11
“กูเห็นนะ” คนมาใหม่เอ่ยประโยคทักทายที่ทำให้ผมหันไปเลิกคิ้ว แต่คำตอบกลับเป็นถุงพลาสติกใบใหญ่ที่โยนมาปะทะอกผมพอดิบพอดี
“มาช้าไปป่ะ จะกลับแล้วเนี่ย” ผมบ่น แกะถุงพลาสติกที่เผลอรับไว้ ข้างในบรรจุสารพัดขนมขบเคี้ยว เสบียงสำหรับคืนนี้ พี่เจดยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ ก่อนจะหยิบบุหรี่จากกระเป๋าออกมาจุดไฟ
“รอยที่คอมึง” เอ่ยต่อประโยคที่ผมเกือบลืมไปแล้ว เล่นเอางงไปพักก่อนจะเบิกตากว้างยกมือขึ้นมาปิดคอตัวเองทั้งที่ไม่ทัน
ถึงจะผ่านมาสามวัน แต่รอยจางๆ ที่หลงเหลืออยู่ก็สังเกตได้ ขนาดมีผมช่วยบังยังโดนทัก อีกคนคงไม่รอดเหมือนกัน
“ไอ้เตก็มี” พี่เจดหัวเราะพลางสูดควัน มองลงไปชั้นล่างที่เด็กปีหนึ่งกลุ่มใหญ่กำลังทำงานกันอยู่กลางคอร์ทของตึกรูปตัวยู โปรเจ็กต์สุดท้ายของเทอมที่ต้องทำงานเป็นกลุ่ม สร้างยูนิตฟังก์ชั่นรองรับกิจกรรมตามอิริบถพื้นฐานต่างๆ
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี ‘เขา’ ที่กำลังขะมักเขม้นกับการยกแท่งไม้มาทาสีในสภาพที่เรียกได้ว่าเกือบจะมอมแมม
“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยได้แค่ยืนนิ่งมองไปยังจุดเดียวกันให้พี่รหัสปะติดปะต่อเรื่องต่อไป
“ตกลงมึงสองคนนี่ยังไง?” แสร้งหยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ให้ปากไม่ว่างจะได้ไม่ต้องตอบคำถาม
แต่ความเงียบก็คือคำตอบที่เดาง่าย
“จริงๆ กูก็ได้กลิ่นตุๆ มาสักพัก กูไม่ค่อยเห็นมึงยุ่งกับใคร”
ผมไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง ใครชวนไปไหนก็ไป คุยเล่นได้ แต่ไม่ชอบผูกสัมพันธ์... ถูกใจคนยากน่ะ
“ไม่ใช่เพราะมันหล่อแน่ๆ อ่ะ ก่อนหน้านี้มีคนหน้าตาดีเยอะแยะมาเสนอตัวให้มึงก็ไม่แยแส” อย่างพี่เจดก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกใจ
เป็นพวกที่ภายนอกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลายครั้งก็ชอบทำให้ประหลาดใจ
“แฟนเก่า?”
นี่ไง...
ผมแทบสักควัน เบิกตากว้างมองคนข้างตัวราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พี่รหัสตัวโตเลยหัวเราะเสียงดัง
“พวกมึงเคยเรียนที่เดียวกัน” เบาะแสแรกถูกเอ่ยพร้อมกลุ่มควันสีขาวและเสียงซี้ดปากเบาๆ เค้นเอาเบาะแสถัดไปออกมา
“แล้วสายตาที่มึงมองมันก็ดู... อาลัยอาวรณ์?”
ให้ตาย ไอ้พี่เคราควรไปตั้งสำนักอ่านใจ
ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่พี่มันกลับวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ ราวกับมีอดีตร่วมกัน... ได้ไงวะ?
“ที่สำคัญคือไอ้เต...” ทำท่าจะเอ่ยเบาะแสสุดท้ายแต่กลับชะงักไป ชี้นิ้วคีบบุหรี่ไปยังคนข้างล่างที่กำลังขะมักเขม้นกับการทาสีไม้ หรี่ตาเหมือนไม่แน่ใจ “มันดูเปิดใจกับมึง”
ผมแค่นหัวเราะ ถ้านั่นเรียกว่าเปิดใจ มันคงเป็นประตูที่แม้แต่แมลงตัวจ้อยก็เล็ดลอดเข้าไม่ได้
“ปาบอกกูว่าไอ้เตเป็นแฟนที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยคบ”
ผมเลิกคิ้ว เอ่ยคำถามแรกออกไป “ยังไง?”
“มันไม่เคยสบตาเลยนอกจากตอนเลิกกัน” ผมพยายามนึกภาพ แต่ทุกครั้งที่คุยกันผมไม่ค่อยเห็นเขาละสายตาไปไหน ราวกับตั้งใจจะใช้สีรัตติกาลนั้นล่อลวงให้ผมดิ่งลึกลงไป
“เป็นเวลาเดียวที่มันแสดงความจริงใจ” พี่เจดหัวเราะเบาๆ ควันสีขาวขุ่นพรูพร่างออกมาจากรูจมูก “ไม่เคยละเลย แต่ก็ไม่ใส่ใจ เหมือนหุ่นยนต์อ่ะ ถูกตั้งโปรแกรมคำว่าแฟนไว้แค่ไหนก็ทำแค่นั้น ลืมใส่ความรู้สึกลงไป”
ผมแค่นหัวเราะอีกรอบ ทอดสายตามองร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจนสีที่ติดอยู่กับมือเลอะแก้มเป็นขีดเด่นชัด
“ผมว่าเขากำหนดจุดเริ่มต้นกับจุดจบไว้ตายตัว” ละเลียดควันลงปอดพร้อมเอ่ยข้อสันนิษฐาน พี่เจดหัวเราะลั่น
“โคตรจะหุ่นยนต์” คนตัวโตดับบุหรี่ที่เกือบถึงก้นกรอง หยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุด ให้ควันสีขุ่นเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงทำเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำได้แค่ละเลียดควันเข้าปอดครั้งสุดท้าย บี้บุหรี่ลงที่เขี่ยแล้วเท้าแขนกับหน้าต่างอย่างเสียดาย... หมดโควต้าการอัดนิโคติน
“เขาบอกว่าไม่มีทางคบคนเก่า ส่วนผมกำลังวิ่งตามอดีตอยู่ ตลกไหม” สายตาทอดมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเปื้อนสี นึกอยากจะยื่นมือออกไปเช็ดออกให้ แต่ปล่อยไว้แบบนี้ก็น่ารักดี “เหมือนกำลังวิ่งสวนทางกัน แต่ก็คิดว่าต้องมีสักจุดที่เจอกันจนได้”
“หึ” พี่เจดหัวเราะ เอื้อมมือมาจับหางม้าผมเขย่าเบาๆ “โคตรมึงเลย”
“หมายความว่าไง” พอได้ยินคำถามพี่เจดทำหน้าเหมือนจะบอกว่ามึงไม่รู้เหรอว่าตัวเองเป็นยังไง อะไรแบบนั้น
“ก็มึงมันพวกเลือกมาก เลือกแล้วจะเอาให้ได้ ดื้อด้านชิบหาย”
คราวนี้ผมหัวเราะตาม ...ก็จริง
บอกแล้วว่าถูกใจคนยาก ทั้งชีวิตมีไม่กี่คนหรอกที่อยากจะแคร์ พอเจอแล้วก็ไม่อยากยอมแพ้... เป็นข้อดีหรือเสียผมไม่แน่ใจ
รู้แต่ว่าคงเสียใจกว่าถ้าปล่อยมือง่ายๆ
“พี่ว่าหัวผมแข็งพอจะพังกำแพงได้ไหม” ไม่เชิงคำถาม แค่อยากได้คำยืนยัน... คำตอบที่ต้องการมีแค่อย่างเดียว
“หัวแตกเปล่าๆ” พี่เจดว่า ดับบุหรี่ที่ยังสูบได้ไม่ถึงครึ่งลงกับที่เขี่ยข้างตัว ผมขมวดคิ้ว แต่รู้ว่าคนอย่างพี่เจดไม่เคยตัดกำลังใจใคร ถึงได้รอให้พี่มันเล่นตัว แกล้งสูดอากาศหายใจลึกแล้วเอ่ยออกมา “กำแพงมันหนาเกิน หัวมึงไม่แข็งพอ
หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีหมวกกันน็อค”
ผมหัวเราะ หันไปมองไอ้พี่เคราที่ยักไหล่กวนตีนก่อนจะยิ้มบางๆ ให้
“แล้วอีกอย่าง มึงฉลาดกว่าเอาหัวไปพังกำแพง ถูกไหม” รอยยิ้มแบบคุณพ่อที่ทำให้ผมยิ้มตามได้ด้วยความสบายใจ
“ป๊าน่ารักว่ะ” แกล้งเอ่ยฉายาที่ตัวเองลอบตั้งให้แทนเครายักษ์ที่ใครต่อใครนิยามตามหน้าตาแต่ขัดนิสัย
“ป๊าพ่องสิ” ไอ้พี่เคราโวยกลับ ผลักหัวผมจนแทบโขกกรอบหน้าต่างก่อนจะผละออกไป “กูไปทำงานต่อละ แบ่งขนมไอ้เตด้วยแล้วกัน มันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยมั้ง”
ผมพยักหน้ารับปาก โบกมือส่งแล้วหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง ตอนนี้เด็กๆ คนอื่นเหมือนกำลังจะแยกย้าย มีน้องคนหนึ่งบอกให้เขาพักก่อนแต่ร่างสูงยังทาสีส่วนของตัวเองไม่เสร็จเลยยังไม่ไปไหน ผมยิ้ม ยกมือเท้าคางมองเขาที่ก้มหน้าก้มตาทีสีอย่างตั้งใจเกินไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน และสำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้แน่ใจว่าสีที่ทาทั่วแท่งไม้ พอเสร็จงานก็เอาอุปกรณ์ไปล้าง
...ขั้นตอนธรรมดา แต่กลับดูดีทุกท่วงท่าเมื่อเป็นเขา โดยเฉพาะตอนที่ร่างสูงยกมือบิดขี้เกียจช้าๆ จนชายเสื้อลอยขึ้นมา อวดกล้ามเนื้อเหนือขอบกางเกง
ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ปีนออกนอกหน้าต่างลงไปนั่งห้อยขาตรงคอนกรีตที่ยื่นออกมาเป็นกันสาด อย่างที่พี่เจดว่า ผมจะไม่โง่เอาหัวชนกำแพง แค่ใช้ความอดทน...ผสมลูกเล่นนิดหน่อย ไม่ให้ความพยายามน่าเบื่อเกินไป
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา หาเบอร์ที่ได้มานานแล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ กดโทรออกแล้วรอ สายตายังคงมองร่างสูงที่อยู่ต่ำลงไปสามชั้น เขาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ามองเบอร์ที่ไม่น่าจะเมมไว้ เลิกคิ้วประหลาดใจนิดหน่อยแล้วตัดสินใจกดรับ
“ท้าหรือจริง” ผมยิงคำถามโดยไม่คิดแนะนำตัว
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอลอดออกมา เขาวางอุปกรณ์รวมไว้กับของคนอื่นๆ ก่อนจะออกมาหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับที่ผมนั่งพอดี
[ ท้า ] เสียงทุ้มไม่ได้บ่งบอกถึงความกระตือรือร้น แต่ก็ไม่ได้เบื่อหน่าย ผมเลยกระตุ้นด้วยคำท้าเร้าใจ
“รับหน่อย” บอกสั้นๆ หลุดขำเมื่อเห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “ชั้นสาม”
เขาเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อสบตาผมก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่า
“สาม”
[ เล่นอะไร ] เสียงทุ้มเข้มขึ้นบ่งบอกว่าอารมณ์เขาเปลี่ยน ผมเลยยิ้มกว้างตอบไป
ไม่ได้เล่นสักหน่อย
“สอง”
[ พิชญ์... ] สีหน้าเขาดูตกใจ แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้ได้ห้ามอะไร
“หนึ่ง...”
“พิชญ์!”
ดวงตาเรียวคมเบิกกว้างเมื่อหมดเวลานับถอยหลัง ผมยิ้มทิ้งท้าย ก่อนทำตามคำท้าอย่างไม่ลังเลใจ
ปล่อยมือ... ได้เวลากระโดดลงไป
เกิดเสียงลมปะทะ เสียงแหวกอากาศตามหลัง... ลอยคว้างอยู่กลางอากาศพร้อมๆ กับถูกแรงโน้มถ่วงฉุดกระชาก รวดเร็วเพียงพริบตา
ตุบ! ตุบ!
เสียงสองสิ่งกระทบพื้นพร้อมกัน...
หนึ่งคือถุงเสบียงที่ผมเพิ่งทิ้งลงไป อีกหนึ่งคือโทรศัพท์ในมือของร่างสูงที่ขาข้างหนึ่งก้าวมาข้างหน้า แขนยื่นออกคล้ายกับตั้งใจจะรับไว้ แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่กระโดดลงไปไม่ใช่ตัวผมก็ชะงักไป เกือบจะได้ยินเสียงถอนหายใจขณะที่มือหนายกขึ้นมากุมขมับนวดช้าๆ ราวข่มอารมณ์
ผมหัวเราะเบาๆ ชะโงกหน้ามองผลงานตัวเอง ปากถุงที่มัดแน่นส่งผลให้บรรดาขนมที่พี่เจดเอามาให้ปลอดภัย ผมกดตัดสายโทรศัพท์ที่ไม่มีประโยชน์ แล้วเปลี่ยนเป็นใช้เสียงตะโกน
“พี่พลาด”
“...”
“คืนนี้ผมไปห้องพี่นะ มีอะไรจะให้ดู”
“...” ไม่ทันเอะใจว่าเขานิ่งเกินไป ความสนุกที่แกล้งคนตัวสูงได้เหือดหาย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา... สีหน้าเปลี่ยน
ไปจากทุกครั้ง
มันควรจะเป็นแววตาขบขันและรอยยิ้มร้าย... ริมฝีปากที่สบถพึมพำ บ่นที่ผมทำให้ตกใจ แต่ไม่ใช่
เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ มุมปากไร้รอยยิ้มร้าย... ดวงตาสีรัตติกาลที่ฉ่ำวาวฉายความโกรธชัดจนผมชะงัก... ความโกรธที่ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมัน
และในเศษเสี้ยวความโกรธนั้นมีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
บางอย่างที่คล้ายซากปรักหักพัง...
บางอย่างที่แหลกสลาย...
อาจจะคิดไปเองก็ได้…
ผมมาที่ห้องเตวิชญ์เพื่อเตรียมสิ่งที่บอกไว้ เขาขอตัวไปอาบน้ำล้างคราบสีและเหงื่อไคลจากการทำงานทั้งวัน เราไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย แต่บรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ความอึดอัดใจ ผมเลยไม่แน่ใจนักว่าเขาโกรธผมอย่างที่คิดไหม
“ทำอะไร” ผมหันไปตามต้นเสียง เจ้าของห้องที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาในสภาพเปลือยอก รอยแผลเป็นยังคงดึงดูดสายตา ผ้าขนหนูพาดบ่าซับน้ำที่หยดลงมาจากเส้นผมที่หยดลงไป
“สระผมตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่สบาย” แทนที่จะตอบผมกลับมุ่งความสนใจไปที่หัวเขา เขาเองก็ไม่สนใจคำพูดของผมเหมือนกัน ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์จนเกิดเงาสมบูรณ์แบบกระทบกับฉากที่เป็นผนังขาว
น่าถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด
“ดูหนังกัน” ผมคลี่ยิ้ม ต่อโน้ตบุ๊คเข้ากับเครื่องฉาย เข้าเว็บสตรีมมิ่งชื่อดังแล้วกดเลือกหนังในโปรแกรม “พี่แพ้ ดังนั้นผมเลือก” ผมบอกถึงเขาจะดูไม่ใส่ใจ เดินมานั่งโซฟาหลังผมพลางเช็ดหัวตัวเองไปพลางๆ
“ไม่ง่วงหรือไง” เขาถาม ตอนนี้ตีสามกว่าแล้ว แต่ผมยังกระตือรือร้นอยู่กับเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ที่ยืมมาได้
“รอผมพี่แห้งไง” ตอบติดตลก พลางคลิกหนังที่อยากดู เมื่อเห็นมันฉายอยู่บนผนังสูงโดยไม่ติดขัดอะไรจึงถดตัวขึ้นมานั่งข้างเขาบนโซฟา
“Inception?” มันเป็นหนังเก่าของผู้กำกับคนโปรดที่ผมดูหลายรอบ และคิดว่าเขาก็คงเคยดูแล้วเช่นกัน
“จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากเป็นสถาปนิกเลยนะ” ผมอำ เขายิ้มขำ... แน่นอนว่าไม่เชื่อกัน
“ผมว่ามันเจ๋งดีที่ได้เข้าไปดีไซน์ฝัน” พอหนังฉายไปสักพักผมก็พูดขึ้นมา คนข้างตัวหันไปแกะห่อขนมที่พี่เจดให้สองสามห่อ ช่วยสร้างบรรยากาศ
“ผมเช็ดให้ไหม” ผมถามเมื่อเห็นมือหนาดึงผ้าขนหนูคลุมหัวไว้ลวกๆ ก่อนควักขนมกินเหมือนหิวโซมาจากไหน
เขายักไหล่ หยิบขนมห่อหนึ่งลุกขึ้นย้ายมานั่งที่พื้นตรงหว่างขาอย่างว่าง่าย ผมหัวเราะ วางมือลงบนผ้าชื้นแล้วนวดเบาๆ อยากจะดูหนังไปพลางแต่กลิ่นแชมพูจากคนข้างล่างมันดึงดูดเกินไป
...หนังต้องใช้สมอง พอหลุดนิดเดียวก็ปะติดปะต่อไม่ได้ เพราะงั้นเลยหันมาสนใจอีกคนเต็มรูปแบบซะก็คงค่าเท่ากัน
แม้ไม่เห็นหน้าแต่ท่าทางนิ่งๆ มือหนาที่หยุดล้วงขนมกินก็บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งใจ... ทำไมน่ารัก
ปล่อยให้เขาดูหนัง มือก็ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ จนผมเปียกหมาดเริ่มแห้ง เป็นช่วงที่หนังเข้าไคลแม็กซ์น่าตื่นเต้น แต่ผมก็ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้อยู่ดี อาศัยโอกาสที่อีกคนไม่รู้ตัวลอบสำรวจไปทั่วไม่รู้เบื่อ จุดยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นลำคอขาวยังมีรอยอย่างที่พี่เจดว่า
ตลอดสามวันที่ผ่านมาแม้ยุ่งจนไม่ได้คุยกัน แต่ทุกครั้งผมไม่เคยเห็นเขาพยายามปกปิดมันทั้งที่ดึงดูดสายตา เกิดคำถาม คำนินทา แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ใส่ใจ ยิ่งเป็นแบบนั้นผมยิ่งอยากทำซ้ำ... ตีตราลงไป
ให้กลีบกุหลาบผลิบาน จับจองพื้นที่บนร่างกายเขาไปตลอดกาล
“ถ้าออกแบบฝันได้มึงจะออกแบบอะไร”
“ฮะ?” หลุดสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกถาม ยิ่งชะงักเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ถ้าออกแบบฝันได้ มึงจะออกแบบอะไร” เอ่ยย้ำ ดวงตาคู่ที่จับจ้องเหมือนรอฟัง ผมนิ่งไปนานก่อนจะยิ้มขำ ทำท่าคิดแล้วยิ้มกว้าง
“มาแชร์ฝันก็ไหม” เหมือนในหนัง มีเครื่องมือบางอย่างที่ทำให้คนอื่นเข้าไปอยู่ในฝันอีกคนได้ เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว ท่าทางไม่เข้าใจ ผมเลยขยับลงไปนั่งข้างๆ ถือวิสาสะจับมือหนาแล้วหลับตา
“เพี้ยนหรือไง” เขาหัวเราะหน่ายๆ ผมเลยลืมตาขึ้นมาอีกรอบเร่งเร้าให้เขาทำตาม
“เร็ว” เขาขมวดคิ้วเหมือนชั่งใจแต่สุดท้ายสีรัตติกาลพร่างพราวก็ถูกทดแทนด้วยเปลือกตาที่ปิดลง ผมลอบยิ้มขำ หลับตาอีกครั้ง
“ผมหลับแล้ว พี่อ่ะ” ไม่เมคเซ้นซ์สัด คนหลับที่ไหนจะมาป่าวประกาศ
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ มือหนากระชับมือผมขึ้นอีกนิด ก่อนเอ่ยตามน้ำ “เออ”
“ในฝันผมมีบ้านหลังหนึ่ง พี่เห็นไหม” ผมอมยิ้ม เริ่มคิดว่านี่มันเพี้ยนอย่างที่เขาว่า
“บ้านแบบไหน” ไม่คิดว่าเขาจะยังเล่นตาม ผมเงียบ นึกคิด พยายามอธิบายเพื่อให้ภาพในหัวตรงกัน
“เป็นวงกลม ผนังทำด้วยกระจก เฟอร์นิเจอร์สีขาวทั้งหมด พี่เห็นไหม”
“นั่นบ้านเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงข้องใจ ผมหัวเราะพยักหน้าให้ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เห็น
“ตอนนี้พี่อยู่ตรงไหน” ผมถามบ้าง
“ในสวน” ผมยิ้มกว้าง
“อ้อ สวนกุหลาบ ระวังหนาม” ระบุชนิดดอกไม้ให้เสร็จสรรพ ในหัวเกิดภาพบ้านประหลาดรูปวงกลมที่โอบล้อมด้วยสวนดอกไม้อันตราย
“สีอะไร?” แต่อีกคนไม่ได้ใส่ใจข้อนั้น เขาเอ่ยถามถึงสีของมันผมจึงระบายลงไป
“สีแดงแล้วกัน ตัดกับบ้านดี” ภายนอกลูกบอลคริสตัลถูกแต่งแต้มสีสันลงไป “ทีนี้ กลางสวนมีทางเดินหินเล็กๆ แคบหน่อย แต่เดินได้” ผมชี้ทาง เขาเงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยถาม
“กูต้องเคาะประตูไหม” ผมหัวเราะดังกว่าเก่าแล้วยักไหล่
“ไม่เป็นไร เข้ามาได้เลย ผมอยู่ตรงระเบียงชั้นสองนะ ผ่านห้องนั่งเล่นแล้วขึ้นบันไดเหล็กมา บนนี้มีสระว่ายน้ำด้วย พี่น่าจะชอบ” เขาเงียบ ผมกำลังนึกภาพร่างสูงเดินขึ้นบันไดอย่างที่ว่า
“มึงกำลังทำอะไร”
ในความคิดผมหันกลับไปหาเขา ส่งยิ้มให้ “กำลังรอพี่”
“รอทำไม” คิ้วเข้มขมวดอยู่ในความคิด
“จะพาไปดวงจันทร์” ผมบอกไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าคนได้ยินทำสีหน้ายังไง “จริงๆ บ้านหลังนี้คือยานอวกาศล่ะ นาซ่ายังไม่รู้ พี่อย่าบอกใครนะ” ผมพูดติดตลก ได้ยินเสียงหัวเราะตอบรับเบาๆ จึงเอ่ยต่อไป
“ตอนนี้เครื่องยนต์กำลังทำงาน มันกำลังลอยตัวขึ้นช้าๆ ลอยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ” ผมเห็นภาพตัวเองยืนอยู่ตรงขอบระเบียงวงกลม มองสวนกุหลาบสุดลูกหูลูกตาค่อยๆ ห่างออกไป...
กระทั่งกลายเป็นจุดเล็กๆ จึงเปลี่ยนเป็นเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี ดวงดาวพร่างพรายเริ่มขยายตัวและไกลห่างออกไป สุดท้ายเหลือเพียงดวงจันทร์ลูกโตที่ขยายใหญ่ เปล่งแสงนวลสุกใสอยู่ตรงหน้า
“ถึงแล้ว ผมจอดยานห่างออกมานิดหน่อย เราต้องทอดสะพานออกไป สะพานเหล็กดีไหม จะได้แข็งแรง” ผมขอความเห็นแต่เขาไม่ตอบอะไร ในมโนสำนึกสะพานเหล็กของผมกำลังก่อร่าง ทอดตัวเองไปเทียบฝั่งที่ดวงจันทร์
“ไปกันยัง” ผมถาม ในหัวกำลังก้าวขาหนึ่งออกไป
...แต่กลับถูกห้ามไว้
“อย่า...” มือหนากระชับมือผมแน่นดึงเข้าหาตัวคล้ายจะฉุดไม่ให้ผมก้าวขาจริงๆ “ยังไกลไป”
“...” สะพานเหล็กที่คิดว่าแข็งแรงสั่นสะท้าน ชิ้นส่วนหลุดร่อนร่วงกราวสู่ความเวิ้งว้าง
“จากตรงนี้มึงก็เห็นว่าในนั้นไม่มีอะไร... แค่ก้อนกินหน้าตาน่าเกลียด ไม่มีแสงในตัวเอง แถมหนาวเกินไป”
“...” จริงอย่างที่เขาว่า ภาพจันทร์นวลกลับกลายเป็นก้อนหินชืดดำ พื้นผิวขรุขระไร้ชีวิตจิตใจ
เราต่างคนต่างเงียบสักพัก ผมรู้สึกว่าฝันสลาย... และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการเอ่ยย้ำคำถาม
“ในหนัง ถ้าจะปลุกต้องตกลงไปใช่ไหม” เขาไม่ได้บอกว่าเรากำลังจะตก แต่ผมเห็นภาพลูกบอลคริสตัลกำลังร่วงหล่นลงไป... ด่ำดิ่งสู่ความเวิ้งว้าง เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ถูกแรงโน้มถ่วงฉุดกระชากสู่ผิวดิน...
สวนกุหลาบไม่อาจแบกรับ... ลูกบอลคริสตัลแตกกระจาย
ผมลืมตา เห็นเขากำลังมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
“เป็นฝันที่สนุกดี”
แต่ไม่ใช่ฝันดี...
ผมหัวเราะ ส่ายหน้าพลางยกขาขั้นมานั่งชันเขาสบตาเขา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หาทางหนีผมได้เสมอเลยจริงๆ นะ
...เพราะแบบนี้ไงถึงยังปล่อยมือไม่ได้
“คราวหน้าผมจะเข้าไปในฝันพี่บ้าง” อยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
เขาจ้องหน้าผมนิ่ง สีหน้ายากจะอธิบาย ดวงตาสีรัตติกาลมองลึกคล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างก่อนจะคลี่ยิ้มร้าย
“หลับตาสิ”
เอื้อมมือมาจับมือผมเหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ บ่งบอกว่าเรากำลังจะแชร์ความฝันกันอีกครั้ง
“...” ผมหลับตาลงอย่างว่าง่าย ในหัวไม่มีภาพอะไร กำลังรอให้เขาพาผมไปยังโลกจินตนาการ
“...” แต่รออยู่นานเขากลับไม่เอ่ยอะไร ความรู้สึกบอกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนนิ้วเย็นเฉียบจะแตะลงมาบนใบหน้าผม ทาบลงบนแก้มแผ่วเบา
“พี่เต...” ผมกำลังจะทักท้วงเพราะการกระทำชัดเจนว่าเขาไม่ได้หลับตา
“ท้าหรือจริง” แต่เขากลับเอ่ยคำถามที่ทำเอาผมชะงักไป
“ท้า” นานแล้วที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายท้า และผมอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไร
“ห้ามลืมตา”
ไม่คิดว่ามันจะง่ายจนน่าประหลาดใจ ผมแทบไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้นิ้วเรียวเกลี่ยเบาๆ ที่ผิวแก้ม ลากผ่านใต้ตา ไล่ตามสันจมูก ร่องจมูก...และกลีบปาก ทุกสัมผัสเป็นไปอย่างเชื่องช้า... ชวนให้อึดอัดใจ
ความทรมานคือการที่ผมไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้... ไม่ได้เห็นว่าเขากำลังทำหน้ายังไง ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“...” ขณะที่ในหัวกำลังสับสนพยายามหาความหมาย สัมผัสร้อนจากลมหายใจก็เข้ามาใกล้ ผมตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นโครมคราม รู้สึกอึดอัดจนหวังให้เขาเอ่ยอะไรออกมาสักคำ แต่ก็ไม่
เขายังคงเงียบงัน ปล่อยให้ลงหายใจรดแก้มผมอยู่อย่างนั้นราวแกล้งกัน
และเขาคงต้องการแกล้งผมจริงๆ... เมื่อผมเริ่มจินตนาการถึงริมฝีปากร้อนจัดที่ลงประทับ โหยหาสัมผัสของเขาจนเกือบทนไม่ไหว... เขาก็ผละออกไป
ฝ่ามือที่ถูกจับไว้ทดแทนด้วยความว่างโหวงน่าใจหาย...ตามมาด้วยเสียงจุดไฟ กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อโปรดของเขาฟุ้งกระจาย...
เด่นชัด ก่อนค่อยๆ เจือจาง
...สิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป และเสียงปิดประตูห้องนอนที่ผมไม่อาจย่างกราย
ผมตัดสินใจลืมตา กลิ่นบุหรี่หายไป... พบเพียงเศษซากของมันที่ถูกดับทิ้งไว้บนโต๊ะกระจกข้างตัวก็ได้แต่หัวเราะ มองบานประตูที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟลอดออกมาแล้วถอนหายใจ
สมเป็นเตวิชญ์... ร้ายเสมอต้นเสมอปลาย
‘เป็นอะไรกับพี่เตอ่ะ’ ตลอดทั้งอาทิตย์ผมเจอคำถามนี้จนเหนื่อยหน่าย
สายตาสงสัย คำนินทา กระทั่งท้าพนันว่าผมกับเขาจะเลิกกันภายในกี่วัน... ข่าวลือฟุ้งกระจาย
ผมไม่ตอบอะไร ไม่มีเหตุผลที่ต้องตอบคำถามใคร ก็แค่ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมา
‘มึงไม่มาดูแข่ง’
พี่ดูไม่พอใจเมื่อผมเดินมาหา สนามบาสร้างผู้คน เหลือเพียงร่างสูงยึดครองแป้นแต่เพียงผู้เดียว เรือนผมลู่ชื้นกับชุดบาสชุ่มเหงื่อบ่งบอกว่าการแข่งที่พี่ว่าเพิ่งจบได้ไม่นาน
‘ผมไม่ชอบบาส’ ...สารภาพ
เคยถูกบังคับให้ไปดูการแข่งไม่กี่ครั้ง พบว่าเสียงในสนามมันน่ารำคาญและการต้องมานั่งร่วมกับ 'คนอื่น' ของพี่ที่ข้างสนามมันน่าหงุดหงิดใจ เพราะงั้นผมถึงเลือกเซฟตัวเองไว้ ขัดขืนคำชวนพี่ เพื่อให้ตัวเองสบายใจ
แต่แทนที่จะโกรธพี่เลิกคิ้วประหลาดใจ หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาใกล้
‘ชู้ตสิ’
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ ท่าทางคงแสดงออกว่าไม่อยากด้วยพี่ถึงได้เสนอใหม่
‘ถ้าลงจะให้รางวัล’
‘...’ ผมไม่ได้ถามว่ารางวัลอะไร แค่เป็นรางวัลจากพี่มันก็น่าสนใจ
วางกระเป๋ากับกระดานวาดรูปที่สแตนก่อนจะเอื้อมมือรับลูกกลมสีส้มมาถือไว้ เดินไปยืนหลังครึ่งวงกลมที่พี่ชี้บอก เงยหน้ามองแป้นไกลลิบ แล้วโยนลูกบาสออกไป
ตุบ...
ไม่มีปาฏิหาริย์หรอก ผมอ่อนหัดเกินไป เสียงลูกบาสกระทบพื้น ไม่ใกล้ความคาดหวังใดๆ ทำให้พี่หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินไปเก็บลูกบาสมาถือไว้ เรียวขายาวก้าวมายืนตรงหน้าผม ยกยิ้ม... ดูไม่ออกระหว่างซ้ำเติมหรือพอใจ
รู้แค่ว่าผมไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่
‘ลืมบอก... ว่าถ้าไม่ลงก็มีบทลงโทษเหมือนกัน’
‘…!’ ผมได้แต่ยืนนิ่งตอนที่พี่โน้มตัวลงมา จรดริมฝีปากประทับ กดย้ำเนิ่นนาน ไล้ลิ้นเลียกลีบปากผมครั้งหนึ่งแล้วผละออกไป
คำสารภาพออกจากปากคนเจ้าเล่ห์ว่าผมจะชู้ตเข้าหรือไม่
...รางวัลกับบทลงโทษก็เป็นอย่างเดียวกัน
---------------------------------------------------
จริงๆ อยากให้ตอนนี้อธิบายนิสัยของตัวละครให้ชัดเจนอีกนิด แต่... นิดไปมั้ยนะ 5555
ออกแนวเวิ่นเว้อนิดหน่อย แต่ขอให้น้องพิชญ์พักแป๊บนะคะ ตอนที่แล้วหัวใจจะวาย
ตอนหน้าก็ไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหน สปอยล์อะไรไม่ได้เลย 5555
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
ปล. เผื่อใครไม่เคยดู Inception เป็นหนังเกี่ยวกับการจารกรรมความฝันน่ะค่ะ อารมณ์ว่าเข้าไปอยู่ในฝันร่วมกับเป้าหมายแล้วขโมยบางอย่างมา หรือฝังความคิดบางอย่างลงไป สนุกมาก ตอนแรกคิดไว้แค่ว่าอยากให้เขาดูหนังกัน มีฉากที่เครื่องโปรเจ็กเตอร์ฉายเงาพี่เต อาร์ตๆ อารมณ์นั้น 5555 แต่วันก่อนกลับมาดู Inception เลยได้ไอ้เดียฉากแชร์ฝันเพิ่มมา ชอบมากเลยค่ะ หวังว่าคนอ่านจะชอบด้วยนะ
ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมนะคะ ^^