::: ตอนที่ 5 :::
คนพิเศษย่อมต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษ
หลังจากที่เป้ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้แล้วความสงบจึงเข้ามาเยือนอีกครา จ้าวกำลังเฝ้ารอเวลาที่ตฤณจะกลับเข้ามาอย่างใจจดจ่อ เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะปกป้องผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดีตราบจนกระทั่งอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจ ภายในห้องจึงคละคลุ้งไปด้วยความอบอุ่นที่อบอวลไปทั่วห้อง แม้กระทั่งเจตรินที่อยู่ในตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะตัวนั้นยังจับสัมผัสได้
‘จ้าวดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ เรื่องเมื่อคืนทำให้ยิ้มได้เหรอ’“เรื่องเมื่อคืนก็ส่วนเรื่องเมื่อคืนครับ”
‘หายโกรธพี่แล้วใช่ไหม’“จ้าวไม่ใช่พวกที่จะอาฆาตแค้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ว่าแต่น่าเสียดายนะครับที่พี่เป้รีบร้อนออกไป ไม่ยอมอยู่ชิมซอสสตรอเบอร์รี่ฝีมือของพี่เลย ทั้งที่จ้าวอุตส่าห์นำเสนออย่างดี ไม่อย่างนั้น... พี่เจตคงได้เจอเขาบ่อยขึ้น”
‘พี่จะได้เจอเขาหรือไม่มันขึ้นอยู่กับจ้าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับซอสสตรอเบอร์รี่ที่พี่ทำ’จ้าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย สิ่งที่เจตรินพูดมาคือเรื่องจริง ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เดินเข้ามาหาด้วยตัวเองก็จะไม่มีวันได้พบเจอ ถ้าหากจ้าวไม่อนุญาตต่อให้ต้องร้องขอจนตายแล้วตายเล่า คำตอบที่ได้รับจากเขาก็คือคำปฏิเสธ อำนาจของจ้าวยิ่งใหญ่เกินกว่าที่วิญญาณตนอื่นในคฤหาสน์หลังนี้คิดแข็งข้อ
“แต่ซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตก็อาจจะมีส่วนทำให้เขาติดใจได้นะครับ”
‘…….’ดูเหมือนวันนี้จ้าวจะอารมณ์ดีจนน่ากลัว ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ในหัวกันแน่
“พี่เจตว่าจ้าวให้พี่ตฤณได้ลองชิมฝีมือซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตดูดีไหมครับ จ้าวว่าเขาต้องชอบมันมากแน่ หรือจะเป็นสเต๊กสีเลือด ไม่สิ... สเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์ที่ยังเห็นน้ำสีแดงไหลอยู่บนชิ้นเนื้อด้วยฝีมือจ้าว พี่ตฤณจะชอบแบบไหนมากกว่ากันนะ จ้าวไม่อยากลุ้นเลยครับ”
‘แบบไหนมันก็มีค่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ’ “จะบอกว่าเหมือนกันก็ได้ เพราะยังไงผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ไม่ได้ต่างกันอยู่ดี อ๊ะ! พี่ตฤณกลับมาแล้ว”
จ้าวกอดตุ๊กตาหมีตัวนั้นไว้แนบอก ลุกจากเก้าอี้ม้าโยกตัวประจำที่เขามักชอบนั่งเล่นวิ่งออกไปต้อนรับตฤณ ผู้ชายที่รู้สึกถูกชะตาจนอยากเชิญให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิตอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ากลมถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุนที่ใครเห็นต่างเป็นต้องหลงเสน่ห์ ดวงตาสีเพลิงที่เคยใช้มองผู้อื่นอย่างไม่เป็นมิตรถูกบดบังด้วยความโอบอ้อมอารี
“พี่ตฤณครับ!!”
เสียงตะโกนดังลงมาถึงข้างล่างก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งลงบันไดมาหาด้วยความคิดถึง เขากอดตุ๊กตาหมีไว้แนบอก หยุดยืนอยู่ตรงหน้าตฤณแล้วใช้สายตาช้อนมองผู้ชายที่สูงกว่าอยู่หลายเซนติเมตร
“พี่ตฤณไปไหนมาเหรอครับ เมื่อคืนนี้จ้าวรอทั้งคืนเลย”
“เอ่อ... พี่มีธุระน่ะแล้วคิดว่าน่าจะกลับดึกเลยไม่ได้มา ขอโทษทีนะ”
“งั้นเดี๋ยวจ้าวให้ลุงมิ่งเอาของไปเก็บไว้ในห้องนะครับ”
แค่คำว่าจ้าวจะให้ลุงมิ่งเอากระเป๋าสัมภาระและข้าวของบางส่วนที่ตฤณหอบหิ้วมาไปเก็บไว้ในห้องก็ไม่จำเป็นต้องเรียกขานให้เปลืองพลังงาน ลุงมิ่งเดินมาจากข้างหลังแล้วรับของที่ตฤณถือมาโดยที่เจ้าตัวเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลุงมิ่งโผล่มาจากที่ตรงไหน แต่ได้เพียงแค่คิดเมื่อจ้าวเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียออดอ้อน
“วันนี้จ้าวลองทำแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ อยากให้พี่ตฤณลองชิมดู ช่วยจ้าวชิมหน่อยนะครับ”
“เอ่อ...”
“นะครับ พี่เจตก็ไม่อยู่ด้วย พี่ตฤณชิมให้จ้าวหน่อยนะครับ”
ดูเหมือนตฤณจะไม่มีทางเลือกใดๆ เมื่ออีกฝ่ายทั้งทำน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่งสายตาออดอ้อนเชิงเว้าวอนขอร้องให้ช่วยชิมแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่เพิ่งทำครั้งแรก จะปฏิเสธก็กระไรอยู่ ฝ่ายนั้นลงทุนขอร้องเขาถึงขนาดนี้แล้ว
“ก็ได้ครับ”
“งั้นพี่ตฤณตามมาเลยครับ”
จ้าวคว้าข้อมือแกร่งเอาไว้แล้วจูงให้เดินตามมา เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ฝ่ามือเล็กแตะสัมผัสลงบนผิวหนังราวกับถูกก้อนน้ำแข็งเข้าปะทะจนเกือบจะชักมือกลับ แต่พอได้เห็นร่างตรงหน้า เขาก็รู้แค่เพียงว่าความรู้สึกนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองด้วยเพราะบรรยากาศโดยรอบช่างเงียบเหงาวังเวงจนน่าขนลุก
“พี่ตฤณชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ ไว้คราวหน้าจ้าวจะได้ลองทำให้”
“จริงๆ พี่กินมาจากข้างนอกก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้จ้าวทำให้เถอะนะครับ พี่ตฤณจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อข้าวกินข้างนอกแล้วอีกอย่างจ้าวจะได้ถือโอกาสฝึกมือไปด้วยในตัว จ้าวแค่… อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้พี่ตฤณน่ะครับ”
เด็กคนนี้ใจดีจนตฤณเกรงใจ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่เสแสร้งทำเอาเขาใจอ่อน ยอมตกปากรับคำง่ายๆ
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
จ้าวพาตฤณเดินมาถึงห้องหนึ่งที่มีโต๊ะตัวยาวพอจะนั่งร่วมกันได้ยี่สิบสามสิบคน เทียนไขสีดำบนโคมไฟระย้าที่ติดอยู่บนเพดานส่องแสงสว่าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็พอจะช่วยทำให้เห็นอะไรภายในได้มาก สุดปลายทางของห้องที่ตฤณเห็นนั้นมีรูปครอบครัว พ่อแม่และลูกอีกสองคน เมื่อลองเพ่งมองให้ดีแล้วเขาพบว่าเด็กผู้ชายทั้งสองนั้นคือสองพี่น้องเจตจ้าว ใบหน้าบนรูปวาดประดับอยู่ดูงดงามราวกับภาพเหล่านั้นจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
“นั่นรูปพ่อกับแม่ของจ้าวเองครับ พวกท่านเสียไปนานมากแล้ว”
“ทำไมสีตาของจ้าวถึงได้ไม่เหมือนพวกท่านเลย”
ไม่ต้องให้ตฤณเดินเข้าไปใกล้จนสามารถพินิจพิจารณารายละเอียดได้อย่างถี่ถ้วน เขาก็รับรู้ได้ว่าสีนัยน์ตาของจ้าวนั้นแปลกกว่าใคร
“จ้าวก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่พ่อบอกว่าที่สีตาของจ้าวเหมือนเพลิงในนรกนั้นทำให้จ้าวดูพิเศษกว่าคนอื่น มันก็แค่คำปลอบใจเพราะไม่อยากให้เรารู้สึกแย่ พี่ตฤณคิดแบบนั้นไหมครับ”
ในขณะที่ตฤณกำลังจะตอบ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินนำถาดแพนเค้กพร้อมซอสสตรอเบอร์รี่เข้ามาวางไว้บนโต๊ะก่อนที่เธอจะเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร จ้าวเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ตฤณได้มานั่ง เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร จะเห็นด้วยหรือไม่เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้มีเพียงแค่ว่าแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่ถูกจัดวางอยู่บนจานขาวอย่างงดงามนั้นจะถูกปากหรือเปล่า
“พี่ตฤณลองชิมดูครับ”
ตฤณนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนให้ เขามองไปยังแพนเค้กสองแผ่นที่อยู่ตรงหน้า วิปครีมสีขาวลูกกลมฟูฟ่อง มือเล็กสีไข่มุกหยิบถ้วยซอสสตรอเบอร์รี่ราดลงไปบนนั้นอย่างช้าๆ เส้นสายเล็กๆ ไหลลงมาบนเนื้อแพนเค้ก บางส่วนถูกราดทับวิปครีมสีขาวนวลจนยุบตัวลงเล็กน้อย
“ให้จ้าวป้อนด้วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเองดีกว่า”
แพนเค้กชิ้นขนาดพอดีคำถูกตักเข้าปาก ทันทีที่สัมผัสลิ้นมันช่างนุ่มราวกับปุยเมฆจะแทบจะละลาย กลิ่นเนยหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วแต่ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกเฝื่อนลิ้น กลิ่นแปลกๆ ฉุนกึกติดจมูกจนต้องขมวดคิ้ว เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็ค่อยจางหายไปแทนที่ด้วยความหอมหวานที่เขาอยากลิ้มลองมันอีกเรื่อยๆ ไม่หยุดปาก
“พี่ตฤณชอบไหมครับ แพนเค้กสูตรพิเศษของจ้าว”
“พี่รู้สึกเหมือนซอสมันฝาดๆ กลิ่นแปลกๆ มันคือซอสสตรอเบอร์รี่แน่เหรอ”
“แน่สิครับ”
จ้าวหยิบช้อนที่ตฤณวางไว้บนจานขึ้นมา เหลือบมองมันก่อนเลื่อนสายตาไปยังผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลากปลายลิ้นเลียคราบซอสที่ยังหลงเหลืออยู่บนนั้น สายตาที่ส่งไปให้ราวกับกำลังเชิญชวนให้ลิ้มลอง หากแต่มันไม่ได้หมายความถึงแพนเค้กสีเหลืองทอง
“กินไหมครับ”
“จ้าว...”
“อ๊ะ! ขอโทษครับ จ้าวขอไปดูก่อนนะครับว่ามีใครเตรียมน้ำให้พี่ตฤณอาบหรือยัง เดี๋ยวกลับมาครับ”
จ้าวเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับตุ๊กตาหมีขนปุยที่ยังอยู่ในมือ ปล่อยให้ตฤณจมจ่ออยู่กับแพนเค้กรสชาดประหลาดที่จะติดใจไปอีกนานแสนนานจนยากจะถอนตัว เมื่อเขาออกมาได้ไกลพอสมควรที่ตฤณจะไม่ได้ยินเรื่องที่พูดคุยกันต่อจากนี้ วิญญาณของเจตรินที่อยู่ในร่างของตุ๊กตาหมีเห็นทุกการกระทำของน้องชายตลอดเวลา เขาออกจะหงุดหงิดและไม่เข้าใจในการกระทำนั้นจนอดที่จะโผล่งออกมาอย่างอารมณ์เสียไม่ได้
‘จ้าว ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่’ “พี่เจตครับ จ้าวก็แค่พยายามต้อนรับเขาอย่างดีเป็นพิเศษ พี่จะโกรธอะไรครับ”
‘ต้อนรับอย่างดี! จ้าวใส่อะไรลงไปในซอสสตรอเบอร์รี่ให้เขากิน’“เอ๋? ใส่อะไร เปล่านี่ครับ มันก็แค่ซอสธรรมดาฝีมือพี่เจต”
‘ไม่ใช่ มันแปลกตั้งแต่ที่จ้าวพยายามชวนเป้กินแล้ว มันหลายครั้งเกินจนพี่ว่ามันต้องมีอะไร ตอบพี่มานะ’ รอยยิ้มเย็นแฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่ไม่พยายามปกปิด มือเล็กยกตุ๊กตาหมีตัวนั้นขึ้นมาให้จ้องหน้า ดูสายตา จดจำความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวก่อนที่จะใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบลงไปยังแขนตุ๊กตาหมีจนมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำก่อนจะเขียวแล้วกลับเป็นสีแดงดั่งเลือด
‘จ้าว~ ปล่อย พี่เจ็บ’“จะเจ็บกว่านี้ถ้าพี่พยายามอยากรู้อยากเห็น”
แรงมือที่บีบลงบนแขนของตุ๊กตาทั้งสองข้างถูกคลายออกแต่มันยังต้องอยู่เผชิญหน้ากับสายตาที่จะพาลงนรกได้ตลอดเวลาถ้าหากทำอะไรไม่คิดอีก
‘คนนั้นมีอะไรดีให้จ้าวสนใจ ปกป้องได้ขนาดนี้’“พี่เจต”
น้ำเสียงกดต่ำแสดงถึงความไม่พอใจ แต่เจตรินไม่มีทีท่าว่าจะกลัว เขากลับถามย้ำในคำถามเดิมอีกครั้ง
‘ทำไมคนนั้นถึงได้พิเศษนัก ตอบพี่ได้ไหม แค่คำถามนี้แล้วพี่จะไม่ถามเรื่องเขาอีก จ้าวจะทำอะไรกับเขาก็แล้วแต่เลย พี่จะไม่สนใจ’“จ้าวก็ไม่รู้ แต่เขาคือคนพิเศษ คนที่จ้าวจะไม่ยอมให้ใครหรือวิญญาณตนไหนมาทำร้าย”
‘พี่หมดข้อสงสัยแล้ว แต่พี่แค่เป็นห่วงว่าถ้าเขารู้ว่าเราเป็นอะไรแล้วเขาจะทำให้น้องพี่เสียใจ’“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจ้าวเตรียมวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว พี่เจตอยากจะไปเดินเล่นที่ไหนสักหน่อยไหมครับ”
‘พี่ไม่ไปไหนหรอก วางพี่ทิ้งไว้ในห้องก็ได้’----------------------------------------
แพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่รสชาดประหลาดแต่กลับเชิญชวนให้ลิ้มลองจนสุดท้ายแล้วตฤณก็กินมันจนหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งซอสติดถ้วย เขานั่งรออยู่ตรงนั้นในระหว่างรอจ้าวเดินกลับมา ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกสายตาของใครบางคนจ้องมองเช่นเดียวกับเช้าวันนั้น มองมาที่เขาอย่างไม่วางตา พอเหลียวกลับไปมองรอบกายก็พบเพียงแค่ว่ามีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องนี้ รูปภาพของครอบครัวเจ้าของคฤหาสน์ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะมีชีวิตที่สัมผัสได้เข้าไปทุกทีราวกับว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้ เราอาจได้พูดคุยกันแต่รูปภาพก็ยังเป็นเพียงรูปภาพ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำเอาตฤณสะดุ้งสุดตัว เขากรอกเสียงของตัวเองลงไปทันทีที่รับสาย
“เนตร ว่ายังไง”
[ ตฤณ เรื่องรายงานจะเอายังไง พรุ่งนี้มาทำที่บ้านเนตรไหม ]
“ถามยุ้ยกับลีหรือยัง พวกเขาตกลงจะไปทำรายงานที่ไหน”
[ ถามแล้ว พวกเขาบอกว่ายังไงก็ได้ เนตรเลยคิดว่ามาทำกันที่บ้านเนตรดีไหม ตฤณกับลีก็อยู่หอ ส่วนยุ้ยอยู่คอนโดกับน้อง อีกอย่างบ้านเนตรก็กว้างพออยู่ได้สบายเลย จะค้างคืนก็ได้นะ ที่บ้านยังมีห้องว่างเหลืออีกตั้งหลายห้อง ]
“เอ่อ...”
ในขณะที่ตฤณกำลังคิดหาคำตอบ เขาก็ได้ยินเสียงใสๆ พูดขึ้นมา “พี่ตฤณครับ จ้าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วนะครับ”
“เอ่อ... เนตร เดี๋ยวโทรกลับนะ”
[ ตฤณ! เดี๋ยว! นั่นเสียงใคร ]
“เดี๋ยวโทรกลับ แค่นี้ก่อนนะ”
ตฤณวางสายลงทันทีเมื่อเห็นว่าจ้าวเดินตรงเข้ามาหา เขาอยากออกไปจากห้องนี้จะแย่แล้ว ยิ่งอยู่เหมือนยิ่งถูกเพ่งเล็ง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เนตรโทรเข้ามาและเขารับสาย ความรู้สึกในวินาทีนั้นเหมือนกำลังถูกใครแอบฟังบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ขอโทษนะครับ จ้าวมาขัดจังหวะหรือเปล่า”
“อ๋อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ค่อยโทรกลับไป”
“งั้นพี่ตฤณไปอาบน้ำดีกว่าครับ อาบดึกกว่านี้แล้วเดี๋ยวจะไม่สบายซะก่อน”
ตฤณพอจะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเด็กตัวเล็กคนนี้แต่ยังไม่ชินที่จะมีใครสักคนมาคอยเอาอกเอาใจ หานู้นนี่นั่นให้ คอยบริการทุกอย่างราวกับเขาเป็นพระราชา
“ไปกันเถอะครับ พี่ตฤณ”
“ก็ได้ครับ”
----------------------------------------
จ้าวเพียงแค่ชวนตฤณไปอาบน้ำแต่ไม่ได้เข้าไปอาบด้วย เขานั่งรออยู่บนเก้าอี้วิคตอเรียที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องสำหรับพักผ่อนจิบชายามบ่าย ในมือเล็กไม่ได้โอบกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง เขาปล่อยให้เจตรินได้มีอิสระบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องและดูไม่มีทีท่าว่าจะออกมาขัดขวางการกระทำอื่นใดของน้องชายเลย
เสียงโทรศัพท์ของตฤณดังอยู่หลายครั้งจนจ้าวถือวิสาสะเดินไปแอบดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก่อนจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อตฤณเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยการพันผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวเฉพาะตรงส่วนล่างของลำตัวเพื่อไปรับโทรศัพท์สายนั้น
“เนตร”
[ ตฤณ เนตรอยากรู้ว่าจะมาได้ไหม ]
“เดี๋ยวให้คำตอบได้ไหม ตอนนี้ยังไม่ว่างเลย”
[ ได้ๆ งั้นเนตรจะรอนะ ]
“อืม เดี๋ยวโทรไปนะ”
ตฤณวางสายจากเนตรผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปแล้วหันไปมองหน้าจ้าวที่มองมายังเขาด้วยความสงสัยแต่ช่างดูน่ารักเอาเสียมากๆ จนรู้สึกเหมือนจะหลงใหลในเสน่ห์แห่งความน่ารักนั้นเข้าเสียแล้ว
“พี่ตฤณครับ จ้าวไม่กวนแล้วนะครับ หลับฝันดีครับ”
ในขณะที่จ้าวกำลังหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกจากห้องไปก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน ริมฝีปากเรียวเป็นกระจับยกยิ้มเล็กน้อยราวกับนี่คือหนึ่งในแผนที่เจ้าตัววางเอาไว้ เขาหันกลับไปแล้วส่งสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ตั้งคำถามอีกฝ่ายว่าที่ยังรั้งเอาไว้นั้นต้องการอะไร
“จ้าว คือ... พรุ่งนี้พี่อาจจะไม่กลับนะ”
“เอ๋? พี่ตฤณจะไปไหนเหรอครับ แต่... ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องบอกก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่”
“ก็แค่ไปทำรายงานบ้านเพื่อนน่ะ ถ้ามันต้องอยู่ดึกมากก็คงค้างที่นั่นเลย”
ใบหน้ากลมมนดูเศร้าสลดลงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตฤณจะไม่อยู่พรุ่งนี้และอาจจะกลายเป็นว่าต้องลากยาวถึงเช้าวันใหม่ด้วยเลยก่อนจะเงยขึ้นสบตา ตีหน้าซื่อเล่าความเท็จ เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจหรืออะไรก็ได้ที่รั้งให้ตฤณอยู่ที่นี่ “งั้นเหรอครับ พี่เจตก็ยังไม่กลับจากทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยสิ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ จ้าวอยู่คนเดียวได้ พี่ตฤณจะอยู่ค้างที่บ้านเพื่อนอีกสักคืนก็ได้นะครับ ถ้าทำรายงานไม่เสร็จ”
“งั้นพี่โทรไปบอกเพื่อนให้มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม จ้าวอนุญาตหรือเปล่า”
ดวงตากลมโตสีแดงเพลิงเป็นประกายด้วยความดีใจ ริมฝีปากรูปกระจับสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ การให้ตฤณได้อยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับการที่อยากให้ผู้หญิงที่ชื่อเนตรซึ่งเป็นชื่อที่ตฤณพูดถึงและปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อครู่ได้แวะมาที่นี่ เขายินดีที่จะตอนรับอย่างเต็มที่จนอีกฝ่ายต้องประทับใจไม่ลืม
“เอาสิครับ งั้นจ้าวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
จ้าวเดินออกจากห้องไปเมื่อพูดจบ เขาไม่ได้หวังว่าจะให้ตฤณรั้งเอาไว้อีก ในเมื่อหนึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นได้มาอยู่ในมือแล้ว ขาดเพียงแค่ค่อยๆ ช่วงชิงบางสิ่งบางอย่างมาทีละเล็กทีละน้อยจนท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แค่เพียงก้าวเท้าออกมาจากห้อง แค่เพียงบานประตูปิดลง วิญญาณของเจตรินก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าน้องชาย เขาปล่อยให้จ้าวเดินห่างออกมาจากห้องที่ตฤณพักอยู่จนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นจะไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาใดๆ ที่เกิดขึ้น
‘พรุ่งนี้ต้องการมื้อพิเศษหรือโปรแกรมพิเศษอะไรไหม พี่ช่วยได้นะ’“พี่เจตช่างรู้ใจจ้าวจังเลยครับ แต่เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมครับ ถ้าพี่ตฤณได้ยินเข้ามันคงหมดสนุกแน่เลย”
‘ก็ได้ พี่อยากให้รู้ไว้นะว่าอะไรที่ทำให้จ้าวมีความสุข พี่ยอมทำทุกอย่าง’----------------------------------------
ตฤณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อขออนุญาตเจ้าของคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อย เขาจึงโทรกลับไปหาเนตรที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่รอสายเพียงไม่นาน เสียงหวานใสจากปลายสายก็ดังเข้าหู
[ ตฤณ ว่ายังไง ตกลงไปทำรายงานที่บ้านเนตรใช่ไหม ]
“คงไม่ได้หรอกเนตร ผมเพิ่งย้ายที่อยู่ใหม่ ยังมีของต้องจัดอีกเยอะแยะ เปลี่ยนมาทำรายงานที่ห้องผมไหม”
[ เอ๊ะ? ย้ายหอ? ย้ายทำไมอ่ะ อยู่ตรงนั้นสะดวกจะตาย แล้วย้ายตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเนตรไม่รู้เลย ]
“จริงๆ ต้องย้ายมาเมื่อวานแล้ว มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม”
[ อืม ก็... ตฤณว่ายังไงก็คงต้องว่าตามนั้น แต่เนตรไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมตฤณถึงย้าย ]
ตฤณนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยอยากบอกออกไปเท่าไรนักว่าเพราะความกลัวตายของตัวเองล้วนๆ ที่ทำให้ต้องรับปากกับเด็กคนนั้นว่าจะอยู่ที่นี่โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใดๆ อีกทั้งเด็กคนนั้นก็อยู่กับพี่ชายแค่สองคน ถ้าหากเขาทิ้งไปแม้เพียงคืนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายน้ำใจที่อีกฝ่ายให้ที่พักพิงเกินไป
“ผมอยู่ฟรีน่ะ”
[ เดี๋ยวนี้ยังมีคนใจดีแบบนี้อยู่อีกเหรอ แล้วถ้าเนตรบอกว่าเนตรก็ใจดีเหมือนกัน ให้ตฤณมาอยู่บ้านเนตรฟรีๆ ตฤณจะมาไหม ]
“มันไม่เหมือนกัน”
[ ไม่เหมือนกันตรงไหน ]
“ไม่เหมือนตรงที่คนใจดีคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายน่ะสิ”
[ เนตร... เนตรขอโทษ เนตรแค่เผลอคิดว่าตฤณอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ]
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ อีกแปปจะส่งที่อยู่ไปให้ ฝากโทรบอกคนอื่นด้วย”
หลังจากที่วางสายของเนตรไปแล้ว เขาก็กลับมารู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่างกายทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน ทั้งที่ประเทศตั้งอยู่ใกล้แถบเส้นศูนย์สูตรและตอนนี้เป็นหน้าร้อน อันที่จริงก็ร้อนทุกฤดูจนแยกไม่ออกว่าตอนไหนร้อนแท้ร้อนเทียม แต่ถึงจะร้อนหรือหนาวก็ไม่ควรจะรู้สึกไปถึงกระดูกขนาดนี้
ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองอยู่กลับมาอีกครั้งแล้วทั้งที่ไม่มีใครแต่ทำไมเขายังรู้สึกแบบนี้อยู่อีก ไม่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น เขายังได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินย่ำไปมาวนเวียนอยู่หน้าห้องเป็นจังหวะคล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ตฤณยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน บางทีคฤหาสน์หลังนี้ก็น่ากลัวเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ ยิ่งโดยเฉพาะเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินด้วยแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูห้องในขณะที่บรรยากาศเงียบกริบทำเอาตฤณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู
“อ้าว~ จ้าว”
“พี่ตฤณ ขอโทษนะครับที่มารบกวน คือ... จ้าวนอนไม่หลับ”
ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จคงกลายเป็นงานอดิเรกของจ้าวไปแล้วตั้งแต่ที่ตฤณรับปากว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันและดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย กลับรู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยตัวเล็กคนนี้เสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็เสียไปแล้วเหลือเพียงแค่พี่ชาย ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าต้องอยู่คนเดียวอีก
“เข้ามานอนกับพี่ไหม”
“ได้เหรอครับ จ้าวทำพี่ตฤณลำบากใจหรือเปล่าครับ”
“ไม่นะ เข้ามาสิ”
จ้าวเดินเข้าห้องไปตามคำเชิญ ในจังหวะนั้นเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายที่ตฤณไม่อาจคาดการณ์ได้ว่ามันจะเลวร้ายไปอีกมากเท่าไรกันก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมา ทำทีน่าสงสาร เรียกร้องความเห็นใจและเอื้ออาทร
“พี่ตฤณใจดีกับจ้าวจังเลยครับ จริงๆ แล้วจ้าวต้องนอนกอดพี่ชายทุกคืนแต่คืนนี้พี่ชายไม่อยู่ จ้าวพยายามแล้วนะครับแต่ว่าทำยังไงมันก็ยังนอนไม่หลับถ้าไม่มีคนกอด พี่ตฤณกอดจ้าวตอนนอนด้วยได้ไหมครับ จ้าวอยากหลับฝันดี”
“ได้สิ”
แค่กอดตอนนอนคงไม่มีอะไรมาก แค่กอดที่เด็กคนนั้นอยากได้คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น การตอบแทนอีกฝ่ายด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงตฤณไปสักเท่าไร เขาจึงไม่คิดสงสัยในสิ่งใด อีกทั้งการได้จ้าวมานอนอยู่ในห้องเป็นเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าค่ำคืนนี้อาจจะไม่ต้องนอนผวาไปทั้งคืนเพียงลำพังอีกแล้ว
“พี่ตฤณ จ้าวอยากบอกว่าขอบคุณนะครับ”
ตฤณไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะกล่าวขอบคุณ เขาต่างหากที่ควรจะขอบคุณที่อุตส่าห์มานอนด้วยมากกว่า
“พี่ตฤณนอนฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาครับ ชอบติดประตูหรือติดหน้าต่างมากกว่ากัน”
“เอ่อ... ตรงไหนก็ได้”
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งประตูห้องหรือฝั่งหน้าต่างของห้อง ฝั่งไหนก็ไม่น่านอนทั้งนั้น ถ้าให้เลือกที่นอนติดประตูก็อาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องจนอาจทำให้เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ถ้าเลือกที่นอนติดหน้าต่างก็จะเห็นบรรยากาศด้านนอกที่ชวนให้ขนหัวลุก สภาพที่เหมือนคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานชวนให้เขาหลับตาลงได้อย่างสนิทใจจริงๆ
“งั้นพี่ตฤณนอนริมหน้าต่างนะครับ เดี๋ยวจ้าวจะนอนฝั่งประตูเอง”
ทันทีที่พูดจบ จ้าวในชุดนอนตัวยาวคล้ายกระโปรงลูกไม้แขนยาวฟูฟ่องสีขาวกับกางเกงผ้าห้าส่วนสีเดียวกันกระโดดก้าวขึ้นเตียงนอน มือเล็กกระชับปกคอเสื้อเข้าหากันก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน ดวงตาสีเพลิงจ้องมองร่างสูงอย่างเชิญชวน มือข้างหนึ่งตบลงบนฟูกนอนเรียกให้ตฤณลงมานอนข้างเขาได้แล้ว
“พี่ตฤณครับ นอนกันเถอะ จ้าวง่วงแล้ว”
ตฤณทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ จ้าวแต่ทว่าหมอนหนุนที่มีอยู่ในห้องนั้นมีเพียงใบเดียว ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบเมื่อจำต้องใช้หมอนร่วมกัน เมื่อเห็นสายตาอันร้อนแรงดั่งเพลิงจ้องมองมา วินาทีนั้นราวกับถูกมนต์สะกดให้หลงใหล ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กที่อายุน่าจะไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำแต่ทว่าทั้งใบหน้า รูปร่างและท่าทางที่เห็นราวกับมีแรงดึงดูดให้เขาเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ตฤณ กอดจ้าวด้วยสิครับ”
“ต้องกอดด้วยเหรอ”
“ครับ ไม่อย่างนั้นจ้าวนอนไม่หลับนะครับ”
ถ้าให้ตฤณกอดร่างเล็กที่อยู่ห่างกันยังไม่ถึงเอื้อมมือ เขารู้สภาพตัวเองเลยว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นบางอย่างเด่นชัดขึ้น มันหอมหวานแต่ไม่ถึงกับฉุนเข้าจมูกชวนให้เคลิบเคลิ้ม ยิ่งได้สบตาสีเพลิงดั่งไฟในโลกันต์ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองจะร้อนรุ่มขึ้นมาราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา
“กอดจ้าวสิครับ พี่ตฤณ”
ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอาใบหน้าของตัวเองซุกลงกับแผงอกกว้าง
“เอ่อ...”
“พี่ตฤณลำบากใจเหรอครับ ไม่เป็นไร ขอแค่ให้จ้าวนอนอยู่อย่างนี้ก็ได้ครับ”
“ขอโทษนะ”
จ้าวเกือบจะถอดใจไปแล้วแต่ทว่าหลังจากคำขอโทษนั้นมือแกร่งก็เอื้อมขึ้นมาโอบรอบร่างของเขาเอาไว้ แค่เท่านี้... ที่เขาอยากได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ในเมื่อตฤณให้ในสิ่งที่เขาต้องการ จ้าวก็จะตอบแทนด้วยการมอบความสงบในค่ำคืนนี้กลับไปบ้าง แน่นอนว่าหลังจากนั้นทั้งเสียงและบรรยากาศรอบๆ ที่ตฤณเคยประสบพอเจอมาก่อนหน้านี้พลันหายไปทันที
---- ติดตามตอนต่อไป ---
กลับมาแล้วค่าาาาาาาา หลังจากหายไปเป็นเดือนเลย ไม่รู้ว่าจะมีใครลืมพี่ตฤณกับหนูจ้าวไปแล้วบ้างหรือเปล่า
ตอนนี้จะดูซอล์ฟๆ นิดนึงนะคะ เก็บความหลอนไว้ตอนอื่นบ้างค่ะ เดี๋ยวหลอนทุกตอนมันจะไม่ลุ้นเอา แหะๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคำคอมเม้นท์ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ+++++++++++++
rockiidixon666ขอบคุณนะคะ ไม่ใช่เป้คู่กับพี่เจตแน่นอนค่ะ เป้นี่ไปแล้วไปลับเลยค่ะ ^^
areenart1984ขอบคุณค่ะ ตอนที่ห้านี่ยังไม่หลอนเนอะคะ
kunขอบคุณค่ะ พี่ตฤณคัมแบ็คแล้ว พี่ตฤณก็จะคัมแบ็คยาวๆ ไปเลยค่ะ
ไปเที่ยวมาสนุกมากค่ะ แต่ก็ป่วยกลับมาด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้หายดีแล้วค่ะ