✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]  (อ่าน 17934 ครั้ง)

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2018 16:35:03 โดย BlueSora »

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
✤† Đemon’s Ħouse †✤
คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ



::: บทนำ :::



[ ห้องว่างแบ่งให้เช่า 1,000.- / เดือน สนใจ ติดต่อด้านใน ]

คำประกาศแบ่งห้องให้เช่าด้วยราคานี้เป็นเรื่องน่าสนใจและควรรีบไขว่คว้าเอาไว้สำหรับคนที่ไร้บ้านและไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าด้วยราคาที่สูงกว่านี้ เฉกเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนในสภาพมอมแมม หนวดเคราดกเฟิ้มราวกับไร้การดูแลมาร่วมเดือน ใบหน้ากร้านแดดโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล กระเป๋าเป้ใบใหญ่บนหลังแบกสัมภาระทั้งหมดที่เจ้าตัวมีเอาไว้

ดวงตาคมเข้มดูแสนอิดโรยมองดูแผ่นป้ายประกาศขนาดเอสี่บนเสาประตูรั้ว เพียงแค่คิดว่าน่าสนใจ ประตูคฤหาสน์รูปทรงสไตล์โรมันก็เปิดออกอย่างช้าๆ ปรากฏให้เห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวครีมยกคอสูงมีริบบิ้นสีดำเส้นเล็กผูกไว้หลวมๆ กับกางเกงสีดำทรงฟักทองดูน่ารักน่าเอ็นดู มือข้างหนึ่งอุ้มตุ๊กตาหมีขนปุยปอนๆ เหมือนไม่เคยถูกนำไปทำความสะอาดมาก่อน เด็กคนนั้นก้าวลงมาจากบันไดตรงเข้าหาชายหนุ่มวัยกลางคนแล้วเอื้อนเอ่ยถามเสียงเบาแต่ทว่าฟังดูไพเราะ น่าหลงใหล

“จะมาเช่าห้องใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้ามาก่อนครับ”

“เอ่อ... แต่ผมมีปัญหาเรื่องเงิน”

ชายคนนั้นเอ่ยถึงปัญหาทางการเงินของตัวเองที่ตอนนี้ก็ยังแก้ไม่ตก มันฟังดูเป็นเรื่องน่าอายที่แม้แต่เงินค่าเช่าห้องราคาถูกยังไม่มีจ่าย เขาไม่ได้หวังจะให้เจ้าของคฤหาสน์เห็นใจหรือผ่อนผันให้แต่เพียงแค่ต้องการแจ้งให้ทราบเอาไว้ก่อน

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ”

“แต่...”

“คุณคิดว่าคฤหาสน์หลังโตขนาดนี้แบ่งให้เช่าด้วยราคาเท่านี้มันคุ้มแล้วเหรอครับ”

จริงอย่างที่เด็กคนนั้นว่า ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งมากมายอย่างนี้แต่ยังเก็บค่าเช่าในราคาถูกแสนถูกจนแทบจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ชายวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยถามถึงสัญญาการเช่าหรือแม้แต่การจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย

“แล้วเรื่องสัญญาเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ลุงต้องทำยังไง”

“ไม่ต้องทำอะไรครับ ถ้าลุงอยากจะพักวันนี้เลยก็ได้”

“ได้เหรอ”

“ครับ แต่ขอแค่ปฏิบัติตามกฎของที่นี่ก็พอ”

“กฎ?”

กฎที่เด็กหนุ่มตัวน้อยพูดถึงก็คงจะเป็นกฎทั่วๆ ไปเหมือนตามห้องเช่าที่อื่นๆ อาทิ เวลาเปิดปิดของสถานที่พักหรือไม่ก็ถ้าหากทำข้าวของเสียหายต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงินเท่าไร เป็นต้น แต่ชายผู้นั้นคงนึกไม่ถึงว่ากฎพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับคฤหาสน์หลังนี้

“ครับ กฎข้อแรก... หลังเที่ยงคืน ห้ามออกจากห้อง ห้ามส่องกระจก หากได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรไม่ต้องสนใจ กฎข้อที่สองคือปฏิบัติตามกฎข้อแรกอย่างเคร่งครัด”

ชายคนนั้นพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะถาม สัญญาเช่าก็ไม่ต้องเขียนแถมค่าเช่าก็ยังถูกแสนถูกกับกฎประหลาดประจำคฤหาสน์หลังนี้ทำให้เขายอมเก็บเรื่องที่จะถามเอาไว้ในใจเงียบๆ แต่เหมือนเด็กหนุ่มในชุดอันแสนน่ารักน่าเอ็นดูจะอ่านใจออกจึงพูดออกมาเสียเอง “ถ้าหากลุงมีธุระให้ต้องกลับหลังเที่ยงคืน มาถึงแล้วก็รีบเข้าห้องทันทีนะครับ”

“ที่นี่มีผีไหม”

“ถ้าลุงคิดว่ามีมันก็มี แต่ถ้าลุงคิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี”

“แล้วหนูชื่ออะไร ลุงชื่อมิ่ง”

เด็กคนนั้นกอดตุ๊กตาหมีในอ้อมแขนเอาไว้แน่นแล้วหันมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองชายวัยกลางคนนิ่งงัน เพียงไม่นานเหมือนได้สติ ใบหน้ากลมมนสีไข่มุกก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามแสดงความเป็นมิตรมากที่สุด “จ้าว ผมชื่อจ้าว”

“หนูจ้าวแล้ว... พ่อแม่ของหนูล่ะ”

“เสียหมดแล้วครับ”

จ้าวไม่ใช่ผู้ที่มีความอดทนมากพอที่จะต้องมาตอบคำถามที่เริ่มจะละลาบละล้วงถึงเรื่องส่วนตัว เขาหันไปจ้องหน้าลุงมิ่งด้วยแววตาโกรธเคืองระคนไม่พอใจ มือเล็กกำแขนตุ๊กตาหมีขนปุยมอมแมมในอ้อมแขนแน่นเสียจนเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ท่อนแขนกลมๆ ของตุ๊กตาตัวนั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ

“เราไปดูห้องพักกันดีกว่าครับ”

จ้าวตัดบทดื้อๆ ด้วยการเอ่ยพาไปชมห้องพักที่อยู่บนชั้นสอง เขาพาเดินขึ้นบันไดเวียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางคฤหาสน์เมื่อยามที่เดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว บันไดเวียนหินอ่อนถูกแยกออกเป็นสองฝากฝั่งทั้งซ้ายและขวาเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างเล็กพาเดินเลี้ยวไปยังฝั่งซ้ายมือและกำชับอย่างดิบดีว่า “ถ้าไม่จำเป็น อย่าไปเดินฝั่งนั้น”

“มันมีอะไรเหรอหนูจ้าว ลุงรู้ได้ไหม”

“ไม่รู้จะดีกว่าครับ”


*** to be continued ***

เรื่องนี้อาจจะนำมาลงไม่บ่อยเท่าเรื่องตุ๊กตาไขลานนะคะ แต่ก็จะเอามาลงเรื่อยๆ (เอ๊ะ! ยังไง)
แถมสุดท้ายคือ... นิยายเรื่องนี้ไม่มีดราม่า น้ำตาไม่ท่วมและเป็นนิยายที่ไม่มีสาระนะคะ อ่านได้เรื่อยๆ ไม่เครียด
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 1 :::
จันทร์เอ๋ย จันทร์จ้าว




จันทร์เอ๋ย จันทร์จ้าว ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า

เสียงร้องเพลงดังก้องกังวานมาตามทางเดิน คงจะดีถ้าหากว่าลุงมิ่งไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง ถึงแม้การตกแต่งภายในจะค่อนข้างงดงามสักเท่าไรก็ตามแต่บรรยากาศบริเวณโดยรอบกลับชวนให้นึกถึงสมัยทำงานรับใช้คุณนายอยู่ในบ้านเรือนไทยที่ต่างจังหวัดแล้วได้ยินเสียงเพลงไทยเดิมเป็นเสียงประกอบลอยมาตามลม

ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน


ขนแขนลุกเกรียวกราวโดยไม่ต้องเรียกร้องใดๆ ความรู้สึกเหมือนอีกไม่นานตัวเองจะถูกผีหลอกมันหลั่งไหลเข้ามา เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวออกห่างจากเตียงนอนแม้เพียงก้าวเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะซุกตัวนอนภายใต้ผ้าห่มผืนหนา สองแขนเกาะเกี่ยวกันแน่นราวกับกลัวว่าร่างนี้จะหายไป ลุงมิ่งกลัวผีเสียยิ่งกว่าอะไร

ขอละครให้น้องข้าดู ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด

โชคดีที่ลุงมิ่งไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นคงคิดไปแล้วว่าเพลงที่ร้องดังอย่างโหยหวนอยู่นี่คงกำลังหมายถึงตัวเขาเอง เสียงเพลงดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องที่ลุงมิ่งพักอยู่แล้ว เสียงนั้นเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจแต่บรรยากาศภายในห้องกลับเย็นยะเยือกจนเสียวสันหลังวูบวาบ   

ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง

เสียงให้ชวนขนลุกขนพองและยานคางหยุดลงที่หน้าประตูห้องพักของลุงมิ่ง เขาจำคำเตือนของเด็กน้อยคนนั้นได้ดี... ‘ได้ยินเสียงอะไรอย่าตอบกลับและห้ามออกจากห้องหลังเที่ยงคืน’ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงคืนคงไม่เป็นไร ลุงมิ่งก้าวลงจากเตียงอย่างช้าๆ ด้วยใจที่กำลังเต้นโครมครามอย่างหวาดกลัว ถ้าได้ยินเสียงร้องและหยุดลงที่หน้าประตูห้องนั่นก็แปลว่าคงมีใครสักคนเดินมาหา

ชายวัยกลางคนหมุนลูกบิดประตูห้องด้วยมืออันสั่นเทาและหวังเพียงว่าขอแค่ให้มีใครสักคนยืนอยู่หลังประตูบานนั้น ประตูไม้บานไม่ใหญ่มากนักแต่ดูเหมือนจะหนักอึ้งเกินกว่าที่จะเปิดออกอย่างง่ายดาย

‘สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนกลางดึก’

ชายหนุ่มลูกครึ่งวัยยี่สิบปีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นมาจนเกือบจะถึงข้อศอก สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำสนิท ดูเหมือนจะเปรอะคราบดำอะไรสักอย่างบนเสื้อกั๊กตัวนั้นด้วยแต่ลุงมิ่งไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก เขารู้สึกโล่งอกที่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วยังพบใครก่อนที่จะตอบออกไปว่า “ไม่เป็นไร”

‘ผมชื่อเจต เป็นพี่ชายของจ้าว ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ผมไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ’

“อ๋อครับ ลุงก็นึกว่าหนูจ้าวอยู่ที่นี่คนเดียวซะอีก โล่งอกไปที” ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นทาบอกตัวเองแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ “เข้ามาข้างในก่อนไหม”

‘ไม่เป็นไรครับ ผมรบกวนลุงแค่นี้ดีกว่า พักผ่อนให้สบายนะครับ’


“เดี๋ยว! หนูเจต ลุงขอถามอะไรหน่อยสิ”

‘ครับ’

“ที่นี่มีคนอื่นมาพักไหม”

‘ที่นี่นอกจากผมและจ้าวก็มีแค่ลุงคนเดียวครับ’

“แล้ว...”

‘พักผ่อนเถอะครับ ลุงคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมจะมาคุยด้วยใหม่’

“ครับ”

ลุงมิ่งปิดประตูห้องลง แต่เหมือนจะลืมกล่าวราตรีสวัสดิ์และขอบคุณที่ใจดีให้ที่พักที่นอนจึงเปิดประตูออกไปอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อเปิดออกไปแล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่า พื้นทางเดินที่มองออกไปจนสุดทั้งซ้ายขวาไม่มีแม้ใครสักคนและลุงมิ่งก็มั่นใจว่าแค่เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งนาทีเท่านั้นที่ตัดสินใจเปิดประตูออกดู เด็กคนนั้นไม่น่าจะหายไปได้และถ้าหากหูไม่ได้ฝาดไป เขาเองก็ยังมั่นใจอีกว่าหลังจากที่ประตูปิดลงไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงคนเดินเลย

เพราะลุงมิ่งเชื่อในคำเตือนของจ้าว เขาจึงรีบเข้านอนและลืมเรื่องที่สงสัยในวันนี้ทิ้งไป

----------------------------

เด็กชายตัวน้อยบนเก้าอี้ม้าโยกแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อรับรู้ว่าพี่ชายของตัวเองไม่ยอมจัดการเรื่องนี้ให้จบๆ ไปแต่ยังรั้งรอเวลา เขาไม่ชอบที่ต้องปล่อยให้พี่ชายจากไปแม้เพียงสักเสี้ยววินาที มือเล็กกำแขนตุ๊กตาหมีไว้แน่นก่อนจะเค้นเสียงถาม “รออะไรครับ”

‘จ้าว... พี่ขอโทษ พี่แค่อยากทำเหมือนที่จ้าวทำ’

“พี่เจตก็รู้ว่าจ้าวไม่ชอบห่างจากพี่แล้วทำไมถึงยังทำ”

‘พี่ขอโทษนะจ้าว พี่ขอเวลาอีกสามวันได้ไหม’


“ถ้าพี่รับปากว่าจะทำให้เสร็จ จ้าวจะให้โอกาสพี่”

โอกาสที่จ้าวไม่เคยหยิบยื่นมันให้ใครง่ายๆ แต่สำหรับพี่ชายผู้ที่เด็กคนนี้รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ เขายอมที่จะให้พี่ชายได้ทำตามที่ตัวเองพูด หากแต่เมื่อใดก็ตามที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ก็รู้เอาไว้ว่าเรื่องนี้คงจบลงไม่สวยแน่

‘พี่รับปาก จ้าวเป็นเด็กดีและพี่ก็รักจ้าว’


คำพูดหวานหูของวิญญาณเจตรินที่อยู่ในตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะทำให้จ้าวเริ่มใจอ่อน คงไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนักหากพี่ชายรับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเองให้เรียบร้อย เขาหวังว่ามันคงจะเรียบร้อยอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเป็นจ้าวที่ออกโรงเอง

“จ้าวเป็นเด็กดี พี่เจตควรฟังที่จ้าวพูด”

‘พี่ฟังจ้าวอยู่แล้ว พี่ไม่เคยไม่เชื่อที่จ้าวพูดนะ’

“ก็ดีครับ” 

‘ขอพี่ไปดูลุงแกอีกทีได้ไหม จ้าว’

“ไปทำไมอีกครับ” น้ำเสียงกดต่ำ แววตาสีเพลิงดุดันจ้องมองไปยังตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมแขนราวกับจะเค้นหาคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยินได้ฟัง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลับไปรบกวนลุงมิ่งอีกในเวลานี้ในเมื่อยังมีเวลาเหลืออีกตั้งสามวันตามที่เจ้าตัวได้ขอเอาไว้

‘เขาไม่มีเงินไม่ใช่เหรอ พี่ก็จะไปหางานให้เขาทำไง มีงานก็มีเงินมาเช่าห้องพักของเราได้แล้ว’


“ใช่ครับ แต่จ้าวคิดว่าพี่คงไม่ใช่ไปแค่หางานให้ลุงหรอกใช่ไหมครับ”

‘จ้าวปล่อยพี่ไปได้ไหม’

“ได้สิครับ”

สิ้นเสียงนุ่มแสนไพเราะของเด็กน้อย ตุ๊กตาหมีที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้บนพื้นข้างตัว... ไปแล้ว วิญญาณของเจตรินออกจากตุ๊กตาหมีตัวนั้นไปแล้ว ตรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ มืดมิดและอับชื้น เงาสีดำแผ่ขยายเป็นวงกว้างก่อนปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง เด็กหนุ่มผมสีบลอนทองในชุดเสื้อเชิ้ตที่ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำอีกตัวหยุดลงตรงหน้าประตูห้องเดิมที่เคยแวะเวียนมาก่อนหน้านี้แล้วบรรจงเคาะลงบนบานประตูไม้เบาๆ

เพียงไม่นานเท่าไรนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เขารับรู้ได้ว่าเจ้าของห้องกำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

“อ๊ะ! อ้าว... หนูเจต”

‘ขอโทษนะครับที่มารบกวนอีกแล้ว พอดีว่าผมลืมถามอะไรบางอย่างน่ะครับ ลุงพอจะสะดวกคุยไหม’

“ได้สิ เข้ามาข้างในก่อนไหม”

ลุงมิ่งเชื้อเชิญให้เจตรินเข้ามาข้างในห้องก่อน เขาจำได้ดีถึงกฎของที่นี่เพราะอย่างนั้นแล้วจึงไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่นอกห้องนานนัก เขากลัวว่ามันจะมีอะไรที่มองไม่เห็นอยู่ที่นี่หลังเที่ยงคืน

‘ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากมาถามเรื่องงานนิดหน่อย คือ... ลุงยังว่างงานอยู่ใช่ไหมครับ’


“ใช่ๆ ลุงว่าพรุ่งนี้จะไปหางานทำน่ะ”

‘ถ้าผมมีงานให้ลุงทำ ลุงสนใจไหม’

“งานอะไรหรือ หนูเจต ลุงทำได้ทุกอย่างเลยนะ”

‘ช่วยเป็นคนสวนของที่นี่ได้ไหมครับ พอดีคนงานเราขาด’

“ได้สิ”

‘ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยคุยรายละเอียดกันนะครับ ดึกมากแล้ว อย่าลืมสิ่งที่น้องชายผมพูดไว้ล่ะ’

“เดี๋ยว หนูเจต เสื้อเลอะน่ะ”

‘อ๋อครับ พอดีผมทำซอสสตรอเบอร์รี่หกใส่น่ะครับ’

เจตรินก้มมองดูคราบเปื้อนบนเสื้อกั๊กแล้วยกยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนที่จะขอตัวไปพัก เขารู้ดีว่าถ้าอยู่ตรงนี้นานกว่านี้จะต้องถูกจ้าวดึงตัวกลับไปอย่างแน่นอน งานนี้แผนที่วางไว้เสียดิบดีคงได้พังลงมาไม่เป็นท่า

‘ลุงไปพักเถอะครับ ผมไม่กวนแล้ว’


“ถ้างั้นก็ฝันดีนะ หนูเจต”

คล้อยหลังคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ของวันนี้ไปได้ไม่นาน ร่างของเจตรินก็อันตรธานหายไป ลุงมิ่งหันกลับไปดูก็ไม่พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ตรงนี้แล้วเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่เมื่อพอหันไปก็ไม่พบใครสักคนจนเขารู้สึกแปลกใจเหมือนกับว่าเจตรินมีความสามารถในการหายตัวได้

ตึก... ตึก... ตึก...

เวลาเที่ยงคืนเศษแล้ว เสียงฝีเท้าคนเดินอยู่ด้านหลังบานประตูห้องราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม ลุงมิ่งรับรู้แต่ด้วยเพราะสิ่งที่จ้าวเคยพูดเอาไว้เลยทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจมันเสียแล้วเดินไปยังเตียงนอนแม้ในใจลึกๆ จะยังหวาดหวั่นกับเสียงนั้นก็ตาม

ตึก... ตึก... ตึก... กริ๊ก!

เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดลงที่ห้องพักข้างๆ ห้องของลุงมิ่ง ตามด้วยเสียงไขประตูห้องแต่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้าไปเลยแม้เพียงนิดเดียว ท่ามกลางความเงียบสงัดยามดึกดื่นและบรรยากาศชวนขนหัวลุก เขานั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาและพยายามข่มตาลงให้หลับ หากแต่มันเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินที่จะลบเรื่องราวที่กำลังรบกวนจิตใจในเวลานี้ออกไปได้

ซ่าาาาาา ซ่าาาาาาาาาาา

เสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวที่ดังอยู่ในห้องข้างๆ ที่ลุงมิ่งจำได้ดีว่าเจตรินเคยบอกว่าที่นี่ไม่มีใครนอกจากเขา ลุงมิ่งและน้องชายเท่านั้นแล้วเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ นั่นเป็นของใคร ใครที่นึกอุตริมาอาบน้ำเอาตอนเที่ยงคืนกว่าๆ แบบนี้ อยากจะเดินออกไปถามแต่คำเตือนของจ้าวก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว

ท่ามกลางบรรยากาศราวกับอยู่สุสาน ยากจะข่มตาให้หลับลงได้ ทุกสิ่งรอบข้างดูจะไม่น่าพิสมัยไปเสียหมดเมื่อลุงมิ่งยังคงได้ยินทั้งเสียงฝีเท้า เสียงน้ำที่ไหลออกมาจากฝักบัวข้างห้อง รวมไปถึงเสียงของคนคุยกันดังแผ่วมาจากที่ไกลๆ

ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ไม่ทำงานและพระจันทร์กำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้า คงไม่มีใครพากันมาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์แน่ แต่ลุงมิ่งกลับมั่นใจว่าสิ่งที่เขาได้ยินผ่านสองหูนั้นคือสิ่งที่กำลังคิดถึงอยู่ในเวลานี้ เคยมีคนบอกว่าถ้าอยากหลับให้สบายก็ต้องสวดมนต์ก่อนนอน แต่แม้แต่คำว่านะโมตัสสะก็ยังนึกไม่ออก

ลุงมิ่งไม่คิดจะหลับอีกแล้ว... หากยังคงได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินในเวลาแบบนี้

เสียงเพลงดนตรีไทยดังคลอมาเบาๆ เคล้าเสียงพูดคุยชวนให้ขนลุกขนพอง บรรยากาศเงียบสงัดกลางดึกดูช่างเข้ากันได้ดีกับเสียงดนตรีไทยเดิมนั่นเสียจริง โชคดีที่ไม่ใช่เพลงธรณีกรรแสง ไม่อย่างนั้นลุงมิ่งคงรีบเตรียมตัวเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วเผ่นออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
 
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ลุงมิ่งสะดุ้งเฮือก สองจิตสองใจระหว่างจะเดินไปเปิดประตูหรือจะอยู่เฉยๆ บนเตียงนอน คำเตือนของจ้าวยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหัวแต่ก็มีทางเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเจตรินที่มาเคาะประตูยามดึกดื่นเกินเที่ยงคืนไปแล้วอย่างนี้ แต่ถ้าหากยังนั่งอยู่ตรงนี้แล้วอีกฝ่ายเป็นเจตรินจริงๆ ลุงมิ่งไม่รอช้ารีบตะโกนถามออกไป “นั่นใคร”

ลุงมิ่งคงลืมกฎของคฤหาสน์หลังนี้ไปข้อหนึ่งนั่นก็คือ... ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม อย่าสนใจ

‘ผมเองครับ’

“หนูเจตเหรอ”

‘ครับ เปิดประตูให้หน่อยได้ไหมครับ’

“รอเดี๋ยวนะ ลุงกำลังไป”

ลุงมิ่งคงลืมกฎของคฤหาสน์หลังนี้ไปหมดสิ้นแล้วล่ะมั้ง ถึงได้กระวีกระวาดรีบไปเปิดประตูต้อนรับ

“หนูเจตมาทำไมดึกดื่นป่านนี้”

‘ขอโทษนะครับ ผมมีธุระต้องทำให้เสร็จ’


“ธุระอะไรเหรอ เกี่ยวกับลุงหรือเปล่า”

‘ครับ’
ยังไม่ทันที่เจตรินจะได้พูดอะไรต่อ ลุงมิ่งก็สังเกตเห็นเสื้อกั๊กสีดำสนิทตัวนั้นโชกชุ่มไปด้วยอะไรบางอย่างที่เหนียวเหนอะสีแดงสด ลุงมิ่งรีบให้ชายหนุ่มเข้ามานั่งในห้องเพราะดูท่าแล้วน้ำเหนียวๆ สีแดงสดนั่นไม่น่าจะใช่ซอสสตรอเบอร์รี่อย่างที่เจ้าตัวได้บอกไว้ก่อนหน้านี้

“หนูเจต! นี่มันเลือด... เลือดใช่ไหม”

เจตรินก้มมองรอยที่เปรอะเสื้อแล้วเอามือแตะลงไป เขาเอียงคอดูฝ่ามือที่มีน้ำข้นเหนียวเหนอะสีแดงอยู่เต็มพลางแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับว่าสิ่งที่ลุงมิ่งคิดนั้นไม่ได้ผิดไป ลุงมิ่งพาเจตรินเข้ามาในห้องและให้นั่งลงบนเตียงนอน เขาตั้งใจจะทำแผลให้แม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล รอยแผลนั้นดูยาวและใหญ่ราวกับโดนมืดหั่นเนื้อแทงเข้าไปลึกพอประมาณ ด้วยบาดแผลขนาดนั้นแต่เจ้าตัวกลับไม่มีทีท่าเจ็บปวดใดๆ ให้เห็นเลย ยังคงนั่งนิ่งๆ และเอามือกดแผลนั้นไว้

“แผลมันใหญ่ขนาดนั้น... ลุงว่าเรียกรถพยาบาลดีไหม”

‘ไม่เป็นไรครับ’


“ไม่เป็นไรได้ยังไง”

‘ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว’

หยดเลือดไหลจากบาดแผลเป็นทางยาวเปรอะเสื้อกั๊กตัวนั้นจนโชกชุ่ม ยิ่งปล่อยไว้นานก็ดูเหมือนเลือดจะทะลักออกมามากขึ้นเรื่อยๆ คำว่าชินแล้วสำหรับเจตรินก็คงจะชินจริงๆ เพราะเจ้าตัวไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทุกข์ร้อนอะไรกับแผลบริเวณหน้าท้อง หากแต่ลุงมิ่งไม่ชินและกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเลือดหมดตัวเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้นให้ลุงทำแผลให้ก่อนดีกว่า”

เจตรินไม่ตอบอะไร เขาปล่อยให้ลุงมิ่งเข้ามาใกล้... ใกล้มากขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะทำแผลให้ จู่ๆ กลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องจนฉุนติดจมูก เล่นเอาลุงมิ่งเกือบจะอาเจียนออกมา หากแต่ในวินาทีนั้นของมีคมปลายแหลมก็เสียบแทงเข้าไปที่ยังร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับบิดหมุนเป็นวงกลม ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามาเพียงเสี้ยววินาที

“นะ... หนูเจต...”

‘ขอโทษนะครับลุง พอดีเราไม่ต้องการรับคนเป็นมาทำงาน’


“อะ... อะไรนะ หนูเจต...”

มือหยาบกร้านคว้าข้อมือของเจตรินเอาไว้ก่อนที่มีดเล่มนั้นจะแทงเข้ามาลึกมากกว่านี้ ความเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายคล้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไร้ชีวิต... ไร้เรี่ยวแรงต้านทานใดๆ ลุงมิ่งไม่สามารถรั้งให้ใบมีดกรีดแทงลึกลงไป ลึกลงไปจนมิดด้าม
ดวงตาสีเฮเซลนัทดูเยือกเย็นราวกับเป็นคนละคนก่อนหน้านี้จ้องมองไปยังบาดแผลที่ถูกกว้านลึกเป็นวงกว้างแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น ร่างที่อยู่ข้างใต้พยายามใช้แรงของตัวเองที่มีทั้งหมดเพื่อผละร่างของเจตรินให้ออกห่างจากตัวแล้ววิ่งออกไปจากห้อง แม้มันจะทุลักทุเลอยู่บ้างแต่ลุงมิ่งก็ตัดสินใจออกมา ดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองต้องตายอยู่ตรงนั้น

“ลุงมิ่ง ออกมาทำอะไรดึกดื่นครับ”

“หนูจ้าว... หนูจ้าว ช่วยลุงด้วย!”

จ้าวรีบรุดตรงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มือเล็กช่วยประคับประคองร่างนั้นเอาไว้อย่างมั่นคง ไม่ให้ทรุดตัวลงไปกับพื้น ดวงตากลมโตจ้องมองด้ามมีดที่ถูกแทงลึกลงไปบนหน้าท้องจนมิดด้วยแววตาที่ยากจะบรรยาย เลือดสีแดงสดไหลอาบจนชุ่มและหยดเป็นทางยาวจากห้องลากมาจนถึงตรงนี้ ดูท่าว่าถ้าหากดึงมีดที่ปักอยู่เล่มนั้นออกมาเลือดคงกระเซ็นเปรอะเปื้อนโถงทางเดินหมดแน่

“จ้าวต้องทำยังไงครับลุง”

“พาลุงส่งโรง... พยาบาลที หนูจ้าว”

“เลือดออกเยอะขนาดนี้ ไม่ทันแน่ครับ” น้ำเสียงกระวนกระวายแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง เด็กหนุ่มรู้ว่านี่เป็นฝีมือของใคร พี่ชายของเขาชอบเล่นอะไรโหดร้ายแบบนี้เสมอและมันก็เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป

“จ้าวจะดึงมีดออกก่อนแล้วลุงคอยกดปากแผลเอาไว้นะครับ”

อย่าเรียกว่าค่อยๆ ดึงเลย เรียกว่ากระชากออกจะดูฟังเข้าใจง่ายกว่า เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นทันทีหลังจากที่มีดเล่มนั้นหลุดออกมาแล้ว ดวงตากลมโตสีแดงดุจเพลิงในนรกจ้องมองไปยังเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากบาดแผล รอยยิ้มที่เคยเป็นมิตรบัดนี้กลับมีแต่ความน่าสะพรึงกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งความชั่วร้ายปรากฏต่อหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้ ด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายไม่อาจทำให้เขาขยับเขยื้อนไปไหนได้ง่ายๆ

“หนู... จ้าว”

“จ้าวบอกแล้วใช่ไหมครับ อย่าออกจากห้อง อย่าสนใจเสียงอะไร”

“หนูจ้าว ลุง... ลุงขอโทษ”

ลุงมิ่งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น กล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมากับความผิดพลาดของตัวเอง ใบหน้าที่กร้านแดดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เลือดที่ไหลนองท่วมพื้นเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าตัวเองกำลังจะต้องจบชีวิตลงในอีกไม่ช้านี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้นั่นคือการร้องขอชีวิตต่อหน้าเด็กคนนี้เท่านั้น

“หนูจ้าว ช่วย... ช่วยลุงด้วย... นะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ในขณะเดียวกันนั้นเจตรินที่เดินออกมาจากห้องสร้างความหวาดกลัวให้กับลุงมิ่งเป็นอย่างมาก เขาพยายามตะเกียดตะกายให้ตัวเองพ้นจากที่ตรงนี้ ฆาตกรเลือดเย็นอย่างเจตรินกำลังเดินตรงเข้ามาเพื่อจัดการกับเขา

“พี่เจต! อย่านะ! จ้าวขอร้อง”

‘พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย... พี่แค่ปักมีดเฉยๆ ลุงมิ่งก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ’

“แต่เขากำลังจะตาย”

เจตรินไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มให้ลุงมิ่งอย่างเยือกเย็นเท่านั้นและไม่ได้เดินตรงเข้าไปหาหรือทำอะไรอย่างอื่นอีก เพียงแค่ยืนมองน้องชายที่ประคองร่างของชายวัยกลางคนอย่างทุลักทุเลเดินจากไป ไม่แม้แต่จะเข้าไปช่วย เมื่อถึงมือจ้าวแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง

“ลุงมิ่งอดทนไว้ก่อนนะครับ”

ลุงมิ่งพยายามอดทนไว้อย่างที่จ้าวบอก แต่เลือดที่ไหลออกจากร่างกายมากมายขนาดนี้ เขาไม่แน่ใจว่าจะทนไปได้อีกนานเท่าไรกัน อาจจะสิ้นลมไปก่อนถึงโรงพยาบาลก็ได้

“ลุง... ลุง... ไม่ไหวแล้ว”

“อดทนอีกนิดนะลุง เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

จ้าวพาลุงมิ่งออกมาจากตัวคฤหาสน์จนเกือบจะถึงประตูรั้วแล้ว อาการของลุงมิ่งดูจะหนักหนาสาหัสเอาการ เลือดที่ไหลมาตลอดทางพรากเอาเรี่ยวแรงที่ควรมีไปจนหมดสิ้น แต่จ้าวก็ยังคงประคับประคองร่างนั้นเอาไว้ไม่ให้ต้องล้มลงไป จิตใจของเด็กคนนี้ดีเหลือแสน ลุงมิ่งอยากจะเอ่ยขอบคุณแต่ทว่าก็พูดออกไปได้เพียงเบาๆ เพราะแม้แต่แรงที่จะขยับตัวยังไม่มี ประสาอะไรกับแรงที่จะขยับปาก

“ลุงมิ่ง ยินดีต้อนรับนะครับ”

ลุงมิ่งไม่เข้าใจว่าจ้าวต้องการสื่ออะไร ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ความเจ็บปวดก็แล่นริ้วเข้าสู่กลางหลังเป็นทางยาวจนทรุดลงกับพื้นทั้งร่าง ลมหายใจเริ่มรวยรินใกล้ขาดห้วงเข้าไปทุกที... ทุกที เขาแทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้แต่เพียงว่าร่างกายกำลังถูกพลิกขึ้นอย่างยากลำบาก

“เจ็บไหมครับ ลุง”

เจ็บสิ เจ็บมาก เจ็บจนเหมือนตัวเองกำลังจะตายเข้าจริงๆ แต่ลุงมิ่งไม่มีแรงที่จะพูดออกไป

“ทนอีกนิดนะครับ ใกล้แล้ว”

จ้าวทรุดตัวลงนั่งข้างลุงมิ่ง แสยะยิ้มชวนขนหัวลุกก่อนที่จะยกมือข้างที่ถือมีดที่ดึงออกมาจากบาดแผลของลุงมิ่งปักลงไปบนต้นคอจนมิดด้าม ตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่จนเลือดไหลทะลักออกมาอย่างท่วมท้น ชายวัยกลางคนเบิกตาโผลงด้วยความตกใจ พยายามสูดเอาอากาศที่มีอยู่รอบตัวเข้าไปแต่กลับกลายเป็นการยากเมื่อมีดเล่มนั้นแทงทะลุหลอดลม อาจจะไม่ทำให้ตายในทันทีหากแต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์ได้รับทำให้ท้ายสุดแล้วลมหายใจก็ขาดห้วงจนสิ้นใจในที่สุด

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์คัลเลนนะครับ”



*** to be continued ***


เห็นบทนำมันน้อยมาก ดูเหมือนอ่านแล้วยังไม่มีอะไรเลยคิดว่าเอาตอนที่ 1 มาแปะเพิ่มดีกว่า
พระเอกยังมาไม่ถึงนะคะ (รถติดอยู่บนทางด่วนค่ะ) กลัวเข้าใจกันผิด คิดว่าลุงมิ่งเป็นพระเอกของเรื่องกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สนุกหรือไม่สนุกยังไง บอกได้เลยค่ะ
สุดท้ายนี้ก็ขอฝากเด็กดีอย่างหนูจ้าวด้วยนะคะ


ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เปิดตัวน้องจ้าวแล้วนึกถึง ciel black butler ค่ะ คงจะตัวเล็กๆ สไตล์การแต่งตัว ความลึกลับ แถมอยู่คฤหาสน์ รวมๆ น้องจ้าวคงแนวประมาณนี้ น่าเอ็นดูววว  :impress2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :ling3:  :ling3: หลอนดี คนแก่ชอบ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 2 :::
ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่





“เฮ้ย!! มันอยู่นั่น!! ตามไปเร็วสิวะ!” 

เสียงตะโกนโหวกเหวกริมถนนยามวิกาล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้านับสิบวิ่งกวดเข้ามาเรื่อยๆ เด็กเทคนิคที่นึกครึ้มยกพวกตีกันและดันวิ่งมาทางที่ชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านมินิมาร์ท เขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเขวี้ยงมวนบุหรี่ที่ดูดไปได้ยังไม่ถึงครึ่งลงพื้น ไม่มีเวลามากพอที่จะใช้เท้าเหยียบเพื่อดับไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ที่ปลายแท่งลง สาวเท้าวิ่งสุดกำลังแรงเกิด ถึงจะไม่ได้ทำผิดอะไรแต่ถ้ายังขืนอยู่ตรงนั้นต่อมีหวังได้โดนลูกหลงเข้าแน่

วิ่งมานานเท่าไรไม่รู้ แต่เสียงฝีเท้ายังคงไล่กวดตามหลังมาติดๆ ชายหนุ่มพยายามออกแรงวิ่งให้เร็วกว่านี้จนในที่สุดก็เหมือนจะหลุดมาได้ระยะหนึ่ง พอที่จะได้หยุดพักหายใจ ไม่รู้ทำเวรกรรมอะไรไว้แต่ชาติปางก่อน ทั้งที่มองดูรอบๆ อย่างดีแล้วแท้ๆ ว่าไม่น่าจะมีการยกพวกตีกันตอนเกือบจะเที่ยงคืนแบบนี้ในสถานที่ที่มีแต่บ้านพักอาศัย

ครืดดด ครืดดดดด

เสียงเหมือนเหล็กถูกครูดไปตามพื้นคอนกรีตเรียกให้ชายหนุ่มคนนั้นหันมอง ประตูรั้วเก่าๆ ที่สีถูกกร่อนไปมากแล้วเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขอเข้าไปหลบอยู่ข้างในก่อนที่คนพวกนั้นจะวิ่งมาถึงตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าเด็กพวกนั้นจะตีกันเสร็จหรือไม่ก็ตำรวจมาพอดี

ชายหนุ่มทรุดตัวหลบอยู่หลังกำแพง คอยเงี่ยหูฟังเสียงตีรันฟันแทงของเด็กเทคนิคที่ดังระงมอยู่ข้างนอก แล้วก็นึกขำตัวเองที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาตั้งไกลขนาดนี้เหมือนกับว่ากำลังถูกตามล่าทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยกับการทะเลาะวิวาทกันในครั้งนี้

“พ่อหนุ่ม ออกไป”

ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ดังขึ้นแล้วพบว่าเป็นชายวัยกลางคน หนวดเคราดกเฟิ้ม เห็นหน้าไม่ชัดเจนมากนักด้วยเพราะแสงไฟที่มีจากริมถนนไม่ได้มากพอที่จะแสดงรายละเอียดให้เห็น รู้แต่เพียงว่าชายคนนั้นกำลังถือกรรไกรตัดหญ้ายืนคร่อมหัวเขาอยู่ ดวงตาสีดอกเลาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หดหู่

“ขอผมหลบอยู่ที่นี่สักพักได้ไหม ข้างนอกยังตีกันอยู่เลย”

“ไม่ได้! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“นะ... ลุง แค่อยู่ตรงนี้ ไม่เข้าไปข้างในหรอก”

“บอกแล้วว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจเหรอ”

ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาคนนั้นฟังเข้าใจทุกคำทุกตอน หากแต่ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้โดนลูกหลงแน่ เพราะเสียงเฮโลตีกันดังอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้เท่าไรนัก จำต้องขอร้องคุณลุงไม่ให้ไล่เขาออกไปจากที่นี่ ขอเวลาเพียงไม่นาน แค่ไม่กี่นาทีจนกว่าเสียงทะเลาะวิวาทพวกนั้นจะจบลง

“ลุงชื่ออะไรครับ”

“ถามทำไม”

“ผมชื่อตฤณครับ วิ่งหนีพวกที่ตีกันจนมาถึงนี่แล้วเห็นประตูเปิดอยู่ ผมขอแค่แปบเดียวนะลุง...” ตฤณเงียบเสียงลงตรงช่วงท้ายประโยค พยายามคิดหาคำพูดต่างๆ มาเพื่อพูดถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน พูดไปเรื่อยๆ จนเสียงที่ดังอยู่นั้นเงียบลงนั่นล่ะคือทางออกใหม่ที่เขาเพิ่งจะนึกมันออกมาได้

“มิ่ง ลุงชื่อมิ่ง”

“ลุงมิ่ง”

ตฤณมองไปตามเสียงเรียกชื่อชายวัยกลางคนคนนี้ ปรากฏเป็นร่างของเด็กผู้ชายสวมชุดสไตล์โลลิต้า มือข้างหนึ่งกอดตุ๊กตาไว้แนบอกกำลังส่งยิ้มหวานอย่างเป็นมิตรมาให้เขา ผู้ที่กำลังร้องขอสถานที่หลบภัยให้แก่ตัวเอง เด็กคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาแล้วเอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนว่า “ลุงมิ่งทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

งาน?.... เดี๋ยวนะ! งานอะไรทำตอนเกือบจะเที่ยงคืน ใบหน้าของตฤณแสดงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน

“ยังครับ”

“ถ้ายังก็ไปทำสิครับ เดี๋ยวตรงนี้จ้าวจัดการเอง” 

“ครับ”

เด็กหนุ่มในชุดสีขาวดำฉีกยิ้มหวานให้อีกครั้งแล้วจึงเอื้อนเอ่ยถาม “พี่อยากจะหลบอยู่ที่นี่สักพักใช่ไหมครับ”

ตฤณพยักหน้ารับ ... ใช่สิ! ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้ตายแน่

“ถ้าอย่างนั้นจ้าวมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย สนใจไหมครับ พี่ตฤณ”

ตฤณไม่ได้แปลกใจนักหรอกถ้าเด็กคนนี้จะเรียกชื่อเขา บางทีอาจจะได้ยินตอนที่เขากำลังแนะนำตัวเองกับลุงมิ่ง และที่นี่ก็เงียบมาก เงียบเสียจนแค่พูดเบาๆ ก็ยังดังก้องกังวาน แต่ที่น่าสนใจคือข้อแลกเปลี่ยนอะไรนั่นต่างหาก เด็กคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลยในสายตาของเขา

“จ้าวให้พี่ตฤณหลบอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ แต่หลังจากนี้ไปพี่ตฤณต้องย้ายมาอยู่ที่นี่กับจ้าว”   

“ให้ย้ายมาอยู่นี่” ตฤณทวนคำ

“ครับ อยู่ฟรี เพียงแค่พี่ตฤณต้องปฏิบัติตามกฎของที่นี่อย่างเคร่งครัด”

ตฤณทำหน้าครุ่นคิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องย้ายจากหอในของมหาวิทยาลัยแล้วมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ เขาแปลกใจที่ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้ให้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย คฤหาสน์หลังใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย ออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องจ่าย ค่าน้ำค่าไฟหรือก็ปล่อยผ่านแต่รู้สึกไม่ดียังไงชอบกล 

“แต่...”

“จ้าวมีแค่สองทางให้พี่ตฤณเลือก ถ้าไม่ตกลงก็คงให้ที่หลบไม่ได้ครับ”

“ตกลง ตกลง”

ตฤณไม่มีทางเลือกให้กับตัวเองมากนัก ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้โดนลูกหลงเข้าแน่ เขาพยายามคิดในแง่ดีว่าการย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้จะพอช่วยลดค่าใช้จ่ายของตัวเองลงไปได้บ้าง แม้ว่ามันจะไกลจากมหาวิทยาลัยมากกว่าหอพักที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็ตาม

เด็กหนุ่มยิ้มหวาน ก่อนเชิญให้ตฤณเข้าไปข้างในคฤหาสน์เพื่อพักผ่อน “คืนนี้พี่ตฤณก็พักอยู่ที่นี่ก่อน ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปขนของย้ายมาอยู่กับจ้าวที่นี่นะครับ”   

ตฤณอยากจะถามเหลือเกินว่าเหลือทางเลือกอะไรให้กับเขาบ้าง

“พี่ตฤณตามจ้าวมาครับ เดี๋ยวพาไปดูห้องพัก”

ตฤณเดินตามจ้าวเข้าไปภายในคฤหาสน์ บรรยากาศข้างนอกน่าวังเวงชวนขนหัวลุกแม้จะยังคงได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังอยู่ข้างนอกก็ตาม เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูจะเงียบลงทันตาเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ของพวกนักเลงหัวไม้

“เฮ้ย!! พวกมึงหยุดก่อน!!!”

ตฤณชะงักฝีเท้าเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกให้เขาหยุดแต่เปล่าเลย คนพวกนั้นพร้อมใจกันมองมาที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นตาเดียวกันก่อนที่จะเปลี่ยนจากศัตรูกลายเป็นมิตร แยกย้ายหายหัวกันไปทันควันราวกับว่าพวกเขาพบเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้

“พี่ตฤณคงกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ ดึกขนาดนี้แล้ว... ข้างนอกอันตราย ยังไงพี่ตฤณก็ค้างที่นี่คืนนี้ก่อน จ้าวให้เขาเตรียมห้องไว้แล้ว”

ตฤณดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ เขาจำต้องยอมตามเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ แม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกว่ามันน่ากลัว

“พี่รบกวนหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ”

“ถ้าพี่เข้าไป พ่อแม่จ้าวจะไม่ว่าอะไรเหรอ”

เรียวแขนเล็กๆ ที่กกอดตุ๊กตาหมีปอนๆ เอาไว้ดูแข็งเกร็งยามที่ได้ยินคนถามถึงพ่อและแม่

“พ่อกับแม่เสียไปนานแล้วครับ พี่ตฤณตามจ้าวเข้ามาข้างในเถอะครับ ดึกแล้วอากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายไป”

ตฤณพยักหน้ารับ เขายอมเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปภายในคฤหาสน์ ทันทีที่ก้าวเท้าแรกเหยียบย่างพ้นประตูคฤหาสน์เข้ามาด้านใน ขนแขนของเขาก็พร้อมใจกับลุกเกรียวทั้งที่บรรยากาศด้านในนั้นดูไม่น่ากลัวเท่าไรนัก เพียงแค่มันเงียบเฉียบดูวังเวงราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่สักคน

“พี่ตฤณ จ้าวมีเรื่องจะขอสักสองเรื่องได้ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบันไดทางขึ้นมากนัก ไม่ใช่ห้องพักเดียวกับที่จ้าวพาลุงมิ่งไปแต่เป็นอีกห้องซึ่งเขามีความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้ตฤณพักอยู่ที่ห้องนี้

“ครับ”

“เรื่องแรก ถ้าพี่ตฤณเข้าห้องไปแล้วอยากออกมาเดินข้างนอก ให้เรียกจ้าวนะครับ เรื่องที่สอง ห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนเด็ดขาด โบราณว่าจะเห็นผี”

ตฤณพอจะเข้าใจเรื่องกฎข้อแรก อาจเป็นเพราะกลัวหลงทางจึงไม่อยากให้ออกมาเดินข้างนอกเพียงลำพัง แต่กฎข้อที่สองนับว่าเป็นกฎได้ด้วยอย่างนั้นหรือ บางทีสถานที่แห่งนี้อาจมีสิ่งที่มองไม่เห็นอาศัยอยู่ เขาไม่อาจเข้าใจมันได้ง่ายๆ ว่าเพราะเหตุอะไรถึงต้องห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เขาเชื่อแค่ว่าตอนนี้เป็นยุควิทยาศาสตร์ไม่ใช่ยุคไสยศาสตร์

“อย่าลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นดีกว่าครับ”

จ้าวตอบยิ้มๆ แต่ตฤณกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ดูจริงใจนั้นราวกับมีความเย็นเยือกแอบแฝงอยู่ ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังนั้นจนถึงตอนนี้เขาบอกได้เพียงคำเดียวว่าอยากเดินกลับออกมาไปมากกว่า ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลพวกนั้นแล้วโดนลูกหลงล่ะก็คงจะดีกว่าที่จะยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นในขณะที่ขนแขนยังลุกเกรียวไม่หยุด

“พี่ตฤณหนาวเหรอครับ จ้าวว่าเข้าไปในห้องกันเถอะ เดี๋ยวเดินไปส่งครับ”

อากาศข้างนอกก็ไม่ได้เย็นมากนักแต่ขนแขนของตฤณยังคงตั้งชัน เขาเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปในห้อง ภายในนั้นมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นแม้เพียงอย่างเดียว แสงจันทร์ที่ส่องสว่างข้างนอกหน้าต่างไม่ได้ช่วยให้อะไรชัดแจ้งขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหูเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงหนึ่งอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกเสียงอยู่ด้านหลังบานประตูที่ปิดไปแล้ว ก้าวเดินอย่างช้าๆ เป็นจังหวะวนไปมาอยู่หน้าห้อง ทีละก้าวทีละก้าวราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง

แสงสีเหลืองอ่อนจากเชิงเทียนที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามเมตร พอจะทำให้เห็นเค้าลางจางๆ ของห้องนอนห้องนี้ได้บ้าง

“ขอโทษด้วยนะครับ ไฟในห้องนี้มันเสีย ยังไม่ได้ให้ใครมาเปลี่ยน คงต้องใช้ตะเกียงไปก่อน”

“พี่ได้ยินเสียงใครเดินอยู่หน้าห้อง”

“พี่ตฤณคงหูฝาดไปน่ะครับ ไม่มีใครขึ้นมาบนนี้ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต” 

ตฤณอาจจะหูฝาดไปจริงๆ เขาคงคิดมากไปเองเพียงเพราะบรรยากาศรอบข้างเป็นใจให้นึกถึงบ้านผีสิงที่เคยดูผ่านทางโทรทัศน์จึงเผลอคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงมีวิญญาณด้วย จ้าวถือเชิงเทียนที่ถูกจุดไฟแล้วตรงไปยังโต๊ะกลมตัวเล็กๆ มุมหนึ่งของห้องแล้วยื่นเปลวไฟดวงเล็กที่กำลังลุกโชติช่วงเข้าไปจ่อกับหัวเทียนหล่อน้ำมันในตะเกียงแก้ว

“ให้จ้าวอยู่เป็นเพื่อนรอพี่ตฤณอาบน้ำนะครับ ในห้องไม่ค่อยสว่างเท่าไรเดี๋ยวพี่ตฤณจะหาของไม่เจอ”

ถ้าเด็กคนนั้นไม่บอก ตฤณก็คงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากร้องขอให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนหรือไม่ก็คืนนี้ไม่อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย เอาจริงๆ เขาคงหลับไม่ลง ทุกสิ่งอย่างรอบข้างช่างเป็นใจให้นอนมากมายเสียเหลือเกิน ดวงจันทร์คืนนี้ไม่ทอแสงแรงมากนัก มองลอดผ่านช่องหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าออกไปก็เห็นเพียงแต่ต้นไม้สูงใหญ่ ความเงียบเข้าปกคลุมคฤหาสน์หลังนี้ที่แม้เพียงลมหายใจของตัวเองยังได้ยิน

“พี่ว่า... คืนนี้ไม่อาบดีกว่า มันดึกมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วด้วย”

“ตามใจนะครับ ถ้ายังไงก็... ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเชิงเทียนที่ติดไฟ แสงจากในตะเกียงมุมหนึ่งของห้องไหววูบทั้งที่ไม่มีลม เงาของเปลวไฟที่ทาบทับลงบนผนังห้องเพียงครู่หนึ่ง ตฤณเห็นว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่เงา เขารีบสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา จ้องมองเปลวสีส้มในตะเกียงน้ำมันราวกับว่าจะจับผิด

ซ่าาาาาา ซ่าาาาาาาาาาา

เสียงน้ำที่ไหลออกมาจากฝักบัวดังอยู่ไกลๆ ถ้าหากตฤณยังคงจำคำพูดของจ้าวได้ เขาคงรู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดเสียงนั่น คนเราเมื่อความหวาดกลัวเข้าครอบงำ สติมักจะเลือนรางลง ความทรงจำที่เคยมีอยู่อาจจะถูกลืมไปบางส่วน และสำหรับตฤณ เขาคงลืมไปว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีใครอยู่

----------------

“พี่เจต... เหมือนจ้าวจะลืมอะไรบางอย่างนะ” จ้าวก้มหน้าลงพูดกับตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมแขน เขาลืมอะไรบางอย่างไปจริงๆ ลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับกฎข้อสำคัญของคฤหาสน์หลังนี้ .... อย่าสนใจเสียงใด

 เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับรอยยิ้มเยาะหยันจากตุ๊กตาตัวนั้น เขาไม่เคยพลาดให้กับสิ่งใด ไม่เคยทำให้ผู้มาเยือนต้องผิดหวัง แต่คราวนี้กลับลืมกฎข้อสำคัญไปเสียได้ อยากจะย้อนกลับไปเพื่อเตือนแต่ดูเหมือนทุกอย่างมันกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
 
‘ไม่กลับไปเตือนเขาสักหน่อยล่ะ จ้าว หรืออยากให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว’

“พี่เจตไม่ชอบหน้าเขาใช่ไหม”

‘ทำนองนั้น พี่แค่รู้สึกเหมือนถ้าเขาอยู่ที่นี่ ความลำบากจะมาเยือนเรา’

“จ้าวเชื่อว่าในความลำบากนั้นมีความโชคดีแฝงอยู่”

‘ถ้าอย่างนั้นให้พี่ไปทักทายเขาสักหน่อยดีไหม ไหนๆ จ้าวก็เชิญให้เขาอยู่ที่นี่กับเราแล้ว พี่ควรไปแนะนำตัว’

“ก็ได้ครับ แต่รอให้ถึงห้องก่อน จ้าวไม่อยากยืนรอพี่เจตตรงนี้” เด็กหนุ่มบอกกับตุ๊กตาหมีเก่าๆ ที่อยู่ในมือก่อนเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ทางฝั่งขวามือ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าโยกก่อนปล่อยตุ๊กตาที่ถือเอาไว้ให้ร่วงลงสู่พื้น... วิญญาณเจตรินออกจากตุ๊กตาตัวนั้นไปแล้ว จ้าวนั่งรออยู่ที่เดิมตรงเก้าอี้ม้าโยกตัวเดิมในห้องเดิมๆ

----------------

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะห้องดังขึ้นสามครั้ง เว้นระยะห่างเท่ากันดังก้องกังวานเมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ดวงไฟในตะเกียงแก้วไหววูบชวนขนหัวลุก ตฤณยังคงนั่งขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา บรรยากาศยากแก่การข่มตาให้หลับลงได้ง่ายๆ เขาไม่สนิทใจเลยจริงๆ ที่จะนอนไปทั้งที่ยังรู้สึกวังเวง

“คะ... ครับ”

“.....”

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

“ครับ!! สักครู่ครับ!!” ตฤณตะโกนกลับไปก่อนที่จะลุกออกจากเตียงนอน เดินตรงไปยังประตูห้องพลางนึกในใจว่าเด็กคนนั้นจะมาเคาะห้องเอาอะไรป่านนี้ทั้งที่น่าจะรู้ว่านี่เป็นเวลาเข้านอนแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องออกไป คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างที่คิดแต่กลับเป็นผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ ไม่ยักรู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะมีใครอยู่อีกนอกเสียจากจ้าวกับลุงมิ่ง

‘สวัสดีครับ ขอโทษด้วยที่มารบกวนกลางดึก ผมชื่อเจต เป็นพี่ชายของจ้าวครับ’

“ครับ”

‘อยู่สบายดีไหมครับ’

“กะ... ก็ดีครับ”

ตฤณคิดว่ามันก็ดี เตียงนุ่มน่านอน ห้องใหญ่กว้างขวางแต่แอบมีกลิ่นอับราวกับเป็นห้องที่ไม่เคยถูกเปิดใช้งานมาก่อน บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงและเย็นยะเยือกคล้ายกับสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่พักอาศัยของคนแต่คงเป็นเพราะมันอยู่ท่ามกลางเหล่าหมู่มวลต้นไม้สูงใหญ่รอบอาณาบริเวณด้วยล่ะมั้งเลยทำให้รู้สึกว่าที่นี่เหมือนเป็นสุสานเสียมากกว่า

‘อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านยามวิกาลนะครับ’

“ทะ... ทำไมครับ”

‘ผมกลัวคุณหลงทาง’

“อ๋อ ครับ”

‘ถ้ายังไงคืนนี้ก็หลับฝันดีนะครับ’

ตฤณก็อยากจะหลับฝันดี แต่ทว่าเสียงน้ำไหลและบรรยากาศชวนสยดสยองนี่กลับทำให้เขาหลับไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าที่เขาได้ยินยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึก ทุกย่างก้าวราวกับจะฝังลึกลงไปในจิตใจ

“เอ่อ... ถามอะไรอย่างสิครับ”

‘ครับ’

“ที่นี่มีใครอยู่อีกไหมครับ คือ... ผมได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าประตูห้อง”

‘ก็มีแค่ผมกับน้องชายเท่านั้นล่ะครับ อาจเป็นเพราะบรรยากาศของที่นี่เลยทำให้คุณรู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วย’

ตฤณพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่ทั้งที่เข้าใจทำไมใจถึงได้สั่นไม่หยุดอยู่อย่างนี้ เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องไม่มีอะไรจะถามหรือพูดคุยอะไรอีก เจตรินจึงคิดว่าควรจะจากไปเสียที ‘งั้นผมไปก่อนดีกว่าครับ ไม่รบกวนแล้ว ฝันดีนะครับ’
บานประตูถูกปิดลง ตฤณหันกลับไปยังเตียงนอนอย่างช้าๆ ด้วยความหวาดระแวง เสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวยังคงดังมาจากที่ไกลๆ เปลวไฟในตะเกียงไหววูบเล็กน้อยราวกับมีใครสักคนเดินผ่านมันไป บานกระจกที่อยู่ข้างกันสะท้อนเงาดำบางอย่างที่เขาไม่ได้ทันได้สังเกตว่าเป็นสิ่งใด ถ้าหากว่ามีเสียงหมาหอนดังขึ้นมาด้วยล่ะก็คราวนี้สิ่งที่เขาคิดกลัวคงกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาทันที

ตฤณนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนหรือบางทีที่หลับก็เป็นเพราะเปลือกตาทนต่อแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหวแต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เสียงเก้าอี้ลากกับพื้นไปมาคลอด้วยเสียงพูดคุยราวกับกำลังกระซิบกระซาบกันดังอยู่ไม่ไกลจนรู้สึกเหมือนอยู่แค่เอื้อมมือทั้งที่ภายในห้องนั้นมีแต่เขาอยู่เพียงผู้เดียว คนที่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์อย่างเขาทำไมถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจขนาดนี้

“พี่ตฤณครับ! ตื่นหรือยังครับ”

เสียงที่ดังอยู่หน้าประตูห้องนอนปลุกเขาให้ตื่นจากความกลัว ตฤณไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว รู้เพียงแค่ว่าพระอาทิตย์ยังคงไม่ออกทำงาน เขาก้าวลงจากเตียงด้วยสภาพของคนที่อดหลับอดนอนไปเปิดประตู เห็นเด็กน้อยในชุดเดิมยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูห้อง มือข้างหนึ่งกอดตุ๊กตาหมีขนปุยเอาไว้แนบอก

“พี่ตฤณไม่ได้นอนเหรอครับ ตาคล้ำเชียว”

“นิดหน่อยน่ะ มันแปลกที่เลยไม่ค่อยหลับ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณจะกลับไปนอนต่อไหมครับ”

ตฤณส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ให้เขากลับเข้าไปอยู่บนเตียงนอนอีกครั้งยังไงก็หลับไม่ลงอยู่ดี

“งั้นพี่ตฤณจะไปอาบน้ำก่อนหรือว่าจะทานข้าวเช้าก่อนดีครับ”

“พี่จะกลับเลย”

“ให้จ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูนะครับ”

ตฤณพยักหน้ารับ ให้อยู่ต่อก็คงไม่ไหว บรรยากาศในคฤหาสน์หลังนี้หลอนเกินคำบรรยายแม้กระทั่งว่าเด็กคนนั้นยังยืนอยู่ต่อหน้า ขนแขนของเขากลับลุกเกรียวพร้อมใจกันตั้งชันขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นความเย็นยะเยือกของมวลอากาศรอบกายยังแล่นปราดเข้าสู่กระดูกไขสันหลัง ทั้งที่เสียงที่เขาได้ยินตลอดแทบจะทั้งคืนเงียบลงไปแล้วแต่ทำไมถึงยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เขาควรจะกลัวอยู่อีก

“เอ่อ... ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ พอดีโทรศัพท์พี่แบตหมดแล้วอีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ใส่นาฬิกามาด้วย”

“ไม่ทราบครับ แต่พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว”

ตฤณตอบรับในลำคอพร้อมกับเดินตามจ้าวออกไป เขาหันหลังกลับไปมองยังที่ที่เขาเดินจากมาราวกับรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจถึงมันได้ทันที ไม่ว่าจะก้าวเดินไปไกลแค่ไหน สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องมองแผ่นหลังกว้างอย่างไม่ละจาก จนมีหลายครั้งที่เจ้าตัวเหลียวหลังกลับไปมองด้วยความแคลงใจแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“จ้าว รู้สึกไหมว่าเหมือนมีใครมองเราอยู่”

“พี่ตฤณคิดมากไปหรือเปล่าครับ เดินอยู่กับจ้าวแค่สองคน จะไปมีคนอื่นอยู่ได้ยังไง”

จริงอยู่ว่าตอนนี้ตฤณกำลังเดินลงจากชั้นสองของคฤหาสน์กับจ้าวเพียงแค่สองคนแล้วจะมีใครอยู่อีก แต่เขากำลังรู้สึกอยู่ตลอดว่าเหมือนมีสายตาจ้องมองมาที่เขา แม้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า แม้ไม่ได้เห็นรูปร่าง แต่เขากลับสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจเรียกง่ายๆ ว่าดวงวิญญาณ

“ถ้านั่น... ไม่ใช่คนล่ะ”

“พี่ตฤณจะบอกว่าที่นี่มีผีเหรอครับ”

“ก็... ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะให้พี่เรียกว่าอะไร”

เด็กตัวน้อยที่กำลังเดินนำหน้าหันหลังกลับมายืนเผชิญหน้ากับผู้ชายร่างสูงกว่าอย่างตฤณ แววตาที่มองมาเพียงครู่เดียวที่เขาเห็นคือความไม่เป็นมิตรก่อนจะแปรเปลี่ยนไป เด็กคนนั้นฉีกยิ้มหวานจนเขารู้สึกเหมือนสายตาที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ฝันไป เด็กอย่างจ้าวไม่มีทางที่จะมองใครด้วยสายตาร้ายกาจแบบนั้น

“เรียกว่าวิญญาณตามติด”

“.......”

ดูเหมือนตฤณจะช็อคไปแล้ว เขานิ่งงันไปชั่วครู่กับคำตอบที่ได้ยินก่อนเสียงใสที่ตอบคำถามเขาจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันระคนสะใจที่แกล้งให้เขากลัวได้ “พี่ตฤณคิดเยอะไปแล้วครับ”

“งะ... งั้นเหรอ”

“พี่ตฤณครับ จ้าวขอส่งแค่หน้าประตูนะครับ พอดีว่าจ้าวมีงานที่ต้องทำอีกเยอะน่ะครับ”

ตฤณพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงตอบรับ

“จ้าวจะรอพี่ตฤณอยู่ที่นี่นะครับ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พี่ตฤณสบายใจได้แล้วล่ะครับ”

ตฤณพยักหน้ารับอีกครั้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าประโยคที่จ้าวทิ้งท้ายไว้ให้นั่นหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อได้ก้าวเท้าลงจากบันไดคฤหาสน์ทีละขั้น เขาถึงเพิ่งได้รู้ถึงความหมายของประโยคสุดท้ายที่เด็กคนนั้นพูดถึง แสงแดดอ่อนยามพระอาทิตย์ออกทำงานส่องลงมายังพื้นดินอย่างเบาบางอาบไล้รอบตัวเขาด้วยความอบอุ่น บรรยากาศที่ชวนให้เขาหวาดกลัวมาตลอดทั้งคืนจางหายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยให้รู้สึกอะไรได้อีก แต่ทว่าพอหันกลับไปเพื่อจะกล่าวลา ประตูคฤหาสน์ฝุ่นเขรอะปิดสนิทราวกับว่ามันไม่เคยเปิดต้อนรับใครมานานมากแล้วจวบจนถึงตอนนี้


*** to be continued ***


พ่อพระเอกของเราโผล่มาแล้วค่ะ พี่ตฤณของหนูจ้าว มารอดูกันว่าพี่ตฤณจะอยู่คฤหาสน์หลังนี้รอดไหม
เจอหนูจ้าวได้ช่วงอาทิตย์เว้นอาทิตย์นะคะ
ฝากเพจด้วยนะคะ พูดคุย ทวงถามนิยายกันได้ค่ะ FANPAGE


rockiidixon666
ใช่ค่ะ จ้าวประมาณนั้นเลยค่ะ แต่เรื่องนี้ไม่มีพ่อบ้านปีศาจอย่างเซบาสเตียนเท่านั้นเอง
แล้วก็... จริงๆ เรานึกภาพแบบตัวละครจ้าวที่เป็นคนจริงเอาไว้ อย่าง chinen yuri (Hey! Say! JUMP)
แบบว่าความสูงมันได้พอดีเลย ตัวเล็กๆ สูงไม่เกิน 160 ประมาณนี้
ฝากรักจ้าว เอ็นดูจ้าวด้วยนะคะ

ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ จริงๆ เราลุ้นมากเลยว่ามันจะหลอนไหม น่ากลัวหรือเปล่าแต่ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2017 11:59:40 โดย BlueSora »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอิ่ม

ถ้าเรื่อง ตุ๊กตาไขลานคือพระอาทิตย์ เรื่องนี้ก็คืนเดือนมืดสินะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พระเอกโผล่แล้ว ลุงมิ่งก็อยู่ด้วย รอดูความหลอนต่อไป :sad3: o21

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ลุงมิ่งแกคงหวังดีถึงได้ไล่พี่ตฤณ  แอบสงสารลุงจัง

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 3 :::
แขกไม่ได้รับเชิญ





ตั้งแต่เช้าที่ตฤณออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้ามาอีก คนที่เป็นฝ่ายร้อนรนกลับกลายเป็นวิญญาณเจตรินที่อาศัยอยู่ในตุ๊กตาฝุ่นเขรอะตัวนั้นแทน แต่จ้าวกลับนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นบนเก้าอี้ม้าโยกในห้องของเขาราวกับเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่เห็นหน้าตฤณจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว

‘จ้าวไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ คนคนนั้นโกหกจ้าวนะ’

“เขามาแน่แต่ไม่ใช่วันนี้ และต่อให้เขามาวันนี้ จ้าวจะไม่ให้เขาเข้ามาหรอก”

‘หมายความว่ายังไง’

“วันนี้เรามีแขกไม่ได้รับเชิญ”

สิ้นคำพูดของจ้าว กลิ่นควันธูปก็ลอยเข้ามาแตะจมูก จากนั้นไม่นานบทสวดพุทโธธายะก็ดังเข้าหูเป็นจำนวนสามจบ ถือเป็นบทอัญเชิญดวงวิญญาณในบริเวณนั้นเข้าไปสิงสถิตในถ้วยแก้ว คงจะมีพวกอยากลองของเข้ามาลองดีในคฤหาสน์หลังนี้อีกแล้ว

“พี่เจตสนใจจะไปเล่นสนุกสักหน่อยไหมล่ะครับ จ้าวจองที่ไว้ให้แล้ว”

ตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว วิญญาณของเจตรินลอยไปตามทางเพื่อไปสิงสถิตในถ้วยแก้วตามเทียบเชิญ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมุ่งร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มวัยยี่สิบปี เขาจะทำให้เด็กพวกนั้นสนุกกันจนลืมวันนี้ไม่ลงเลยทีเดียว


---------------------


“เฮ้ย! ทำไมแก้วยังไม่ขยับอีกวะ”

เด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของกระดานผีถ้วยแก้วตะโกนถามเพื่อนในกลุ่มที่มาด้วยกันหกคน พวกเขาทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณเรียบร้อยแล้วแต่แก้วที่ถูกนิ้วมือแตะอยู่ทั้งสี่มุมไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ยังคงอยู่ที่เดิมนิ่งๆ อย่างนั้น

“ลองเชิญเขาดูใหม่อีกทีสิวะ เป้”

ถูกเพื่อนร่วมวงกดดันแบบนี้ เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารวบรวมสมาธิและตั้งจิตให้มั่น กล่าวเชิญดวงวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ให้เข้ามาสถิตให้ถ้วยแก้วใหม่อีกครั้ง เป็นไปได้ว่าเขาอาจกล่าวเชิญวิญญาณที่ไม่เฉพาะเจาะจงจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอเชิญดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มาสถิตที่แก้วใบนี้ด้วยครับ”

แก้วที่พวกเขาทั้งสี่แตะอยู่เริ่มขยับไปมา วิ่งพล่านสะเปะสะปะไปทั่วอย่างไร้ทิศทาง เช่นเดียวกับใจของบางคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นเริ่มที่จะไม่แข็งพอ

“ถ้าคุณมาแล้ว ขอเชิญไปหยุดอยู่ที่พัก”

แก้วใบนั้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปหยุดอยู่ที่คำว่าพักบนกระดานแต่สายตาของเป้ไม่ได้มองไปยังกระดานผีถ้วยแก้ว ไม่ได้สนใจว่าแก้วใบนั้นหยุดลงตรงไหน เขากำลังจดจ้องใบหน้าของผู้มาใหม่ที่ยืนโน้มกายคร่อมหัวเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับอยากมีส่วนร่วมในครั้งนี้

“เป้ ถามต่อสิวะ! เงียบทำไม”

เสียงของเพื่อนในกลุ่มดึงสติเขากลับมา สายตาที่จับจ้องผู้ชายคนหนึ่งย้ายมามองกระดานไม้ที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้นมาแล้วเคลื่อนกลับไปมองหน้าผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

“คุณชื่ออะไรครับ”

แก้วเคลื่อนที่ไปยังตัวอักษรบนกระดานอย่างรวดเร็วจนนิ้วที่แตะสัมผัสแทบจะหลุดออกมา ปรากฏเป็นคำที่อ่านรวมกันแล้วได้คำว่า ‘เจต’

“เชี่ยๆ ไอ้โม มึงดันแก้วเหรอวะ”

คนที่เร่งให้เป้ถามต่อโวยวายออกมาที่เห็นแก้ววิ่งไปบนกระดานอย่างรวดเร็วคล้ายกับมีคนดันมันอยู่ตลอดพร้อมกับชี้หน้า เป้หันไปมองหน้าโมผู้ซึ่งมีใครบางคนโน้มกายคร่อมหัวอยู่ด้วยแววตาที่ไม่หวาดกลัว อาจเป็นเพราะเห็นบ่อยจนชินตาไปแล้วและเขาก็คิดว่าตัวเองรู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้มันขยับ

“โมไม่ได้ทำหรอก กันต์ เขามาแล้วต่างหาก”

“มึงถามเขาสิว่าเขาอยู่ไหน”

อันที่จริงเป้ก็อยากบอกไปตรงๆ เลยว่าเขาอยู่ข้างหลังโม แต่เขาก็กลั้นใจถามออกไปให้ตามที่เพื่อนต้องการ “ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณเจตอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

สายตาของเป้ยังคงจ้องมองไปยังผู้ชายคนนั้น เขาจึงเห็นว่าชายคนนั้นชี้กลับไปที่ตัวเองเป็นการบอกนัยว่าเขาอยู่นี่ไง เพียงแค่นั้นขนแขนของเขาก็ลุกเกรียว ถึงจะเคยเห็นวิญญาณมามากมาย ทั้งเร่ร่อน ทั้งตามติด แต่วิญญาณที่ถามปุ๊ปตอบปั๊ปนี่ยังไม่เคยเจอมาก่อน

“ทอ สระอี ไม้เอก ที่”

 เป้อยากจะชักมือตัวเองกลับออกมาแล้วหอบเอากระดานผีถ้วยแก้วกลับบ้านพอได้ยินเสียงเพื่อนอ่านตัวอักษรที่ถ้วยแก้วนั้นวิ่งไปหยุด เขาคิดว่าคำตอบที่วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแก้วใบนั้นคงจะตอบว่าที่นี่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อยเมื่อตัวอักษรต่อไปคือตัวตอเต่า

“ตอ รอ งอ ตรง.... ตรงเชี่ยอะไร!!”

กันต์ถึงกันหันซ้ายหันขวา สายตาลอกแลกไม่ไว้วางใจหลังจากที่โผล่งคำหยาบคายออกมา อีกสองคนในกลุ่มที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเอามือแตะแก้วเข้ากอดกันกลมพร้อมกับจ้องมองไปยังถ้วยแก้วที่อยู่บนกระดานไม่วางตาราวกับกำลังลุ้นว่าตัวอักษรต่อไปจะเป็นอักษรตัวแรกในชื่อของพวกเขาหรือเปล่า

แก้วใบนั้นวิ่งไปหยุดอยู่ตรงตัวอักษรขอไข่ ตามด้วยไม้โท สระอาและจบที่มอม้า

“ตรงข้าม... ข้ามใครวะ!! มึง กู เชี่ยโม หรือไอ้อัฐ”

เป้ยังคงนั่งตัวแข็งทื่อ ปิดปากนิ่งสนิท ยิ่งเห็นรอยยิ้มของชายที่กำลังยืนคร่อมหัวเพื่อนของเขาด้วยแล้ว อยากจะบอกแต่ก็พูดไม่ออกราวกับว่าถ้าพูดออกไป วิญญาณเขาได้หลุดออกจากร่างแน่

“คอ... สระอุ นอ คุณ”

อัฐไล่สายตาอ่านตามตัวอักษรที่แก้วใบนั้นเคลื่อนที่ไปเสียงเบา แต่ไม่ว่าจะเบาแค่ไหนก็ยังชัดเจนในทุกคำที่พูดออกมา ทุกคนต่างพร้อมใจหันมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย มีเพียงแค่เป้ที่ยังมองไปตรงหน้าราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าดวงวิญญาณดวงนั้นอยู่ตรงไหน

“คุณไหนอ่ะ เป้ ถามเขาอีกทีได้ไหม”

“อยู่หน้ากูเอง”

ไม่ต้องเสียเวลาถามให้วิญญาณดวงนั้นเปลืองพลังงาน เป้ก็เลือกที่จะตอบออกมาเองและทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่โมผู้ซึ่งตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองด้านข้างหรือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เขาอยากจะชักมือกลับออกมาจากถ้วยแก้วแต่ถ้าทำแบบนั้นจะเท่ากับเป็นการเสียมารยาทต่อดวงวิญญาณที่อัญเชิญมา

“ไอ้เป้ ไอ้เป้~ ข้างไหนของกู มึงไม่ต้องถามเขา มึงตอบกูมาเลย ข้างไหน”

“คร่อมหัวมึงอยู่อ่ะ”

“ถ้า... ถ้ากูเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นไหม”

โมนั่งก้มหน้างุด เอาแต่จ้องมองแผ่นกระดานที่อยู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมาสบตากับเพื่อนคนอื่น

“มึงอยากเห็นเหรอ”

“กูกลัวจะเห็นเลยถามมึง กูไม่อยากเห็นนะ กูกลัว”

“มึงไม่เห็นแล้วล่ะ เขาไปแล้ว”

โมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่คนที่หายใจหายคอไม่คล่องเหมือนตอนแรกกลับกลายเป็นเป้เสียเองที่ตอนนี้วิญญาณดวงนั้นย้ายที่มานั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเขาแทน

“ต่อเลยไหม หรือจะเชิญเขาออก”

“มึงเชิญเขามา ถามชื่อ ถามว่าอยู่ที่ไหนแล้วเชิญออกนี่โคตรเสียมารยาทอ่ะ มึงต้องถามต่อว่าเขาตายยังไง”

กันต์ใช้มือข้างที่ว่างตบเข้าที่หัวของเป้ซึ่งเป็นจังหวะที่มือสะบัดผ่านวิญญาณดวงนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนแขนเขาปะทะเข้ากับความเย็นยะเยือกจนไม่เพียงแค่ขนแขนจะตั้งชันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุแล้วยังทำให้เขารู้สึกสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง

“มึงเปลี่ยนคำถาม!! ถามเขาอีกทีว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”

“ถามซ้ำระวังเขาไม่พอใจนะ กันต์”

เป้พยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอัฐ ถามมากและถามซ้ำเป็นอะไรที่ควรต้องระวังมากที่สุด ถ้าทำให้เขาไม่พอใจหรือโกรธขึ้นมาจะพากันซวยยกวง วิญญาณพวกนี้จะตามอาฆาตจนกว่าเขาจะพึงพอใจถ้าไม่ทำการขอขมาแต่ทว่าวิญญาณเจตไม่น่าจะโกรธง่ายๆ เพราะเขาเห็นใบหน้านั้นยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างนึกสนุกผ่านทางปลายหางตา

“ขอโทษนะครับ คุณเจตเป็นอะไรตายครับ”

ถ้วยแก้วใบนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปพักหนึ่งก่อนจะเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ จนมาหยุดอยู่ที่ตัวอักษร ฆ. เพียงแค่นี้ก็เดาได้ลางๆ แล้วว่าถ้าไม่ใช่คำว่าฆ่าก็คือฆาตกรรม และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อตัวอักษรถัดไปคือสระอา เป้ถึงกับหันไปมองหน้าดวงวิญญาณที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกนิดเดียวคือสิงร่างเขาแล้ว ใบหน้านั้นไม่ได้แย้มยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้คล้ายกับว่าไม่พอใจที่จะต้องตอบคำถามนี้

ยังไม่ทันที่ถ้วยแก้วจะเคลื่อนที่ไปถึงตัวอักษรต่อไปก็มีมือเล็กๆ ยื่นเข้ามาแตะบนถ้วยแก้ว

“ขอเล่นด้วยนะ”

เสียงใสเอ่ยขึ้นมาอย่างกับระเบิดที่ถูกทิ้งลงมากลางวง ทุกคนต่างสะดุ้งเฮือกจนกระจายไปคนละทิศคนละทาง แม้ว่าเป้จะตกใจแค่ไหนแต่เขาขยับไม่ได้เพราะวิญญาณดวงนั้นยังคงนั่งอยู่ข้างๆ หันหน้ามองมาที่เขาราวกับจงใจจ้อง

“ได้ไหม” เสียงใสถามย้ำอีกครั้ง

“เป้ กู...กู... กูไม่อยู่แล้วนะ!!!”

กันต์เป็นคนแรกที่โผล่งขึ้นมากลางวงแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมวิ่ง ทว่าแม้จะพยายามก้าวเท้าออกจากที่ตรงนั้นก็เหมือนกับจะติดอะไรบางอย่างเข้า เขาจึงค่อยๆ ก้มลงไปมองอย่างช้าๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศออกจะเย็นจนน่าขนลุก ข้อเท้าของเขากำลังถูกมือเล็กพันธนาการเอาไว้ มือเล็กข้างนั้นที่คล้ายกับมือที่แตะอยู่บนถ้วยแก้ว เพียงแค่มือเท่านั้น... แค่มือ นอกเหนือจากนั้นคือความว่างเปล่าที่แม้กระทั่งวิญญาณของเขาก็คล้ายจะหายไปด้วยเช่นกัน

“รีบไปไหนเหรอ เล่นด้วยกันก่อนสิ”
 
กันต์พยายามออกแรงขยับแต่เท้าเขากลับไม่หลุดจากข้อมือที่เกาะไว้ ยิ่งพยายามเท่าไรก็คล้ายกับว่ามันจะรัดเขาแน่นขึ้นเท่านั้น หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติตอนนี้มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้ว จนสุดท้ายเขาต้องจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วเอามือแตะลงไปบนถ้วยแก้วอย่างที่เสียงเจ้าของมือนั้นต้องการ พันธนาการที่ข้อเท้าเขาจึงหายไป เช่นเดียวกับทุกคนที่เอื้อมมือกลับมาแตะที่ถ้วยแก้วตามเดิมแม้ในใจลึกๆ แล้วไม่มีใครอยากเล่นมันต่อ

“เออ... เออ... ขอโทษที่เราทุกคนเสียมารยาทกับคุณเจต ไม่โกรธใช่ไหมครับ ถ้าใช่ให้ไปที่ใช่”

ถ้วยแก้ววิ่งวนไปรอบๆ แผ่นกระดานหลังจากที่เป้ถามจบก่อนที่มันจะพลิกหงายขึ้นมา ควันธูปที่อยู่ในถ้วยแก้วลอยออกมาจางๆ จนสุดท้ายก็ละลายหายไปในอากาศ ทุกคนต่างผงะแล้วนึกในใจว่าซวยแล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วหากแก้วหงายนั่นแปลว่าเขากำลังไม่พอใจ หากควันธูปออกนั่นหมายความว่าวิญญาณอาจกำลังไปเข้าสิงใครสักคนที่จิตอ่อน

“ชิบหาย!!”

เด็กวัยรุ่นทั้งหกคนกรูกันไปที่ประตูทางออกด้วยความหวาดกลัว ทิ้งกระดานผีถ้วยแก้วและทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนั้น แต่ทว่าเพียงแค่ก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ประตูคฤหาสน์ที่ปิดสนิทกลับส่งเสียงดังปังราวกับว่ามีใครกระแทกประตูให้ปิดลงทั้งที่มันไม่ได้เปิด พวกเขาเกาะกลุ่มกอดกันกลมอย่างตื่นตระหนกพลางมองไปรอบทิศทางก่อนที่จะมีคนใจกล้าวิ่งไปเปิดประตูแต่มันกลับแน่นสนิท ไม่ว่าจะเขย่าเท่าไรบานประตูทั้งสองก็ไม่แยกออกจากกัน

“มึง! เปิดไม่ออกว่ะ”

“ไอ้วุฒิ มึงเป็นนักกีฬา มึงไปช่วยไอ้โดมเปิดหน่อย เดี๋ยว... เดี๋ยวพวกกูจะหาทางออกอื่น” 
   
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่กันต์ก็ยังคงเกาะเพื่อนแน่นไม่มีทีท่าว่าจะไปหาทางออกอื่นอย่างที่ว่า บรรยากาศเย็นยะเยือกหนาวจับขั้วหัวใจ ลมพัดไหววูบพาให้กระจกหน้าต่างส่งเสียงร้องทั้งที่ข้างนอกนั่นนิ่งสงบ แม้กระทั่งใบไม้สักใบยังไม่กระดิก แต่ภายในกลับรู้สึกเหมือนมีพายุเข้า

วิญญาณของเจตรินปรากฏกายให้ทุกคนได้เห็น ใบหน้าของเขาไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ทว่าก็ไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไร ดวงตาสีเฮเซลนัทจ้องมองไปยังร่างของคนๆ เดียวที่อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยความถูกอกถูกใจ ก่อนจะแสยะยิ้มชวนขวัญผวาอีกรอบ ‘อยากออกเหรอ’

ไม่มีใครกล้าตอบแต่ทุกคนต่างพร้อมใจกันพยักหน้า

‘จะเปิดประตูให้ก็ได้แต่ต้องทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งคน เลือกดีๆ นะ’

เด็กวัยรุ่นต่างพากันมองหน้าเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทิ้งใครเอาไว้ดี จะทิ้งเพื่อนไว้คนหนึ่งก็เท่ากับทรยศในความเป็นเพื่อนแต่ถ้าจะออกหน้าเสนอตัวอยู่แทนทุกคนเองก็เกรงว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับออกไป ระหว่างความเป็นเพื่อนกับความเห็นแก่ตัวมันมีเพียงแค่เส้นบางๆ คั่นไว้อยู่เท่านั้น จนท้ายที่สุดกันต์ก็ตัดใจสินพูดขึ้นมา เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ให้ใครได้ชื่นชม “เดี๋ยวกูอยู่เอง”

“ไม่ กันต์ เดี๋ยวกูอยู่เอง” โมเสนอตัวเองแทน

“กูเป็นคนชวนพวกมึงมาเล่น กูก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบชีวิตพวกมึงด้วย เพราะฉะนั้นกูจะอยู่เอง”

“แต่ที่พวกกูตามมึงมานั่นเท่ากับพวกกูยอมรับสิ่งที่จะเกิดนะโว้ย!” โมกล่าวแย้งขึ้นมา

“เออ... คือจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมคิดว่าเราควรถามเขาว่าอยากให้ใครอยู่”

ทุกคนเงียบกริบหลังจากที่อัฐเสนอความคิดเห็นออกมา เป็นความคิดเห็นที่เหมือนจะดีแต่เอาเข้าจริงๆ แล้วมันไม่ดีสำหรับใครเลย ทุกคนในที่นี่มีสิทธิ์ถูกเลือกด้วยกันทั้งหมด งานนี้จึงมีคนไม่เห็นด้วยอย่างโดม “กูไม่โอเคว่ะ กูกับวุฒิแค่มาดู ทำไมกูต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นด้วยวะ”

“ทำไมมึงมันเห็นแก่ตัววะ ไอ้โดม! มึงอยากเสือก อยากรู้อยากเห็นแต่พอต้องรับผิดชอบ มึงกลับปอดแหกเอาตัวรอดคนเดียวเหรอวะ!”

‘ถ้าตัดสินใจกันไม่ได้ เดี๋ยวจะเลือกให้เอง’   

สิ้นเสียงของเจตริน ปลายนิ้วก็ชี้มายังเป้ ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงถนัด ถึงแม้จะเคยเห็นวิญญาณมาก็มาก เจอะเจอในหลายรูปแบบแต่ไม่เคยมีวิญญาณดวงไหนที่คิดจะเอาชีวิตเขาเลยแล้วทำไมถึงกลายเป็นเขาไปได้ที่ถูกเลือก ทั้งที่ไม่เคยหลบลู่ดูหมิ่น ขอขมาลาโทษทุกครั้งที่เคยทำล่วงเกิน

“เป้ ทำไมเป็นมึงวะ มึงไปทำอะไรเขาไว้”

โมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนที่มีมารยาทดีต่อวิญญาณทุกดวงถึงได้ถูกเลือก ทำไมถึงไม่ใช่กันต์ที่ชอบพูดจาโผงผางหาเรื่อง

“กะ... กูไม่รู้”

“หรือเขาถูกใจเป้เหรอ”   

ในใจเป้นึกค้านคำถามของอัฐ ทั้งที่ตัวเขาเองก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้พูดจาให้รู้สึกว่าต้องมารักมาชอบเลยแท้ๆ

“กูจะไปรู้ได้ไง”

“แล้วคือ... ต้องทิ้งมึงไว้เหรอ มึงโอเคไหมวะ”

ความลำบากใจปรากฏชัดบนใบหน้าของโม เขาไม่อยากให้เป้กลายเป็นตัวตายตัวแทนของเพื่อนทุกคนที่อยู่ในนี้ ไม่อยากกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ต้องตัดใจทิ้งเพื่อนเอาไว้ในคฤหาสน์หลังนี้ทั้งที่เขาจะเอ่ยปากอาสาออกมาแทนก็ได้แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้พูดไม่ออก

“โอเคสิ ตอนที่พวกมึงออกไปได้แล้วอย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้วก็ขอขมาดวงวิญญาณที่อยู่ในนี้ด้วยนะ”

“มึงพูดเหมือนมึงจะไม่ได้ออกมา”

เป้ไม่ได้พูดอะไร เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ออกไปได้แล้ว

เสียงกลอนดังกริ๊กก่อนที่บานประตูทั้งสองจะเปิดออกกว้าง ทุกคนต่างก้าวเท้าเดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยใจหดหู่ การทิ้งเพื่อนไว้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากทำแต่ก็ไม่มีใครอยากถูกทิ้งให้อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้โดยไม่รู้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตข้างนอกไหม เขาทอดสายตามองตามแผ่นหลังเพื่อนทุกคนไปด้วยความรู้สึกเสียใจจนกระทั่งประตูบานนั้นกลับมาปิดตายเหมือนเดิม

“พักสักหน่อยไหมครับ ท่าทางเหมือนพี่จะดูเหนื่อยๆ”

เสียงใสๆ นั่นช่างคุ้นหูเช่นเดียวกับมือเล็กที่ถือเชิงเทียน เปลวไฟดวงจ้อยไหววูบเล็กน้อยส่องให้เห็นใบหน้ากลมมนของเด็กชายในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงทรงฟักทองสีดำดูน่ารักน่าเอ็นดู

“หรือจะทานอะไรสักหน่อยไหมครับ”

เป้ไม่รู้จะตอบยังไง แต่สายตาที่ส่งมาก็เป็นเชิงบังคับว่าให้เขาต้องเดินตามเด็กผู้ชายที่ถือเชิงเทียนนั้นไปอย่างเลือกไม่ได้


---------------------



หลังจากที่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นออกมาจากคฤหาสน์แล้วและใจพวกเขาสงบพอ วุฒิที่เอาแต่เงียบตลอดทั้งที่เขาไม่ใช่คนเงียบขรึมพูดขึ้นมากลางวง “พวกมึงรู้ไหม กูกับโดมเห็นอะไร”

“ก็เห็นเหมือนที่กูเห็นไม่ใช่เหรอวะ มือแตะถ้วยแก้วไม่พอมาจับขากูอีก เสียงที่ขอเล่นด้วย หลอนชิบหาย!”

พูดไปแล้วกันต์ยังกลัวไม่หาย ไม่โดนกับตัวนี่ไม่เข็ดไม่หลาบจริงๆ เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่เล่นผีถ้วยแก้วอีกแล้ว ไม่เล่นอะไรสักอย่างที่ต้องเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่ไหนไม่รู้ เขากลัวว่าถ้าเล่นอีกสักครั้งอาจจะทำให้ใครถึงฆาต ถูกดวงวิญญาณปองร้ายหมายเอาชีวิต

“ถ้ากูเห็นเหมือนที่มึงเห็นก็ดีสิ”

“มึงเห็นอะไร วุฒิ”

“มึงว่าใครเลื่อนถ้วย”

“ก็ต้องเป็นผีที่ชื่อเจตนั่นแหละ” โมบอกขึ้นมา ดวงวิญญาณที่อยู่ในถ้วยแก้วชื่อเจตเพราะฉะนั้นพลังงานที่ใช้ดันแก้วให้ขยับก็ต้องเป็นของดวงวิญญาณดวงนั้น

“ตอนแรกกูกับโดมก็คิดแบบนั้นจนกระทั่งตอนที่เป้ถามว่าอยู่ตรงไหน แล้วเขาตอบว่าอยู่ตรงข้ามคุณ วินาทีนั้นกูกับโดมหันมองหน้ากันเพราะกูเห็นเด็กผู้ชายในชุดสีขาวดำใช้มือเลื่อนแก้วซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งขวาของเป้ ถ้าวิญญาณที่ชื่อเจตนั่นอยู่ตรงข้ามเป้แล้วที่กูกับโดมเห็นคืออะไร”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ พวกเขากำลังทบทวนสิ่งที่แต่ละคนเจอะเจอในขณะที่เล่นผีถ้วยแก้วในคฤหาสน์หลังนั้น

“ตะ... แต่กูเห็นมือนั่นตอนกูได้ยินเขาพูดว่าขอเล่นด้วยกับตอนที่เขาเอามือมาจับขากู” กันต์บอกออกมาเป็นคนแรกเมื่อรวบรวมสติคิดทบทวนอย่างดี แล้วเหมือนเพิ่งจะนึกได้ถึงตำแหน่งที่นั่งของแต่ละคนจึงพูดขึ้นมาต่อ “ถ้าหากว่าโมนั่งตรงข้ามเป้ กูนั่งอยู่ฝั่งขวาของเป้จะอยู่ตรงข้ามกับอัฐที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของเป้ และเด็กในชุดสีขาวดำอย่างที่วุฒิพูดถึงปรากฏกายให้แค่มึงกับโดมเห็นนั้นอยู่ทางฝั่งซ้ายของเป้ซึ่งเท่ากับว่าเด็กคนนั้นอยู่ระหว่างเป้กับอัฐ แล้วใครจับขากู!”

เกิดความเงียบขึ้นอีกระลอก ไม่เพียงแค่ความสงสัยที่ว่าใครจับขายังรวมไปถึงว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงปรากฏให้วุฒิและโดมเห็นเต็มตัวในขณะที่คนอื่นเห็นเพียงแค่มือ

“แล้ว... ทำไมเป้ที่มีเซ้นส์เรื่องนี้ถึงไม่เห็นเด็กคนนั้นเลย”

อัฐฟังแล้วก็นึกสงสัย ถ้าหากเด็กคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นตลอดและแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้มีจิตสัมผัสเรื่องแบบนี้แรงกล้าอย่างโดมและวุฒิทำไมถึงได้มองเห็นแต่กลายเป็นว่าเป้เห็นเพียงแค่วิญญาณของเจตเท่านั้น

“กูไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย! สับสนไปหมดแล้วเนี่ย!! ใครก็ได้เรียงไทม์ไลน์ให้กูที” กันต์ถึงกับเอามือทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด

“ตอนนี้? ตรงนี้? ไม่ดีมั้ง” โดมแอบเหลือบมองไปยังคฤหาสน์ที่ขนาดวิ่งออกมาห่างๆ แล้วยังรับรู้ถึงความมีอยู่ของมันได้ บรรยากาศตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้วชวนให้หลอนพอๆ กันเพราะทั้งถนนแทบจะไม่มีรถสักคันแล่นผ่าน ไม่มีผู้คนเดินผ่านแถวนี้แม้เพียงคนเดียว

“เออ! ต้องตอนนี้ ตรงนี้ด้วย กูจะรอให้พระอาทิตย์ขึ้นก่อนแล้วจะกลับเข้าไปหาเป้ กูไม่ทิ้งมันไว้ที่นั่นคนเดียวหรอก ไม่ใช่มันที่ต้องเสียสละเพื่อเพื่อนแต่ควรจะเป็นกู”

“โอเคๆ งั้น... ขอกูเรียบเรียงสติก่อน ใครก็ได้บันทึกที่กูพูดไว้ด้วยนะ”

วุฒิสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพยายามเรียบเรียงสติ ไล่ลำดับไปทีละขั้นอยู่ในใจ

“พวกเราแอบเข้าไปที่นั่นตอนเกือบเที่ยงคืน เตรียมของพร้อมทำพิธีอะไรเสร็จก็เที่ยงคืนครึ่ง หลังจากนั้นแก้วเคลื่อน เป้ถามชื่อ ถามว่าเขาอยู่ตรงไหน คำตอบคืออยู่ตรงข้ามเป้เพราะมันเห็นวิญญาณดวงนั้น หลังจากนั้นก็ถามต่อว่าเป็นอะไรตาย แก้วเคลื่อนที่แต่ตอบไม่เสร็จก็มีมือเล็กๆ แตะไปที่แก้วพร้อมกับทุกคนได้ยินเสียงว่าขอเล่นด้วยใช่ไหม”

ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า

“แล้วกันต์ มึงก็โวยวายออกมาว่าไม่อยู่แล้ว ไม่เล่นแล้วทำนองนี้แต่สักพักมึงก็กลับลงมานั่ง ตอนนั้นมึงบอกว่าเหมือนมีใครจับขามึงอยู่ แก้วหงายแล้วทุกคนก็แตกกระเจิง โอเค... จบเรื่องที่พวกเราทุกคนเห็นกันแล้ว มาต่อที่เรื่องของวุฒิกับโดม มึงบอกว่ามึงเห็นเด็กผู้ชายในชุดขาวดำอะไรนั่นตั้งแต่ตอนไหน”

“กูกับวุฒิเห็นตั้งแต่ตอนที่เป้บอกว่าถ้ามาแล้วให้ไปที่คำว่าพัก ปรากฏเป็นร่างให้กูกับมันเห็นเลยแบบจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา มีหันหน้ามายิ้มให้พวกกูด้วย พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย”

โดมลูบแขนตัวเองไปมาท่าทางหวาดกลัวอย่างแท้จริง ตอนที่เห็นใบหน้านั่นครั้งแรกเขายอมรับเลยว่าน่ารักมากแต่พอยิ้มให้เท่านั้นล่ะ เรียกได้ว่าถ้าทำอะไรหลบหลู่ดูหมิ่น ไม่เคารพแล้วล่ะก็มีโอกาสถูกพาไปอยู่ด้วยแน่

“งั้นก็แสดงว่าเด็กคนนี้อยู่มาตั้งแต่เริ่มเล่นเกมและก็น่าจะเป็นคนดันแก้วใบนั้น ตอบทุกคำถามที่เราถาม ถ้าอย่างนั้น... วิญญาณที่เป้เห็นเป็นใครหรือวิญญาณเด็กคนนั้นเป็นใคร แล้วมีมากกว่าสองใช่ไหม เพราะตอนที่กันต์บอกว่ารู้สึกเหมือนมีมือมาจับขาเอาไว้ ถ้าเป็นมือของเด็กคนนั้นก็ควรจะจับขาเป้ไม่ก็อัฐ”

โมทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักแต่นึกเท่าไรก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ออก เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จวบจนกระทั่งโดมโวยวายออกมา  “โอ๊ย!! ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย กูนอนก่อนล่ะ พวกมึงจะนั่งถกอยู่นี่รอจนเช้าก็ได้”
“มึงกล้านอนทั้งที่เพื่อนมึงยังอยู่ในนั้นเหรอวะ”

“แล้วจะให้กูทำยังไง กันต์ มึงจะให้กูนั่งหาเหตุผลกับมึงทั้งคืน คิดไปก็คิดไม่ออกหรอก สู้มึงกลับเข้าไปพรุ่งนี้ตอนเช้า ถ้าเจอวิญญาณเจตอะไรนั่นหรือเด็กคนนั้นอีก มึงก็ลองไปถามเขาดูว่าใครจับขามึง มึงไม่รู้ พวกกูก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะฉะนั้นเลิกหาเหตุผล เลิกถามว่าทำไมได้แล้ว!”

ที่โดมพูดมาก็ฟังดูเข้าท่าแต่ใครจะใจกล้าบ้าบิ่นเข้าไปถามให้รู้เรื่องอีกรอบทั้งที่เพิ่งจะเจอเรื่องราวที่เกือบจะเอาชีวิตกันไม่รอดอยู่แล้ว


*** to be continued ***

ตอนนี้พี่ตฤณไม่อยู่นะคะ แวะไปเก็บของที่หอพักแปปนึง เดี๋ยวกลับมาแน่นอนค่ะ
ส่วนเรื่องการเล่นผีถ้วยแก้วนั้นเรายังแอบหวั่นใจจะว่าเขียนได้ไม่ดีพอ แถมยังกลัวไม่หลอนและยังมาแบบสั้นๆ อีก แหะๆ



-----------------------------------------------


ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

alternative
จะว่าไปประมาณนั้นก็ได้ค่ะ มันเป็นนิยายที่ระบายความเก็บกดจากเรื่องนั้นของเราเองค่ะ แหะๆ ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ไม่แน่ใจว่าตอนต่อไปจะหลอนมากน้อยขนาดไหน แต่จะพยายามนะคะ ขอบคุณค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ

ซีเนียร์
ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ



ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ต๊ายยยยย เด็กพวกนี้!

แล้วตกลงมันมีมากกว่าสองใช่ป่ะ

บรื๊ออออออ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สงสารเป้ ดูเป็นเด็กดีมีมารยาท จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่รึเปล่านะ  :hao5:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ขอให้หลานเป้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถอะ สาธุ  :m5:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องจ้าวก็ไม่ได้จะหาเพื่อนให้พี่ตฤณใช่มั้ยคะ? แต่ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะเป็นเพื่อนลุงมิ่ง ...

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ชอบๆๆๆๆ
รออ่านน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 4 :::
จะดูแลเธอเป็นอย่างดี




เป้เดินตามเด็กผู้ชายในชุดสีขาวดำดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยไปเรื่อยๆ อย่างจนใจ จะออกไปไหนไม่ได้ถ้าเจ้าของคฤหาสน์ไม่ยินยอมเลยมีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ยังพอรักษาชีวิตของตัวเองได้อยู่ หากคิดหนีหรือพยายามหาทางออก วิญญาณดวงนั้นคงคว้าเอาตัวเขาไปอยู่ด้วยแน่

“พี่ชื่ออะไรเหรอครับ”

“เออ... เป้ ชื่อเป้”

“พี่เป้ยังไม่ได้ตอบจ้าวเลยนะครับว่าอยากจะพักแล้วหรือว่าอยากจะทานอะไรสักหน่อย”

ท่าทางของเป้ดูจะอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เขาตอบไม่ถูกว่าจะเลือกคำว่าพักหรือทานดี ถ้าเลือกพักแล้วเป็นพักแบบไหน พักชั่วครั้งคราวหรือพักถาวรตลอดชีพ ถ้าหากเลือกทานแล้วจะได้ทานอะไร ของดิบของสด ตับไตไส้พุงเลือดม้ามหรืออะไรอย่างอื่นที่เขาอาจจะจินตนาการภาพไม่ออก

“ถ้างั้นจ้าวว่าพี่เป้ทานอะไรสักหน่อยดีกว่านะครับ พอหนังท้องตึง หนังตาก็จะหย่อน คืนนี้พี่เป้จะได้หลับสบาย”

บรรยากาศวังเวงชวนขนหัวลุกกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์สยองขวัญมามาดๆ เป้ไม่อยากปักใจเชื่อว่าจะได้กินอิ่ม นอนหลับสบายเหมือนอย่างที่เด็กคนนั้นพูดเอาไว้ เขาเดินตามไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรแต่น่าแปลกที่ว่าทั้งที่เด็กคนนั้นมีใบหน้าอันน่ารักน่าเอ็นดูเรียกได้ว่าใครเห็นเป็นต้องหลงรักแต่ทว่ากลับมีบรรยากาศรอบกายที่บ่งบอกว่าควรอยู่ห่างเอาไว้

“จ้าวเห็นว่าพี่เป้มาเลยสั่งให้เขาทำสเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์มาให้ เลือดนี่ไหลเยิ้มน่ากินเชียวล่ะครับ”

“งะ... งั้นเหรอครับ”

“เอ๊ะ! หรือว่าพี่เป้อยากกินอะไรที่เบากว่านี้ไหมครับ อย่างเช่นแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ พี่ชายของจ้าวทำซอสสตรอเบอร์รี่อร่อยนะครับ ถ้าพี่เป้ได้ลองชิมดู รับรองเลยครับว่าจะต้องติดใจแน่นอน”

จะเป็นแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่หรือสเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์ เป้ก็คิดว่าไม่มีอะไรน่าอร่อยสักอย่าง เขากอดแขนตัวเองแน่นคล้ายกับว่าบรรยากาศรอบข้างทำเอาเขาหนาวสั่นแต่ทว่าความจริงแล้วมื้ออาหาร ของว่างนั่นต่างหากที่ทำเอาเขาหวาดกลัว

“แหะๆ เหรอครับ”

“พี่เป้ไม่อยากกินเหรอครับ น้ำเสียงเหมือนไม่มีความสุขเลย”

จ้าวหันหน้ากลับมามอง เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เปลวไฟสีส้มอ่อนจากเชิงเทียนถูกยื่นมาตรงหน้าใกล้กับเป้ นั่นยิ่งทำให้เขาเริ่มคุ้นตากับเรียวมือเล็กสีขาวซีดข้างนั้นขึ้นทุกที มันคล้ายกับมือข้างหนึ่งที่แตะลงบนถ้วยแก้วเมื่อตอนที่เขานั่งเล่นผีถ้วยแก้วอยู่กับเพื่อน

“มัน... คือ... มันดึกแล้ว”

“เหรอครับ เสียดายจังครับ ถ้าอย่างนั้นให้จ้าวไปส่งพี่เป้ที่ห้องพักนะครับ”

“แล้วคือ... เอ่อ... เจต วิญญาณที่ชื่อเจตล่ะครับ รู้จักไหม”   

จ้าวส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่ทว่าดวงตาสีเพลิงคู่นั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย สิ่งที่แฝงอยู่ในแววตาคือความชั่วร้ายคล้ายปีศาจ เขาหันหลังกลับไปและเดินนำไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อมแล้วสำหรับการนอนในคืนนี้โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามนั่นเลย

เป้คิดว่าบางทีเขาควรจะเงียบเสียบ้างถ้าไม่อยากทำให้เด็กคนนั้นโมโห แววตาที่สะท้อนกลับมายามจ้องมองมายังเขาดูน่ากลัวเกินกว่าจะถามอะไรต่อ เขาเดินตามเด็กคนนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง เชิงเทียนที่อยู่ในมือของเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนั้นถูกยื่นมาให้เขาพร้อมกับคำพูดเพียงประโยคสั้นๆ “พี่เป้พักห้องนี้นะครับ”

“อ่า...”

“รับไปครับ ในห้องไม่มีไฟ”

เป้ยอมรับเชิงเทียนมาถือเอาไว้แต่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าความสว่างอยู่ที่ตัวเขาแล้วเด็กคนนั้นจะเห็นอะไรตอนเดินกลับไป แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปก็ดูเหมือนว่าจ้าวจะรับรู้ความคิดนั้น เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง “พี่เป้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ จ้าวชินทางแล้ว นอนหลับพักผ่อนให้สบายนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจ้าวจะมาปลุก”

เป้พยักหน้าพร้อมกับเดินเข้าห้องไป ชั่ววินาทีแรกที่ปลายเท้าเหยียบย่างเข้าไปในห้องราวกับไอความเย็นแผ่ซ่านอยู่รอบตัว แม้กระทั่งเชิงเทียนที่ถืออยู่ในมือก็ยังเย็นเฉียบคล้ายกับว่ามีใครนำมันไปแช่ไว้ในช่องแช่แข็งก่อนที่จะส่งมอบมาให้

ภายในห้องนั้นมืดสนิทด้วยเพราะวันนี้เป็นคืนเดือนมืดที่เขาว่ากันว่าดวงวิญญาณจะมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้ เป้เชื่อในเรื่องวิญญาณแต่ไม่ใช่คนกลัวผีสักเท่าไรเพราะอย่างนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังทำให้เขาหลับได้อย่างสบาย เป้เชื่อว่าหากเราไม่ไปรบกวนเขาก่อน เขาก็จะไม่มารบกวนเรา

เป้สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและวิญญาณสัมภเวสี ผีเร่ร่อนในทุกคืนก่อนเข้านอนเสมอนั่นจึงทำให้เขาไม่เคยกังวลว่าจะมีวิญญาณดวงไหนมารบกวนเวลาเข้านอน และแม้ว่าคืนนี้จะอยู่ในต่างที่ต่างถิ่นแต่เขาก็ไม่อยากหลบหลู่ดูหมิ่นจึงรีบทำเหมือนที่ทำทุกครั้งแล้วซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่มที่ส่งกลิ่นเหม็นอับคล้ายของเน่าของเสีย

เสียงกึกกักคล้ายกับใครกำลังรื้อหาของอยู่ข้างหัวเตียงดังตลอดทั้งคืนจนน่ารำคาญ เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่นอนอยู่บนเตียงพลิกซ้ายทีขวาทีอย่างหงุดหงิด เขาอยากจะลุกขึ้นมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมแต่เกรงว่าถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาไม่ใช่แค่ให้หาของแต่ต้องการดวงวิญญาณเขาไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ที่พยายามรักษาชีวิตตัวเองมาจนถึงตอนนี้ได้คงสูญเปล่า

เป้ลุกขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง เชิงเทียนที่ไฟยังไม่ดับส่องให้เห็นบรรยากาศข้างนอกอันแสนน่ากลัว ใบไม้พลิ้วไหวเสียดสีกันไปมารุนแรง กิ่งก้านลู่ไปตามลมที่พัดกรรโชกอย่างหนักแต่ทว่าภายในห้องกลับเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัดที่ควรจะดังมากราวกับพายุเข้า ตอนนี้เขาได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองที่ถูกผ่อนออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะเท่านั้น

คนที่สามารถเห็นดวงวิญญาณที่เดินไปมาตามท้องถนนหรือสถานที่ต่างๆ มักจะไม่เป็นสุขเท่าไรนักในวันเดือนดับที่ดวงวิญญาณหรือแม้กระทั่งผีสางทั้งดีและชั่วสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสรเสรี ไม่เพียงแต่จะได้ยินเสียง เขายังเห็นวิญญาณพวกนั้นได้อย่างชัดเจน ทุกตัวทุกตนราวกับเป็นคนที่อยู่ในภพเดียวกันจนบางครั้งก็นึกว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง

เสียงที่คล้ายกับใครกำลังรื้อของยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดปิดลิ้นชักโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้นทำให้เป้ต้องหันไปมอง ช่วงจังหวะหนึ่งที่เพียงแค่เบือนสายตาไปหา เขาเห็นผู้หญิงในชุดนอนของชาวตะวันตกสีขาวครีมหันมามองหน้า สบตาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนจะกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะทิ้ง เสียงข้าวของตกกระทบพื้นแตกกระจายแต่สิ่งที่เขาเห็นเต็มสองตาคือความว่างเปล่าที่อยู่บนโต๊ะเช่นเดียวกับบนพื้นที่ไม่เห็นแม้กระทั่งของสิ่งใด พอเคลื่อนสายตาไปมองยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นควรจะยืนอยู่กลับไม่พบอะไรแม้แต่น้อยราวกับว่าที่ตรงนั้นไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้า

เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบ เขาเห็นเงาตะคุ้มๆ บนบานกระจกแต่งตัวแต่ไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใด บางทีอาจเป็นเพียงแค่เขาที่ตาฝาดไปหรือเป็นเพราะความสว่างที่มีอยู่น้อยนิดจากเทียนเล่มเดียวบนเชิงเทียนที่วางอยู่ข้างหัวเตียงในมุมหนึ่งของห้องและความไม่แน่ใจนั้นจึงทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น มือข้างหนึ่งคว้าเอาเชิงเทียนมาถือไว้แล้วค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงนอนอย่างระมัดระวัง มุ่งหน้าตรงไปยังกระจกบานนั้นทันทีด้วยความแคลงใจ

แสงไฟดวงเล็กถูกยื่นไปข้างหน้าเพื่อพิสูจน์ความจริงที่ว่าสิ่งที่เห็นคือมโนภาพหรือเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตอนนี้เป้ยืนอยู่ตรงหน้าบานกระจกนั้นแล้วและเห็นเพียงแค่เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา ไม่กี่ชั่วอึดใจที่รู้สึกเบาใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพหลอนจากการคิดไปเอง ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่บนบานกระจกค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นชาวตะวันตกคนหนึ่งที่มีใบหน้าตกกระสีซีด ดวงไฟอันน้อยนิดจากเชิงเทียนไหววูบพร้อมที่จะดับลงได้ทุกเมื่อ วินาทีนั้นจู่ๆ เขาก็เกิดอาการหายใจหายคอไม่สะดวกราวกับมีใครบางคนเอาเชือกป่านมารัดไว้ที่คอจนเซถอยหลังไปแต่ไม่นานอาการนั้นก็หายไป มือข้างที่ว่างนั้นสัมผัสไปยังลำคอของตัวเองคล้ายกับจะพยายามดึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หายใจไม่ออก ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่สะท้อนอยู่บนบานกระจก

สุดท้ายแล้วเป้ก็เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้หายใจไม่ออกอย่างนี้เมื่อสิ่งที่เขาเห็นเพิ่มคือเชือกป่านที่รัดรอบคอเด็กคนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอดิ้นทุรนทุรายเหมือนที่เขาเป็นเมื่อครู่แต่อาการหนักกว่านั้นมาก สองแขนสองขาป่ายปัดไปทั่ว มีเลือดไหลออกมาจากจากทวารทั้งห้า ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองมายังเขาอย่างเคียดแค้น  ร่างกายของเด็กสาวคนนั้นกระตุกวูบอยู่สองสามครั้งก่อนที่สุดท้ายแล้วเธอคนนั้นจะสิ้นใจและภาพที่ปรากฏอยู่บนบานกระจกอีกครั้งก็เป็นร่างของเขาในเวลานี้ที่กำลังทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับสัมผัสไปยังบริเวณรอบคอของตัวเองอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาแต่ที่รอบคอของเขากลับมีร่องรอยของเชือกป่านที่รัดคอหญิงสาวคนนั้นปรากฏอยู่จางๆ     

ถึงเป้จะเป็นคนที่เคยชินกับการเห็นดวงวิญญาณคนตายมานับต่อนับแต่สิ่งที่เขาเจอะเจอวันนี้นั้นน่ากลัวกว่าการเจอวิญญาณที่หน้าตาเละเทะตามท้องถนนมากนัก เขารีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วกลับไปยังเตียงนอน วางเชิงเทียนไว้บนโต๊ะหัวเตียงตามเดิมแล้วซุกตัวอยู่แต่ในผืนผ้าห่มโดยไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าขึ้นมาอีก


---------------------------------


“พี่เจต!!”

ทันทีที่จ้าวกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง เขาก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห ตุ๊กตาหมีขนปุยถูกหยิบขึ้นมากอดเอาไว้แนบอกก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าโยก ไม่ว่าวิญญาณของเจตรินจะอยู่แห่งหนใดในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนี้จะต้องกลับเข้ามาสิงอยู่ที่ตุ๊กตาหมีตัวนั้นทันทีที่จ้าวแตะสัมผัสมัน

‘จ้าวโกรธอะไรพี่เหรอครับ’

“พี่เจตพาใครมา”

‘ก็เด็กที่อยากลองของไง เด็กคนนั้นไม่ถูกใจจ้าวเหรอ’

จ้าวอยากจะปาตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดทิ้งลงพื้น แต่ถ้าทำแบบนั้นวิญญาณของเจตรินก็จะสามารถออกจากตุ๊กตาตัวนั้นไปไหนต่อไหนได้และเขาขี้เกียจตามกลับมา

“ไม่ใช่คนนี้! จ้าวอยากได้อีกคน! คนที่ปากกล้าอยากลองดีคนนั้น จ้าวจะทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ต้องจำไปจนวันตายเลยล่ะ แต่นี่อะไร! พี่เจตเลือกเพราะถูกใจใช่ไหม”

‘ถ้าไม่ถูกใจ จ้าวก็ปล่อยเขาไปสิ’

“ได้ ถ้าพรุ่งนี้เขายังอยู่ครบสามสิบสองรวมถึงสติด้วย จ้าวจะปล่อยเขาไป แต่ถ้าจ้าวดูแล้วว่าเขาไม่ปกติ จ้าวจะรับเขามาเป็นคนงานเพิ่ม ตกลงตามนี้นะครับ พี่เจตจะไปปกป้องเขา จะไปไหนก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักผ่อนแล้ว”

จ้าวปล่อยตุ๊กตาหมีปอนๆ ทิ้งไว้ข้างตัว วิญญาณของเจตรินถึงได้เป็นอิสระ เขาลอยออกมาจากตุ๊กตาที่ใช้กักขังวิญญาณของเขาเอาไว้มายืนอยู่ข้างเก้าอี้มาโยกที่น้องชายของเขานั่งอยู่แล้วเอื้อมมือออกไปลูบแก้มนุ่มนั้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดูรักใคร่ การทำให้จ้าวโกรธไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวเจตรินหรือวิญญาณอื่นที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เลย

‘หายโกรธพี่เถอะนะครับ เด็กดี’

“ขอจ้าวอยู่คนเดียวครับ”

‘จ้าว...’

“พี่เจต คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด อยากปกป้องเขาก็รีบหน่อยนะครับก่อนที่เขาจะไม่เหลืออะไรไว้ให้พี่ปกป้อง”

เจตรินรู้แล้วแต่เขาเลือกที่จะไม่ไปไหน ยอมที่จะอยู่ในตุ๊กตาตัวนั้นต่อหรือไม่ก็ขอให้ได้อยู่เคียงข้างจ้าวก็พอ







>>>  ต่อข้างล่างค่ะ


ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
>>> ต่อจากข้างบนค่ะ




ในห้องนอนที่ยังคงเย็นเฉียบจนเสียวสันหลัง เสียงฝีเท้าหลายคู่เดินวนไปวนมาอยู่รอบเตียงราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เป้ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาจากผืนผ้าห่ม ยิ่งวันนี้เป็นวันที่พวกวิญญาณทุกประเภทออกเร่ร่อนไปมาได้ตามใจด้วยแล้วล่ะก็ไม่ควรทำตัวให้อยู่ในจุดเสี่ยง

แสงสว่างวาบเข้าตาในขณะที่เขายังคลุกตัวอยู่ใต้ผืนผ้าห่มจนต้องหลับตาเพราะความจ้าที่มากเกินไป เมื่อเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พยายามปรับสายตาให้เข้ากับทุกสิ่งรอบกาย ความเย็นเฉียบที่สัมผัสได้ทุกรูขุมขนแผ่ขยายเป็นวงกว้างอยู่ให้วงล้อมผ้าผืนเดียวกัน


ปัง! ปัง! ปัง!


เสียงเคาะประตูห้องด้วยความเกรี้ยวกราด เป้ไม่กล้าที่จะแง้มสายตามองออกไปดู แค่เท่าที่เจอมาตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องก็หลอนจนเกือบขวัญเสียอยู่หลายหน หากพบเจอหลายครั้งเข้าก็เกรงว่าสติน่าจะหลุดออกจากร่างไปเลยทันที แต่ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอให้คล่องก็ปรากฏภาพของผู้ชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบเลือดปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งที่เขายังคลุมโปงอยู่ห่างออกไปแค่เพียงหนึ่งไม้โปร

“ว๊ากกก”

เป้ตกใจจนต้องเลิกผ้าห่มออก ทันทีทันใดนั้นที่ใบหน้าของเขาหลุดออกมาจากผืนผ้าก็สบเข้ากับผู้หญิงในชุดนอนแบบตะวันตกสีขาวครีมตัวเดิม คนเดิมที่เขาเคยเห็นว่าเธอกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้นจนหมดกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความโมโหคล้ายกับว่าเขาไปนอนทับที่ของเธอเข้า

“ขะ... ขอโทษ”

ในขณะที่กำลังจะขยับตัวออกมา เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังทับผ้าห่มที่คลุมอยู่เพียงครึ่งร่างของเขาเอาไว้ไม่ให้ตัวเขาได้ออกจากผ้าห่มผืนนั้นง่ายๆ ราวกับว่าจะกักขังเขาเอาไว้บนเตียงนอน หัวใจที่เคยเต้นอย่างเป็นสุขกลับรัวเร็วราวกับดนตรีร็อก

“นะ... นะ... นะโม... ฮืออออ”

เป้ยกมือขึ้นเตรียมจะสวดมนต์ อาราธนาศีลหรือบทสวดอะไรก็ได้ที่ทำให้เขาได้ออกจากห้องนี้ แต่ทว่าคำสวดหลังจากนั้นกลับถูกกลืนหายไปเพราะหางตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบสวมชุดนอนสีพาสเทลนอนท้าวคางจ้องมองเขาอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นที่ยืนจ้องเขาเขม็งไม่วางตา

ถูกวิญญาณล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนี้ อย่าว่าแต่จะสวดมนต์จนครบบทได้ แม้กระทั่งทำใจให้สงบยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาทั้งหวาดกลัว ทั้งนึกถามตัวเองว่าเพราะอะไรถึงได้มาเจอวิญญาณมากมายขนาดนี้ราวกับกำลังประชุมเพลิง

“นะโม นะโม นะโม ตัสสะ.... ฮืออออ ภัควะโต อา.... ฮือออ”

แม้ว่าเป้จะเห็นวิญญาณบ่อยจนชินตา ถูกรบกวนบ้างเป็นบางเวลาแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ถูกวิญญาณห้อมล้อม จ้องมองราวกับว่าเขาเป็นของแปลกหรือสิ่งที่น่าสนใจอย่างนี้ และดูเหมือนว่าบทสวดที่ไม่ปะติดปะต่อนั่นจะใช้ไม่ได้ผลกับดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่ขยับหนี ยังดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย

“เช้า... เช้าเร็วๆ สิวะ!!!”   

อยากจะเร่งให้พระอาทิตย์ทำงานไวๆ แต่ดูเหมือนว่าเวลาในแต่ละวินาทีจะเดินช้าเสียเหลือเกิน เมื่อทำอะไรไม่ได้แถมยังถูกล้อมทุกทิศทางอย่างนี้ จะขยับตัวหนีก็ติดเด็กผู้ชายที่ยังนอนท้าวคางจ้องหน้าเขาไม่วางตา จะลุกลงไปทางปลายเตียงก็เจอผู้หญิงวัยกลางคนจ้องเขาด้วยความโกรธเคือง จะหลบไปทางขวาเพื่อวิ่งออกไปข้างนอกห้องก็เกรงว่าจะเจอหนักกว่านี้

“โว้ย!! เอาเลย! ตามสบายเลย! นอนแล้วนะ! ง่วงมาก!!”

เป้พยายามจะไม่สนใจอะไรแล้วเพราะยิ่งเขาสนใจมากเท่าไรก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดหัวแล้วหลับตาลง สัญญากับตัวเองว่าถ้าเด็กคนนั้นไม่มาเคาะประตูเรียกก็จะไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับบรรยากาศน่าขนลุกอีก

แม้จะบอกออกไปว่าจะนอนแต่อันที่จริงแล้วในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่มีใครหลับตาลงได้อย่างสนิทใจ เป้เพียงแค่หลับตาเพื่อเลี่ยงการรับรู้ พยายามปิดหูเพื่อทอนเสียงที่ได้ยิน แต่ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจขณะนี้ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยมันออกมาได้ เขาพยายามฝืนใจตัวเองต้องอยู่ให้ได้ ต้องรอดในสถานการณ์ที่วิญญาณพร้อมจะออกจะร่างได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าเขาซุกตัวอยู่ในท่านั้นนานแค่ไหน แต่เสียงเคาะประตูห้องทำเอาเป้สะดุ้งโหยง ยังไม่กล้าที่จะโผล่หน้าขึ้นมาเพราะเกรงว่าผู้ที่อยู่หน้าห้องนั้นจะไม่ใช่คน จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงตามมา เขาจึงคลายใจลงได้บ้าง “พี่เป้ครับ! จ้าวเองนะครับ ตื่นหรือยังครับ” 

เป้เลื่อนผ้าห่มที่คลุมร่างจนมิดออก หลังจากนั้นจึงขยับตัวที่เริ่มจะเมื่อยขบลงจากเตียงอย่างช้าๆ เมื่อมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินมาจากหน้าห้องนั้นใช่เสียงของจ้าวจริงๆ เขาไม่เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ห้อมล้อมอย่างกับเขาเป็นของใหม่ที่น่าสนใจแล้วแม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นก็ตาม

“เฮ้อ~”

“พี่เป้! อยู่ไหมครับ”

“อ๊ะ! ครับ”

เป้ตอบรับพร้อมกับรีบรุดไปเปิดประตูต้อนรับ เด็กที่ชื่อจ้าวยืนฉีกยิ้มกว้างรออยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับมือเล็กข้างหนึ่งถือเชิงเทียน ความสว่างของไฟดวงเล็กส่องให้เห็นอย่างชัดเจนเพียงแค่มือ แต่เพียงเท่านั้นเขาก็ได้บทสรุปของคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ มือเล็กสีไข่มุกข้างนั้นช่างเหมือนกับนิ้วมือที่แตะสัมผัสอยู่บนถ้วยแก้วเมื่อคืนนี้จนรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไม่มีสาเหตุคล้ายว่ากำลังพูดคุยอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ”

“ก็… สบายดีครับ”

จะให้เป้ตอบว่าไม่สบายก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจเอาเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้นเราไปทานแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่กันดีกว่าครับ จ้าวอยากให้พี่เป้ลองชิมดูจริงๆ นะ มันอร่อยจนลืมไม่ลงเลยล่ะครับ”

ลืมไม่ลง… พูดแล้วก็ให้เป้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาจะลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตเช่นกัน

“อ๋อ! จริงสิ หรือพี่เป้อยากทานเมื้อเช้าแบบไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุกกับแฮม ไส้กรอก ขนมปังอะไรแบบนี้ไหมครับ จ้าวจะได้ให้เขาเตรียมให้เป็นกรณีพิเศษ”

“เออ… จะเป็นอะไรไหม ถ้าพี่ขอกลับเลย”

“ได้สิครับ ให้จ้าวเดินไปส่งนะครับ”

เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ถึงกับทำให้เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากัน ทั้งที่เมื่อคืนวิญญาณของเจตเลือกให้เขาเป็นตัวตายตัวแทนของเพื่อนทั้งห้าคนแต่ในเวลานี้กลับปล่อยให้ออกไปอย่างง่ายดาย

“เอ่อ... พี่ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”

“ได้สิครับ” จ้าวตอบกลับพร้อมกับยิ้มให้อย่างละมุน

“เอ่อ... จ้าวใส่ชุดนี้ตลอดเลยหรือเปล่าครับ มีคนอื่นใส่ด้วยไหม ชุดแบบนี้น่ะ”

จ้าวก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ก่อนจะทำท่าคิด จับชุดของตัวเองไปมาคล้ายว่ากำลังตรึกตรองในใจว่านอกจากตัวเขาเองแล้วมีใครใส่ชุดลูกไม้ สวมกางเกงฟักทองแบบนี้อีกหรือไม่ แต่ทว่าคำตอบที่เป้ควรจะได้รับกลับกลายเป็นคำถามที่เขาต้องตอบแทน “พี่เป้ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ว่ายังไงบ้างเหรอครับ”

“เอ่อ...” เป้พยายามนึกถึงคำพูดเพื่อนที่เล่าถึงสรรพคุณของคฤหาสน์หลังนี้ตอนที่ถูกชวนมาเล่นผีถ้วยแก้ว “เขาเล่ากันว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้วก็ขึ้นชื่อเรื่องผีดุประมาณนั้น ถ้าใครเข้ามาลองดี ส่วนมากจะไม่ได้กลับออกไปหรือถ้าออกไปได้ก็จะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน พี่ว่า... มันก็แค่ข่าวลือเกินจริงนิดหน่อย เพราะที่นี่ก็ยังมีคนอยู่ จริงไหม”

“แล้วแต่พี่จะคิดเถอะครับ เพราะยังไงคำตอบที่พี่ต้องการก็อยู่ในข่าวลือนั่น”

เป้ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำตอบที่เด็กคนนั้นตอบกลับมา ถ้าหากคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ใส่ชุดเหมือนจ้าวย่อมไม่ใช่คน และนั่นก็ย่อมหมายความว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นย่อมไม่มีลมหายใจด้วยเช่นกัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกระลอกพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ เสี้ยววินาทีหนึ่งในหัวสมองของเขามีบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามา และยิ่งได้ยินประโยคที่จ้าวกล่าวต่อไปด้วยแล้ว “ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนนะครับ จ้าวกับพี่ชายสนุกมาก วันหลังถ้าอยากเล่นอีกก็แวะมาได้นะครับ ที่นี่ยินดีต้อนรับคนอยากลองของเสมอ”

เป้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อหรือแม้จะหายใจต่อยังไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงถนัด สติของเขาคล้ายจะดับวูบลงเมื่อลองทบทวนดูในหลายๆ เรื่องแล้วเขาพบว่าเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากับมือที่แตะสัมผัสไปบนแก้วใบนั้นเป็นมือเดียวกันไม่ผิดแน่

“ใกล้จะสว่างแล้ว ข้างนอกคงน่าอยู่กว่านี้ ยังไงจ้าวขอส่งแค่นี้ดีกว่า รบกวนพี่เป้เดินออกไปเองนะครับ”

ตอนนี้เป้หมดคำพูด แค่คำตอบรับธรรมดาที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยังทำให้เขาพูดไม่ออก

“อ้อ แล้ว... รบกวนอีกเรื่องนะครับ ฝากบอกเพื่อนของพี่ด้วยว่าคราวหน้าคราวหลังถ้าจะมาเล่นอะไรที่นี่อีก ขากลับ ช่วยเก็บของกลับไปด้วยนะครับ จ้าวไม่อยากได้ของที่ระลึก”

ไม่รู้เมื่อไรที่เชิงเทียนในมือของจ้าวแปรเปลี่ยนเป็นกระดานผีถ้วยแก้วพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในพิธีกรรม เขายื่นมันคืนกลับไปให้กับเจ้าของเดิม เป้เอื้อมมืออันสั่นเทาออกมารับมันไว้ ตอนนี้แค่จะก้าวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่ก็เหมือนจะก้าวไม่ออก ทั้งที่ไม่มีใครรั้งเอาไว้แต่ก็กลัวเกินกว่าจนร่างกายไม่ยอมทำตามสิ่งที่สมองสั่งการ

“รีบไปเถอะครับ เพื่อนพี่รออยู่”

หลังจากที่จ้าวพูดจบ เป้ก็รีบสาวเท้าออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับถือกระดานผีถ้วยแก้วนั่นกลับไปด้วย 


------------------------------

   
“ไอ้เป้!! มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหมวะ!”

เป้ไม่ได้ตอบอะไรเมื่อกันต์ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการเล่นกระดานผีถ้วยแก้วตะโกนถาม เขาอยากวิ่งออกมาให้หลุดจากบริเวณคฤหาสน์ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือต้องไม่เห็นตัวคฤหาสน์หลังนี้เลย เขาวิ่งผ่านพวกเพื่อนที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์พร้อมกับกวักมือเรียกให้ตามมา

“ไอ้เป้! มึงเป็นอะไรวะ!”

“กู... กูเจอ...”

ไม่มีเพื่อนคนไหนแปลกใจเพราะต่างก็รู้ดีว่าเป้เป็นคนที่มันสัมผัสพิเศษ เห็นพวกผี พวกวิญญาณได้จนเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ทว่าทีท่าที่เห็นในตอนนี้กลับทำให้พวกเขาอยากรู้ว่าที่เจอนั่นเจออะไรมากกว่า

“เจออะไร มึง”

“เจ้า... เจ้าของมือนั่น ที่... ที่แตะบนถ้วยแก้ว”

วุฒิกับโดมหันหน้ามองกันก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไปว่าเจ้าของมือที่ว่านั่นใช่คนเดียวกับที่พวกเขาเห็นตั้งแต่เริ่มเล่นเกมเลยหรือไม่ “เป็นเด็กผู้ชายใช่ไหม”

เป้ไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาพยักหน้าให้อย่างถี่รัว

“สีตาเป็นยังไง สีอะไร มึง... เขียนคำตอบไว้ในมือถือก็ได้ กูอยากรู้ว่าใช่คนเดียวกับที่กูกับโดมเจอไหม”

ทุกคนในกลุ่มต่างลุ้นกับคำตอบที่ถูกเขียนไว้ในมือถือว่าจะใช่คนเดียวกับที่พวกเขาเจอกันหรือไม่ ใช่มือที่จับข้อเท้าของกันต์เอาไว้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะได้เห็นคำตอบจากเป้ สิ่งที่วุฒิพูดขึ้นมาก็ทำให้เขาสะดุ้งเฮือก “ตาสีแดงใช่ไหม”

คำตอบที่เป้เขียนถูกยื่นไปให้กับทุกคนในที่นั้นได้เห็น ไร้ซึ่งคำพูดคุยแต่ทุกคนกลับเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีในสิ่งที่แต่ละคนได้เจอมา คำว่า ‘สีเพลิง’ บนหน้าจอนั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากคำว่า ‘สีแดง’ ที่ถูกพูดถึงเท่าไรนัก ไม่จำเป็นต้องถามถึงชุดที่ใส่ อาภรณ์ที่สวม   

“อ้อ! พวกมึง เขาฝากบอกมาด้วยว่าถ้าจะมาเล่นอีกก็ยินดีต้อนรับ แล้วก็... บอกอีกว่าช่วยเอาของคืนไปด้วย เขาไม่อยากได้ของที่ระลึก”

กระดานผีถ้วยแก้วพร้อมอุปกรณ์ทั้งหลายถูกยื่นมาตรงหน้า วินาทีนั้นไม่มีใครอยากเอื้อมมือออกไปรับมันกลับมา ไม่มีใครอยากลองของอีกแล้วเพราะกลัวจะเจอดี แค่คืนที่ผ่านมาก็นับว่าวิญญาณที่อยู่ในนั้นปราณีพวกเขามากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครได้กลับออกมาโดยไม่เป็นอะไรสักอย่าง นอกจากเสียขวัญจนแทบเสียสติเท่านั้น




** ติดตามตอนต่อไป **


ไม่รู้ว่าตอนนี้จะถูกใจกันบ้างหรือเปล่านะคะ แต่น่าจะพอรู้คร่าวๆ แล้วเนอะคะว่าใครเป็นอะไรกันบ้าง
ส่วนตอนหน้านั้น.... พี่ตฤณจะคัมแบ็คค่ะ พี่ตฤณบอกว่าเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมย้ายสัมมะโนครัวได้แล้วค่ะ มีใครรอพี่ตฤณของหนูจ้าวบ้างคะ

แต่.... มีเรื่องแจ้งให้ทราบด้วยค่ะว่า....

เนื่องจากผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ซึ่งคือตัวเราเองจะออกไปท่องโลกกว้าง ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็นเวลา 11 วัน ตีว่าสองสัปดาห์
และซึ่งมันต้องเตรียมตัว เตรียมความพร้อมจิปาถะมากมาย เช็คของ เช็คแพลน คอนเฟิร์มที่พัก บลาๆๆๆ อีกเป็นรอบสุดท้ายก่อนออกเดินทาง
อีกทั้งหลังจากที่กลับมาแล้วคาดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นซอมบี้เดินได้ตามเคย + เม้าท์มอยหอยสังข์อีก 3 วัน 7 วัน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั้น จึงขออนุญาตผู้อ่านทุกท่านว่า "ของดอัพนิยายเป็นระยะเวลา 1 เดือนนะคะ"
สุดท้ายนี้ก็อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ ขอบคุณค่ะ



-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

alternative

ขอบคุณนะคะ แหะๆ มันมีมากกว่าสองไหม อันนี้ขอไม่เฉลยนะคะ ปล่อยให้เป็นปริศนากันต่อไป

ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ อันนี้รู้แล้วจิ่นะว่าเปเป้รอดแล้วค่ะ เปเป้ไม่ใช่เป้าหมายของหนูจ้าว

areenart1984
ขอบคุณนะคะ สาธุๆ เปเป้รอดแล้วค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ น้องจ้าวไม่ได้หาเพื่อนให้ใครเลยค่ะ น้องไม่ถูกใจซะก่อน

GBlk
ขอบคุณนะคะ แหะๆ เปเป้ไม่ใช่คู่กับพี่เจตน๊าาาาา แต่พี่เจตจะมีคู่ไหมนั้น.... เอิ่มมมมม ต้องรอดูค่ะ

kun
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
นึกว่าเป้จะคู่พี่เจตสะอีกนะคะเนี่ย  :laugh:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :mc4: หลานเป้รอดแล้ววววววว

รอความสยองตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เป้โชคดีที่รอดมาได้อน่างครบถ้วน หรือว่าจะไม่รอดซะแล้ว ตอนหน้าพี่ตฤณ มาแล้ววววววว ไม่รู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง รอออออออิ
เที่ยวให้สนุกน่ะ^^

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 5 :::
คนพิเศษย่อมต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษ




หลังจากที่เป้ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้แล้วความสงบจึงเข้ามาเยือนอีกครา จ้าวกำลังเฝ้ารอเวลาที่ตฤณจะกลับเข้ามาอย่างใจจดจ่อ เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะปกป้องผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดีตราบจนกระทั่งอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจ ภายในห้องจึงคละคลุ้งไปด้วยความอบอุ่นที่อบอวลไปทั่วห้อง แม้กระทั่งเจตรินที่อยู่ในตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะตัวนั้นยังจับสัมผัสได้

‘จ้าวดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ เรื่องเมื่อคืนทำให้ยิ้มได้เหรอ’


“เรื่องเมื่อคืนก็ส่วนเรื่องเมื่อคืนครับ”

‘หายโกรธพี่แล้วใช่ไหม’

“จ้าวไม่ใช่พวกที่จะอาฆาตแค้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ว่าแต่น่าเสียดายนะครับที่พี่เป้รีบร้อนออกไป ไม่ยอมอยู่ชิมซอสสตรอเบอร์รี่ฝีมือของพี่เลย ทั้งที่จ้าวอุตส่าห์นำเสนออย่างดี ไม่อย่างนั้น... พี่เจตคงได้เจอเขาบ่อยขึ้น”

‘พี่จะได้เจอเขาหรือไม่มันขึ้นอยู่กับจ้าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับซอสสตรอเบอร์รี่ที่พี่ทำ’

จ้าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย สิ่งที่เจตรินพูดมาคือเรื่องจริง ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เดินเข้ามาหาด้วยตัวเองก็จะไม่มีวันได้พบเจอ ถ้าหากจ้าวไม่อนุญาตต่อให้ต้องร้องขอจนตายแล้วตายเล่า คำตอบที่ได้รับจากเขาก็คือคำปฏิเสธ อำนาจของจ้าวยิ่งใหญ่เกินกว่าที่วิญญาณตนอื่นในคฤหาสน์หลังนี้คิดแข็งข้อ

“แต่ซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตก็อาจจะมีส่วนทำให้เขาติดใจได้นะครับ”

‘…….’

ดูเหมือนวันนี้จ้าวจะอารมณ์ดีจนน่ากลัว ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ในหัวกันแน่

“พี่เจตว่าจ้าวให้พี่ตฤณได้ลองชิมฝีมือซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตดูดีไหมครับ จ้าวว่าเขาต้องชอบมันมากแน่ หรือจะเป็นสเต๊กสีเลือด ไม่สิ... สเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์ที่ยังเห็นน้ำสีแดงไหลอยู่บนชิ้นเนื้อด้วยฝีมือจ้าว พี่ตฤณจะชอบแบบไหนมากกว่ากันนะ จ้าวไม่อยากลุ้นเลยครับ” 

‘แบบไหนมันก็มีค่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ’   

“จะบอกว่าเหมือนกันก็ได้ เพราะยังไงผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ไม่ได้ต่างกันอยู่ดี อ๊ะ! พี่ตฤณกลับมาแล้ว”

จ้าวกอดตุ๊กตาหมีตัวนั้นไว้แนบอก ลุกจากเก้าอี้ม้าโยกตัวประจำที่เขามักชอบนั่งเล่นวิ่งออกไปต้อนรับตฤณ ผู้ชายที่รู้สึกถูกชะตาจนอยากเชิญให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิตอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ากลมถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุนที่ใครเห็นต่างเป็นต้องหลงเสน่ห์ ดวงตาสีเพลิงที่เคยใช้มองผู้อื่นอย่างไม่เป็นมิตรถูกบดบังด้วยความโอบอ้อมอารี

“พี่ตฤณครับ!!”

เสียงตะโกนดังลงมาถึงข้างล่างก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งลงบันไดมาหาด้วยความคิดถึง เขากอดตุ๊กตาหมีไว้แนบอก หยุดยืนอยู่ตรงหน้าตฤณแล้วใช้สายตาช้อนมองผู้ชายที่สูงกว่าอยู่หลายเซนติเมตร

“พี่ตฤณไปไหนมาเหรอครับ เมื่อคืนนี้จ้าวรอทั้งคืนเลย”

“เอ่อ... พี่มีธุระน่ะแล้วคิดว่าน่าจะกลับดึกเลยไม่ได้มา ขอโทษทีนะ”

“งั้นเดี๋ยวจ้าวให้ลุงมิ่งเอาของไปเก็บไว้ในห้องนะครับ”

แค่คำว่าจ้าวจะให้ลุงมิ่งเอากระเป๋าสัมภาระและข้าวของบางส่วนที่ตฤณหอบหิ้วมาไปเก็บไว้ในห้องก็ไม่จำเป็นต้องเรียกขานให้เปลืองพลังงาน ลุงมิ่งเดินมาจากข้างหลังแล้วรับของที่ตฤณถือมาโดยที่เจ้าตัวเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลุงมิ่งโผล่มาจากที่ตรงไหน แต่ได้เพียงแค่คิดเมื่อจ้าวเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียออดอ้อน

“วันนี้จ้าวลองทำแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ อยากให้พี่ตฤณลองชิมดู ช่วยจ้าวชิมหน่อยนะครับ”

“เอ่อ...”

“นะครับ พี่เจตก็ไม่อยู่ด้วย พี่ตฤณชิมให้จ้าวหน่อยนะครับ”

ดูเหมือนตฤณจะไม่มีทางเลือกใดๆ เมื่ออีกฝ่ายทั้งทำน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่งสายตาออดอ้อนเชิงเว้าวอนขอร้องให้ช่วยชิมแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่เพิ่งทำครั้งแรก จะปฏิเสธก็กระไรอยู่ ฝ่ายนั้นลงทุนขอร้องเขาถึงขนาดนี้แล้ว

“ก็ได้ครับ”

“งั้นพี่ตฤณตามมาเลยครับ”

จ้าวคว้าข้อมือแกร่งเอาไว้แล้วจูงให้เดินตามมา เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ฝ่ามือเล็กแตะสัมผัสลงบนผิวหนังราวกับถูกก้อนน้ำแข็งเข้าปะทะจนเกือบจะชักมือกลับ แต่พอได้เห็นร่างตรงหน้า เขาก็รู้แค่เพียงว่าความรู้สึกนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองด้วยเพราะบรรยากาศโดยรอบช่างเงียบเหงาวังเวงจนน่าขนลุก

“พี่ตฤณชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ ไว้คราวหน้าจ้าวจะได้ลองทำให้”

“จริงๆ พี่กินมาจากข้างนอกก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้จ้าวทำให้เถอะนะครับ พี่ตฤณจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อข้าวกินข้างนอกแล้วอีกอย่างจ้าวจะได้ถือโอกาสฝึกมือไปด้วยในตัว จ้าวแค่… อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้พี่ตฤณน่ะครับ”

เด็กคนนี้ใจดีจนตฤณเกรงใจ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่เสแสร้งทำเอาเขาใจอ่อน ยอมตกปากรับคำง่ายๆ

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

จ้าวพาตฤณเดินมาถึงห้องหนึ่งที่มีโต๊ะตัวยาวพอจะนั่งร่วมกันได้ยี่สิบสามสิบคน เทียนไขสีดำบนโคมไฟระย้าที่ติดอยู่บนเพดานส่องแสงสว่าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็พอจะช่วยทำให้เห็นอะไรภายในได้มาก สุดปลายทางของห้องที่ตฤณเห็นนั้นมีรูปครอบครัว พ่อแม่และลูกอีกสองคน เมื่อลองเพ่งมองให้ดีแล้วเขาพบว่าเด็กผู้ชายทั้งสองนั้นคือสองพี่น้องเจตจ้าว ใบหน้าบนรูปวาดประดับอยู่ดูงดงามราวกับภาพเหล่านั้นจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

“นั่นรูปพ่อกับแม่ของจ้าวเองครับ พวกท่านเสียไปนานมากแล้ว”

“ทำไมสีตาของจ้าวถึงได้ไม่เหมือนพวกท่านเลย”

ไม่ต้องให้ตฤณเดินเข้าไปใกล้จนสามารถพินิจพิจารณารายละเอียดได้อย่างถี่ถ้วน เขาก็รับรู้ได้ว่าสีนัยน์ตาของจ้าวนั้นแปลกกว่าใคร

“จ้าวก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่พ่อบอกว่าที่สีตาของจ้าวเหมือนเพลิงในนรกนั้นทำให้จ้าวดูพิเศษกว่าคนอื่น มันก็แค่คำปลอบใจเพราะไม่อยากให้เรารู้สึกแย่ พี่ตฤณคิดแบบนั้นไหมครับ”

ในขณะที่ตฤณกำลังจะตอบ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินนำถาดแพนเค้กพร้อมซอสสตรอเบอร์รี่เข้ามาวางไว้บนโต๊ะก่อนที่เธอจะเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร จ้าวเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ตฤณได้มานั่ง เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร จะเห็นด้วยหรือไม่เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้มีเพียงแค่ว่าแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่ถูกจัดวางอยู่บนจานขาวอย่างงดงามนั้นจะถูกปากหรือเปล่า

“พี่ตฤณลองชิมดูครับ”

ตฤณนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนให้ เขามองไปยังแพนเค้กสองแผ่นที่อยู่ตรงหน้า วิปครีมสีขาวลูกกลมฟูฟ่อง มือเล็กสีไข่มุกหยิบถ้วยซอสสตรอเบอร์รี่ราดลงไปบนนั้นอย่างช้าๆ เส้นสายเล็กๆ ไหลลงมาบนเนื้อแพนเค้ก บางส่วนถูกราดทับวิปครีมสีขาวนวลจนยุบตัวลงเล็กน้อย

“ให้จ้าวป้อนด้วยไหมครับ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเองดีกว่า”

แพนเค้กชิ้นขนาดพอดีคำถูกตักเข้าปาก ทันทีที่สัมผัสลิ้นมันช่างนุ่มราวกับปุยเมฆจะแทบจะละลาย กลิ่นเนยหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วแต่ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกเฝื่อนลิ้น กลิ่นแปลกๆ ฉุนกึกติดจมูกจนต้องขมวดคิ้ว เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็ค่อยจางหายไปแทนที่ด้วยความหอมหวานที่เขาอยากลิ้มลองมันอีกเรื่อยๆ ไม่หยุดปาก

“พี่ตฤณชอบไหมครับ แพนเค้กสูตรพิเศษของจ้าว”

“พี่รู้สึกเหมือนซอสมันฝาดๆ กลิ่นแปลกๆ มันคือซอสสตรอเบอร์รี่แน่เหรอ”

“แน่สิครับ”

จ้าวหยิบช้อนที่ตฤณวางไว้บนจานขึ้นมา เหลือบมองมันก่อนเลื่อนสายตาไปยังผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลากปลายลิ้นเลียคราบซอสที่ยังหลงเหลืออยู่บนนั้น สายตาที่ส่งไปให้ราวกับกำลังเชิญชวนให้ลิ้มลอง หากแต่มันไม่ได้หมายความถึงแพนเค้กสีเหลืองทอง

“กินไหมครับ”

“จ้าว...”

“อ๊ะ! ขอโทษครับ จ้าวขอไปดูก่อนนะครับว่ามีใครเตรียมน้ำให้พี่ตฤณอาบหรือยัง เดี๋ยวกลับมาครับ”

จ้าวเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับตุ๊กตาหมีขนปุยที่ยังอยู่ในมือ ปล่อยให้ตฤณจมจ่ออยู่กับแพนเค้กรสชาดประหลาดที่จะติดใจไปอีกนานแสนนานจนยากจะถอนตัว เมื่อเขาออกมาได้ไกลพอสมควรที่ตฤณจะไม่ได้ยินเรื่องที่พูดคุยกันต่อจากนี้ วิญญาณของเจตรินที่อยู่ในร่างของตุ๊กตาหมีเห็นทุกการกระทำของน้องชายตลอดเวลา เขาออกจะหงุดหงิดและไม่เข้าใจในการกระทำนั้นจนอดที่จะโผล่งออกมาอย่างอารมณ์เสียไม่ได้

‘จ้าว ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่’      

“พี่เจตครับ จ้าวก็แค่พยายามต้อนรับเขาอย่างดีเป็นพิเศษ พี่จะโกรธอะไรครับ”

‘ต้อนรับอย่างดี! จ้าวใส่อะไรลงไปในซอสสตรอเบอร์รี่ให้เขากิน’

“เอ๋? ใส่อะไร เปล่านี่ครับ มันก็แค่ซอสธรรมดาฝีมือพี่เจต”

‘ไม่ใช่ มันแปลกตั้งแต่ที่จ้าวพยายามชวนเป้กินแล้ว มันหลายครั้งเกินจนพี่ว่ามันต้องมีอะไร ตอบพี่มานะ’ 

รอยยิ้มเย็นแฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่ไม่พยายามปกปิด มือเล็กยกตุ๊กตาหมีตัวนั้นขึ้นมาให้จ้องหน้า ดูสายตา จดจำความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวก่อนที่จะใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบลงไปยังแขนตุ๊กตาหมีจนมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำก่อนจะเขียวแล้วกลับเป็นสีแดงดั่งเลือด

‘จ้าว~ ปล่อย พี่เจ็บ’

“จะเจ็บกว่านี้ถ้าพี่พยายามอยากรู้อยากเห็น”

แรงมือที่บีบลงบนแขนของตุ๊กตาทั้งสองข้างถูกคลายออกแต่มันยังต้องอยู่เผชิญหน้ากับสายตาที่จะพาลงนรกได้ตลอดเวลาถ้าหากทำอะไรไม่คิดอีก

‘คนนั้นมีอะไรดีให้จ้าวสนใจ ปกป้องได้ขนาดนี้’

“พี่เจต”

น้ำเสียงกดต่ำแสดงถึงความไม่พอใจ แต่เจตรินไม่มีทีท่าว่าจะกลัว เขากลับถามย้ำในคำถามเดิมอีกครั้ง ‘ทำไมคนนั้นถึงได้พิเศษนัก ตอบพี่ได้ไหม แค่คำถามนี้แล้วพี่จะไม่ถามเรื่องเขาอีก จ้าวจะทำอะไรกับเขาก็แล้วแต่เลย พี่จะไม่สนใจ’
“จ้าวก็ไม่รู้ แต่เขาคือคนพิเศษ คนที่จ้าวจะไม่ยอมให้ใครหรือวิญญาณตนไหนมาทำร้าย”

‘พี่หมดข้อสงสัยแล้ว แต่พี่แค่เป็นห่วงว่าถ้าเขารู้ว่าเราเป็นอะไรแล้วเขาจะทำให้น้องพี่เสียใจ’

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจ้าวเตรียมวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว พี่เจตอยากจะไปเดินเล่นที่ไหนสักหน่อยไหมครับ”

‘พี่ไม่ไปไหนหรอก วางพี่ทิ้งไว้ในห้องก็ได้’


----------------------------------------


แพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่รสชาดประหลาดแต่กลับเชิญชวนให้ลิ้มลองจนสุดท้ายแล้วตฤณก็กินมันจนหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งซอสติดถ้วย เขานั่งรออยู่ตรงนั้นในระหว่างรอจ้าวเดินกลับมา ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกสายตาของใครบางคนจ้องมองเช่นเดียวกับเช้าวันนั้น มองมาที่เขาอย่างไม่วางตา พอเหลียวกลับไปมองรอบกายก็พบเพียงแค่ว่ามีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องนี้ รูปภาพของครอบครัวเจ้าของคฤหาสน์ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะมีชีวิตที่สัมผัสได้เข้าไปทุกทีราวกับว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้ เราอาจได้พูดคุยกันแต่รูปภาพก็ยังเป็นเพียงรูปภาพ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำเอาตฤณสะดุ้งสุดตัว เขากรอกเสียงของตัวเองลงไปทันทีที่รับสาย

“เนตร ว่ายังไง”

[ ตฤณ เรื่องรายงานจะเอายังไง พรุ่งนี้มาทำที่บ้านเนตรไหม ]

“ถามยุ้ยกับลีหรือยัง พวกเขาตกลงจะไปทำรายงานที่ไหน”

[ ถามแล้ว พวกเขาบอกว่ายังไงก็ได้ เนตรเลยคิดว่ามาทำกันที่บ้านเนตรดีไหม ตฤณกับลีก็อยู่หอ ส่วนยุ้ยอยู่คอนโดกับน้อง อีกอย่างบ้านเนตรก็กว้างพออยู่ได้สบายเลย จะค้างคืนก็ได้นะ ที่บ้านยังมีห้องว่างเหลืออีกตั้งหลายห้อง ]

“เอ่อ...”

ในขณะที่ตฤณกำลังคิดหาคำตอบ เขาก็ได้ยินเสียงใสๆ พูดขึ้นมา “พี่ตฤณครับ จ้าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วนะครับ”

“เอ่อ... เนตร เดี๋ยวโทรกลับนะ”

[ ตฤณ! เดี๋ยว! นั่นเสียงใคร ]

“เดี๋ยวโทรกลับ แค่นี้ก่อนนะ”

ตฤณวางสายลงทันทีเมื่อเห็นว่าจ้าวเดินตรงเข้ามาหา เขาอยากออกไปจากห้องนี้จะแย่แล้ว ยิ่งอยู่เหมือนยิ่งถูกเพ่งเล็ง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เนตรโทรเข้ามาและเขารับสาย ความรู้สึกในวินาทีนั้นเหมือนกำลังถูกใครแอบฟังบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ขอโทษนะครับ จ้าวมาขัดจังหวะหรือเปล่า”

“อ๋อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ค่อยโทรกลับไป”

“งั้นพี่ตฤณไปอาบน้ำดีกว่าครับ อาบดึกกว่านี้แล้วเดี๋ยวจะไม่สบายซะก่อน”

ตฤณพอจะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเด็กตัวเล็กคนนี้แต่ยังไม่ชินที่จะมีใครสักคนมาคอยเอาอกเอาใจ หานู้นนี่นั่นให้ คอยบริการทุกอย่างราวกับเขาเป็นพระราชา

“ไปกันเถอะครับ พี่ตฤณ”

“ก็ได้ครับ”


----------------------------------------


จ้าวเพียงแค่ชวนตฤณไปอาบน้ำแต่ไม่ได้เข้าไปอาบด้วย เขานั่งรออยู่บนเก้าอี้วิคตอเรียที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องสำหรับพักผ่อนจิบชายามบ่าย ในมือเล็กไม่ได้โอบกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง เขาปล่อยให้เจตรินได้มีอิสระบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องและดูไม่มีทีท่าว่าจะออกมาขัดขวางการกระทำอื่นใดของน้องชายเลย

เสียงโทรศัพท์ของตฤณดังอยู่หลายครั้งจนจ้าวถือวิสาสะเดินไปแอบดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก่อนจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อตฤณเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยการพันผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวเฉพาะตรงส่วนล่างของลำตัวเพื่อไปรับโทรศัพท์สายนั้น

“เนตร”

[ ตฤณ เนตรอยากรู้ว่าจะมาได้ไหม ]

“เดี๋ยวให้คำตอบได้ไหม ตอนนี้ยังไม่ว่างเลย”

[ ได้ๆ งั้นเนตรจะรอนะ ]

“อืม เดี๋ยวโทรไปนะ”

ตฤณวางสายจากเนตรผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปแล้วหันไปมองหน้าจ้าวที่มองมายังเขาด้วยความสงสัยแต่ช่างดูน่ารักเอาเสียมากๆ จนรู้สึกเหมือนจะหลงใหลในเสน่ห์แห่งความน่ารักนั้นเข้าเสียแล้ว

“พี่ตฤณครับ จ้าวไม่กวนแล้วนะครับ หลับฝันดีครับ”

ในขณะที่จ้าวกำลังหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกจากห้องไปก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน ริมฝีปากเรียวเป็นกระจับยกยิ้มเล็กน้อยราวกับนี่คือหนึ่งในแผนที่เจ้าตัววางเอาไว้ เขาหันกลับไปแล้วส่งสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ตั้งคำถามอีกฝ่ายว่าที่ยังรั้งเอาไว้นั้นต้องการอะไร

“จ้าว คือ... พรุ่งนี้พี่อาจจะไม่กลับนะ”

“เอ๋? พี่ตฤณจะไปไหนเหรอครับ แต่... ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องบอกก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่”

“ก็แค่ไปทำรายงานบ้านเพื่อนน่ะ ถ้ามันต้องอยู่ดึกมากก็คงค้างที่นั่นเลย”

ใบหน้ากลมมนดูเศร้าสลดลงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตฤณจะไม่อยู่พรุ่งนี้และอาจจะกลายเป็นว่าต้องลากยาวถึงเช้าวันใหม่ด้วยเลยก่อนจะเงยขึ้นสบตา ตีหน้าซื่อเล่าความเท็จ เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจหรืออะไรก็ได้ที่รั้งให้ตฤณอยู่ที่นี่ “งั้นเหรอครับ พี่เจตก็ยังไม่กลับจากทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยสิ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ จ้าวอยู่คนเดียวได้ พี่ตฤณจะอยู่ค้างที่บ้านเพื่อนอีกสักคืนก็ได้นะครับ ถ้าทำรายงานไม่เสร็จ”

“งั้นพี่โทรไปบอกเพื่อนให้มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม จ้าวอนุญาตหรือเปล่า”

ดวงตากลมโตสีแดงเพลิงเป็นประกายด้วยความดีใจ ริมฝีปากรูปกระจับสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ การให้ตฤณได้อยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับการที่อยากให้ผู้หญิงที่ชื่อเนตรซึ่งเป็นชื่อที่ตฤณพูดถึงและปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อครู่ได้แวะมาที่นี่ เขายินดีที่จะตอนรับอย่างเต็มที่จนอีกฝ่ายต้องประทับใจไม่ลืม

“เอาสิครับ งั้นจ้าวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปเมื่อพูดจบ เขาไม่ได้หวังว่าจะให้ตฤณรั้งเอาไว้อีก ในเมื่อหนึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นได้มาอยู่ในมือแล้ว ขาดเพียงแค่ค่อยๆ ช่วงชิงบางสิ่งบางอย่างมาทีละเล็กทีละน้อยจนท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

แค่เพียงก้าวเท้าออกมาจากห้อง แค่เพียงบานประตูปิดลง วิญญาณของเจตรินก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าน้องชาย เขาปล่อยให้จ้าวเดินห่างออกมาจากห้องที่ตฤณพักอยู่จนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นจะไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาใดๆ ที่เกิดขึ้น

‘พรุ่งนี้ต้องการมื้อพิเศษหรือโปรแกรมพิเศษอะไรไหม พี่ช่วยได้นะ’

“พี่เจตช่างรู้ใจจ้าวจังเลยครับ แต่เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมครับ ถ้าพี่ตฤณได้ยินเข้ามันคงหมดสนุกแน่เลย” 

‘ก็ได้ พี่อยากให้รู้ไว้นะว่าอะไรที่ทำให้จ้าวมีความสุข พี่ยอมทำทุกอย่าง’


----------------------------------------


ตฤณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อขออนุญาตเจ้าของคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อย เขาจึงโทรกลับไปหาเนตรที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่รอสายเพียงไม่นาน เสียงหวานใสจากปลายสายก็ดังเข้าหู

[ ตฤณ ว่ายังไง ตกลงไปทำรายงานที่บ้านเนตรใช่ไหม ]

“คงไม่ได้หรอกเนตร ผมเพิ่งย้ายที่อยู่ใหม่ ยังมีของต้องจัดอีกเยอะแยะ เปลี่ยนมาทำรายงานที่ห้องผมไหม”

[ เอ๊ะ? ย้ายหอ? ย้ายทำไมอ่ะ อยู่ตรงนั้นสะดวกจะตาย แล้วย้ายตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเนตรไม่รู้เลย ]

“จริงๆ ต้องย้ายมาเมื่อวานแล้ว มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม”

[ อืม ก็... ตฤณว่ายังไงก็คงต้องว่าตามนั้น แต่เนตรไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมตฤณถึงย้าย ]

ตฤณนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยอยากบอกออกไปเท่าไรนักว่าเพราะความกลัวตายของตัวเองล้วนๆ ที่ทำให้ต้องรับปากกับเด็กคนนั้นว่าจะอยู่ที่นี่โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใดๆ อีกทั้งเด็กคนนั้นก็อยู่กับพี่ชายแค่สองคน ถ้าหากเขาทิ้งไปแม้เพียงคืนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายน้ำใจที่อีกฝ่ายให้ที่พักพิงเกินไป

“ผมอยู่ฟรีน่ะ”

[ เดี๋ยวนี้ยังมีคนใจดีแบบนี้อยู่อีกเหรอ แล้วถ้าเนตรบอกว่าเนตรก็ใจดีเหมือนกัน ให้ตฤณมาอยู่บ้านเนตรฟรีๆ ตฤณจะมาไหม ] 

“มันไม่เหมือนกัน”

[ ไม่เหมือนกันตรงไหน ]

“ไม่เหมือนตรงที่คนใจดีคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายน่ะสิ”

[ เนตร... เนตรขอโทษ เนตรแค่เผลอคิดว่าตฤณอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ]

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ อีกแปปจะส่งที่อยู่ไปให้ ฝากโทรบอกคนอื่นด้วย”

หลังจากที่วางสายของเนตรไปแล้ว เขาก็กลับมารู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่างกายทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน ทั้งที่ประเทศตั้งอยู่ใกล้แถบเส้นศูนย์สูตรและตอนนี้เป็นหน้าร้อน อันที่จริงก็ร้อนทุกฤดูจนแยกไม่ออกว่าตอนไหนร้อนแท้ร้อนเทียม แต่ถึงจะร้อนหรือหนาวก็ไม่ควรจะรู้สึกไปถึงกระดูกขนาดนี้

ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองอยู่กลับมาอีกครั้งแล้วทั้งที่ไม่มีใครแต่ทำไมเขายังรู้สึกแบบนี้อยู่อีก ไม่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น เขายังได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินย่ำไปมาวนเวียนอยู่หน้าห้องเป็นจังหวะคล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ตฤณยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน บางทีคฤหาสน์หลังนี้ก็น่ากลัวเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ ยิ่งโดยเฉพาะเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินด้วยแล้ว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องในขณะที่บรรยากาศเงียบกริบทำเอาตฤณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู

“อ้าว~ จ้าว”

“พี่ตฤณ ขอโทษนะครับที่มารบกวน คือ... จ้าวนอนไม่หลับ”   

ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จคงกลายเป็นงานอดิเรกของจ้าวไปแล้วตั้งแต่ที่ตฤณรับปากว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันและดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย กลับรู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยตัวเล็กคนนี้เสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็เสียไปแล้วเหลือเพียงแค่พี่ชาย ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าต้องอยู่คนเดียวอีก

“เข้ามานอนกับพี่ไหม”

“ได้เหรอครับ จ้าวทำพี่ตฤณลำบากใจหรือเปล่าครับ”

“ไม่นะ เข้ามาสิ”

จ้าวเดินเข้าห้องไปตามคำเชิญ ในจังหวะนั้นเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายที่ตฤณไม่อาจคาดการณ์ได้ว่ามันจะเลวร้ายไปอีกมากเท่าไรกันก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมา ทำทีน่าสงสาร เรียกร้องความเห็นใจและเอื้ออาทร

“พี่ตฤณใจดีกับจ้าวจังเลยครับ จริงๆ แล้วจ้าวต้องนอนกอดพี่ชายทุกคืนแต่คืนนี้พี่ชายไม่อยู่ จ้าวพยายามแล้วนะครับแต่ว่าทำยังไงมันก็ยังนอนไม่หลับถ้าไม่มีคนกอด พี่ตฤณกอดจ้าวตอนนอนด้วยได้ไหมครับ จ้าวอยากหลับฝันดี”

“ได้สิ”

แค่กอดตอนนอนคงไม่มีอะไรมาก แค่กอดที่เด็กคนนั้นอยากได้คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น การตอบแทนอีกฝ่ายด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงตฤณไปสักเท่าไร เขาจึงไม่คิดสงสัยในสิ่งใด อีกทั้งการได้จ้าวมานอนอยู่ในห้องเป็นเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าค่ำคืนนี้อาจจะไม่ต้องนอนผวาไปทั้งคืนเพียงลำพังอีกแล้ว

“พี่ตฤณ จ้าวอยากบอกว่าขอบคุณนะครับ”

ตฤณไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะกล่าวขอบคุณ เขาต่างหากที่ควรจะขอบคุณที่อุตส่าห์มานอนด้วยมากกว่า

“พี่ตฤณนอนฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาครับ ชอบติดประตูหรือติดหน้าต่างมากกว่ากัน”

“เอ่อ... ตรงไหนก็ได้”

ไม่ว่าจะเป็นฝั่งประตูห้องหรือฝั่งหน้าต่างของห้อง ฝั่งไหนก็ไม่น่านอนทั้งนั้น ถ้าให้เลือกที่นอนติดประตูก็อาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องจนอาจทำให้เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ถ้าเลือกที่นอนติดหน้าต่างก็จะเห็นบรรยากาศด้านนอกที่ชวนให้ขนหัวลุก สภาพที่เหมือนคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานชวนให้เขาหลับตาลงได้อย่างสนิทใจจริงๆ

“งั้นพี่ตฤณนอนริมหน้าต่างนะครับ เดี๋ยวจ้าวจะนอนฝั่งประตูเอง”

ทันทีที่พูดจบ จ้าวในชุดนอนตัวยาวคล้ายกระโปรงลูกไม้แขนยาวฟูฟ่องสีขาวกับกางเกงผ้าห้าส่วนสีเดียวกันกระโดดก้าวขึ้นเตียงนอน มือเล็กกระชับปกคอเสื้อเข้าหากันก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน ดวงตาสีเพลิงจ้องมองร่างสูงอย่างเชิญชวน มือข้างหนึ่งตบลงบนฟูกนอนเรียกให้ตฤณลงมานอนข้างเขาได้แล้ว

“พี่ตฤณครับ นอนกันเถอะ จ้าวง่วงแล้ว”

ตฤณทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ จ้าวแต่ทว่าหมอนหนุนที่มีอยู่ในห้องนั้นมีเพียงใบเดียว ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบเมื่อจำต้องใช้หมอนร่วมกัน เมื่อเห็นสายตาอันร้อนแรงดั่งเพลิงจ้องมองมา วินาทีนั้นราวกับถูกมนต์สะกดให้หลงใหล ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กที่อายุน่าจะไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำแต่ทว่าทั้งใบหน้า รูปร่างและท่าทางที่เห็นราวกับมีแรงดึงดูดให้เขาเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ตฤณ กอดจ้าวด้วยสิครับ”

“ต้องกอดด้วยเหรอ”

“ครับ ไม่อย่างนั้นจ้าวนอนไม่หลับนะครับ”

ถ้าให้ตฤณกอดร่างเล็กที่อยู่ห่างกันยังไม่ถึงเอื้อมมือ เขารู้สภาพตัวเองเลยว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นบางอย่างเด่นชัดขึ้น มันหอมหวานแต่ไม่ถึงกับฉุนเข้าจมูกชวนให้เคลิบเคลิ้ม ยิ่งได้สบตาสีเพลิงดั่งไฟในโลกันต์ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองจะร้อนรุ่มขึ้นมาราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา

“กอดจ้าวสิครับ พี่ตฤณ”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอาใบหน้าของตัวเองซุกลงกับแผงอกกว้าง

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณลำบากใจเหรอครับ ไม่เป็นไร ขอแค่ให้จ้าวนอนอยู่อย่างนี้ก็ได้ครับ”   

“ขอโทษนะ”

จ้าวเกือบจะถอดใจไปแล้วแต่ทว่าหลังจากคำขอโทษนั้นมือแกร่งก็เอื้อมขึ้นมาโอบรอบร่างของเขาเอาไว้ แค่เท่านี้... ที่เขาอยากได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ในเมื่อตฤณให้ในสิ่งที่เขาต้องการ จ้าวก็จะตอบแทนด้วยการมอบความสงบในค่ำคืนนี้กลับไปบ้าง แน่นอนว่าหลังจากนั้นทั้งเสียงและบรรยากาศรอบๆ ที่ตฤณเคยประสบพอเจอมาก่อนหน้านี้พลันหายไปทันที



---- ติดตามตอนต่อไป ---

กลับมาแล้วค่าาาาาาาา หลังจากหายไปเป็นเดือนเลย ไม่รู้ว่าจะมีใครลืมพี่ตฤณกับหนูจ้าวไปแล้วบ้างหรือเปล่า
ตอนนี้จะดูซอล์ฟๆ นิดนึงนะคะ เก็บความหลอนไว้ตอนอื่นบ้างค่ะ เดี๋ยวหลอนทุกตอนมันจะไม่ลุ้นเอา แหะๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคำคอมเม้นท์ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ



+++++++++++++


rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ ไม่ใช่เป้คู่กับพี่เจตแน่นอนค่ะ เป้นี่ไปแล้วไปลับเลยค่ะ ^^

areenart1984

ขอบคุณค่ะ ตอนที่ห้านี่ยังไม่หลอนเนอะคะ

kun
ขอบคุณค่ะ พี่ตฤณคัมแบ็คแล้ว พี่ตฤณก็จะคัมแบ็คยาวๆ ไปเลยค่ะ
ไปเที่ยวมาสนุกมากค่ะ แต่ก็ป่วยกลับมาด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้หายดีแล้วค่ะ


ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
อ้าว นุ้งเป้มาแค่รับเชิญหรอว์

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
อะไรอยู่ในขนมที่ตฤณกินไปอ่ะ คืนนี้ตฤณโชคดีไปนอนสบาย พรุ่งนี้เพื่อยๆๆจะมา ท่าทางขนลุกแน่ๆๆ รออออ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนนี้หนูจ้าวเดินหน้าอ่อยพี่ตฤณเต็มที่เลยนะ ตอนหน้ารู้สึกเสียว ๆ กับหนูเนตรแฮะ  :กอด1:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เอ่ จะยังไงต่อน๊่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด