[Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]  (อ่าน 176055 ครั้ง)

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
สู้ๆ น้องพิชญ์ ตอนแรกสับสนชื่อตัวละครนิดหน่อย ชอบนยายแนวนี้นะทำให้เราลุ้นว่าอีกฝ่ายคิดอะไร จะเป็นไงต่อ ทั้งสองคนดูรู้จักตัวตนของอีกฝั่งดี แต่น้องก็พร้อมจะตกลงไปอีกรอบ ดูหน่วงๆ แบบบอกไม่ถูก เอาใจช่วยน้องนะ ทำให้เขารู้ว่าเราเปลี่ยนไป(หรือเปล่า?) อยากอ่านด้านเตบ้าง ฮีคิดอะไรอยู่ ไม่ดิ อะไรทำให้กลับมาตรงนี้อีก เพราะสโลแกนคือไม่คบคนเก่า คือพอรู้ตัวก็อย่าสิ หรือเพราะมันน่าสนใจ เฮียเล่นกับความรู้สึกคนอื่นมากๆ ระวังวันหนึ่งโดนบ้างนะ สงสัยเรื่องอุบัติเหตุด้วย เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
รออยู่น๊าาาา :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่เตจะทำปีกน้องหักกี่ครั้งเราก็พร้อมซ่อมปีกให้น้องบินขึ้นไปดันทุรังค่ะ //ตุนกาวตราช้างไว้

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องพิชญ์สู้ๆนะ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
รอทุกวันเลยนะ

 :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คิดถึงน้องพิชญ์กับพี่เตค่า เราจะรออยู่ที่ท่าน้ำนะคะ 555
 :L2: :L2:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
8


ผมยืนมองร่างเปลือยเปล่าของตัวเองหน้ากระจกบานสูง มือข้างหนึ่งขยี้ผ้าขนหนูผืนเล็กลงบนกลุ่มผมเปียกชื้นเบาๆ แชมพูที่ใช้ประจำส่งกลิ่นคลุ้งขึ้นมาขณะที่ผมประสานสายตากับเงาของตัวเอง
   
ความทะเยอทะยานฉายชัดจนผมต้องยกมุมปากทักทายมัน
   
ดึงผ้าขนหนูลงมาพาดคอไว้พลางเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลังอย่างปัดรำคาญ เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ดึงกล่องกำมะหยี่สีดำสามกล่องขึ้นมาควานหาสิ่งที่เป็นเหมือนอวัยวะชิ้นที่สามสิบสาม

เปิดกล่องแรก ไล่สายตามองจิลสีเงินที่ถูกจัดเรียงเป็นแถวตามขนาดของหมุดก่อนจะตัดสินใจหยิบชิ้นที่แวววาวที่สุดขึ้นมา หันหน้าเข้าหากระจกอีกครั้งพร้อมแลบลิ้น... กลัดเข็มลงทดแทนชิ้นเก่าที่เพิ่งถอดทิ้งไป
   
บีบเจลล้างมือข้างตัวทำความสะอาดหนึ่งครั้ง ขณะพลิกลิ้นไปมาจนแน่ใจว่าเครื่องประดับเล็กจ้อยแวววาวพอจะสู้แสงไฟ จึงหันไปเปิดกล่องกำมะหยี่อีกใบเพื่อเลือกเครื่องประดับชิ้นต่อไป
   
เรียบง่ายแต่พิถีพิถัน ไล่สายตาและปล่อยให้ปลายนิ้วสัมผัส... ก่อนที่ห่วงสามขนาดจะถูกหยิบขึ้นมา ค่อยๆ บรรจงคล้องลงตามรอยเจาะบนใบหูข้างซ้ายทีละชิ้นจนเสร็จสิ้น มองสีเงินวาวตัดกับเส้นผมดำขลับแล้วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงฮัมเพลงออกมาในลำคอ
   
กล่องกำมะหยี่สีดำใบสุดท้ายถูกเปิดออก... ผมไล่สายตามองหมุดและห่วงที่เรียงแถวรออยู่ในกล่องอย่างพิจารณาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานชิ้นที่ส่องประกายแสงเตะตาที่สุดก็ถูกเลือกขึ้นมา ไล่ปลายนิ้วสัมผัสเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ถูกบรรจงแต้มลงตามส่วนโค้งอย่างพอใจ... ก่อนจะกลัดมันลงบนแผลขนาดเท่ารูเข็มที่ปีกจมูกด้านขวา

เหลี่ยมมุมนับร้อยที่กำลังเล่นล้อแสงไฟทำให้ผมคลี่ยิ้มบาง ก่อนถอยหลังกลับมาในระยะที่เห็นร่างเปลือยทั้งร่างอีกครั้ง เอียงคอมองสำรวจตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดเท้าแล้วกลับหยุดสายตายังรอยสักรูปดวงจันทร์ที่เชิงกรานด้านซ้าย ยกยิ้มมุมปากขณะแตะปลายนิ้ววาดไล้ตามทรงกลมของมัน ไล่หยดน้ำที่ฉาบไว้เพียงบางเบาออกไป

เครื่องประดับเดียวที่สลักลึกลงบนผิวกายคล้ายจะทอประกายแสงนวลเพื่อบอกว่ามันงดงามกว่าสีเงินวาววับของเครื่องประทับอื่นใด...

เพราะแบบนั้นจึงเป็นแสงเดียวที่ผมหลงใหล... ขยับปีกไล่ตาม เอื้อมสุดแขนเพื่อคว้ามันมาอยู่ในกำมือ
   





ผมขยับปีกครั้งแรก เพื่อขโมยมันมา... เวลาของเขา
   
“เรียนเชิญครับท่านเตวิชญ์” คำแซวและท่าทางเยินยอเกินเบอร์ของพี่เจดทำให้ผมยิ้มขำ มองร่างสูงที่เดินนำหน้าไปหยุดยืนล้วงกระเป๋าอยู่หลังกลองชุดเก่าๆ จนเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาดูไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
   
ไม่ได้กล่าวโทษผมที่เป็นคนบังคับให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้กลายๆ
   
ห้องซ้อมดนตรีที่พ่วงห้องเก็บของจิปาถะของคณะ สภาพดูซ่อมซ่อ และไรฝุ่นมากมายในอากาศก็ทำให้ผมถึงกับหลุดจามออกมาเสียงดัง
   
คล้ายจะเห็นแววขบขันในดวงตาคู่นั้น ขณะที่มือหนาเอื้อมไปหยิบไม้กล่องที่วางระเกะระกะมาถือไว้ ปัดฝุ่นบนเก้าอี้ลวกๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องสนใจคือกลองชุดรุ่นก่อตั้งคณะที่สภาพโรยราไม่แพ้กัน

“เห็นแบบนี้มันเป็นหนึ่งในสมบัติคณะเลยนะเว้ย ชมรมดนตรีทุกรุ่นดูแลอย่างดี นี่พวกกูก็เพิ่งเปลี่ยนกระเดื่องมา” สิ้นคำอวดสรรพคุณ ผมเห็นขาเรียวใต้กางเกงสีซีดขยับ เหยียบกระเดื่องหนึ่งครั้งจนกลองใหญ่ส่งเสียงต่ำ เขาเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจ แต่รอยยิ้มมุมปากก็ทำให้พี่เจดถึงกับถอนอกโล่งใจ

“กดดันชิบหาย” สมาชิกอีกคนเดินมากระซิบกับผม สีหน้าหวาดๆ ปนขำที่ตัวเองปล่อยให้คนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นน้องทรงอิทธิพลคับห้องซะงั้น
   
แต่มันช่วยไม่ได้หรอก ในเมื่อเห็นอยู่ชัดเจนว่าใครเป็นรองในสถานการณ์

กำลังจะมีงานเทศกาลดนตรีประจำมหาวิทยาลัย และพี่รหัสของผมก็ดันอุตริส่งใบสมัครไปทั้งที่ยังหาสมาชิกสำคัญไม่ได้... มือกลอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพาเขามาอยู่ตรงนี้ ด้วยคำท้าที่แสนจะง่ายดาย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพียงเพราะคำขอร้องของพี่รหัสที่ทำให้ผมตกปากรับคำง่ายๆ แต่มันคือเกม... เกมที่ผมไม่จำเป็นต้องร่วมเล่น แต่เพียงเฝ้าดูทั้งที่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง

สิ่งที่ผมได้รับคือผลกำไรจากการได้เห็นมันอีกครั้ง... อำนาจในการควบคุมจังหวะของเขา ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ

ขโมยเวลาเขามา...

ถ้าพี่เจดชนะ หลังจากนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องมาที่นี่หลังเลิกเรียนทุกวัน... นั่นหมายความว่าเขาจะถูกกักขังไว้ในที่ที่ผมสามารถหาเจอได้ง่ายๆ... ได้อยู่เพียงในสายตาผม ไม่อาจมองหาใคร

ไม่อาจเปิดโอกาสให้ประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอย

แต่ผมคงต้องเน้นอีกครั้งว่า ‘ถ้าหากพี่เจดชนะ’ …ซึ่งนั่นเท่ากับมีปาฏิหาริย์

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

เพราะเพียงเสียงของกลองใหญ่ที่ดังขึ้นในจังหวะง่ายๆ ก็หยุดได้ทุกกิจกรรม... แม้กระทั่งลมหายใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มสะบัดมือทั้งสองข้างลงบนหน้ากลองทอม สแนร์ ฉาบ พร้อมกับเท้าที่เหยียบกระเดื่องต่อเนื่อง สร้างจังหวะแปลกประหลาด... พริ้วไหวทว่าหนักแน่นจนสะกดโสตสัมผัสและทุกสายตา...ตรึงไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

แล้วจังหวะเรียบง่ายก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นเร่งเร้า เสียงซาวด์เช็คที่ไม่ควรจะจริงจังกลับทวีความรุนแรงแต่กลับยิ่งน่าหลงใหล ยิ่งฟัง ยิ่งชัดเจนว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านี้มีพรสวรรค์ชนิดที่คนอื่นไม่อาจจับต้องได้

...ถึงอย่างนั้นความสามารถอันร้ายกาจของเขาก็ไม่อาจดึงผมให้หลุดจากภวังค์สีรัตติกาลของดวงตาที่แสนแน่วแน่คู่นั้นได้

แววตารั้นร้ายและรอยยิ้มมุมปากที่ผุดพรายฉุดผมลงสู่หลุมลึกเวิ้งว้างที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเอง อาจเป็นเสียงเดียวกับจังหวะที่ลำแขนกำยำกำลังควบคุม เร่งเร้าและร้อนแรง คล้ายไฟที่กำลังลามเลียตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วร่าง...

ชั่วขณะหนึ่งมันเหมือนความร้อนของเปลวไฟที่เผาไหม้ปลายบุหรี่จนเกิดควัน กลิ่นนิโคตินในจินตนาการกระชากผมกลับสู่อดีต...นึกถึงสัมผัสของเขาที่ยังคงฝังตรึงในความทรงจำ

จูบ?

ไม่ใช่...

เซ็กซ์ต่างหาก...

รสชาติของการร่วมรักที่ค่อยๆ แผดเผา... ฉุดรั้งสู่นรกขณะโอบรัดผมด้วยสรวงสวรรค์ ทุรนทุรายด้วยความสุขสมแสนทรมาน ปลดปล่อยทุกพันธนาการ... ทวีความต้องการจนต้องร้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆ พ่ายแพ้ย่อยยับอยู่ใต้ร่าง ยอมศิโรราบหมดรูปเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องลึกเข้ามาในแววตา

“พิชญ์”

“...!” ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังจ้องเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งเสียงกลองหนักแน่นที่ดังอย่างยาวนานหยุดลงชั่วขณะ ความเงียบเรียกภาพในหัวกลับสู่เศษเสี้ยวความทรงจำ ปลุกผมจากภวังค์สู่เบื้องหน้าที่มีเพียงรอยยิ้มหยัน ...เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังจับจ้องมาอย่างท้าทาย
   
“ตามให้ทัน”
   
ในเนื้อความคงมีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ

   

แพ้ราบคาบ...
   
“แม่งเกินไปอ่ะ”
   
“ฆ่ากันชัดๆ ไอ้สัด” ผมหัวเราะ มองผู้อาวุโสทั้งสองที่นอนพะงาบอยู่บนพื้นโดยไม่สนใจความสกปรกของมัน
   
ทันทีที่เสียงกลองจังหวะสุดท้ายหยุดลง รุ่นพี่ทั้งสองของผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งเหงื่อโซมกาย มือไม้อ่อนแรงทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดสภาพ เสียงหอบหายใจแทบจะดังก้องไปทั้งห้องเมื่อเสียงเพลงอันเทอร์เนทีฟร็อคที่ดังต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมงหยุดลง
   
จะเรียกว่าล่มก็ไม่ใช่ จะรอดก็ไม่เชิง เขาเรียกอะไรนะ? กระท่อนกระแท่น... ใช่มั้ย?
   
ตลอดสองชั่วโมงผมฟังเพลงที่ถูกบรรเลงอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้น ขบขัน ประทับใจ และประหลาดใจปนกันไป
   
แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นเสียดาย...
   
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหาข้ออ้างใหม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในวันถัดไป เพราะสมาชิกทั้งสองไม่อาจเอาชนะฝีมือที่เหนือชั้นกว่าของเขาได้... ข้อตกลงที่ว่าถ้าพี่เจดกับเพื่อนเล่นเข้ากับจังหวะของเขาตลอดรอดฝั่ง จะยอมเข้าวงเห็นผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ทันจบเพลงแรกด้วยซ้ำ

ดังนั้นเตวิชญ์จึงเป็นอิสระโดยปริยาย
   
...แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเดาออกตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่คาดหวังมากไป ไม่หงุดหงิดขัดใจแม้สักนิดเมื่อเห็นผลกับตา
   
ความลับคือ... ผมเองก็เดิมพันข้างเขาไว้เช่นกัน
   
“บอกแล้วว่าพวกพี่ยังอ่อนหัดเกินไป” ลุกขึ้นจากโซฟา สละบทผู้ชมเพียงหนึ่งเดียวเดินเข้าไปหาพี่รหัสที่กำลังตักตวงอากาศหายใจ แบมือออกขอรางวัลตามที่เดิมพันไว้

“พวกเด็กเหี้ย” บุหรี่นอกราคาแพงถูกควักออกจากกระเป๋าลอยต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นมาถึงมือผมพร้อมคำสบถหยาบคาย
   
ถ้านี่คือเกม ผมเป็นเจ้ามือที่ได้ประโยชน์ทุกทางไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร... เพียงใช้ลมปากน้อยนิดเอ่ยคำท้าทาย ทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายแล้วหลบเร้นรอผลกำไรร่วงหล่นลงมา
   
ผมหัวเราะเบาๆ ยักไหล่ไม่สะทกสะท้านกับคำด่านั้น เปลี่ยนเป้าหมายจากพี่รหัสไปหาเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังทำสีหน้าตั้งคำถาม เขามองซองบุหรี่ใหม่เอี่ยมในมือก่อนเงยหน้าสบตาผมก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างเพิ่งเข้าใจสถานการณ์
   
“เบื่อหรือยัง” แต่ผมโลภเกินกว่าจะพอใจเท่านั้น มืออีกข้างจึงเกี่ยวเอาอีกสิ่งหนึ่งที่เขาฝากไว้ในกระเป๋าขึ้นมา คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมัน แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่าผมกำลังจะบอกอะไร ผมคลี่ยิ้มเมื่ออ่านสายตาได้ว่าเขาอนุญาตให้เอาแต่ใจ
   
“ไปหาที่สูบบุหรี่กัน” มองกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ในมือที่เป็นเป้าหมายถัดไป
   
ผมจะเอาชนะมัน...

   




เตรียมใจไว้แล้วว่ามันคงไม่ง่าย แต่ก็น่าตกใจที่มันอันตรายกว่าที่คิดไว้
   
ผมต้องใช้ความพยายามมากมายในการสตาร์ทมัน เกือบล้มสองครั้ง และตอนนี้ดันพุ่งเข้าพุ่มไม้ข้างทาง
   
ให้ตาย
   
“ยอมแพ้หรือยัง” ผมไม่ได้หันไปตอบร่างสูงที่ยืนกอดอกหัวเราะมองผมดึงมอเตอร์ไซค์ออกจากพุ่มไม้ ปฏิเสธด้วยเสียงฮึดฮัด คำสบถพึมพำอย่างไม่ชอบใจ
   
อย่าหวังว่าผมจะยอมง่ายๆ
   
เมื่อดึงเจ้าบุโรทั่งขึ้นมาตั้งหลักบนถนนได้ ผมก็ขึ้นคร่อมมันอีกครั้ง การเรียนรู้ซ้ำๆ ทำให้ผมสตาร์ทมันได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มบ่งบอกว่าความอ่อนหัดของผมยังไม่ทำมันพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจบิดคันเร่งเพราะถูกใครอีกคนมาขวางไว้
   
“อย่ารั้น” คำดุไม่จริงจังถูกส่งมาพร้อมปลายนิ้วที่เคาะลงบนหมวกกันน็อคที่ส่งแรงสะเทือนถึงศีรษะผมเบาๆ

“เดี๋ยววันหลังกูสอนใหม่” ว่าพลางตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ในตำแหน่งที่คล้ายจะซ้อนหลัง แต่ไม่ใช่ เพราะลำแขนกำยำกลับยื่นออกมาคร่อมร่างผม จับคันเร่งไว้
   
ภาพในวันที่เขาท้าให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกฉายขึ้นมาชวนให้ใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้

"..." ถ้าให้เดาเขาคงจับได้คาหนังคาเขาว่าที่ผมเงียบไปเพราะกำลังจะแพ้ให้ความร้อนของแผ่นอกที่แนบลงมาบนหลังพร้อมกับใบหน้าที่โน้มข้ามไหล่ คนเจ้าเล่ห์ถึงได้ปล่อยหมัดฮุคสุดท้าย ...เป็นคำถามแสนห้วนทว่ากลับใช้เสียงกระซิบทุ้มต่ำละลายความตั้งใจที่จะดึงดันของผมได้เพียงพริบตา

“ทีนี้อยากไปไหน บอกมา”






มันคือสวนสาธารณะของมหาลัยที่ในทุกเช้าและเย็นผมจะเห็นคนพลุกพล่าน

แต่เวลาเกือบตีหนึ่งในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวแบบนี้คงเป็นข้อยกเว้น

“นี่เหรอที่สูบบุหรี่ของมึง”

“ชู่ว!” ผมยกมือแตะริมฝีปากส่งเสียงปรามแทนคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กๆ เหมือนไม่พอใจแต่ก็ยังยอมให้ผมเดินนำต่อไปด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบ

...เวลานี้มันถือเป็นเขตหวงห้าม ดังนั้นการเข้ามาเหยียบย่างจึงถือเป็นความท้าทาย

โฮ่ง!

แต่แล้วกลับหลุดสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเจ้าถิ่นที่มองไม่เห็นตัวคำรามขึ้นมา ร่างของผมถูกรั้งไปอยู่ด้านหลังร่างสูงที่ก้าวขามาแทนที่ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังร่างดำขลับสี่ขาที่พุ่งเข้าหา

โฮ่งๆ!

เสียงเห่าดังขึ้นติดๆ กัน และคงจะดังอยู่อย่างนั้นหากคนตัวโตกว่าไม่ส่งเสียงปราม

“ชู่ว!”

...

เพียงเท่านั้นสถานการณ์ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ระ...ระวัง” ผมพึมพำพลางเบิกตากว้างมองเจ้าของแผ่นหลังที่ยังเป็นเกราะกำบังของผมทรุดลงนั่งคุกเข่าบนพื้นหญ้าชื้นเอื้อมมือออกไปหาเจ้าสี่ขาที่อยู่ๆ ก็ลดการ์ด หมดความระแวดระวัง ยอมให้ฝ่ามือหนาลูบหัวเกาคางอย่างเป็นมิตรซะอย่างนั้น

“เด็กดี”

“รู้จักกันเหรอ” ผมถามอย่างประหลาดใจ แทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหมดอันตราย

“เคยเจอสองสามครั้ง” เสียงทุ้มตอบเพียงเท่านั้น แล้วหันกลับไปให้ความสนใจเจ้าสัตว์หน้าขนที่ทิ้งตัวนอนหงายให้เขาเกาพุงให้

ผมหลุดหัวเราะออกมา ถึงแม้จะเป็นเพียงหมาพันธุ์ทางที่หน้าตาไม่ได้ดูดีแถมผอมแห้งเพราะใช้ชีวิตตามมีตามเกิดในมหาลัย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้อดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้

“พี่ดูจะชอบหมามาก” ภาพในอดีตซ้อนทับทำให้ผมเผลอโพล่งออกไป รอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าทำเอาเจ้าของคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าข้องใจ

“ไม่ได้ชอบ” ปฏิเสธหน้าตายทั้งที่หลักฐานเห็นอยู่คาตา

ผมยักไหล่ ไม่คิดเถียงแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งลงข้างเขา ยื่นมือออกไปลูบตัวมันบ้างทว่ายังเก้ๆ กังๆ ในทีแรกมันส่งเสียงเห่า แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ศัตรูเจ้าสัตว์สี่ขาก็ปล่อยให้ผมลูบขนสากๆ ด้วยท่าทางสบาย

“มันชื่ออะไร” ผมเอ่ยถามและเขาเงียบไป ดวงตาที่จ้องเจ้าสุนัขตรงหน้าคล้ายกำลังเหม่อลอยไปไกล

มันทำให้ผมนึกได้ว่าเขาไม่เคยมีชื่อเรียกให้สัตว์ที่เขาคล้ายจะผูกพันเลยสักตัว

“เจ้าหมาตัวนั้น... ยังอยู่ไหม” ผมเปลี่ยนคำถามเมื่อเขาเงียบนานเกินไป เขารู้แน่ว่าผมหมายถึงตัวไหนในเมื่อมันเป็นสัตว์ตัวเดียวกับที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมเกือบตาย

“ไม่รู้สิ” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าเขาจะเอ่ยออกมา ผละมือออกจากเจ้าสี่ขาแล้วลุกขึ้นยืนหันมาถามผมบ้าง “ไหนที่สูบบุหรี่มึง”

เห็นชัดว่าเขาจงใจเปลี่ยนประเด็น แต่ผมก็ไม่คิดขัดอะไร เพียงลูบหัวเจ้าหมาตัวโตอีกสองสามครั้งแล้วลุกตาม

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เดินนำเขาไปสู่สถานที่ร้างผู้คนอีกครั้งโดยไม่คิดปริปากถามอะไรอีก

ส่วนลึกสุดของสวนสาธารณะใกล้บึงน้ำมีเนินดินโล่งกว้างปูผืนหญ้าที่สูงพอจะให้สัมผัสนุ่มสบาย ผมยกแขนบิดขี้เกียจขณะสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ดื่มด่ำกับความเงียบสงัดรอบกาย ฟังเสียงลมและใบไม้ไหวกระทบกันดังเพลงบรรเลง เงาของต้นไม้ที่รายล้อมโอนเอนพลิ้วไหวเล่นล้อแสงไฟที่เปิดไว้ให้แสงสว่างเพียงไม่กี่ดวงราววงเต้นรำ

บุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งได้จากเดิมพันกลายเป็นหมันเมื่อผมทิ้งมันไว้ข้างตัวพร้อมไฟแช็คพร้อมสรรพแต่กลับไม่มีใครสนใจมัน

หลังจากทิ้งตัวนอนราบบนผืนหญ้าชุ่มน้ำค้างเราก็ต่างเงียบอยู่อย่างนี้เนิ่นนาน ทอดสายตามองผืนฟ้ากว้างปล่อยความคิดล่องลอย ไม่อาจคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ในหัวผมมีคำถามมากมายที่ไม่รู้ควรจะไล่ลำดับหรือหยิบยกคำถามไหนขึ้นมาให้เข้ากับสถานการณ์

“กูจะหลับ” เพราะใช้เวลาเลือกนานเกินไป บทสนทนาจึงถูกเปิดขึ้นและปิดลงภายในประโยคเดียวกัน

ผมหัวเราะเบาๆ ละสายตาจากดวงดาว มองคนข้างๆ ที่กอดอกหลับตาในท่านอนหงาย

“เดี๋ยวยุงก็หามเอา” ขู่ออกไปทั้งที่การนอนนิ่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน

“ช่วงนี้กูนอนไม่หลับ” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นประโยคบอกเล่าหรืออะไร หลังจากคำพูดนั้นเขาก็ปล่อยให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง ทิ้งผมไว้กับเสียงลมหายใจแผ่วเบาและแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะ

“เฮ้ย หลับจริงดิ” ผมเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ เท้าข้อศอกกับพื้นหญ้ายกตัวขึ้นมองเจ้าของร่างที่แน่นิ่งไป แต่แล้วผมกลับเป็นฝ่ายเงียบเสียเองเมื่อได้เห็นใบหน้ายามหลับของเขาใกล้ๆ... แสงเพียงน้อยนิดไม่อาจบดบังความน่าหลงใหล ซ้ำยังดึงเสน่ห์อันลึกลับของทุกองค์ประกอบบนออกมาผ่านเงาที่พาดทับลงบนใบหน้า... ซ่อนเร้นและเปิดเปลือยบางส่วนเพียงยั่วเย้าให้เกิดความรู้สึกอยากค้นหา...

ผมนึกอยากเกลี่ยนิ้วลงกับดวงตาที่ปิดลงทำให้แพขนตาหนาทอดลงบนผิวแก้มเนียนละเอียดชวนสัมผัส ไล่มองสันจมูกโด่งราวบรรจงปั้นให้รับกับใบหน้าคมทอดลมหายใจร้อนชวนให้ผมยิ่งอยากเข้าใกล้ หลุดยิ้มตามริมฝีปากหยักได้รูปที่คล้ายจะทิ้งรอยยิ้มมุมปากร้ายอย่างจงใจ ชวนให้ผมแตะริมฝีปากลงไป...

"..."

"..."

แต่ทุกความคิดหยุดชะงักเมื่อสิ่งทรงอิทธิพลที่สุดเผยตัวอีกครั้ง ผ่านเปลือกตาที่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ... นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ดึงดูดยิ่งกว่าสิ่งใดจ้องลึกเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกตามแรงโน้มถ่วงทัดหูข้างหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ปลายนิ้วสำรวจองค์ประกอบบนใบหน้าของผมเช่นกัน

“เจ็บไหม” หยุดลงที่ส่วนกลาง ปลายนิ้วเย็นเฉียบเกลี่ยเครื่องประดับชิ้นใหม่ตรงตำแหน่งนั้นแผ่วเบา

...เพราะวันทั้งวันเขาไม่ได้เอ่ยทักอะไร จึงไม่คิดว่าเขาจะให้ความสนใจเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่ผมบรรจงเลือกสรรและสวมใส่มันในตำแหน่งเตะตา ปีกจมูกด้านขวาที่เคยว่างเปล่าตอนนี้มีห่วงประดับเพชรสะท้อนประกายวาวอยู่ในดวงตาของเขา

ผมยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน

ความเจ็บที่ไม่ได้ทำให้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อยต้องเรียกว่าอะไร...ผมไม่เคยให้นิยามมัน

“พี่ล่ะ เจ็บไหม” ยิ่งถ้าเทียบกับบาดแผลบนร่างกายเขา บาดแผลของผมช่างเล็กจ้อยจนไม่อาจเทียบได้

ยิ่งบาดแผลที่ใจ...

“พี่หายไปไหนมา”

ผมไม่อาจวัดจากสิ่งที่ตัวเองได้รับเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน

โชคร้ายที่เขาเลียนแบบคำตอบผมด้วยการยิ้ม มือหนาเอื้อมจับมือผมที่เผลอวางลงบนลำตัวเขาโดยไม่รู้ตัว ดึงขึ้นมาแตะริมฝีปากลงกลางฝ่ามือเพียงครั้งแล้วผละออกไป... ชั่วขณะนั้นดวงตาสีรัตติกาลที่จับจ้องมาคล้ายจะมีความหมายที่ผมไม่อาจเข้าใจ ก่อนที่เขาจะซุกซ่อนมันไว้ภายใต้รอยยิ้มร้าย

“ถ้าอยากรู้ความลับ มึงต้องทำตามกติกา” คำพูดทำนองเดิมถูกเอ่ยพร้อมกับปล่อยมือผมเป็นอิสระ ตัดบทสนทนาด้วยการแสร้งหลับตาพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เอ่ยคำถามต่อไป

แล้วมันเมื่อไหร่กัน...

ผมอยากถามแต่สุดท้ายก็เลือกตัดใจ ทิ้งตัวนอนหงายอีกครั้งอย่างหมดปัญญา ปล่อยให้คำถามที่ยังค้างคาหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยตัวมันเอง

ไม่นานรอบตัวก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผมนอนฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนข้างตัวพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่คล้ายจะยิ่งห่างไกล นึกอยากจะหยิบปากกาสักแท่งขึ้นมาเติมเต็มส่วนเว้าแหว่งให้ดวงจันทร์ข้างแรม แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้

ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้ขยับเข้าใกล้อีกคน มองแผ่นหลังกว้างที่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวก่อนจะค่อยๆ ซบใบหน้าลงไป...ลอบสัมผัสกลิ่นกายและไออุ่นให้แน่ใจว่าเขายังอยู่เคียงข้าง... แม้จะยังไม่อาจถลำลึกไปไกลกว่านี้ได้

ผมจำเป็นต้องขยับปีกอย่างระมัดระวัง และเฝ้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไป

เพราะสิ่งเดียวที่หวาดกลัว คือเมื่อคืนเดือนมืดมาเยือนอีกครั้ง... ดวงจันทร์ของผมจะหายไป






สุดท้ายพี่ไม่ได้มาตามนัด...
   
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม...

อันที่จริง พี่ไม่อยู่ให้ผมถามว่าทำไมด้วยซ้ำ...
   
ลืมเหรอ หรือว่าติดธุระอะไร แน่ละว่ามันคงสำคัญกว่าอาหารหนึ่งมื้อที่พี่เสนอให้...
   
บอกหน่อยได้ไหมว่าพี่ผิดนัดผมด้วยเหตุผลอะไร
   
รู้ดีมันเป็นความผิดของผมเองที่ชะล่าใจ เคยชินว่าถ้าหากมาที่สถานที่ของเรา จะได้เห็นพี่อยู่ตรงนั้น... หันกลับมายิ้มให้พลางละเลียดควัน
   
ไม่ทันคิดว่าในความเป็นจริงมันอาจไม่มี ‘สถานที่ของเรา’ ด้วยซ้ำ...
   
'พี่เต...'

เพราะในวันที่ผมเผลอไผล คิดไปเองว่ากำลังจะได้ครอบครองที่แห่งนั้น

'...'

พี่ไม่หลงเหลือให้ผมแม้แต่กลิ่นควัน...








----------------------------------------------------------------------
รู้ตัวมานานแล้วว่าตัวเองเป็นคนที่มีคลังศัพท์ในหัวน้อยมาก ปกติก็ถนัดแต่ใช้คำทั่วๆ ไปเวิ่นเว้อพรรณนา
การเขียนเรื่องนี้เลยสาหัสน่าดูเลยค่ะ เพราะพอพยายามไม่ใช้บทบรรยายเวิ่นเว้อก็ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายให้มันกระชับและได้ใจความ
แต่รู้สึกสนุกทุกครั้งที่เขียนเลยค่ะ เหมือนได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใหม่สำหรับคนอ่านมั้ย 55555

อันที่จริงตั้งใจจะเร่งจังหวะของเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ ให้ตื่นเต้นสมกับที่พิชญ์กลับมาสวมปีก
แต่สุดท้ายเนื้อเรื่องมันก็ออกมาเรียบเรื่อยอยู่ดีใช่มั้ยคะ ฮืออ
ตอนหน้าจะพยายามมากกว่านี้ค่ะ ทั้งเรื่องจังหวะและบทบรรยาย
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ
ติดขัดหรือไม่เข้าใจตรงไหนท้วงติงได้เสมอเลยค่ะ ^^

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
 :L2:

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 16:42:32 โดย makok_num »

ออฟไลน์ khungyf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราชอบภาษาของเรื่องนี้นะ ไม่ใช่แค่ภาษาสวย แต่ความหมายก็ดีด้วย เนื้อเรื่องมันชวนให้อึดอัดจริงๆ แต่เป็นความอึดอัดที่ทำให้เราหลงใหลเอามากๆ ตั้งแต่อ่านตอนแรกจนถึงตอนนี้ยังไม่มีตอนไหนที่เรายิ้มออกมาได้สุดซักที ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ 5555555555 เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอยาวๆซัก 50 ตอนไปเล้ยยยย (พี่เตอย่าใจร้ายกับน้อง คุณแม่ไม่ปลื้มนะคะ5555)

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เห็นด้วยกับคห.ด้านบน อึดอัดแต่ก็ตื่นเต้น มันคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดแล้วก็มีความสุขไปพร้อมๆ กัน คือชอบการบรรยาย ชอบภาษาแบบนี้

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เราว่าเราหลงสำนวนของไรต์แล้วแหละ ชอบบบบบบบการบรรยายแบบนี้ อ่านไปรู้สึกอึดอัดเหมือนจมน้ำอยู่เลย  :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
« ตอบ #69 เมื่อ: 06-12-2017 19:54:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น้องพิชญ์เซ็กซี่มากลูกกกกกกกกกกกกกก ตอนบรรยายว่าน้องเจาะตรงนั้นตรงนี้
เมื่อไหร่พี่เตจะเปิดใจซักที พี่เตมีอะไรใรใจ พี่เตไปไหนมา

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอยยยยย อึดอัดทุกตอนเลยค่ะ
เรื่องนี้ภาษาสวยมากนะคะ เราชอบการบรรยายค่ะ

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เต คนใจร้าย   :serius2: :sad4:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เจาะจมูกเพิ่มความเผ็ชไปอีกกกก  :m3:

ในใจพี่เตต้องมีอะไรแน่ๆเอาใจช่วยพิชญ์

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องพิชญ์ของแม่ แซ่บอะไรเบอร์นี้ งานดีมากๆ พี่เตไม่เอา แม่เอาเองลูกกก  :mew1: รอวันที่พี่เตแพ้เกมแล้วตกหลุมรักน้องอย่างราบคาบ ให้น้องเอาคืนบ้างง  :katai4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มันช่างอึดอัด จุกๆในอก

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พี่เต พี่ใจร้ายจังเลยย  :katai1:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
9

นานแล้วที่ผมไม่ได้วาดรูปเขา...
   
นานแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสช่วงชิงจังหวะหลับใหล ลากปลายดินสอ... บรรจงวาดสรีระสมบูรณ์แบบลงไปบนสมุดสเกตเล่มเก่า

เหมือนเมื่อก่อนที่ผมมักจะอาศัยจังหวะที่อีกคนสร้างโลกส่วนตัวทั้งที่อยู่ข้างกันลักลอบวาดรูปเขาเก็บไว้...
   
อืม จะเรียกว่าลักลอบก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว
   
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่แบบของผมรู้ตัวว่ากำลังถูกวาด ขยับตัวงัวเงียหลุดโพสต์เดิมที่ผมจนงานของผมหยุดชะงัก โชคดีที่องค์ประกอบโดยรวมเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงรอยตำหนิที่เห็นเพียงครั้งก็สามารถจดจำ ลากดินสอพาดผ่านเรือนร่างได้อย่างแม่นยำ
   
คิดอยู่ว่าจากนี้คงลักลอบเติมลวดลายให้มัน... แต่ยังไม่มีภาพในหัวว่าควรทำลายให้ปริแตก หรือผสานรอยแยกด้วยลวดลายใด
   
“อืม...” ผมหยุดความคิดตัวเองไว้ ละสายตาจากกระดาษที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองอ่อนเงยหน้ามองคนขี้เซาที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่า... หมดเวลาแห่งการแทะโลมโดยสายตา
   
“ไหนว่าช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับไง” ยอกย้อนคำที่เขาเคยเอ่ยไว้ แต่กลับขัดแย้งตัวเอง เมื่อพาร่างกำยำลงถึงโซฟาตัวใหญ่ก็ดันเข้าสู่ห้วงหลับใหลในเวลาไม่ถึงนาที
   
“กลิ่นมึง...” คล้ายจะมีคำตอบเล็ดลอดออกมา แต่เจ้าของเสียงงัวเงียกลับชะงัก ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วท่าทางงุ่นง่านก่อนลืมตา
   
“หืม?” ผมส่งเสียงประหลาดใจ แอบซุกจมูกลงคอเสื้อสำรวจกลิ่นกายตัวเอง แต่ไม่พบความผิดปกติใดนอกจากกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ประจำ... ไม่ได้เหม็นหรือหอมเป็นพิเศษ แค่กลิ่นทั่วๆ ไป

“หึ” แต่พอผมทำแบบนั้นอีกคนกลับยิ้มขำ ก่อนพลิกตัวตะแคง ซบใบหน้าครึ่งหนึ่งลงกับหมอนที่ผมสละให้เขาหนุนนอนทั้งคืน ใบหน้ายู่ยี่ชวนเอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมนุ่มอย่างเผลอตัว

เหมือนในวันวานที่เขานอนหลับบนตักผม และมีท่าทางสบายใจเมื่อผมลูบหัวเขาเบาๆ

"อืม..." ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเหมือนกันหรือเพราะอะไร เจ้าตัวถึงไม่ปัดมือผมออก แต่กลับหลับตาทำท่าเคลิบเคลิ้มพลางเอ่ยพึมพำ “กี่โมงแล้ว”

“แปด” ตอบขณะยังจ้องใบหน้างุ่นง่านไม่วางตา ในใจกำลังคิดว่าใบหน้างัวเงียยามต้องแดดเช้าของเขาตอนนี้มันน่ารักชะมัด
   
“หิว”
   
“...” เวลาทำน้ำเสียงกึ่งอ้อนแบบนี้ก็เหมือนกัน
   
แต่ออกจะเป็นการอ้อนที่จริงจังไปสักหน่อยเมื่อดวงตาคู่นั้นกำลังจดจ้องเข้ามาในดวงตา
   
ความลึกลับสีรัตติกาลยังคงทำงานแม้จะเป็นเวลากลางวัน ซ้ำแสงอาทิตย์ยังทำให้มันเปล่งประกายคล้ายจะแผดเผาต่างจากแสงจันทร์นวล
   
“ผมก็หิวเหมือนกัน” เผลอกระซิบตอบไป... แน่นอนว่าคนละความหมาย
   
คนอะไรน่ากินกระทั่งตอนตื่นนอน
   
แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล ผมก็ลากสติตัวเองกลับมาได้ทัน ผละจากอาหารโอชะตรงหน้าลุกขึ้นไปหาอาหารจริงๆ ที่ครัว
   
“พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้กิน” เอ่ยบอกคนที่บิดขี้เกียจตามมา ร่างสูงกว่าเดินไปหยิบขวดน้ำที่ไม่ได้แช่เย็นเปิดดื่มดับกระหาย
   
"..." เสียงกลืนเป็นจังหวะเรียกให้ผมเหลือบสายตาไปมองคนข้างกาย แล้วก็ต้องชะงักเมื่อองศาการเงยหน้าที่พอดิบพอดีกับลูกกระเดือกนูนสวยที่กำลังขยับนั่นชวนให้ลอบกลืนน้ำลายตาม

แล้วให้ตาย... ไม่รู้ว่าไม่รู้ตัวหรือจงใจ ริมฝีปากบางถึงได้ปล่อยให้น้ำหยดหนึ่งเล็ดลอดออกมา ทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงจากปลายคางไล่ตามลำคอ...กลิ้งผ่านไหปลาร้า ลงมาถึงแผงอกเปลือย...
   
“ดูมึงจะหิวมาก” เผลอใช้สายตาแทะโลมจนกระทั่งเจ้าของร่างกำยำเอ่ยกลั้วหัวเราะ นิ้วแข็งๆ ดีดลงมาบนหน้าผากผมจนดังเปาะ
   
“อืม ก็จริง” ผมยักไหล่ไม่ยี่หระ ยิ้มตอบสู้สายตาที่กำลังเป็นประกายขบขัน

“...”

"..." เกมจ้องตายามเช้าเร้าใจพอจะทำให้อวัยวะในอกเต้นตุบอย่างไม่อาจห้าม
   
“มีมาม่ากับโจ๊ก” แล้วผมก็เฉไฉอีกครั้ง... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยกอาหารสำเร็จรูปที่กำลังจะเป็นมื้อเช้าของเราขึ้นมา แต่แทนที่จะเลือกสักอย่างคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปเปิดตู้เย็น
   
“มีข้าวมั้ย” หยิบไข่ออกมาสองฟองก่อนจะเอ่ยถาม
   
“มีแต่แบบสำเร็จรูปอ่ะ” ผมว่าพลางเดินไปค้นในตู้เย็นให้ แต่พอจะยื่นให้เขากลับเห็นเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนจะบ่นว่าวันๆ กินแต่อาหารสำเร็จรูปหรือไง

“ผมชายโสดนี่ครับ” ผมเลยยักไหล่แก้ตัว ก่อนจะอาสาเอาข้าวไปโยนใส่ไมโครเวฟ ลอบหัวเราะกับเสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายของอีกคนที่หยิบไข่ออกมาตอกใส่ชามก่อนที่แขนกำยำจะตีไข่เป็นจังหวะน่าฟัง
   
สารภาพว่าการที่ได้เห็นเขายืนทำอาหารในสภาพที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่าแบบนี้ยิ่งทำผมใจสั่น ถือเป็นโชคดีแล้วกันที่ผมหาเสื้อให้เขาใส่แทนตัวเก่าที่เลอะดินเลอะน้ำค้างจนต้องซักไม่ได้ นึกแล้วก็ขำตอนที่ร่างสูงพยายามจะยัดตัวเองเข้าไปในเสื้อของผม แต่กล้ามเนื้อกำยำกลับถูกรัดตึงอยู่ในเสื้อยืดที่เล็กกว่าเขาหนึ่งไซส์จนดูตลก ใบหน้าคมงุ่นง่านสุดๆ ตอนที่บ่นว่าผมผอมเกินไป ควรกินให้เยอะกว่านี้แล้วออกกำลังกาย
   
มันทำให้ผมนึกได้ว่านานๆ ทีเขาก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน มุมน่ารักๆ ใส่ใจ

“พรุ่งนี้พี่เจดเลี้ยงสาย” ผมเกริ่นขึ้นมาพลางแบ่งข้าวสวยที่เวฟเสร็จแล้วลงจานสองใบ
   
“กูไม่ไป” คนที่กำลังง่วนกับการเจียวไข่ในกระทะตอบทันควัน กลิ่นหอมหวนชวนให้หิวไปกันใหญ่

“ผมไม่ได้ชวน” ผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ พิงสะโพกตรงเคาน์เตอร์ข้างเขาแลบลิ้นเลียเม็ดข้าวที่ติดช้อนพลางจ้องหน้าเขาอย่างยียวน “เพราะถึงพี่ไม่อยาก สุดท้ายผมก็ทำให้พี่ไปจนได้”

คุณพ่อครัวเลิกคิ้วก่อนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขาปิดเตาก่อนจะตักไข่เจียวที่สุกกำลังพอดีลงจานใบใหญ่

“งั้นมึงคงต้องเลือก” ตอนแรกผมคิดว่ายังไงตัวเองก็ชนะ แต่ดันลืมไปว่าประมาทเขาไม่ได้ “กูยังติดค้างมึงเรื่องมอเตอร์ไซค์”

“...” พอผมทำท่าจะเอาแต่ใจเกินไป อีกฝ่ายถึงได้ดัดหลังผมด้วยข้อต่อรองที่ทำให้ต้องชั่งใจ

“จะไปเลี้ยงสาย หรือหัดขับมอเตอร์ไซค์”

“...”  อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมเขา ยังไงก็มีคราวหน้า แต่รอยยิ้มร้ายๆ บ่งบอกว่าเขาจะไม่ให้โอกาสผมอีกถ้าหากปฏิเสธมัน
   
“พี่แม่ง...”
   
โอเค คราวนี้ผมยอมก็ได้
   
พอเห็นผมทำหน้างุ่นง่าน ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มพอใจ มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมไวๆ คล้ายหมั่นไส้ ก่อนจะทิ้งให้ผมจัดโต๊ะอาหารส่วนตัวเองไปดูเสื้อที่ตากไว้ที่ระเบียง
   
โชคร้ายที่มันแห้งพอดี ความคิดที่จะได้ลอบมองกล้ามเนื้อสวยระหว่างกินข้าวจึงเป็นอันต้องพับไป แต่ทดแทนได้ด้วยไข่เจียวฝีมือเขา ไข่เจียวธรรมดาๆ แต่กลับไม่ธรรมดาเมื่อมีอีกคนนั่งอยู่ตรงหน้ากำลังตักข้าวคำโตและบรรจงเป่าก่อนเอาเข้าปาก...
   
น่ารัก
   
“เหมือนเห็นภาพอนาคตลางๆ” ผมเท้าคางมองท่าทางที่ไม่เคยเห็นของอีกคนพลางเอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้
   
“เพ้อเจ้ออะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วใส่ น้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างยิ่งกว่าเก่า
   
“สักวันพี่คงได้ตื่นมาทำอาหารให้ผมกินทุกเช้า” ...เหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามัน
   
อืม คำนี้เข้าท่าดี
   
“หึ” แต่แทนที่จะปฏิเสธคำหยอดเขากลับยกยิ้มขบขัน “รุกหนักจริงนะ” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาเล่นเกมจ้องตากับผมอีกครั้ง

“แต่แค่นี้ไม่ทำให้กูเปลี่ยนใจง่ายๆ” น้ำเสียงท้าทายถูกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจที่ผมหลงใหล
   
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา ส่งรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้ว่าผมก็ไม่ใช่คนที่จะยอมถอยง่ายๆ
   
“พี่ก็รู้... เรื่องดันทุรังผมไม่เคยแพ้ใคร”
 


   




เขาเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ว่าการปฏิเสธพี่เจดไม่ใช่เรื่องง่าย
   
ไอ้พี่เคราแทบจะยกโมเดลทุ่มหัวผมตอนที่บอกว่าวันนี้ไม่ว่าง จะเลื่อนนัดก็สายไปเพราะยังมีคู่สายอีกรหัสที่เคลียร์คิวเตรียมกินกันเต็มที่ตั้งแต่รู้กำหนดการ สุดท้ายผมเลยต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่แกนั่งเหงาด้วยการถูกจองตัวในวันถัดไป
   
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เว้นซะแต่มีเงื่อนไขว่าต้องลากตัวน้องปีหนึ่งแสนเอาแต่ใจไปด้วยให้ได้
   
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เจดถึงได้ยึดติดกับเขานัก เพราะปกติเด็กซิ่วหรือพวกไม่รับน้องก็จะถูกรุ่นพี่ปล่อยปละตามยถากรรม ไม่ถือเป็นการแบ่งฝักฝ่ายเสียทีเดียวหรอก... มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรม เพราะการที่พวกเขาไม่มาร่วมกิจกรรม ก็เหมือนเป็นการเลือกสังคมที่ไม่ใช่พวกเราตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละ
   
แต่กับเตวิชญ์คงเป็นข้อยกเว้น... เพราะถึงจะถูกเขาปฏิเสธ ทำเมินใส่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งพี่รหัสปีสามของเราก็ยังเยินยอเขาเข้าขั้นคลั่งไคล้
   
เห็นไหม... ใครๆ ก็โดนมนต์ดำของเตวิชญ์ทั้งนั้น
   
เพราะงั้นผมถึงต้องมานั่งลำบากใจ เมื่อโดนมอบหมายให้ลากตัวเขาไปร่วมรับผิดชอบด้วยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะออกมาอีหร็อบไหน
   
“อย่าเหม่อ” เสียงทุ้มตามด้วยเสียงเคาะลงมาบนหมวกกันน็อคเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง นึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนยานพาหนะแสนอันตราย
   
“เอานี่ไปใส่” แจ็กเกตตัวโคร่งถูกโยนมาให้ เพราะเห็นว่าเสื้อยืดบางๆ ตัวเดียวคงไม่อาจปกป้องผมได้ ผมรับมาใส่อย่างเต็มใจเพราะไม่อยากเสี่ยงผิวเปิดเพราะวัดถนนเช่นกัน
   
แต่พอจะสตาร์ทรถกลับต้องชะงัก เมื่อร่างสูงที่ควรจะยืนกอดอกรอซ้ำเติมผมเหมือนครั้งก่อนกลับวาดขาขึ้นมาซ้อนหลังกัน
   
“เฮ้ย พี่ไม่ต้อง...”
   
“ปล่อยมึงขับคนเดียวเดี๋ยวก็ลงพุ่มไม้อีก” เขาขัดทันควัน ก่อนจะพยักหน้าให้ผมสตาร์ทรถสักที
   
“งั้นพี่เอาเสื้อคืนไป” ผมว่า ทำท่าจะถอดแจ็กเกตคืนให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าหงุดหงิด เคาะนิ้วลงมาบนหมวกกันน็อกอีกครั้ง
   
“อย่าล้มก็พอ” เหมือนจะแสดงความห่วงใย แต่แท้จริงมันคือคำขู่ให้ผมแบกรับความกดดันไว้
   
ถ้าล้ม คนที่เจ็บมากกว่าก็คือเขา และผมไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้น
   
“พี่เคยล้มไหม” ความรับผิดชอบที่กำลังแบกรับทำให้ผมตัดสินใจเอ่ยถาม อาจเพราะต้องการความสบายใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเสี่ยงตาย
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตัดรำคาญด้วยการถือวิสาสะสตาร์ทรถให้ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแต่ไม่เพียงพอจะกลบเสียงคำตอบที่ดังอยู่ข้างใบหู
   
“เคยสิ”
   
ได้ยินแบบนั้นแทนที่จะคลายความกดดัน ผมกลับรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งกว่า มโนภาพอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา... สันนิษฐานถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายของเขาปริแตก... สลักร่องรอยการแยกส่วนไว้บนสรีระสมบูรณ์แบบตลอดกาล
   
   





“เพราะมอเตอร์ไซค์เหรอ” ในที่สุดผมก็ได้จังหวะเอ่ยถาม เมื่อเสร็จสิ้นแบบฝึกหัด ผมพาเราสองคนรอดชีวิตมาจนถึงจุดหมายได้
   
สวนสาธารณะกลางมหาวิทยาลัยดูมีชีวิตชีวากว่าคราวก่อนที่ลักลอบมา
   
แต่แสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทำให้คนเริ่มบางตา โดยเฉพาะส่วนท้ายบึงที่เรากำลังนั่งอยู่ มีเพียงคนวิ่งผ่านประปราย และอีกไม่นานก็คงเงียบเหงาด้วยไร้แสงที่เพียงพอให้รับประกันว่าจะไม่มีอันตราย
   
“อะไร” น้ำเปล่าเย็นๆ ถูกยื่นมาหลังจากที่อีกฝ่ายหยิบมันไปเปิดฝาให้
   
“แผลเป็น” ผมตอบสั้นๆ ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย สายตาลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เห็นเขาเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนที่มุมปากบางจะยกยิ้ม... ก้ำกึ่งระหว่างความขบขันและเย้ยหยัน
   
คงเพราะรู้ว่าไม่อาจปกปิดอีกต่อไป
   
“เก่งนี่” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาประสานขณะเอื้อมมือมารับน้ำที่ผมยื่นคืนให้ คำเฉลยไม่ได้ทำให้ผมโล่งใจ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัย
   
“แต่พี่ก็ยังขับมัน” ในใจนึกคาดโทษเจ้ายานพาหนะที่เคยได้ยินคำนิยามว่าเนื้อหุ้มเหล็กแสนอันตราย

ถึงหมวกกันน็อกจะช่วยให้เขารอดตายจากหัวกระแทก แต่เห็นชัดว่ามันไม่อาจปกป้องส่วนอื่นใด
   
“มึงก็เคยจมน้ำ” แต่สีหน้าเชิงตำหนิของผมไม่ได้ทำให้เขาทบทวนข้อเสียนั้นใหม่ กลับหยิบยกเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นมายอกย้อนเหมือนจะเตือนว่าเราไม่ต่างกัน “แต่มึงก็ไม่ได้กลัวน้ำถูกมั้ย”
   
ถ้าผมเป็นเขาก็คงเลือกทำแบบนี้เหมือนกัน... การผิดพลาดหนึ่งครั้งเพียงสอนเราว่าต้องระวังในคราวต่อไป
   
มันคือนัยของการเอาชนะบางสิ่งที่ผมยึดถือมาแต่ไหนแต่ไร
   
ผมหัวเราะ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมีชุดความคิดคล้ายกัน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เอ่ยถามเพื่อเชื่อมโยงคำถามต่อไป...

มันเกี่ยวกับเวลาสองปีที่พี่หายไปหรือเปล่า... เพราะแบบนั้นถึงไม่มีเวลาบอกลากันใช่ไหม

แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาที่บ่งบอกว่าผมถามมากเกินไป ฝ่ามือหนาเอื้อมมาวางบนหัวผมแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืน

“ไปเถอะ”

การตัดบทสนทนาดื้อๆ ทำให้ผมต้องเก็บกลืนคำถามที่เหลือไว้ในใจอีกครั้ง ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินตามฝีเท้ายาวๆ ก่อนอาศัยจังหวะที่ร่างสูงกำลังจะถึงมอเตอร์ไซค์แย่งกุญแจในมือเขามา

“ผมขับเอง” เหมือนคนกำลังร้อนวิชา พอขับมาถึงตรงนี้ได้ผมก็อยากผ่านด่านที่มันท้าทายกว่า...

"..." อีกฝ่ายมองผมนิ่ง สีหน้าเหมือนชั่งใจ เหตุเพราะหนทางกลับมันไม่ง่าย... ทางชันสูงที่เป็นอุปสรรคตอนขามา คงน่าระทึกยิ่งกว่าตอนขาลง เขารู้ดีว่าผมยังไม่แข็งพอจะควบคุมทั้งความเร็วและทิศทางให้มั่นคง ถ้าโชคร้ายก็คงล้ม...

แต่อย่าดูถูกคนอย่างผมเชียว

“ท้าหรือจริง” สุดท้ายก็เลือกจะทำลายความลังเลของเขาด้วยการเอ่ยคำถาม คนตรงหน้าเพียงยิ้มหน่ายๆ กับความดื้อรั้น ก่อนจะตอบรับความเสี่ยงด้วยการหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมให้กัน ยอมให้ผมกำชีวิตเขาไว้ในมือ...

ผมรู้ดีว่าจะรักษามันไว้ได้... เหมือนที่เคยรักษาสัญญาที่เขาคงหลงลืมไป






“พร้อมมั้ย...” ยิ่งใกล้ผมก็ยิ่งใจเต้นจนต้องเอ่ยถามอีกคนเพื่อความอุ่นใจ

ถ้าเขาตอบว่าไม่ผมอาจยอมสละคันบังคับให้เขาเป็นคนขับก็ได้

"หึ" แต่คนที่ควรจะหวั่นใจยิ่งกว่ากลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโอบแขนข้างหนึ่งไว้รอบเอวผมหลวมๆ ...ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เตรียมพร้อมจะป้องกันผมจากอันตราย

“มึงทำได้” ไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่าเพียงคำสั้นๆ ของเขากำลังทำให้ผมอุ่นใจ แต่คงปฏิเสธรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินไม่ได้

สุดท้ายผมก็ปลดระวางความหวาดหวั่นตัดสินใจบิดคันเร่งมุ่งตรงไป เร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อความเร้าใจ แต่ไม่เร็วเกินไปจนตัวเองควบคุมไม่ได้ สายตาเห็นความลึกที่ใจประมาณเป็นปากเหวในระยะที่ถ้าคิดจะกลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทัน...

และในที่สุดผมก็พาเราทั้งคู่ดำดิ่งลงไป

ความวูบไหวในช่องท้องเกิดขึ้นเพียงแวบหนึ่งแล้วหายไป ผมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะปล่อยให้รถทะยานไปตามทางลาดชันที่ทอดยาว เสียงหัวเราะต่อเนื่องคลอเคล้ากับเสียงลมหวีดหวิวที่ปะทะเข้ามา...
   

“หึ...” แต่เสียงหัวเราะเพียงครั้งจากอีกคนกลับเพราะยิ่งกว่า

“ขอบคุณที่กลับมา” ความวูบไหวชวนใจเต้นรัวไม่ต่างจากตอนที่พาตัวเองพ้นส่วนที่ชันที่สุดเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่ยากจะเข้าใจ

“...”  แต่ผมเลือกปล่อยความสงสัยไปกับสายลมฤดูหนาวชวนให้เย็นเยียบไปทั้งร่าง

ส่วนที่อบอุ่นคงมีเพียงเอวที่ถูกโอบรัด และลำคอ... ที่ถูกคนฉวยโอกาสฝากรอยจุมพิตแผ่วเบา... 

   




ตึก ตึก ตึก

ผมได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วของตัวเองดังก้องทั้งที่อยู่ในที่โล่งกว้าง ไล่ตามกลิ่นบุหรี่ยี่ห้อเดิมโชยชัดในทุกฝีก้าว กระทั่งเห็นเจ้าของแผ่นหลังในชุดนักเรียนคุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า...

หมับ!

และผมก็ไม่อาจยั้งใจไม่เอื้อมมือไปกอดพี่ไว้ได้

เสียงหัวใจเต้นรัว... ขอบตาร้อนผ่าวบ่งบอกว่าตลอดมาผมหวาดกลัวและทรมานมากแค่ไหน

หลังจากหายไปเกือบสามอาทิตย์ในที่สุดพี่ก็กลับมา
   
ด้วยสถานะที่ไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักในสายตาคนทั่วไปทำให้ผมไม่อาจเปิดปากถามข่าวคราวของพี่กับใคร ต้องอดกลั้นกับเสียงลือต่างๆ นานาที่ไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ เฝ้ารอ... เพื่อจะพบอีกครั้ง รอให้พี่เฉลยความจริงให้ผมฟัง
   
‘พี่หายไปไหนมา’
   
‘…’ แต่หลังจากเอ่ยคำถามรอบตัวกลับเงียบงัน

พี่ปล่อยให้ผมกอดแว้แน่นอย่างนั้น พร้อมค่อยๆ ละเลียดควัน กลิ่นนิโคตินที่ยังคละคลุ้งในอากาศราวหมอกพิษ ชวนอึดอัดจนไม่อยากหายใจ
   
‘พิชญ์…’ นานทีเดียวกว่าพี่จะทำลายความเงียบขึ้นมา
   
ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามในสิ่งที่ผมไม่รู้ความหมาย
   
‘มึงจะอยู่กับกูไหม’
   
‘…’ ไม่รู้กระทั่งว่าจุดประสงค์ของคำถามนั้นคืออะไร
   
‘อยู่ตลอดไป…’ แต่น้ำเสียงที่พี่ใช้มันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา
   
เจ็บปวด... ทั้งที่ไม่เข้าใจ
   
‘อืม อยู่สิ’ แน่นอนว่าคำตอบช่างแสนง่ายดาย ผมรัดอ้อมกอดแน่นขึ้นยืนยันว่าจะไม่ไปไหน

...เพราะตอนนั้นผมโง่เกินกว่าจะรู้ว่าตลอดไปไม่มีจริง
   
และคำถามของพี่คือหลุมพราง...
   
สุดท้ายคนที่ขอให้ผมเอ่ยคำมั่น กลับกลายเป็นคนทำลายสัญญานั้นเสียเอง


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2017 09:06:09 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
(ต่อ)

จะทำยังไงเมื่อคุณคิดว่าตัวเองบินมาไกล แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ระยะทางหมื่นไมล์เป็นเพียงภาพลวงตาเมื่อคุณพบว่าตัวเองยังก้าวเท้าออกมาไม่พ้นหน้าบ้าน...

มันไม่ใช่คำถาม... แต่ผมกำลังตอกย้ำให้รู้ว่าเกมนี้มันอันตราย

ดังนั้น อย่าไว้ใจความหวัง...
   
“มาช้านะไอ้พิชญ์” เสียงตะโกนทักของพี่เจดแหวกเสียงเพลงชวนปวดหัวขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม
   
“เพิ่งตรวจแบบเสร็จอ่ะ” บอกเหตุผลพร้อมแทรกตัวนั่งลงกลางโซฟาตัวใหญ่ ตำแหน่งเดียวที่เหมาะเจาะพอจะจับตามองเขาได้...
   
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่นั่งอยู่บนโซฟาแบบเดียวกัน แต่ห่างออกไปในระยะหลายช่วงโต๊ะซึ่งกำลังมองมาที่ผมเช่นกัน กลางวงล้อมของคนที่ผมไม่รู้จัก และใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักกำลังแนบชิดร่างสูงในระยะที่เรียกว่าแทบจะเกยอยู่บนตัก
   
คำถามข้อหนึ่งคือทำไมเขาถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ง่ายๆ และข้อสอง... คนพวกนั้นเป็นใคร
   
“เด็กบริหาร” คำเฉลยสั้นๆ ถูกเอ่ยจากพี่รหัสที่รู้ว่าสายตาผมหยุดอยู่ตรงไหน
   
“กว่าจะลากคอมาได้กูแทบไหว้ เสือกถูกเด็กคณะอื่นหิ้วไปตั้งแต่นาทีแรกอีก ฮอตชิบหาย” พี่เจดพูดติดตลกพลางยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วมาให้
   
“อย่าอิจฉาดิ” ผมแกล้งแซวขำๆ พลางรับเครื่องดื่มมาจิบกลบเกลื่อนสายตาที่ถูกดึงดูดไว้ด้วยสีรัตติกาล
   
จากระยะนี้ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ก็ใกล้พอที่ผมจะเห็นดวงตาเรียวคมคู่นั้นได้ชัด... รอยยิ้มมุมปากร้ายกาจก็เช่นกัน
   
เขาจงใจ...
   
จำได้ไหม... เตวิชญ์คือผู้ทำลาย... ความหวังที่ผมเพิ่งคว้าได้ถูกเจ้าของริบคืนเพื่อเหยียบย่ำ ทดสอบว่าผมจะทนความผิดหวังซ้ำๆ ได้นานแค่ไหน
   
นั่นสิ... ผมจะทนได้แค่ไหนกัน
   
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่าไอ้เตเป็นไบ คราวก่อนมันคบกับผู้หญิงในรุ่นมึงไม่ใช่?” เสียงที่ไม่คุ้นหูเรียกให้ผมหันมามองข้างตัว ก่อนจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคนที่เกือบจะแปลกหน้าเหมือนกัน
   
ทั้งโต๊ะมีเพียงพี่เจดที่ผมสนิท นอกนั้นเป็นเพื่อนต่างคณะของพี่แกที่ผมเคยเจอไม่กี่ครั้ง
   
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เขารู้จักเตวิชญ์ แถมยังรู้ถึงขั้นว่าเจ้าตัวเคยคบใคร และมันชวนประหลาดใจแค่ไหนที่ตอนนี้เขากำลังคั่วอยู่กับเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งไม่ได้มีส่วนคล้ายกับคนที่แล้วแม้แต่นิดเดียว
   
“ก็ไม่แปลกนี่หว่า” พี่เจดเป็นคนตอบขณะหยิบแก้วของผมไปรินเหล้าให้แทนของเดิมที่ไม่รู้หมดไปตอนไหน ผมหันไปเลิกคิ้วมองพี่รหัส รอฟังคำอธิบายที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น
   
“มันก็มีนี่ พวกที่ไม่ได้สนใจว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่รักอะไรทำนองนั้น” หลุดหัวเราะกับเหตุผลที่ฟังดูคล้ายนิยายน้ำเน่า แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้
   
ขอแค่รัก... ก็คงใช่

ผมชนแก้วกับพี่เจดก่อนจะเลิกสนใจบทสทนา หันกลับมาจิบเหล้าและเล่นเกมจ้องตากับคนที่นั่งอยู่คนละโต๊ะอีกครั้ง

"..."

แต่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะเมื่อเบือนสายตากลับมาอีกครั้งภาพที่คิดไว้กลับบิดเบือน... กลายเป็นภาพที่เขาหันไปประกบปากกับคนข้างกาย

ให้ตาย... เล่นแรงจริงนะ
   
“แล้วอย่างไอ้เต เซ็กซ์แอพพีลสูงจะตายห่า มีทั้งผู้หญิงผู้ชายจ้องจะกินขนาดนั้น เป็นกูก็ไม่ปิดกั้นเหมือนกันอ่ะ” คำพูดติดตลกของพี่เจดที่เข้าหูมาไม่ได้ทำให้ผมขำอีกต่อไป
   
“ไอ้สัด แหยงอ่ะ ต่อให้เลือกได้แค่ไหนแต่กับผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่ไหวป่ะวะ” ยิ่งคำพูดของคู่สนทนายิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดปะทุขึ้นมาจนยากจะควบคุม
   
“หึ” ผมหลุดยิ้มหยัน วางแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะพลางหันมองคนปากพล่อยข้างตัว...


“เฮ้ย!” ขัดจังหวะการดื่มของอีกฝ่ายด้วยการดึงแก้วเหล้าในมือเขามากระดกรวดเดียวอย่างถือวิสาสะ แสยะยิ้มให้ใบหน้าเหรอหราก่อนจะยกสะโพกขึ้นจากตำแหน่งตัวเอง...

พรึ่บ!

พลิกตัวกลับไปคร่อมตักของคนตัวโตกว่าแต่ไม่ได้นั่งลงไป เท้ามือข้างหนึ่งไว้กับโซฟาเพื่อพยุงไม่ให้ร่างกายสัมผัสกัน
 โน้มหน้าเข้าหาช้าๆ... หยุดเพียงให้จิลที่จมูกแตะลงกับปลายจมูกของอีกคนที่หยุดหายใจไปชั่วขณะ

“นะ... น้องพิชญ์...” เรียกเสียงอึกอักหลังจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมยิ้มตอบก่อนไล่สายตาสำรวจใบหน้าที่เอาเข้าจริงก็จัดว่าหล่อเหลาใช้ได้


การไม่ถูกผลักออกหรือโดนชกหน้าในทันทีทำให้ผมยิ่งได้ใจ คลี่ยิ้มบางพลางมองริมฝีปากที่เผยอออกอย่างอ้ำอึ้งไล่ขึ้นมาถึงดวงตาอีกครั้ง
 
“สีดำ...” จ้องนิ่งนาน จงใจให้การขยับริมฝีปากที่เกือบจะเฉียดกันทำอีกคนนิ่งงัน สายตาหวาดหวั่นระคนสับสนว่าผมต้องการอะไร

ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน... ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

“ตาพี่...”

อ่านออกง่ายดายเมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิททว่าขลาดเขลา ไร้เสน่ห์ลึกลับต่างจากดวงตาสีดำอีกคู่ที่ผมรู้จัก...

“สวยดีนะครับ” เสียงกลืนน้ำลายอีกครั้งทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะผละออกห่างทิ้งตัวกลับมานั่งที่เดิมพลางเอื้อมมือไปดึงแก้วเหล้าจากพี่เจดที่นิ่งค้างมองการกระทำแสนอุกอาจของผมอย่างตกใจ

“เป็นไงล่ะมึง เจอฤทธิ์น้องรหัสกูเข้าไป ยังแหยงผู้ชายอยู่ไหม” กว่าบทสนทนาจะเริ่มใหม่ก็ตอนที่ผมดื่มหมดแก้วอีกครั้ง ปล่อยให้สายตาตัวเองกลับไปจับจ้องยังตำแหน่งเดิมแต่ก็ต้องชะงักไป

เขาไม่อยู่ตรงนั้น... และการที่อีกคนหายไปพร้อมกันก็เป็นคำตอบง่ายดายว่าเขาหายไปไหน
   
“เฮ้ย ไปไหน” พี่เจดร้องทักทันทีที่ผมลุกขึ้นทั้งที่เพิ่งมาได้ไม่นาน
   
“เดี๋ยวผมจ่ายเอง” รับผิดชอบการเสียมารยาทด้วยการหยิบใบเสร็จไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์โดยไม่คิดอธิบาย พี่เจดเองก็คงเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ค่อยดีถึงได้ปล่อยกลับโดยไม่คัดค้านอะไร เพียงหันไปตำหนิเพื่อนคนเดิมที่ทำงานกร่อยโดยไม่รู้ว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวอะไร
   
...ผมแค่เล่นเกมค้างไว้ก็เท่านั้น

   




แกรก~
   
เสียงปลดล็อกดังขึ้นทันทีที่คีย์การ์ดสำรองแตะเข้าเครื่องแสกน ผมผลักประตูเข้าไป แสงไฟห้องรับแขกที่สว่างจ้าบ่งบอกว่ามาถูกที่อย่างไม่ต้องสงสัย
   
แน่นอน... มันคือห้องของเขา ห้องชุดหรูหราที่ผมเคยมาเหยียบเพียงครั้ง... และตอนนี้ก็กำลังถือวิสาสะมาเยือนโดยไม่อนุญาต
   
ผมไม่ใช่ขโมย และคีย์การ์ดนี่ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ... มันคือบทลงโทษจากความพ่ายแพ้ของเขาที่เลือกจะกระโดดน้ำลงไปช่วยผมไว้... ง่ายดาย แค่อนุญาตให้ผมรุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ
   
...ไม่คิดว่าจะได้ใช้สิทธิ์เร็วขนาดนี้เหมือนกัน
   
“อ๊ะ...” เสียงร้องแปร่งประหลาดที่เล็ดลอดมาทำให้ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อจับทิศทางได้... อันที่จริงก็เดาได้ตั้งแต่เห็นว่าประตูห้องนอนแขกบนชั้นลอยเปิดแง้มไว้...
   
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไป แสงที่สาดจากห้องรับแขกสว่างพอจะทำให้เห็นกิจกรรมซึ่งไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่...

ร่างเกือบเปลือยสองร่างที่กำลังเกี่ยวกระหวัดบนเตียงขนาดคิงไซส์ เสียงครางไม่เป็นภาษาจากฝ่ายที่นั่งคร่อมอยู่บนตัก ถูกเล้าโลมจากอีกฝ่ายที่กำลังวุ่นวายอยู่แถวหน้าอกเปลือยเปล่าที่กำลังแอ่นรับ เล็บทั้งห้าจิกลงแผ่นหลังกว้างระบายอารมณ์สวาท

ทำนองรักแสนเร่าร้อนกำลังจะถูกขับขาน... หากไม่ถูกขัดจังหวะ
   
“พะ...พี่เต” เสียงครางเปลี่ยนเป็นอุทานเมื่อผมผลักประตูเข้าไป
   
เสียงฝีเท้าและเงาร่างที่ทอดลงบนเตียงคงเพียงพอจะทำให้คนที่กำลังหันหลังให้ล่วงรู้การมาถึงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
   
“...” เจ้าของชื่อไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ไม่แม้แต่จะหันกลับมาดูว่าผู้มาเยือนเป็นใคร...

คงเพราะมันไม่ยากเกินจะเดาได้
   
“...” ความเงียบชวนกระอักกระอ่วนดังคับห้องเมื่อกามกิจถูกระงับทั้งที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เจ้าของร่างเล็กกว่าได้แต่มองหน้าผมสลับกับอีกคนเลิ่กลั่กอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ยิ่งเมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปจนถึงตัว สายตาของเด็กคนนั้นก็ยิ่งกลายเป็นความสับสนเจือหวาดหวั่น
   
ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมไม่ได้จะทำอะไร

เป้าหมายของผมไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาที่ริอ่านจะแตะของร้อนอันตราย
   
คนที่ผมมีธุระด้วยคือเขา... เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังส่งคำถามว่าผมคิดจะทำอะไร ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนยกมือข้างที่ไม่ได้ล้วงกระเป๋าขึ้นแตะบ่าหนาที่เปลือยเปล่าพลางโน้มตัวลงไป

...แกล้งลงโทษคนใจร้ายด้วยการกัดใบหูหนึ่งครั้ง... แล้วเอ่ยกระซิบคำถามแผ่วเบา

   
“ท้าหรือจริง...”
   
...
   
ขยับปีกอีกครั้ง... ผมจำเป็นต้องบอกให้เขารู้ไว้... ว่าผมจะไม่เล่นบทของตายอีกต่อไป



--------------------------------------------------------------
Baby I’m preying on you tonight
Hunt you down eat you alive
Just like animals...
- Animals -
(Maroon 5)

แด่ความแซ่บของน้องพิชญ์ค่ะ 5555

ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2017 08:37:22 โดย makok_num »

ออฟไลน์ prawan25

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นี่แหละเตวิชญ์ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง....

แต่ชอบตอนที่พี่เตอ้อนมากกกก!!
มุมแบบนี้ของพี่ทำให้ใจน้องละลายไปเลยค่าาา -///-

และน้องพิชญ์... เราบอกแล้วว่าน้องร้าย -..-
เพราะถ้าน้องไม่ร้ายจะเอาพี่เตไม่อยู่  5555.
แต่ชอบควาาแสบที่น้องแสดงออกมามากเลยอ่ะ คือมันน่ารักกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
« ตอบ #79 เมื่อ: 13-12-2017 10:32:27 »





ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ว้ากกกกกกก่่อนดรน้บีะี้เยไยน่ดี้ร แซ่บมั่ยแซ่บ พิชญ์ร้ายหนักๆเลยลูก พี่ชอบบบบ พี่ชอบบบบบบ :hao5:

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แซ่บกว่านี้ ขอแซ่บกว่าเน้!!! 55555555555 อยากเห็นน้องแซ่บอีกกก ให้อีพี่อกแตกไปซ้ะ หมั่นไส้  :hao3:

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แซ่บมั่ยแซ่บบบบบ เอาอีกค่ะน้องพิชญ์ ขอแซ่บกว่านี้!!!

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
อยากกรีดร้องให้ทะลุโอโซน แซ่บมาก ชอบน้อง ใช่ค่ะ ใช่ สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่กรีดร้องแล้วกระชากตัวฆ่าเวลานั่นมาตบ แต่ควรทำให้เขารู้ว่าเราจะไม่มีวันเป็นเหมือนกับคนที่เขากำลังกอดอยู่ ว้อนท์อิทมอร์

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อยากจะถือป้ายไฟไปเชียร์น้องพิชญ์เลยค่าาาาา เจ้าตัวแสบกำลังแผลงฤทธิ์ ขอให้พิษของคนน้องกัดกินคนพี่จนขาดน้องไม่ได้เลยนะคะ เหมือนที่พี่มอมเมาน้องด้วยควัน น้องพิชญ์สู้ๆ :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น้องพิชญ์ของพี่ ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ
พี่เตจะเล่นใช่ไหม พี่เตจะต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของน้อง!!!

ออฟไลน์ littlegift

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เดี๋ยวววว ทำไมพึ่งเจอเรื่องนี้ หยุดอ่านไม่ได้เลยจ้า  :katai1: ทีมน้องพิชญ์เลยจ้าาา

ออฟไลน์ otiosesone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หนูพิชญ์สู้เขาลู๊กกกกกก ตาต่อตาฟันต่อฟัน!!!!!  :fire:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
พี่เตที่ว่าร้ายเจอน้องพิชญ์เข้าไปต้องยอมละงานนี้น้องเขาไม่ธรรมดา เอาอิพี่ให้สยบเลยลูกแม่อยู่ข้างหนู :laugh3: :katai4:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เป็นความอ่อนโยนที่ไม่มีจริง จริงๆนั่นแหละค่ะ  :katai1:

คนเราจะทนการถูกทำลายความหวังได้ซ้ำๆถึงเมื่อไหร่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด