ตอนพิเศษวันสงกรานต์
ตอนที่ผมบอกว่าไม่เคยเล่นสงกรานต์ทุกคนดูจะตกใจ ก่อนมันจะกลายเป็นเรื่องสนุก ท้าทาย วางเดิมพันว่าจะลากผมออกมาเอ็นจอยกับเทศกาลให้ได้
อันที่จริงทุกคนมีโปรเจ็กต์คั่งค้างแต่เพราะยังเหลือเวลาอีกมากเลยออกมาพักก่อนจะเครียดตาย
พิชญ์ไม่อยากมา น้องงอแงเรื่องอากาศ แดดร้อนๆ ถูกน้ำเย็นๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด กลัวกลับมาทำงานต่อไม่ไหว แต่ดันแพ้พนันเจด สุดท้ายก็ถูกลากมา
ส่วนผม... ต้องตามมาด้วย เพราะเคยได้ยินว่ามันอันตราย เป็นเทศกาลที่ใครต่อใครก็สามารถถึงเนื้อถึงตัวกันได้
และมันก็จริง...
“ไม่น่าใส่สีขาวมา” ทั้งผมทั้งพิชญ์ก็เปียกโชกไปทั้งตัว และผมจะไม่ห่วงเลยถ้าน้องไม่ได้ใส่เสื้อสีขาวที่พอเปียกก็ลู่แนบร่าง เห็นไปถึงไหนต่อไหน ยิ่งห่วงสีเงินตรงหน้าอกซ้าย เด่นชัดขึ้นมาล่อเสือล่อตะเข้ จนใครต่อใครที่เดินผ่านจับจ้องแทบไม่วางตา พานให้รู้สึกขัดใจจนแทบทนไม่ไหวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากจะลากกลับเสียเดี๋ยวนี้ แต่ทางที่เดินมากับที่ต้องเดินไปข้างหน้าก็ระยะเท่ากัน
ผมได้แต่เดินต่ออย่างพยายามข่มอารมณ์ คิ้วผูกปมจนคนไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งตัวต้นเหตุอย่างเจด พอเห็นผมหงุดหงิด ก็หัวเราะอารมณ์ดีดูพอใจ ก่อนลากคนอื่นเดินหนีไป
เจดนะ ผมคาดโทษไว้เลย
ตัวผมเปียกจากน้ำที่ถูกสาด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาขอประแป้ง ต่างจากอีกคนเดินไปทางไหนน้องก็มีแต่คนเข้าหา พอเดินมาได้สักระยะจากคนที่งอแงไม่อยากมาก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเทศกาล สนุกกับการโดนสาดน้ำยิ้มร่าจนผมไม่อยากขัดใจ ได้แต่เดินข้างๆ เป็นไม้กันหมาให้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าลวนลาม มีถูกเนื้อต้องตัวบ้าง แต่ดีที่ส่วนใหญ่มีมารยาท ออกปากขอก่อน
ถึงอย่างนั้น... ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องอนุญาตทุกคน
“ชื่ออะไรครับ” พิชญ์เงยหน้าสบตาผม พอเห็นท่าทางงุ่นง่านก็ยิ้มขำ แกล้งยั่วให้หงุดหงิดไปกันใหญ่
“พิชญ์” เอ่ยตอบสั้นๆ ยืนนิ่งให้คนแปลกหน้าปาดดินสอพองลงบนแก้มที่เปรอะเปื้อนด้วยสีขาวเกือบทั่วหน้า
ผมจ้องไม่วางตา จนอีกฝ่ายรู้ตัว จากทำท่าจะเอ่ยอะไรต่อ พอเงยหน้ามาสบตาผมก็หน้าเจื่อนถอยไป พิชญ์คงรู้ว่าสาเหตุคืออะไรถึงได้มองหน้าผม หัวเราะเบาๆ
“หน้าดุเกินไปแล้ว” ยิ่งผมขมวดคิ้ว น้องยิ่งขำอีก ก่อนปาดเอาดินสอพองบนหน้าตัวเองมาแปะแก้มผมบ้าง “ดุขนาดนี้ใครจะกล้าขอประแป้งอ่ะ”
“พอเลย” ผมถอนหายใจ ยกมือเกลี่ยดินสอพองแห้งๆ ออกจากปลายจมูกน้องก่อนเอื้อมมือไปดึงยางรัดผมออกปล่อยให้เส้นผมที่เปียกปรกลำคอขาว แล้วถอดหมวกบนหัวสวมให้ ดึงปีกหมวกปิดลงมาถึงครึ่งหน้า ถึงจะรู้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้
หมวกมีใบเดียวและพิชญ์บังคับให้ผมสวมไว้ เพราะไม่อยากให้ใครสนใจ คงไม่รู้ตัว ว่าตัวเองก็เป็นเป้าสายตาน้อยซะที่ไหน... ยิ่งในสภาพนี้ น้องคงไม่รู้ว่าตลอดหลายชั่วโมงที่ปล่อยให้เล่นตามใจ ผมต้องใช้ความอดทนทั้งหมดเพื่อไม่ให้พุ่งเข้าไปเอาเรื่องสายตาน่ารำคาญ
“ไม่ให้เล่นแล้ว หวง” ผมบอก งุ่นง่าน ขัดแย้งอยู่ในใจว่านานๆ น้องจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่อีกใจก็หวงจนแทบคลั่ง
พิชญ์มองผมสีหน้าตกใจเพียงแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือมาจับมือผมไว้เบียดตัวเข้าใกล้จากที่ผมเว้นระยะไว้เพื่อให้น้องไม่รู้สึกอึดอัดจนเล่นน้ำไม่สนุกเอา
“รอคำนี้ตั้งนาน” ก่อนรู้ตัวว่าคิดผิดถนัด น้องไม่ได้ต้องการระยะห่าง คงไม่ว่าสักนิดถ้าผมจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามใจ
ผมหัวเราะ แกล้งบีบจมูกรั้นก่อนยกแขนโอบไหล่ ดึงเด็กเจ้าเล่ห์เข้ามาอยู่ในกำบัง อีกไม่เท่าไหร่ก็คงสุดทาง
และคราวนี้ผมจะไม่ให้แม้แต่แมลงมาแตะต้องคนของผมแม้แต่ตัวเดียว
เล่นน้ำเสร็จเจดกับพวกชวนเราไปต่อที่ร้านเหล้า แหล่งสถานบันเทิงที่ตอนนี้คึกคักผิดหูผิดตา บางร้านถึงขั้นคนล้นออกมากินเนื้อที่ถนน โชคดีที่เป็นร้านคนรู้จักของเจดเราเลยได้โต๊ะนั่ง ไม่ต้องไปยืนเบียดเสียดกับคนอื่นที่ยืนออหน้าร้าน
“ไหวป่ะ” คนข้างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันเมื่อเห็นผมนิ่ง หลังจากกระดกเข้าไปหลายแก้วจนขี้เกียจนับ
เหล้าเพียวๆ ถูกลำเลียงเข้าร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาสมองผมมึนไปเหมือนกัน
เพราะดูเหมือนจะเป็นผู้โชคร้ายของเกมในวงเหล้า ถูกคนทั้งวงหมายหัวไว้ ถ้าแกล้งผมให้เสียหน้าไม่ได้ ก็ต้องเอาให้เมาจนคลานกลับไม่ไหว
พิชญ์ดันเห็นดีเห็นงามไปกับเขาด้วย ถึงกับไม่ยอมแตะแอลกอฮอล์เพื่ออาสาขับรถให้ ตัวแสบดูจะชอบใจที่เห็นผมปฏิเสธทุกคำท้า กระดกแอลกอฮอล์ราวน้ำเปล่าเพราะอยากเห็นผมเมาสักครั้ง
แต่ก่อนที่จะต้องลงไปคลานจริงๆ ผมคงต้องขอเอาคืนบ้าง
“หึ” ดึงเจ้าของรอยยิ้มซุกซนเข้ามากดจูบขมับหนักๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นยืน ปฏิเสธแก้วเหล้าที่น้องยื่นให้ เดินโซเซออกจากวงบ่งบอกว่าจะรับคำท้าท่ามกลางสีหน้าตกใจ
“ฉิบหายแล้วไง”
ความคึกคะนองบวกกับย่ามใจที่คิดว่าผมจะปฏิเสธทุกคำท้าคงไม่มีใครเตรียมใจว่าอยู่ๆ ผมจะลุกขึ้นมาทำตาม โดยเฉพาะคำท้าที่ดูออกจะข้ามหน้าข้ามตาเจ้าของที่นั่งอยู่ข้างๆ
จูบใครสักคนบนฟลอร์เต้นรำ
ท่ามกลางสปริงเกอร์ที่พ่นน้ำลงมาสร้างบรรยากาศ เสื้อที่ใกล้หมาดกลับมาเปียกโชกอีกครั้ง ผมยกมือเสยผมที่เปียกลู่เกะกะออกจากใบหน้า พลางคุมสติเดินเข้าไปหาผู้หญิงที่ใกล้ที่สุด เรียกเธอให้หันกลับมาหาอย่างไม่ลังเล
“ขอโทษนะครับ”
“คะ?” ดวงตาคงจะหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้างุนงงจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขินอาย ผมยิ้มตอบก่อนโน้มตัวลงไปกระซิบฝ่าเสียงดนตรีด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายชะงักงัน
“ขอเวลาแป๊บนึงได้ไหม” มองจากไกลๆ คงเห็นใบหน้าที่เคลื่อนเข้าใกล้... ซึ่งผมจงใจ
ยืนแช่อยู่อย่างนั้น พร้อมนับถอยหลัง
“พี่เต” ไม่ต้องรอให้หันกลับไป เจ้าของเสียงเป็นฝ่ายดึงแขนผมให้เผชิญหน้า ดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจับจ้องมาก่อนกระชากคอเสื้อผม ดึงให้โน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปาก บดเบียดรุนแรงขณะที่ผมพร้อมจะตอบรับด้วยรสจูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่า
ความเกรี้ยวกราดในทีแรกเจือจางด้วยรสจูบลึกล้ำกลับกลายเป็นหลอมระทวย ร่างสูงบางอ่อนปวกเปียกจนผมต้องโอบแขนประคองร่าง
หลุดหัวเราะในลำคอพอใจเมื่อได้ลงโทษคนที่พยายามมอมเหล้าผมด้วยเรียวลิ้นที่รุกเร้าไม่เปิดโอกาสให้ทักท้วงเนิ่นนาน
ความหึงหวงหลอกล่อให้ผีเสื้อน้อยสยายปีกสู่เปลวไฟ ถูกลามเลียโดยไม่ทันระวังว่ามันคือหลุมพราง
คำท้าคือจูบใครก็ได้บนฟลอร์นี้ แน่นอนว่าผมไม่ได้ทำผิดกติกา
...คราวนี้ผมชนะ
“พี่เมาเหรอ” ผมไม่ตอบ คิ้วเรียวจึงขมวดแน่นจ้องหน้าผมอย่างไม่แน่ใจ
อาจจะเมาจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้ถึงได้มองท่าทางปั้นปึ่งว่าน่ารักจนแทบจะทนไม่ไหว
ตอนที่หัดกินเหล้าใหม่ๆ ภพบอกว่าผมเมาแล้วอันตราย... เหมือนจะลากผู้หญิงทั้งโลกขึ้นเตียงได้เพียงการสบตาครั้งเดียว
เคยคิดว่าพี่ชายพูดเกินไป กระทั่งครั้งนี้... ที่ผมนึกอยากจะย่ำยีคนตรงหน้าให้แหลกคาเตียงจริงๆ
เผลอยกยิ้มเมื่อเห็นพิชญ์ลอบกลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีคล้ายกลัวถูกจับได้ถึงไฟปรารถนาที่คุกรุ่น ซุกซ่อนไว้ภายใต้แววตาข้องใจ พยายามห้ามตัวเองไว้แม้คำเอ่ยคาดโทษจะตะกุกตะกัก
“พี่จะจูบเขาจริงๆ เหรอ”
ผมหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าปฏิเสธตามตรง “เปล่า”
แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปยังไม่มากพอที่จะให้ผมขาดสติจนไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก แต่ไม่อาจทำให้ผมขาดความยับยั้งชั่งใจ
หรือต่อให้ขาดสติแค่ไหน ผมก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปกับใครได้
“คุณพิชญ์ มานี่หน่อย” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าของดวงตาสีอ่อนก็ถอนหายใจ เดินเข้ามาหาผม ยอมให้ดึงลงมานั่งบนตัก ซุกหน้ากับซอกคอขาวสูดซบกลิ่นกายที่กักขังผมไว้
สารเสพติดที่ทำให้ไม่อาจหนีไปไหน ไม่คิดจะหนีไปหาใคร
“เตวิชญ์” เสียงปรามกลับสั่นเมื่อผมระดมจูบทั่วลำคอ มือข้างหนึ่งซุกในเสื้อที่ยังหมาด ลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียนราวไร้การควบคุม
ผมอาจจะเมาจริงๆ ก็ได้ ในหัวถึงวนเวียนด้วยความคิดที่จะกลืนกินคนในอ้อมกอดลงไป กลิ่นที่หลงใหลคล้ายกระชากสติให้ยิ่งเลือนรางกลบทับด้วยความปรารถนาที่ปะทุ ทบทวีจนแทบคลั่ง
“พิชญ์ครับ...” เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เงยหน้าสบดวงตารั้นที่สั่นไหวถูกตีรวนด้วยความปรารถนาไม่ต่างกัน “ยังโกรธอยู่เหรอ”
“...”
ไม่บ่อยครั้งนักที่จะง้องอน ออดอ้อนให้หายจากอาการปั้นปึ่งที่ผมมองว่าน่ารัก ยิ่งยั่วให้อยากแกล้งแสดงอาการหึงหวงใส่ แต่หลังจากนี้คงต้องเปลี่ยนวิธีการ เพราะอาการประหลาดใจระคนเขินอายแบบนี้น่ารักกว่าหลายเท่า
“พี่ขอโทษได้ไหม” ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง ใบหน้าค่อยๆ ขึ้นสีจนแดงจัด ชะงักนิ่งสักพักก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นโอนอ่อน ยอมให้ผมโน้มใบหน้าเข้าหาจนหน้าผากแตะกัน หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม ยังคงออดอ้อนคลอเคลียสูดกลิ่นแก้มใสที่เริ่มร้อนจัดด้วยความเขินอาย ก่อนประทับริมฝีปาก ดูดดึงเบาๆ อย่างหยอกเย้าเอาใจ
“หยุดอ้อนเลยเตวิชญ์” คนในอ้อมกอดส่งเสียงปรามอีกครั้ง ดุนดันหน้าผากกับหน้าผากผมคล้ายไม่รู้จะทำยังไง ดวงตาสีอ่อนฉายความงุ่นง่านระคนเหนื่อยใจ
“แค่นี้ผมก็หลงพี่จนจะคลั่ง”
ผมหัวเราะเบาๆ นึกแย้งในใจว่าผมต่างหากที่หลงน้องจนแทบคลั่ง
เมื่อความเคลือบแคลงในแววตาคลี่คลาย ผมสบตาน้องอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานเราวเกมพนัน เดิมพันด้วยความรู้สึกภายในที่ปะทุรุนแรงในทุกวินาที
และเป็นอีกครั้งที่ได้ดั่งใจ ความออดอ้อนส่งผ่านแววตาสั่นไหวกำแพงของคนตรงหน้าจนพังทลาย
เสียงทุ้มหวานสบถพึมพำ งุ่นง่านที่ไม่อาจทนต่อไหว ก่อนเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงมา ปลดปล่อยความปรารถนาที่พยายามอดกลั้น และยิ่งทวีลึกล้ำเมื่อผมตอบรับ รสจูบค่อยๆ เร่องเร้ากลายเป็นร้อนแรงแผดเผา ทวีด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง
อาจเผยแพร่ผ่านลมหายใจ หรือรสจูบที่คล้ายจะทำให้อีกคนมัวเมาไปพร้อมกัน
หลุดหัวเราะเมื่อสองมือถอดเสื้อของผมออกอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ผมเลือกปลดเปลื้องเพียงเกงกางของอีกฝ่าย ปล่อยให้เสื้อขาวบางที่ยังเปียกแนบร่างอยู่อย่างนั้น ภาพที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน กลับดูยั่วเย้ายิ่งกว่าเมื่อถูกนั่งคร่อมอยู่เหนือร่าง
ผมซุกมือเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังเนียนอีกครั้ง ลากลามถึงสะโพก บีบเค้นเนื้อนุ่มซ้ำๆ อย่างมันเขี้ยว
รสจูบทวีความรุนแรง เร่งเร้าเท่าความต้องการ ปราการสุดท้ายถูกปลดพร้อมกับเสียงร้องครางเพื่อผมเลิกชายเสื้อน้องขึ้นเหนือแผ่นอก ครอบครองจุดอ่อนไหวด้วยริมฝีปากพลางใช้นิ้วบดขยี้อีกข้าง โอบรัดแผ่นหลังจนหน้าท้องแนบชิดกัน บดเบียดจนไฟปรารถนาลามเลีย... ปลุกตัวตนจนขยายด้วยราคะ เสียดสีซึ่งกันและกัน
“ฮื่อ...” เสียงหวานครวญครางเมื่อผมเลื่อนมือลงมากอบกำของน้องไว้ ไล้ปลายนิ้วกับส่วนปลาย หยอกล้อจนร้องท้วงด้วยความหวามไหวไม่อาจต้าน
“พี่เต...” ออดอ้อนเมื่อผมเริ่มขยับ รูดรั้งเร่งเร้า นิ้วเรียวจิกหลังคอผมระบายความกระสัน
ผมเงยหน้าขึ้นจูบ ดูดดึงริมฝีปากรั้นหนักๆ ก่อนลากลามสู่ลำคอขาวอีกครั้ง เร่งจังหวะฝ่ามือกระทั่งคนในอ้อมกอดบิดเร่า เปล่งเสียงหวามไหวทรมาน ก่อนปลดปล่อยหยาดน้ำกระเซ็นซ่านเปรอะทั้งมือทั้งหน้าท้องเราทั้งคู่อย่างไม่อาจทนไหว
เสียงหอบกระชั้นดังข้างหูเมื่อน้องซุกซบลงมากับไหล่ผมอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่ยังไม่วายแกล้งขบกัดใบหูปลุกอารมณ์ผมที่ยังคงคั่งค้างทรมาน เมื่อจังหวะหายใจสงบจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง คลอเคลียลมหายใจกับปลายจมูก หยอกเย้าริมฝีปากกับริมฝีปาก กดทาบแล้วผละจาก หลอกล่ออยู่อย่างนั้นกระทั่งไม่อาจทานทน ผมรั้งท้ายทอยน้องลงมาหา กดจูบกลืนกินริมฝีปากที่คลี่ยิ้มรั้นร้ายอย่างเอาแต่ใจ
กระทั่งมือบางผลักไหล่ผมนอนราบกับโซฟา ผละริมฝีปากเพื่อสบตา เสื้อขาวบางตัวสุดท้ายถูกถอดทิ้งจนร่างเปลือยเปล่า
ใบหน้าคุคั่งด้วยความต้องการ ผมคลี่ยิ้มพลางเกลี่ยนิ้วเบาๆ กับผิวแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงซ่านด้วยแรงอารมณ์ มองร่างบอบบางที่ขยับกดสะโพกทาบทับกลางร่าง ขยับให้ความคับขยายเสียดสีช่องทาง
พิชญ์ชอบท่านี้... ชอบที่ได้เอาแต่ใจ กดผมไว้ใต้ร่าง
ผมก็ชอบเช่นกัน ชอบที่ได้มองน้องขยับอยู่บนร่าง แต่ครั้งนี้เลือกที่จะอดกลั้น
“อ๊ะ!” เสียงหวานหลุดผวาเมื่อผมยกร่างน้องขึ้นจากโซฟา เรียวขายาวเกาะเอวผมไว้ด้วยกลัวหล่น แขนที่โอบรอบคอเกร็งแน่น ผมกลบทับความสงสัยในแววตาด้วยรสจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
น้องโอนอ่อนตาม ตอบรับเคลิบเคลิ้มกระทั่งผมอุ้มเข้ามาในห้องนอน สีหน้ากลับมางุนงงอีกครั้งเมื่อผมวางร่างตัวเองลงหน้ากระจก จับหมุนเข้าหาให้เห็นภาพสะท้อนร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง
ร่างกายที่ผมได้เห็น... สัมผัส... โอบกอดไว้ในทุกค่ำคืน
อยากให้น้องรับรู้ว่าถึงความงดงาม... ความงดงามที่ผมมีสิทธิ์ได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
“สวยมาก”
พิชญ์หัวเราะเบาๆ กับคำชมนั้น ใบหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอายขณะเอี้ยวหน้ากลับมาจูบแก้มผม คลอเคลียปลายจมูกอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ลมหายใจรินรดกันและกันเนิ่นนาน
ผมสบตาน้องผ่านกระจก ดวงตาสีอ่อนสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย ขณะดึงมือของผมขึ้นไปจูบย้ำๆ ขณะที่ผมซุกจมูกลงกับไหล่น้องสูดกลิ่นกายหอมก่อนค่อยๆ ไล่ริมฝีปากจูบตามแนวกระดูกสันหลัง ฝากรอยรักทั่วผิวขาวตรีตราเป็นเจ้าของซ้ำๆ
“พะ... พี่เต” กระทั่งลามเลียถึงสะโพกเปลือยเปล่า น้องผวาทำท่าจะขยับหนี ปล่อยมือที่จับไว้เปิดโอกาสให้ผมลูบไล้ฝ่ามือทั่วเรือนกาย บีบขย้ำเบี่ยงเบนความสนใจจากริมฝีปากที่รุกล้ำ จาบจ้วงช่องทางสีหวานอย่างที่ไม่เคยทำ
โทษฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วกันที่ขุดขับความปรารถนาให้ทบทวีเป็นหลายเท่า ความมัวเมาฉุดกระชากให้ถลำลึกเกินห้าม
“อื้อ...! อย่า...” ต่อให้น้องอ้อนวอนก็ไม่คิดถอยกลับ ไล้เลียส่วนเร้นลับจนได้ยินเสียงครางหวาน เรียวขาปวกเปียกจนไม่อาจขยับหนี ทำได้เพียงเท้าแขนพิงกระจกพยุงร่าง ช่องทางสั่นระริกสวนทางกับเสียงปรามยิ่งเร้าให้อยากโลมเลีย
“พี่เต...” ยิ่งยากจะห้ามเมื่อได้เสียงเรียกที่ต่างจากทุกครั้ง หวานล้ำ ออดอ้อน ทบทวีด้วยความร้อนเร่า
ร่างบางบิดเกร็งราวถูกไฟเผา เสียงครางกระเส่าดังลั่นไม่แพ้เสียงชื้นแฉะหยาบโลนจากเบื้องล่าง เมื่อช่องทางถูกชโลมชุ่มผมลุกขึ้นซ้อนหลังน้องอีกครั้ง โอบรัดร่างกายที่คุด้วยไฟปรารถนาจนแดงซ่านอย่างน่ารัก กดจูบทั่วผิวขาวซ้ำๆ ขณะค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปในความชื้นฉ่ำจากน้ำลาย เชื่องช้าทั้งที่อยากฉีกกระชาก กระแทกกระทั้นด้วยความปรารถนาที่โหมคลั่งอยู่ในกาย เพียงใช้ริมฝีปากดูดดุน ขบกัดทั่วแผ่นหลัง ฝากรอยรักช่วยระบาย
เพราะไม่อยากให้น้องเจ็บ ต่อให้กระหายจะกลืนกินตะกละตะกลาม ผมเลือกจะค่อยเป็นค่อยไป โอนอ่อนด้วยรู้ว่าความอ่อนโยนลึกล้ำจะทำให้อีกคนทรมานไม่แพ้กัน
“พี่เต...พี่เต...” เสียงกระเส่ากระซิบเรียกชื่อผมซ้ำๆ ใบหน้าที่อาบด้วยหยาดน้ำจากความหวามไหวที่สะท้อนในกระจกดูออดอ้อนจนไม่อาจทานทนอีกต่อไป
“เข้ามา... เข้ามานะครับ” อ้อนวอนปลดปล่อยทุกความอดกลั้น จับตัวตนที่เปล่งคั่งสอดใส่ในช่องทาง
กดกระแทกเข้าไปอย่างไม่อาจยับยั้งจนเสียงครางหวานดังลั่นอีกครั้ง ความคับแน่นบีบรัดยิ่งเร้าให้กระแทกกระทั้น รัวเร็วด้วยจังหวะรุนแรงกว่าทุกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับปลายคาง บังคับให้มองตรงเข้าไปในกระจก จับจ้องใบหน้าที่ยิ่งงดงามด้วยแรงอารมณ์ สอดนิ้วเข้าไปในริมฝีปากที่เผยอร้องครางเล่นล้อกับปลายลิ้นที่ขยับไล้เลีย หยอกเย้าหมุดเงินกับนิ้วของผมอย่างรู้งาน
ผมคลี่ยิ้มพอใจ ขยับสะโพกในความร้อนจัดที่บีบรัดถี่รัวขึ้นในทุกๆ ครั้ง กระทั่งสุดปลายทางความปรารถนา เสียงหวานครางลั่นอีกครั้ง ใบหน้ายามเสร็จสมที่สะท้อนในกระจกยิ่งดูงดงาม ปลุกความคิดให้ยิ่งอยากบดขยี้ซ้ำๆ กลืนกินทั้งร่าง ต่อให้อิ่มจนสำลัก ก็ไม่อาจห้ามความละโมบ อยากจะโลมเลียอยู่อย่างนั้น ราวสารเสพติดที่ไม่อาจควบคุมความต้องการ
ยอมต่อให้ไฟราคะแผดเผาจนมอดไหม้ แหลกสลายไปพร้อมกัน
“ขี้โกงอ่ะ ไหนบอกว่าเมา” เสียงกระเง้ากระงอดเอ่ยถามหลังจากยอมรับยาจากผมไป กินไว้กันไข้เพราะเล่นน้ำมาทั้งวัน... แถมยังต้องรับศึกหนักจนเกือบเช้า
“ใครบอก” ผมแกล้งเลิกคิ้ว ยกมือเกลี่ยผมชื้นเพราะเพิ่งถูกผมจับอาบน้ำสระผมให้ กดจูบหน้าผากที่ยับจากคิ้วที่ย่นเข้าหากัน
“พี่เจด” ก้มลงซุกหน้ากับลำคอที่มีแต่รอยช้ำ หลุดหัวเราะกับคำตอบเจือน้ำเสียงรั้น “ป๊าบอกว่าเพราะพี่เมาก็เลยทำแบบนั้น”
ยังคงขุ่นเคืองกับการกระทำเมื่อหัวค่ำ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาน้อง ยกยิ้มให้กับความปั้นปึ่งที่กลับมาอีกครั้ง ไม่ปฏิเสธว่าผมอาจเมา
แต่อีกเหตุผลที่กระตุ้นให้ทำ คงไม่พ้นอยากแกล้ง...
“ใครใช้ให้เข้าข้างพวกนั้น” ผมต่างหากที่ต้องงอน ที่น้องรวมหัวกับพวกเจดพยายามมอมเหล้าผม ซ้ำยังหาเรื่องมาทดสอบความอดทนต่างๆ นานา
ผมก็แค่เพิ่มความสนุกให้เกมก็เท่านั้น ถ้าไม่ผลัดกันชนะบ้าง คืนนี้ก็คงขาดสีสัน
“โห่ ร้ายว่ะ” ผมหัวเราะให้น้ำเสียงกระเง้ากระงอดอีกครั้ง เอื้อมแขนรวบเอวบางมานั่งตัก น้องยกแขนโอบรอบคอผมตอบ เบ้ปากงอนพลางคลอเคลียออดอ้อนไปพร้อมกัน
“ไม่ให้เล่นแล้ว หวง” คำพูดตอนกลางวันย้อนกลับเข้าตัว ผมหัวเราะเบาๆ แกล้งงับจมูกรั้น ก่อนลากริมฝีปากกดจูบย้ำๆ
พิชญ์ตอบรับด้วยสัมผัสหวาน ก่อนผละออกเพื่อสบตา
“พรุ่งนี้พ่อพี่ว่างไหม” ผมเลิกคิ้ว เพราะไม่เข้าใจคำถาม น้องยิ้มพลางยกนิ้วเกลี่ยแก้มผมเบาๆ เอ่ยคำตอบที่ผมยิ่งไม่เข้าใจ
“จะพาไปเล่นสงกรานต์”
พิชญ์บอกว่ามันคือพิธีรดน้ำดำหัว
ที่บ้านน้องทำแบบนี้ทุกปี เก้าอี้ในสวนถูกจัดเรียงเป็นแถวให้พวกผู้ใหญ่นั่ง มีถังน้ำหอมๆ วางอยู่ด้านหน้า ผมกับพิชญ์ที่เป็นลูกหลาน ตักน้ำใส่ขันเล็กๆ รดบนฝ่ามือพวกท่าน ยกมือไหว้รับคำอวยพรจากความรักและความหวังดี กระทั่งถึงผู้อาวุโสคนสุดท้ายที่ดูจะเก้ๆ กังๆ กับพิธีการที่ไม่คุ้นเคย
วันนี้พ่อไม่ต้องทำงาน แถมยังแพ้ลูกอ้อนของพิชญ์จนต้องมานั่งงุนงงถูกดำหัวไปกับเขาด้วย
“ขอให้พ่ออยู่กับพี่เตกับพิชญ์ไปนานๆ นะครับ” มัวแต่นั่งอ้ำอึ้งจนน้องขอเป็นฝ่ายเอ่ยแทน พ่อยิ้มขำก่อนจะโน้มตัวลงมาลูบหัวน้องเบาๆ พลางเอ่ยคำที่ดูจะเอาแต่ใจมากกว่าอวยพรอย่างคนอื่นๆ เขา
“วันหลังไปค้างบ้านพ่อบ้าง” น้องหัวเราะ รับคำ เข้าไปกอดพ่อผมเหมือนที่ทำกับพ่อแม่ตัวเอง
พอกอดตอบลูบหัวลูบหลังน้องอย่างเอ็นดู ก่อนมองหน้าผม แล้วเราก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกัน
พอหมดพิธีการก็เป็นเวลาของกิจกรรมครอบครัว ไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านอื่นเขาทำอะไร แต่บ้านนี้กิจกรรมที่พอจะเข้ากันได้ก็มีแค่เรื่องต้นไม้
แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน
“ร้อนอ่ะ พิชญ์ขอไปอยู่ในครัวกับคุณแม่แทนได้ไหม” พิชญ์เริ่มงอแงหลังจากกลบดินใส่ต้นอ่อนไม้พันธุ์หายากที่พ่อผมหอบมาฝากเพราะพ่อพิชญ์เคยขอไว้
ผมหัวเราะยีผมน้องอย่างหมั่นไส้ก่อนดึงเอาพลั่วในมือน้องมาถือไว้ ปล่อยคนเอาแต่ใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เพราะรู้ว่าไม่ใช่งานที่น้องถนัดทำมาถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเก่งมาก พ่อของพิชญ์บ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าพิชญ์ไม่เคยสนใจงานในสวน ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะนั่งเล่นอยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือไม่ก็วอแวอยู่กับคุณแม่อ้อนให้ทำนู่นนี่ให้กินตามประสา
ไม่แปลกใจเลยที่พ่อจะใจอ่อนเมื่อได้ผมเป็นลูกมือทำสวนซ้ำยังได้เพื่อนคุยในเรื่องที่คนอื่นในบ้านไม่ค่อยสนใจ
“ผมบอกลูกคุณหลายครั้งว่าอย่าตามใจเจ้าพิชญ์นัก” น้ำเสียงอ่อนใจถูกเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ คงเพราะย้ำเรื่องนี้มาหลายหน แต่ก็ยังไม่เห็นผมทำตามได้สักครั้ง
“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” แต่พ่อผมกับคิดเหมือนกัน อันที่จริง รายนั้นสปอยล์น้องกว่าผมหลายเท่า
“เดี๋ยวเอาแต่ใจจนรับมือไม่ไหวก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน” น้ำเสียงนั้นคล้ายหมั่นไส้ระคนอ่อนใจ ผมมองหน้าพ่อ เห็นท่านยักไหล่กลบดินฝังต้นอ่อนในหลุมของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
“งั้นก็บอกให้ลูกคุณช่วยน่ารักน้อยลงหน่อย เผื่อเจ้าเตจะตามใจน้อยลงบ้าง”
ผมเผลอยิ้มกว้าง เห็นด้วยกับพ่อทุกประการ
------------------------------
สวัสดีปีใหม่ไทยย้อนหลังค่ะ มาช้าดีกว่าไม่มาเนอะ
ไปเล่นน้ำที่ไหนกันมาบ้างคะ
ส่วนเรานั่งหน้าคอมจมธีสิสทั้งสามวันเลยค่ะและยังคงต้องจมอยู่อย่างนี้ไปอีกเกือบสองอาทิตย์ (ร้องไห้แล้ว)
ทรมานไม่ไหว เลยแอบมาเติมกำลังใจกับความหวานของพี่เตน้องพิชญ์สักหน่อย
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ เราแอบเขียนตอนเบลอๆ ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ขอโทษด้วยนะคะ ฮืออ
ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมน้า
ขอบคุณมากๆ ค่ะ