ตอนที่ 21 : โดดเดี่ยว“พี่พฤกษ์” กวีรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นพฤกษ์เดินเข้ามาในบริษัท
“เต เลขาคุณปาหนันโทรหาพี่ เห็นว่าจะขยายที่ด้านหลังอีกสิบไร่ทำเป็นร้านอาหารริมสระน้ำไปด้วยเลย”
“แล้วเราต้องไปไหมพี่พฤกษ์หรือทางโน้นจะเข้ามาประชุมที่กรุงเทพฯ”
“ไป ทางโน้นอยากให้ไปดูพื้นที่จริงๆ จะได้ลงรายละเอียดว่าจะให้ขุดสระตรงไหนยังไง”
“เมื่อไหร่พี่”
“ภายในสองสามวันนี้ เดี๋ยวทางโน้นโทรมาแจ้งอีกที” กวีได้แต่ยืนนิ่ง พฤกษ์มองผ่านเขาเหมือนเป็นอากาศธาตุ กวียิ้มฝืดเฝื่อน เขาจะหวังอะไรอย่างนั้นหรือ แค่พฤกษ์ไม่ตกใจกลัวจนหนีไปก็โชคดีแค่ไหนแล้ว
“อ้าวกวีจะไปไหน มารอพี่พฤกษ์ไม่ใช่เหรอ” เตชิตเรียกเอาไว้เมื่อเห็นว่ากวีเดินจากไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ทั้งที่เจ้าตัวมานั่งรอพฤกษ์อย่างอดทนอยู่หลายชั่วโมง เขามองหน้าซีดเผือดของกวีด้วยความสงสัย และยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อพฤกษ์ไม่สนใจหันมามอง
กวีไม่รู้จะตอบเตชิตอย่างไรจึงได้แต่พยายามยิ้มทั้งที่เขาอยากร้องไห้มากกว่า
“เต เดี๋ยวพี่ไปพบลูกค้าข้างนอก เสร็จแล้วจะกลับไปทำงานที่บ้าน ถ้ามีลูกค้าโทรหาบอกให้โทรเข้ามือถือพี่”
แล้วไม่กลับเข้ามาเหรอพี่พฤกษ์”
“ไม่ พี่อยากใช้สมาธิ สองสามวันนี้คงไม่เข้าจนกว่างานจะเสร็จ วันนี้พี่แค่แวะเข้ามาเอาของ” เหมือนเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทงเขา กวีได้แต่กัดริมฝีปากแน่น เขาตัดสินใจหันหลังกลับเพื่อไม่ให้เตชิตเห็นน้ำตา
“กวี” เสียงเรียกของพฤกษ์ห่างเหิน ความหนาวเย็นพุ่งเข้าสู่หัวใจของเขา กวีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ก่อนหันกลับไป
“ครับพี่พฤกษ์”
“พี่ขอกุญแจ” มือที่ยื่นออกมาตรงหน้าเหมือนบีบหัวใจของเขาจนแหลกสลาย กวีล้วงมืออันสั่นเทาเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจบ้านออกมาวางบนมือของพฤกษ์
“นี่ครับ ผมตั้งใจเอามาคืนพี่พฤกษ์อยู่แล้ว”
“เดี๋ยวนะมันอะไรกันครับ ผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า” เตชิตอดรนทนไม่ไหว ยิ่งเห็นสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของกวี กับสีหน้าเรียบเฉยราวกับน้ำแข็งของพฤกษ์เขาก็ยิ่งเป็นห่วง
“ไม่มี” คำตอบสั้นๆ ไม่เปิดโอกาสให้เตชิตพูดอะไรต่อ เขาได้แต่ส่งสายตาเป็นห่วงไปหารุ่นน้อง
“พี่กลับล่ะ” พฤกษ์หยิบของที่ต้องการขึ้นมาถือ กวีอ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายคล้ายเจ้าตัวถอดใจ ศีรษะเล็กๆ ตกลง ดวงตาหลุบลงต่ำจนเตชิตมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“เดี๋ยวครับพี่พฤกษ์ อย่าเพิ่งไป” พฤกษ์เดินเกือบถึงประตูเมื่อเสียงเรียกของกรรวีดังขึ้น เขาหันกลับไปมองด้วยสายตาเคลือบแคลง มันทำให้กรรวีชะงักฝีเท้าแต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มกว้างออกมา
“คุณพ่ออยากเจอพี่พฤกษ์ครับ ให้ไปหาที่ห้องทำงาน”
“ตอนนี้?”
“ใช่ครับ” พฤกษ์มีท่าทีลังเลใจแต่สุดท้ายก็พยักหน้า เขาเดินกลับมาวางของลงที่โต๊ะ ก่อนเดินตามกรรวีไปห่างๆ
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามาสิพฤกษ์ นั่งก่อน” กานต์ผายมือไปที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะของเขา พยักหน้าให้กรรวี อีกฝ่ายจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
“มีอะไรอยากถามผมหรือเปล่า” กานต์เป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อนเมื่อพฤกษ์นั่งลงเรียบร้อย
“ไม่มีครับ”
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
“เอาเถอะผมเข้าใจ เรื่องแบบนี้มันยากที่จะเชื่อ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะพฤกษ์ไม่กล้าเอ่ยปากถามผม”
“ผมไม่..” กานต์ยกมือขึ้นห้าม
“ถือเสียว่าผมเป็นคนอยากเล่าก็แล้วกัน และเพื่อความสบายใจ พฤกษ์จะได้ไม่อึดอัด ผมไม่ใช่”
“อะไรนะครับ?”
“ผมเป็นคนธรรมดาเหมือนคุณ ดังนั้นไม่ต้องนั่งเกร็งแบบนั้นก็ได้” กานต์หัวเราะออกมาเบาๆ พฤกษ์รีบขยับตัวเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเมื่อถูกเจ้านายจับความผิดปกติของเขาได้
“ที่เรียกมาไม่ได้เรียกมาพูดหรือกดดันให้พฤกษ์ยกโทษให้กวี หรือมาบอกให้เลิกกลัว เอาจริงๆ ผมเป็นห่วงว่าพฤกษ์จะลาออกเพราะไม่อยากเจอหน้ากวีมากกว่าด้วยซ้ำ ฮ่าๆ” กานต์ยังหัวเราะได้อย่างอารมณ์ดี
“ที่ผมเรียกมาเพราะอยากเล่าบางเรื่องให้ฟัง ผมขอแค่ฟังให้จบก็พอ หลังจากนั้นพฤกษ์จะตัดสินใจยังไงผมไม่เกี่ยว จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามพฤกษ์ยังเป็นลูกน้องที่ผมรักและไว้ใจที่สุด”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้เจ้านายที่เขานับถือมากเช่นกัน
“สมัยเรียน ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสวยมาก ผมตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่แปลกที่ไม่ว่าผู้ชายกี่คนเข้าไปจีบก็ต้องอกหักกันหมด ทั้งหล่อกว่าผม รวยกว่าผม ตอนนั้นผมไม่ได้มีฐานะดีอย่างนี้ เรียกว่าพ่อแม่หาเงินได้แค่พอส่งเรียน ยังนั่งรถเมล์ไปมหาลัยทุกวัน เงินในกระเป๋ามีติดตัวไม่ถึงร้อย” กานต์หยุดเล่า เขามองพฤกษ์ด้วยรอยยิ้ม “พอเดาได้ไหมว่าผมหมายถึงใคร”
“ครับ”
“แต่คนมันชอบไปแล้วจะให้ทำยังไงได้ สุดท้ายผมก็ลองจีบดู ผลลัพธ์คือล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเขาก็มีใจให้เรานี่หว่า มันรู้สึกได้ แต่ทำไมถึงปฏิเสธ จนวันหนึ่งถ้าเรียกให้หรูก็ต้องบอกว่ามันเป็นพรหมลิขิต ผมบังเอิญไปเห็นความลับที่ไม่ควรเห็นเข้า เรียกว่าสติแตกกระเจิดกระเจิง นอนคลุมโปงไปหลายวัน” กานต์หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงความหลัง
“หลังจากวันนั้นผมก็พยายามหลบหน้า พูดง่ายๆ ก็กลัวนั่นแหละ แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะไม่มีหลักฐาน เอาจริงๆ ผมนับถือคุณนะพฤกษ์ ยังมาเจอหน้าได้ ผมตอนนั้นเรียกว่าโกยอ้าวยังน้อยไป”
“ผม..”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดอะไรผมเข้าใจ” กานต์ห้ามพฤกษ์ไว้ ก่อนจะเล่าเรื่องราวของเขาต่อไป
“สุดท้ายมันก็หลบหน้ากันไม่พ้น อยู่คณะเดียวกันยังไงมันก็ต้องเจอ ครั้งแรกที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง แม่ของกวีตกใจจนหน้าซีด ดวงตาที่มองผม ผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ มันเศร้ามาก ทั้งเศร้าทั้งโดดเดี่ยว” พฤกษ์หวนคิดถึงสายตาของกวีที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ มันแทนทุกคำพูดของกานต์ได้ดี
“คุณเพลงรู้หรือครับว่าคุณกานต์เห็น”
“รู้ เพราะวันนั้นแม่ของกวีหันมาเจอผมพอดี พอสบตากันผมก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ”
“อืม..หลังจากได้เจอกันวันนั้น จากความกลัวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสาร ความเห็นใจและสุดท้ายก็คือความเข้าใจ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ทำไมถึงไม่เคยคบใคร เหตุผลมันง่ายมาก จะบอกใครสักคนให้เข้าใจได้ยังไงว่าตัวเองเป็นอะไร จะมีกี่คนที่รับได้ และมีกี่คนที่ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาไม่เห็น จะมีกี่คนที่ไม่เอาไปประจานให้คนอื่นรู้”
“ผมไม่คิดจะทำ” พฤกษ์สบตากับดวงตาคมเข้มที่มองมา
“ผมรู้ ผมคิดว่าผมรู้จักนิสัยลูกน้องของผมดีพอ เรื่องนั้นผมไม่เคยห่วง”
“ขอบคุณครับ”
“มันแปลกนะ พอวันหนึ่งที่เรามองเขาด้วยความเข้าใจ ความกลัวมันก็หายไปเอง ได้แต่เอากลับมาถามตัวเองว่ากลัวอะไร กลัวทำไม คนก็รัก แมวผมก็ชอบเลี้ยง ถ้าเป็นงูก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นผมคงไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะผมกลัวงูมาก” กานต์พูดด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ เขาอยากให้พฤกษ์รู้ว่าความรู้สึกกลัวนั้นไม่ผิด เขาเองก็เคยกลัวเช่นกัน
“สิ่งที่ผมถามตัวเองอีกอย่าง คือผมรักเธอไหม อยากอยู่กับเธอหรือเปล่า หรือจะใช้ทั้งชีวิตโดยไม่มีเธอ คำถามเบสิกมากแต่คำตอบมันยาก สำหรับสิ่งที่เราพบเจอ แต่ถึงผมไม่บอกตอนจบพฤกษ์ก็รู้ดีอยู่แล้ว”
“ครับ”
“ผมอยากเล่าให้ฟังแค่นี้ ส่วนเรื่องที่กวีโกหก ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องบอกเหตุผลแทนลูก พฤกษ์น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่ากวีทำลงไปเพราะอะไร สำหรับกวีแล้วพฤกษ์เป็นทุกสิ่ง เป็นจนผมกลัวใจ กลัวว่าสักวันผมจะเห็นลูกมีสายตาแบบเดียวกับที่ผมเคยเห็น”
“ผม..”
“ไม่เป็นไร พฤกษ์มีสิทธิ์รู้สึกอย่างที่ควรรู้สึก ผมได้พูดสิ่งที่ผมอยากเล่าไปหมดแล้ว ที่เหลือก็คงแล้วแต่พฤกษ์”
“ครับ”
“แต่ถ้าผมขออะไรพฤกษ์ได้สักหนึ่งอย่าง ผมขอแค่เมื่อตัดสินใจดีแล้ว ไม่ว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหมช่วยบอกคำตอบกับกวี ผมขอแค่นั้น ผมอยากเห็นลูกจมปลักอยู่กับความเสียใจ อยากให้ลูกได้ก้าวต่อไป”
พฤกษ์นิ่งเงียบ สมองของเขากำลังทำงานอย่างหนัก ก่อนตัดสินใจพยักหน้าให้กานต์ช้าๆ
“ได้ครับ”
“ขอบคุณมาก ขอบคุณที่เก็บความลับของครอบครัวผมไว้ และจะขอบคุณมากถ้ายังทำงานด้วยกัน”
“ผม..”
“ไปตัดสินใจดูก่อนอย่าเพิ่งตอบผมตอนนี้” กานต์ยิ้มด้วยสีหน้าเข้าใจ “ ไปเถอะ ผมกวนเวลาแค่นี้”
“ครับ” พฤกษ์ตอบรับก่อนลุกขึ้นยืน เขากำลังจะก้าวถึงประตูเมื่อกานต์เรียกชื่อเขาขึ้นมา
“พฤกษ์”
“ครับ?”
“ผมลืมบอกไป ถ้าคุณไม่สามารถเป็นเหมือนเดิมกับกวีได้แต่ยังยินดีทำงานกับผม ไม่ต้องห่วงเรื่องกวี ผมจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก กว่าจะจบถึงเอกคงไม่ต้องเจอหน้ากันอีกหลายปี”
“......” พฤกษ์ยืนนิ่ง เขาสบตากับกานต์ เมื่อไม่มีคำพูดใดจะพูดออกไปจึงได้แต่ค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อแสดงความเคารพและรับรู้ข้อความที่อีกฝ่ายบอก
“หวังว่าจะยังได้ทำงานร่วมกันนะ”
“ครับ”
“เป็นไงบ้างครับพ่อ” กรรวีเปิดประตูเข้ามาหลังจากพฤกษ์เดินออกไป
“ก็ดี”
“ดีแล้วทำไมพ่อทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้คิดหนักแบบนั้นล่ะครับ” คุณกานต์หน้านิ่วคิ้วขมวดจนลูกชายสงสัย
“ก็มันต้องคิดหนักจริงๆ”
“เรื่องอะไรครับ” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อ
“พ่อแทนตัวเองว่าผมกับพนักงานทุกคน ถ้าอีกหน่อยพฤกษ์มาเป็นลูกเขย เรียกแบบนี้คงแปลกพิลึก วีว่าไหม”
“พ่อ~” กรรวีอุทานเสียงหลง ดูเอาเถอะ หน้าสิ่วหน้าขวานยังพูดเล่น
“อ้าว หรือวีคิดว่ามันไม่ซีเรียส ถ้าต้องเปลี่ยนมาเรียกแทนตัวเองว่าลุง โอ้โหไม่ไหวแก่ไป น้าก็ฟังไม่เท่ พ่อยิ่งไม่อยากจะคิดแก่พิลึก”
“อืม..มันก็น่าปวดหัวจริงๆ นั่นแหละครับ”
“เห็นไหม” คุณกานต์ยิ้มชอบใจ เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องพฤกษ์คิดอย่างไรเยอะ คนเคยเป็นมาก่อน แค่เห็นสีหน้าและแววตาของพฤกษ์เขาก็รู้คำตอบแล้ว
✪✥✤✣✦✧✣✤✥✪
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่พฤกษ์” เตชิตรีบถามเมื่อพฤกษ์เดินกลับมาถึงโต๊ะ
“ทั่วๆ ไป” พฤกษ์เลือกตอบกว้างๆ และรู้ว่าเตชิตฉลาดพอที่จะรู้ว่าเขาไม่ต้องการตอบคำถาม
“อ๋อ ครับ”
“พี่ไปก่อน”
“พี่พฤกษ์.คือ..” เตชิตรีบเรียกเอาไว้ สีหน้าของเขาลำบากใจ แต่เมื่อนึกถึงกวีแล้วเขาก็อดสงสารไม่ได้
“พี่พฤกษ์ทะเลาะกับกวีหรือเปล่าพี่ เห็นหน้าตาหงอยๆ แล้วผทสงสาร เดินอย่างกับคนไม่มีเรี่ยวมีแรง”
พฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองเตชิตนิ่ง ในหัวเห็นภาพใบหน้าที่ซีดเผือดของกวี ดวงตาแดงเรื่อ สีหน้าเจ็บช้ำ
“น้องทำให้พี่พฤกษ์โกรธเหรอ อย่าถือสาเลยกวีมันยังเด็ก ให้เวลาปรับตัวนิด ผมว่าพี่กับกวีเข้ากันได้สบาย”
“เปล่า” พฤกษ์หยิบของบนโต๊ะที่เตรียมไว้ขึ้นมาถือ
“อ้าวแล้วงั้นทำไม..” เตชิตไม่อยากพูดว่าแล้วทำไมกวีถึงเสียใจขนาดนั้น
“แค่งอน”
“อะไรนะครับ!” เขาตาตั้งไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากรุ่นพี่อย่างพฤกษ์
“พี่..” พฤกษ์หยุดคิดให้แน่ใจว่าเขาจะพูดคำนี้ออกไปจริงๆ หรือ แต่ถ้าไม่ทิฐิจนเกินไป พฤกษ์รู้ดีว่าข้างในใจของเขาได้คำตอบตั้งแต่ก่อนออกมาจากห้องทำงานของกานต์แล้ว
“งอนกวี”
“ฮ่าๆ อย่างพี่พฤกษ์เนี่ยนะ” เตชิตไม่อยากจะเชื่อ จะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร
“อืม พี่ไปนะเดี๋ยวไม่ทันนัดลูกค้า”
“ครับพี่พฤกษ์ ขับรถดีๆ”
เตชิตรอจนพฤกษ์เดินออกประตูไปแล้ว จึงรีบจ้ำเท้าไปหากวีที่โต๊ะ
“ไงเราไปทำอะไรเข้า”
“ผม..” กวีไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้นอกจากครอบครัว เขาจึงได้แต่ปิดปากเงียบ “ไม่มีอะไรครับ”
“แน่ใจนะ เห็นพี่พฤกษ์เป็นแบบนั้นพี่เขาก็มีหัวใจ ไม่ใช่เรานึกจะทำอะไรก็ทำได้”
“พี่เตรู้เหรอ!!” กวีเงยหน้าขึ้นมองเตชิตด้วยสายตาตกใจ เนื้อตัวเย็นเฉียบ
“แหงล่ะ พี่ลงทุนถามพี่พฤกษ์เองเลย หน้าโคตรนิ่ง ยังนึกว่าจะโดนเตะแล้วที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“แล้ว..” กวีกลืนน้ำลายลงคอ “แล้วพี่พฤกษ์บอกพี่เตว่ายังไงครับ”
“บอกว่า...” เตชิตยิ้มเจ้าเล่ห์ “บอกว่างอนเราอยู่”
“หะ!อะไรนะ”
“ฮ่าๆ พี่ก็ตกใจแรงแบบเรานี่แหละกวีเอ๊ย แต่คำนี้จริงๆ ได้ยินชัดเต็มสองหู”
“งอน ..งอนผมเหรอ” กวีลุกพรวดขึ้นยืน สองมือจับแขนของเตชิตเอาไว้
“เฮ้ย! กวีเป็นอะไร” เตชิตตกใจเมื่อน้องชายสุดที่รักน้ำตาไหลไม่หยุด สีหน้าบอกไม่ถูกว่าตกลงเจ้าตัวเสียใจ หรือดีใจกันแน่
“จริงหรือเปล่าพี่เต จริงใช่ไหม! จริงๆ นะ”
“เดี๋ยวๆ อย่าเขย่า พี่แก่แล้ว” เตชิตร้องโวยวายเมื่อโดนกวีเขย่าตัว
“ตอบผมก่อน”
“เออจริง ได้ยินมากับหูเนี่ยว่าพี่แกงอนเราอยู่ รีบไปง้อเลย คนอะไรงอนน่ากลัวฉิบ พี่นึกว่าเราไปเผาบ้านพี่พฤกษ์มาเสียอีก”
“บ้าแล้ว ใครจะไปทำ” กวียิ้มได้ทั้งน้ำตา หัวใจพองโตไปด้วยความหวัง
“อ้าวแล้วนั่นจะไปไหน” เตชิตถามเมื่อเห็นกวีเก็บข้าวของโยนใส่กระเป๋าโครมๆ จากสภาพไร้เรี่ยวแรงกลายเป็นไฟเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที
“ถามได้ ไปง้อพี่พฤกษ์สิครับ” คนตอบไปไกลจากโต๊ะมากแล้ว ราวกับไม่ต้องการเสียเวลาแม้สักวินาที
“เออดี แล้วทิ้งพี่มันนั่งเอ๋ออยู่นี่ แค่จะเดินออกไปพร้อมกันยังไม่ได้” เตชิตส่ายหัว แต่ใบหน้ากับมีรอยยิ้มกว้าง ดีแล้ว ขอให้ง้อสำเร็จนะเจ้าตัวเล็ก
✪✣✤✥✦✧✣✤TBC✥✦✧✣✤✥✦✧✪
**edit >> อ่านจากคอมเม้นต์บางส่วน สงสัยว่าคนเขียนจะเขียนได้ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ขออธิบายตรงนี้แทนก่อนน้า ฤกษ์ตอนมาบริษัทคือโกรธมากค่ะ มาดีขึ้นตอนฟังพ่อกวีเล่า พอเตชิตทักเลยตัดสินใจบอกออกไปแบบนั้น ว่าแค่งอนน้อง ^^ เดี๋ยวคนเขียนรีไรท์ตอนนี้ให้ใหม่อีกทีนะคะ แต่วันนี้ไม่ทันแล้ว
บอกแล้วว่าไม่ม่าค่า >< ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปจนถึงตอนจบ (ตอนที่ 27) เตรียมหมอนกันให้พร้อมนะคะ ฟินยาวๆ ไป ^^
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin