้ชนะ ก็ต้องมีผู้แพ้ ถ้าทุกคนชนะหมด ก็จะไม่มีใครได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของตัวเองเลย สมมุตินะว่าถ้าในชีวิตเราเพอร์เฟ็กต์ไปซะทุกอย่าง สมหวังไปซะทุกเรื่อง แล้ววันนึงเกิดแอ๊คซิเดนท์ขึ้นมา อะไรก็ช่างที่ทำให้เราต้องผิดหวัง เมื่อนั้นแหละ เนลคงรู้คำตอบดีนะ ว่าชีวิตเราจะเฟลขนาดไหน”
     “ครับ”
     “จำคำมาสเตอร์ไว้นะว่าคนเราต้องเข้มแข็ง ต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ว่าความจริงนั้นมันจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม”
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตามที่มาสเตอร์เลิศสอนได้หรือเปล่าถ้ามันถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ ผมนิ่งไปสักพักนึกถามตัวเองขึ้นมาว่า...เราจะทำใจได้มั้ยเนี่ยถ้าเราต้องเสียตั้มไปอีก...แล้วทำไมผมต้องคิดอย่างนี้นะ มันเหมือนเป็นลางสังหรณ์ชัดๆ! 

                         ............................................................................


dorgchant

  • บุคคลทั่วไป

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
ดันด้วยคน อยากมาอ่านตอนต่อไปเร็วๆ
มาอัพเดทไวๆ นะครับ  :oni2:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
นั่นดิ  เกริ่นนำมาซะขนาดนี้

จะมีไรเกิดขึ้นอีกมั้ยเนี่ย

 :m15:

dorgchant

  • บุคคลทั่วไป

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ครับป๋ม

 :L2:

nuichanel

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 6

     เย้!!! และแล้วก็สอบเสร็จซะที มันโล่งมากๆ เลยอ่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก เหมือนเอานรกออกจากใจ (โห...ก็ว่าไปนั่น) พวกเราชาวเด็กหอก็เตรียมตัวกลับบ้านใครบ้านมัน ต่างทยอยกลับทีละคน...ทีละคน...ทีละคน...และเหมือนจะเป็นใจให้ผมกับตั้ม คืนนี้เหลือเราเพียงสองคน ดิวน้องของตั้มอาเค้ารับกลับไปก่อนแล้ว ส่วนตั้มเห็นว่าพ่อกับแม่จะมารับในวันพรุ่งนี้ ผมน่ะเหรออีกวันสองวันน่ะถึงจะกลับได้ เพราะต้องอยู่เคลียร์งานส่งมาสเตอร์อีกชิ้น
     “พี่เนล...”
     “ว่าไง ไอตั้มผีบ้า”
     “ถ้าตั้มไม่อยู่พี่เนลจะเหงาปะ”
     “ไม่เป็นไร อีกวันสองวันพี่ก็กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
     “………….”
     “มีอะไรหรือเปล่าตั้ม”
     “ปะ เปล่าพี่”
     “พรุ่งนี้พ่อกับแม่ตั้มจะไปรับที่โรงเรียนใช่ปะ”
     “ใช่พี่ ไปกันนอนเหอะ”
     “นอนอย่างเดียว ไม่มีเสียวนะน้อง ฮ่าๆๆๆ”
     เราสองคนหัวเราะแหย่กันอย่างสนุกสนานก่อนที่จะพากันเข้าห้องนอน ตลอดทั้งคืนเราสองคนไม่มีทีท่าว่าจะง่วงแต่อย่างใด ไม่รู้ว่าขุดเรื่องอะไรมาเม้าธ์กันบ้าง รู้แต่ว่าเรื่องแต่ละเรื่องที่เราคุยกันนั้น ผมมีความสุขมากๆ จนไม่ทันได้คิดเลยว่า...มันจะเป็นคืนสุดท้ายของเราสองคน!!!

     เช้าวันที่แสนจะสดใส แต่ใครจะคิดล่ะว่าเมฆครึ้มมันกำลังจะเคลื่อนตัวมาบดบังในไม่ช้านี้
     “เป็นไงตั้ม พบมาสเตอร์เรียบร้อยแล้วเหรอ”
     “…………..” ตั้มยิ้มบางๆ ให้ผม แต่ทว่าสายตาดูไม่ร่าเริงเอาซะเลย
     “แล้วพ่อกับแม่ล่ะจะมารับตอนกี่โมง”
     “บ่าย 3 น่ะพี่ แล้วพี่เนลเคลียร์งานส่งมาสเตอร์เรียบร้อยยังอะ”
     ผมก้มมองดูนาฬิกา นี่ก็บ่าย 2 ครึ่งแล้วนะเนี่ย อีกสักพักพ่อกับแม่ของตั้มก็คงมา
     “เรียบร้อย อืม...พรุ่งนี้พี่ก็กลับบ้านละ ตามไปติดๆ ตั้มไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหงาหรอกนะ บ่เป็นหยัง” ผมยังคงพูดหยอกเล่นกับตั้ม โดยที่ไม่เอ๊ะใจอะไรเลย
     “พี่เนล...”
     “ว่าไง”
     “……………...” ตั้มเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วพูดออกมาทำเอาผมถึงกับงง
     “ตั้มต้องไปแล้วนะ”
     “ไปไหน กลับบ้านน่ะเหรอ อืม รู้แล้ว”
     “ไม่ใช่ คือตั้มจะไปแล้ว เอ่อ...ไปเรียนต่อที่เชียงใหม่น่ะครับ ตั้มไม่ได้เรียนที่นี่อีกแล้วนะ”
     “ล้อเล่นน่า”
     “ตั้มพูดจริง พ่อแม่ตั้มเค้าให้ตั้มย้ายไปเรียนที่โน่น” ตั้มพูดกับผมโดยไม่ยอมสบตาผมเลย
     “ทำไมตั้มไม่บอกเรื่องนี้กับพี่ก่อนล่ะ”
     “มันกะทันหันน่ะพี่” ผมว่าจริงๆ แล้วตั้มคงไม่อยากบอกผมต่างหาก
     “ต่อไปเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ยตั้ม” ผมพูดด้วยความน้อยใจแกมประชดนิดๆ ส่วนในใจตอนนี้มันเริ่มปั่นป่วนบอกไม่ถูก
     “………………”
     “นี่พี่ต้องผิดหวังจากตั้มอีกแล้วเหรอเนี่ย”
     “………………” ไม่มีคำตอบใดๆ จากตั้ม ตั้มไม่พูดมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากๆ
     “ตั้ม...ตั้มจะไปแล้วจริงๆ เหรอ” 
     “ครับ” 
     “แล้วเราจะได้เจอกันอีกมั้ย”
     “ไม่รู้เหมือนกันครับ”
     “ตั้ม...พี่ขอหอมแก้มตั้มเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย”
     “………………”
     “ตั้ม”
     “เอ่อ...อย่าดีกว่าเนอะ อายเค้าอ่ะ”
     “ขออีกครั้งเดียว ครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอ” 
     “…………”
     ตั้มปฏิเสธผม...ทำไม ปฏิเสธผมทำไม หรือตั้มเพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองหน้าบาง อายใครต่อใครว่าเป็นแฟนกะเทย!
เราสองคนต่างนั่งกันนิ่งโดยไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย ตั้มก้มหน้าตลอด ส่วนผมก็ได้แต่มองตั้ม เพื่อที่จะจดจำใบหน้าของเด็กผู้ชายคนนี้ไว้ให้ได้นานที่สุด ช่วงเวลานี้มันรู้สึกอึดอัด สับสน หมองหม่น ระคนกันไป ผมอยากจะร้องไห้แต่มันก็ร้องไม่ออก น้ำตาตกในมันเป็นยังไง ผมเพิ่งได้รู้แจ้งก็วันนี้แหละ
     “พี่เนล...พ่อกับแม่ตั้มมารับแล้ว” 
     “……………” ผมพยักหน้าให้ตั้ม พร้อมรอยยิ้มที่กลบเกลื่อนความสะเทือนใจ ผมคงได้แต่ยิ้ม เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรอีก หรือเป็นเพราะผมพูดไม่ออกก็ไม่รู้นะ
     “ตั้มไปนะ”
     “โชคดีนะตั้ม” นี่คงเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมจะเอ่ยกับตั้มได้
     นี่มันอะไรกันเนี่ย สมองตอนนี้ผมตื้อไปหมดแล้ว ถ้านี่เป็นบทละคร คนเขียนบทกำลังแกล้งผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย ตอนแรกเขียนให้ผมมีความรัก...เขียนให้ผมอกหัก...เขียนให้ผมได้รับความรักอีกครั้ง...แล้วสุดท้ายเขียนให้ผมต้องผิดหวังอย่างกะทันหันแบบผมไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย...ผมอยากรู้จริงๆ ต่อไปจะเขียนให้ผมต้องเจอกับอะไรอีกเนี่ย?
     “จำคำมาสเตอร์ไว้นะว่าคนเราต้องเข้มแข็ง ต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ว่าความจริงนั้นมันจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม”
     คำพูดที่มาสเตอร์เลิศสอนผมแว้บเข้ามาในสมองทันที มันเหมือนจะช่วยให้ผมคิดได้ แต่ ณ ตอนนี้ผมยังไม่สามารถรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้...ขอโทษนะครับมาสเตอร์
     ลาก่อนนะตั้ม...ลาก่อน ผมจะไม่ลืมคนๆ นี้แน่นอน คนที่สอนให้ผมรู้จักคำว่า ‘รัก’ และคำว่า ‘เห็นแก่ตัว’


andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา การจากลาเป็นสัจจะธรรมของชีวิตนะจ๊ะ
ช่วงแรกเราอาจจะเสียใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง
แล้วเราก็แอบสะสมคนนั้นไว้ในกรุของคนที่เคยผ่านมา  ใช่ป่าว

dorgchant

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: เป็นกำลังใจสู้ต่อไปนะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด