✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]  (อ่าน 18209 ครั้ง)

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
สงสัยจังเป้จะกลับมามั้ย

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างค่ะ .... พลังงานนี้บอกว่าจะมีคนโดนดีค่ะ 55555

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 6 :::
เชิญตามสบาย #1





​ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตฤณนอนหลับสบายเมื่อยามที่มีจ้าวอยู่ด้วยแตกต่างกับครั้งก่อนหน้าที่ต้องเผชิญกับความน่ากลัวของคฤหาสน์นี้เพียงลำพัง แต่พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าร่างเล็กๆ ที่เขานอนกอดเอาไว้ทั้งคืนได้หายไปแล้ว หายไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ

ตฤณเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหัวเตียงขึ้นมาดู เนตรส่งข้อความเข้ามาในไลน์เยอะมากและถี่มากด้วยเช่นกัน พอได้อ่านข้อความพวกนั้นก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ารับปากกับเพื่อนไว้แล้วว่าจะส่งตำแหน่งที่อยู่ของคฤหาสน์หลังนี้ไปให้แต่ปรากฏว่าเมื่อจ้าวเดินเข้ามาในห้อง หัวสมองของเขาก็ขาวโพลนไปหมดจนลืมไปแล้วว่าต้องทำอะไรต่อ

ข้อความสั้นๆ ของที่อยู่ถูกส่งไปแล้ว

แสงแดดอันอบอุ่นอาบไล้ผืนโลกโอบทับความน่ากลัวของเมื่อคืนไปจนสิ้นราวกับว่าอยู่กันคนละผืนพิภพ ตฤณลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินไปหยุดอยู่ตรงริมหน้าต่าง แหวกผ้าม่านผืนหนาออกจนสุด มองดูสภาพโดยรอบของคฤหาสน์ที่เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันไปอีกนาน ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ตอนที่พระอาทิตย์ออกทำงานแม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะดูรกไปบ้างแต่ไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ผิดกับช่วงเวลาที่ไร้แสงราวกับหน้ามือถูกพลิกกลับเป็นหลังมือ

ตฤณเผลอมองมันนานไปหน่อยจนไม่รู้ตัวว่าจ้าวเดินมายืนอยู่ข้างๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงใสจึงหันกลับไปมอง

“พี่ตฤณคิดอะไรอยู่เหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“แล้วเพื่อนพี่ตฤณจะมากันกี่โมงเหรอครับ ทันมื้อเที่ยงไหม จ้าวจะได้บอกให้เขาเตรียมชุดอาหารเพิ่ม”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่เพิ่งไลน์ไปบอกที่อยู่เขาเมื่อกี้เอง”

จ้าวพยักหน้าเข้าใจ อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อนของตฤณจะมาถึงเมื่อไร ที่ถามไปก็แค่ต้องการแสดงให้รู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน บางทีมันอาจจะมากจนกลายเป็นความอยากได้ อยากครอบครอง

“จ้าวอายุเท่าไรเหรอ”

“พี่ตฤณลองทายสิครับ”

“สิบห้าหรือเปล่า”

จ้าวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับตฤณตรงๆ อาจเป็นเพราะเขาเกิดมาตัวเล็ก ส่วนสูงเลยขยับช้าจึงดูเหมือนว่าเขาจะอายุเพียงเท่านี้เลยอดที่จะขำไม่ได้กับคำตอบนั้น

“ผิดครับ”

“เอ๋? ผิดเหรอ จ้าวหน้าเด็กจะตาย ตัวก็เล็กนิดเดียว”

“จ้าวน่ะอายุเป็นร้อยปีแล้วนะครับ”

“อำพี่เล่นหรือเปล่าเนี่ย”

ตฤณมองเด็กน้อยที่เตี้ยกว่าเขาเกือบฟุตแล้วหลุดหัวเราะออกมา เด็กตัวแค่นี้ สูงยังไม่เกินไหล่ของเขาจะอายุเป็นร้อยปีได้ยังไงกัน มันคงเป็นเรื่องตลกที่ฝ่ายนั้นต้องการอยากให้เขาอารมณ์ดีล่ะมั้ง

“ครับ จ้าวอำพี่ตฤณเล่น จ้าวตัวเล็กแค่นี้จะไปมีอายุเป็นร้อยได้ยังไงกันเนอะ ก็แค่อายุสิบหกเอง”

ถึงจ้าวจะหัวเราะออกมาตามแต่สายตาของเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเป็นเพียงเด็กที่มีอายุแค่สิบหกปีคงไม่มีอำนาจควบคุมสถานที่แห่งนี้มากที่สุดแน่ เขาอยู่มานานกว่านั้นมาก มากจนกระทั่งหล่อหลอมให้เขาไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนหน้าตา

“พี่ตฤณ จ้าวว่าพี่ตฤณอาบน้ำก่อนดีกว่าไหมครับ”

“ตัวพี่เหม็นเหรอครับ”

จ้าวก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นจนห่างจากร่างสูงเพียงไม่ถึงหนึ่งช่วงมือ แกล้งโน้มตัวเข้าไปทำท่าทางเหมือนจะสูดดมกลิ่นเพื่อพิสูจน์ความจริงว่าร่างกายนั้นมีกลิ่นดั่งที่ถูกกล่าวถึงหรือไม่ก่อนจะช้อนสายตามองพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตัวพี่ตฤณเหม็นมากเลยครับ เหม็นความหอม”

“เหม็นความหอม?”

“ถึงตัวพี่ตฤณจะเหม็น จ้าวก็จะบอกว่าหอมยังไงล่ะครับ”

“จ้าว...”

คำพูดของจ้าวทำเอาหัวสมองของตฤณเบลอไปหมด เขาถูกชมว่าหอมแถมสายตานั่นก็พยายามเชิญชวนเขาตลอดเวลา น่าแปลกที่ทั้งที่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ความรู้สึกต้องการตัวของเด็กคนนั้นแทบจะไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำแต่ทำไมตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเก็บข้าวของจากห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อมาอยู่ที่นี่ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เขาถึงได้รู้สึกอยากอยู่ใกล้ อยากให้จ้าวมองอ้อน

“พี่ตฤณไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวไปเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ เสร็จแล้วก็ลงมาทานนะครับ”

“ครับ จ้าว คือ...”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ตฤณเรียบเรียงคำพูดของตัวเองเอาไว้ในหัว เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกโหยหา อยากให้เด็กคนนั้นอยู่ใกล้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ตอนไหนและทำไมถึงเกิดขึ้นได้ทั้งที่เขาไม่เคยคิดพิศวาสใดๆ ในร่างกายของเด็กผู้ชายหรือแม้แต่คนเพศเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

“มีอะไรครับ พี่ตฤณ” จ้าวถามย้ำอีกครั้ง

“เออ... ทำไมพี่ถึงรู้สึกอยากอยู่ใกล้จ้าวขนาดนี้นะ”

“เพราะจ้าวน่ารักมั้งครับ พี่ตฤณไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวเพื่อนพี่ก็มาแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

ตฤณได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม เดินเข้าห้องน้ำไปตามที่บอก ในขณะที่จ้าวยังคงยืนมองร่างสูงเดินจากไปด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แผนที่เขาวางมันไว้เริ่มขยับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ในเมื่อมันเริ่มดำเนินไปในทางที่เขาขีดไว้แต่แรกก็ดูจะไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ร่างของจ้าวจึงหายไปจากที่ตรงนั้น


----------------------------------------


ทันทีที่กลับเข้าห้องของตัวเอง มือเล็กก็คว้าเอาตุ๊กตาหมีขนปุยปอนๆ ตัวเดิมขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก ใบหน้ากลมบนระบายไปด้วยรอยยิ้มสดใส บรรยากาศรอบกายดูอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาจนวิญญาณของเจตรินต้องถามถึงสาเหตุนั้นด้วยความแปลกใจ น้องชายที่เป็นดั่งปีศาจในยามค่ำคืนกลับอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้

‘อะไรทำให้จ้าวยิ้มได้ขนาดนี้นะ’


“ทำไมเหรอครับ หรือพี่เจตอิจฉาที่ผมไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้พี่”

‘…..’

“อย่าร้องขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิครับ”

‘จ้าว เคยรักพี่บ้างไหม’


คำถามของเจตรินทำเอาจ้าวนิ่งไปชั่วครู่ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยพูดว่ารักพี่ชายคนนี้เลยสักครั้ง จะมีก็แต่เจตรินที่เป็นฝ่ายบอกเขาก่อน บอกทุกครั้งที่มีโอกาส ทำทุกอย่างให้แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องไม่ดีโดยไม่เคยนึกสงสัยหรือตำหนิอะไร

“รักสิครับ พี่ชายของจ้าวยังไงจ้าวก็รัก”

‘รักเหรอ’

“ใช่สิครับ พี่เจตคิดว่าจ้าวไม่รักพี่เหรอ”

‘สิ่งที่จ้าวทำนั่นเรียกว่ารักเหรอ’

“พี่เจตต้องการจะพูดอะไรกันแน่ครับ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า จ้าวไม่อยากโมโห”

‘กักขังพี่และทุกคนให้อยู่กับจ้าวนั่นเรียกว่ารักเหรอ พาคนนั้นมาอยู่ที่นี่แล้วยื่นข้อเสนอกึ่งบังคับนั่นเรียกว่ารักเหรอ คิดให้ดีก่อนที่จะพูดว่ารักนะ จ้าว’


มือเล็กพลิกร่างของตุ๊กตาให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาสีเพลิงคู่นั้นไม่ถึงกับโกรธเกรี้ยวเท่าไรนักแต่ทว่าก็ยังแฝงความไม่พอใจเอาไว้ลึกๆ ที่พี่ชายของเขาสงสัยในความรักที่มีให้ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่พยายามกักเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายในใจ “ที่ถามแบบนี้เพราะพี่เจตคิดถึงพ่อกับแม่ อยากทิ้งจ้าวไปอยู่กับพวกเขาเหรอครับ”

‘พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่พี่แค่อยากให้จ้าวรักใครจริงๆ บ้าง’

“จ้าวรักพี่ถึงได้ให้พี่อยู่ข้างกายตลอด และถ้าพี่ไม่คิดจะทำแบบนั้นกับจ้าวก็คงไม่ได้กลายเป็นวิญญาณที่ต้องอาศัยตุ๊กตาตัวนี้อยู่หรอก พี่เจตเป็นคนเดียวที่อยู่กับจ้าวไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไรเพราะฉะนั้นก็อยากให้พี่เจตเข้าใจด้วยว่าพี่เองก็เป็นคนเดียวที่ไม่ว่าจะทำผิดต่อจ้าวอีกกี่ครั้ง จ้าวก็จะให้อภัยพี่เสมอ”

เจตรินพูดอะไรไม่ออก หรือบางทีมันก็เป็นเพราะคำตอบของจ้าว แม้จะเคยคาดหวังคำว่ารักหรือการกระทำที่เรียกว่ารักของน้องชายแต่พอได้ยินคำตอบนั้น เขาก็รู้แล้วว่าคำว่ารักมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คำว่าให้อภัยที่จ้าวพูดมาตอบได้ทุกอย่างเพราะเด็กคนนั้นไม่เคยให้อภัยกับอะไรหรือแม้แต่กับใครได้ง่ายๆ

“พี่เจต จ้าวอาจไม่ใช่เด็กดีเหมือนที่เคยพูด จ้าวมันก็เป็นได้แค่ปีศาจในคราบเด็กเท่านั้น ปีศาจที่ใครต่างก็รังเกียจ หวาดกลัว ฉะนั้น… อย่าได้คาดหวังว่าจ้าวจะทำตัวเหมือนเด็กทั่วไป”

‘พี่ไม่เคยมองเห็นจ้าวเป็นปีศาจเลยนะ’

“ครับ เพราะอย่างนั้นจ้าวถึงได้รักพี่ไง”

‘จ้าว...’

“จ้าวไปก่อนดีกว่าครับ พี่ตฤณกำลังจะออกจากห้องน้ำแล้ว และก็... พี่เจตอย่าเพิ่งออกไปให้เขาเห็นหน้าสักสองสามวันนะครับเพราะจ้าวบอกเขาไปว่าพี่ไม่อยู่”

‘พี่ขอไปด้วยได้ไหม’


“ได้สิครับ พี่เจตอยากไป จ้าวก็ให้ไป”

จ้าวปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองให้ยิ้มแย้มแจ่มใส กอดตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าเอาไว้แนบอก เดินลงไปชั้นล่างเพื่อรอตฤณอยู่ในห้องรับประทานอาหารที่มีรูปของครอบครัวคัลเลนประดับอยู่บนฝาผนัง อาหารมื้อเช้าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมกับแพนเค้กสูตรพิเศษที่เขาตั้งใจทำให้อย่างสุดความสามารถ

‘จ้าว... ทำไมถึงมีแค่ชุดเดียว ไม่คิดจะนั่งกินกับเขาเหรอ’

“ไม่คิดครับ”

‘ถ้าเขาถามล่ะ ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ ปล่อยให้เขากินไปแล้วจ้าวก็นั่งดูน่ะ’


“จ้าวก็บอกสิครับว่ากินเรียบร้อยแล้ว อ๊ะ! พี่ตฤณกำลังจะมาแล้ว”

จ้าวยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้สำหรับตฤณได้นั่ง เขาส่งยิ้มหวานไปให้ทันทีที่เห็นว่าตฤณเดินตรงมาพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้รอ การปฏิบัติราวกับอีกฝ่ายเป็นพระราชาแบบนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพี่ชายอย่างเจตรินก็จริงอยู่แต่เขาก็พอจะรู้อยู่บ้างว่ามันมีนัยยะแอบแฝง เป็นการกระทำที่หวังผล

“พี่ตฤณครับ นั่งก่อนๆ”

ตฤณเดินเข้ามาหาแต่เมื่อเห็นอาหารเช้าเพียงชุดเดียววางอยู่บนโต๊ะก็อดแปลกใจไม่ได้จึงถามออกไป “แล้วจ้าวไม่กินด้วยเหรอ”

จ้าวยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีก่อนจะก้มลงมองตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วสลับมองไปยังชุดอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะ “จ้าวกินเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ที่อยู่บนโต๊ะนั่นก็ทำพิเศษให้กับพี่ตฤณโดยเฉพาะเลย”

คำว่าพิเศษที่ได้ยินไม่กี่ครั้งก็ชวนให้ตฤณหลอนหู แม้ว่าแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่สุดท้ายแล้วมันจะอร่อยจนอยากกินให้หมดแต่วินาทีแรกที่สัมผัสปลายลิ้น เขายังจำมันได้ดี ทั้งขมทั้งเฝื่อนลิ้นเฝื่อนคอไปหมดคล้ายกับใครกวาดยาน้ำใส่ลงมาแทนแต่เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็หายไป

“วันหลังพี่ขอแบบธรรมดาบ้างได้ไหม พี่เกรงใจน่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจจ้าวหรอกครับ พี่ตฤณยอมตกลงอยู่ที่นี่แล้วจ้าวก็ต้องดูแลอย่างดีเป็นพิเศษเพื่อตอบแทนพี่ยังไงล่ะครับ จ้าวว่าพี่ตฤณลองชิมดูดีกว่า มื้อเช้าแบบนี้อาจจะดูหนักไปหน่อยแต่ว่า... จ้าวทำมันสุดฝีมือเลยนะครับ”

สเต๊กเนื้อแรร์ที่ยังเห็นเลือดไหลออกมาเนื้อสีแดงสดด้านในเมื่อถูกหั่นออกมาเป็นชิ้นทำเอาตฤณถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ใช่เพราะความอยากแต่เพราะเห็นเลือดที่ยังเป็นเลือดนั่นล่ะ

“พี่ว่า... มันดิบไปหน่อยนะ”

“อ้าว~ พี่ตฤณไม่ชอบเหรอครับ จ้าวว่าสเต๊กเนื้อแบบแรร์นี่น่าอร่อยที่สุดแล้วนะ เห็นเนื้อที่ยังแดงฉ่ำแบบนั้นแล้วอยากกินขึ้นมาเลยแต่จ้าวไม่แย่งพี่ตฤณกินหรอก มันเสียมารยาท เอาเป็นว่าเดี๋ยวจ้าวไปทำให้มันสุกกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ พี่ตฤณจะได้กินอร่อยขึ้นมาหน่อย” 

มือเล็กหยิบจานสเต๊กเนื้อที่อยู่ตรงหน้าตฤณมาถือเอาไว้ ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปทำให้มันสุกมากกว่านี้แต่ทว่ากลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน จานใบนั้นจึงถูกวางไว้ที่เดิม ใบหน้ากลมประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“ไว้คราวหน้าที่จ้าวทำก็ได้”

“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ ให้จ้าวได้ป้อนพี่ตฤณนะครับ”

มือเล็กเลื่อนเก้าอี้มานั่งแต่ยังคงไม่ยอมปล่อยตุ๊กตาหมีตัวนั้นให้เป็นอิสระจนตฤณต้องเป็นฝ่ายบอกให้วางมันลงก่อนเพราะดูท่าว่าน่าจะหั่นชิ้นเนื้อแล้วป้อนเขาลำบากพอตัว “วางตุ๊กตาลงก่อนดีไหม”

ในขณะที่กำลังจะวางตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างกัน ความรู้สึกบางอย่างก็บอกเขาว่าแขกที่ตฤณเชิญมาได้มาถึงแล้ว จ้าวจึงเปลี่ยนทีท่าและเลือกที่จะกอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้แนบอกเหมือนเคย มือข้างหนึ่งจับส้อมขึ้นมาจิ้มลงไปบนชิ้นเนื้อที่ถูกหั่นไว้แล้วส่งมันเข้าปากผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าอาหารมื้อนั้นอย่างช้าๆ

ความรู้สึกแรกที่ชิ้นเนื้อแตะสัมผัสลิ้น ตฤณอยากจะอาเจียนออกมาในทันที กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากจนรู้สึกผะอืดผะอมแต่เขาจำต้องฝืนใจกินไปทั้งอย่างนั้น นี่คือความตั้งใจของเด็กคนนั้นแม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบแต่ก็ต้องทำเป็นว่ายินดีที่จะกลืนมันลงไป

“พี่ตฤณครับ เป็นยังไงบ้าง มันแย่มากเลยใช่ไหม”

“มันก็...”

ตฤณไม่รู้จะตอบออกไปยังไงดี เขากลัวว่าคำตอบของเขาจะทำร้ายความรู้สึกของเด็กคนนั้น

“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยครับ เดี๋ยวจ้าวบอกให้คนครัวทำให้ใหม่ดีไหมครับ”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นความผิดของจ้าวเอง จ้าวไม่รู้ว่าพี่ตฤณชอบความสุกของเนื้อแบบไหน”

เด็กตัวน้อยอย่างจ้าวกอดตุ๊กตาหมีในมือแน่นพลางก้มหน้างุดราวกับกำลังสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปก่อนจะช้อนสายตาแห่งความเรียกร้องขอความเห็นอกเห็นใจและให้อภัยในสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาดลงไปมองไปยังใบหน้าของตฤณที่ก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกันที่ทำให้จ้าวรู้สึกไม่ดี

“อ๊ะ! พี่ตฤณรออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวจ้าวจะไปเรียกให้คนครัวมายกออกไปทำให้ใหม่ แล้วก็... รู้สึกเหมือนเพื่อนพี่จะมาถึงแล้วล่ะครับ ในฐานะเจ้าของที่นี่ จ้าวขอออกไปต้อนรับแทนนะครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ฟังคำตอบจากตฤณเลย


------------------------------------


หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์หลังโต ชายหนึ่งหญิงสองกำลังจดๆ จ้องๆ เข้าไปข้างในแต่ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นอะไร ประตูคฤหาสน์ปิดนิ่งสนิทและดูเหมือนว่าที่นี่ไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ด้วยซ้ำเมื่อมองดูโดยรอบที่เต็มไปด้วยหญ้ารกรุงรังไร้การตัดตกแต่งให้เรียบร้อย

“เพื่อนพี่ตฤณหรือเปล่าครับ”

จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างของประตูรั้ว พวกเขาต่างหันไปมองหน้ากันราวกับจะถามกันเองว่าได้ยินเหมือนกันไหม แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบอะไร ร่างเล็กๆ ก็โผล่มาจากด้านข้างของรั้วพลางส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตรโดยที่ในมือเล็กนั่นยังกอดตุ๊กตาหมีปอนๆ ตัวนั้นเอาไว้แนบอกเช่นเคย

“มาหาพี่ตฤณใช่ไหมครับ”

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณอยู่ข้างในครับ เข้ามาก่อน”

จ้าวทำทีเหมือนเปิดประตูแต่มือยังไม่ทันได้สัมผัสถึงสนิมของรั้วเหล็ก มันก็เปิดออกเองจนผู้มาเยือนทั้งสามคนชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าตัวเองคงตาฝาดหรือไม่ก็คิดมากไปเอง พวกเขาเดินตามจ้าวเข้าไปข้างในโดยพยายามไม่คิดอะไรแต่บรรยากาศรอบข้างกลับชวนให้รู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าอยู่เลยแม้แต่น้อย

“ขอโทษด้วยนะครับที่ข้างนอกมันดูรกแบบนี้ คนงานเราน้อย ทำไม่ทันน่ะครับ”

เหมือนว่าจ้าวจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ใบหน้าของเขากลับแฝงไปด้วยความมุ่งร้ายที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับรู้เพียงเพราะเขากำลังเดินนำเพื่อนของตฤณอยู่ เว้นเพียงแต่วิญญาณของเจตรินที่อาศัยตุ๊กตาเก่าๆ เป็นที่สิงสถิต

“พวกพี่อยู่รอตรงนี้ก่อนนะครับ พี่ตฤณเพิ่งตื่น ตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่” จ้าวบอกเมื่อพามายืนรออยู่ตรงบริเวณโถงทางเดินก่อนจะเดินหายไปในมุมหนึ่ง

“ฉันไม่ชอบที่นี่เลย ให้ตายเถอะ!!”

หญิงสาวตัวเล็กในชุดเอี๊ยมหมีผ้ายีนส์หันไปมองรอบๆ ห้องโถงที่ดูเหมือนจะไร้การดูแลมานานหลายปี แล้วแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดสถานที่แบบนี้ เพราะมันทั้งอับชื้นและยังมีกลิ่นแปลกๆ ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องใต้ดิน

“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ตฤณคิดยังไงถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านฉันยังดีกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า”

น้ำเสียงเหยียดสถานที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกเนื้อแมตสีแดงสด สายตาที่มองไปรอบๆ แสดงถึงความรังเกียจและรับไม่ได้ที่ต้องอยู่ในที่ที่ไม่อาจเรียกมันได้ว่าบ้าน แต่ก่อนที่เธอจะได้พล่ามหรือบ่นอะไรต่อก็เป็นลี เพื่อนผู้ชายในกลุ่มของตฤณเสียเองที่ออกปากห้ามปราม “ยุ้ย เนตร ถึงจะไม่ชอบก็เก็บไว้ในใจก็ได้ เกรงใจเจ้าของบ้านมั่ง”

“ก็มันจริง นี่เหรอที่ที่ตฤณอยู่ บ้านน้องหมาของฉันยังดีกว่านี้เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าทนอยู่เข้าไปได้ยังไง ทั้งเหม็นอับ ทั้งน่าอึดอัด บอกตรงๆ เลยว่าฉันรังเกียจที่นี่”

เนตรเป็นฝ่ายทนไม่ได้ จะไม่ให้เธอพล่ามบ่นอะไรได้ยังไงกันในเมื่อก็เห็นอยู่เต็มสองตาว่าสภาพคฤหาสน์ที่แท้จริงแล้วมันเป็นยังไง บ้านของเธอออกจะใหญ่โตแม้จะเทียบกับที่นี่ไม่ได้แต่มันดีกว่านี้มากแน่นอน

“เนตร!”

“อะไร! ทำไม! หรือจะเถียง ฉันแค่พูดความจริงตามที่ฉันเห็น ฉันรู้สึก มันผิดด้วยหรือยังไง”     

“ก็แล้วแต่ล่ะกัน”

ลีจนใจที่จะต่อความยาวสาวความยืดด้วยในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูเหมือนตัวเองจะต้องถูกต้องเสียเต็มประดา พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า อีกทั้งยังไงก็ไม่มีทางเถียงชนะเธอแน่ต่อให้ต้องยกเหตุผลร้อยแปดประการขึ้นมาพูดเพราะคนที่เธอฟังจริงๆ ก็มีแค่ตฤณเท่านั้น ไม่ว่าตฤณจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียหมด

พวกเขายืนอยู่กับความเงียบได้ไม่นาน ตฤณก็เดินตรงเข้ามาหา

“เอ่อ... ตฤณ”

“มีอะไร ลี”

“พวกเราต้องไปทำตรงไหนวะ แล้วเด็กคนนั้นไปไหนแล้ว”

“ไปทำในห้องกูนั่นแหละ เด็กคนนั้นชื่อจ้าว เห็นบอกว่ามีงานต้องไปจัดการ”

ลีพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจและเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อผิดกับเนตรที่เธอนึกสงสัยก็ถามออกมาตรงๆ เลย และตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน

“ตฤณ เนตรถามจริงๆ เถอะ ที่นี่มีอะไรดีเหรอ”

ตฤณก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่มีอะไรดีให้เขาต้องอยู่ ก็แค่คำสัญญากับเด็กคนนั้นที่เขาเริ่มหลงใหลเข้าไปทุกที มันคงเป็นเหตุผลที่พอเพียงสำหรับการเลือกที่จะอยู่แต่คงพูดออกไปไม่ได้เพราะมันอาจทำให้เนตรไม่พอใจ

“อยู่ฟรีไง ผมก็บอกเนตรไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พอๆ ขึ้นไปทำรายงานกันเถอะ เดี๋ยวไม่เสร็จ นี่มันก็เกือบเที่ยงแล้วด้วย”

ลีรีบปรามก่อนที่เนตรจะได้พูดอะไรขึ้นมาอีก เขาอยากเคลียร์รายงานพวกนี้ให้เสร็จไวๆ ใจจะขาดเช่นเดียวกับยุ้ยที่คงไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินไป แต่ทว่าท้องของเขากลับส่งเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน

“เดี๋ยวๆ ก่อนไปกูขอสั่งพิซซ่านะ ไม่ไหวล่ะ หิวมาก”

เพื่อนในกลุ่มพยักหน้าและยืนรอให้ลีได้สั่งพิซซ่ามากิน ในจังหวะนั้นเนตรจึงพูดขึ้นมาเรื่องที่เธอยังไม่หายแคลงใจ “ตฤณจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม”

“ไม่รู้สิ คงจนกว่าจะเรียนจบเลยมั้ง”

“ย้ายออกได้ไหม เนตรหาที่อยู่ใหม่ ให้อยู่ฟรีเลยก็ได้”

“เนตร” ยุ้ยปรามเบาๆ พร้อมกับกระตุกแขนเพื่อนยิกๆ เห็นสีหน้าของตฤณแล้วเธอกลัวจริงๆ

“ลี! มึงสั่งเสร็จยังวะ!”

ตฤณเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เขาทำเป็นหันไปสนใจลีมากกว่าเพราะอยากตัดรำคาญ แต่ลีกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงพล่ามกับโทรศัพท์ไม่หยุดอย่างหงุดหงิดพนักงานรับโทรศัพท์คนนั้น กว่าจะเคลียร์กันรู้เรื่อง ตฤณก็ถูกเนตรจ้องจนเกือบพรุนไปทั้งร่างแล้ว

“โอ๊ย! นี่มันนอกอวกาศหรือไงวะ! ไม่ได้จะบังคับมึงนะ แต่มึงย้ายที่อยู่ใหม่เถอะ พนักงานบอกกูว่าไงรู้ไหม ขอโทษนะคะ… ถ้าเป็นช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจะของดส่งบริเวณแถวนั้นทุกกรณีค่ะ แบบนี้อ่ะ คืออะไร”

“เห็นไหม ลียังเห็นด้วยกับเนตรเลย”

ตฤณนิ่งเงียบไปอยู่พักหนึ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะพูดขึ้นมา “เขาอาจเข้าใจผิด มึงบอกที่อยู่ถูกหรือเปล่า”

“ถูกสิ ก็บอกตามที่มึงบอกเนตรนั่นแหละ ที่นี่มันก็ไม่ใช่ถิ่นทุรกันดารนะ แต่คือแบบ… พนักงานพูดเหมือนที่นี่บ้านนอกมาก กลัวรถน้ำมันหมดแล้วกลับไม่ได้หรือกลัวสัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึงวะ”

คำถามนี้ ตฤณเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะเขาเองก็เริ่มรู้สึกคลางแคลงใจด้วยเช่นกัน ทำไมถึงไม่มาส่งทั้งที่สามารถโทรสั่งได้ถึงเที่ยงคืน หรือเป็นไปได้ว่าแถวนี้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้

“ช่างมันเถอะ กูว่ารีบไปทำรายงานเถอะ เดี๋ยวไม่เสร็จ”





** ติดตามตอนต่อไป **


ตอนนี้มาแบบเบาๆ ยังไม่มีอะไรให้น่ากลัว....
แต่ดูที่จ้าวทำสิ เหมือนแกล้งตฤณเลย เอาสเต๊กแรร์ให้กิน
คือ... เราว่าถ้าใครกินไม่ได้นี่อาจมีออกปากเลยอ่าาาา แอบสงสารตฤณหน่อยๆ   

ขอบคุณสำหรับทุกคำคอมเม้นท์ และทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


GBlk
ขอบคุณนะคะ ใช่แล้วค่ะ เป้มาแค่รับเชิญเฉยๆ ค่ะ เรื่องนี้มีตัวละครรับเชิญหลายตัวเลยค่ะ มาแล้วไป มาแล้วไป

kun
ขอบคุณนะคะ อะไรอยู่ในขนมที่ตฤณกินเข้าไป ขอยังไม่เฉลยตอนนี้นะคะ ตอนที่6 นี่เพื่อนๆ มาแล้วนะคะ อาจจะยังไม่น่ากลัวเท่าไร มันแค่เริ่มต้นค่ะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ หนูจ้าวอ่อยเบาๆ และอาจจะอ่อยเรื่อยๆ ก็พี่ตฤณของเขา เขาอยากได้

wanirahot
ขอบคุณนะคะ จะเป็นอย่างไรต่อไปต้องคอยติดตามเรื่อยๆ ค่ะ

cocoaharry
ขอบคุณนะคะ เป้ไม่กลับมาอีกแล้วจนกระทั่งจบเรื่องเลยค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ลองทายดูไหมคะว่าใครจะได้โดนดีในเรื่องเป็นคนแรกเลย


ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เนตรเป้าแรกแน่ๆๆเลย
รอออออ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
โดนแน่ๆ ปากไม่ดี

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ยุ้ย กับ เนตร เตรียมตัวโดนหนูจ้าวจับมาตบปาก  :sad3:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอเทคะแนนว่ายุ้ยคนแรกค่ะ เพราะนางพูดคนแรก ต้องโดนคนแรก 55555 :a5:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 7 :::
เชิญตามสบาย #2




ตฤณและเพื่อนนั่งทำรายงานอยู่สักพักจนพนักงานร้านพิซซ่าโทรมาเรียกให้ไปรับพิซซ่าที่บ้านข้างๆ ซึ่งเลยจากคฤหาสน์คัลเลนไปอีกสองหลัง เป็นตฤณที่เสนอตัวออกไปรับแทนโดยปล่อยให้เพื่อนช่วยกันนั่งทำรายงานอยู่ในห้อง

“ฝากซื้อน้ำเข้ามาด้วยนะ”

ตฤณพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไป มีพิซซ่าแต่ไม่มีน้ำอัดลมมันจะไปอร่อยได้ยังไง เขาต้องซื้อน้ำเข้ามาด้วยอยู่แล้ว

พอตฤณออกไปได้ไม่ถึงห้านาที เนตรก็เริ่มเรื่องชวนคุยถึงความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในตัวคฤหาสน์ เธอรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่สถานที่ของคนอยู่ตั้งแต่แรก

“มีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่าพอเข้ามาแล้วมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก”

“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกแค่แบบว่ามันไม่น่าอยู่ ดูเก่าๆ โทรมๆ”

ลีปล่อยให้สองสาวเขาคุยกันไป ส่วนตัวเองนั้นเปิดหาประวัติของคฤหาสน์หลังนี้หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับบริเวณนี้ทั้งหมดแล้วมันก็แทบจะไม่มีอะไรขึ้นมาให้น่าสืบหาต่อเลยราวกับว่าแถวนี้ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน แต่มีเวปไซต์หนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องราวประวัติของคฤหาสน์คัลเลนเอาไว้

คฤหาสน์คัลเลน เจ้าของชื่อฟาเบกัส คัลเลน เขาเป็นชาวตะวันตกที่เข้ามาทำการค้าขายในประเทศไทย เขาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย โดยทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสองคน ลูกชายคนโตชื่อโจเซฟ ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อวินเซ้นท์

ยังไม่ทันที่ลีจะได้อ่านบทความพวกนั้นจนจบ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสามครั้งพร้อมกับเสียงใสๆ ที่เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของเด็กคนนั้น “พี่ตฤณครับ จ้าวทำน้ำปั่นมาให้ครับ”

ลียังคงนิ่ง คอยดูท่าทีของเพื่อนสาวทั้งสองคนแต่เห็นว่าไม่มีใครยอมขยับไปไหน เขาจึงต้องวางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วลุกไปเปิดประตูห้องเอง

“พี่ตฤณล่ะครับ”

“อ๋อ ตฤณมันออกไปเอาพิซซ่าน่ะ นั่นน้ำอะไรเหรอ”

น้ำในเหยือกนั้นทั้งสีแดงทั้งดูข้นคลั่ก แล้วพอรวมกับบรรยากาศแบบนี้ด้วยแล้วทำเอาลีอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะมาจากเลือดสดๆ ที่คั้นออกมาจากศพคนตาย

“น้ำมะเขือเทศน่ะครับ จ้าวทำเองกับมือเลย รับไปสิครับ ฝากบอกพี่ตฤณด้วยนะครับว่าทานเยอะๆ พวกพี่จะเอาไปแบ่งกันชิมดูก็ได้นะ จ้าวไม่หวง”

ลียื่นมือออกมารับถาดใบใหญ่จากมือจ้าว มันหนักเอาการอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเด็กตัวเล็กแค่นั้นถือไหวได้ยังไง

“ถ้าพวกพี่ทำรายงานยังไม่เสร็จ จะอยู่ค้างที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ เดี๋ยวสักพักใหญ่ๆ รอให้พระอาทิตย์ตกดินก่อนแล้วจ้าวจะมาขอคำตอบนะครับ”

พระอาทิตย์ตกดิน เป็นคำที่ลีได้ยินมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกมาจากพนักงานร้านพิซซ่า ส่วนครั้งที่สองมาจากปากของเด็กคนนี้ซึ่งมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่างแน่

“ทำไมต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินด้วย”

จ้าวร้องอ๋อเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย “ถ้าจ้าวถามตอนนี้แล้วพี่ให้คำตอบจ้าวได้ไหมล่ะครับว่าพี่จะทำรายงานเสร็จภายในวันนี้หรือเปล่า จ้าวเลยคิดว่าน่าจะมาเอาคำตอบตอนเย็นๆ ไปแล้วดีกว่า อีกอย่าง... ช่วงเวลาแบบนั้นมันทำให้จ้าวแน่ใจขึ้นว่าควรจัดเตรียมอะไรบ้างน่ะครับ พี่อย่าคิดมากสิครับ”

อันที่จริงแล้วลีเองก็ไม่อยากคิดมากแต่พอได้ยินคนพูดถึงช่วงเวลาแบบนั้นถึงสองครั้งติดกัน อีกทั้งพนักงานร้านพิซซ่าที่รับสายก็ยังพูดให้รู้สึกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะแวะมาแถวนี้ถ้าไม่จำเป็น เหมือนกับว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้และพวกเขายังไม่รู้

“จ้าว พี่ขอถามหน่อยสิว่าเมื่อก่อนแถวนี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ พี่โทรไปสั่งพิซซ่าแล้วเขาไม่ค่อยอยากมาส่งเท่าไร”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าวเพิ่งจะอายุสิบหกเอง ถ้าพี่อยากรู้อะไรคงต้องอาศัยถามคนแถวนี้เอาแล้วล่ะครับ” 

ลีไม่ได้ถามอะไรต่อและจ้าวก็เดินจากไปแล้ว เขาวางถาดที่รับมาลงบนโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอนแล้วกลับไปสนใจเวปไซต์ที่พูดถึงคฤหาสน์คัลเลนต่อ พอจะเลื่อนอ่านบรรทัดต่อไปก็กลายเป็นว่าโทรศัพท์มือถือของเขาดับไปเสียดื้อๆ ทั้งที่ยังเหลือแบตอยู่เกินครึ่ง พยายามเปิดเท่าไรก็เปิดไม่ติด

“เนตร ขอยืมสายชาร์จหน่อยสิ เอามาหรือเปล่า”

“ฉันชาร์ตมาเต็มแล้วก็ไม่ได้คิดจะค้างที่นี่ด้วย ทำไมฉันต้องพกมันมา”

“งั้นขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหม ใช้แปปเดียว อยากหาข้อมูลอะไรนิดหน่อยน่ะ” 

เนตรส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปให้ด้วยความรำคาญ เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำรายงานด้วยการสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เนตในโน๊ตบุ๊คที่พกมาด้วย เช่นเดียวกับยุ้ยที่เปิดหาข้อมูลจากหนังสือที่ขอยืมมาจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ถึงพวกเธอสองคนจะดูน่ารำคาญไปบ้างแต่เรื่องเรียนก็พึงพาได้เสมอ

ลีพิมพ์ข้อความเซิร์ทหาในกูเกิ้ลเหมือนที่เคยพิมพ์ลงในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีเพียงเวปไซต์เดียวที่พูดถึงประวัติของคฤหาสน์คัลเลน เขาจึงกดเข้าไปเพื่ออ่านมันต่อ แต่ทว่าพอเลื่อนหน้าลงมาจนถึงบรรทัดที่อ่านค้างไว้ก็เห็นเพียงไม่กี่คำกี่ประโยคก่อนที่หน้าจอจะสั่นคล้ายมีคลื่นรบกวน

หลังจากที่ลูกชายคนเล็กเกิดได้ไม่นาน เรื่องราวประหลาดก็พากันเกิดขึ้นในคฤหาสน์จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ อาทิ แจกันตกแตกทั้งที่ในห้องไม่มีใครอยู่, ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในห้องใต้ดินแต่ห้องนั้นเป็นห้องปิดตาย, ผู้คนในบ้านล้มป่วยและตายอย่างไร้สาเหตุ เป็นต้น

“เนตร โทรศัพท์ใกล้จะพังแล้วหรือเปล่า ทำไมจอมันสั่นๆ”

“จะพังบ้าอะไร! ฉันเพิ่งซื้อเมื่อเดือนที่แล้วเอง”

จอโทรศัพท์มันสั่นจริงๆ และยิ่งสั่นมากขึ้นเมื่อลีเลื่อนหน้าลงมาอีกแต่ยังไม่ทันได้อ่านอะไรต่อ มันก็ดับไปเหมือนกับเครื่องของเขาที่ดับไปทั้งที่ยังมีแบตเหลือพอที่จะใช้ได้อีกหลายชั่วโมง แต่โทรศัพท์ของเนตรเหลือแบตมากกว่านั้นมากก็ยังดับโดยไร้สาเหตุ เขาลองกดเปิดอีกครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับว่ามันไม่เหลือพลังงานให้โทรศัพท์กลับมาใช้งานได้ตามเดิมอีกแล้ว

“เนตร โทรศัพท์มันดับแล้วก็เปิดไม่ติดอ่ะ”

โทรศัพท์ดับยังเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ว่าระบบของเครื่องอาจจะรวนไปบ้างแต่เปิดไม่ติดนี่ลีคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความรวนของระบบ อีกทั้งมันก็ยังเป็นเครื่องที่เพิ่งซื้อมาใช้เพียงไม่นาน

“นายทำโทรศัพท์ฉันพังเหรอ!! เอามาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

เนตรยื่นมือมาขอรับโทรศัพท์ของตัวเองคืนไป เธอพยายามกดเปิดเครื่องใหม่อีกหลายต่อหลายครั้งก็พบว่ามันเปิดไม่ติดเหมือนที่ลีพูด สีหน้าของเธอดูเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อเปิดเท่าไรก็ไม่ติดแต่ยังดีที่ยุ้ยพกพาวเวอร์แบงค์มาด้วย เธอจึงลองเสียบชาร์ตดูและเปิดเครื่องใหม่ ปรากฏว่าก็เปิดไม่ติดเช่นเดียวกันทั้งที่กระแสไฟจากเครื่องชาร์ตแล่นเข้าโทรศัพท์

“แปลกนะว่าไหม”

จู่ๆ ลีก็พูดขึ้นมา จากบรรทัดสุดท้ายที่เขาได้อ่านในหน้าเวปไซต์นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์คัลเลนได้ด้วยหรือไม่ โทรศัพท์ที่มีแบตเหลือพอที่จะใช้ไปได้อีกหลายชั่วโมงกลับมาดับลงเพราะอ่านประวัติของคฤหาสน์หลังนี้

“แปลกอะไร”

“ก็แปลกที่มันเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับโทรศัพท์สองเครื่องในเวลาไล่เลี่ยกันน่ะสิ”

ยิ่งลีพูด ยุ้ยกับเนตรก็ยิ่งไม่เข้าใจ โทรศัพท์ดับแล้วมันแปลกตรงไหน บางทีมันอาจจะเป็นที่เครื่องตั้งแต่แรกแต่ตอนนั้นยังไม่แสดงอาการจนมาถึงตอนนี้อาการมันเพิ่งออก

“ผมเข้าไปอ่านเวปไซต์หนึ่ง แล้วพออ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด โทรศัพท์มันก็ดับไปเลย เมื่อกี้ก็เอาเครื่องเนตรไปลอง มันก็เป็นแบบเดียวกัน ผมพยายามจะเปิดใหม่หลายทีแล้วแต่มันก็เปิดเครื่องไม่ได้เลยเหมือนมันพังไปแล้ว”

“คิดอะไรอยู่ย่ะ!! เอาโทรศัพท์ฉันไปลอง!!”

พวกเขากำลังถกกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับโทรศัพท์ของทั้งคู่ แต่ว่าก็เป็นอันต้องหยุดชะงักไปเมื่อตฤณกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดพิซซ่าที่ลีโทรสั่งและเครื่องดื่มที่ยุ้ยวานให้ซื้อเข้ามาด้วย พวกเขาทั้งสามคนมองหน้ากันราวกับจะขอพับเก็บเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ก่อน เมื่อเวลาพร้อมจะเปิดประชุมกันอีกครั้ง

“ตฤณ ทำไมไปนานจัง”

ตฤณวางถาดพิซซ่าลงกับพื้นแล้วหันไปสบตากับเนตรที่มองตรงมายังเขา “พอดีคนแถวนี้เขาเรียกเข้าไปคุยด้วยน่ะ เห็นว่าผมเดินออกมาจากคฤหาสน์ล่ะมั้ง”

“เขาพูดอะไรกับมึงวะ”

ลีหยิบพิซซ่าขึ้นมากัดลงไปหนึ่งคำ เขาอยากรู้ว่าคนในละแวกนี้จะพูดถึงคฤหาสน์แปลกๆ หลังนี้ว่ายังไงกันบ้าง

“เขาแค่เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนก่อนมีเด็กวัยรุ่นมาแอบเล่นพิเรนทร์ในคฤหาสน์หลังนี้แล้วก็เหมือนว่าน่าจะเจอดี เลยถามกูว่าเจออะไรบ้างไหม กูก็ไม่เจออะไรนะ แค่บางทีรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยแต่มันก็อยู่ได้”

ทั้งสามต่างหันไปสบสายตากันอย่างไมได้นัดหมาย ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ความในใจซึ่งกันและกัน ลีจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นลองเลียบเคียงขอยืมโทรศัพท์มาใช้งานเปิดหน้าเวปไซต์นั้นที่ทั้งโทรศัพท์ของเนตรและเขาต่างก็ประสบปัญหาเดียวกัน

“ตฤณ กูขอยืมโทรศัพท์หน่อย โทรศัพท์กูมันดับ”

 ไม่เพียงแค่พูด ลียังหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดให้ดูว่ามันใช้การไม่ได้จริงอย่างที่ว่าเอาไว้แต่ทว่าแค่นิ้วกดลงไปบนปุ่มเปิดปิด โทรศัพท์ก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติไม่เหมือนก่อนหน้าที่พยายามเท่าไรมันก็ยังเปิดไม่ได้อยู่อย่างนั้น เนตรจึงลองเปิดโทรศัพท์ของตัวเองดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็กลับมาเปิดได้ราวกับตัวเครื่องไม่ได้มีปัญหาอะไรมาตั้งแต่ทีแรก

“อ้าว~ โทรศัพท์มึงก็ใช้ได้แล้วจะขอยืมของกูทำไม”

“ตอนแรกมันใช้ไม่ได้ เปิดไม่ติดเลย เนตรกับยุ้ยก็เป็นพยานได้”

เนตรและยุ้ยพร้อมใจกันพยักหน้าว่าสิ่งที่ลีพูดมานั้นเป็นความจริง โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องเปิดไม่ติดอยู่ตั้งนาน ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรมันก็ไม่เป็นผล เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้นตฤณจึงยื่นโทรศัพท์ของเขาไปให้กับลีได้ทดสอบ ถ้าหากว่ามันเป็นอย่างที่ลีพูดมาจริงก็น่าคิดอยู่ว่าจู่ๆ มันจะดับไปได้อย่างไร

“งั้นมึงเอาไปลอง”

ลีรับโทรศัพท์ของตฤณมาแล้วเปิดเข้าไปในเวปไซต์เจ้าปัญหาที่ทำให้เครื่องดับถึงสองครั้งสองครา แต่ปรากฏว่าเมื่อเปิดเข้าไปแล้วกลับไม่พบข้อความอะไรเลยหรือแม้แต่บทความที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์คัลเลน ทั้งที่เขาได้อ่านมันถึงสองครั้งแต่พอเป็นโทรศัพท์ของตฤณ มันกลับไม่มีอะไรให้เขาอ่าน อีกทั้งอาการที่เหมือนถูกคลื่นแทรกก็ไม่มีให้เห็นอีกด้วย

“กูว่าที่นี่มันแปลกๆ ว่ะ”

“ตฤณ เนตรว่าย้ายออกเถอะ จริงๆ นะ” เนตรกล่าวสำทับคำพูดของลีอีกแรง

“คิดกันไปเองหรือเปล่า มันไม่มีอะไรหรอก”

“งั้นกูขอถามนะ ถ้ามันไม่มีอะไรจริงอย่างที่มึงพูด ทำไมโทรศัพท์กูกับเนตรถึงเปิดไม่ติดเลยแต่พอมึงกลับมา ทุกอย่างก็เป็นปกติ แล้วหน้าเวปนั่นอีก ทั้งที่กูนั่งอ่านมากับตาถึงสองครั้งแต่พอใช้โทรศัพท์มึงกลับกลายเป็นหน้าว่าง แล้วทำไมพนักงานร้านพิซซ่าถึงไม่ยอมมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดิน มึงตอบกูได้ไหมว่าทำไม”

ตฤณนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าเขาตอบไม่ได้ว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือบางทีมันอาจเป็นแค่เหตุบังเอิญที่โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องจะมาเสียพร้อมกัน อาจเป็นได้ว่าที่พนักงานร้านพิซซ่าไม่มาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็คงเพราะแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แทบจะไม่มีร้านค้า ไม่มีปั๊มน้ำมัน จะมีก็แค่มินิมาร์ทเล็กๆ ที่อยู่เลยไปอีกแยกหนึ่ง       

“กู... ไม่รู้ว่ะ มึงลองถามจ้าวดูไหม”

“กูถาม เขาคงไม่ตอบหรอกว่ะ เรื่องแปลกๆ แบบนี้ ยิ่งเกิดในที่ของเขา ใครมันจะไปบอก”

“จะถามหรือไม่ถาม เนตรไม่สนหรอก รีบมาทำรายงานให้เสร็จไวๆ ดีกว่าไหม เนตรอยากกลับแล้ว”

เนตรไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจเท่าไรนัก เธออยากรีบทำรายงานพวกนี้ให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดินหรือเมื่อไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เธอต้องอยู่ค้างคืนที่นี่ บรรยากาศโดยรอบในเวลานี้อาจจะไม่น่ากลัวเท่าไรนักแต่เมื่อไร้แสงสว่างจากฟากฟ้าจะมีใครรับประกันได้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งสภาพคฤหาสน์ที่ดูเหมือนไร้การเหลียวแลมานานหลายปียิ่งทำให้เธออยากจัดการมันให้เสร็จโดยเร็ว

“อ่อ ตฤณ จ้าวเอาน้ำมะเขือเทศปั่นมาให้ด้วยน่ะ เขาบอกให้มึงกินเยอะๆ”

ลีชี้ไปตรงที่เขาวางถาดน้ำที่รับจากเด็กคนนั้นมา

“แล้วจะกินด้วยกันไหม”

“ไม่ว่ะ น้ำมะเขือเทศปั่น สีอย่างกับเลือด กูกินไม่ลงจริงๆ”

แค่เห็นสีน้ำที่คล้ายกับสีเลือดก็นึกสยอง ยิ่งได้บรรยากาศของตัวคฤหาสน์หล่อหลอมความรู้สึกด้วยแล้วยิ่งไม่อยากกินเข้าไปใหญ่

ในเมื่อไม่มีใครอยากกินก็เป็นตฤณที่ต้องจัดการกับมันคนเดียว ในระหว่างนั้นเพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็ช่วยกันทำรายงานพร้อมกับกินพิซซ่าที่ลีสั่งมาด้วย


----------------------------------------


วิญญาณของเจตรินเป็นอิสระเมื่อตุ๊กตาถูกปล่อยวางไว้บนเก้าอี้ในห้องหนึ่งทางฝั่งขวามือของคฤหาสน์แต่เขากลับไปไหนไม่ได้เมื่อถูกสั่งห้ามไม่ออกไปให้ตฤณเจอหน้าจึงได้แต่นั่งเล่นอยู่แถวนั้น อาหารมื้อเช้าที่เขาบรรจงรังสรรค์ขึ้นมากลับไม่ถูกปากชายคนนั้นเข้าจนเกือบจะถูกจ้าวโกรธใส่แต่ดีที่เด็กคนนั้นไม่ได้ติดใจเอาความอะไรมาก เขาจึงรอดตัวไป

“พี่เจต เย็นนี้เราหาอะไรทำกันดีไหม”

‘อย่างเช่น?’

“จ้าวจะทำให้พวกพี่เขาต้องพักอยู่กับเราที่นี่ คืนนี้ พี่เจตว่าดีไหมครับ”

‘ดีหรือไม่ดี ความคิดเห็นของพี่มันคงไม่สำคัญเท่าไร เพราะยังไงในหัวของจ้าวก็มีคำตอบให้กับคำถามนี้อยู่แล้ว’

เจตรินพูดถูก ในหัวของจ้าวมีคำตอบให้กับตัวเองอยู่แล้ว เรื่องที่ถามออกไปก็แค่ต้องการให้พี่ชายของเขามีส่วนร่วมบ้าง

“พี่เจต คืนนี้เรามาสนุกกันอีกสักคืนเถอะครับ”

จ้าวคว้าเอาตุ๊กตาหมีตัวปอนขึ้นมากอดแนบอก ยกยิ้มมุมปากราวกับว่าในหัวของเขาวางแผนเรื่องสนุกสำหรับคืนนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าตรงไปยังห้องของตฤณ ดูเหมือนเวลาจะผ่านมานานหลายชั่วโมงและตอนนี้ก็ถึงเวลาไปทวงคำตอบคืน

“พี่เจตว่าพวกพี่เขาจะยอมอยู่ที่นี่ไหมครับ แหม... จ้าวก็ดันสร้างวีรกรรมไว้แล้วด้วยสิ”

‘พี่รู้ว่าจ้าวมีวิธีทำให้เขาอยู่ที่นี่’

“เพราะพี่เจตรู้ใจจ้าวแบบนี้ยังไงล่ะครับ จ้าวถึงได้รักพี่”

คำว่ารักฟังดูเหมือนไม่ค่อยจะจริงใจเสียเท่าไรแต่นั่นก็เป็นคำที่เจตรินเฝ้าอยากได้ยินมาโดยตลอด จ้าวจึงพูดเอาอกเอาใจเสียบ้างเพราะดูท่าว่าราตรีนี้จะยาวนานนักและเขาคงต้องให้พี่ชายผู้แสนดีคอยช่วยเหลือในบางเรื่อง

‘เป็นพรายกระซิบบอกพี่บ้างได้ไหมว่าวางแผนอะไรไว้’

“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าพี่เจตรู้แล้วมันจะไปตื่นเต้นตรงไหนล่ะครับ เก็บไว้ให้จ้าวรู้คนเดียวก็พอแล้ว”

ใบหน้ากลมมนประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขานิ่งเงียบแล้วปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติดูยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่ค่อยประสาเท่าไรนักต่อโลกใบนี้ วิญญาณของเจตรินในตุ๊กตาหมีตัวนั้นเงียบเสียงลงและตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาจะพูดคุยกัน

มือเรียวเล็กเคาะลงบนประตูห้องเป็นจำนวนสามครั้งเหมือนเช่นทุกครั้ง

“พี่ตฤณครับ นี่จ้าวเองนะครับ”

ประตูห้องถูกเปิดออกโดยตฤณ เขายืนยิ้มให้กับจ้าวที่อยู่ตรงหน้า

“ว่าไงครับ”

“พี่ตฤณได้ชิมน้ำมะเขือเทศปั่นที่จ้าวทำให้หรือยังครับ”

“อ๋อ ยังเลย กำลังยุ่งๆ น่ะ พี่อยากรีบทำรายงานให้เสร็จไวๆ”

“แล้วจ้าวขอเข้าไปได้ไหมครับ อยากเห็นเวลาพี่ตฤณทำหน้ายุ่ง เครียดกับงานน่ะครับ”

ตฤณเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้จ้าวได้เดินเข้ามาข้างในได้สะดวกขึ้น เด็กน้อยคนนั้นเดินเข้ามานั่งบนเตียง แกว่งเท้าไปมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีเพลิงเหลือบมองไปยังร่างของหญิงสาวสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาปั่นรายงาน

“พี่ตฤณครับ อีกนานไหมกว่าจะทำรายงานเสร็จ”

“ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย”

จ้าวนิ่งไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ท่าทางที่ทำให้รู้สึกเหมือนทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ได้ถูกวางแผนมาตั้งแต่แรก

“ถ้ามันไม่เสร็จก็อยู่ค้างที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา”

หันไปสบตากับตฤณทันทีที่เด็กคนนั้นพูดจบ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ เป็นไปได้ก็อยากจะรีบทำรายงานที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จไวๆ “ตฤณ เนตรไม่ค้างนะ”

“ถ้าเนตรไม่อยู่ ฉันก็ไม่อยู่เหมือนกัน”

“แต่ถ้างานไม่เสร็จจริง กูคงต้องค้างว่ะ ไม่อยากปล่อยให้งานมันคาราคาซัง”

จ้าวก้มหน้าลอบยิ้มเย็นอย่างชั่วร้าย หนึ่งคนยอมอยู่ที่นี่เพื่อรายงาน ส่วนอีกสองคนที่เหลือคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขามากนัก เด็กน้อยตัวเล็กลุกจากเตียง เดินตรงไปยังเหยือกน้ำมะเขือเทศปั่นที่ยังไม่ถูกเทใส่แก้ว เขาจับแก้วใสทรงสูงหมุนเล่นไปมาในมือก่อนจะเทน้ำสีแดงที่ใครเห็นก็ว่ามันเหมือนสีเลือดเสียมากกว่าใส่ลงไปค่อนแก้ว

“พี่ตฤณครับ ลองชิมดูหน่อยนะครับ ให้จ้าวป้อนด้วยนะ”

ดวงตาสีเพลิงมองไปยังร่างสูงใหญ่ของตฤณที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขาส่งยิ้มหวานไปให้อย่างหวังผล แน่นอนว่าผลนั้นเกิดขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ สายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของเนตรทำให้รู้ว่าแค่เพียงพยายามอีกนิด เธอก็จะเดินมาตกหลุมพรางที่ขุดเอาไว้เอง

“จ้าวทำมันสุดฝีมือเลยนะครับ เพื่อพี่ตฤณโดยเฉพาะเลย”

ตฤณเดินเข้ามาหาแล้วก้มลงจิบน้ำปั่นสีแดงที่จ้าวค่อยๆ บรรจงป้อนให้อย่างช้าๆ ริมฝีปากรูปกระจับจึงยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าสายตาสีเพลิงยังแอบเหลือบมองร่างของผู้หญิงชื่อเนตรอยู่เป็นระยะในขณะที่เอียงแก้วทรงสูงแล้วปล่อยให้น้ำสีแดงไหลเข้าปากของผู้ชายที่โน้มตัวลงมาเล็กน้อย

เนตรทนเห็นภาพบาดตาบาดจิตต่อไปไม่ไหว ยิ่งเห็นสายตาที่ตฤณใช้มองเด็กคนนั้นแล้วเธอยิ่งอยากจะเดินเข้าไปขัดจังหวะแต่ถ้าทำแบบนั้นเธออาจจะถูกโกรธแทน “ตฤณ เนตร... เนตรว่าเนตรจะอยู่ค้างที่นี่”

“อ้าว~ เมื่อกี้เนตรบอกว่าไม่อยากอยู่ไง”

ยุ้ยถึงกับออกอาการเหวอที่เห็นเพื่อนเธอจู่ๆ ก็มาเปลี่ยนใจกะทันหัน ทั้งที่ตอนแรกก็ดูเหมือนจะอยากกลับบ้านมากกว่าจะทนอยู่ที่นี่ต่อเสียด้วยซ้ำไป

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เธอจะอยู่ไหมล่ะ”

“แล้วฉันเลือกได้ไหมล่ะ เธออยู่ ฉันก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว”

“ถ้างั้น... เดี๋ยวจ้าวให้เขาจัดห้องไว้สามห้องสำหรับพี่สามคนนะครับ”

จ้าวเอาแก้วไปที่ไม่เหลือน้ำมะเขือเทศปั่นแล้วไปวางไว้บนถาดก่อนจะถือมันมาและแอบปรายตามองไปยังตฤณอย่างมีเลศนัย เขาจงใจปล่อยตุ๊กตาหมีตัวปอนที่ยังคงมีวิญญาณเจตรินทิ้งไว้ในห้องก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดีที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา




** ติดตามตอนต่อไป **


 kun, ♥lvl♀‘O’Deal2♥, areenart1984, Nekosama

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ ขอตอบรวบทีเดียวเลยนะคะ
ว่า... เฉลยอยู่ตอน 9 (ฮ่าๆๆๆ) ใครจะโดนก่อนกันแน่ ระหว่างลี เนตรและยุ้ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เดาจากท่าทางและกิริยา ยกให้กับเนตรเต็งหนึ่ง ในการรับน้องของหนูจ้าวเลย  o14

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10



ได้เวลาสนุกแล้วซิ อิอิ

อยากอ่านประวัติคฤหาสน์ต่ออย่างแรงงงงงง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จ้าวทิ้งพี่เจตไว้ในห้องเพื่อสอดแนมหรอ? หรือเพราะให้พี่เจตก่อกวนให้งานไม่เสร็จ? 5555555

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 8 :::
กฏมีไว้ให้ปฏิบัติตาม






กฎย่อมต้องเป็นกฎ และกฎมีไว้ให้ปฏิบัติตาม เมื่อใครไม่รับฟังและไม่อยู่ในกฎจะได้รับบทลงโทษ

จ้าว... เป็นกฎที่ว่านั่น


หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าเพื่อนของตฤณทั้งสามคนจะอยู่ที่คฤหาสน์คืนนี้ นั่นเป็นไปตามแผนที่จ้าววางเอาไว้และมันก็ดูเหมือนจะราบรื่นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงมื้ออาหารเย็นที่เนตรไม่ยอมนอนคนละห้องกับยุ้ยไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันทำให้แผนของจ้าวเริ่มสะดุดเพราะถ้าไม่แยกแต่ละคนออกจากกัน แผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรกมันคงลำบากและหมดสนุกขึ้นอีกเป็นกอง

“ทำไมพี่เนตรไม่นอนคนละห้องกับพี่ยุ้ยล่ะครับ ที่นี่มีห้องว่างอยู่อีกตั้งหลายห้อง อีกอย่างจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันให้รู้สึกอึดอัดด้วยนะครับ”

“ไม่ดีกว่า”

“ครับ น่าเสียดายจัง ห้องในคฤหาสน์นี้มีตั้งมากแต่แทบจะไม่ได้เปิดใช้งานเท่าไรเลย” จ้าวเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ เนตรแล้วรู้สึกเหมือนการที่เธอต้องอยู่ห้องเดียวกับเนตรนั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก “แล้วพี่ยุ้ยไม่อยากได้ความเป็นส่วนตัวบ้างเหรอครับ”

การอยู่กับเนตรก็ใช่ว่าจะดีเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเอาแต่ใจแต่ยุ้ยเลือกที่จะปล่อยให้เนตรอยู่ลำพังไม่ได้ เมื่อคฤหาสน์หลังนี้ค่อยๆ ไร้แสง รัตติกาลมาเยือนพร้อมบรรยากาศเยือกเย็นที่สร้างความน่ากลัวให้กับทุกอณูรูขุมขนทำให้เธอเลือกที่จะเกาะติดเนตรมากกว่าปล่อยให้ตัวเองต้องอยู่คนเดียว

“อยู่กันสองคนก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจัดห้องเพิ่ม”

“ครับ เดี๋ยวอีกสักพักจ้าวจะให้ลุงมิ่งมาพาไปห้องพักนะครับ”

เมื่อได้บทสรุปแล้ว จ้าวจึงเดินจากไป ใบหน้ากลมมนประดับด้วยรอยยิ้มเย็น ดูเหมือนช่วงนี้จะมีเรื่องสนุกให้เขายิ้มบ่อยเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลุงมิ่ง ตฤณ หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่เข้ามาเล่นพิเรนทร์ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ช่วงชีวิตในหลายร้อยปีที่ผ่านมาของจ้าวดูมีสีสันขึ้นอีกมากทีเดียว

พอพ้นสายตาและการรับรู้ของคนที่นั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารแล้ว วิญญาณของเจตรินก็รีบตรงมาหาจ้าวทันที เขารู้ว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย ในขณะที่คนพวกนั้นยังนั่งอยู่ในห้อง นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับจ้าวได้อย่างสะดวก

‘จ้าว คืนนี้จะให้พี่ทำอะไร’

เด็กน้อยกระตุกยิ้มมุมปาก “ฝากไปบอกทุกคนที่อยู่หลังกระจกเงาด้วยว่าหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วสนุกกันให้เต็มที่ จ้าวอนุญาต แต่อย่าเพิ่งเล่นกันจนถึงขั้นเอาชีวิตล่ะ”

‘แค่นี้เหรอ แล้วพี่ล่ะ’

“พี่เจตไปรอจ้าวในตุ๊กตาได้เลย ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย ขอจ้าวจัดการให้เรียบร้อยก่อนนะ”

‘ให้พี่ช่วยไหม’


“ไม่ดีกว่า จ้าวมีแผนของจ้าวอยู่แล้ว พี่เจตแค่ไปรอเงียบๆ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจ้าวจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”

เจตรินไม่ค่อยอยากขัดคำสั่งจ้าวเท่าไรนักเช่นเดียวกับที่จ้าวไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง

“พระจันทร์กำลังขึ้นแล้ว พี่เจตรีบไปเถอะครับ แต่... เอ๊ะ! เหมือนจ้าวจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ” จ้าวทำท่าครุ่นคิดในขณะที่เดินไปตามทางที่พาออกไปนอกคฤหาสน์แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พูดขึ้นมาเองก่อนที่เจตรินจะได้เตือนสติว่าน้องชายของเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป “จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ได้ยังไง แบบนี้มันจะไปสนุกตรงไหนล่ะ จริงไหมครับ พี่เจต”

‘จ้าวว่ายังไง พี่ก็ว่าตามนั้น’


“หวังว่าลุงมิ่งคงยังไม่พาพวกเขาไปส่งที่ห้องแล้วหรอกนะ บอกตรงๆ ว่าจ้าวขี้เกียจไปเคาะทีละห้อง”

‘ให้พี่ช่วยไหม’

“ยังก่อนครับ จ้าวยังไม่อยากให้ใครเห็นพี่ตอนนี้ พี่เจตเป็นวิญญาณก็ต้องรับบทเป็นวิญญาณสิครับ”

‘พูดอย่างกับจ้าวไม่ใช่’

เด็กน้อยที่แสนดีของเจตรินนิ่งไปชั่วครู่ จะให้ตอบรับว่าใช่ก็ไม่เชิงแต่ถ้าให้ตอบปฏิเสธ พี่ชายก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น “ถ้าจ้าวบอกว่าจ้าวเป็นปีศาจจริงๆ ล่ะครับ พี่เจตจะเชื่อไหม”

‘น้องชายของพี่ไม่ใช่ปีศาจ ก็แค่ร้ายกาจกว่าเด็กทั่วไปเท่านั้น’

“นี่ถือเป็นคำชมไหมครับ”

จ้าวหัวเราะน้อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นคำชมก็แปลว่าเขาร้ายกาจจริงๆ แต่ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งชั่วร้ายตนนี้เท่านั้น มันยังมีอะไรมากกว่านี้ที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึงรวมถึงตัวเจตรินเองด้วย เขาเพียงแค่ต้องเก็บมันเอาไว้ในร่างของเด็กชายตัวเล็กคนนี้

'พี่ก็ต้องชมจ้าวอยู่แล้วล่ะ พี่มีน้องชายอยู่คนเดียวนะ’

“จริงๆ พี่เจตก็ร้าย ไม่ใช่ไม่ร้ายแต่พี่เลือกที่จะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดีใช่ไหมล่ะครับ มันก็เหมือนกับจ้าวที่พยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่ถ้าไม่ระวังตัวล่ะก็จะถูกมีดที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังคร่าเอาจนถึงชีวิตได้”

‘พี่อยู่กับจ้าวมากี่ปี ถึงจะไม่อยากร้ายแต่ก็ต้องร้ายให้เป็น ยังไงก็ตามพี่คงสู้จ้าวไม่ได้อยู่แล้ว’

จ้าวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แน่นอนว่าคงไม่มีใครจะร้ายกาจไปกว่าปีศาจอีกแล้ว “พี่เจตไปได้แล้วล่ะครับ จ้าวก็ต้องรีบไปทำหน้าที่เจ้าของคฤหาสน์ที่ดี เตือนพวกพี่เขาบ้างแล้วล่ะ”

วิญญาณของเจตรินที่ลอยตามจ้าวต้อยๆ หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว เช่นเดียวกับร่างของจ้าวที่ก็หายไปจากที่ตรงนั้นด้วย มาปรากฏกายให้เห็นอีกทีก็ที่หน้าประตูห้องพักของลี เสียงประตูห้องดังขึ้นสามครั้งโดยที่มือเล็กนั่นยังไม่ทันได้เคาะลงไปบนบานประตูด้วยซ้ำ

“ครับ!” เสียงตอบรับดังมาจากในห้องก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

“พี่ลี จ้าวมารบกวนหรือเปล่าครับ”

“อ๋อ ไม่ๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ไปน่ะครับว่าหลังเที่ยงคืนไปแล้วห้ามออกจากห้อง ห้ามส่องกระจกหรือถ้าได้ยินเสียงอะไรก็อย่าไปใส่ใจครับ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็จ้าวอยากให้พี่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”

ดูเหมือนลีจะเข้าใจมันดีทีเดียว สิ่งที่เป็นคำถามคอยรบกวนจิตใจมาตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้พอจะคลายตัวลงบ้างแล้ว เหตุผลของการที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้บริเวณนี้แม้แต่พนักงานร้านพิซซ่าก็ยังปฏิเสธที่จะมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เหตุผลของการที่ทำไมตอนอ่านประวัติของครอบครัวคัลเลนถึงได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น

“ที่นี่มีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากคนอย่างเราๆ ใช่ไหม”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าวก็แค่มาเตือนเอาไว้ ไม่อยากให้พี่ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนเพราะมันอันตราย อีกอย่างที่นี่ก็กว้างด้วย ถ้าเกิดพี่หลงทางแล้วกลับห้องไม่ถูก พี่ตฤณคงไม่สบายใจแน่ครับ”

น้ำเสียงที่จ้าวใช้พูดออกมาแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ทว่าใบหน้ากลมสีไข่มุกยังคงเรียบเฉย

“แล้วทำไมต้องห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนด้วย”

“พี่ลีครับ โบราณเขาว่าเอาไว้ว่าส่องกระจกหลังเที่ยงคืนมักจะเห็นผีนะครับ”

“ผะ... ผี?”

“จ้าวล้อเล่นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่าคนโบราณเขาเชื่อว่าตอนกลางคืนมันมืดแล้วพอส่องกระจก เห็นหน้าตัวเองไม่ชัดแล้วจะนึกว่าเจอผีน่ะครับ พี่ลีอย่าคิดมากไปเลย แค่ทำตามที่จ้าวบอกก็พอครับ”

เจอคำเตือนแบบนี้ก็ทำเอาลียิ้มไม่ออกได้เหมือนกัน ยิ่งมาเห็นสภาพคฤหาสน์ที่ชวนให้นึกถึงบ้านผีสิงด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าถ้าละเมิดกฎตามที่เด็กคนนั้นบอกมาก็อาจจะมีภัยมาถึงตัวได้ แต่เขาก็ยังทำเป็นนิ่งและพร้อมรับฟังแต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะปฏิบัติตามได้ไหม

“จ้าวมาบอกแค่นี้แหละครับ ไม่รบกวนพี่แล้ว”

จ้าวเดินออกมาจากหน้าประตูห้องตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ถัดไปเพื่อพูดบอกประโยคเดียวกันกับที่พูดเมื่อครู่นี้ ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูมันก็ดังก๊อกๆ ถึงสามครั้ง รอไม่นานเท่าไรนักประตูห้องจึงเปิดออก เนตรกำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่บนเตียงนอน หนีไม่พ้นต้องให้ยุ้ยเป็นคนมันเปิดมัน

“ขอโทษนะครับ พี่ยุ้ย พี่เนตร จ้าวรบกวนไม่นานหรอกครับ”

“มีอะไรเหรอ”

“คือ... จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่น่ะครับ คือว่ามันเป็นกฎสำคัญมาก อยากให้พี่ช่วยปฏิบัติตามด้วยนะครับ หลังเที่ยงคืนไปแล้วอย่าออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ กระจกก็ห้ามส่อง ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก ห้ามสนใจ”   

“ที่ว่าห้ามออกไปไหนก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ห้ามส่องกระจก ห้ามสนใจเสียงอะไรนั่นมันคืออะไร ที่นี่มันมีอะไรเหรอ”

จ้าวส่งสายตาอันเป็นมิตรที่เคลือบแฝงความชั่วร้ายไปให้ก่อนจะทำเสียงประหนึ่งเป็นห่วงเป็นใยพี่สาวทั้งสองคนมากมาย “ที่นี่ชอบมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคฤหาสน์ร้างแถมยังมีผีสิง แล้วคนก็มักชอบมาลองของกันตอนดึกๆ ดื่นๆ บางทีก็มีหัวขโมยด้วย จ้าวกลัวว่าถ้าพวกพี่สนใจเสียงพวกนั้นแล้วจะทำให้พวกมันรู้ตัว พวกพี่ก็อาจจะเป็นอันตรายได้ คนงานของที่นี่ก็มีไม่มากคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง ที่จ้าวพูดแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของพี่ยุ้ยกับพี่เนตรนะครับ”

คำพูดของจ้าวฟังดูแปลกๆ ยุ้ยไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่ามันจะมีแค่นั้นจริงๆ แต่เธอก็ทำเป็นนิ่งเงียบและตั้งใจฟัง

“มีอะไรอีกหรือเปล่า”

“อ๋อ! ไม่มีแล้วครับ จ้าวมาบอกแค่นี้ ขอตัวไปหาพี่ตฤณก่อนนะครับ”

“ตฤณพักอยู่ห้องไหน”

“ห้องที่อยู่เยื้องกับกับบันไดน่ะครับ งั้นจ้าวไปแล้วนะครับ”

“อืม” ยุ้ยพยักหน้าก่อนที่จะปิดประตูห้องลง

กับดักชิ้นโตอันหอมหวานถูกวางเอาไว้แล้ว เหลือแค่เพียงจะมีใครเดินมาติดกับนั้นไหม จ้าวกำลังเฝ้ารอมันอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียวล่ะ


-----------------------------------------



“พี่ตฤณครับ นี่จ้าวเองนะครับ อยู่ในห้องหรือเปล่า”

แน่นอนว่าจ้าวรู้ว่าตฤณอยู่ในนั้น

“จ้าวขอเข้าไปนะครับ”

บานประตูถูกเปิดเข้ามา เขาปรายตามองตุ๊กตาหมีขมปุยที่วางอยู่บนเตียงนอนในห้อง ตอนนี้ใกล้ได้เวลาแล้ว รอเพียงแค่เหยื่อเดินเข้ามาติดกับ คืนนี้คงกลายเป็นคืนหฤหรรษ์อีกคืนหนึ่งแน่นอน มือเล็กคว้าเอาตุ๊กตาที่มีวิญญาณเจตรินสิงสถิตอยู่ขึ้นมากอดแนบอกแล้วกระซิบเบาข้างหู “ถ้าพี่เนตรมาแล้ว พี่เจตช่วยพาผู้หญิงที่อยู่ในห้องที่มีกระจกไปเที่ยวในโลกของเราหน่อยนะครับ”

ตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าถูกวางไว้บนเก้าอี้วิคตอเรียและวิญญาณของเจตรินก็ออกไปแล้ว เขาไปหลบซ่อนอยู่ใต้เงามืดที่ใดที่หนึ่ง ณ คฤหาสน์หลังนี้ รอเวลาที่จะได้ลงมือทำให้สิ่งที่จ้าวอยากให้ทำ สิ่งที่เด็กคนนั้นนึกสนุกอยากให้แขกผู้มาเยือนได้ความทรงจำที่ดีกลับไป

“พี่ตฤณครับ”

“.....”

“พี่ตฤณครับ จ้าวขอนอนด้วยคนได้ไหม”

“.....”

ตฤณไม่ยอมตอบแต่จ้าวได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลออกจากฝักบัวที่อยู่ในห้องน้ำ เขาเดาว่าเพราะเสียงน้ำที่ดังเกินไปจนกลบเสียงใสๆ ไปจนสิ้น ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกตัวน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ซุกตัวอยู่อย่างนั้นจนกว่าตฤณจะออกมาจากในนั้นแล้วแสร้งทำเป็นหลับสนิท

กว่าตฤณจะออกจากห้องน้ำ จ้าวก็แสร้งหลับจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดแต่ทว่ามันก็คุ้มค่าเมื่อได้ยินเสียงตฤณพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยนเพราะนั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นคงกำลังเริ่มหลงใหลในตัวเขาเข้าไปทุกทีแล้ว

“ตอนหลับทำไมน่ารักแบบนี้นะ เสียดายที่คราวที่แล้วไม่ทันได้สังเกต”

“ตฤณ!! เปิดประตูให้เนตรหน่อย ตฤณ!”

เสียงตะโกนร้องเรียกของหญิงสาวดังอยู่หน้าห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังถี่รัวเหมือนมีเรื่องอะไรร้อนใจ

“ตฤณ!! ได้ยินเนตรไหม เปิดประตูให้เนตรหน่อย”

ตฤณขยับตัวออกห่างจากเด็กตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เดินไปเปิดประตูให้กับเนตรที่ร้องเรียกอยู่หน้าห้องอย่างเร่งรีบ เขากลัวว่าถ้าเนตรยังคงส่งเสียงดังอยู่อย่างนี้จะทำให้คนที่หลับสนิทต้องตื่นขึ้นมา

“ว่ายังไง เนตร”

“เนตร... เนตรขอนอนด้วยได้ไหม”

ตฤณถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา “แล้วยุ้ยล่ะ เนตรนอนกับยุ้ยไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่เนตรมานอนด้วยไม่ได้เหรอ ทีเด็กคนนั้นยังอยู่บนเตียงนอนตฤณได้เลย”

“มันไม่เหมือนกันไหม จ้าวเป็นผู้ชายแต่เนตรเป็นผู้หญิงแล้วจะให้มานอนห้องเดียวกันได้ยังไง”

เนตรทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ตั้งแต่ที่ตฤณย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ก็ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจและเอาใจจ้าวมากเป็นพิเศษกว่าใคร ทั้งที่เธอก็เป็นทั้งเพื่อนและคนที่รักตฤณมาก รู้จักมาก็นานกว่า มีอะไรหลายๆ อย่างที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ภาษีดีกว่าด้วยซ้ำ

“แล้วทำไมถึงให้เด็กคนนั้นอยู่ในห้องได้”

“พี่ชายเขาไม่อยู่ ผมที่อายุมากกว่าก็ต้องดูแลเขาสิ”

“แค่ดูแล เนตรก็ไม่อยากว่าอะไรนะ แต่ตฤณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเนตรคิดยังไงกับตฤณน่ะ”

“ผมรู้”

แค่คำว่ารู้ของตฤณไม่ได้ทำให้เนตรดูจะพอใจขึ้นมาเท่าไร เพราะคำว่ารู้มันก็แค่รู้แต่ไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยที่พอเห็นคนที่รักมีใครอีกคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เพียงเด็กผู้ชายก็ตาม

“งั้นตฤณไปส่งเนตรที่ห้องได้ไหม”

ตฤณชำเลืองมองไปยังร่างเล็กที่อยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะตื่นแต่ทว่าความจริงแล้วจ้าวไม่ได้หลับ เขาเพียงแค่หลับตารอจังหวะและตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆ ลุกขึ้น ทำหน้าตาสะลืมสะลือคล้ายกับเพิ่งตื่นเพราะถูกปลุกจากเสียงที่คุยกันอยู่หน้าห้อง

“พี่ตฤณ...”

“ครับ”

“เสียงดังอะไรกันเหรอครับ” จ้าวพูดพลางขยี้ตาตัวเอง ส่งสายตาเป็นประกายเชิงออดอ้อนไปให้กับชายที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่มีอะไรหรอก จ้าวหลับเถอะ เดี๋ยวพี่ขอไปส่งเนตรที่ห้องก่อนนะ”

“พี่ตฤณ... จ้าวคงนอนไม่หลับแน่เลยถ้าพี่ตฤณไม่กอด”

ริมฝีปากรูปกระจับถูกขบกัดเล็กน้อย สายตาที่แสดงความอ้อนถูกเปลี่ยนไปเป็นการเรียกร้องความน่าสงสารและเห็นใจให้ตฤณเลือกที่จะอยู่กับเขาแทนที่จะเดินไปส่งเนตรที่ห้อง ไม่อย่างนั้นแผนที่วางไว้อาจยังไม่ทันสำเร็จดีก็ถูกจับได้เสียแล้ว

“ตฤณ”

“พี่ตฤณครับ อยู่กับจ้าวก่อนนะ”

“เอ่อ... พี่ขอไปส่งเนตรก่อนแล้วเดี๋ยวจะกลับมา”

ความไม่สบอารมณ์แสดงอยู่บนใบหน้ากลมมนอยู่เพียงครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกมาจากเตียงนอน เดินตีหน้าเศร้าเข้าไปหาตฤณ กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายราวกับจะเรียกให้หันมาสนใจเขาหน่อย เมื่อตฤณก้มลงมาใกล้ก็ถูกจ้าวขโมยหอมแก้มไปหนึ่งครั้งแต่เป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้เนตรเดือนพล่านแต่ทว่าเธอกลับแสดงออกมากไม่ได้

“ถือว่าเป็นค่าไถ่โทษนะครับ”

จ้าวหันหลังเดินกลับลงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยแววตามุ่งร้ายที่แอบซ่อนเอาไว้

“ตฤณ! ไปส่งเนตรที่ห้อง”

สิ้นเสียงของเนตรและฝีเท้าสองคู่ที่เดินจากไปพร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง จ้าวลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เคาะนิ้วไปมาเป็นจังหวะลงบนฟูกนอน นับถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี แม้จะอยากออกไปจัดการเรื่องบางเรื่องแต่ก็ต้องรอจนกว่าตฤณจะกลับเข้าห้องมา

โชคดีที่ในห้องมีกระจก จ้าวจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกยาวบานหนึ่ง ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่สะท้อนเงาอยู่ในกระจกบานนั้นค่อยๆ หายไปแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่เป็นฉากหลังก็ยังดำมืด เรียวขาเล็กก้าวเข้าไปในกระจกยาวบานนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย

ทางที่จ้าวเดินไปไร้แสงรอบทิศทาง มองไม่เห็นอะไรในความมืดมิดนั้นแต่ดวงตาสีเพลิงแห่งปีศาจย่อมมองเห็นทุกอย่างในโลกของตัวเอง

“คุณวินเซ้นท์”       

“เธอคนนั้นมาหรือยัง”

“มาแล้วค่ะ กำลังเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดีตามที่คุณวินเซ้นท์สั่ง”

“ดีมาก อย่าเพิ่งเล่นสนุกจนถึงตายล่ะ”

จ้าวสั่งกับวิญญาณตนหนึ่งที่อยู่ในกระจกเงาเสร็จก็รีบก้าวออกมา เขารับรู้ว่าตฤณส่งเนตรถึงหน้าห้องแล้วกำลังจะปลีกตัวเดินกลับมา ก่อนที่จะได้รู้ว่าเขาไม่อยู่ในห้องแต่อยู่ในบานกระจกแทน

เมื่อจ้าวก้าวเท้าออกมาแล้วก็รีบแทรกตัวเข้าไปในผืนผ้าห่ม หันหน้ามองประตูห้องอย่างคนกำลังรอคอย พอได้จังหวะและรับรู้ว่าตฤณเดินมาถึงหน้าห้องแล้วก็รีบปรับสีหน้า แววตาให้ตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยที่ดูน่าสงสาร ผู้ที่กำลังเฝ้ารอการกลับมาของอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น

ทันทีที่ได้ยินเสียงกลอนประตูห้องขยับ จ้าวยิ่งจ้องเขม็งไปยังประตูห้องเพื่อให้รู้ว่าเขากำลังรอคอยการกลับมา

“พี่ตฤณ จ้าวนอนไม่หลับเลย”

“ทำไมนอนไม่หลับ”

“ไม่มีใครให้กอดเลยนอนไม่หลับ จ้าวคิดถึงพี่เจต”

น้ำเสียงที่เศร้าสลดชวนเชื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจจากตฤณได้ เขาเดินลงมานั่งข้างเตียง เอื้อมมือที่ใหญ่กว่าขึ้นไปลูบหัวเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้คลายเศร้าแต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของจ้าวในตอนนี้เป็นเพียงแผนการหนึ่งและมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

“พี่ตฤณกอดจ้าวอีกนะครับ กอดของพี่มันอบอุ่นมากเลย”

ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น มือเล็กยังคงกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายยิกๆ เป็นเชิงเรียกร้องให้ทำตามที่ขอ

“นะครับ พี่ตฤณ”

ตฤณไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน วางหัวลงหมอนใบเดียวกันโดยที่ใบหน้ากลมนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ใกล้กันยิ่งกว่าเมื่อวาน ชิดกันจนรับรู้ถึงความเย็นที่แผ่กระจายอย่างบางเบาออกมาจากร่างเล็ก เขาดูจะนิ่งไปเล็กน้อย ร่างกายที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่ควรจะเย็นขนาดนี้

“ทำไมตัวจ้าวเหมือนจะเย็นๆ”

“ก็จ้าวหนาวไงครับ พี่ตฤณต้องกอดจ้าวให้แน่นๆ เลยนะครับ”

ตฤณกลัวว่าถ้ากอดร่างเล็กที่นอนอยู่ใกล้เพียงแค่นี้แล้วกลัวว่ามันจะเลยเถิดกันไปใหญ่ คราวที่แล้วก็เกือบจะรั้งอารมณ์และสติของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าหา ยิ่งแนบแน่นยิ่งอยากจะถลำลงไปให้ลึกกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร พอได้ย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนจะยิ่งหลงเสน่ห์เด็กตัวน้อยคนนี้เข้าอย่างจัง

“พี่... พี่ไม่กล้ากอดจ้าวแน่น กลัวอึดอัด”

“จ้าวไม่อึดอัดหรอกครับ แต่ถ้าพี่ตฤณลำบากใจ จะให้จ้าวกอดก็ได้นะครับ”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยพอจะให้ซอกคอที่ถูกปิดด้วยปกคอเสื้อสูงได้อยู่ใกล้กับตำแหน่งปลายจมูกของตฤณอย่างพอดิบพอดี นิ้วเรียวเล็กแอบสอดเข้าไปข้างในนั้นแล้วจิกเล็บเข้าที่เนื้อของตัวเองด้วยลักษณะท่าทางที่ตฤณเห็นว่าเป็นแค่การขยับปกคอเสื้อคอให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น

“ทำไมตัวจ้าวหอมแบบนี้”

“ถ้าพี่ตฤณชอบ จะอยู่แบบนี้นานๆ เลยก็ได้นะครับ”

จ้าวเองก็หวังว่าตฤณจะยอมอยู่ในท่านี้ไปนานๆ นานพอที่เลือดจากบาดแผลเล็กๆ จะไหลลงมาให้ได้ลิ้มรสที่จะทำให้ลืมไม่ลงและติดใจไปอีกนานแสนนาน

“ถ้าพี่ตฤณคิดว่าตัวจ้าวหอม จะลองชิมดูก็ได้นะครับ”

น้ำเสียงยั่วยวนเกือบจะพาให้ตฤณตกหลุมพราง ดีที่เขาได้สติมาก่อนจึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อยพอให้มีระยะระหว่างกันไว้บ้าง สีหน้าของจ้าวดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยทั้งที่เขาพยายามขนาดนี้แล้วแต่ใช่ว่ามันจะหมดหนทางเสียทีเดียว เขายังคงพยายามต่อ

“จ้าวคงทำให้พี่ตฤณลำบากใจจริงๆ สินะครับ งั้นจ้าวกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองก็ได้” 

ริมฝีปากรูปกระจับหงิกง้ำลง ดวงตาสีเพลิงทอดต่ำและดูหมองลงกว่าเดิม จ้าวทำท่าจะลุกออกจากเตียงนอน เตรียมก้าวเท้าลงแตะพื้นแต่ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน เส้นประสาทบริเวณริมฝีปากเผลอกระตุกเบาๆ หนึ่งครั้ง

“พี่... พี่ไม่อยากเผลอทำอะไรที่ไม่ให้เกียรติจ้าว”

“ไม่เป็นไรครับ จ้าวไม่ถือ ถ้าพี่ตฤณจะทำแค่กอดหรือซุกหน้าลงบนคอจ้าว”

ถ้าแค่กอด ตฤณก็กลัวว่ามันอาจจะเป็นมากกว่าแค่กอด ถ้าแค่ซุกซอกคอสีไข่มุกก็กลัวว่ามันอาจจะมีร่องรอยบางอย่างที่เขาฝากมันเอาไว้ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะอดใจไม่ไหวเข้าไปทุกที มือแกร่งดึงร่างเล็กให้ลงมานอนบนเตียงก่อนที่จะซุกสันจมูกเข้าซอกคอขาวเนียนที่กำลังเชิญชวนให้เขาได้ลิ้มลอง มันช่างหอมหวานราวกับพรมน้ำหอมมาทั่วร่าง

“พี่ตฤณ...”

“พี่ชักจะหลงจ้าวเข้าไปทุกทีแล้วสิ เพราะอะไรกัน”

“เพราะจ้าวเป็นเด็กน่ารักล่ะมั้งครับ”

“งั้น... หืม?”

ในขณะที่กำลังซุกปลายจมูกสูดดมความหอมที่ค่อยๆ กระจายออกจากร่างเล็กๆ ริมฝีปากของตฤณก็รับรู้ถึงรสชาดฝาดเฝื่อนของอะไรบางอย่างที่ไหลเข้าปาก กลิ่นคาวคล้ายเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากจนแน่ชัดแล้วว่าที่ปลายลิ้นได้สัมผัส ความรู้สึกที่รับรู้ได้นั่นคือเลือดของแท้ เลือดที่ไหลออกมาจากซอกคอขาวเนียนที่ตฤณพยายามฝังใบหน้าของตัวเองลงไป

“เลือดจ้าวอร่อยไหมครับ”

“จ้าว...”

“มันต้องอร่อยแน่อยู่แล้วล่ะครับ เลือดของจ้าวเป็นของหายากจะตาย”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปีศาจร้ายปรากฏชัดเจนบนใบหน้ามน ถ้าตอนนี้ตฤณจะไม่ชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเลือดของเขาได้ไหลลงคอไปแล้วล่ะก็ต่อจากนี้กลิ่นคาวเลือดก็จะกลายเป็นกลิ่นที่หอมที่สุด ความฝาดลิ้นที่ได้รับรู้ยามลิ้นได้สัมผัสมันจะกลายเป็นความอร่อยราวกับตับห่านฟัวกราที่ถูกขุนมาอย่างดี

“จ้าว...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก แต่เขารู้สึกเหมือนเจอสิ่งที่โหยหามานานแม้ว่าเขาจะรู้แก่ใจว่านั่นคือเลือดที่ไหลออกมาจากลำคอเรียวแต่เขากลับรู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูก คำถามที่ว่าได้แผลมาจากไหนถูกกลืนหายไป

“ถ้าพี่ตฤณชอบมัน จ้าวยกให้ก็ได้ครับ แต่ขอเพียงให้พี่ตฤณเชื่อฟังจ้าวก็พอ ตกลงไหมครับ”

“อืม... พี่ขอนะ”

“เชิญสิครับ”

ปลายลิ้นลากไล้ไปตามลำคอขาวเนียน พยายามดูดเอาน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆ เป็นของตัวเอง จากสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะเกลียดกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา จากกลิ่นคาวเลือดที่ชวนให้อยากอาเจียนในครั้งแรกกลับกลายเป็นกลิ่นหอมที่ดอมดมได้นานเท่านาน

“อ๊า~ พี่ตฤณเบาๆ สิครับ อย่าดูดแรง จ้าวเจ็บนะ”

จ้าวสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่าผลของการให้ดื่มเลือดสดจากซอกคอจะส่งผลได้แรงขนาดนี้ แต่ยิ่งแรงนั่นก็ยิ่งดีและดูเหมือนว่าตฤณจะไม่หยุดแค่นั้น มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปข้างใต้เสื้อลูบหน้าท้องที่แบนราบและเย็นเฉียบวนไปมาอย่างเบามือและรุ่มร้อนราวกับไฟกามอารมณ์กำลังจะลุกโชน

“พี่ตฤณ พอก่อนครับ พอก่อน”

มือเล็กแตะลงบนหลังมือที่อยู่ข้างใต้เสื้อตัวบาง ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับทำเรื่องแบบนั้น

“จ้าว... พี่ขอนะ”

“ไม่ได้ครับ พี่ตฤณ มันไม่ใช่ตอนนี้ จ้าวง่วงแล้วครับ”

“งั้นพี่ขอกอดจ้าวแบบนี้นะ พี่จะกอดจ้าวเอาไว้แน่นๆ”

“แล้วแต่พี่ตฤณเลยครับ”

จ้าวปล่อยให้ตฤณได้กอดเขาเอาไว้อย่างที่ใจอยาก ได้เก็บเกี่ยวความสุขจากร่างกายของเขาได้อย่างที่ต้องการโดยไม่คิดที่จะว่าอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเลือดของเขาส่งผลกระทบกับร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้างและมันย่อมไม่จบลงที่ตรงนี้แน่ มันแค่เพิ่งเริ่มต้น ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก




** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนหน้าจะได้รู้กันแล้วนะคะว่าใครจะโดนจ้าวจัดก่อนคนแรกเลย .... อยากบอกใบ้มาก แต่ก็อยากให้ลุ้นเอาเองเหมือนกันค่ะ แหะๆๆ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-




areenart1984
ขอบคุณค่ะ รอลุ้นกันตอนหน้าได้เลยค่ะว่าใครจะได้โดนดีก่อนคนแรกเลย

kun

ขอบคุณนะคะ ประวัติคฤหาสน์หลังนี้... ได้รู้แน่นอนค่ะแต่ว่ามันไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ขอยกให้หนูจ้าวไปก่อนนะคะ ^^

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ทิ้งพี่เจตไว้ในห้องมันมีเหตุผลค่ะ แต่ยังไม่บอก 555+


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะเป็นเนตร หรือ ยุ้ยนะ  เชียร์เนตรจ้า   นางสมควรได้ก่อนใคร  :laugh:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 9 :::
ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี






ตฤณหลับไปแล้วและหลับสนิทด้วยเพราะจ้าวทำให้เขาไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้คืนนี้ของเขาหมดสนุกเอาเสียก่อน รายแรกสำหรับค่ำคืนหฤหรรษ์นี้ควรเริ่มต้นที่เพื่อนชายคนเดียวของตฤณ ไม่รอช้าร่างของจ้าวก็มาปรากฏอยู่ที่หน้าประตูห้องที่ลีพักอยู่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูสามครั้งเป็นจังหวะที่จ้าวชอบมันที่สุด ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ตอนที่อยู่กับตฤณในห้องนั้นก็พอจะรู้คร่าวๆ จากความสามารถส่วนบุคคลว่าไม่ว่าลีจะถูกรบกวนด้วยวิธีการไหน กฎที่เขาพูดไปก็ยังไม่ถูกละเมิดสักข้อและนั่นเป็นเหตุให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสามครั้งในเวลาถัดมาเมื่อยังไม่มีการตอบรับจากคนที่อยู่ในห้อง ดูเหมือนลีจะเป็นคนที่รักษากฎดีเสียเหลือเกินจนเขาต้องออกแรงเองเพื่อให้กฎนั้นถูกละเมิดเสียบ้าง แต่ยังไม่ทันไร วิญญาณของเจตรินก็มาโผล่อยู่ข้างๆ เพียงแค่สบตาสีเฮเซลนัท จ้าวก็รู้ว่าพี่ชายต้องการอะไร เขาจึงหายไปจากพื้นที่ตรงนี้เพื่อไปเล่นสนุกกับอีกที่หนึ่งที่มีความสนใจมากกว่า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องสามครั้งดังขึ้นเป็นจังหวะเหมือนที่จ้าวทำ เพียงแต่ว่ามันแรงและถี่กระชั้นกว่าเท่านั้น การเคาะแบบนี้ดังอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกความสนใจ และสุดท้ายมันก็ได้ผล ลียอมเปิดประตูออกมาดูด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่ทว่าหน้าห้องนั้นว่างเปล่า เจตรินหายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว

‘รู้ไหม… ว่าการเปิดประตูให้กับเสียงเคาะประตูที่ไม่ธรรมดานั่นจะเกิดอะไรขึ้น’

ลีรีบหันกลับมามองในห้องตามเสียงที่ได้ยิน เห็นชายแปลกหน้ายืนอยู่บนเตียงนอนสี่เสาด้วยสภาพเท้าไม่ติดพื้น หัวใจก็พานจะหยุดเต้นกะทันหันเสียอย่างนั้น

‘แล้วรู้หรือเปล่าว่ากฎนั่นมีอยู่จริง แต่น่าเสียดายนะ ดูเหมือนจ้าวจะพูดผิดไปเล็กน้อยเพราะค่ำคืนนี้มันมีผลตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน’

วิญญาณของเจตรินอันตรธานหายไปจากบนเตียงก่อนจะมาโผล่ตรงหน้าลีซึ่งห่างออกไปไม่ถึงคืบ มือเท้าของเขาเริ่มเย็นแต่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เรียวขาสั่นเทา จะก้าวก็ก้าวไม่ออก จะกรีดร้องก็ดูเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกแน่นอยู่ที่คอ

‘เป็นอะไรเหรอ ก้าวเท้าไม่ออกเหรอ ให้ช่วยไหม’

ความเย็นเฉียบราวกับแท่งเหล็กที่จมหิมะทาบทับมาที่ข้อเท้าของลีอย่างรวดเร็วในขณะที่ดวงตาสีเฮเซลนัทยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ให้คลาดสายตา

“อ๊ากกกกก! ปล่อย!! ปล่อย!!”

ลีพยายามสะบัดขาตัวเองแต่ความเย็นจนขนลุกที่เขาสัมผัสได้มันยังอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอเจอบันไดก็วิ่งลงไปเพราะคิดแค่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ยิ่งวิ่งก็ดูเหมือนมันจะวนกลับมาที่เดิม ไม่ว่าจะวิ่งไปไกลแค่ไหนมันก็ยังไม่หลุดพ้นจากบันไดนี้ราวกับกำลังตกอยู่ในวังวนที่พาตัวเองออกมาไม่ได้

‘จะไปไหนเหรอ’

ใครจะไปมีกะจิตกใจตอบคำถามของผี!! ลีเอาแต่ออกแรงวิ่งและเจตรินก็เอาแต่ลอยตามหลังไปเรื่อยๆ คล้ายกับจะไล่กวดแต่เขาแค่อยากตามดูอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น

‘ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น’

“……”

‘ชอบวิ่งลงบันไดเหรอ เดี๋ยวจะเอาไปเสนอเขาให้ไหมว่าให้รับคนงานเพิ่ม มาช่วยขัดบันไดสักหน่อย’

“……”

‘ไม่ตอบกันสักหน่อยเหรอ กำลังชวนคุยอยู่นะ’

ใครมันจะอยากไปคุยกับผี ผีเชียวนะ อีกอย่างลีกำลังเอาความสนใจที่ตัวเองมีไปลงกับการทำอย่างไรก็ได้ให้ได้ออกจากคฤหาสน์หลังนี้โดยสวัสดิภาพ

‘ทำเป็นเงียบ’

“ปล่อย ปล่อยผมไปเถอะ”

‘กำลังฝันอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นเขาจะต้องพูดแบบนี้แน่ แต่... เอาเถอะ จะปล่อยก็ได้ แต่ว่าปล่อยให้วิ่งอยู่แบบนี้ไปสักพักน่ะ หวังว่าคงชอบนะ’

วิญญาณของเจตรินหัวเราะทิ้งท้ายก่อนที่จะเลิกไล่ตามร่างของลี ดวงหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดลงเพราะกำลังจะหมดแรง แม้ใจอยากจะหยุดวิ่งแต่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองให้เป็นไปตามที่ต้องการ แม้ว่ามันจะเหนื่อยล้าแค่ไหนแต่เท้าของเขาก็ยังคงขยับไม่หยุด

 

--------------------------------------


“พี่เนตรครับ เปิดประตูให้จ้าวหน่อย”

ประตูห้องถูกเปิดด้วยความไม่พอใจ เนตรยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ยอมเชิญให้เข้าไปในห้อง

“มีอะไรก็ว่ามา”

“จ้าวขอเข้าไปข้างในได้ไหมครับ”

“จะเข้ามาทำไม”

ดูเหมือนเนตรจะไม่ค่อยไว้ใจจ้าวเท่าไร เธอว่ามันกำลังมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เพื่อนของเธอก็หายออกไปจากห้องโดยที่ข้าวของของเจ้าตัวยังอยู่ครบ ความเงียบสงัดแลชวนสยองกับบรรยากาศรอบๆ ที่ทำให้หลอนเข้าไปทุกทีรวมถึงเสียงนกกากรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ

“แค่มีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อย”

ทันทีที่จ้าวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ประตูที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลงอย่างแรง ผ้าม่านที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพียงครึ่งปิดตัวลงราวกับถูกกระชากเข้าหากัน อุณหภูมิภายในห้องที่เย็นอยู่แล้วกลับเย็นเข้าไปอีกจนเสียวซ่านถึงไขสันหลัง เนตรชักเท้าถอยกลับด้วยความหวาดกลัว

“จ้าวหวังว่าพี่เนตรคงพร้อมจะรับฟังนะครับ”

เนตรไม่ตอบอะไร เธอก้าวเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อจ้าวพยายามเดินเข้ามาใกล้อย่างใจเย็น

“แต่จ้าวว่าเราน่าจะใช้เวลาคุยกันอีกนาน นั่งลงแล้วค่อยคุยกันดีกว่านะครับ”

ในจังหวะที่เนตรก้าวถอยหลัง ร่างของเธอก็คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างดึงให้ล้มลง เก้าอี้ที่อยู่สุดปลายห้องเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมารองรับร่างที่เริ่มจะสั่นเทาขึ้นเล็กน้อยเอาไว้ เธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่เหมือนว่าร่างนี้จะถูกพันธนาการด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นจนมันติดแน่นอยู่กับเก้าอี้วิคตอเรีย

เรียวเท้าเล็กค่อยๆ ก้าวเข้าหาร่างของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นอย่างช้าๆ ทีละก้าวราวกับกำลังตรวจเช็คความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านแววตาที่มองมา

“พี่เนตรกลัวจ้าวเหรอครับ”

“......”

“จ้าวเป็นเด็กน่ารัก ไม่มีอะไรให้กลัวสักหน่อย พี่เนตรจะกลัวไปทำไมล่ะครับ”

“......”

“อันที่จริงแล้วจ้าวได้ยินมาว่าพี่เนตรเกลียดที่นี่ เกลียดสภาพที่คฤหาสน์หลังนี้เป็น จ้าวไม่ถามหรอกนะครับว่าทำไม แต่ถ้าพี่เนตรได้อยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่งก็คงจะเปลี่ยนมุมมองของพี่ได้ อีกอย่างพี่เนตรอาจจะได้อะไรดีๆ หรือประสบการณ์ที่งดงามกลับไปเป็นของขวัญก็ได้นะครับ”

“ตฤณ!! ช่วยเนตรด้วย!! ตฤณ!!”

จ้าวเดินเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้าเนตรที่กำลังตะโกนร้องเรียกหาคนมาช่วยซึ่งไม่มีทางที่ใครจะมาช่วยเธอได้ ในเมื่อที่นี่ถูกควบคุมด้วยอำนาจมืดของจ้าว มีเพียงจ้าวที่มีสิทธิ์จัดการทุกอย่างที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้หรือบริเวณรอบๆ ถ้าเพียงจ้าวบอกให้อยู่ต่อให้ใกล้ตายยังไงก็รอด แต่ถ้าจ้าวบอกให้ตายต่อให้พยายามเท่าไรยังไงก็ตาย

“พี่เนตรรู้หรือเปล่าครับว่ามนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความกลัว และตอนนี้พี่เนตรก็กำลังกลัว จ้าวไม่ปลอบหรอกนะครับเพราะถือว่ามันเป็นบทเรียนแรกสำหรับสิ่งที่พี่พูดเอาไว้”

“ปล่อยฉันออกไปนะ ไอ้เด็กเปรต!! ไอ้ปีศาจ!!”

จ้าวยังคงนิ่งเฉยกับคำที่เนตรสบถออกมา เขาหันหลังแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงตรงข้ามกับเนตร

“ไม่คิดนะครับว่าพี่เนตรจะรู้ด้วยว่าจ้าวเป็นปีศาจ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีต้อนรับสู่โลกของปีศาจเลยก็แล้วกันนะครับ”

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! ตฤณ!! ลี!! ยุ้ย!!”

เนตรตะโกนลั่นห้อง เธอพยายามใช้กำลังที่มีทั้งหมดดึงตัวเองให้หลุดออกจากเก้าอี้แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรมันก็ยังติดแน่นเหมือนถูกทากาวเอาไว้ กลับกลายเป็นว่ายิ่งพยายามออกแรงก็ยิ่งทำให้เก้าอี้นั้นโยกไปมา เอียงซ้ายที เอียงขวาที ไปข้างหน้าบ้าง ไปข้างหลังบ้างจนจ้าวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่เนตรทำอะไรน่ะครับ ตลกชะมัดเลย”

เนตรไม่สนใจที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้จะฟังสิ่งที่จ้าวพูดอีกต่อไป เธอพยายามออกแรงให้มากเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมาแต่ยิ่งออกแรงมากเท่าไรเก้าอี้ตัวนั้นก็ยิ่งสั่นคลอนมากเท่านั้นจนสุดท้ายแล้วมันก็ล้มลงกับพื้น

“จ้าวว่าเรามาเข้าประเด็นกันดีกว่าครับ”

“ตฤณ!!! ช่วยเนตรด้วย!!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!”

เนตรพยายามตะโกนร้องสุดเสียงจนแสบคอไปหมดแล้ว ในเมื่อมันไม่ยอมหลุด เธอก็จำต้องหาใครสักคนมาช่วย เห็นดวงตาสีเพลิงคู่นั้นจ้องมองมาเหมือนกำลังสนุกกับสิ่งที่เห็นแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา เธอพยายามแล้ว พยายามที่จะออกไปจากห้องนี้ พยายามที่จะร้องให้ใครมาช่วยแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีใครได้ยินเธอเลย 

“เสียงของพี่มันน่ารำคาญมากนะ”   

“จับพี่มาทำไม ทำแบบนี้กับพี่ทำไม ปล่อยพี่ไปได้ไหม”

“นี่พี่กำลังร้องขอชีวิตจากจ้าวอยู่หรือเปล่าครับ” จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

เนตรไม่ตอบ จะบอกว่าเธอกำลังร้องขอชีวิตอยู่ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ทำไมถึงเป็นเธอที่กลายเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น ทำไมแค่คำพูดดูถูกคฤหาสน์ที่สกปรกซอมซ่อหลังนี้ถึงได้กลายเป็นเหตุให้ตัวเธอต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ

“จ้าวว่าพี่ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า เห็นสภาพพี่แบบนี้แล้วมันน่าสมเพชนิดๆ”

เก้าอี้ที่ล้มกะเท่เร่ลงกับพื้นกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วโดยที่จ้าวไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวทั้งหวาดผวา ทั้งจิตตก แต่อย่างที่จ้าวพูดไปว่ามันเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น ความน่ากลัวที่อยากให้จดจำไปชั่วชีวิตยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้

“พี่เนตรได้ยินเสียงการ้องไหม”

เนตรได้ยินมาตั้งแต่ที่ตฤณพามาส่งที่ห้องและดูเหมือนนกกาพวกนั้นจะบินวนอยู่ใกล้ๆ ห้องพักของเธอเสียด้วย

“เขาว่ากันว่าถ้าการวมกลุ่มกันร้องหรือถ้ามันบินชนกระจกนั่นแปลว่าบริเวณนั้นมีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ พี่เนตรจะลองดูให้แน่ใจสักหน่อยไหมครับว่าที่เขาว่ากันว่านั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”   

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่ถูกหมุนให้หันหน้าออกไปทางด้านนอกคฤหาสน์ ผ้าม่านที่ถูกดึงจนชิดกันบดบังทัศนียภาพรอบนอกถูกทำให้แยกออกจากกันด้วยฝีมือของจ้าวโดยที่เจ้าตัวเพียงแค่ก้าวลงมาจากเตียงนอนแล้วหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่ นกกาหลายสิบตัวที่บินวนอยู่นอกหน้าต่าง ส่งเสียงร้องระงมไม่หยุดในตอนนี้บางตัวก็เปลี่ยนทิศทางมาเป็นที่ที่เนตรนั่งอยู่ มันบินกระแทกกระจกเข้าอย่างจังแล้วก็ร่วงลงไป เนตรสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจ หวาดผวาเพราะดวงตาของนกกาพวกนั้นตอนที่มันบินตรงมายังบานหน้าต่างนั้นเป็นสีแดงกล่ำคล้ายสีเลือด

“ทีนี้พี่เนตรว่ามันเป็นเรื่องจริงไหมครับ”

ไม่ว่าเนตรจะเชื่อหรือไม่แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ผืนผ้าม่านสีทะมึนถูกดึงเข้าหากันอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแต่ทว่าเสียงของบางอย่างที่กระแทกเข้ากับบานหน้าต่างยังคงดังไม่หยุด ร่างของเนตรสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวจนเกือบถึงขีดสุด หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย

“พี่เนตรรู้ไหมครับว่าเพราะอะไรถึงต้องมาเจอแบบนี้”

“......”

“เพราะพี่หลบหลู่สถานที่ด้วยคำพูดยังไงล่ะครับ”

“พี่... พี่ขอโทษ ปล่อยพี่ไปเถอะนะ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว” 

น้ำเสียงของเนตรฟังดูสั่นเครือ เช่นเดียวกับหัวใจที่ยังคงเต้นระรัวไม่หยุด ถ้าต้นเหตุมันอยู่ที่คำพูดของเธอเอง เธอก็อยากจะขอโทษที่ได้พูดจาล่วงเกินไป

“แต่จริงๆ แล้วเรื่องแค่นั้น จ้าวไม่ถือสาเอาความอะไรหรอกครับ”

เนตรนิ่งไปชั่วครู่ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเธอเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้น เธอก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่พาตัวเองออกมาไม่ได้หรือแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ยังทำไม่ได้

“พี่เนตรลืมเหรอครับว่าจ้าวเป็นปีศาจ ปีศาจคือความชั่วร้าย ก็คล้ายๆ กับที่เขาว่ามนุษย์ที่ชั่วร้ายก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่มาจากขุมนรก”

“ปล่อยพี่ไปเถอะนะ”

“ปีศาจไม่ใช่พระเจ้า ถ้าพี่เนตรอยากได้ความปราณีก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย”

ไม่ทันได้ฟังว่าสิ่งที่จ้าวอยากจะแลกเปลี่ยนด้วยนั้นคืออะไร เนตรก็พยักหน้ายอมรับข้อตกลงนี้เพราะอย่างน้อยๆ ที่ปลายทางหลังจากนี้ก็คือคำว่ารอดชีวิต

“อยู่เป็นของเล่นให้จ้าวสักสองสามวันนะครับ แล้วจ้าวจะปล่อยพี่เนตรไป” 

จ้าวพูดเพียงเท่านั้นแล้วหายไปจากห้อง ปล่อยทิ้งเนตรไว้กับความกลัวที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ เพราะไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ เธอมองไปรอบๆ กายที่ความมืดมิดแผ่ปกคลุมลงมา ทั้งที่ในห้องยังมีความสว่างจากเชิงเทียนที่ถูกทิ้งไว้ให้แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เปลวไฟที่ส่องสว่างดับลงทันทีที่ความมืดมิดจากเบื้องบนอาบไล้ลงมาถึง


------------------------------------

ลีวิ่งขึ้นลงบันไดอยู่เกือบร้อยรอบเห็นจะได้ ถ้าหากได้หยุดก็คงจะทรุดลงกับพื้นในทันทีแต่เขาหยุดตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นอัตโนมัติเหมือนถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้ ในตอนนี้ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของเขาแล้ว

“พี่ลี”

“จ้าว จ้าวช่วยพี่ด้วย” ลีรีบบอกในขณะที่ขาของเขากำลังพาร่างกายนี้ผ่านหน้าจ้าวไป

“จ้าวต้องทำยังไงครับ พี่ลี”

ดวงหน้าของเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ฉายแววแห่งความหวั่นวิตก แสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าควรจะหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ยังไงดี

“ช่วยหยุดที ขาพี่มัน...”

“ขาพี่ทำไมเหรอครับ”

จ้าวยังคงตีหน้าซื่อ ไม่เข้าใจว่าลีกำลังพูดถึงเรื่องอะไรและขานั้นเป็นอะไร

“มัน... มัน... พี่บังคับไม่ได้เลย จ้าวช่วยพี่ด้วย”

ร่างของลีวิ่งผ่านหน้าจ้าวไปเป็นครั้งที่สาม ใบหน้าซีดเผือดดูเหนื่อยล้าเต็มที ถ้าร่างนั้นหยุดลงมันคงเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก

“แล้วจ้าวต้องช่วยยังไงล่ะครับ”

ร่างของลีหยุดชะงักลงเมื่อวิ่งผ่านหน้าจ้าวเป็นครั้งที่สี่แต่ทว่าถึงจะหยุดวิ่งไปแล้วแต่เขากลับไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้เลยเหมือนกับว่ามันยังคงถูกควบคุมด้วย อีกทั้งยังถูกดึงกระชากให้มาเผชิญหน้ากับดวงตาสีเพลิงที่มองมาอย่างมีนัยยะแอบแฝง

“จ้าว... ช่วยพี่ด้วยนะ”

“ถ้าจ้าวช่วยพี่แล้วจ้าวจะได้อะไรครับ”

“อยากได้อะไร พี่ยกให้หมดเลย แต่ได้โปรด... ช่วยพี่ด้วยนะ”

ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มเล็กน้อยอย่างชั่วร้ายจนลีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำพลาดไปแล้วแต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าที่จะต้องวิ่งไปถึงเมื่อไรไม่รู้ จะให้เขาแลกกับอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่เขาไม่อยากวิ่งไปจนตายหรอกนะ

“คิดให้ดีก่อนพูดสิครับ พี่ลี ถ้าจ้าวบอกว่าจ้าวขอชีวิตพี่เป็นของแลกเปลี่ยน พี่ตกลงเหรอครับ”

สีหน้าและแววตาของจ้าวดูจริงจังจนไม่อาจคิดได้ว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นของเด็กคนหนึ่ง

“คือ...”

“ถ้าพี่ไม่ตกลง คราวหลังก็หัดคิดดีๆ สิครับ เพราะถ้าจ้าวยื่นข้อเสนอที่มันอาจถึงชีวิต พี่ลีจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้นะครับ แต่เอาเป็นว่าคำตอบนั้นจ้าวจะไม่ถือก็แล้วกัน ให้โอกาสพี่ลีได้ตอบใหม่ว่าจ้าวจะได้อะไรเป็นของแลกเปลี่ยน”

ลีไม่เสียเวลาคิดหนักหรือนานนักเลย เขาสามารถให้ได้ทุกสิ่งที่จ้าวต้องการถ้ามันจะพาเขาออกมาจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้ เว้นเพียงแต่ชีวิตนี้เท่านั้น เพราะถ้ายกชีวิตให้แล้วสิ่งที่เด็กคนนั้นช่วยเอาไว้มันจะไปมีประโยชน์อะไร

“ทุกอย่าง ยกเว้นชีวิตพี่”

“ครับ ถือว่าเราแลกเปลี่ยนข้อตกลงกันแล้วนะครับ คำขอร้องหนึ่งอย่างแลกกับสิ่งที่จ้าวอยากได้ในตัวพี่”

จ้าวไม่เคยให้อะไรกับใครโดยที่ตัวเองจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทน

“ได้ๆ ช่วยพี่ด้วย พี่ไม่ไหวแล้ว”

“ครับ แต่ก่อนจะช่วย จ้าวอยากไขข้อสงสัยให้กับพี่สักหน่อย ที่พี่ลีเคยถามว่าเมื่อก่อนมันเกิดอะไรขึ้นแถวนี้ แล้วทำไมคนสั่งพิซซ่าถึงไม่ยอมมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดิน พี่ยังอยากรู้คำตอบอยู่ไหมครับ”

จ้าวไม่รู้และไม่รอฟังว่าลีจะอยากรู้คำตอบนั้นไหมแต่เขาพร้อมที่จะบอก ร่างของลีถูกดึงให้โน้มต่ำลงมาด้วยมือเล็ก ใบหน้ากลมมนสีไข่มุกอยู่ห่างเพียงแค่ลมหายใจรดริน เขากำลังถูกเด็กคนนี้บังคับให้จ้องเข้าไปในดวงตาสีเพลิงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

ลีไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นผ่านดวงตาคู่นั้น เขารู้เพียงแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าความชั่วร้ายที่อาจจะมีความดีอยู่บ้าง เพียงแค่ความดีที่ว่านั่นก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร รู้ว่ามีแต่หาไม่เจอ เด็กคนนั้นคือความชั่วร้ายที่ไม่ควรคิดจะต่อกรด้วย

“หวังว่าพี่ลีคงรู้แล้วนะครับ เอาเป็นว่า... ช่วยเก็บมันเป็นความลับด้วย โดยเฉพาะกับพี่ตฤณ ถ้าจ้าวรู้ว่าพี่ตฤณรู้เรื่องนี้ เราคงจะได้เจอกันอีกที่บันไดนี้ และถึงตอนนั้นถ้าพี่ลีร้องขอให้จ้าวช่วย สิ่งที่จ้าวจะขอแลกเปลี่ยนด้วยคงเป็นชีวิตของพี่”

ลีพูดอะไรไม่ออก แค่สิ่งที่เห็นผ่านดวงตาสีเพลิงคู่นั้นก็น่ากลัวเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ จ้าวเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่วิญญาณร้ายอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจกัน ปีศาจที่ไม่มีแม้แต่ความปราณี อยากได้ต้องร้องขอ เมื่อร้องขอต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน

“ถ้าพี่ลีอยากกลับก็กลับเถอะครับ จ้าวปล่อยแล้ว”

ถึงลีจะอยากกลับแต่เขาก้าวเท้าไม่ออกเหมือนมันหมดแรง เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยเพราะจ้าวเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปไกล

“ต้องให้พาไปส่งด้วยไหม แต่คิดค่าตอบแทนเพิ่มนะ”

ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างที่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ค่อยๆ กระเสือกกระสนพาร่างกายของตัวเองลงไปบันไดทีละขั้น ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจจะให้อธิบายอย่างไรมันคงไม่หมด แต่ตอนนี้ลีรู้แล้วว่าเขาไม่ควรจะทำตัวอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้อีกต่อไป ถ้าจะให้ดีก็คงไม่ควรแวะผ่านมาแถวนี้อีกเลย

“แต่จ้าวใจดี เอาเป็นว่าจะเดินตามพี่ลีไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ”

ลีใช้แขนข้างหนึ่งเกาะราวบันไดในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน พยุงตัวเองให้พอจะทรงตัวอยู่ได้แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขนทั้งสองข้างไล่ไปตามบันไดวนโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง ไม่สนใจเสียงของจ้าวเพราะเขารู้ตัวว่าไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ทันทีที่ปลายเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น เสียงประตูที่คฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าปิดลงอย่างแรงก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว จนลีสะดุ้งเฮือก ชะงักมองปลายทางที่โอกาสเหมือนถูกปิดตาย

“จ้าวยังไม่ได้สิ่งตอบแทนจากพี่ลีเลยนะครับ ลืมไปแล้วเหรอ”

“.......”

ลีพูดไม่ออก แม้ว่ามวลอากาศภายในจะเย็นจนเกือบหนาวแต่เหงื่อกาฬกลับแตกพลั่กราวกับกำลังถูกไฟนรกสุมอยู่รอบกาย

“ก็... ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับจ้าวสักพักนะครับ”

รอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีของปีศาจในคราบเด็กพรากเอาสติที่ควรมีอันน้อยนิดของลีให้จากไป ร่างนั้นถูกดึงกระชากกลับขึ้นมายังชั้นบนอย่างรวดเร็วราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปจากที่นี่ง่ายๆ เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วอย่างคนใกล้เสียสติ สีหน้าของลีดูตื่นตระหนก หวาดกลัวที่ไม่อาจรู้ได้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอีก 



** ติดตามตอนต่อไป **

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โดนไปสอง เหลือยุ้ย  ยุ้ยอยู่หนายยยยยยย  o21

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย กระชากอารมณ์แล้ว
อยู่เป็นของเล่น ขาออกจะกลับไปครบไหม 
ลี เนตร ขาดยุ้ย โดนจับไว้ไหน
รู้สึกไม่อยากรู้ประวัติคฤหาสแล้วอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
รออออออออออ

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คดีพลิก ลีโดนคนแรกเลย 555555 จ้าวอาจจะลืมไปแล้วว่ายังมียุ้ยอีกคน ลีน่าสงสารเนอะ คงหลอนไปอีกนานเลย เขาคงไม่กล้าเหยียดที่นี่อีกเลยก็เป็นได้ ....

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 10 :::
ลงโทษเบาๆ





หลังจากที่จัดการกับลีเรียบร้อยแล้ว จ้าวจึงกลับเข้าห้องไปพบเนตรอีกครั้ง เขาไม่ยอมให้ความสนุกสำหรับค่ำคืนนี้จบลงง่ายๆ ยังอยากให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้รับความทรงจำที่ไม่อาจลืมได้เลยตลอดชีวิตกลับไป

เมื่อความมืดที่โรยตัวมาจากเบื้องบนบดบังสภาพแวดล้อมรอบตัวจนทำให้มองไม่เห็นอะไรแม้กระทั่งมือที่ยื่นออกไปตรงหน้า เนตรก็ได้แต่ต้องใช้หูฟังเสียงทุกอย่าง แต่กับจ้าวนั้นต่างกันมากนัก ต่อให้ในห้องจะไร้แสงสว่างจนมองไม่เห็นอะไรแต่ดวงตาสีเพลิงของปีศาจนั้นย่อมมองเห็นทุกอย่าง

ตึก.. ตึก... ตึก...

เสียงฝีเท้าย่ำใกล้เข้ามาเรื่อยและดูเหมือนว่าจะหยุดอยู่ตรงหน้า เนตรพยายามมองลอดผ่านความมืดนั้นเข้าไปแต่ไม่สามารถเห็นอะไรได้นอกจากสีดำ เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ถูกจับเอียงไปข้างหลัง ไม่ว่าจะพยายามขัดขืน ฝืนรั้งร่างกายอย่างไรก็ไร้หนทางที่จะพาตัวเองออกมาจากที่นั่น เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนลากมัน ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ใด และด้วยความไม่รู้นั้นนำพาให้ความคิดต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองจนเกินเป็นความหวั่นวิตก

ครืดดด ครืดดดดด ครืดดดดดด

เสียงลากเก้าอี้ไปกับพื้นทางเดินยิ่งทำให้เนตรรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะก้าวเข้าสู่ความตายอยู่ทุกลมหายใจ ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่ก็ยังไม่มองไม่เห็นอะไร เธอหันซ้ายมองขวาอย่างคนหวาดระแวงไปกับทุกสิ่ง เสียงลากเก้าอี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และเธอก็ยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเมื่อยามเก้าอี้เลื่อนไปตามพื้น

“ตฤณ!!! ได้ยินเนตรไหม!!! ตฤณ!!! ช่วยเนตรด้วย!!!”

เนตรตะโกนเรียกสุดเสียงจนแสบคอไปหมดแล้วก็ยังไร้วี่แววใดๆ ของการตอบกลับ

“ช่วยเนตรด้วย!! ใครก็ได้ช่วยที!!”

ครืดดด ครืดดดดด ครืดดดดดด

“กลัวเหรอครับ”

เสียงที่ดังอยู่รอบกายคล้ายกับจะถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเป็นเสียงของจ้าว เนตรจำมันได้ขึ้นใจและจะไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด

“ความกลัวเป็นอะไรที่จ้าวชอบนะครับ ยิ่งกลัวมากเท่าไรจ้าวก็อารมณ์ดีมากเท่านั้น”

เนตรไม่รู้ว่าควรจะกลัวเพื่อให้จ้าวอารมณ์ดีหรือควรจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำให้เธอกลัวแต่อาจต้องแลกมากับอารมณ์อันร้ายกาจของจ้าว อย่างไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่ากัน และนั่นทำให้เธอยิ่งหวาดกลัวและสับสนมากขึ้นไปอีก

“พี่เนตรรู้หรือเปล่าครับว่าเรากำลังจะไปที่ไหนกัน”

เนตรยอมรับว่าเธอไม่รู้ว่าเก้าอี้ที่เธอถูกพันธนาการไว้กับมันจะถูกลากไปที่ไหน เพราะรอบข้างไม่ได้บอกอะไรแก่เธอเลยสักอย่างแต่แล้วมันก็หยุดลงตรงที่ไหนสักที่ในคฤหาสน์หลังนี้ เธอได้ยินเสียงลูกบิดประตูหมุนก่อนจะเห็นแสงไฟสลัวออกมาจากกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า

“เราย้ายห้องกันหน่อยนะครับ ห้องนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไร”

เนตรไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะมีห้องไหนดีทั้งนั้นถ้ายังต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ต่อไป เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ถูกหมุนและลากไปตามทางเข้าไปในห้องที่เห็นเพียงแสงอ่อนๆ ลอดผ่านออกมา เธอพยายามมองไปรอบตัวอย่างยากลำบากและดูเหมือนว่าจะโชคดีเล็กน้อยที่พอจะเห็นเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในห้องได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวในความมืดมิด

“พี่เนตรหิวไหมครับ”

“……”

“หรือพี่เนตรอยากดื่มอะไรแก้กระหายสักหน่อยไหมครับ”

“……”

“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจ้าวได้ยินเสียงของพี่ จ้าวว่าน่าจะลองวิชาการฝีมือเย็บปัดถักร้อยสักหน่อย”

“จะ… จะทำอะไร”

น้ำเสียงสั่นเครือแลหวั่นวิตก เธอไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าต่อจากนี้ไปจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออีกบ้าง

“จ้าวมีเข็มกับด้าย คิดว่าจะเอาไปทำอะไรดีล่ะ”

มีเข็มกับด้ายอยู่ในมือก็คงจะเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากปะ ชุน เย็บ แต่จ้าวคงไม่นั่งเย็บผ้าแน่ ในหัวของเนตรมันขาวโพลนไปหมด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นกำลังสื่อคืออะไร

“จ้าวควรจะตอบตอนนี้หรือเก็บมันไว้ทำเซอร์ไพร์สพี่เนตรดีนะ” จ้าวแสร้งทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะพูดต่อในทันทีว่า “บอกตอนนี้มันจะไปสนุกอะไร จริงไหมครับ พี่เนตร”

จ้าวปล่อยให้เนตรอยู่กับความหวาดกลัว ความไม่รู้และความหวาดระแวงมันคงน่าจะสนุกพิลึก การมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างในแต่ละวินาทีที่ผ่านไปยิ่งส่งผลเร่งให้จิตเตลิดฟุ้งซ่านจนท้ายที่สุดแล้วแทนที่เราจะได้ควบคุมมันจะกลับกลายเป็นว่าเราถูกมันควบคุม

“เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ ถามอะไรก็ไม่ตอบ กลัวจ้าวทำอะไรหรือยังไงครับ”

เนตรนิ่งไปแต่สีหน้าของเธอยังความแสดงถึงความหวาดหวั่น

“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว เดี๋ยวจ้าวหาข้าวหาน้ำให้กินสักหน่อยก่อนดีกว่า”

ข้าวกับน้ำ ฟังดูเหมือนจะใจดีแต่เนตรกลับไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความใจดีของจ้าวที่เผื่อแผ่มาถึงตัวเธอ มันอาจจะเป็นข้าวกับน้ำที่เคลือบไปด้วยยาพิษเหมือนแอปเปิ้ลที่สโนว์ไวท์ได้รับจากหญิงชราที่แสนมีเมตตาแบ่งปัน

หลังจากที่จ้าวออกไปจากห้องแล้วเนตรพยายามส่งเสียงร้องเรียกหาคนช่วยแต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในความเงียบ ไม่ว่าจะพยายามเสียงแหบเสียงแห้ง จนเหนื่อยล้าแต่กลับไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้แต่คนเดียวราวกับว่ามันถูกกั้นให้อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้

“ตฤณ!! ช่วยเนตรด้วย!! ตฤณ!!”

เนตรพยายามร้องเรียกแม้จะรู้ว่าเสียงของเธออาจส่งไปไม่ถึงใครแต่อย่างน้อยเธอก็ได้พยายามแล้ว เธอออกแรงโยกตัวไปมาเพื่อให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่ขยับเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลเมื่อมันยังอยู่ที่เดิม แทบจะไม่เคลื่อนที่ไปไกลอย่างที่ใจต้องการ

“ฮืออออ ช่วยเนตรด้วย ใครก็ได้ช่วยเนตรที”

เสียงสะอื้นไห้คลอเสียงร้องเรียก ยิ่งฟังก็ยิ่งจับใจความไม่ได้เข้าไปทุกที

“ฮืออออ เนตรไม่อยากอยู่ที่นี่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่จู่ๆ ก็ถูกดึงให้ออกมาจากกลางห้องตรงไปยังข้างเตียงนอน ประตูห้องไม่ได้ถูกเปิดแต่เธอกลับเห็นจ้าวนั่งอยู่บนเตียงนอนพร้อมถาดอาหารและน้ำ ดวงตาสีเพลิงของเด็กคนนั้นราวกับไฟในขุมนรกกำลังเตรียมพร้อมจะแผดเผาร่างกายของเธอให้กลายเป็นจุล

“จ้าวปล่อยพี่ไปเถอะนะ พี่ขอร้อง”

“ขอร้องก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน พี่เนตรยินดีไหมล่ะครับ”

แน่นอนว่าเนตรไม่ยินดีเพราะมันไม่มีอะไรให้น่ายินดีสักเรื่อง

“จ้าวว่าพี่เนตรกินข้าว กินน้ำสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจ้าวป้อนให้นะครับ”

มือเล็กหยิบช้อนตักข้าวผัดหน้าตาธรรมดาจนเกือบเต็มช้อนยื่นไปตรงหน้าเนตร เขาหวังว่าเธอจะกินมันสักหน่อย เพราะถ้าปล่อยให้ท้องร้องคงจะทรมานน่าดู แต่เนตรกลับปิดปากตัวเองเสียแน่น ไม่ว่าช้อนคันนั้นจะอยู่ตรงหน้านานแค่ไหน ไม่ว่ากลิ่นอาหารจะหอมชวนให้น้ำลายสอมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมให้สิ่งที่จ้าวหยิบยื่นมาให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ

“กินสักหน่อยสิครับ จ้าวเป็นห่วงพี่นะครับ กลัวว่าพี่จะหิวแล้วมันจะเป็นการทรมานตัวเองเสียเปล่าๆ”

เนตรส่ายหน้าแต่สายตายังคงจ้องมองไปยังข้าวผัดสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรพิเศษอยู่ในนั้นหรือเปล่า

“พี่เนตรเห็นจ้าวเป็นเด็กใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ เราก็แค่เล่นสนุกกันเอง แล้วเมื่อถึงเวลา จ้าวก็จะปล่อยไปตามที่เราได้ตกลงกันไว้ยังไงล่ะครับ อีกอย่างจ้าวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องทำให้พี่ถึงตายด้วยสักหน่อยนี่ครับ ยกเว้นแต่ว่าพี่จะทำตัวพี่เอง อันนั้นจ้าวก็ไม่รับประกันว่าพี่จะรอดหรือพี่จะตาย อย่าให้ความเอ็นดูของจ้าวที่มีต่อพี่มันต้องสูญเปล่าสิครับ”

เนตรยังคงปิดปากของเธอให้แน่นสนิทแม้ว่าช้อนคันนั้นจะถูกจ่อเข้ามาจนชิด เธอส่ายหน้าปฏิเสธอยู่หลายครั้งเมื่อช้อนคันนั้นพยายามจะเข้าไปในปากให้ได้ แต่บางครั้งมันก็พลาดจนทำให้เศษข้าวที่อยู่ในช้อนนั้นหกกระจายลงพื้นห้อง จ้าวไม่ใช่ประเภทที่มีความอดทนมากเท่าไรนักแต่เขาก็ยังฝืนยิ้มอย่างใจเย็น

“พี่เนตร ความอดทนจ้าวไม่ได้มีมากเท่าไรนะครับ”

“พี่ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกินครับ”

“พี่ไม่กิน”

“จ้าวบอกให้กินก็ต้องกิน”

มือเล็กยกขึ้นโบกสะบัดเพียงเล็กน้อย วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากทางประตูห้อง ร่างนั้นของเธอโปร่งแสงจนมองทุละเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ค่อยๆ ลอยตรงมาหาเนตร ก้มลงเก็บกวาดเศษข้าวที่ตกพื้น เนตรหลับตาแน่น ไม่กล้ามองร่างของหญิงคนนั้น ริมฝีปากรูปกระจับแอบยกยิ้มเล็กน้อย

“พี่เนตรกลัวเหรอ เขาไปแล้วล่ะครับ”

น้ำเสียงของจ้าวฟังดูอ่อนโยนผิดกับแววตาที่ใช้มองมาเนตรที่หลับตาอยู่อย่างนี้ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนนั้นแต่ทว่ามันเป็นเพียงแค่กลลวงของปีศาจเท่านั้น เมื่อเหยื่อติดกับ ความอ่อนโยนนั่นก็เป็นแค่ภาพลวงตาที่หลอกล่อมาให้ตกอยู่ในหลุมพรางที่ไม่อาจพาตัวเองกลับขึ้นมาได้

“พี่เนตรครับ จ้าวเอาใจพี่แบบนี้แล้วพี่ยังไม่ชอบอีกเหรอครับ”

                “......”

“หรือว่าพี่ไม่อยากให้จ้าวใจดีด้วยครับ”

“.......”

เนตรไม่รู้จะตอบว่าอะไร จะถูกทำดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วเธอก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตาย

“ตามใจพี่ก็แล้วกันครับ ไม่อยากได้ จ้าวก็ไม่ทำให้”

จ้าวลุกขึ้นจากเตียงที่นั่งอยู่ เดินตรงไปยังริมหน้าต่างแล้วก็หันกลับมา ใบหน้ากลมมนของเด็กตัวน้อยประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรักแต่คงใช้ไม่ได้กับเนตรที่รู้แจ้งเห็นจริงในธาตุแท้ของเด็กคนนี้แล้ว

“ประโยชน์ของปากก็มีแค่เอาไว้พูดกับกิน ถ้าพี่ไม่ใช้ปากกินก็ไม่รู้ว่าจะมีมันไว้ทำไม อีกอย่าง... ผมรำคาญเวลาพี่กรีดร้องมาก มันแสบแก้วหูจนปวดหัวไปหมดเลยแล้วพานจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดด้วย”   

เนตรไม่รู้ว่าเข็มกับด้ายที่จ้าวแค่พูดถึงมันไปอยู่ในมือของเด็กคนนั้นตั้งแต่เมื่อไร เข็มกับด้ายที่มันควรจะใช้สำหรับเย็บผ้า เธอหวังว่านั่นมันคงไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะเอามาเย็บปากเธอเพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันคงโหดร้ายเกินไปแล้ว ร่างกายของเนตรสั่นเทามากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าจ้าวค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ๆ และหยุดลงตรงหน้า รอยยิ้มที่ดูเหมือนว่ามันเคยเป็นมิตรมาก่อนหน้านี้ไม่หลงเหลือให้เธอได้ผูกมิตรด้วยอีกแล้ว

“หึ! พี่บอกเองนะครับว่าไม่อยากให้จ้าวใจดีด้วย”

“จ้าว... พี่ขอโทษ อย่าทำกับพี่แบบนี้เลยนะ”

จ้าวทำเป็นไม่สนใจเสียงขอร้องที่ดังออกมาจากปากของผู้หญิงที่เคยพูดว่าเกลียดคฤหาสน์หลังนี้ เขาหมุนเข็มที่อยู่ในมือไปมาพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“มันคงให้ความรู้สึกดีมากแน่ๆ เวลาที่ค่อยๆ ดึงด้ายขึ้นมา แล้วไหนจะเลือดที่ไหลออกมาจากรูตอนที่ถูกเข็มเจาะอีก จ้าวตื่นเต้นจังเลยครับ พี่เนตรรู้หรือเปล่าว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่จะได้เย็บปากคนจริงๆ ปกติก็เย็บแต่คอตัวเอง”

เนตรอยากจะพูดออกไปว่าอย่าทำเธอเลยแต่ปากของเธอกลับแน่นสนิทราวกับมีใครเอากาวมาทาไว้ เธอพยายามขยับปากแล้วแต่มันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย จู่ๆ ความกลัวก็ถาโถมเข้ามาอย่างทันทีเมื่อเห็นปลายเข็มจรดลงบนผิวปาก หยาดหยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลลงมาเป็นทาง

“อื้อออ อื้ออออ”

“พี่เนตรกลัวเหรอครับ จ้าวจะทำเบาๆ นะ”

“อื้อออ อื้ออออ”

เนตรขืนหน้าหนี พอหันซ้าย ปลายเข็มก็ตามไปซ้าย พอหันขวา ปลายเข็มก็ตามไปขวา ไม่ว่าจะหันไปทางไหน จ้าวก็พาเข็มตามไปด้วยทุกที่จนสุดท้ายแล้วปลายคางของเธอก็ถูกมือเล็กจับและบีบเบาๆ ไม่ถึงขนาดทำให้เจ็บแต่ก็หันหนีไปไหนไม่ได้อีก

“อื้อออ อื้ออออ”

แววตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความหวาดกลัวอย่างที่สุด เนตรพยายามดิ้นรน ฝืนหน้าตัวเองไม่ให้ปลายเข็มที่พร้อมจะปักเข้ามาที่เนื้อของเธอที่ทิ่มแทงลงไป ร่างกายแข็งเกร็งสุดขีด เธอไม่เคยกลัวกับอะไรมากมายเท่านี้มาก่อนในชีวิต ยิ่งเห็นสายตาที่จ้าวมองมายิ่งทำให้รู้ว่าเธอควรจะอยู่เฉยๆ และเชื่อฟังในสิ่งที่จ้าวพูดตั้งแต่แรก

“อืมมมมม อื้อออออ”

ปลายเข็มปักแทงเข้าเนื้อบริเวณริมฝีปากสร้างความเจ็บปวดให้กับเนตรเป็นอย่างมาก น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วกลับไหลมาขึ้นไปอีก เธออยากจะกรีดร้องแต่ปากของเธอที่ปิดสนิทไม่สามารถทำให้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้นอกเสียจากเสียงร้องอื้ออึงที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวดมากมายเหลือแสน

“อย่าขยับนะครับ พี่เนตร เดี๋ยวรอยเย็บมันจะไม่สวย”

แรงจากมือเล็กที่กำลังบีบคางอยู่นั่นมากขึ้นจนเนตรรู้สึกปวดร้าวไปหมดแต่มันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดจากปลายเข็มที่แทงทะลุเนื้อขึ้นมา ความรู้สึกขณะที่เส้นด้ายเคลื่อนตัวผ่านไปมันช่างทรมานเหลือแสน เธอร้องไห้แต่ไม่สามารถพูดอ้อนวอนขอร้องจ้าวได้อีก

“เดี๋ยวพี่เนตรจะหาว่าจ้าวใจร้ายเกินไป จะช่วยเย็บแบบไม่ถี่ก็แล้วกันนะครับ”

เนตรไม่สามารถสรรหาคำพูดใดออกมาพูดได้อีกแล้ว หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความกลัว

“พี่เนตรรู้ไหมครับว่าสีหน้าของพี่ตอนนี้มันงดงาม ถูกใจจ้าวมากเลยนะ เดี๋ยวจ้าวจะจัดหาของขวัญพิเศษมามอบให้นะครับ หวังว่าพี่คงจะชอบมันนะ”

เนตรพยายามเบือนหน้าหนีเมื่อปลายเข็มแทงเข้าที่เนื้อบริเวณริมฝีปากอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้ามาอย่างรวดเร็วเป็นระลอก หยาดหยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่จบไม่สิ้น จากความเจ็บปวดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความชา กลิ่นคาวเลือดเมื่อไหลลงคอมันอวลไปทั้งปาก รสชาดปะแล่มๆ จนอยากอาเจียนออกมา

“อีกเข็มเดียวก็เสร็จแล้วครับ พี่เนตรทนอีกนิดนะ”

เข็มสุดท้ายที่จ้าวพูดถึง เขาจงใจปักมันเข้าไปแรงๆ จนเนตรกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา ยิ่งเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานและหวาดกลัวยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขแต่ก็ยังแสร้งปั้นหน้าเป็นว่าตกใจที่ตัวเองทำแรงเกินไป

“อ้าว~ ขอโทษนะครับ จ้าวทำพี่เนตรเจ็บใช่ไหม”

“อื้อออออ”

“อ๊ะ! พี่ตฤณใกล้จะตื่นแล้ว สายของจ้าวบอกมา พี่เนตรคงต้องอยู่คนเดียวไปก่อนนะครับ ทำตัวเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่ายด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้น...”

จ้าวพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้แล้วปล่อยให้เนตรอยู่กับความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองต่อไป เขาคาดว่าถ้าหากว่าเธอไม่กลายเป็นบ้าหรือเสียสติไปก่อนก็คงเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากทีเดียว


-------------------------------------------------

“พี่ตฤณตื่นแล้วเหรอครับ เสียดายจังเลย จ้าวคิดว่าน่าจะได้เข้ามาทำเซอร์ไพร์สพี่พอดี”

จ้าวที่เปิดประตูห้องเข้ามา เห็นตฤณทำท่าทางสะลืมสะลือนิ่งพิงหัวเตียง เขาก็ยกยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรที่สุดพร้อมกับวางถาดอาหารและน้ำดื่มที่ไปยกขึ้นมาไว้บนโต๊ะกลมตัวหนึ่งในห้องก่อนที่จะเดินมานั่งริมเตียง

“จ้าวตื่นนานแล้วเหรอ”

“ครับ จ้าวตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ตฤณเถอะครับ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม อากาศในห้องเย็นไปหรือเปล่าครับ ถ้ามันเย็นเกินไปจนพี่ตฤณนอนไม่สบาย เราจะได้ย้ายห้องนอนกัน อีกห้องที่จ้าวเพิ่งให้เขาไปทำความสะอาดมามีเตาผิงด้วยนะครับ แล้วห้องมันก็กว้างกว่านี้อีกหน่อยด้วย พี่ตฤณจะได้ไม่อึดอัดยังไงล่ะครับ”

“ไม่เป็นไร พี่อยู่ได้”

ตฤณคิดว่าไม่ว่าจะเป็นห้องไหนในคฤหาสน์หลังนี้มันก็คงมีบรรยากาศไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าไรนัก

“แต่จ้าวเตรียมห้องใหม่ให้พี่ตฤณแล้วนะครับ”

จ้าวกระเถิบเข้าไปใกล้กับตฤณพร้อมส่งสายตาเป็นประกายระยับเชิญชวนให้ตฤณเปลี่ยนใจย้ายห้องนอน และมันก็ได้ผลเมื่อตฤณดูจะใจอ่อนลงเล็กน้อย เขาพยักหน้าช้าๆ ยอมที่จะย้ายห้องนอนตามที่จ้าวขอเอาไว้

“งั้นพี่ตฤณกินข้าวเช้าสักหน่อยนะครับ จ้าวทำข้าวผัดเอาไว้ให้แล้ว”

“พี่ว่าจะไปหาเพื่อนก่อนน่ะ”

“จ้าวว่าพี่ตฤณกินข้าวก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวจ้าวไปดูให้แล้วจะบอกให้ว่าพี่ตฤณถามหา”

จ้าวรีบรั้งร่างสูงเอาไว้ก่อนที่จะได้เดินไปถึงหน้าประตูห้อง สายตาเชิงออดอ้อนของเขามันยังได้ผลกับตฤณอยู่ ฝ่ายนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยอมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่คู่กับโต๊ะกลมตัวเล็ก งานหนักจึงกลายเป็นว่าต้องมาตกที่จ้าว มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมแต่ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไรนัก

“พี่ตฤณทานข้าวให้อร่อยนะครับ เดี๋ยวจ้าวกลับมา”

จ้าวเดินออกจากห้องไปหาลีที่อยู่ในอีกห้องหนึ่งซึ่งเมื่อคืนเขาพาไปไว้อย่างดี ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นและจะไม่มีใครหาเจอ ห้องที่เหมือนกับคฤหาสน์นี้ทุกประการ เพียงแค่มันอยู่ต่างมิติกันเท่านั้น เป็นเหมือนดั่งโลกที่จ้าวสร้างขึ้นมาเพื่อให้มันใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่เขาเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น

“พี่ลีครับ~ พี่ลี~ เปิดประตูให้จ้าวหน่อยสิครับ พี่ตฤณถามหาน่ะ”

ไม่ต้องรอให้ลีเดินมาเปิดประตู มันก็เปิดออกของมันเอง ที่ตรงข้ามกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีร่างของผู้ชายนั่งขดตัว กอดเข่าตัวเองแน่นอย่างหวาดกลัว ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด โชกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลจากการวิ่งขึ้นลงบันไดอย่างไม่หยุด เขาไม่ยอมหันมามองด้วยซ้ำว่าใครเปิดประตูเข้ามา

“พี่ลีเป็นอะไรครับ ไม่สบายเหรอ”

“.......”

ลียังคงทำเป็นไม่รับรู้ต่อคำพูดของจ้าว แต่ถึงจะถูกเมินเฉย ใบหน้ากลมมนก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นที่พร้อมจะฆ่าคนตายได้ทุกเมื่อ

“ลุกออกมาได้แล้วครับ อย่าให้จ้าวต้องเปลืองแรงลากไปเลยนะครับ”

ลีนั่งซุกตัวอยู่ภายใต้อ้อมแขนของตัวเอง เขาไม่ยอมขยับ อีกทั้งยังทำเป็นไม่สนใจต่อคำพูดใดของจ้าวอีกด้วย เอาแต่ทอดมองออกไปตรงหน้าด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะเลื่อนลอย ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเขาเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว

“พี่ลีครับ เอาเป็นว่าเรามาทำสัญญากันสักหน่อยดีไหมครับ งานนี้คนที่ได้เปรียบเห็นๆ ดูน่าจะเป็นพี่มากกว่าจ้าวด้วยนะครับ สนใจไหม” 

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องยื่นข้อเสนองามๆ ที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้ลง จ้าวเดินเข้าไปใกล้และนั่งลงยองๆ ทำเหมือนเป็นเด็กเล่นขายของเล่นที่มีการยื่นข้อต่อรองเล็กน้อย

“พี่ลีฟังดูก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยตัดสินใจ ข้อเสนอของจ้าวก็ง่ายๆ ครับ ถ้าพี่ลียอมไปหาพี่ตฤณกับจ้าวแล้วทำเป็นว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ลียังสบายดี และไม่ทำให้พี่ตฤณระแคะระคายอะไร จ้าวจะปล่อยพี่ลีทันทีโดยถือว่าคำพูดที่จ้าวพูดก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ จ้าวจะไม่รั้งพี่ลีไว้ที่นี่และให้พี่ลีได้พบกับสิ่งที่เรียกว่าอิสระ”

ลีหันมามองหน้าแต่ยังไม่ยอมตอบในทันที

“รีบตอบก่อนจ้าวจะเปลี่ยนใจนะครับ”

“เนตรกับยุ้ยล่ะ”

จ้าวหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไรอย่างนี้นะ เป็นห่วงพี่เนตรกับพี่ยุ้ยเสียด้วย เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหมครับ”

“โดนเหมือนกันสินะ” ลีพำพึมกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ว่ายังไงครับ ขอคำตอบด้วย”

“พวกเขาแย่มากไหม”

จ้าวลุกขึ้น หมุนตัวหนึ่งครั้งก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่มๆ แสร้งทำเป็นครุ่นคิดถึงสภาพของเนตรและยุ้ย ก่อนจะตีหน้าเศร้าเล่าความจริงอันแสนโหดร้ายออกมา “จ้าวไม่รู้ว่าพี่ยุ้ยเป็นยังไงบ้าง แต่สำหรับพี่เนตร... เมื่อคืนนี้พี่เขาได้รับการต้อนรับที่ดีจากจ้าวไปเยอะเลยล่ะครับ สิ่งที่พี่ลีเจอยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พี่เนตรเจอเลยด้วยซ้ำ น่ายินดีไหมครับ”

“อยากไปเจอเนตร”

“ฮั่นแน่! ได้คืบจะเอาศอกเหรอครับ จ้าวไม่ให้ฟรีๆ หรอกนะ อยากได้ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันหน่อย”

ลีอยากไปเห็นกับตาตัวเองว่าเนตรแย่กว่าเขามากแค่ไหน แต่ไม่ได้ไปเพื่อต้องการเยาะเย้ยถากถางในสภาพที่พบเห็น เขาเพียงแค่อยากให้เนตรรู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่เจอเรื่องราวอันแสนเลวร้าย แต่เป็นเราทุกคนยกเว้นตฤณที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน

“หรือพี่ลีอยากให้จ้าวใจดีด้วยครับ แต่ว่าพี่ลีก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่จ้าวพูดนะครับ”

การเป็นเด็กดีและเชื่อฟังในสิ่งที่จ้าวพูดไม่ใช่เครื่องยืนยันได้ว่าเขาจะไม่พบเจอกับเรื่องเลวร้ายอย่างเช่นเมื่อคืนอีก มันก็แค่สิ่งที่จะทำให้เด็กคนนั้นสนุกโดยที่เราขัดขืนไม่ได้อีก

“ว่ายังไงครับ ถ้าพี่ลีไม่ตอบ เดี๋ยวจ้าวจะตัดสินใจให้เองแล้วนะ”

“ตกลง”

คำพูดอันแสนเบาหวิวที่คล้ายกับจะจางหายไปในสายลม เรียกรอยยิ้มจากมุมปากของจ้าวได้อย่างดีทีเดียว

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะครับ พี่ตฤณกำลังรออยู่”




** ติดตามตอนต่อไป **


areenart1984
ขอบคุณนะคะ ยุ้ยเป็นคนไม่สำคัญก็เลยถูกลืมเป็นธรรมดาค่ะ ฮ่าๆๆๆ

kun
ขอบคุณนะคะ ประวัติของคฤหาสน์ไม่น่ากลัวเลยน๊าาาาาา ฮ่าๆๆๆ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ลีนี่โดนแบบหลอนๆ ด้วย


ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
สยองขวัญกันไปเลย
คำเดียว หลอน
สองคำ ตามติด
รอออออออ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เนตร โดนเต็ม ๆ เลย หลอนดี ส่วนลีกับยุ้ยลุ้นว่าใครจะโดนเบากว่ากัน  :sad3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เนตรโดนอะไรน่ากลัวมาก .... ตฤณไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลยรึไงกัน ...  :ruready

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 11 :::
ที่ (รัก) ร้าย





จ้าวพาลีมาหาตฤณอย่างที่ได้รับปากเอาไว้แต่สภาพลีที่ตฤณเห็นแทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าคน ทั้งโทรม ทั้งขอบตาดำคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนมามากกว่าหนึ่งคืน อีกทั้งก็ดูคล้ายกับจะหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนลีคนเก่าที่เคยเป็นเลยสักนิด

“เออ... แล้วเนตรล่ะ มึงเจอเนตรบ้างไหม”

“เนตร...” ลีชำเลืองมองจ้าวอยู่แวบหนึ่งแต่ก็เงียบเสียงลงเมื่อเห็นสายตาที่ดูราวกับว่าถ้าหากเขาพูดอะไรที่ไม่เข้าหูล่ะก็น่าจะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต

“จ้าวเจอพี่เนตรเมื่อกี้ครับ เขาบอกว่าจะรีบกลับบ้าน มีธุระด่วนน่ะครับ จ้าวเลยไม่ได้ถามอะไร”

คำโกหกคำโตของจ้าวดูแนบเนียนมากจนลียังทึ่ง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดูไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งที่เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว เนตรยังคงอยู่ที่นี่ ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในคฤหาสน์หลังนี้ภายใต้อำนาจของจ้าว

“งั้นจ้าวไม่กวนแล้วดีกว่าครับ พี่ตฤณจะได้คุยกับพี่ลีได้อย่างสบายใจ”

จ้าวทำเป็นเดินออกจากห้องไปแต่ยังไม่วายส่งสายตาเชิงข่มขู่ไปให้กับลีว่าถ้าพยายามทำอะไรให้ตฤณรู้ เขาไม่พลาดที่จะส่งเทียบเชิญให้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเล่นกันถาวรแน่ และเมื่อจ้าวเดินออกไปแล้วลีจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทีเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

“เป็นไรวะมึง ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์”

“ถ้ามันเป็นแค่ทุกข์ก็ดีสิวะ”

คำตอบของลีก็แค่คำเปรยที่คล้ายกับจะพูดกับตัวเอ ถ้ามันเป็นแค่ทุกข์ เราก็แค่หาทางดับทุกข์ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เราควรจะทำยังไงให้มันหายไปจากชีวิตของเรา

“แล้วตกลงมึงเป็นอะไร”

“เป็นคนที่ใกล้บ้าเต็มทีละ”

ลีตอบเนิบๆ แต่ก็พยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ให้ตฤณสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตัวเขา มาลองคิดดูแล้วมันไม่ใช่แค่เขาใกล้บ้าแต่จวนเจียนจะบ้าเต็มทีแล้วถ้าหากเขายังได้อยู่ที่นี่ต่อ อยู่กับวิญญาณร้ายที่คอยแต่เล่นสนุกกับร่างกายเขาโดยไม่สนถึงจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมพูดแบบนั้นวะ”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เครียดกับรายงานนิดหน่อย”

แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ตฤณที่ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะแค่เห็นสภาพของเพื่อนก็ดูน่าเป็นห่วงมากแล้วกับลีที่มีเรื่องจะพูดอยู่เต็มไปหมดแต่กลับพูดออกมาไม่ได้แม้เพียงประโยคเดียวเพราะถ้าหากพลาดแล้วล่ะก็นั่นหมายถึงชีวิตของเขาที่ต้องแลกมันมา

“ตฤณ กูถามจริงๆ นะ มึงมีความสุขไหมเวลาอยู่ที่นี่”

ตอนแรกที่ตฤณย่างก้าวเข้ามาที่คฤหาสน์หลังนี้ยังดูหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำเพราะทั้งบรรยากาศที่แสนหลอน ทั้งความมืดมิดกับแสงไฟสลัว ทั้งความรู้สึกที่เหมือนมีคนเดินตามอยู่ตลอดเวลาแต่พอได้อยู่กับจ้าวแล้วเขากลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยที่สุด การได้อยู่กับจ้าวที่นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดแม้ไม่รู้ว่าทำไม

“ก็มี มึงถามทำไม”

“เปล่า กูเห็นเด็กคนนั้นดูแลเอาใจใส่มึงดี กูเลยอยากรู้ว่าที่เขาทำให้มึงขนาดนี้ มึงมีความสุขไหมก็เท่านั้น”

“จ้าวเป็นเด็กที่ดูเอาใจใส่ดีนะ แล้วเขาก็น่ารักมากด้วยเวลายิ้มน่ะ”

“เหรอ”

ลีไม่อยากจะเชื่อว่ารอยยิ้มของจ้าวมันจะน่ารัก จากประสบการณ์ที่เจอมาตลอดทั้งคืนนั้นการันตีได้เลยว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา รอยยิ้มที่แสนงดงามและน่ารักนั้นไม่อยู่จริงในตัวของเด็กคนนั้นอย่างเด็ดขาด

“นี่มึงไม่เชื่อเหรอ”

ลีไม่ยอมตอบว่าเขาเชื่อหรือไม่ “มึงชอบเขาเหรอ”

“ไม่แน่ใจว่ะ เขาเป็นเด็กดีจะตายแถมยังน่ารัก น่าเอ็นดูอีกด้วย ใครอยู่ใกล้ก็ต้องรักต้องชอบกันทั้งนั้นแหละ หรือว่า... มึงจะบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับกู”

ท่าทางของลีดูละล่ำละลักเหมือนมีเรื่องที่จะพูดแต่ก็พูดไม่ออก แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะพูดความจริงออกไปเพราะนั่นย่อมหมายถึงชีวิตของเขาเอง

“ก็ไม่คู่ควร มึงอายุเท่าไร น้องเขาอายุเท่าไร คิดจะพรากผู้เยาว์เหรอ”

ที่ลีพูดมาก็เป็นเรื่องจริงอยู่ อย่างจ้าวก็ไม่น่าจะอายุถึงขั้นบรรลุนิติภาวะสักเท่าไร อีกอย่างตัวเขาก็เป็นเด็กมหาวิทยาลัย ถึงเอาเข้าจริงแล้วจะมีอายุห่างกันไม่มากนักแต่ด้วยความที่ยังไงจ้าวก็ยังเป็นแค่เด็ก ถ้าใครมองมาก็คงต้องคิดว่าเป็นพวกพรากผู้เยาว์แน่

“แล้วกูควรทำยังไง”

“มึงตัดใจจากเขาแล้วย้ายกลับไปอยู่หอเดิมเหมือนที่เนตรเคยพูดได้หรือเปล่าวะ คือ... กูไม่ได้จะบังคับนะ แต่เท่าที่ดูแล้วเวลาที่มึงอยู่ที่นั่นมันสะดวกกว่า พวกเราอยู่ปีสามแถมทั้งรายงานทั้งเรียนก็หนักๆ ทั้งนั้น มึงเทียวไปเทียวกลับแบบนี้ กูกลัวว่ามึงจะเหนื่อยเกินไปนะ”

“กูไปไม่ได้ กูรับปากกับเขาแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ตอบแทนที่เขาช่วยกูไว้เมื่อหลายวันก่อน”

ลีไม่ถามอะไรต่อและเขาก็เข้าใจแล้ว การที่ตฤณอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เขาเคยเจอมาก่อนเหมือนอย่างที่จ้าวพูดเอาไว้ว่าเมื่อร้องขอก็ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน และการที่เด็กคนนั้นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ย่อมต้องได้รับสิ่งตอบแทนกลับไป สิ่งตอบแทนที่ว่านั่นคือการอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ ว่ากันตามตรงแล้วลีรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่แปลก

“มึงขอให้เขาช่วยเรื่องอะไรวะ”

“วันก่อนนู้นกูมาทำธุระแถวนี้แล้วบังเอิญเจอพวกเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน กูก็เลยต้องวิ่งหาที่หลบเพราะไม่อยากโดนลูกหลงแล้วทีนี้ ประตูคฤหาสน์หลังนี้มันก็เปิด กูเลยเข้าไปซ่อนตัว กูเถียงกับลุงมิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจ้าวก็เดินเข้ามาเจอเลยยื่นข้อเสนอให้กูว่าถ้ากูอยากได้ที่หลบ กูต้องย้ายมาอยู่ที่นี่กับเขา กูเลยตกลงเพราะตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไรแถมกูยังกลัวจะโดนลูกหลงตายไปก่อนด้วย เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

“แล้วมึงไม่คิดอยากออกไปจากที่นี่บ้างเหรอวะ”

ตฤณเคยคิดอยากจะออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ก้าวเท้าแรกเหยียบย่างเข้ามาแล้วแต่จิตใต้สำนึกของเขากลับบอกว่าให้ตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ก่อน อีกทั้งตอนนี้เด็กคนนั้นยังต้องอยู่ที่นี่คนเดียวเพราะพี่ชายยังไม่กลับจากต่างจังหวัด นั่นล่ะที่ทำให้เขารู้สึกว่าควรจะต้องอยู่ไปอีกสักพัก

“กูต้องตอบแทนเขาก่อน”

“มึงนี่เป็นคนดีที่น่าชื่นชมจริงๆ”

“ชมแบบนี้ กูก็เขินเป็นนะ”

ลียิ้มเล็กน้อย ได้อยู่กับตฤณแบบนี้ เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ไม่อึดอัด ไม่หวาดระแวง ไม่รู้สึกกลัวเหมือนตอนที่มีจ้าวอยู่ด้วย

“ตฤณ ขอกูถามอีกไม่กี่คำถามนะแล้วกูจะไม่ถามเรื่องนี้อีกเลย ความรู้สึกจริงๆ ของมึงตอนนี้ มึงรัก ชอบหรือหลงเขา”

“ก็ไม่รู้ว่ะ บางทีมันก็คงเริ่มมาจากหลง แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นรัก”

“แน่ใจนะ มึงพูดว่ามึงรักเขาทั้งที่มึงใช้เวลากับเขาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แล้วถ้าเขาไม่ใช่คนดี ไม่ได้น่ารักเหมือนอย่างที่มึงรู้สึกมาตลอด ถ้าเขาเป็นเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าว มึงจะยังรักเขาอยู่อีกไหมวะ”

ตฤณนิ่งไปชั่วครู่ เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ว่าถ้าจ้าวเป็นเด็กที่ร้ายกาจขนาดนั้นแล้วเขาจะยังรักอยู่อีกไหม ในหัวสมองของเขามีเพียงแค่คำว่าจ้าวเป็นเด็กดีที่น่ารักมาก คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง คอยถามไถ่นู้นนั่นนี่โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย

“กูไม่รู้ว่ะ กูรู้แค่ตอนนี้ความรู้สึกที่กูมีให้เขามันเกินกว่าคำว่าชอบไปแล้ว”

“กูหมดคำถามแล้ว”

“แล้วมึงเป็นอะไรวะ จู่ๆ ก็ถามอะไรแบบนี้”

“กูแค่อยากรู้เฉยๆ”

“พี่ตฤณ พี่ลีครับ! จ้าวขอเข้าไปข้างในนะครับ”

เสียงของจ้าวที่ดังอยู่หน้าห้องพาให้ลีสะดุ้งโหยง เขารีบเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะตื่นตระหนก แต่พอเห็นจ้าวเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างในโดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อยนั่นพอจะทำให้โล่งใจได้บ้าง เพราะมันคงจะหมายความว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของเด็กคนนั้นเลยและสิ่งที่เขาพูดกับตฤณไปไม่ได้เป็นภัยกับตัวเอง

ร่างของเด็กวัยสิบกว่าปีเดินไปหยุดลงข้างตฤณพลางส่งยิ้มกว้างที่พาเอาลีเสียวสันหลังวูบ

“วันนี้พี่ลีบอกกับจ้าวไม่ใช่เหรอครับว่ามีธุระ ต้องกลับก่อน”

“เอ่อ... อืม งั้นพี่กลับก่อนนะ จ้าว”

ลีทำท่าจะลุกขึ้นแต่ถูกตฤณเรียกเอาไว้ก่อน “อ้าว~ ไหนมึงว่าจะอยู่ทำรายงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับไง”

“เอ่อ... รายงาน เดี๋ยวกูทำที่เหลือต่อเอง กูไปนะ มีธุระด่วนจริงๆ”

“งั้นจ้าวเดินไปส่งนะครับ”

ความเอื้ออาธรณ์ของจ้าว ลีไม่อยากรับมันไว้เลยจริงๆ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษ ทำเป็นหวังดีแต่แท้จริงแล้วประสงค์ร้าย และความหวังดีที่แฝงนัยยะนั่นเขาเองก็ไม่มีทางปฏิเสธเสียด้วย ไม่อยากรับแต่จำต้องรับแต่ก่อนจะรับ เขาขอเสี่ยงดวงดูสักครั้ง

“ถ้า... พี่บอกว่าเกรงใจ”

“พี่ลีจะเกรงใจจ้าวทำไมล่ะครับ เพื่อนพี่ตฤณทั้งคน จ้าวต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว อย่าปฏิเสธจ้าวเลยนะครับ”

ยิ่งได้ยินคำพูดสุดท้ายของจ้าวแล้วลีรู้สึกเหมือนมันเป็นการบังคับที่ถ้าไม่ทำตามแล้วโอกาสที่จะได้กลับออกไปพบกับสิ่งที่เรียกว่าอิสระข้างนอกคฤหาสน์นั่นคงลิบหรี่ลงไปมากทีเดียว เขาจึงทำแค่พยักหน้ารับอย่างจำยอมและเป็นฝ่ายให้จ้าวเดินนำหน้าออกไปก่อน พออยู่ในระยะที่คิดว่าห่างออกมาจากห้องนั้นพอสมควรแล้วจ้าวจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ทว่าแววตาสีเพลิงนั้นกลับแฝงไปด้วยความดุดัน “จ้าวจะบอกอะไรให้พี่ลีฟังสักอย่างนะครับ ทุกคำพูดที่พี่ลีพูดกับพี่ตฤณนั้นจ้าวได้ยินหมด แต่ก็ยังดีที่พี่เอาตัวรอดมาได้เพราะถ้าทำให้พี่ตฤณระแคะระคายในตัวตนของจ้าวแล้วล่ะก็ต่อให้พี่ลีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้แล้วจ้าวก็พากลับมาได้เหมือนกัน”

ลีถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้าของเขาเผือดสีลงเล็กน้อย แน่นอนว่าคำพูดนั้นไม่ใช่แค่คำขู่แต่มันเป็นคำจริงที่เชื่อถือได้ ถึงจ้าวจะร้ายกาจแค่ไหนแต่เขาไม่เคยผิดคำพูด ฆ่าคือฆ่า ปล่อยคือปล่อย

“จ้าวไม่ได้คิดจะขู่ให้พี่ลีกลัวหรอกนะครับ ถ้าพี่ลีทำตัวดีก็มั่นใจได้เลยว่าพี่ลีจะได้ใช้อิสระที่จ้าวมอบให้อย่างมีความสุข แต่ถ้าพี่ลีพยายามจะบอกพี่ตฤณอีก จ้าวคงต้องขออิสระคืนนะครับ”

น้ำเสียงอันแสนเรียบเฉยของจ้าวที่ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่กลับแฝงไปด้วยความมุ่งร้ายอยู่ในทุกคำพูด

“จ้าวส่งพี่ลีแค่ที่หน้าประตูนะครับ จ้าวไม่ค่อยชอบแดดน่ะ มันร้อน”

ลีไมได้หวังว่าจ้าวจะแสดงความใจดีด้วยการเดินไปส่งถึงหน้าประตูรั้วและเขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับความใจดีนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อลีก้าวเท้าลงจากบันไดหน้าคฤหาสน์ทีละขั้น เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับเลยตลอดการอยู่ใต้ชายคาคฤหาสน์หลังนั้น มันเป็นความอบอุ่นที่เขารอคอยมานานแสนนาน แสงแดดที่มันส่องลงมาจากผืนฟ้าเบื้องบนแม้จะแรงแค่ไหนก็ตาม เขากลับชอบมันสุดหัวใจราวกับตัวเองได้เกิดใหม่

“หวังว่าถ้ามีโอกาส เราคงได้เจอกันอีกนะครับ พี่ลี”

หลังจากที่จ้าวได้ส่งลีออกไปแล้ว ดูเหมือนเขาจะลืมตัวละครสำคัญในเรื่องนี้อีกตัวไปเสียสนิท นั่นก็คือยุ้ย

“พี่เจตครับ”

ทันทีที่ถูกเรียกขานชื่อ วิญญาณของเจตรินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“จ้าวลืมพี่ยุ้ยไปเลยครับ เธอเป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่ในโลกของเราใช่ไหมครับ”

‘ยังอยู่ดีแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีสุขไหม จ้าวอยากไปดูหน่อยไหมล่ะ’

“ไม่ล่ะครับ เรื่องนี้จ้าวปล่อยให้พี่เจตเป็นคนจัดการดีกว่า จ้าวมีเรื่องต้องไปทำต่ออีกนิดหน่อย”

‘ทำไมถึงยอมปล่อยให้คนนั้นออกไป ไม่สมกับเป็นจ้าวเลยนะ’ 

“มีปัญหาอะไรเหรอครับ จ้าวแค่อยากสวมบทบาทเป็นคนดีบ้าง หรือพี่เจตอยากให้จ้าวร้ายกับเขามากกว่านี้”

ถ้าให้จ้าวร้ายกว่านี้ก็ย่อมได้เพราะมันเป็นเรื่องถนัดสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่การปล่อยลีไปก็แค่หวังผลอะไรบางอย่างและผลที่ว่านั่นก็คือลดความสงสัยของตฤณเกี่ยวกับการติดต่อเพื่อนที่เหลือไม่ได้เลย

‘​จะร้ายกว่านี้หรือไม่ พี่ไม่มีสิทธิ์สั่งจ้าวได้อยู่แล้ว’

“อารมณ์เสียอะไรมาอีกล่ะครับ”

‘เปล่า แล้วพี่จะไปให้ตฤณเห็นหน้าได้ตอนไหน’

“อีกไม่นานครับ แล้วจ้าวจะบอกพี่อีกที พี่เจตมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ จ้าวขอไปดูพี่ตฤณสักหน่อย”

วิญญาณของเจตรินหายไปแล้ว จ้าวจึงเดินเข้าห้องของตฤณไปโดยไม่ได้เคาะประตูเหมือนอย่างที่ทำทุกครั้ง ตฤณไม่อยู่ในนั้นแต่เขาได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลออกมาจากฝักบัว เขาจึงเดินออกจากห้องไปยังสถานที่ที่เนตรอยู่ เรื่องราวจากค่ำคืนนั้นไม่มีทางจบลงง่ายๆ ที่เธอพยายามเฝ้าร้องขอมาโดยตลอด จ้าวยังไม่ทันจะได้มอบของขวัญอันแสนล้ำค่าให้เลยด้วยซ้ำ

 

--------------------------------------


เนตรที่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในห้องอย่างเดียวดายพยายามพาตัวเองออกมาจากเก้าอี้ตัวนั้นอย่างไม่ย่อท้อแม้จะรู้ว่ามันอาจเป็นการกระทำที่สูญเปล่า ริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีสดถูกเย็บให้ติดกันแน่นด้วยเข็มกับด้าย การฝีมือเย็บปักถักร้อยของจ้าวไม่เป็นรองใครเลยทีเดียวเพราะมันไม่ใช่แค่แต่ละจุดที่ถูกเข็มปักลงไปจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงในระนาบเดียวกันแล้ว ระยะห่างระหว่างด้ายในแต่ละเส้นที่ถูกร้อยลงไปยังเท่ากันอย่างไร้ที่ติ

“อื้ออออ อื้ออออ”

เนตรพยายามส่งเสียงร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่ผู้ที่เข้ามาในห้องนั้นกลับไม่ใช่คนที่เธอต้องการเห็นหน้า

“นี่จ้าวไม่ได้บอกพี่เนตรเหรอครับว่าเสียงร้องของพี่เนตรน่ะมีแค่จ้าวเท่านั้นที่ได้ยิน”

เสียงเย็นเฉียบของจ้าวทำเอาเนตรช็อคไปทันที ที่เธอตะโกนเรียกคนนู้นคนนี้มาตลอด ที่เธอพยายามทุกวิธีทางเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และถูกขังอยู่ในห้องนี้มันเป็นการกระทำที่สูญเปล่าจริงๆ แล้วจู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นทางอีกระลอกด้วยความเจ็บปวด

“แล้วจ้าวยังไม่ได้บอกพี่เนตรด้วยใช่ไหมครับว่าวันนี้จ้าวมีเรื่องมาเซอร์ไพร์สด้วย”

“......”

“จ้าวไม่ได้บอกพี่อีกใช่ไหมครับว่าพี่ตฤณถามถึง แต่ว่าจ้าวบอกพี่เขาไปแล้วล่ะว่าพี่เนตรกลับไปแล้วเพราะมีธุระด่วน”

“อื้ออออ”

“พี่เนตรพูดอะไรเหรอครับ จ้าวฟังไม่รู้เรื่องเลย”

ท่าทางของจ้าวในเวลานี้ทำให้เนตรอยากกรีดร้อง อยากโวยวายหรือแม้กระทั่งด่าทอออกมาแต่ทำไม่ได้เมื่อริมฝีปากของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยด้ายสีแดงที่มีคราบเลือดติดอยู่จากฝีมือของจ้าว เธอทำได้แค่โยกตัวเองไปมาเพื่อระบายความโกรธแค้นจนเก้าอี้ที่นั่งอยู่สั่นคลอนเล็กน้อย

“อื้อ อื้อ อื้ออออ”

“น่าสงสารจังเลย ให้จ้าวช่วยเลาะที่เย็บออกให้ไหมครับ”

เนตรพยักหน้าถี่รัว ถึงจะต้องเจ็บตัวอีกสักรอบก็จะอดทน ดีกว่าอยากพูดอะไร อยากขอร้องใครแล้วทำไม่ได้เลยเพราะเสียงที่ดังอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์

“ขอสิครับ”

รอยยิ้มแสนเยือกเย็นของจ้าวพร้อมกับคำพูดนั้นพาให้เนตรเงียบเสียงลง เธอไม่อยากขออีกแล้วเพราะกลัวข้อเสนอที่ว่าให้อยู่ที่นี่ต่อไปอีก มันทั้งแสนโหดร้ายและน่ากลัวเกินกว่าที่หัวใจดวงน้อยจะทานทนไหวและที่ประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ก็มากเต็มที ถ้าหากว่าต้องเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้ เกรงว่าตัวเธออาจกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน

“ก็ได้ครับ งั้นจ้าวจะเป็นคนดี ยอมเลาะด้ายออกให้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะครับ ขอเป็นหลังจากจ้าวพาของขวัญชิ้นใหญ่มาเซอร์ไพร์สพี่เนตรก็แล้วกันนะ”

จ้าวหันหลังกลับออกจากห้องทันทีโดยที่เสียงร้องเรียกฟังไม่ได้ศัพท์ของเนตรยังคงตามหลังมาติดๆ เขาทำทีเป็นหันมาสนใจอยู่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วก็หันกลับไป พอดีกับที่ตฤณเปิดประตูห้องข้างๆ ออกมา

“พี่ตฤณ”

“พี่เหมือนได้ยินเสียงจ้าวในห้อง แต่พอออกมาแล้วไม่เจอก็เลยว่าจะเดินหา มาหาพี่ที่ห้องมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“จ้าวแค่อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ตฤณ ไม่รู้ทำไมเวลาที่อยู่ใกล้พี่ตฤณแล้วจ้าวรู้สึกหวั่นไหว หรือมันเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน เรามาสานต่อกันดีไหมครับ”

คำถามเชิญชวนของจ้าวสะกิดความทรงจำเมื่อคืนวานของตฤณเข้า แล้วจู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งที่เขาควรจะได้เกียรติเด็กคนนั้นมากกว่านี้ แต่ร่างกายเล็กนั่นกลับส่งกลิ่นหอมหวานชวนให้เขาได้เข้าใกล้และลิ้มรสสัมผัส

“คือ... จ้าว...”

“มีอะไรเหรอครับ พี่ตฤณ”

“ทำแบบนั้นมันไม่ดีนะ”

“ไม่ดีตรงไหนครับ หรือพี่ตฤณไม่อยาก”

แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ยังคงเป็นแววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์แต่ทว่าท่าทางของจ้าวนั้นเริ่มต่างออกไปเหมือนปีศาจตัวน้อยที่คอยจะตะครุบเหยื่อ เขาเดินเข้าไปใกล้มาขึ้นอย่างเชื่องช้าและท่าทีที่มีต่อตฤณก็เปลี่ยนไป เขาแสร้งทำเป็นยิ้มหัวเราะให้กับเรื่องที่พูดเมื่อครู่ “จ้าวล้อเล่นหรอกครับ เอาเป็นว่าเราไปดูห้องใหม่ของพี่ตฤณกันดีกว่า จ้าวให้เขาเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“พี่ขอโทรหายุ้ยก่อนได้ไหม”

“เดี๋ยวค่อยโทรก็ได้ครับ แค่ไปดูห้องใหม่แปปเดียวเอง ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอกครับ”

มือเล็กสอดเข้าควงแขนแกร่งข้างหนึ่งเอาไว้พร้อมกับออกแรงกระตุกเล็กน้อย ตฤณยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้แพ้เด็กคนนี้ตลอดเวลา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขออะไรแม้ว่าจะปฏิเสธไปแต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง

“ก็ได้”

“พี่ตฤณดีแบบนี้ จ้าวรักตายเลยล่ะครับ”

เด็กน้อยอย่างจ้าวส่งยิ้มหวานที่แฝงเอาความเยือกเย็นไว้ภายใน

“แล้วจ้าวเจอยุ้ยบ้างไหม”

จ้าวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเสแสร้งปั้นยิ้มหวานอีกครั้ง “ไม่เห็นเลยครับ ตั้งแต่เช้าแล้ว จ้าวไม่รู้ว่าพี่ยุ้ยไปไหน อาจจะไปกับพี่เนตรก็ได้ครับ เดี๋ยวอีกสักพักพี่ตฤณลองโทรไปถามดูสิครับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

“เอ่อ... พี่ตฤณเข้าไปคนเดียวก่อนได้ไหมครับ จ้าวลืมตุ๊กตาไว้ที่ห้องเก่าของพี่”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ จ้าวเดินไปตรงนี้แปปเดียวเอง พี่ตฤณจะได้มีเวลาเดินสำรวจห้องแบบไม่เกร็งเหมือนเวลาที่จ้าวอยู่ด้วย แล้วอีกอย่างจ้าวอยากรู้ด้วยครับว่ามีอะไรในห้องที่พี่ตฤณอยากให้เปลี่ยนใหม่ไหม”

จ้าวชักแม่น้ำทั้งห้าพยายามปิดทางไม่ให้ตฤณตามเขาไปด้วย ไม่อย่างนั้นแผนการที่เพิ่งวางไว้เมื่อครู่มันคงได้ล้มเหลวก่อนที่จะเริ่มต้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ และเพื่อเป็นการย้ำชัดอีกครั้งว่าเจ้าตัวต้องการเดินไปเพียงลำพัง รอยยิ้มหวานอย่างเอาอกเอาใจจึงประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนได้รูป ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ตฤณไม่อาจปฏิเสธได้ “พี่ตฤณรอจ้าวแปปเดียวนะครับ”

จ้าวทิ้งตฤณไว้ที่ห้องนอนใหม่เพียงลำพังแล้วเดินออกมา เสียงร้องอู้อี้ของเนตรที่อยู่ในห้องนั้นตฤณไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เนตรอยู่ตรงหน้าแต่เขากลับเดินผ่านเหมือนว่ามองไม่เห็นราวกับว่าคนทั้งคู่อยู่ต่างภพภูมิ ห้องใหม่ที่จ้าวจัดเตรียมไว้ให้ดูน่าอยู่กว่าห้องก่อนหน้านี้เยอะจนเขารู้สึกว่ามันผ่อนคลายขึ้นมาก เขาเดินสำรวจดูเรื่อยๆ แล้วพบว่าห้องนี้มีทั้งเตาผิงและขนาดของเตียงก็ใหญ่กว่า มีกลิ่นหอมกว่าและไม่อับเหมือนห้องเก่า 

ตฤณหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดโทรออกหายุ้ย โทรติดแต่กลับไม่มีใครรับสาย พอตั้งใจจะโทรไปอีกครั้ง จ้าวก็เดินเข้ามาในห้องพอดี

“พี่ตฤณโทรหาพี่ยุ้ยเหรอครับ ติดไหม”

“อ่า... ไม่รับสายน่ะ”

ตฤณมองดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกไป เนตรไม่เคยจากไปโดยไม่ล่ำลา ยุ้ยผู้ที่ติดต่อง่ายที่สุด รับโทรศัพท์ไวที่สุดกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มกลับไม่รับสายเขาเลย

“เดี๋ยวอีกสักพักพี่ตฤณค่อยโทรกลับไปใหม่นะครับ แต่ตอนนี้...”

แววตาสีเพลิงดูเป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องสนุกอยู่ในหัว เรียวแขนเล็กเอื้อมออกไปจับมือแกร่งข้างหนึ่งเอาไว้ น้ำเสียงอ่อนหวานอันแสนไพเราะถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับ “จ้าวรักพี่ตฤณนะครับ”

เสียงกรีดร้องของเนตรด้วยความเจ็บปวดดังอื้ออึ้งไปทั่วทั้งห้องและมีเพียงจ้าวเท่านั้นที่ได้ยินมันหลังจากที่เขาสารภาพรักกับผู้ชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า คำบอกรักของจ้าวนำพาให้ใบหน้าของตฤณร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง เขาเบือนหน้าหนีไปยังทิศทางอื่น หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกลับเต้นรัวเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขามันประหลาดนัก ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับเด็กคนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำแต่พอยิ่งได้ชิดใกล้กลับยิ่งหลงใหล ยิ่งได้ลิ้มรสเลือดที่ไหลออกมาจากซอกคอที่ควรจะเหม็นคาวกลับอร่อยและหอมหวาน ทั้งที่เขาควรจะเว้นระยะห่างแต่กลับถูกดึงดูดให้เข้าใกล้ทุกครั้งที่เจอหน้า

“พี่ตฤณไม่ได้คิดแบบเดียวกับจ้าวก็ไม่เป็นไรครับ จ้าวเข้าใจดีเพราะเราก็เพิ่งเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แทบจะยังไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ ไม่แปลกหรอกครับถ้าพี่ตฤณจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับที่จ้าวคิด ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณก็พักผ่อนเถอะนะครับ จ้าวไม่รบกวนแล้ว”

จ้าวแสร้งทำเป็นเดินหันหลังกลับไปในขณะที่เขารู้ดีว่าตฤณจะหันกลับมารั้งเขาเอาไว้นั่นทำให้รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายผุดขึ้นที่มุมปาก ตฤณเดินมารั้งร่างของเขาเอาไว้อย่างที่คาดการณ์ ใบหน้ากลมมนนั่นหันกลับไปหาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลคลอดวงตาคู่งาม “พี่ตฤณไม่ต้องปฏิเสธจ้าวตรงๆ ก็ได้ แค่นี้จ้าวก็เข้าใจแล้ว”

“คือ... พี่...”

“ถ้ามันทำให้พี่ตฤณต้องลำบากใจ จ้าวขอเป็นแค่พี่น้องกับพี่ตฤณก็ได้ครับ”   

“คือ... มันไม่ใช่แบบนั้น คือ... พี่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ารู้สึกกับจ้าวยังไง แต่เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้รังเกียจจ้าวเลยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณกอดจ้าวหน่อยนะครับ กอดให้แน่นๆ เลยนะครับ”

แค่กอดคงไม่มีอะไรมาก ตฤณจึงโน้มตัวเข้าสวมกอดร่างที่เล็กกว่าอย่างที่ฝ่ายนั้นต้องการ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองไปยังร่างของเนตรที่ถูกพันธนาการไว้กับเก้าอี้วิคตอเรียแล้วแสยะยิ้มมุมปาก ยิ่งเห็นเธอกรีดร้องทุรนทุรายคล้ายคนเจ็บปวดใกล้ตายเข้าไปทุกทีแต่ทำอะไรไม่ได้ จ้าวยิ่งมีความสุข

หลังจากที่จ้าวพาตฤณไปดูห้องเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ปล่อยให้ตฤณได้อยู่เพียงลำพังบ้างพร้อมกับกำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่าลืมโทรหายุ้ยด้วย ตฤณจึงกดโทรศัพท์ไปหายุ้ยอีกครั้ง

“ยุ้ย”

[ ตะ... ตฤณ ]         

เสียงของยุ้ยฟังดูแปลกๆ เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนกับกำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

“เนตรอยู่ด้วยหรือเปล่า”

[ เปล่า ตฤณช่วย... ]

จู่ๆ เสียงของยุ้ยก็เงียบหายไปแล้วก็มีคลื่นแทรกเข้ามาเป็นเสียงผู้ชายที่เขาฟังจับใจความไม่ได้

“ยุ้ย! อยู่หรือเปล่า! ได้ยินไหม”

[ อืม อยู่ ]

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยถนัด มันมีคลื่นแทรกเข้ามาพอดี”

[ ไม่... ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่า... ฉันไม่ได้อยู่กับเนตร ]

“แล้วอยู่ไหน เดี๋ยวจะไปหา พอดีมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อย”

[ ไว้... วันหลังนะ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ ]

เสียงของยุ้ยที่ดังมาจากโทรศัพท์คล้ายกับว่าเธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเอาไว้ซึ่งตฤณก็จับสังเกตในจุดนี้ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

[ เปล่า แค่เป็นหวัดนิดหน่อย ]

“ให้ไปเยี่ยมไหม”

[ อย่ามานะ!! ]

ยุ้ยตะโกนลั่นจนตฤณคิดว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ เขาจึงถามกลับไปด้วยอาการร้อนใจ “ยุ้ย! เป็นอะไร”

[ เปล่า แค่ไม่อยากให้นายติดหวัดน่ะ แค่นี้ก่อนนะ ]

สายของยุ้ยถูกตัดไป พอตฤณโทรกลับไปอีกครั้งก็พบว่ามันไม่มีใครรับสาย และพอโทรกลับไปอีกเป็นรอบที่สองก็กลับกลายเป็นว่าสายไม่ว่าง ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะยังไงอยู่เสียแล้ว




** ติดตามตอนต่อไป **



ที่ยุ้ยหายไปเพราะจ้าวลืมยุ้ยนี่เอง 555+
ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ให้กับนิยายเรื่องนี้

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่ลืมยุ้ยแล้วนะเนี่ย อาการยุ้ยท่าทางจะแย่น่าดูเชียว  :ling3:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จ้าวแลดูเกลียดเนตรมาก ... ไอ้ปากที่เย็บติดกันนี่มันคุ้นๆมากเลย ถามยังน่ากลัวสุดๆด้วย .... พี่เจตน่าสงสารนะเราแอบคิดว่าจ้าวเป็นคนฆ่าเจตด้วยนะเนี่ยพอได้อ่านตอนที่จ้าวทรมานเพื่อนตฤณ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 12 :::
ซ่อนหา ซ่อนหาย







โบราณกล่าวว่ายามมืดค่ำห้ามเล่นซ่อนหา มิเช่นนั้นจะถูกผีซ่อน



หน้าคฤหาสน์คัลเลนมักจะมีพวกอยากลองของแวะมาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีมาเป็นหมู่คณะวัยรุ่นที่อยากลองดีในแบบที่โบราณท่านห้ามเอาไว้ไม่ให้เล่นซ่อนแอบกลางดึกกลางดื่น

“มิกซ์ เอาจริงเหรอ”

ในจำนวนผู้กล้ามักมีพวกปอดแหกเวลาเจอสถานที่จริงอยู่ด้วยเสมอ

“หวาน มึงจะมากลัวอะไรตอนนี้วะ มึงเองก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอวะที่ว่าข่าวลือที่เขาลือกันมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ส่วนพวกกูก็แค่อยากรู้ว่าคำโบราณที่เขาว่ากันมันเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำขู่ ก็วินๆ กันทั้งสองฝ่าย”

พวกเพื่อนในทีมต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยแม้ว่าคฤหาสน์นี้จะดูหลอนเกินคำบรรยาย ลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระลอกแต่พวกเขาไม่รู้สึกว่ามันสบายเลยแม้แต่นิดเดียวกลับรู้สึกเย็นวูบถึงไขสันหลัง เสียวซ่านไปทั่วร่างกายแต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป

“แต่... ดูสิ มันน่ากลัวมากเลยนะ เราไม่ไหวหรอก”

ผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงโปร่งทิ้งมวนบุหรี่ที่ดูดอยู่ลงกับพื้นแล้วใช้เท้าดับไฟที่ยังติดอยู่บนปลายแท่งให้มอดดับลงก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ มาโอน้อยออกกันก่อนแต่หวานไม่ต้อง กูจะให้มึงเป็นคนซ่อน”

ในตอนนี้หวาน ผู้หญิงรูปร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นที่ปิดเพียงแค่แก้มก้นชักเริ่มหวั่นใจแต่ก็ปฏิเสธเกมที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เธอยืนมองเพื่อนที่เหลืออีกหกคนโอน้อยออกหาคนที่จะเป็นคนซ่อนตัวในคฤหาสน์และอีกหนึ่งคนที่จะเป็นคนหาเพื่อนที่หายไป

“สรุปโอม มิกซ์ หวาน แพรว จักร พวกมึงซ่อน ส่วนกูจะหา”

“ไผ่ ให้พวกกูเข้าประตูไปก่อนแล้วมึงค่อยนับหนึ่งถึงยี่สิบนะ ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่ง เกมจบเวลาตีสอง ถ้าถึงตีสองแล้วให้แยกย้ายออกมากันได้เลย ส่วนเรื่องหาครบไม่ครบค่อยว่ากันทีหลัง ตกลงไหม”   

“เออ!”

เพื่อนที่เหลือยกเว้นไผ่ทยอยกันเดินเข้าไปยังด้านในของคฤหาสน์ เป็นการแอบย่องเข้าโดยที่คนในละแวกนั้นไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครเข้าหรือใครออก ขอเพียงแค่ไม่ไประรานหรือสร้างความวุ่นวายให้กับสิ่งที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นพวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เสียงประตูปิดตามหลังทันทีที่คนทั้งห้าเดินเข้ามาหยุดอยู่กลางห้องโถง แต่ทว่าในจังหวะนั้น ไผ่ที่รออยู่ด้านนอกบริเวณสวนรกร้าง เขาเห็นผู้ชายวัยเดียวกันในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ ดวงสีเฮเซลนัทเป็นผู้ปิดประตูบานนั้นอย่างแรงและเร็วจนเกิดเสียงลมพัดผ่านหู

ไผ่ยืนนับหนึ่งถึงยี่สิบตามที่ตกลงกันไว้อย่างใจคอไม่ค่อยดี บรรยากาศที่ดูวังเวงและน่ากลัวกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณเมื่อยามต้องอยู่เพียงลำพังด้านนอก นี่เป็นการนับหนึ่งถึงยี่สิบที่รวดเร็วกว่าเข็มวินาทีที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา พอนับจนครบตามจำนวนแล้วเขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตูแต่ทว่าไม่ว่าจะออกแรงมากเท่าไร ประตูบานนั้นที่เขาเห็นว่าจักรเป็นคนเปิดมันออกอย่างง่ายดายในตอนนั้นกลับแข็งเสียจนไม่ยอมขยับเขยื้อนออกมาจากที่เดิมเลย

“อะไรวะ!”

ไผ่ไม่ย่อท้อ เขาลองดูอีกครั้งแต่ก็พบว่ามันยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น

“เข้าทางอื่นก็ได้วะ!”

ไผ่ต้องยอมเดินอ้อมคฤหาสน์ไปหาทางเข้าอื่น แม้ว่ามันจะน่ากลัวกว่าตอนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เพียงลำพัง ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไรยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าช้าเข้าไปทุกที ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านเข้ามา เขาจึงใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์คอยส่องทางพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

เมื่อเดินอ้อมมาถึงด้านหลัง ไผ่เห็นแสงไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่างที่ถูกปิดด้วยผ้าม่านผืนบาง ประตูไม้สีดำที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนักถูกเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เสียงใบไม้แห้งที่คล้ายกับถูกเหยียบย่ำก็ดังขึ้น

สวบ!สวบ!สวบ!

พอหันหลังไปดูกลับไม่พบใครในความมืดมิดนั้น แต่เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนใบไม้แห้งยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เขาเบนแสงไฟฉายส่องเข้าไปในความมืดนั้นแต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นปกคลุม ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่แสงไฟส่องถึง

สวบ!สวบ!สวบ!

เสียงจังหวะฝีเท้าดังกระชั้นชิดขึ้นและดูเหมือนจะมีมากกว่าหนึ่ง ในขณะที่ไผ่ตัดสินใจจะก้าวเข้าไปหลบในห้อง ข้อเท้าของเขาก็ถูกล็อคเอาไว้ด้วยมือที่มีแต่กระดูก ไผ่ไม่อยากก้มลงไปมองแต่มันก็อดไม่ได้ พอได้เห็นมือที่ไร้เนื้อหนังที่กำลังจับข้อเท้าของเขาเอาไว้แล้วหัวใจแทบหยุดเต้น แขนเขาสั่นเทาหมดเรี่ยวแรง แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจับขาอีกข้างแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้มลงไปมองก็ถูกลากเข้าสู่ความมืดมิดใต้เงาไม้ที่อยู่ด้านหลัง

“อ๊ากกกกก”

เขาพยายามดิ้นเพื่อให้ขาของตัวเองหลุดออกจากการจับกุม แต่มือที่มีเพียงกระดูกกลับติดแน่นเหมือนถูกทากาวเอาไว้

“ม่ายยยยยย”

-------------------------------


หลังจากทั้งห้าคนเข้ามาในคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้างในนั้นทั้งมืดและอับชื้นจนส่งกลิ่นเหม็นแปลกๆ แสงไฟจากไฟฉายขนาดเล็กใหญ่ทั้งห้าดวงส่องดูรอบตัวแล้วพบว่ามันช่างเต็มไปด้วยฝุ่นและคราบสกปรกราวกับไร้การเหลียวแลมานานนับหลายสิบปี เมื่อดูจนเป็นที่พอใจแล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปกันหาที่ซ่อนตัว หวานกับแพรวเลือกที่จะไปซ่อนด้วยกัน ส่วนผู้ชายที่เหลืออยู่นั้นจึงแยกย้ายกันไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง ขึ้นไปยังชั้นบนของคฤหาสน์บ้าง กระจายกันหลบซ่อนตัว

แพรวกับหวานเลือกที่จะหลบอยู่ในห้องครัว จักรเลือกห้องในมุมหนึ่งทางขวามือชั้นบน โอมเลือกสถานที่อย่างห้องน้ำเป็นที่หลบซ่อนและสุดท้ายนั้นมิกซ์เลือกห้องหนึ่งทางซ้ายมือชั้นบนไว้หลบผู้หาอย่างไผ่

แพรวกับหวานที่เลือกอยู่ในห้องครัวใช้แสงไฟจากไฟฉายเดินสำรวจดูรอบๆ ห้องแล้วพบว่ามันสะอาดสะอ้านกว่าห้องโถงกลางที่พวกเธอเพิ่งเดินผ่านมา จานและช้อนส้อมถูกวางไว้ในตะแกรงรอสะเด็ดน้ำดูราวกับว่ามีคนใช้งานเมื่อไม่นานมานี้ แพรวลองเอามือปาดลงบนเค้าท์เตอร์ทำครัวแล้วยกขึ้นมาดู มันแทบจะไม่มีฝุ่นเกาะเลยด้วยซ้ำ

“หวาน แกว่าที่นี่มีคนอยู่หรือเปล่าวะ”

“ก็คงมีมั้ง น่าจะเป็นพวกไร้บ้านแอบเข้ามาใช้พื้นที่ เพราะจากที่เราได้ยินข่าวมา เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่มาเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะ แถมยังขึ้นชื่อเรื่องผีดุอีก ใครมันจะไปอยากซื้อที่ดินผืนนี้ต่อ”

เสียงกึกกักจากนอกห้องครัวทำให้พวกเธอทั้งสองคนรีบปิดไฟฉายแล้วแอบซ่อนอยู่ในตู้ใต้ซิงก์ที่เปิดบานประตูแง้มเอาไว้คอยดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก แสงไฟสลัวไหววูบตามแรงลมพัดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้องครัวตามด้วยเสียงพูดคุยที่คล้ายกับกำลังสั่งงาน

“ลุงมิ่งข้างนอกเรียบร้อยดีไหมครับ”

“เกือบจะเรียบร้อยดีครับ”

“งั้นลุงมิ่งไปจัดการข้างนอกเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวขอเก็บกวาดห้องครัวให้สะอาดสักหน่อย”     

หวานออกอาการตัวสั่น เธอคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จริงแถมยังเป็นเด็กตัวเล็ก หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแต่บรรยากาศรอบตัวเด็กคนนั้นมันทำเอาเธอกลัว

“จ้าวเจอหนูบ้านสองตัวเพ่นพ่านอยู่ในห้องครัว จะฆ่าให้ตายหรือปล่อยให้ค่อยๆ ทรมานจนตายอย่างช้าๆ ดีนะ”

ไม่ใช่คำถามที่ถามขึ้นมาลอยๆ แต่คำถามนั้นราวกับจงใจจะถามพวกเธอสองคนที่แอบอยู่ใต้เค้าท์เตอร์โดยเฉพาะแต่ใครเล่าจะกล้าตอบ ถ้าตอบกลับไปก็เท่ากับยอมรับว่าหนูที่ถูกกล่าวถึงนั้นคือพวกเธอเอง

ปึง!

ประตูเค้าท์เตอร์ใต้อ่างล่างจานถูกปิดลงอย่างแรงจนหวานและแพรวสะดุ้งโหยง พยายามกลั้นเสียงร้องด้วยความตกใจเอาไว้แต่ก็พอมีเล็ดลอดออกไปให้ได้ยินบ้าง แสงสว่างสีนวลลอดผ่านช่องว่างระหว่างประตูราวกับว่าเด็กคนนั้นกำลังส่องไฟเข้ามาข้างในเพื่อตามหาต้นตอของเสียงที่เกิดขึ้น

“หนูบ้านนี่หายใจเสียงดังจัง”

วงแสงสลัวจากเชิงเทียนคู่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ ดูราวกับว่าเด็กคนนั้นจะออกจากห้องครัวไปแล้ว เนตรจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่วนแพรวนั้นก็หายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก่อนที่เธอจะกระซิบถามเสียงเบาเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นอาจจะยังอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร “เอายังไงต่อดี”

“แง้มประตูไปดูกันไหม อยู่ในนี้นานๆ เรารู้สึกหายใจลำบากนิดหน่อย”

แพรวลองดันประตูออกไปอย่างที่หวานเสนอมาแต่มันกลับเปิดไม่ออก ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหนประตูที่ควรจะเปิดออกอย่างง่ายดายกลับปิดแน่นสนิทราวกับว่ามันถูกล็อคจากด้านนอกแต่ประตูเค้าท์เตอร์ที่ไม่มีกลอนแต่ใช้วิธียึดติดกันด้วยแรงดึงดูดของแม่เหล็ก ไม่มีทางที่มันจะถูกล็อคจากข้างนอกได้อย่างเด็ดขาด

“เปิดไม่ออก หวานส่องไฟที”

แสงไฟถูกส่องไปโดยรอบ อากาศหายใจเริ่มหมดไปเพราะห้องที่ปิดตายแต่ก็ยังพออยู่ได้ไปอีกสักพักใหญ่

“กลอนก็ไม่มีแล้วทำไมเปิดไม่ได้”

“แพรว~ ทำยังไงดีอ่ะ เรายังไม่อยากตายอยู่ในนี้นะ”

หวานเริ่มกระวนกระวายใจ อยู่ไม่สุขแต่ขยับมากไม่ได้เพราะติดแพรวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เธอเริ่มหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรนใจ ใช้มือทั้งสองข้างผลักประตูให้เปิดออกแต่มันไม่ขยับไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของบานประตู มีเพียงแค่เสียงมือของเธอที่กระทบกับไม้เท่านั้น

“ใจเย็นก่อน มันต้องมีวิธี”

แพรวมองดูไปรอบๆ อย่างมีสติ เธอกำลังหาทางที่จะออกไปจากที่แคบๆ ชวนให้อึดอัดแต่มันกลับไม่มีอะไรพอที่จะช่วยทุ่นแรงในการเปิดประตูเค้าท์เตอร์ นอกเสียจากกระบอกไฟฉายขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือ เธอจึงลองใช้มันกระทุ้งประตูแต่กลับนิ่งสนิทเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะลองอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เห็นผลจนเริ่มใจเสีย

“แพรว~ เราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ใช่ไหม”

ไม่ใช่แค่แพรวที่รู้สึกใจเสียแต่หวานก็เช่นกัน เธอเริ่มร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า พูดเสียงสั่นเครือ

“บ้าน่ะ! เข้ามาได้ก็ต้องออกได้”

“ฮึก! ถ้า... เรื่องผีดุมันเป็นเรื่องจริง ถ้าข่าวลือของคฤหาสน์นี่มันเป็นเรื่องจริง เรา... ฮึก! ต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ ใช่ไหม” 

ยิ่งได้ยินคำพูดของหวานก็ยิ่งทำให้แพรวใจไม่ดีแต่เธอก็เชื่อว่ามันต้องมีทางออก เรื่องประตูที่ปิดและเปิดไม่ได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เรื่องที่เด็กคนนั้นเดินมาตรงหน้าเค้าท์เตอร์ที่พวกเธอซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เป็นไปได้คือมันต้องถูกล็อคหรือทำให้เปิดไม่ได้จากทางด้านนอก

“ไม่ตายหรอก มันต้องมีทางออก ใจเย็นแล้วตั้งสติหน่อย”

แพรวบอกกับทั้งตัวเองและหวานให้มีสติมากกว่านี้ เธอลองใช้ด้ามกระบอกไฟฉายกระทุ้งไปบนประตูอีกหลายครั้งแต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิดเหมือนก่อนหน้านี้จนเริ่มถอดใจ แต่ทว่าเมื่อเธอกำลังถอดใจและดูเหมือนจะเริ่มสิ้นหวัง ประตูเค้าท์เตอร์บานหนึ่งในฝั่งของเธอก็แง้มเปิดออกอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ทันได้ทำอะไร

“หวาน รอนี่นะ ให้ฉันออกไปดูก่อน”

“อื้อ”

แพรวค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูซ้ายดูขวาก็ไม่มีอะไรจึงคลานออกมาได้ครึ่งตัว สายตาของเธอเหลือบไปเห็นรองเท้าสีขาวคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า มีแค่รองเท้าเท่านั้นแต่มันกลับขยับก้าวถอยหลังไปทีละก้าว... ทีละก้าว ร่างของเธอดูแน่นิ่งไปชั่วครู่ รองเท้าหุ้มข้อส้นเตี้ยที่ไม่มีคนสวมกลับขยับได้

“แพรว”

“หวาน... อย่าออกมา!!”

เสียงของแพรวขาดห้วงไปแล้วร่างของเธอก็ถูกดึงหายไปอย่างรวดเร็วในความมืดที่โรยตัวอยู่ด้านนอก

“แพรว!!”

หวานตะโกนเรียกเมื่อเห็นว่าอีกครึ่งของเพื่อนที่ยังอยู่ใต้เค้าท์เตอร์จู่ๆ ก็หายไปจากสายตาโดยที่เธอยังไม่ทันจะได้เอื้อมมือออกไปคว้าร่างเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนถูกดึงหายไป เธอจึงกลัวและเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเล่นเกมบ้าๆ นี่


---------------------


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเหมือนใครกำลังเคาะอะไรสักอย่างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล โอมที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำห้องหนึ่งที่ชั้นล่างของคฤหาสน์สะดุ้งเล็กน้อย เขามองจ้องไปยังประตูห้องเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า เสียงเคาะอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้กลับใกล้เหมือนอยู่ในห้องเดียวกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ถ้าการเคาะประตูบ่งบอกว่ามีผู้มาเยือน แต่ถ้าเป็นเสียงที่คล้ายกับของแหลมคมกรีดลงบนแผ่นกระจกจนปวดแก้วหูจะหมายความว่าอย่างไร โอมขยับตัวถอยหลังจนแผ่นหลังชิดกับผนังห้องน้ำ คอยจ้องมองไปยังประตูห้องอย่างไม่วางตา แสงไฟจากไฟฉายดวงโตดับลงไปตั้งแต่ที่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูครั้งแรกแล้ว

ท่ามกลางความมืดมิดในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก มองเห็นเพียงแค่เค้าลางจางๆ ของสิ่งที่อยู่รอบตัว เสียงปลายเล็บเคาะลงบนแผ่นกระเบื้องดังอยู่รอบทิศทางเป็นจังหวะที่ชวนให้ขนหัวลุก โอมตัดสินใจเปิดไฟฉายอีกครั้ง ถ้าหากเป็นไผ่ที่ออกมาเดินหา เขายอมให้เจอเป็นคนแรกแต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่...

กี๊ดดดด กี๊ดดดดด

รอยกรีดบางๆ ปรากฏขึ้นบนบานกระจกเป็นเส้นยาวแล้วจางหายไปแต่โอมไม่ทันได้สังเกตมัน เขาเอาแต่จับจ้องไปที่หน้าประตูแต่ยังไร้วี่แววของผู้คน มีเพียงเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้างเท่านั้น เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนสร้างความรำคาญ เขาถึงกับสบถออกมา “ไอ้ไผ่! มึงไม่เล่นแบบนี้นะโว้ย”

“.......”

“ไอ้ไผ่!!”

“.......”

ตะโกนเรียกก็แล้ว เอาไฟฉายส่องไปหน้าประตูก็แล้วยังคงเงียบ มีทางเดียวที่โอมยังไม่ได้ลองนั่นก็คือเปิดประตูออกไปดู ในขณะที่กำลังก้าวเท้าจะไปเปิดประตู โทรศัพท์มือถือของเขาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดๆ จนเขาเกือบหยุดหายใจ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมา รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วของเขาขมวดน้อยๆ ‘Whan’

[ โอม... ช่วยเราด้วย ]

“เป็นอะไร หวาน”

[ ช่วยเราด้วย เรากลัว ]

น้ำเสียงสั่นเครือขาดๆ หายๆ แต่ยังพอฟังจับใจความได้อยู่บ้าง

“อยู่ที่ไหน”

[ ห้องครัว มาเร็วๆ นะ เรากลัว ]

“อืม เดี๋ยวจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ รอก่อนนะ”

โอมรีบวางสายแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากห้องสี่เหลี่ยมนี้ไปไหนก็มีเสียงอันสดใสของผู้หญิงดังขึ้นมาคล้ายกับกระซิบอยู่ข้างหู “ไปไหนเหรอจ๊ะ” ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรู้สึกเหมือนมีอะไรมาลูบเบาๆ ที่ท้ายทอย มันเย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็งก่อนที่จะรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกของแหลมทิ่มแทงลงมา

“โอ๊ย!”

พอเอามือลูบตรงบริเวณท้ายทอยก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เป็นของเหลว ยิ่งสัมผัสมากเท่าไรก็คล้ายกับว่ามันจะเป็นของเหลวที่เหนียวเหนอะ เขาจึงเอาไฟส่องดูสิ่งที่เปรอะอยู่ที่มือแล้วแทบจะล้มทั้งยืน ภาพที่ปรากฏต่อสายตามีสีแดงเลือดหมูและคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในหัวก็หนีไม่พ้นคำว่า...

“เลือด!”

“ขอโทษทีนะ พอดีเล็บยาวไปหน่อย”

เสียงใสของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว โอมจึงหันมองไปรอบๆ แต่กลับไม่พบใครหรืออะไร เขาไม่ใช่พวกที่จะตื่นกลัวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ยิ่งเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ที่ขึ้นชื่อว่าผีดุ เขายิ่งต้องเตรียมใจมาพร้อมรับมือกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่เขากลัวคือเลือด

“อยู่ไหน! แน่จริงก็โผล่มาซึ่งๆ หน้าสิวะ!”

“หันซ้ายมาสิจ๊ะ”

โอมหันซ้ายไปตามคำแนะนำ ได้เห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกเงาและดูเหมือนมันจะไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก บางทีเสียงที่ได้ยินคล้ายกับมันกระซิบอยู่ข้างหูคงเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองและข่าวลือที่ว่าคฤหาสน์หลังนี้ผีดุคงเป็นเพียงแค่ข่าวลือทั่วๆ ไปที่ไม่มีมูลความจริงก็เพราะบรรยากาศที่ชวนให้ขวัญผวากับความเก่าที่สร้างความขลังให้กับสถานที่แห่งนี้เท่านั้น

“กูว่ามันต้องติดลำโพงในห้องน้ำไว้หลอกคนแน่เลยว่ะ”

“เหรอจ๊ะ”

โอมแค่บ่นกับตัวเองแต่ไม่คิดว่าจะมีใครตอบ เขาจึงหันมองกลับไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงนั้นแต่ไม่พบอะไรอีกเช่นเคย

“ถ้าอยากเห็นนักก็หันซ้ายมาอีกทีสิ”

โอมไม่เชื่อว่ามันจะมีผีคอยหลอกหลอนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จริง เขาจึงหันกลับไปมองยังบานกระจกที่อยู่ตรงหน้าอ่างล้างมือแต่ทว่าภาพที่ปรากฏบนกระจกบานนั้นไม่ได้เหมือนที่เขาคาดเอาไว้ ผู้หญิงคนนั้นยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ผมของเธอสีดำมันขลับยาวกระเซอะกระเซิงปกปิดใบหน้าเรียวยาวเพียงครึ่ง ดวงตาสีนิลฉายแววโกรธเคืองจ้องมองมายังเขา ริมฝีปากเรียวบางฉีกกว้างลากยาวเกือบถึงใบหูทั้งสองข้าง มือเหี่ยวแห้งถือมีดพกเล่มเล็กจ่อคอหอยของเขาเอาไว้

“ทีนี้เจอหรือยัง”

ขาของโอมสั่นเทาขึ้นมาเสียเฉยๆ ในห้องนี้ที่มีเพียงเขานั่งเฝ้าอยู่ลำพังกลับปรากฏว่ามีผู้หญิงอีกคนอยู่ในห้องร่วมด้วย ร่างกายทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรงแต่เงาที่สะท้อนอยู่ในบานกระจกยังคงอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงไร้ชื่อคนนั้นยังถือมีดจ่อที่คอของเขาเอาไว้

“เคยมีใครเตือนหรือเปล่าว่าอย่าส่องกระจกหลังเที่ยงคืน”   

ไม่เคยมีใครเตือนเรื่องนี้แต่โอมก็เคยได้ยินคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่าห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนเพราะอาจจะเจอดี และนี่คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ฟังคำเตือนนั้น เขาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาที่อยู่บนหน้าจอ มือข้างนั้นสั่นเทิ้มพอๆ กับหัวใจที่เริ่มหลุดการควบคุม เวลาที่ปรากฏอยู่บนนั้นคือเที่ยงคืนกับอีกสองนาที

“อึก!”

ปลายมีดทีจ่อลงบนคอของโอมในกระจกเงาบานนั้นค่อยๆ กดลึกลงจนรู้สึกเจ็บแปล๊บ เขาเอามือที่แทบจะยกไม่ขึ้นแตะลงบนคอของตัวเอง หยาดหยดเลือดเม็ดเล็กติดมือจนสัมผัสได้และยิ่งสัมผัสได้มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดที่กรีดลึกลงบนลำคอเป็นทางยาว เขาตะเกียดตะกายตัวขึ้นเกาะอ่างล้างมือเอาไว้ พยายามทรงตัวให้อยู่

ริมฝีปากเรียวบางสีแดงสดที่ฉีกกว้างจนเกือบถึงใบหูค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเย้ยหยันในขณะที่มือข้างนั้นยังคงถือมีดปาดลำคอผ่านหลอดลมอย่างช้าๆ ให้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็น

“ยะ... อย่า... ขอ...”

โอมพยายามเปล่งเสียงพูดร้องขอชีวิตที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเขาเอาไว้แต่กลับพูดออกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ มือข้างหนึ่งเลื่อนจากอ่างล้างมือมากดบาดแผลบริเวณลำคอของตัวเองเพื่อห้ามเลือดที่ไหลออกมาอย่างกับก๊อกน้ำที่เปิดจนเกือบสุด     

ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มือข้างหนึ่งค่อยๆ ตะกายพื้น ส่วนอีกข้างคอยกดบาดแผลเอาไว้ ขาทั้งสองข้างขยับไปมาเพื่อดันตัวเองให้ออกไปจากห้องน้ำนี้เมื่อเห็นว่าบานประตูที่ปิดอยู่ตั้งแต่แรกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่ตรงหน้าแล้วแต่มันกลับหายไปเมื่อประตูบานนั้นปิดลงอีกครั้ง

“อื้อ!”

เลือดไหลออกมาราวกับเขื่อนที่เริ่มร้าวเจิ่งนองอยู่รอบตัว โอมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อหอบเอามวลอากาศเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย แขนขาใกล้หมดเรี่ยวแรงไปทุกทีจนทำได้เพียงแค่นอนนิ่งๆ แล้วภาวนาให้ใครสักคนมาช่วยก่อนที่สติจะหลุดลอยหายไป

“ขอให้โชคดี”

หญิงไร้ชื่อคนนั้นเอ่ยก่อนที่จะหายไปจากกระจกและปล่อยโอมทิ้งไว้กับปลายทางแห่งความตายที่ยมทูตเตรียมง้างเคียวเกี่ยววิญญาณที่อยากลองของให้ลงสู่นรกภูมิ




** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรเนอะว่ากันไหมคะ?

--------------------

areenart1984
ขอบคุณค่ะ เราเองก็ลืมยุ้ยไปเหมือนกันค่ะ คือแบบ... นึกถึงแค่ลีกับเนตร

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ปากที่เย็บติดกันนี่จำได้คร่าวๆ เหมือนเคยดูจากเรื่อง SAW4 น่ะคะ (คิดว่านะคะ เพราะไม่ได้ดูหนังแนวนี้มานานมากแล้ว)


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่หลอนเลยซักกะนิด  แค่ขนลุกกับเย็น ๆ ที่หลังคอ  o21

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คนหาโดนเก็บคนแรกเลยจ้า...

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 13 :::
ฉันก็รักของฉัน




เมื่อยามที่มนุษย์เรายังอยู่ในวัยเยาว์ก็จะมีการละเล่นกันแบบเด็กๆ หนึ่งในการละเล่นนั้นคือตะล๊อกต๊อกแต๊ก


ตะล๊อกต๊อกแต๊กมาทำไม      มาซื้อดอกไม้
ดอกอะไร                        ดอกจำปี
ยังไม่มี                           ดอกจำปา
ยังไม่มา                          ดอกกุหลาบ
ยังไม่ทราบ                      ดอกมะลิ
ยังไม่ผลิ                         ดอกเจ้าชู้
ยังไม่รู้                           ไปดูหนังไหม
เรื่องอะไร                       เรื่องผีดิบ
ไม่มีสตางค์                      จะออกให้
ไม่มีเสื้อผ้า                      จะหาให้
ไปก็ไป

หวานที่กำลังแอบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัวและกำลังสวดมนต์ภาวนาให้มีใครพาเธอออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เมื่อได้ยินเสียงใสๆ ร้องเพลงตะล๊อกต๊อกแต๊กอยู่ข้างนอกไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เธอกำลังใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัว ร่างกายอันแสนบอบบางก็สั่นเทามากขึ้นกว่าเดิม หยาดหยดน้ำตาดวงเล็กไหลออกมาจากดวงตากลมโตอย่างเชื่องช้า เธอพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไปให้ใครได้ยิน และเสียงที่ดังขึ้นหลังจากที่บทเพลงนั้นจบลงคือเสียงหมาที่แข่งกันหอนเกรียวกราว

หมาทำไมถึงหอน             มันเห็นผี
ผมเธอทำไมถึงยาว           ฉันปล่อยไว้
เล็บเธอทำไมถึงยาว          ฉันปล่อยไว้
หน้าเธอทำไมถึงขาว          ฉันผัดหน้า
ตาเธอทำไมถึงโบ๋             ฉันเป็นผี

สิ้นประโยคสุดท้าย เสียงสะอื้นไห้ก็ถูกปิดเอาไว้ไม่มิด มันดังเล็ดลอดออกมาจากตู้ใต้ซิงก์

“เจอแล้ว อยู่นี่เอง หาตั้งนาน”

บานประตูเค้าท์เตอร์ที่หวานใช้หลบซ่อนตัวแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ เพียงเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสายเปรอะพวงแก้มทั้งสองข้าง ถึงแม้เธอจะหวาดกลัวมากเท่าไรแต่ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสก็ยังพยายามจดจ้องออกไปด้านหน้า มือเล็กอันแสนน่ารักดูนุ่มนิ่มน่าจับถูกยื่นเข้ามาตรงหน้าเธอ

“ออกมาเถอะครับ”             

หวานไม่กล้าที่จะยื่นมือออกไปจับ เธอกลัวว่ามันจะเป็นเหมือนแพรวที่แค่คลานออกไปเพียงครึ่งตัวก็ถูกลากหายไปในความมืดที่โรยตัวอยู่รอบๆ

“พี่ครับ อยู่ในนั้นนานๆ เดี๋ยวจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ออกมาข้างนอกดีกว่าครับ”

หวานยังคงนั่งขดตัวนิ่งอยู่ในนั้นแต่สายตายังไม่ละไปจากมือที่ยื่นเข้ามา เธอพยายามมองอย่างพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนว่าถ้าหากยอมที่จะจับมือเล็กข้างนั้นแล้วเป็นเหมือนเพื่อนของเธอที่หายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่รู้ว่าถูกพาไปที่ไหน เธอจะทำอย่างไร อีกอย่าง... เธอเพิ่งโทรไปเรียกให้โอมมาหา คงอีกไม่นาน

“รออะไรอยู่เหรอครับ”

หวานไม่กล้าตอบคำถามนั้น เธอเอาแต่นั่งนิ่ง พยายามกลืนเสียงร้องไห้ลงคอ

“เอ๋? หรือว่าจ้าวจะเข้าใจผิด นึกว่ามีใครอยู่ในนี้ซะอีก ถ้าไม่มีใครออกมาจริง ขออนุญาตปิดตายเค้าท์เตอร์ทำครัวนะครับ”

หวานสะดุ้งเฮือก ถ้าหากเค้าท์เตอร์ที่เธอใช้หลบซ่อนอยู่ถูกปิดตายขึ้นมาและโอมหาไม่เจอ คนที่จะตายจริงๆ อาจเป็นตัวเธอเองก็ได้ สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจค่อยๆ คลานออกมาแต่ร่างนั้นยังคงสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว เธอเพียงแค่อยากรู้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้เป็นจริงหรือไม่และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอได้คำตอบนั้นมาแล้ว เพราะเมื่อคลานออกมาอย่างช้าๆ กลับกลายเป็นว่าไม่พบใครเลยทั้งที่เธอคอยจ้องมองดูฝ่ามือเล็กนั่นอยู่ตลอดแท้ๆ


แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!


เสียงคล้ายกับช้อนสแตนเลสเคาะลงบนชามกระเบื้องเคลือบดังอยู่เหนือหัว หวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์ที่สาดส่องลอดผ่านบานกระจกเข้ามาข้างในบอกกับเธอว่ามีช้อนและชามอยู่จริงบนเค้าท์เตอร์ทำครัว แต่ช้อนที่กำลังเคาะบนชามข้าวมันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

“กรี๊ดดดดดดดด!”

หวานรีบคลานออกมาจากห้องให้ไวที่สุด แม้จะหวาดกลัวแค่ไหนก็ต้องพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่รู้ว่าหาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอวิ่งออกไปอย่างสุดแรงเกิด ไม่มองซ้ายมองขวา ขอเพียงแค่หลุดออกมาจากห้องที่ชวนให้ประสาทเสียเท่านั้นเป็นพอ แต่เพราะวิ่งอย่างไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมาหยุดอยู่ตรงไหนของคฤหาสน์ เธอจึงเลือกที่จะหาที่หลบซ่อนตัวอีกครั้ง บานประตูสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเปิดออก ไฟฉายขนาดเล็กที่เธอพกมาด้วยส่องสว่างเข้าไปข้างในห้องแล้วเธอก็กรีดร้องอย่างเสียสติอีกครั้ง

“กรี๊ดดดดดดดดด!!”

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือร่างของโอมที่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าประตู

ร่างกายของเธอหมดเรี่ยวแรงลงอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วยังไหลต่อเนื่อง เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องห่มร้องไห้เศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนที่เพิ่งจะพูดคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ในตอนนี้กลับกลายเป็นศพอยู่ต่อหน้าต่อตา

“โอม!!! ฮืออออออ”

ไม่ว่าหวานจะตะโกนเรียกชื่อเพื่อนดังเท่าไร ร่างนั้นก็ยังคงนอนแน่นิ่งจมกองเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นกระเบื้องสีขาว เธอค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้อย่างไม่สนใจว่าทั้งมือและขาทั้งสองจะเลอะเปรอะคราบเลือด มือเล็กพลิกร่างสูงใหญ่ของเพื่อนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ช้อนศีรษะที่โงนเงนตามแรงโน้มถ่วงของโลก ประคองมันอย่างเบามือให้มาหนุนตักของเธอ

“เราขอโทษ! เราขอโทษนะ โอม เราขอโทษ!” 

ถึงจะพร่ำเอ่ยขอโทษแต่เจ้าของร่างนั้นไม่อยู่ฟังแล้ว

“ฮึก! โอม เราขอโทษ เราขอโทษ”

หวานซบใบหน้าของเธอลงบนร่างที่ไร้วิญญาณ หยาดหยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย หัวใจของเธอแทบแหลกสลายลงเมื่อเห็นเพื่อนที่รักไม่มีชีวิตอยู่อีกเอา เธอเอาแต่พร่ำขอโทษและนึกโทษตัวเอง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่าวลือของคฤหาสน์หลังนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเธอพยายามโน้มน้าวใจทุกคนให้มาร่วมสืบหาความจริงด้วยกันผ่านการละเล่นก็คงไม่มีใครตาย

บานประตูที่เปิดค้างเอาไว้ตอนที่หวานคลานเข้ามาหาร่างของโอมในห้องน้ำปิดฉับลงเสียงดัง เธอสะดุ้งสุดตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่มีอะไรให้กลัวเว้นเพียงแค่ประตูบานนั้นที่ปิดลงราวกับถูกลมพัดอย่างแรงแต่ลมคงไม่พัดในที่ร่ม

หวานร่ำไห้อย่างหนัก ในตอนนี้เธอทั้งกลัวทั้งลนลาน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี มองไปรอบตัวก็มีแต่กองเลือดกับไฟฉายตกอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวที่นึกขึ้นมาได้ก็มีแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแต่จะอ้อนวอนขอร้องอย่างไรในเมื่อพวกเธอพาตัวเองเดินมาสู่ขุมนรกเอง


-------------------------


จ้าวเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของตฤณ เคาะลงไปเบาๆ บนบานประตูห้องเหมือนเช่นทุกครั้งในขณะที่เจตรินยังไม่กลับมาจากการไปทำงานที่ต่างจังหวัด เขายืนรออยู่หน้าห้องไม่นานก็ได้ยินเสียงคนก้าวลงจากเตียงนอน สาวเท้าอย่างช้าๆ มาเปิดประตู

“พี่ตฤณ จ้าวมารบกวนพี่อีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาสิ”

ตฤณเริ่มชินแล้วกับการที่จ้าวมาเคาะประตูห้อง ขอนอนด้วยและนี่เป็นครั้งที่สามที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกัน เขาไม่รู้สึกแปลกๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้วแต่ทว่ายิ่งรู้สึกอยากอยู่ใกล้ในทุกช่วงเวลา เมื่อเห็นดวงตาสีเพลิงมองมา ปลุกเร้าความร่อนรุ่มดั่งไฟให้แผดเผาทั้งกายและใจ

“คืนนี้อากาศหนาว พี่ตฤณกอดจ้าวแน่นๆ หน่อยนะครับ”

“ไม่บอก พี่ก็จะกอดจ้าวให้แน่นอยู่แล้วล่ะ”

รอยยิ้มหวานหยดแลเจ้าเล่ห์เพทุบายปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมน แต่ทว่าดวงตาสีเพลิงกลับมองผ่านร่างของตฤณไปยังร่างของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้วิคตอเรียที่อยู่ด้านหลัง เขาได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่ถูกเย็บติดกัน แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเนตรเพียงแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้จ้าวมีความสุขได้สักเท่าไร

“พี่ตฤณ นอนกันดีกว่าครับ จ้าวง่วงแล้ว”

จ้าวก้าวขึ้นเตียงนอนแล้วกลิ้งไปทางฝั่งขวา เลือกที่จะให้ตฤณนอนฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ติดกับประตูห้องโดยที่กลางห้องนั้นยังมีร่างของเนตรที่ถูกพันธนาการติดกับเก้าอี้และโดนบังตาเอาไว้ด้วยอำนาจของจ้าว เขาสอดตัวเข้าใต้ผืนผ้าห่มและแสร้งทำเป็นหลับตาลง นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เสียงกรีดร้องของเนตรที่แสดงความไม่พอใจดังเข้าหูอยู่เป็นระยะ น่าเสียดายที่ตฤณไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าหลับแบบนี้แล้วพี่จะกอดยังไงล่ะ”

เสียงคมเข้มกระซิบเบาข้างหู ตฤณที่โน้มกายลงมาคล้ายกับจำขึ้นคร่อมร่างเล็กที่อยู่ใต้ผืนผ้าห่มสร้างความเจ็บปวดให้กับเนตรที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ เจ็บปวดจนน้ำตาที่หลั่งออกมาแทบกลายเป็นสายเลือด หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติคล้ายกับใครเอามือมาบีบมันเอาไว้แน่น

“ถ้าพี่ตฤณกอดไม่ได้ ให้จ้าวกอดพี่ดีกว่าครับ”

ตฤณคิดว่าจ้าวหลับไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเด็กตัวน้อยคนนั้นยังไม่หลับแถมพลิกตัว หันมาเผชิญหน้ากับเขาในระยะที่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียว เขาชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะถอยออกมาก็ถูกมือเล็กดึงรั้งเอาไว้ก่อน สายตาที่ส่งผ่านมาทั้งเย้ายวน เชิญชวนเหมือนคราวก่อนหน้าไม่มีผิด เพียงแค่มันได้ผลชะงักกว่าที่ผ่านมาก็เท่านั้น

“จ้าว...”

“พี่ตฤณอยากลองชิมสักหน่อยไหมล่ะครับ จะชิมตรงไหนก็ได้ จ้าวยินดี”

“เอ่อ...”

ตฤณขยับตัวออกมาเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคอพลางหักห้ามใจไม่ให้คิดเลยเถิดไปไกล แม้ว่ารู้ว่ามันยากเมื่อภาพตรงหน้านั้นพาให้หัวใจเขาหลงใหลในรูปกายภายนอก หลงใหลในน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมา อีกทั้งยังหลงใหลในทุกสิ่งที่เด็กคนนั้นเป็น

“พี่ตฤณกลัวใจตัวเองเหรอครับ”

ตฤณไม่กล้าตอบว่ามันใช่ เขาได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่เห็นจะต้องกลัวเลยนี่ครับ ปล่อยให้ความรู้สึกมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นเถอะครับ”


ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น


ถ้าตฤณทำแบบนั้นจริงๆ เขาไม่แน่ใจว่ามันจะดีจริง ถ้าหากพี่ชายของจ้าวรู้เข้าว่าเขาได้ล่วงเกินน้องชายคนนี้ อะไรจะเกิดขึ้น

“ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”

จ้าวขยับตัวขึ้นเล็กน้อยให้อยู่ในท่าที่ถนัดกว่า ดวงตาสีเพลิงจ้องไปยังดวงตาของอีกฝ่ายอย่างเร้าร้อน เชิญชวนไม่สมกับความเป็นเด็กวัยสิบห้าปีแต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อร่างที่ใหญ่โตกว่าแนบกายทาบทับลงมา

“พี่ตฤณ… เบาหน่อยนะครับ จ้าวไม่เคย”

ถ้าบอกว่าไม่เคยก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่เชื่อยาก แต่ใช่ว่าตฤณจะใส่ใจในเมื่อร่างที่อยู่ข้างใต้นั่นน่าสนใจกว่ากันเยอะ

“จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของจ้าวเหรอ พี่ควรเชื่อดีไหมนะ”

“จ้าวไม่โกหกพี่หรอกครับ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ พี่ตฤณช่วยถนุถนอมจ้าวด้วยนะครับ”

ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวระหว่างกันและกันขึ้น เจ้าบ้านอย่างจ้าวก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันช่างขัดขวางความสนุกระหว่างพวกเราสามคนได้ดีทีเดียวแต่เขาจากไปไม่ได้ ตฤณที่กำลังตกอยู่ในเส้นทางที่เขาบังคับให้เดิน เนตรที่กำลังกรีดร้องอย่างไม่หยุดด้วยความทุกข์ทรมานที่ค่อยๆ กัดกินจิตใจเธออย่างช้าๆ และความสนุกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นคือสิ่งที่เขาอยากให้เป็น

“พี่ตฤณครับ ขอจ้าวเข้าห้องน้ำแปปนึงนะครับ”

ตฤณพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเบาๆ จ้าวจึงรีบลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป เมื่อเข้ามาแล้วเขาเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าจนสุดและปล่อยให้เสียงน้ำที่ไหลแรงกลบคำพูดของตัวเองให้ได้มากที่สุด

“พี่เจต จ้าวรู้ว่าพี่ได้ยิน”

เด็กตัวน้อยยืนจ้องมองกระจกหน้าอ่างล้างมือเขม็ง ภาพเจตรินเพียงครึ่งตัวปรากฏขึ้นมาทันทีที่ถูกเรียก

‘มีอะไรเหรอ พี่กำลังเล่นสนุกอยู่เลย’


“พักเรื่องสนุกของพี่ไว้ตรงนั้นก่อนเถอะครับ แวะไปดูห้องของเราบ้างก็ดีนะครับ มันน่าจะสนุกกว่าสิ่งที่พี่กำลังทำอยู่ตอนนี้”

‘จ้าวไปเองน่าจะดีกว่านะ’


“จะขัดคำสั่งเหรอครับ! จ้าวให้ไปก็ควรไปดูสักหน่อยนะครับ”

‘ก็ได้ พี่ไปดูก็ได้ แต่จ้าวกำลังจะทำอะไร’

“ทำให้พี่ตฤณเป็นของจ้าวยังไงล่ะครับ ไปได้แล้วล่ะครับ อ้อ! ฝากพี่จัดการเก็บกวาดซากหนูข้างล่างด้วยนะครับ”

จ้าวสาดน้ำที่ไหลอยู่ให้เปียกรดกางเกงนอนขาสามส่วนแล้วเดินออกมา ปั้นยิ้มหวานให้ประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนอันแสนน่ารักดวงนั้น เขาผ่านเก้าอี้ที่เนตรได้แต่นั่งส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างไม่แยแส ยิ่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยการวิงวอนขอร้องยิ่งทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจลึกๆ

“พี่ตฤณ”

เสียงเรียกหงอยๆ กับใบหน้าที่เศร้าสลดเล็กน้อย ดวงตาสีเพลิงจ้องมองไปยังกางเกงที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำแล้วไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี

“อ้าว~ ทำไมกางเกงเปียก”

ตฤณลงจากเตียงนอนที่เขาเพิงเอนหลังพิงหัวเตียงไปได้ไม่นาน ลุกขึ้นมาดูสภาพที่ช่วงล่างของเด็กตัวน้อยเปียกปอนแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าหากนอนไปทั้งอย่างนี้ก็กลัวว่าจะไม่สบายไปเสียก่อนแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จ้าวก็โผล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิวคล้ายกับจะร้องไห้ที่ตัวเองอาจจะกลายเป็นภาระให้ “คือ... ตอนที่จ้าวล้างมือ ไม่ทันระวัง น้ำมันเลยกระเด็นใส่”

“กลับห้องไปเปลี่ยนก่อนไหม เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“แต่จ้าวง่วงแล้ว ถ้าให้เดินไปที่ห้องคงหลับกลางทางแน่เลยครับ”

“แล้ว... จะทำยังไงดี”

“จะเป็นอะไรไหมครับ ถ้าจ้าวขอถอดกางเกงแล้วตากเอาไว้บนเก้าอี้ก่อน”

มันคงไม่เป็นอะไรถ้าแค่ถอดเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่ แต่ถ้าถอดแล้วไม่มีอะไรมาสวมทับ ตฤณก็กลัวใจตัวเองจะเตลิดเปิดเปิงไปเสียก่อน เรียวขาเล็กสีไข่มุกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงผ้าเนื้อดีคงงดงามจนยากจะห้ามใจไม่ให้เผลอไผลไปสัมผัส เขานิ่งเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปว่าอย่างไรดี

“งั้น... จ้าวไปถอดในห้องน้ำก็ได้ครับถ้าพี่ตฤณไม่อยากมอง”

“มะ... ไม่ใช่แบบนั้น คือ... พี่...”

“ถ้าพี่ตฤณไม่ได้รังเกียจก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ อีกอย่างจ้าวก็ใส่ชั้นในเอาไว้”

จ้าวยกยิ้มหวานเมื่อเห็นว่าตฤณพยักหน้ายอมให้เขาถอดเปลี่ยนจนเหลือแต่ชั้นในเพียงตัวเดียวกับเสื้อผ้าฝ้ายตัวยาวโปร่งบางที่ยกปกคอสูง ผูกมัดด้วยริบบิ้นเอาไว้หลวมๆ เขาเผลอปรายตามองร่างของเนตรที่นั่งร้องไห้ เจ็บปวดทรมานใจแต่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้กระทั่งจะตะโกนบอกให้ตฤณรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นปีศาจ

กางเกงที่เปียกชื้นด้วยฝีมือของเจ้าตัวถูกวางพาดไว้บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ร่างเล็กก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนราวกับเขินอายที่จู่ๆ ก็เผยส่วนเนื้อหนังมังสาให้ชายผู้ยังไม่รู้จักมักคุ้นดีได้เห็น ใบหน้ากลมมนขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยพลางก้มหน้างุด เอาแต่มองปลายเท้าตัวเองเวลาเดินไปขึ้นเตียงนอน

“ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ”

“จ้าวก็เขินเป็นเหมือนกันนะครับ ยิ่งอยู่ต่อหน้าพี่ตฤณแล้ว...”

จ้าวไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขารีบสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วเอาหน้าซุกลงกับหมอนหนุน ตฤณยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางเขินอายของจ้าวดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอกจนเขาอยากเข้าไปกอดฟัดให้หนำอกหนำใจ เขาสอดตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วดึงให้ปลายผ้าห่มด้านบนปิดคลุมหัวทั้งคู่จนมิด

“พี่ตฤณทำอะไรครับ”

“จ้าวอยากให้พี่ทำอะไรล่ะครับ”

จ้าวไม่ยอมตอบว่าอยากให้ตฤณทำอะไร เอาแต่ซุกหน้ากับหมอนหนุนอยู่อย่างนั้น

“ใครบอกกับพี่นะว่าปล่อยให้ความรู้สึกเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น”

“.......”

การเล่นตัวควรต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนแต่ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ อยากเล่นตัว เขินอายเวลาถูกมอง เขาใช้ชีวิตอยู่ในร่างของเด็กมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีแต่ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจจะถูกชักจูงได้ แต่ทว่าทำไมยิ่งมองดวงตาคมเข้มคู่นั้นยิ่งเห็นความอ่อนโยนส่งผ่านมา แม้ว่าเขาจะเชิญชวนให้ลิ้มรสร่างกายนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยล่วงเกินไปไกล ถ้าหากเจตรินอยู่ตรงนี้ด้วยคงถูกล้อไม่เลิกราแน่ จ้าวผู้มีอำนาจเหนือใครแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่หัวใจตัวเอง

“นอนเถอะ เดี๋ยวพี่จะกอดเอาไว้แน่นๆ เหมือนทุกครั้งนะ”

จ้าวพยักหน้า ยอมให้ตฤณใช้แขนแกร่งโอบกอดร่างของเขาเอาไว้ภายใต้ผืนผ้าห่ม สันจมูกคมกดลงเน้นๆ บนสันไหล่ผ่านเนื้อผ้าผืนบางที่ปกปิดเรือนร่างเล็ก สูดกลิ่นหอมหวานจากผิวพรรณเนียนนุ่มที่เขาแอบสัมผัสมันตอนเคลื่อนมือผ่านต้นขาเรียวเล็กมาโอบกอดเอวบาง

“พี่ตฤณ~”

เสียงร้องครวญครางของร่างที่อยู่ในอ้อมกอดสร้างความตื่นตัวให้กับสิ่งที่อยู่ใต้หว่างขาของตฤณแต่เขาต้องสงบจิตสงบใจของตัวเองลงให้ได้ ในเมื่อบอกแค่ว่าจะกอดก็จะทำเพียงแต่กอดเอาไว้เฉยๆ โดยที่จะไม่ล่วงเกินร่างกายนี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“ตัวจ้าวหอมจัง หอมทุกวันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณก็กอดจ้าวทุกวันเลยสิครับ”

ทันทีที่พูดจบ เสียงกรีดร้องของเนตรก็ดังขึ้นมาอีกระลอก พวกเขากำลังพลอดรักกันต่อหน้าต่อตาเธอที่รักตฤณสุดหัวใจ ยิ่งได้ยินเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจระบายได้ รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายราวกับปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมน นี่คือสิ่งที่จ้าวคาดหวังจะได้รับแต่มันยังไม่เพียงพอ ความเจ็บปวดที่เนตรมีตอนนี้ยังไม่สาแก่ใจเขา

“จ้าวจะมาให้พี่กอดทุกวันเลยเหรอ แล้วพี่ชายจ้าวจะไม่โกรธเอาเหรอ”

“ฮ่าๆ พี่เจตไม่โกรธหรอกครับ จ้าวรับรอง”

จ้าวขยับตัวพลิกเข้าหาแผ่นอกกว้างแล้วซุกหน้าลงไป อยู่ในท่านั้นพักใหญ่แต่ก็ไม่หลับ งานในค่ำคืนนี้ยังไม่จบ เขาจะหลับไม่ได้อย่างเด็ดขาด ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน จู่ๆ ตฤณก็เอ่ยถามอะไรบางอย่างขึ้นมาจนใบหน้ากลมมนสีไข่มุกเกือบจะถอดสี

“ก่อนที่จ้าวจะเข้ามาหาพี่ พี่ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องด้วย พี่ว่าจะลงไปดูแต่ก็ไม่ได้ไป เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่ตฤณคงหูฝาดไป แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีผู้หญิง”

เสียงของจ้าวฟังอู้อี้จนเกือบจะจับใจความไม่ได้แต่ตฤณก็พอจะเข้าใจ เมื่อจะถามอะไรต่อ เขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาจึงกระชับอ้อมกอดของตัวเองแล้วหลับตาลงบ้าง ในเมื่อคนให้คำตอบไม่อยู่ตอบคำถามแล้ว เขาจะยังตื่นอยู่อีกทำไม

จ้าวไม่ได้หลับจริง เขาแสร้งทำเป็นหลับเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามอีกทั้งเขายังต้องการให้ตฤณหลับไวๆ แล้วจะได้มีเวลาลงมือจัดการเก็บกวาดพวกหนูตัวน้อยที่เข้ามาสร้างความรำคาญใจ เขาลองขยับตัวดูเล็กน้อยแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของร่างที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าไร้การตอบสนองเมื่อยามขยับกายจึงค่อยๆ พาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดแล้วลงมาเหยียบพื้นห้องอย่างเบาเสียงที่สุด เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่เนตรนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตาปูดบวมช้ำแล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหู “เป็นยังไงครับ ของขวัญที่จ้าวมอบให้ ถูกใจหรือเปล่าครับ”

เนตรทำท่าจะตอบแต่จ้าวกลับเอามือแตะริมฝีปากที่เปรอะทั้งคราบเลือดและคราบลิปสติกเบาๆ “จุ๊ๆ อย่าเสียงดังนะครับ เดี๋ยวพี่ตฤณจะตื่น แต่... อย่างว่าล่ะ ยังไงพี่ตฤณก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงพี่เนตรอยู่แล้ว”

เสียงอู้อี้อย่างเจ็บใจของเนตรเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของจ้าวได้อีกครั้ง

“เราเปลี่ยนห้องกันดีกว่าครับ จ้าวมีเซอร์ไพร์สอีกชิ้นให้พี่เนตรด้วย”

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่เอียงไปข้างหลังเหมือนครั้งที่เธอถูกลากให้ย้ายไปอีกห้องหนึ่ง จิตใจของเธอตอนนี้ทั้งหวาดกลัว ทั้งไม่รู้ว่าอะไรจะรออยู่เบื้องหน้า ทั้งเสียใจที่ตฤณเอ็นดูและถนุถนอม เอาอกเอาใจเด็กคนนั้นมากกว่าตัวเธอที่มาก่อน เธออยากหลุดพ้นออกไปจากที่นี่แต่เกรงว่าก่อนที่จะได้ออกไป สติสัมปชัญญะที่มีอยู่จะหลุดลอยไปเสียก่อน

เนตรได้ยินเสียงลากเก้าอี้ไปตามทาง ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่ไม่ยักกะทำให้ตฤณตื่นจากห้วงนิทรา

“จ้าวว่าพี่เนตรคงกำลังแปลกใจสินะว่าทำไมพี่ตฤณถึงไม่ตื่นขึ้นมาเลย แม้ว่าเสียงจะดังแค่ไหน”

“......”

“นั่นสินะครับ จ้าวเองก็สงสัยเหมือนกัน พี่ตฤณคงต้องเป็นคนที่หลับลึกมากแน่เลย”

เสียงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ดังอยู่เหนือหัวเนตร ถ้าหากว่าเธอสามารถออกไปจากที่นี่ได้ เธอจะต้องเตือนให้ตฤณรู้ถึงความร้ายกาจ เจ้าเล่ห์แสนกล มารยาร้อยเล่มเกวียนของเด็กคนนี้ให้จงได้ 



** ติดตามตอนต่อไป **



ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จ้าวร้ายอะ น่ากลัวด้วย ตฤณหลับลึกจริงๆ หลายรอบละ มันน่าเอาน้ำมาสาดให้ตื่นมาดูโลกตอนกลางคืนมากเลย 555555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จ้าวพาเนตรไปหาลีแน่ๆ  ส่วนพี่เจตจะไปจัดการหวานชัวส์  :teach:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด