มาลิสต์สิ่งที่หนูนิทานทำให้พี่กาจน์สักหน่อย...
-ไปหาถึงม.เพราะพี่แกไม่ยอมกลับบ้าน(ยังไม่สนิทกันแต่ก็เป็นห่วง)
-พี่เฟลเรื่องแม่จะกลับมาน้องก็ปลอบโอ๋เสนอไอเดียทำขนม
-โดนขังในตึก รู้ทั้งรู้ว่าจะมีภัยถ้ายังอยู่ใกล้พี่ แต่พอพี่ขอให้ไปอยู่ด้วยก็ยอมเพื่อความสบายใจของพี่...
-ฟังเรื่องของพี่จากปากคนอื่นตลอด แต่ก็ยังเชื่อใจพี่เสมอๆ
-ให้เขาขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกว่ารักเขา 555+
------------------------------------------------------
ตอนที่21“เดี๋ยว ช้าก่อน ช้าก่อน เดี๋ยวนะ”ไอ้สกายพูดเหมือคนติดอ่าง”กูต้องตกใจประเด็นไหนดี เดี๋ยวๆ ขอตั้งสติแพร๊พ พี่กิตต์เนี่ยนะมีแฝด ทำไมไม่มีใครในมหาลัยรู้เลยวะ แล้วเด็กหลังเขาอย่างนิทานเนี่ยนะรู้ แถมยังรู้จักกับฝาแฝดของพี่กิตต์ด้วย ได้ไงวะ เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ อย่าบอกนะว่าที่เขาลือกันว่าพี่กิตต์เป็นไบโพล่าเพราะเจอพี่กาจน์น่ะ!???”
สกายเป็นคนหัวไวพอสมควร ผมเอ่ยชมมันในใจ
แต่ในห้องนี้ไม่มีใครฉลาดเท่าไอ้เอ็มแล้วล่ะครับ เพื่อนสนิทส่งสายตาทิ่มแทงมายังผม สายตาของมันแสดงออกว่ามันมั่นใจข้อสันนิษฐานในใจของมันมาก
คนนี้ใช่มั้ยที่มึงเอามาปรึกษากับกู ผมอ่านปากของมันได้แบบนั้นแต่ผมไม่กล้าพยักหน้าเพราะกลัวว่าพี่กาจน์ที่นั่งอยู่ข้างๆจะอ่านปากเอ็มออกเหมือนกัน
“ฮ่ะๆๆ ไอ้กิตต์กลายเป็นพวกสองบุคลลิคไปเลยเหรอ ฮ่ะๆๆๆๆ มันไม่เคยเล่าให้พี่ฟังเลย นิทานก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”พี่กาจน์ผู้เข้ากับคนง่ายเอ่ยถามสกายอย่างเป็นมิตร เพื่อนๆทุกคนที่ดีดตัวลุกเพราะความตื่นเต้นเริ่มหาที่นั่งของตัวเองเจอแล้วแต่ทุกคนก็ยังให้ความสนใจกับพี่กาจน์มากกว่าเพลงอยู่ดี
“ตอนแรกผมโดนหาว่าเป็นมือที่สามระหว่างพี่กิตต์กับพี่เฟิร์นพวกอัทมันเลยปล่อยข่าวอื่นเพื่อกลบกระแส”คำตอบของผมทำให้พี่กาจน์หัวเราะชอบใจอีกครั้ง
“มันเลยกลายเป็นบ้าเพราะเดี๋ยวก็เดินยิ้มมาหานิทานเดี๋ยวก็เดินหน้าตายหนีนิทานสินะ ฮ่ะๆ ตลกว่ะ เจอกันคราวหน้าต้องล้อหน่อยแล้ว”ปกติฝาแฝดที่โตมาด้วยสภาะแวดล้อมเดียวกันนี่มีนิสัยต่างกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมนึกสงสารพี่กิตต์ในใจ
“แล้วพี่มาทำอะไรในนี้เหรอครับ”ในที่สุดก็มีคนถามคำถามที่ควรจะถาม ไอ้เต้ยเกาหัวแกร่กๆเพราะเจ้าชายต้องห้ามที่มันรู้จักเป็นคนอัธยาศัยดีแต่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
“พี่เดินรอนิทานจนเมื่อยแล้วเลยตัดสินใจมานั่งรอในนี้แทน ได้มั้ยครับ ”ขอกันเสียงหวานขนาดนี้พี่กระชากความแมนออกจากร่างเพื่อนผมเลยเถอะ ไอ้เต้ยที่โดนรอยยิ้มพิมพ์ใจพิฆาตเข้าให้แอบหูแดงระเรื่อ มันก้มหน้าพยักหงึกๆแบบเขินๆ
“ขอบคุณครับ”พี่กาจน์กล่าว
“ทำไมพี่ต้องรอนิทานด้วยล่ะครับ”
จึก คำถามแทงใจดำข้อนี้มาจากเอ็มเพื่อนรัก เพราะเมื่อกี้ผมไม่ยอมตอบมันว่าพี่กาจน์ใช่คนที่ผมยกมาปรึกษากับมันรึป่าวมันเลยถามจากพี่กาจน์เอาเลย ร้ายกาจจจจจ ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจจจจจจ ดูรอยยิ้มของมันสิครับ
ผมลุ้นคำตอบของพี่กาจน์จนแทบลืมหายใจ และพอพี่เขาตอบผมก็ลืมหายใจไปจริงๆ
“ก็พี่ต้องรอรับนิทานกลับด้วยกันไงครับ จะให้พี่มาส่งเขาแล้วกลับไปรอที่ห้อง รอให้นิทานเลิกแล้วค่อยออกมาใหม่ก็ดูจะใจร้ายกับพี่ไปหน่อยนะ”
อึ้งแดกกันทั้งวง
เจอเจ้าชายต้องห้ามให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มแบบไม่สะทกสะท้านเข้าหน่อยถึงกับหาเสียงของตัวเองไม่เจอกันสักคน
ผมแทบจะแทรกตัวเองลงกับพนักโซฟาเพราะการตอบคำถามของพี่กาจน์เมื่อครู่มันสื่อชัดเจนมากๆว่าผมกับพี่เขามีความสัมพันธ์ที่พิเศษ โชคดีที่พวกเพื่อนๆยังมีความเกรงใจเหลือบ้าง พวกมันหันมายิ้มให้ผมแบบล้อๆ บางคนก็ชูนิ้วโป้งให้แสดงว่าเยี่ยมมาก! ก่อนต่างคนจะหันกลับไปสนใจจอคาราโอเกะต่อ
“โกรธเหรอ”ตัวต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งปวงก้มหน้ากระซิบถามข้างหูเล่นเอาผมรู้สึกจั๊กจี๋จนต้องร่นคอหนี
“ป่าวนี่”
“งอนอยู่เห็นๆ”
ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนแต่พอพี่เขาทักผมจึงเริ่มพิจารณาความรู้สึกตอนนี้ ตอนที่พี่เขาแสดงออกว่าผมเป็นคนพิเศษผมรู้สึกดีใจมากครับ แต่ในวินาทีต่อมาผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะตระหนักได้ว่าตัวตนของผมมีค่าแค่ตัวแทนของความทรงจำอันเลวร้าย
ผมเป็นแค่คนหน้าเหมือนน้องสาวของเขา
ผมเป็นแค่คนที่โดนแฟนคลับของเขาแกล้งเหมือนแฟนเก่าของเขา
ตัวตนของผมมันซ้อนทับกับภาพอะไรในอดีตของพี่กาจน์บ้างผมไม่รู้เลย และเพราะไม่รู้หัวใจเลยเจ็บปวด
“ผมไม่ได้โกรธหรืองอน...ผมแค่น้อยใจ”คำตอบของผมสร้างความประหลาดใจแก่คนฟัง พี่กาจน์ที่นั่งอยู่ติดกันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เขาตั้งใจจะถามอะไรบางอย่างแต่โชคดีที่พวกสกายเรียกผมซะก่อน
“นิทาน จะถึงเพลงที่มึงเลือกแล้วนะ อ่ะไมค์”
ชิบล่ะ
ผมรับไมค์มาจากเพื่อนๆ ในใจนึกหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง ผมกลัวว่าพอพี่กาจน์ฟังเพลงที่ผมเลือกพี่เขาจะรู้ความในใจของผม ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมคิดยังไงกับเขา ผมกลัวไปหมด
ผมกลัว...
ดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นมาแล้ว พี่กาจน์หันไปมองหน้าจอที่แสดงเอ็มวีสลับกับใบหน้าด้านข้างของผมไปมา ผมรู้สึกเกร็งจนอ้าปากไม่ขึ้น เพื่อนๆที่เห็นว่าผมมัวแต่อึกอักไม่ยอมร้องเสียทีจึงแย่งไมค์กลับไป
ไอ้เจ็ทกับไอ้เนเน่กอดคอกันร้องเพลงรักอกหักที่ผมเป็นคนเลือก ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้ามองตักตัวเอง กำมือทั้งสองข้างที่เริ่มเย็นเฉียบเอาไว้แน่น ไม่กล้าเงยหน้ามองใครในห้องเลยไม่รู้ว่าคนข้างๆกำลังนั่งฟังเพลงด้วยสีหน้าแบบไหน
พยายามทุ่มเทเพื่อเป็นคนที่ใช่ พยายามเท่าไร แต่มันก็ไม่พอ...
ต่อให้รักแทบเป็นแทบตาย เจ็บช้ำทุรนทุราย
สุดท้ายเป็นฉันที่สุดเหงา เขาคือคนที่เธอรอ
เธอให้เค้าหมดทั้งใจ ไม่เหลือ ไม่มีให้ใคร
และแม้ฉันใกล้สักแค่ไหนก็ยังไกลหัวใจของเธอ
ผมคือคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขา คือคนที่ได้ใกล้ชิดและอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขา คือคนที่เขาใช้มอง...มองมาที่ผมและมองข้ามไปในอดีตที่ไกลสุดไกล ภาพที่สะท้อนในดวงตาของเขาไม่ใช่ผม แม้ว่าเขาจะมองมาที่ผมสักกี่ครั้ง แต่ว่า...
แต่ว่า
แต่ว่าผมจะมาร้องไห้ในที่แบบนี้ไม่ได้
เนื่องจากผมก้มหน้าอยู่เพื่อนๆที่โฟกัสอยู่ที่หน้าจอจึงไม่ทันสังเกตหยาดน้ำใสๆที่พรั่งพรูลงมาที่ตัก มันร่วงหล่นจากหางตาและตกกระทบหลังมือของผม แน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดอย่างพี่กาจน์ต้องมองเห็นผม
แต่ว่าเขาคือคนที่ผมไม่อยากให้เห็นที่สุด
“ขอโทษนะครับ พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระ พี่ขอพานิทานกลับก่อนนะครับ”พี่กาจน์กล่าวลาเพื่อนผมและจูงมอผมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาออกจากห้องไป
ไม่มีใครห้ามหรือถามอะไรสักคำ
พวกมันต้องเห็นน้ำตาของผมแล้วแน่ๆ
นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นอกจากจะมองหน้าพี่กาจน์ไม่ติดแล้วผมยังต้องมองหน้าเพื่อนไม่ติดอีกเหรอ ผมควรจะทำยังไงดี พี่กาจน์ต้องรู้ความในใจของผมแล้วแน่เลย ถ้าผมขอโทษเขาจะยอมให้ผมอยู่กับเขาต่อไปมั้ย
“จองห้องเล็กชม.นึงครับ ครับ นี่ครับ...”
“!?”เพราะมัวแต่คิดมากเลยไม่รู้ตัวเลยว่าโดนพี่กาจน์โดนพามาที่เคาเตอร์หน้าร้านคาราโอเกะ พนักงานต้อนรับรับเงินของพี่เขาก่อนจะพาพวกเรามายังห้องสำหรับสองคนที่ด้านในสุด
ผมอยากจะถามว่าพี่เขาพาผมเข้ามานั่งในนี้ทำไม ผมคิดว่าเขาจะพาผมกลับคอนโดเสียอีก
ผมเริ่มใจคอไม่ได้เมื่อพี่กาจน์เอาแต่จ้องตาผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมกลัวความคิดของเขาตอนนี้มาก
“ทำไมถึงเลือกเพลงนั้นล่ะครับ”
“ก็แค่...คิดว่ามันเพราะดี”ผมตอบเลี่ยงๆ
“เพราะจนน้ำตาไหลเลย?”
“...”ผมไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้เลยได้แต่ก้มหน้าเศร้าๆ
ไม่รู้ว่าด้วยความสงสารหรืออะไรพี่กาจน์ถึงเรียกผมไปกอด ผมยอมอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย พวกเรานั่งกอดกันนิ่งๆในห้องสำหรับร้องเพลงแต่ไม่มีใครเปิดเพลงร้อง แม้ว่าตรงประตูจะมีช่องกระจกให้คนข้างนอกมองลอดเข้ามาได้แต่ผมก็ไม่กลัวว่าจะมีคนมองเห็นพวกเรา ไม่กลัวเลย แค่พี่เขาลูบหัวผมแบบนี้ก็ไม่กลัวอะไรแล้ว
ยังกับมีเวทมนต์เลยแฮะ
“คิดมากเรื่องแฟนเก่าของพี่อยู่ใช่มั้ย”เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากๆนั่นทำให้ผมรู้ว่าเขาพยามปลอบผมอยู่
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“ขอโทษนะครับที่พี่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย นิทานต้องไปฟังจากปากของคนอื่น”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากพูดถึงมัน”
“แต่มันทำให้นิทานเข้าใจเรื่องราวผิด เพราะฉะนั้นวันนี้พี่จะเล่าให้นิทานฟังเองครับ”
เข้าใจผิดเหรอ เข้าใจอะไรผิด?
ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง แม้ใจจะนึกเสียดายโอกาสดีๆอยู่ก็เถอะแต่ ณ เวลานี้ผมอยากรู้มากกว่าว่าพี่กาจน์ต้องการจะ
สื่ออะไร
“พี่กับแฟนเก่าของพี่...พวกเราไม่เคยรักกันครับ”
“!?”
“เพราะฉะนั้นนิทานไม่ใช่ตัวแทนของใคร โอเค พี่ยอมรับว่าตอนแรกที่เข้าหาเราเพราะเราหน้าเหมือนน้องสาวของพี่ พี่คิดว่าถ้าอยู่ต่อหน้านิทานพี่จะให้อภัยเอิญได้ในสักวัน แต่นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว พี่ไม่ได้อยู่กับนิทานทุกวันนี้เพราะเห็นนิทานเป็นเอิญ ยิ่งพี่ฟ้า นิทานยิ่งไม่ใช่ครับ ไม่ใช่เลย คนละความรู้สึกกันเลยครับ”
“หมาย...ความว่า...ยังไง?”
-------------------------------------------
จบตอนแบบนี้ชอบมั้ย ชอบมั้ย 55555555
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากๆเลยนะค้าาาาา คนอ่านน่ารักที่สุด >3<
ปล.ตอนนี้เรามาเพื่อคืนความสุขให้ผู้อ่าน คืนพี่กาจน์สู่สังคมค่ะ 555