#แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]  (อ่าน 27939 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทำไมทำแบบนี้???

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
ตอนพิเศษ 3
ความแตกหัก





วันนี้เป็นวันที่ทีระวิทต้องมาสอบเป็นวันแรกและเป็นวันที่จะได้เจอกับกัส ซึ่งแน่นอนทุกอย่างที่เขาคิดมันเป็นจริงแทบทุกเรื่อง เพราะนักศึกษาในคณะที่เขาศึกษาอยู่ผลัดกันหันมองไอ้กัสแทบจะเป็นตาเดียว


ไม่ว่าหมอนั่นจะเดินไปทางไหนก็จะถูกมองและโดนซุบซิบนินทาอย่างสนุกปาก


และเหตุการณ์ในตอนนี้มันกำลังเป็นอย่างที่ผมต้องการทุกอย่าง


แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองจะต้องทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ควรจะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับมันบ้าง พอคิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งทันที


หลังจากที่ทีระวิทเข้าไปทักทายก็ได้ความกลับมา เพราะกัสมันเริ่มจับสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวได้ว่า หลายๆคนในคณะต่างมองมันโดยใช้สายตาแปลกๆ


พอเห็นแบบนั้นผมจึงยื่นมือถือไปให้อีกคนดูเพื่อความกระจ่างชัดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับคนโง่เง่าที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวมันบ้าง เหตุผลก็คงเป็นเพราะมันไม่ได้ให้ความสนใจในกลุ่มคณะนั่นเลย


หลังจากที่ผมยื่นมือถือไปให้ไอ้กัสดูว่าตัวมันเองกำลังตกเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้ หลังจากที่มันเห็นภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสีหน้าของมันก็เริ่มเปลี่ยนสี จากเดิมที่ซีดลงมากอยู่ก่อนแล้ว


แต่ในตอนนี้เวลานี้หน้าของมันแทบจะไม่มีเลือดไหลเวียนเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าสะใจไหมผมก็แอบสะใจไม่น้อยเลยล่ะ เพราะมันคงจะช็อคน่าดูที่โดนคอมเม้นต์ไปในทางเสียๆหายๆแบบนั้น


อย่างว่าละนะ คนเราสมัยนี้เวลาเห็นอะไรที่ชวนให้นินทาต่างก็รวมหัวกันทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของคนที่ถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อย เพราะแบบนี้ไง โซเชียลมันถึงได้เปรียบเสมือนกับดาบสองคม


แต่ทว่าระหว่างที่ผมและไอ้กัสนั่งกันอยู่กลับมีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและเอ่ยทักทาย แต่ท่าทีในการทักทายของพวกมันไม่น่าเอ่ยทักกลับไปสักนิด


ผมบอกตามตรงเลยว่า แม้แต่ตัวผมเองยังไม่ชอบขี้หน้าไอ้พวกนี้เลยด้วยซ้ำ พวกมันชอบทำตัวกร่างและแถมยังชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว นี่ขนาดเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยแล้วนะ


แต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำพวกนี้หลงเหลืออยู่อีกไม่น้อยเลย รวมถึงไอ้พวกนี้ด้วย คราวนี้พวกมันคงจะเล็งเป้ามาที่ผมและไอ้กัสแน่ๆ แต่ว่ามันจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลอะไรนี่สิ 



แต่พวกมันไม่ได้เข้ามาทักทายผม กลับเดินเลยผมไปและเบนสายตาพร้อมกับเอ่ยทักทายกัสที่นั่งหน้าเซ็งอยู่ข้างๆผมแทน และคำที่ไอ้หมอนั่นมันทักทายขึ้นมาประโยคแรก


ถ้าเป็นผมก็คงไม่กล้าที่จะต่อกรอะไรด้วยหรอก เพราะมันออกจะคุกคามจนเกินไปหน่อย และอีกอย่างพวกมันก็มากันตั้งหลายคน ผิดกลับไอ้กัสตอนนี้ลิบลับ สีหน้ามันดูไม่สบอารมณ์สุดๆแถมยังดูโมโหไม่ยอมเสียด้วย



จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากไอ้กัสมันนึกอยากจะมีเรื่องละก็ วันสอบวันแรกแบบนี้และหากไอ้กัสมีเรื่องทะเลาะกันภายในสถานศึกษาคงเป็นข่าวคึกโครมมากกว่าไอ้รูปที่หลุดพวกนั้นเสียอีก


แต่พอดูท่าทางแล้วพวกมันคงไม่ยอมง่ายๆอยู่เหมือนกัน เพราะไอ้กัสมันดันไปกระชากคอเสื้อไอ้หัวโจกนั่นเสียนี่


ทันทีที่ผมเห็นไอ้กัสมันพุ่งไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย มันกลับทำให้ผมอดที่จะรู้สึกห่วงไม่ได้ จึงรีบชันตัวลุกขึ้นและเข้าไปห้ามปรามให้หยุดการกระทำที่อาจจะสุ่มเสี่ยงถึงขั้นทำร้ายร่างกายด้วยความที่ลืมตัว


ไม่รู้ ...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมต้องรีบขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามปรามขนาดนี้ ทั้งๆที่ในตอนแรกผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะให้มันทะเลาะกันเสียดิบดี แต่ร่างกายที่ขยับลุกขึ้นไปห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมันคืออะไร


ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตกลงแล้วผมเกลียดไอ้กัสจริงๆหรือเปล่า


โชคยังดีที่พวกมันไม่ได้คิดจะเอาเรื่องต่อ แต่เลือกที่จะรามือและเดินหนีออกไปก่อนเอง แต่ไอ้กัสนี่สิสีหน้าของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเสียเต็มประดา



“ขอบใจมึงมากนะไอ้ที ถ้าไม่ได้มึงห้ามเอาไว้ คงได้มีเรื่องชกต่อยไม่ได้สอบกันพอดี”



ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดขอบคุณพวกนั้นที่ออกมาจากปากของเพื่อนชัง 


แต่อย่าขอบคุณกันเลย...ความจริงแล้วกูอยากจะให้มึงทะเลาะกับไอ้พวกนั้นด้วยซ้ำ!


ผมทำได้แต่เพียงตอบในใจและส่ายหัวไปมา จนไอ้กัสมันผลักหัวของผมเล่น แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันผลักอยู่ฝ่ายเดียวแน่


ตอนนี้เราสองคนเลยกลายเป็นหยอกล้อกันและต่างผลัดกันแกล้งไปมา จวบจนเวลาเข้าสอบมาถึง






ในช่วงที่ผมกำลังสอบอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นไอ้กัสมันเดินออกไปตั้งแต่ชั่วโมงแรก ในขณะที่ตัวผมเองยังทำข้อสอบได้ไม่ถึงครึ่งของเลยด้วยซ้ำ มันออกจะเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ไอ้กัสมันมักจะทำข้องสอบเร็วอยู่เสมอ


และหลังจากที่มันออกไปก็คงจะไปนั่งรอผมอยู่เหมือนเดิมตามเคย


เวลาผ่านไปราวๆเกือบเข้าชั่วโมงที่สอง ผมทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อยพอดีพร้อมกับเดินออกมาจากห้องสอบ แต่สิ่งที่ผมกำลังเห็นกลับทำให้รู้สึกวูบไหวและปวดหน่วงในใจ เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มันเป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้านั่น


มันคือภาพที่เซนกำลังยืนพูดคุยอะไรสักอย่างกับกัสอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ เซนถึงกับต้องลงทุนมาหากัสถึงที่นี่เลยหรือไง ไม่กลัวพวกข่าวลือที่ถูกปล่อยออกไปบ้างเลยหรอ


เพราะความสงสัยมันทำให้เขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังที่เป็นมุมอับและลอบแอบมองดูห่างๆ



แล้วนั่น...เซนกำลังพากัสไปไหน และทำไมกัสมันยังพูดคุยกับเซนอยู่ทั้งๆที่ถูกปล่อยภาพพวกนั้นออกไปแล้วแท้ๆ นี่มันไม่ใช่วิสัยของไอ้กัสเลยสักนิด


ถ้าเป็นในปกติไอ้กัสมันคงไม่เสวนากับเซนหรอก หรือไม่ก็คงจะเดินหนีหรือทำอะไรสักอย่าง คนอยากไอ้กัสมันยอมใครง่ายๆเสียที่ไหน


หรือว่า...มันคิดจะจริงจังกับเซน




หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นออกไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่ผมที่ยังคงหลบซ่อนตัวเองอยู่ในมุมมืดด้านหลัง ผมเห็นอาการขัดขืนที่ไอ้กัสมันแสดงออกไปแต่มันไม่ได้มากมาย ถ้าหากมันคิดจะขัดขืนจริงมันคงจะทำได้มากกว่านี้ ทำไมผมจะไม่รู้


ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่อาการเสียใจ หรือแม้แต่อารมณ์บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ มีแต่เพียงความรู้สึกเฉยชา มันจริงที่ผมกำลังเฉยชา เพราะผมเริ่มไม่รู้สึกอะไรในอกข้างซ้ายนั่นแล้ว


รู้แค่เพียงว่า เพื่อนชังคนนั้นมันจะต้องไม่มีทางได้ในสิ่งที่ผมเองก็ไม่ได้


เพราะถ้าผมไม่ได้ใจของเซน คนอย่างมันก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน



ท่ามกลางความรู้สึกที่ไหลเวียน ภายในใจของผมจากเดิมที่รู้สึกชาหนึบในคราแรก ตอนนี้มันเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกกรุ่นโกรธ ตอนนี้คงจะต้องจัดการอะไรสักอย่างแบบเด็ดขาดกับไอ้เพื่อนชังคนนี้เสียแล้ว





23.50 น.


ปกติเวลานี้ผมควรจะอ่านหนังสือเพื่อสอบในวันพรุ่งนี้ แต่ในตอนนี้ผมกลับกำลังยิ้มอย่างสบายใจมันเป็นเพราะอะไรนะหรอ เพราะว่าผมคิดแผนดีๆที่จะเอาไว้จัดการได้แล้วน่ะสิ


มันคือแผนการที่จะทำให้ไอ้กัสเลิกยุ่งกับเซน และถ้าเกิดว่ามันยังไม่เลิกยุ่งล่ะก็ ผมก็ยังคงมีแผนสุดท้ายเอาไว้รองรับ ถึงแม้ว่าแผนการสุดท้ายผมจะไม่อยากทำมันสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆผมทำแน่


 ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่มันสกปรก ตัดสินใจที่จะทำเรื่องร้ายๆกับเพื่อนชังที่ผมรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด โดยที่ผมเลือกที่จะส่งคลิปที่เซนให้เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้และส่งเข้าไปในแชทของไอ้กัส พร้อมกับแนบข้อความข่มขู่กับมันเอาไว้



ผมเห็นอีกฝ่ายมันอ่านข้อความสุดท้ายแต่มันไม่ได้ตอบกลับมา ก็เท่ากับว่ามันรับรู้แล้ว ตอนนี้มันคงกำลังช็อคอยู่ไม่น้อย อีกอย่างเรื่องนี้เซนไม่รู้และก็ไม่ได้สั่งให้ผมทำ

เซนเพียงแค่บอกให้ส่งคลิปไปข่มขู่เพียงเท่านั้นถ้าผมจำไม่ผิด แต่เรื่องข้อความมันเป็นผมเอง เป็นผมที่เสริมเติมแต่งมันเข้าไปเพื่อเหตุผลส่วนตัวทั้งสิ้น


และในเวลานี้รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ยิ้มมานานมันกลับผุดขึ้นมาบนใบหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขแต่ก็เลือกที่จะยิ้ม เพราะผมกำลังยิ้มให้กับการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผมเป็นคนเลือกมันเองกับมือ


การเปลี่ยนแปลงที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เหลือใครข้างกายก็ตาม ผมก็พร้อมที่จะทำ เพราะในเมื่อผมเดินมาตั้งแต่แรก มันไม่มีใครอยู่ข้างกายผมมาอยู่ก่อนแล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้


คนที่เดินข้างกายผมเป็นไอ้กัสน่ะหรอ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่มัน เพราะมันไม่มีทางที่เอาใคร ไม่มีทางที่มันจะรู้สึกกับผมว่าเป็นเพื่อนสนิทของมัน


แม้แต่เรื่องเครียดๆของมันยังไม่เอามาปรึกษาผมเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเพื่อนสนิทประสาอะไร เรื่องเรียนก็มักจะเอาตัวรอดไปคนเดียวแบบนั้น





เช้าวันถัดมา


ผมยังคงไปสอบและพบเจอกับไอ้กัสเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกครั้ง แต่เช้าวันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้และรู้สึกได้ ไอ้กัสมีสีหน้าดูไม่ดีเอาซะเลย ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนทั้งคืนมันไม่ได้นอนหรอกใช่ไหม แต่มันก็ดีแล้วนี่หัดทรมานใจซะบ้างก็ดีแล้ว


ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่ความสงสารส่งออกไปตามน้ำเสียงที่พูดสักนิดแม้จะเสแสร้งพูดออกไปก็ตามที อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียด้วยซ้ำ ว่าที่ผมพูดออกไปนั้นไม่มีความห่วงใยปะปนไปสักนิด


แต่จะว่าไปดูมันก็ปกติดีแถมยังส่งยิ้มมาให้เหมือนทุกครั้ง นี่มันไม่คิดจะสะทกสะท้านสักหน่อยเลยหรือไง ถูกข่มขู่เมื่อคืนมันยังยิ้มได้อีกหรอ


ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบ เพราะมันเป็นแบบนี้เป็นคนที่มีเรื่องอะไรและไม่ยอมบอกหรือคิดจะปรึกษาแต่มันเลือกที่จะปิดบังเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่คงไม่ห่างไกลจากคำว่าไม่เชื่อใจเท่าไหร่นักหรอก


ผมคิดว่ามันคงจะไม่ได้ไว้ใจผมถึงขนาดที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังได้





หลังจากที่สอบเสร็จผ่านไปอีกหนึ่งวันที่แสนเหนื่อย พอเดินออกมาจากห้องสอบไอ้กัสมันก็ทักขึ้นมา แต่เพราะวันนี้ผมมีนัดกับน้องรหัส เลยบอกปัดไอ้กัสไป ท่าทางมันดูเครียดและออกจะร้อนรนไม่น้อยที่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับผม


ไม่แปลกหรอกเพราะปกติทั้งผมและมันมักจะกลับด้วยกันมาโดยตลอด จะมีก็ช่วงหลังๆมานี้แหล่ะ ที่ไม่ค่อยได้กลับพร้อมกันเหมือนเดิม


ทว่าหลังจากที่ผมพบน้องรหัสเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเดินออกจากอาคารเรียนที่เริ่มไร้ผู้คนไปเรียกวินเพื่อไปหอ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เพราะผมกำลังถูกกลุ่มคนที่หน้าตาคุ้นเคยห้อมล้อมเอาไว้จนไม่เหลือเส้นทางไว้เดิน


พวกมันคือกลุ่มคนที่มาหาเรื่องไอ้กัสเมื่อวานนี้ กลุ่มที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ากลุ่มนั้น และตอนนี้พวกมันกำลังคิดจะเล่นงานผมอยู่ จู่ๆเสียงของไอ้คนที่ถูกไอ้กัสกระชากคอเสื้อเมื่อวานก็พูดขึ้น


“ทำไมมึงเดินมาคนเดียววะ แล้วไอ้กัสมันไปไหน”


ที่แท้พวกมันก็ถามหาไอ้กัสอย่างนั้นเองหรอกหรอ


“ไอ้กัสกลับไปแล้ว”

“กลับยังไง”

“จะถามไปให้ได้อะไร บอกว่ากลับไปแล้วไง”

ที่พวกมันถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะตามไปเล่นงานไอ้กัสหรอกใช่ไหม ผมควรจะหลอกล่อให้พวกมันไปทางอื่นดีหรือเปล่า เพราะถ้าพวกมันตามไอ้กัสไปมีหวังไอ้กัสไม่รอดแน่ แถมยังจะโดนรุมได้ง่ายๆด้วย


“กูถามมึงก็ตอบกูมาดีๆ อยากโดนกระทืบหรือไงวะ”

“กลับ...มันเดินกลับ กลับตรงทางลัดข้างคณะเกษตร”

โกหกไปเต็มๆ ไอ้กัสมันไม่มีทางเดินกลับไปทางนั้นคนเดียวแน่ๆ อย่างน้อยมันต้องเรียกวินกลับหอ


ผมรู้...ผมรู้ว่ามันไม่กล้ากลับทางนั้นคนเดียว อีกอย่างแถวนั้นมันทั้งเปลี่ยวและอันตรายจะตายไป มันคงไม่โง่กลับคนเดียวแน่ และเพราะแบบนี้ผมจึงเลือกที่จะโกหกพวกมันให้ไปทางนั้นแทนที่จะบอกไปตามตรง อย่างน้อยจะได้ถ่วงเวลาพวกมันด้วย

 
“เพื่อนสนิทกันประสาอะไรวะ โคตรทุเรศชิบหาย”

“ม...หมายความว่าไง”

“ก็ที่มึงทำอยู่นี่ไง เอาตัวรอดและส่งเพื่อนไปแทน”


เจ็บไม่เบาเลย เหมือนเพิ่งโดนตบหน้าลงมาฉาดใหญ่เต็มๆข้างแก้ม เอาตัวรอดอย่างนั้นหรอ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองกำลังเอาตัวรอด แต่ถ้าเรื่องส่งเพื่อนไปให้พวกมันล่ะก็

พวกมันต่างหากที่คิดผิด ผมไม่ได้ส่งเพื่อนไปเสียหน่อย ผมกำลังช่วยเพื่อนอยู่ต่างหาก


หลังจากที่พวกมันได้ด่าผมโดยที่ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป พวกมันก็แยกย้ายกันไปตามทางที่ผมบอก ซึ่งผมได้แต่ยิ้มคนเดียวในใจว่าพวกมันต่างหากที่โง่ เพราะโดนผมหลอก ป่านนี้ไอ้กัสมันนอนอ่านหนังสืออยู่หอมันไปแล้ว





เช้าของอีกวัน...


วันนี้เป็นเช้าของวันสอบวันสุดท้าย ผมมามหาลัยไม่เร็วมากนัก อีกอย่างปกติถ้าในเวลาแบบนี้ไอ้กัสมันต้องมาถึงแล้วนี่นา แต่เอาเถอะรอมันอีกสักแป้บเดี๋ยวก็คงมาเองนั่นล่ะ


เพราะไม่มีทางที่ไอ้เด็กเรียนดีระดับต้นๆของคลาสอย่างมันจะไม่มาสอบ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน


แต่ผมกลับต้องแปลกใจเพราะเวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเวลานี้ก็จวนจะได้เวลาเข้าห้องสอบแล้วด้วย มันไปไหนของมัน


พอคิดได้แบบนั้นก็รีบกดโทรหาทันทีเพราะในใจลึกๆมันดันรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อวานที่พวกแก๊งบ้านั่นเข้ามาหาเรื่อง


และคนปลายสายมันก็รับสายของผม รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ผมยอมรับว่าถึงแม้ว่าจะอิจฉาและเกลียดมันอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมันถึงขั้นนั้นหรอก


ยิ่งพอได้ยินเสียงที่มันพูดผ่านเข้ามาในสายด้วยน้ำเสียงปกติก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย



แต่ทว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ต่างหากที่ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ไอ้อาการสบายใจเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นในใจของผม มันพลันมอดดับหายไปหมดไม่เหลือ เพราะไอ้กัสมันไม่ได้มาคนเดียวแต่มันมากับเซน


ไปเจอกันตอนไหน หรือว่าเมื่อคืนจะไปนอนที่คอนโดของเซนและไม่ได้กลับไปที่หอ ผมลอบมองคนที่เดินลงมาจากรถด้วยเสื้อผ้าที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชุดที่ไอ้กัสมันเคยใส่ เสื้อผ้าพวกนี้มันไม่ใช่ของไอ้กัสอย่างแน่นอน และมันจะเป็นของใครได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ของใครอีกคนที่อยู่บนรถนั่น


ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าที่ฉายภาพของคนสองคนที่ดูท่าทางสนิทสนมจนเกินพอดีมันทำให้ผมรู้สึกแย่กับไอ้กัสมากยิ่งขึ้น โดยที่จากเดิมมันมีมากมายพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มพูนจนแทบจะล้นปรี่

 
ผมอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะเดินเข้าไปหาและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเย็นๆและไม่คิดว่าตัวเองจะพูดมันออกมาได้


“จะเล่นกันอีกนานไหม จะถึงเวลาสอบแล้วนะ”


ไอ้กัสมันหันมามองผม ตอนนี้แม้แต่สีหน้าของผมเองจากปกติที่มักจะควบคุมมันได้ดีตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว เพราะผมกำลังโกรธ โกรธมากๆ


ขณะนี้ผมไม่ต่างอะไรกับคนที่โดนหลอกใช้ และแถมยังโดนเพื่อนอย่างไอ้กัสมาเอาคนตรงหน้าไปเป็นของมันอีก


ก็รู้ดีอยู่หรอกว่าเซนรักกัสมากขนาดไหน แต่มาหลอกให้ผมทำเรื่องพวกนั้นเพื่อตัวเองแบบนี้ มันออกจะทุเรศไปหน่อย 
ในตอนแรกก็แอบนึกสะใจอยู่ไม่น้อย


เพราะไม่ว่าจะยังไงเรื่องที่เซนให้ทำมันไม่มีทางที่จะส่งผลดีกับเซนแน่ๆ แต่ผมคิดผิดเพราะมันกลับกันไปหมด มันเข้าทางของเซนเต็มๆ


หรือว่าจะต้องทำแบบนั้นแล้วจริงๆ ทั้งที่ใจไม่ได้อยากทำสักนิด แต่ในเมื่อกำลังโดนบีบแบบนี้มันช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซนหรือกัสหรือแม้แต่เป็นผมก็จะไม่มีทางสมหวังสักคน ต้องไม่มีทางได้มีความสุขมันทั้งหมดนั่นแหล่ะ



ถ้าหากไอ้กัสมันรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังที่เซนสั่งให้ผมทำอะไรกับมันเอาไว้บ้าง ทั้งเรื่องปล่อยข่าวลือและคลิปพวกนั้น ไม่มีทางที่ไอ้กัสจะให้อภัยคนอย่างเซนแน่ๆ ไม่มีทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะรวมไปถึงตัวผมเองด้วยก็ตาม



ในตอนที่ผมสัมผัสได้ว่ามือของไอ้กัสมาลูบจับและบีบมอของผมเบา มันยิ่งทำให้ผมโกรธ มันยังมีหน้ามาปลอบโยนผมอีกหรือไงทั้งๆที่เป็นตัวมันเองทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุให้ผมเป็นแบบนี้


เพราะความโมโหของตัวเองทำให้ผมพลั้งบีบมือของไอ้กัสมันอย่างแรง ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองพลั้งมือทำร้ายออกไปแบบนั้น


จะว่าไปมือของมันไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้มีพลาสเตอร์แปะแผลเยอะแยะขนาดนั้น ใจหนึ่งของผมก็อยากจะถามออกไปคงเป็นเพราะความเคยชินที่ปกติมักจะถามสารทุกข์สุกดิบกับไอ้กับอยูเสมอ


แต่เพราะทิฐิที่ผมมีอยู่มากจนล้นอก ทำให้ไม่มีเสียงเอ่ยปากออกไปเพื่อจะถามถึงเหตุผลที่เกิดบาดแผลจากอีกคน และเลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนั้นเสีย




จวบจนสอบเสร็จ ครั้งนี้ผมสอบเสร็จก่อนไอ้กัสซึ่งมันเป็นเรื่องน่าแปลก ที่ว่าทำไมไอ้กัสมันทำช้ากว่าปกติ ปกติแล้วไอ้กัสมันมักจะทำข้อสอบเร็วและจะออกมารอผมอยู่เสมอ


แต่ช่างเถอะ คราวนี้ผมไม่รอมันหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ผมจึงเลือกที่จะกลับห้องตัวเองทันทีที่ออกมาจากห้องสอบ


ทว่าจู่ๆมือถือก็ดังขึ้น มันเป็นเบอร์ของเซน โทรมาตอนช่วงเวลาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ไม่รอช้าให้มากความผมรีบกดรับสายของอีกฝ่ายทันที


“ฮัลโหล”

“พี่ที ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่”

“คุยหรอ เรื่องอะไรล่ะ พูดมาเลยก็ได้ตอนนี้พี่ว่าง”

“หมายถึงจะคุยแบบเจอหน้า เย็นนี้พี่ว่างหรือเปล่า”


เย็นนี้หรอ...พอดีเลย มันทำไมถึงได้เหมาะเจาะขนาดนี้ ได้สิ....อยากคุยก็มาคุยกันเลย ทั้งนายและไอ้กัสมันจะได้จบๆกันวันนี้ไปเสียที


“ว่างสิ ประมาณหกโมงเย็น ที่ห้องของพี่”


ผมตัดสินใจนัดแนะกับอีกคนที่ปลายสาย ในตอนแรกผมยังไม่คิดจะทำตอนนี้ แต่เพราะเซนโทรมาหาผมเองและมันพอดีกับที่ผมคิดอะไรดีๆออก


มันจะทำให้แผนที่ผมคิดเอาไว้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และขาดคนสำคัญไปไม่ได้ คนที่สำคัญกับแผนนี้คือไอ้กัส


หลังจากที่ตัดสายไปไม่นานคนที่ผมคิดจะโทรหาเพื่อนัดแนะให้มาเจอกันอีกคนหนึ่ง กลับโทรเข้ามาพอดี


“ไอ้ทีมึงอยู่ไหน”

“กูออกมาแล้ว”

“อ้าว...กูนึกว่ามึงจะรอกู เออมึงว่างเปล่ามีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยว่ะ”


ไม่ทันจะได้นัดแนะดีด้วยซ้ำ ไอ้กัสมันมีเรื่องจะปรึกษาอะไรกับผม ร้อยวันพันปีไม่เคยมีแล้วนี่หมายความว่ายังไง อดใจเต้นไม่ได้เพราะเหมือนตัวผมเองกำลังถูกให้ความสำคัญถึงขั้นเป็นที่ปรึกษา


แต่ถึงแม้จะสงสัยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะปรึกษาแต่มันไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเป้าหมายของผมเอาไว้ได้ ก็ดีน่ะสิ มีเรื่องปรึกษาใช่หรือเปล่า เอาไว้ก่อนนะไอ้กัส มึงต้องรู้เรื่องที่มึงควรจะรู้ตั้งแต่แรกของเซนซะก่อน


“โทษทีมึงตอนนี้กูไม่ว่าง แต่เย็นนี้น่าจะว่างนะ ถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรหามึงอีกทีก็แล้วกัน”

“ได้ดิ อย่าลืมนะมึง”

“อืม”


เรื่องนี้มันกำลังจะจบแล้วสินะ เรื่องของพวกเรา...และผมจะเป็นคนทำให้เรื่องมาถึงตอนจบเอง





18.30 น.


ผมโทรหากัสเพื่อให้ออกมาหาที่หอ ในขณะที่เซนใกล้จะมาถึงหอของผมแล้ว เนื่องจากหอของกัสอยู่ไม่ไกลจากหอของผมมากนัก มีเพียงสองตึกกั้นกลางเท่านั้น และนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เรื่องพวกนี้จบลงซักที


ตอนนี้เซนเข้ามาอยู่ในห้องของผม โดยที่ผมเป็นคนเปิดประตูไปรับ และแน่นอนว่าผมไม่ได้ปิดประตูให้สนิท เพื่ออะไรน่ะหรอ ก็เพื่อให้ใครอีกคนที่กำลังจะตามมามันได้ยินเรื่องดีๆน่ะสิ เพราะถ้ามันฉลาดพอก็คงจะไม่โง่เปิดประตูเข้ามาหรอก


และแน่นอนว่าเซนไม่รู้เรื่องที่ผมแกล้งปิดประตูไม่สนิท เพราะรายนั้นเดินเข้ามาด้านในอย่างคนไม่คิดอะไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจึงเป็นคนเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก


“ไหนว่ามาสิมีเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่ผมบอกให้พี่ไปทำไง”


ทันทีที่เซนพูดจบประโยค สายตาของผมเหลือบไปเห็นช่องระหว่างประตูเข้าพอดี หมอนั่นคงจะมาถึงแล้วสินะ ผมจำปลายเท้าที่โผล่ลอดออกมาจากช่องของประตูได้ดี รองเท้าของไอ้กัส


“เรื่องที่นายใช้ให้พี่ปล่อยรูปพวกนั้น เป็นไงบ้าง ถูกใจนายหรือเปล่า”

“ก็ดี...”


น่าแปลกที่สีหน้าของเซนดูเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกดีสักนิด แต่เอาเถอะผมไม่สนใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เรื่องที่น่าสนใจมันอยู่ที่อีกคนที่ถูกรับเชิญตรงบริเวณประตูเสียมากกว่า ตอนนี้มันคงจะตกใจไม่น้อยเลยสินะ


“แน่นอนล่ะนะ แต่ว่าให้พี่ไปรอถ่ายรูปกลางดึกแบบนั้น แถมยังต้องกลับเองอีก ไม่เห็นจะคุ้มอะไรเลย”


“แล้วพี่อยากได้อะไรละ”

 “คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม”


สีหน้าของเซนไม่เล่นด้วยเอาซะเลย ทั้งๆที่ผมพูดออกไปในใจก็อยากให้อีกฝ่ายตอบรับแท้ๆ ยิ่งเขาทำสีหน้าตอบกลับมาแบบนี้ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่อีกฝ่ายจะโมโหขึ้นมาจนบรรยากาศเปลี่ยนและทำให้เรื่องมันเสีย


“อ่าจริงด้วยสิ พี่ลืมบอกไป พี่ส่งคลิปไปขู่มันแล้วนะ”

“เดี๋ยว....คลิปนั้นนะหรอ”


ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เซนทำหน้าไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดไปอย่างนั้นแหล่ะ ก็เซนเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนบอกให้ผมเอาคลิปบ้านั่นไปขู่ไอ้กัสน่ะ


แล้วตอนนี้เหมือนกับว่าคนที่น่าจะแอบดูอยู่มันหายไปแล้ว ไอ้กัสมันคงจะออกไปแล้วแน่ๆ ผมเลิกสนใจคนที่อยู่ด้านนอกและหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน


“ทำไม พี่ทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรอ”

“ใครสั่งให้พี่เอาไปขู่วะ!”


ผมตกใจไม่น้อยเลยที่เซนตะคอกเสียงดังใส่ผมขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเซนโมโหขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว ถ้าจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเซนโมโหหรือโกรธก็คงจะขอไม่ปฏิเสธ


“จ...ใจเย็นๆก่อนนะ ก็นายเองที่บอกพี่...”

“บอกว่าให้เก็บไว้ก่อน ไม่ได้บอกให้ทำ!”

“ก็ขู่ไปแล้ว และก็ทำทุกอย่างไปแล้ว”

“พี่ทำเกินกว่าคำสั่งของผม!”

ผมเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง มันเกินไปแล้วนะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ

“ถามจริงเถอะ ทำแบบนี้คิดว่าไอ้กัสมันจะชอบนายมากขึ้นหรือไง”


อีกฝ่ายเหมือนจะชะงักไปไม่น้อย แถมยังเงียบไม่ยอมพูดหรือตอบอะไรกลับมาอยู่พักใหญ่ กว่าจะพูดออกมาได้ก็ถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที


“ไม่หรอก...ที่ทำไปก็เพื่อตัวของผมทั้งนั้น....และก็พี่กัสด้วย”


ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง เรื่องพวกนี้ทำเพื่อไอ้กัสยังไง มันมีแต่ทำร้ายกัสทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรอ ตอนนี้ในหัวของผมมันมีแต่คำถามเต็มไปหมด อยากจะถามให้กระจ่างชัดเสียให้จบตอนนี้เลยด้วยซ้ำ


แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้องของเขาซะอย่างนั้น


“จะไปไหนเซน”

“กลับ”

“แล้วเรื่องอะไรที่จะคุย”

“แน่นอนผมคุยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะบอกอะไรให้นะว่าพี่จะต้องเสียใจแน่ๆถ้ารู้เรื่องที่พี่กัสโดนเพราะทุกอย่างมันเป็นตัวพี่ทั้งหมดที่เป็นคนทำ!”

“หมายความว่าไง....เซน!”


ไม่ทันที่จะได้เรียกหรือรั้งให้อีกฝ่ายอยู่และถามความสงสัยที่มีอยู่เต็มไปหมดเพื่อคลายความขุ่นข้องใจ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายรีบวิ่งออกไปจากห้องแต่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเล็กน้อยเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง


แต่มันเป็นเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น เซนก็รีบก้าวเท้าวิ่งออกไปจากห้องของผมแทบจะทันที



ทิ้งเอาไว้ให้ผมยืนจมอยู่กับความเงียบภายในห้องคนเดียว


เสียใจหรอ อย่างผมเนี่ยนะที่จะเสียใจ แล้วเสียใจเรื่องอะไรกันล่ะ...


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์เลยค่ะ5555
เปลี่ยนแปลงบทบาทการแทนตัวเองนิดหน่อยนะคะ
จากเดิมที่ใช้ว่าเขา มันค่อนข้างจะแปลกๆ
เดี๋ยวจะไล่แก้ให้หมดทุกพาร์ทของตอนพิเศษ


ปล.ยังมีรออ่านกันอยู่ไหม
หายไปนานมากเลย อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะ



ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที เป็นแบบนี้
ต่อไปทีจะมีเพื่อนหรือ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 อ๊ากก ค้าง ไรท์มาปล่อยระเบิดทิ้งไว้ทำไม ฮือ มาต่อไวๆนะคะ :katai5:  :ling1:  :sad4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะรอดูว่าสุดท้ายจะเป็นใครที่ไม่เหลือใครเลย  :o10:

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มาต่ออีกบ่อยๆนะครับ,,,

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ค้างงงมากก  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 9
ซิน



...ซินเดินออกมาจากห้องที่กัสพักอยู่ แล้วมุ่งหน้าเดินไปหาน้องชายที่เพิ่งถูกไล่ออกมาเมื่อครู่  และตอนนี้น้องชายของเขากำลังนั่งรออยู่บริเวณโซนนั่งเล่น 


ซินลอบมองน้องชายที่กำลังใช้มือกุมขมับก้มหน้าเครียดอยู่บนโซฟากลางห้องก็ถึงกับถอนหายใจยาวๆออกมา จนทำให้อีกคนรู้สึกตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้านนอกแค่เพียงลำพังคนเดียวอีกต่อไป



เขาลอบมองน้องชายตัวเองที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีใหม่ จากในตอนแรกที่ดูเคร่งเครียดแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นนิ่งขรึมเสียอย่างนั้น
ซินยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพราะตัวเขารู้ดีว่าน้องชายของตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าหากในยามปกติ เซนจะไม่เป็นแบบนี้ แม้แต่เรื่องที่เซนกำลังกังวลใจจะไม่มีทางได้เห็นน้องชายของตัวเองแสดงมันออกมาได้ง่ายๆแบบนี้แน่



ซึ่งมันผิดกับตอนนี้ลิบลับ ท่าทางที่ดูไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนั้น หาดูได้ยากสำหรับน้องชายของเขาคนนี้



คนเป็นพี่เดินเข้าไปใกล้ๆและขยับตัวนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับมองไปทั่วใบหน้าและหยุดลงที่บริเวณที่เกิดเป็นรอยช้ำสีแดงจางๆของน้องชายตัวดี ที่เมื่อครู่ตนเพิ่งจะพลั้งมือทำร้ายไปด้วยความโมโหจนควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่



แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาตอนที่ได้เข้าไปเห็นทุกอย่างภายในห้อง มันทำให้เขารู้สึกโมโหมากเพราะเซนกำลังทำเรื่องผิดเข้าขั้นวิตถารกับเด็กหนุ่มคนนั้น และยิ่งได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยมันยิ่งทำให้เขาควบคุมสติเอาไว้ไม่ได้



และที่ซินมาหาน้องชายตอนนี้ก็เป็นเพราะจะออกมาสั่งสอนและตักเตือนถึงสิ่งที่น้องชายของตนได้กระทำลงไป
 


“...ทำไมถึงทำแบบนี้”


ซินเริ่มถามประโยคแรกซึ่งเป็นประโยคที่ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมน้องชายของเขาถึงได้ลงมือทำเรื่องแบบนั้น


อีกอย่างซินรู้สึกมาได้สักพักแล้วว่าน้องชายของเขามีท่าทางแปลกไป หรือแม้แต่คำพูดคำจาต่างๆที่ออกจะแปลกไปจากเดิมเวลาเอ่ยถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อกัสคนนั้น


 “....ผม...คือ”


ซินเห็นน้องชายที่กำลังพูดอ้ำอึ้งแต่ไม่ยอมพูดออกมาเสียที มันยิ่งทำให้ซินยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปใหญ่ ถึงแม้ว่าอารมณ์ในตอนแรกจะเบาบางลงไปบ้างแล้วก็ตามที


“รู้อะไรไหม สิ่งที่แกทำมันไม่ต่างอะไรกับไอ้เด็กสามคนนั้นที่แกให้พี่ไปจัดการเลยสักนิด”


“....ผมรู้..”


รู้ตัวอย่างนั้นหรือ ถ้าหากรู้ตัวแล้วทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ


“เล่ามาให้หมด เรื่องทั้งหมดระหว่างแกกับกัส เรื่องที่ยังไม่เคยบอกให้พี่รู้”


ซินพูดออกไปและลอบมองหน้าน้องชายที่มีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกับกำลังกังวลอะไรสักอย่างอยู่ในอก แต่ไม่นานนักเซนก็ยอมเปิดปากพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ


“ผมรู้จักพี่กัสก่อนนานแล้ว และคืนหนึ่งผมกับพี่กัสก็มีอะไรกัน... โดยก่อนที่จะเริ่มมีความสัมพันธ์ ตอนที่พี่กัสเข้าไปอาบน้ำผมแอบตั้งกล้องเพื่อถ่ายคลิประหว่างผมกับพี่กัสเอาไว้ โดยใช้คลิปพวกนั้นเป็นการข่มขู่เพื่อรั้งให้พี่กัสอยู่กับผม ตอนแรกผมคิดว่าจะแก้แค้นพี่กัส แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้ว”


“แก้แค้นหรอ แก้แค้นอะไร พี่ไม่เห็นว่ากัสเค้าทำอะไรให้แก มันมีแต่แกที่ไปทำเค้า”


“มันเป็นเรื่องเด็กๆน่ะ ตอนเด็กๆพี่จำได้ไหม ตอนที่ผมถูกพี่ทีระวิทช่วยไว้เมื่อนานมาแล้วจากตรอกมืดคืนนั้น”


“จำได้”


“นั่นแหล่ะ เพราะคืนนั้น คืนที่ผมขอให้พี่กัสช่วย แต่พี่กัสกลับวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด และทิ้งผมไว้คนเดียวโดยไม่คิดจะช่วยผมสักนิด แต่ว่าพอมาเจอพี่กัสอีกครั้ง พอผมได้พูดคุย ถึงแม้ว่าเหมือนจะแกล้งก็เถอะ มันทำให้ผมรู้เหตุผลที่พี่กัสตัดสินใจหนีไป ตอนแรกผมคิดว่าพี่กัสเกลียดผมที่เป็นไอ้แว่น แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด มันเป็นเพราะพี่เขากลัว กลัวเหมือนกับที่ผมกลัว ผมเข้าใจดีว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไง”


“แล้วแกยังคิดที่จะแก้แค้นเด็กนั่นอยู่ไหม”


“ผมเลิกคิดมาสักพักแล้ว พี่กัสก็คือพี่กัสเมื่อตอนเด็กนั่นแหล่ะ พี่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เป็นคนขี้กลัวเหมือนเดิม อาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เหอะ...ชอบทำเป็นเข้มแข็งแต่ความจริงแล้วโคตรจะอ่อนแอ”


ยอมรับตรงๆเลยว่าซินกำลังอึ้งกับสิ่งที่น้องชายของตัวเองทำเอาไว้มากพอดู ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความคิดแบบเด็กๆก็ตาม นี่แต่มันเข้าข่ายข่มขู่และพยายามแบล็คเมล์เด็กคนนั้นด้วยซ้ำ พอมาคิดๆดูแล้วน้องชายของเขากล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน



“แต่แกคงไม่คิดจะทำจริงๆใช่ไหม เรื่องปล่อยคลิปนั่น”


ซินถามน้องชายของตัวเองเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะกลัวว่าเซนเกิดจะคิดอะไรตื้นๆขึ้นมา และถ้าทำขึ้นมาจริงๆละก็ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวน้องชายของเขาในอนาคตแน่ เผลอๆอาจจะได้เข้าไปนอนอยู่ในคุกด้วยซ้ำ


“ไม่ทำ ไม่เคยคิดจะทำเลยด้วย ผมก็แค่จะเอามันมาขู่พี่กัสก็เท่านั้นเอง”


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบลบมันไปซะ แล้วคลิปพวกนั้นมีแกรู้เห็นคนเดียวใช่ไหม”


“ใช่....อ...ไม่สิ ไม่ใช่ผมคนเดียว”


ซินมองหน้าน้องชายขณะที่ถามคำถามไปด้วย แต่พอได้ยินที่น้องชายพูดมาถึงประโยคหลัง ทำเอาซินรู้สึกใจกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่น้องชายทันที



ไม่ได้เก็บเอาไว้คนเดียวแต่มีคนอื่นที่รู้เห็นด้วยอย่างนั้นหรอ หมายความว่ายังไง ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นแบบนี้เห็นท่าจะไม่ดีแน่



“หมายความว่ายังไง คลิปนั่นอยู่ที่ใคร! ไอ้ซินนี่มันอันตรายนะรู้ไหม สิ่งที่แกกำลังทำอยู่น่ะ แล้วถ้ามันหลุดออกไปเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง แกรู้ตัวบ้างไหม!!”


เขากำลังโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่น้องชายทำมันเข้าขั้นผิดกฎหมายเกือบทั้งหมด และไหนจะเรื่องเมื่อครู่นี้อีก ตอนนี้เป็นตัวเขาเองที่กำลังปวดหัวกับการกระทำของน้องชายที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น


“ผมรู้! เดี๋ยวผมจะบอกให้เขาลบเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

“คนนั้นที่แกหมายถึงคือใคร บอกพี่มาก่อน”


อย่างน้อยตอนนี้ผมต้องรู้ก่อนว่าคนที่มีคลิปคนนั้นเป็นใคร เผื่อบางทีถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินผมอาจจะช่วยได้อย่างทันท่วงที
แต่ทว่า...ชื่อของบุคคลที่น้องชายของเขาเอ่ยออกมานั้น มันทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“พี่ทีระวิท เพื่อนของพี่กัส”


ชื่อของบุคคลที่เขามักจะคุ้นหูอยู่บ่อยครั้ง เด็กคนนั้นเป็นคนที่เขาพบเจออยู่บ่อยๆในบ้านของคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อ



แต่ว่าทำไมทีระวิทถึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ล่ะ จากที่น้องชายเขาพูดออกมามันบอกว่าทีระวิทเป็นเพื่อนของกัสไม่ใช่หรือแต่แล้วทำไมถึงเก็บคลิปพวกนั้นเอาไว้ได้ล่ะ



อย่างน้อยก็ควรบอกเพื่อนสิ หรือไม่ก็ควรจะช่วยเพื่อนของตัวเองสักทางใดทางหนึ่งไม่ใช่หรือไง ถึงแม้ว่าเซนจะเป็นคนรู้จักกันก็ตามเถอะ ทำไมทีระวิทถึงไม่มาปรึกษากับผม ไม่ก็เตือนน้องเพราะกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่



แต่กลับเลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้แบบนี้  มันออกจะน่าสงสัยไปหน่อย


“แกบังคับอะไรทีระวิทหรือเปล่าไอ้เซน”

“บังคับอะไรล่ะ ไม่ได้บังคับซักหน่อย ก็แค่ขอให้ช่วย แล้วพี่ทีก็ช่วยผม”

“พี่ไม่เข้าใจ ทีระวิทเป็นเพื่อนของกัส แล้วทำไมถึงได้ช่วยแกและเก็บคลิปนั้นเอาไว้ที่ตัวเอง ถ้าว่ากันตามปกติก็น่าจะบอกให้กัสรู้หรือไม่ก็แจ้งความหรือบอกกับพี่สิ กัสเป็นเพื่อนของทีระวิทไม่ใช่หรือไง”

“บอกตามตรงเลยนะพี่ มันมีแค่พี่กัสเท่านั้นแหล่ะที่โง่และคิดว่าพี่ทีเป็นเพื่อนของเขา และไอ้ที่ผมทำแบบนี้อยู่ส่วนนึงมันก็เพื่อพี่กัสด้วย พี่กัสจะได้รู้ตัวสักทีว่าเพื่อนที่ตัวเองไว้เนื้อเชื่อใจคนนั้น เขาไม่เคยเห็นพี่กัสเป็นเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว”


ซินกำลังอึ้งไม่น้อยที่ได้ยินและรับรู้เรื่องราวบาดหมางใจระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นจากปากของเซน เขายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


เพราะเรื่องพวกนี้ต้องได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัดเสียก่อน มันเป็นเรื่องของความรู้สึกทางจิตใจ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าทั้งสองฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร



เพราะแม้แต่การกระทำที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก มันไม่อาจที่จะใช้ตัดสินและเชื่อถือได้ อย่างที่รู้กันจิตใจคนมันน่ากลัวจะตายไป ภายนอกอาจยิ้มแย้มแต่ภายในใจอาจจะกำลังเจ็บจบปวดอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้


แต่ซินแปลกใจอยู่ไม่น้อยคือเรื่องที่น้องชายของเขามันออกจะรู้เรื่องพวกนี้มากมายเกินไปหน่อย มันไปสนิทสนมกับทีระวิทตั้งแต่เมื่อไหร่


แต่ช่างมันก่อน เพราะตอนนี้เขากำลังให้ความสำคัญกับเรื่องที่น้องชายของตนกำลังเล่ามาอยู่


“นี่แกกำลังพูดเรื่องอะไร”

“....ผมไม่อยากให้พี่กัสดูเป็นคนโง่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว พี่ซินฟังผมนะ เพราะเป็นแบบนี้ ผมเลยเลือกให้พี่ทีเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด ตอนแรกผมชั่งใจอยู่นานเลยล่ะว่าจะให้พี่ทีเป็นคนจัดการดีไหมแต่พอผมได้ตัดสินใจให้พี่ทีทำ แล้วเห็นการยอมทำเรื่องผิดๆกับเพื่อนของเขา ทั้งๆที่พี่กัสก็เป็นเพื่อนของพี่ทีแท้ๆ เหตุผลแบบนี้มันทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าตัวเองกำลังคิดไม่ผิด”


“แกกำลังจะบอกว่าทีระวิทเกลียดเพื่อนของตัวเองอย่างนั้นหรอ”


“พี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมไม่ว่าหรอกนะ แต่ผมเชื่อในความรู้สึกของตัวเองดี ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมเคยโดนเกลียดมาตั้งมากมาย เคยโดนแกล้งมาตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนที่รังเกียจผมมันเป็นแบบไหน คนพวกนี้มันปิดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่มิดหรอกนะพี่”


“แล้วกัสรู้เรื่องนี้ไหม เรื่องที่ถูกเพื่อนเกลียด”


“ไม่รู้ และหลังจากนี้พี่กัสจะได้รู้สักทีว่าเรื่องข่าวลือทั้งหมดมันเป็นเพราะเพื่อนตัวเองที่เป็นคนทำ”


แต่มันเสี่ยงเกินไปหน่อย กัสจะรู้ความจริงว่าทีระวิทเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด แต่คนสั่งก็ยังคงเป็นเซนอยู่ดี แล้วแบบนี้ถ้าหากกัสมารู้ทีหลังว่าเซนเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด มันจะไม่ยิ่งแย่ไปมากกว่าเดิมหรือไง



“แกไม่กลัวว่ากัสจะเกลียดแกไปด้วยหรือไง เรื่องพวกนี้แกก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องนะ”


“มันต้องเสี่ยงไม่ใช่หรอพี่ ถ้าการที่จะทำให้พี่กัสเลิกยุ่งกับเพื่อนอย่างพี่ทีมันมีแค่วิธีนี้เท่านั้น ผมก็ยอมเสี่ยง เพราะคนอย่างพี่กัสเขาไม่เชื่ออะไรง่ายๆหรอก ถ้าไม่โดนกับตัวเองก็ยิ่งไม่มีทางเชื่อ เพราะแบบนี้ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”



ดีที่สุดก็จริงอยู่ แต่มันก็อันตรายที่สุดเช่นกัน ซินไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าน้องชายของเขาจะทุ่มเททำอะไรแบบนี้กับเด็กคนนั้นไปทำไม เพราะชอบอย่างนั้นหรอ มันเป็นเพียงแค่ความชอบจริงๆน่ะหรอ



“แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้แกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงไม่น้อยเลยนะ”


“พี่กำลังจะพูดอะไร”


มีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของซิน คำพูดเมื่อช่วงหัวค่ำที่หน้าหอของกัส ในตอนที่เขาออกไปรับ มันหวนย้อนคืนกลับมาให้เขาได้ยินอีกครั้ง




ขนาดดาวมันยังมีเพื่อนเลย

ก็ผมไม่มีเพื่อนจริงๆนี่ครับ




คำพูดที่ซินรู้สึกได้ว่าภายใจจิตใจของเด็กหนุ่มคนนั้นบอบช้ำแค่ไหน สายตาที่ทอดมองออกไปหาดาวบนฟ้าแทบจะไม่มีแรงที่จะมองเลยด้วยซ้ำ ซินรู้ว่าเด็กคนนั้นน่าจะผ่านการร้องไห้มาก่อนหน้าที่เขาจะมารับเสียอีก



เพราะแค่เพียงดูขอบตาที่แดงก่ำผ่านความมืดสลัว รวมไปถึงสีหน้าเศร้าหมองที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ว่ากำลังอ่อนแอ มันทำให้ซินรู้สึกอยากจะเข้าไปหาและพูดคุยเพื่อนคลายความรู้สึกพวกนั้นเสีย



เพราะไม่อยากเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองแบบนั้น ซินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักและขัดจังหวะบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนั้นทิ้งไป เหมือนอย่างที่ทำในช่วงค่ำที่ผ่านมา



“เมื่อตอนช่วงค่ำพี่ไปรับกัสที่หน้าหอ เท่าที่สังเกตพี่เห็นว่ากัสดูเศร้าแปลกๆและยังตัดพ้อถึงเพื่อน พี่คิดว่าเพื่อนคนนั้นน่าจะเป็นทีระวิท”



“พี่หมายความว่ายังไง เมื่อตอนค่ำหรอ”


“ใช่เมื่อตอนค่ำ ตอนที่พี่ไปรับกัสมาที่นี่ แต่พี่ว่านะ ก่อนหน้านั้น กัสน่าจะไปเห็นอะไรมาก่อนถึงได้แสดงอาการแบบนั้นออกมา”


ซินบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำที่ออกไปรับเด็กหนุ่มคนนั้นให้กับน้องชายฟัง สีหน้าของเซนดูไม่ดีเอาเสียเลย เพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมน้องชายเขาถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นออกมา แถมยังตะคอกถามผมเสียงดังอีก



“เห็นอะไรมา...พี่หมายความว่าไง!”


“ไม่รู้สิ แต่พี่คิดว่ากัสน่าจะรู้เรื่องที่ทีระวิททำไม่มากก็น้อย เพราะไม่อย่างนั้น กัสคงไม่ตัดพ้ออะไรออกมาแบบนี้หรอก”



ซินพูดไปด้วยและลอบสังเกตสีหน้าของน้องชายไปด้วยพร้อมๆกัน เรื่องที่กัสเสียใจ เรื่องนี้น้องชายของเขาจะต้องเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ



“เมื่อตอนค่ำแกไปไหนมาล่ะ พี่ไม่เห็นแกอยู่ที่คอนโด”


“....หรือว่า....เมื่อตอนค่ำ...”


ซินลอบมองน้องชายของตัวเองอีกครั้งแต่เซนไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อจากนั้น ทั้งๆที่ถูกซินถามออกไปแล้วแท้ๆ นอกจากทำสีหน้าตึงเครียดพร้อมกับส่ายหน้าและถอนหายใจยาวๆออกมา



โดยตอนนี้สีหน้าของเซนดูท่าทางเป็นห่วงใครอีกคนมากเอาการ เพราะไม่ได้แค่การแสดงออกผ่านทางสีหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เซนยังหันหน้ากลับไปมองยังห้องที่มีกัสอยู่อีกด้วย



เพราะทนไม่ได้ที่เห็นสายตาของน้องตนเองที่กำลังทอดมองไปยังห้องที่มีใครอีกคนพักผ่อนอยู่ ทำให้ต้องพูดขึ้นมาเพื่อเรียกความสนใจจากน้องให้หันมาสนใจเขาอีกครั้งหนึ่ง



“ถ้าอย่างนั้นเรื่องของทีระวิท....พี่ขอเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน เพราะพี่คิดว่าทีระวิทน่าจะมีอะไรอยูในใจแน่ๆ”


ดูเหมือนคำพูดของซินจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในความสนใจของเซนแม้แต่น้อย



ซินเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองนัก และยิ่งเป็นเรื่องของทีระวิทด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกอยากรู้เรื่องราวบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ทราบเหตุผลและสาเหตุ



ซินเชื่อว่าลึกๆแล้วเด็กอย่างทีระวิทไม่ใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรอย่างที่ไอ้น้องชายพูดออกมาหรอก แต่กลับคิดว่าทีระวิทน่าจะมีปมอะไรอยู่ภายในใจต่างหาก






ซินละความสนใจที่เกี่ยวกับเรื่องของทีระวิท เพราะยังเห็นน้องชายของตัวเองมีอาการตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งและยังคงหันมองไปทางประตูห้องนอนอยู่บ่อยๆ



ท่าทางอยู่ไม่นิ่ง ถ้าไม่ห้ามเอาไว้เจ้าน้องชายของเขาคงวิ่งเข้าไปปิดประตูห้องที่กัสอยู่ไปแล้ว


แต่มันคงเป็นเพราะที่น้องชายของเขามันดันทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันคงจะรู้สึกผิดไม่น้อยถึงได้ยอมนั่งนิ่งแต่ใจดูจะไม่นิ่งแบบนั้น



“พี่ขอถามอะไรแกอย่างสิ”



เซนเลิกมองไปยังประตูห้องนั้นทันที จากนั้นก็ละสายตาและหันหน้ากลับมามองที่เขาด้วยใบหน้าสงสัย พร้อมกับถามคำถามออกมา



“อะไรหรอครับ”


“แกรู้สึกยังไงกับกัสกันแน่ มันคงไม่ใช่แค่เป็นห่วงอย่างเดียวแล้วล่ะมั้ง เพราะเท่าที่พี่สังเกตท่าทางของแก มันออกจะดูกระวนกระวายชอบกล”



เซนนิ่งไปพักใหญ่ เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในหัวของตนเอง คงจะคิดทบทวนว่าตัวเองรู้สึกยังไงนะล่ะ ทำไมซินจะไม่รู้นิสัยของน้องชายตัวเอง



คนอย่างเซนถ้ามันไม่มั่นใจอะไรมันจะทิ้งเอาไว้ในใจและจะไม่พูดมันออกมาหรอก หากตัวเองยังไม่แน่ใจกับสิ่งๆนั้น แต่ถ้าหากมันมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดดีแล้ว แม้แต่ท่าทางและความรู้สึก น้องชายของเขาไม่มีทางที่จะปิดมันมิดและรอดพ้นสายตาของผมไปได้แน่



“ถ้าพี่จะถามว่าผมชอบพี่กัสหรือเปล่า จะบอกอะไรให้ ผมชอบพี่กัส!และก็ชอบมากด้วย!”


หน้าตาดูจริงจังเอาเรื่องอยู่ แต่ใช่ว่ามันจะเสมอไป มีเด็กหนุ่มหลายคนที่น้องของเขาติดพัน คนที่ผ่านๆมาก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น
แต่สำหรับเด็กที่ชื่อกัส ซินคิดว่าเซนมันน่าจะจริงจังเอาเรื่องอยู่


แต่ว่ากันตามตรงเลย ซินไม่คิดว่าน้องชายของเขาจะรักใคร่เด็กหนุ่มคนนั้นหรอก อาจจะแค่หลงใหลหรือไม่ก็ถูกใจมากเป็นพิเศษก็แค่นั้น



แต่ไอ้ท่าทางหวงแหนแบบนั้น ใช่ว่าเซนมันไม่เคยเป็น ยิ่งเป็นตอนที่ได้เด็กเอาไว้ควงและรู้สึกถูกชะตาหรือถูกใจ แม้แต่ซินที่เป็นพี่ชายแค่อยากจะเข้าไปพูดคุยนิดหน่อยก็ยากแล้ว



แล้วนับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มที่ชื่อกัสคนนั้น ท่าทางที่เซนแสดงออกมามันไม่ได้แตกต่างอะไรนักหรอกกับเด็กที่ควงคนอื่นๆ



จะว่าไปและตัวเขาล่ะ กำลังรู้สึกยังไงกับเด็กหนุ่มคนนั้นกันแน่


ในตอนนี้เขาเองยังคงหาคำตอบที่กำลังตั้งคำถามในใจเมื่อครู่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วรู้สึกยังไง รักหรือว่าหลงใหลกันแน่ล่ะ
แต่ที่รู้ๆในตอนนี้


ซินยังไม่อยากให้น้องชายของตัวเองรับเอาเด็กหนุ่มคนนั้นไปดูแลสักเท่าไหร่  หรือถ้าจะบอกว่าเขากำลังเป็นแมวหวงปลาทูก็คงจะเปรียบได้ไม่ผิดนัก


ยอมรับเลยว่าหวงเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย มันเป็นเพราะว่าซินไม่เคยถูกชะตาใครแบบนี้เลยน่ะสิ



อีกอย่างเซนมันยังเด็กเกินไปที่จะริเริ่มรักใครสักคน ทำไมถึงคิดแบบนี้นะหรอ ก็เพราะสิ่งที่ไอ้น้องชายมันทำกับกัสหลายๆอย่างน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าพิศวาสและหลงใหลเด็กคนนั้นยังจะน่าเชื่อถือเสียกว่า



รวมถึงเมื่อครู่มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เซนยังคงเด็กเกินไปจริงๆที่จะเริ่มดูแลใครสักคน ก็มันทั้งใช้ความรุนแรงและอารมณ์ตัดสินปัญหา แทนที่จะค่อยๆพูดหรือปรับความเข้าใจกัน



และสุดท้ายมันถึงได้ออกมาเป็นอย่างที่เห็น


เซนมันกำลังสร้างบาดแผลในใจที่ยากจะรักษาให้หายไว้กับเด็กหนุ่มคนนั้นไม่มากก็น้อยเลยล่ะ เพราะเป็นแบบนี้จึงต้องให้กัสมาอยู่ในความดูแลจากผู้ใหญ่อย่างซินไปก่อน



ไม่แน่ว่าในอนาคตจากคำว่าถูกชะตาของเขามันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นก็ได้ใครจะไปรู้




อย่างน้อยตอนนี้ซินควรจะเริ่มพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้เซนมันเริ่มที่จะเตรียมใจรับมือกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปก่อน



ดูเหมือนว่าเซนมันก็คงจะเตรียมใจรับผลจากการกระทำของตนเองเอาไว้อยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน



“ดูเหมือนกับว่า กัสเขาจะไม่ได้ชอบแกนะ....”


ทันทีที่ซินพูดออกไป แววตาของเซนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทันที มันไม่เหมือนในตอนแรกที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เพราะว่าในตอนนี้แววตาของเซนมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวังและวูบไหวอย่างน่าประหลาด



หรือว่าเขากำลังพูดอะไรที่ไปสะกิดใจน้องชายของตัวเองเข้ากันแน่


“แล้วไง....”

“ถามจริงๆกัสเคยบอกว่าชอบแกหรือเปล่า หรือเคยแสดงท่าทีว่าชอบแกน่ะมีบ้างไหม”

“....ไม่”

“ก็เพราะแบบนี้ไงถ้ากัสเขาไม่ชอบ แล้วแกจะฝืนไปเพื่ออะไรกันล่ะ ถอยออกมาให้กัสเขาไปเจอคนที่ดีๆไม่ดีกว่าหรือไง”


ชั่วขณะหนึ่งซินสังเกตเห็นแววตาอับแสงนั้นวูบไหว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เซนเปลี่ยนแปลงแววตาที่อับแสงพวกนั้นโดยฉับพลัน พร้อมกับพูดประโยคที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นออกมา


“ไม่ถอย ยังไงก็จะไม่ถอยง่ายๆหรอก! ผมถอยออกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ถอยอีกแน่! และอีกอย่างถ้าผมถอยออกมาแบบนี้พี่ก็เข้าไปง่ายเลยอะดิ ไม่เอาด้วยหรอก! ผมไม่ได้โง่นะว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”


รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ไม่เคยเห็นน้องชายของตัวเองเป็นแบบนี้เลยแฮะ ปกติเวลามันคิดว่าไม่มีทางที่จะทำสำเร็จมันก็จะปล่อยวางและเริ่มทำสิ่งใหม่ๆแทน


แต่นี่เซนกลับยึดมั่นที่จะทำสิ่งๆนี้ให้ได้ มันน่าแปลกใจไม่น้อยเลยจริงๆ


ทว่าว่าถ้าหากเป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาคิดว่าถ้าเซนมันเกิดไม่สมหวังขึ้นมา แล้วเหตุการณ์ข้างหน้ามันจะเป็นยังไงต่อไป ฉุดรั้งกันเอาไว้แบบนี้ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รักน่ะหรอ


บอกตามตรงว่าถ้าเป็นตัวเขา คงจะพอและไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้แน่ๆ ยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยแล้วมันก็ยิ่งทำให้ไม่อยากเดินหน้าต่อ เพราะมันกับว่าเรากำลังบุกรุกพื้นที่ของใครอีกคนอย่างเห็นแก่ตัว


แต่ที่เซนเป็นแบบนี้หรือว่าแท้จริงแล้ว เซนกำลังกลัวว่าจะถูกแย่งเด็กคนนั้นไปกันแน่นะ




ต้องยอมรับว่าตัวเองก็สนใจกัสอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร หรืออาจจะน้อยกว่าเจ้าน้องชายด้วยซ้ำ แต่เพราะว่ากัสเป็นเด็กที่มีเสน่ห์น่าเข้าหาอย่างบอกไม่ถูก


มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซินอยากเข้าไปทักทายในคืนนั้น เด็กคนนี้น่าดึงดูดไม่น้อยเลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมเซนถึงได้หลงเด็กคนนี้มากมายขนาดนี้


เพราะดวงตากลมโตคมกริบของกัสมันทำให้รู้สึกอยากลองที่จะเอาชนะใจให้ได้ และไหนจะเป็นวาจาในการพูด รวมไปถึงท่าทีอะไรต่างๆล้วนแล้วแต่เถรตรงไปเสียหมด ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ


ทุกอย่างมันยิ่งขับกล่อมให้กัสดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม ซินรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าไปคุยกับเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้รู้สึกใจเต้นไม่น้อยคงเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะเข้าหาใครก่อนละมั้ง


เด็กหนุ่มชื่อกัสพูดจาตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม ทั้งๆที่ซินเพียงแค่อยากจะรู้ชื่อเสียงเรียงนามเพียงเท่านั้น แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นเสียเท่าไหร่ และนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ซินอดไมได้ที่จะชวนคุยมากขึ้นกว่าเดิม


จากในตอนแรกก็แค่อยากรู้จักชื่อเฉยๆ แต่หลังจากนั้นมันทำให้ซินอดไม่ได้ที่จะขอพบเจอหรือพูดคุยนอกเหนือจากคืนนั้น จนมันกลายมาเป็นเหตุการณ์ในวันนี้


แต่ถึงกระนั้นอุปสรรคของซินกลับเป็นเจ้าน้องชายตัวดีที่ดันมาชอบคนเดียวกับเขาเสียนี่ โดยที่ตอนนี้เขากำลังคิดจะเริ่มต้นความรู้สึกต่างๆกับเด็กหนุ่มคนนั้นแท้ๆแล้วเชียว


กลับกลายเป็นว่า เป็นซินเองที่กำลังรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างจะเดินหน้าต่อไปหรือจะหยุดความรู้สึกที่มีต่อกัสเอาไว้แต่เพียงเท่านี้กันแน่ เพราะไม่อยากจะแย่งอะไรที่น้องของตัวเองชอบเสียเท่าไหร่


ทว่าแล้วกัสล่ะ ในใจของกัสมีใครอยู่แล้วหรือยัง นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในตอนนี้



หลังจากที่ลอบมองน้องชายอยู่นาน เห็นมันทำท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน ซินจึงลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอื้อมมือไปตบบ่าของผู้เป็นน้องที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดผูกเป็นปมแน่นอย่างเบาๆ


“ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ลองมาแข่งกัน พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ากัสจะเลือกใคร ระหว่างแกกับพี่”



ในตอนแรกคิดว่าจะยอมให้น้องชายมุ่งหน้าง้องอนไปอย่างง่ายๆเพราะเห็นท่าทางน่าสงสารแบบนั้นที่แสดงออกมาในตอนแรก แต่การที่อยากจะได้เห็นความพยายามและอยากจะรู้ว่าน้องชายของเขานั้นชอบกัสจริงหรือเปล่า


เพราะความอยากรู้จึงได้ตัดสินใจพูดอะไรทำนองนั้นออกไป



ซินละมือออกจากบ่าที่เอื้อมแตะเบาๆและทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องที่มีใครอีกคนกำลังนอนอยู่ แต่กลับถูกทักขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบจากน้องชายของตัวเองเสียก่อน



“ผมต้องชนะพี่อยู่แล้ว! และพี่จะต้องเป็นคนแพ้ ไม่ใช่ผม!”




ทั้งๆที่พูดออกมาแบบนั้นแต่กลับไม่เงยหน้ามามองเขาสักนิด มือที่กำแน่นพร้อมสู้แบบนั้นมันคืออะไรกันนะ ซินอดที่จะยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้เลยจริงๆ ที่เห็นท่าทางฮึดสู้แต่กลับดูไม่มั่นใจแบบนั้นของน้องชายตนเอง




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

เคลียร์กับทีระวิทตอนหน้าค่ะ
ใครที่ค้างตอนพิเศษของทีระวิทตอนที่แล้ว
เดี๋ยวจะหายค้างตอนหน้านะคะ

นางเสียใจแน่นอน บอกได้แค่นี้
มีศึกชิงนางนิดหน่อยค่ะ5555555

ขอให้สนุก



ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ดีดแพพ...ค้าง  o22

 :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
แว่นดุมาแล้ว เย้ๆ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใกล้จบปัญหาที มีปัญหาพี่น้องมาอีก ถถถ

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ท้านที่สุดกัสน่าสงสารอยู่ดี,,,

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เข้มข้นถึงอกถึงใจแน่ตอนหน้า  :m12:
ถึงหลานคนแต่ง ตอนหน้าคนแก่ไม่เอา "ศึกชิงนาง" นะ เป็น "ศึกชิงนาย" ได้ปะ  :laugh3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอาใจช่วยกัส  :mew1: :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 10
ตัดขาด




ในความฝัน...รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของใครสักคนกำลังลูบไล้อย่างแผ่วเบาที่บริเวณกลุ่มผมบนหัว ฝ่ามือนั้นช่างอุ่นเหลือเกินมันอุ่นมาก



เพราะความสงสัยว่าฝ่ามือที่ลูบไล้อย่างแผ่วเบานั้นเป็นฝ่ามือของใคร จึงเงยหน้าขึ้นมองหาว่าคนที่กำลังใช้มือลูบอยู่นั้นเป็นใครถึงได้ลูบเขาแบบนี้



แต่ทว่าพอได้เห็นใบหน้าของชายที่อยู่ในความฝัน กลับทำให้ต้องตกใจทันที

เซนกำลังยิ้มมาให้และใช้ฝ่ามือลูบกลุ่มผมบนหัวของผมอยู่ พร้อมกับส่งและแสดงสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนมาให้



ความคิดของผมในตอนนั้นมันกลับเต็มไปด้วยคำถามที่มีมากมายอยู่ล้นอก คำถามที่ว่า ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น ทำไมถึงได้ทำเรื่องพวกนั้นกับผม เหตุผลที่ทำ แล้วทำไปเพื่ออะไร



ถ้าอยากแก้แค้นกัน ทำไมถึงต้องหลอกให้ผมตายใจแบบนี้ หรือว่าเพราะมันไม่สนุกอย่างนั้นหรอ ที่หลอกผมแบบนี้เพราะต้องการเล่นกับจิตใจของคนที่มันต้องหลงเชื่อใจไปแล้วก่อนแบบนี้ มันถึงจะน่าสนุกกว่าใช่ไหม มันเป็นเพราะแบบนี้ใช่หรือเปล่า



เพราะว่าผมเชื่อใจเซนไปแล้วใช่หรือเปล่า ถึงได้ลงมือทำร้ายจิตใจกันแบบนี้



แต่คำถามทั้งหมดที่คิดเอาไว้กลับมลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อความรู้สึกกรุ่นโกรธเข้ามาครอบงำแทนที่ความรู้สึกตัดพ้อต่างๆในตอนแรกเสียหมด ไม่มีแม้แต่พื้นที่ว่างให้หัวใจบอบช้ำได้ทำงาน



ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับยึดฝ่ามือที่กำลังลูบลงมาอย่างแผ่วเบานั้น ให้หยุดลูบคลำอย่างรวดเร็วในทันที พร้อมกับเบิกตาโพลงขึ้นมาจากความฝัน



ดวงตาที่ปะทะกับใครอีกคนในความมืดสลัวและเกือบสว่างในยามนี้ คนตรงหน้าซึ่งไม่ใช่คนๆเดียวกับคนในฝัน แม้จะพยายามเพ่งมองมากเท่าไหร่ก็ได้แต่เพียงคำตอบในหัวว่าคนตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่เซน



ทันทีที่มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่คนที่ผมกำลังนึกถึง น้ำเสียงนุ่มเรียบของอีกฝ่ายก็เอ่ยทักทายขึ้นเป็นประโยคแรกทำให้ผมเริ่มผ่อนคลายลง



“ขอโทษที่ทำให้ตื่น ฝันร้ายหรอครับ?”


ข้อมือที่ผมยึดจับอย่างแรงในฝัน แต่ทว่าในขณะนี้กลับเป็นข้อมือของพี่ซิน ไม่ใช่ใครอีกคนที่ผมฝันถึง ผมมองออกไปทั่วๆห้องที่แสนคุ้นเคย อย่างทบทวนความทรงจำ


จากนั้นก็กวาดสายตากลับมามองที่คนตรงหน้าอีกครั้ง พอตั้งสติได้ก็รีบปล่อยมือที่ยึดจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแรงในตอนแรกของพี่ซินทันที


“ผมขอโทษครับ เจ็บหรือเปล่า....”

“ไม่เจ็บครับ ว่าไงล่ะ เมื่อกี้ฝันร้ายหรอ”

“ครับ...ฝันร้าย”



ใช่ ผมกำลังฝันร้ายมากเลยล่ะ ถ้าให้ดีผมไม่ได้อยากฝันถึงคนๆนั้นเลยด้วยซ้ำ อยากที่จะจบเรื่องราวทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับผมให้หมดสิ้นไปเสียที ผมรู้สึกเหนื่อยมามากพอแล้ว ไม่อยากที่จะเหนื่อยไปมากกว่านี้อีกแล้ว


“อยากกลับหอตอนไหนบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่จะออกไปส่ง”

“ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอครับ”

“หกโมงเช้า กัสหลับไปทั้งคืนเลย คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”



ผมไม่เข้าใจว่าพี่ซินกำลังพูดถึงเรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่หรือเปล่า หรือว่าพี่ซินจะรู้แล้วกันแน่ว่าผมเจออะไรมา



“ถ้าอย่างนั้นผมกลับเลยดีกว่า ขอโทษที่มารบกวนพี่ซินนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“พอดีผมจะต้องเตรียมเก็บเสื้อผ้าเพื่อจะกลับบ้านน่ะครับ”



มันคือความจริงที่ผมจะไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อที่จะกลับไปบ้านเกิด ก็ตอนนี้มันเข้าช่วงปิดเทอมแล้วนี่นา มันเป็นเรื่องปกติที่ผมจะกลับบ้านแบบนี้อยู่เป็นประจำทุกครั้งที่เข้าช่วงปิดเทอม


อย่างน้อยๆถ้าผมกลับไปก็ขอไปพักใจกับเรื่องที่ผ่านๆมาเสียหน่อย เหนื่อยล้าจนอยากวิ่งไปซบอกอุ่นๆของแม่เลย


แต่ก่อนที่จะกลับ ผมคิดเอาไว้แล้วว่าอยากจะพูดคุยกับไอ้ทีให้มันรู้เรื่องเสียก่อน อย่างน้อยก็ขอเคลียร์ให้มันจบๆไป ก่อนที่ผมจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆกับตัวเองอีกครั้ง


“จริงด้วยสิ นี่มันปิดเทอมแล้วสินะ ถ้างั้นให้พี่ไปส่งที่บ้านของเราไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ”

“เอาน่า พี่ก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน”

“แต่ว่า”


ใจนึงก็อยากกลับด้วย เพราะไม่อยากเสียเงินค่ารถที่ใช้กลับสักเท่าไหร่ ลำพังตอนนี้ยังหาเงินเลี้ยงตัวเองยังไม่ได้เลย และเงินที่ทำงานพิเศษคราวนั้นก็ใช้หมดไปแล้วด้วย  แต่ที่ปฏิเสธจนหัวชนฝาก็เพราะกลัวว่าจะมีผู้ร่วมเดินทางที่ไม่อยากจะเจอหน้าคนนั้นด้วยน่ะสิ


“มีแค่กัสกับพี่สองคนครับ คนที่จะไปส่งกัสมีแค่พี่คนเดียว”


คงเพราะผมแสดงท่าทางแปลกๆออกไปแน่ๆ พี่ซินถึงได้จับได้แบบนี้ แย่จริงก็นั่นมันน้องชายของพี่เขาทั้งคนนี่นะ แต่ถึงอย่างนั้น


ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนมันยังคงฉายชัดให้ผมรู้สึกอดที่จะตกใจไม่ได้เลยจริงๆ ภาพที่พี่ซินกระชากตัวเซนออกไปต่อยและตวาดลั่น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้ยังคงทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นมันค่อนข้างที่จะน่ากลัวเลยล่ะ


“เอ่อ..คือ พี่ซินกับเซนทะเลาะกันอยู่หรอครับ”

“ไม่แล้ว เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ที่ผมถามก็เพราะไม่อยากให้พี่กับเซนทะเลาะกัน เพราะผมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้น่ะครับ”



จริงอยู่ที่เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวผมเอง ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นห่วงไอ้แว่นนั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมเป็นห่วงพี่ซินต่างหาก พี่เขาไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆพวกนี้เลยด้วยซ้ำไป


ทว่าจู่ๆพี่ซินก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา มันทำให้ใจของผมกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก



“เรื่องคลิปนั่น เซนมันลบไปหมดแล้วนะ อีกอย่างเซนมันไม่ได้คิดที่จะปล่อยคลิปพวกนั้นอยู่แล้ว กัสไม่ต้อง..”

“อย่าหาว่าผมอคติกับน้องชายพี่เลยนะครับ แต่ผมไม่เชื่อ”


จะให้เชื่อได้ยังไง คนแบบนั้น ทั้งหลอกลวง ทั้งเจ้าเล่ห์ และร้ายกาจยิ่งกว่าอะไรเสียอีก จะพูดให้ตายยังไงผมก็ไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด นอกจากจะมีหลักฐานหรืออะไรก็แล้วแต่ให้มันน่าเชื่อถือกว่าการพูดเพียงลมปาก



ที่พี่ซินบอกว่า น้องชายของเขาไมได้คิดจะปล่อยคลิปอยู่แล้ว ถ้าในตอนที่ผมยังคงเป็นไอ้โง่ที่หลงเชื่อไอ้แว่นก็ยังพอเชื่อคำพูดนี้อยู่หรอก แต่เพราะเป็นผมในตอนนี้เป็นไอ้กัสที่โดนทำร้ายมาจนพรุนไปทั่วทั้งตัวแบบนี้ จะให้ผมเชื่อคำพูดพวกนั้นหรือไง



และถ้าหากมันแกล้งหลอกลวงผมอีกครั้งล่ะ แกล้งหลอกให้ผมหลงเชื่อใจมันอีกหน คราวนี้ผมจะเหลืออะไร ผมไม่ยอมโง่ให้คนพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว เท่านี้มันก็มากเกินพอแล้วด้วยซ้ำ


ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมีให้ใครมันไม่ได้ให้กันง่ายๆหรอกนะ และในเมื่อโดนหักหลังแบบนี้อย่าหวังว่าคนอย่างไอ้กัสมันจะให้ความเชื่อใจกับคนเดิมๆที่ทำร้ายมันได้อีกเลย ไม่มีทาง


หลังจากที่ผมพูดประโยคที่ค่อนข้างจะแรงไม่น้อยประโยคนั้นออกไปอย่างไม่ไว้หน้า ผมเห็นพี่ซินทำหน้าตาตกใจไม่น้อยเลยล่ะ ทำให้เกิดบรรยากาศภายในห้องที่เริ่มจะอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายสลัดบรรยากาศเสียๆนั้นออกไป


“ตอนนี้พี่ซินว่างใช่ไหมครับ”

“ว่างสิ ทำไมหรอ หรือว่าอยากจะกลับแล้ว”

“ครับ”

“ถ้างั้นไปอาบน้ำอาบท่าด้วย แล้วตกลงว่ายังไงล่ะ กัสจะกลับบ้านวันไหน พี่จะได้ไปรับและเตรียมตัวกลับด้วยเลยเหมือนกัน”

“ไม่แน่ใจครับ แต่เดี๋ยวผมบอกอีกที”

“โอเคเลย ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”



ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป นอกจากการพยักหน้าเป็นคำตอบรับ และชันตัวลุกขึ้นยืนก้าวเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลมากนัก สายตากวาดมองไปยังกระจกบานใหญ่ที่อยู่ติดกับบริเวณอ่างล้างหน้า ผมมองภาพสะท้อนที่อยู่ภายในกระจกบานกว้าง และเห็นสภาพของตัวเองที่บริเวณซอกคอมีรอยจ้ำแดงสีเข้มประปรายไปทั่ว



ไม่ต้องบอกหรือพยายามนึกคิดอะไรให้มันมากมาย รอยพวกนี้มีอยู่แค่คนเดียวทำ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เซน ทันทีที่คิดถึงภาพเหตุการณ์ของเมื่อคืนที่ผ่านมา สีหน้าที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานกว้างก็เปลี่ยนไป



มันเต็มไปด้วยความรู้สึกโมโหและกรุ่นโกรธฉายชัดแผ่ออกมาทางสีหน้า แม้แต่มือที่กำแน่นจนเส้นเลือดโปนออกมานั่นอีก มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธคนที่กระทำกับร่างกายที่ตนเป็นเจ้าของมากแค่ไหน



แต่ความรู้สึกที่พุ่งทนยานสูงขึ้นก็ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ไร้ความรู้สึก ใบหน้าจากที่เกร็งเครียดสันกรามขึ้นรูป ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเฉยเมยในเวลาไม่นาน



ผมละความสนใจจากหน้ากระจกและเริ่มทำธุระส่วนตัวโดยไม่ให้ความสนใจกับเรื่องเมื่อครู่อีก ไม่นานนักก็อาบน้ำอาบท่ารวมไปถึงล้างหน้าตาจนเสร็จ หลังจากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับชุดเดิมที่ถูกเปลี่ยนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา


“อาบเสร็จแล้วหรอ กินอะไรก่อนไปไหม พี่ทำแซนวิชเอาไว้ให้”


เพียงเปิดประตูออกมาก็ได้ยินเสียงจากคนที่นั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้พร้อมหันหน้ามาหาผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในมือของอีกฝ่ายถือจานที่มีแซนวิชวางเอาไว้อยู่สองอันขนาดไม่เล็กไปและไม่ใหญ่มากจนเกินพอดี


“ซักชิ้นนึงก็ดีครับ” ผมยิ้มกลับไป แปลกที่ตอนนี้กลับรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรครับ”


นั่นไง เพราะผมคงแสดงอาการออกไปเยอะมากแน่ๆ พี่ซินถึงได้เอ่ยปากแซวผมแบบนั้น  ผมรีบคว้าเอาก้อนแซนวิชในจานที่พี่ซินถือมาอยู่ในมือทันที และส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ยิ้มออกมา


พี่ซินเองก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือถามอะไรผมต่อ เขาแค่ยิ้มจางๆและวางจานลงที่โต๊ะดังเดิม จากนั้นพี่เขาก็ขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเท้าคางมองมาที่ผม


“ถ้าพี่ซินมองขนาดนี้ ผมกินไม่ลงหรอกนะครับ”

“ถามอะไรหน่อยสิ”


ผมไม่ได้สนใจว่าพี่เขาพูดสักเท่าไหร่เพราะตอนนี้ผมกำลังให้ความสนใจแซนวิชที่อยู่ในมือตรงหน้ามากกว่า ก่อนที่จะอ้าปากงับเจ้าแซนวิชฝีมือของคนตรงหน้าเข้าไปเต็มคำ และเหมือนความที่ไม่สนใจของผมทำให้พี่ซินเลิกคิ้ว


“ก็ถามมาสิครับ”

“กัสรู้สึกยังไงกับเซน”



ผมนิ่งอึ้งไปไม่น้อย จากตอนแรกที่อารมณ์ผ่อนคลายมันกลับมาคุกรุ่นขึ้นอีกครั้งเพราะคำถามจากคนตรงหน้า รสชาติแซนวิชที่รู้สึกว่ามันอร่อยมากในตอนแรก ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ


แน่นอนว่าคำถามที่อีกฝ่ายถามผมเมื่อครู่มันทำให้ผมรู้สึกสะอึก รู้สึกยังไงอย่างนั้นหรอ ก็คงต้องยอมรับละนะว่าในตอนแรกผมแอบมีความรู้สึกดีๆให้เซนไปไม่น้อยเลย



แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับเซน ความรู้สึกดีๆที่ผมเคยมีมันเจือจางมากเหลือเกิน ผมแทบตอบไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกดีกับอีกฝ่าย เพราะตอนนี้มันแทบไม่มีเหลือให้รู้สึกเลยด้วยซ้ำ



“หมายถึงตอนไหนล่ะครับ ถ้าพี่หมายถึงตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว” หลังจากที่ผมตอบกลับไป พี่ซินไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มจางๆส่งมาให้แค่เท่านั้น



เราทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ส่วนผมก็ยังคงกินแซนวิชที่เหลืออยู่ที่มือต่อจนหมด จวบจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเก้าโมงเช้า ผมและพี่ซินจึงออกมาจากคอนโดและกลับไปยังหอพักของผม โดยมีพี่ซินเป็นคนไปส่ง



ในตอนที่เดินออกมาจากห้อง ผมกวาดสายตามองไปทั่วห้องด้านนอก แน่นอนว่าเห็นใครอีกคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวยาวสีเข้ม



อีกฝ่ายมองผมกับพี่ซินที่กำลังเดินออกมาด้านนอกอย่างไม่ละสายตาไปทางไหน แทบจะเรียกได้ว่ามองตามแบบตาไม่กระพริบเลยก็ว่าได้ ผมมองอีกฝ่ายแค่เพียงตอนแรกที่เดินออกมาเท่านั้นและหลังจากนั้นก็เลิกมอง แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้ละสายตาออกไปจากผมเลย



แต่ใครจะไปสนกันล่ะ







บนรถของพี่ซิน


“พี่ซินส่งผมแค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวผมจะเข้าเซเว่นไปซื้อของนิดหน่อย”

“เดี๋ยวพี่รอ...”

“หอผมอยู่แค่นี้เอง เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เท่านี้ก็ลำบากที่ซินมากแล้วล่ะ ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับเรื่องหลายๆเรื่อง”


ดูท่าแล้วพี่ซินเหมือนจะอยากไปส่งผมให้ถึงหอเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะผมมีเรื่องที่ต้องทำก่อนน่ะสิ ถึงได้ไม่อยากให้พี่ซินเข้าไปส่งสักเท่าไหร่


“พูดเหมือนกับว่ากัสไม่อยากเจอพี่อีกแล้วอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่ใช่นะ ผมแค่ขอบคุณ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่เต็มใจทำ”


ผมเบนสายตาออกมาจากดวงตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มันแฝงออกมา และใช่ว่าผมจะไม่รู้ สายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง ผมรู้ดีเลยล่ะ


สองพี่น้องคู่นี้เหมือนกันอย่างกับแกะ แต่แค่คนพี่จะดูลึกลับกว่าคนน้องมากหน่อย ไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในดวงตาที่ลึกๆข้างในนั้นของพี่ซิน เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่



ชั่ววูบหนึ่งผมคิดว่าพี่ซินนั้นดูเจ้าเล่ห์แถมยังดูน่ากลัวนิดหน่อยอาจจะน่ากลัวกว่าคนน้องด้วยซ้ำ และอีกอย่างผมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะยุ่งวุ่นวานกับสองพี่น้องนี่สักเท่าไหร่ด้วย ถึงแม้จะบอกว่าให้พี่เขามารับตอนกลับบ้านก็ตาม แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปด้วยอย่างที่ได้บอกเอาไว้หรอกนะ



หลังจากที่พี่ซินขับรถออกไปแล้ว ตอนแรกผมทำทีว่าจะเดินไปเซเว่นเพื่อซื้อของ ตอนนี้ผมกลับไม่ได้เดินไปเซเว่นอย่างที่พูดเอาไว้แต่เลือกที่จะเดินเปลี่ยนเส้นทางไปทางอื่นแทน



เพราะแค่จะไปทำเรื่องบางเรื่องให้มันจบต่างหาก ผมรู้สึกข้องใจเรื่องนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วทั้งนอนคิดทบทวนในตอนกลางดึกที่ตื่นขึ้นมา และวันนี้ผมจะต้องรู้เรื่องและรู้เหตุผลของเรื่องราวทั้งหมดนั่นให้ได้



สองเท้าก้าวเดินไปยังหอพักที่แสนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมจำทางได้แม้จะหลับตาเดินก็สามารถเดินมาถูกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และผมยังมั่นใจว่าบุคคลที่ผมกำลังจะไปหามันจะต้องอยู่ในห้องอย่างแน่นอน เวลาแบบนี้มันไม่ได้ไปไหนแน่ๆผมรู้ดี และที่ผมรู้ก็เพราะคนๆนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยยังไงละ







ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูอันเกิดมาจากแรงฝ่ามือที่กำแน่นของผม คนที่อยู่ภายในห้องน่าจะรู้ตัวแล้วว่ามีคนเคาะห้องของตนเอง เพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินมายังประตูตรงหน้า มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆแต่ใจผมกลับเย็นยะเยือก ทุกอย่างนิ่งไปหมด ผมแทบไม่มีความรู้สึกตื่นตะหนกหรือตื่นเต้น ในใจมันไม่ได้มีความรู้สึกพวกนั้นฝังอยู่เลยแม้แต่นิด



ประตูไม่ได้เปิดออกในทันที ได้ยินแค่เพียงเสียงเอ่ยเรียกจากด้านใน

“ใครครับ”

“...”

“ไม่ทราบว่าใครครับ”

“กูเอง กัส”

“...”



ในตอนแรกฝ่ายที่เงียบมันคือผม แต่หลังจากที่ตอบกลับไปผ่านประตูที่อยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายกลับเป็นฝั่งที่เงียบเสียงไปเอง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดึงกลอนประตูด้านในลงและประตูตรงหน้าก็ถูกเปิดออก


ผมมองหน้าของมันและเดินเข้ามาภายในห้อง ไอ้ทีขยับตัวเอื้อมมือไปปิดประตูและหันหน้ากลับเข้ามาทางผม


ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสไตล์เด็กนักศึกษามหาลัย ไม่หวือหวา และก็ไม่ได้ระเบียบจัด ผมจำห้องของมันได้ ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แม้แต่การยิ้มทักทายของไอ้ทีมันก็ยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมมันคือความรู้สึกของผมในตอนนี้ต่างหาก


“มาหากูมีอะไรหรือเปล่า”

“มีสิ ถ้าไม่มีกูจะมาหามึงทำไม”

“แล้วทำไมไม่โทร...”

“มึงทำแบบนี้กับกูทำไม”

“...”


ไอ้ทีไม่ได้ตอบคำถามผมในทันที แต่มันเลือกที่จะยืนนิ่งและเงียบพร้อมกับมองมาที่ผม ในขณะที่ผมกำมือทั้งสองข้างแน่นจนเกร็งไปหมด


“กูจะถามมึงอีกครั้ง มึงทำแบบนี้กับกูทำไม!”

“อยากรู้ถึงขนาดต้องแจ้นมาหากูถึงนี่เลยสินะ...อึก”



ผมพุ่งตัวเข้าไปหามัน พร้อมกับกระชากเสื้อยืดที่มันใส่อย่างแรง มืออีกข้างง้างขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดแน่นหมายจะกระแทกไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างสุดทน แต่มือข้างที่กำหมัดแน่นข้างนั้นกลับไม่ทำอย่างที่ใจคิด มันหยุดอยู่ที่เดิมและค่อยๆตกลงแนบลำตัวอย่างช้าๆ


ผมทำร้ายมันไม่ลง ผมทำไม่ได้



คำพูดและท่าทางของมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ารู้สึกตรงข้ามกับผมทั้งหมด ในขณะที่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกเสียใจแต่มันกลับรู้สึกตรงกันข้าม แค่มองตามันผมก็รู้ แววตาที่แต่ก่อนผมเคยหลงเชื่อใจมันมาตลอด ตอนนี้แววตานั้นมันเหมือนเดิมแต่ผมไม่หลงเชื่อมันอีกแล้ว



“ทำไมไม่ต่อยกูละ อยากต่อยไม่ใช่หรอ”

“กูไม่รู้ว่ามึงเกลียดกูตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือไม่มึงก็อาจจะเกลียดกูมานานแล้ว...”

“ถ้างั้นก็รู้ไว้ ว่ากูเกลียดมึงมานานแล้ว”

“...แต่กูไม่เคยเกลียดมึงเลย”


ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดมันสักครั้ง ไม่ว่าจะตอนไหนหรือเวลาไหน ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้ แต่พอมาได้ยินสิ่งที่ได้รับกลับมามันทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองมันโง่ขนาดไหนและโง่มาตลอด โง่ที่หลงเชื่อและไว้ใจคนอย่างมัน


ผมสบตากับมันอีกครั้งหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกที่มีให้กับมันออกไป แววตาของไอ้ทีสั่นไหวพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนคนไม่ยอมรับ ใช่ มันไม่ยอมรับและไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด



“กูไม่เชื่อ”

“กูไม่เคยเกลียดมึงเหมือนอย่างที่มึงเกลียดกู กูไม่เคยอิจฉามึง กูไม่เคยอยากมีอยากได้เหมือนอย่างที่มึงมี และกูไม่เคยคิดร้ายกับมึงเลยสักครั้งเดียว แต่มึง...มึงกลับทำแบบนี้กับกู มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่าวะ!”

“....”

“มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร เห็นคนที่อยู่ข้างๆมึงเป็นตัวอะไร กูมีเพื่อนอยู่แค่คนเดียว กูเลือกคบกับมึงทั้งๆที่มีเพื่อนอยู่เต็มห้องไปหมด เพราะว่ากูคิดว่ามึงก็เหมือนกับกู ไม่ต่างอะไรกับกู”

“....”

“แต่รู้อะไรไหม กูคิดผิดทั้งหมด มึงไม่ได้เหมือนกับกูเลยสักนิด แม้แต่ความรู้สึกมึงยังเสแสร้งแกล้งทำกับกูด้วยซ้ำ”



ผมพูดทุกอย่าง พูดทุกสิ่งที่อยู่ในอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเพื่อนผมก็จะจบความสัมพันธ์จอมปลอมพวกนี้ไปให้หมดด้วย


บอกตามตรงเลยว่าผมอึ้งไปไม่น้อยที่ไอ้ทีมันพูดว่าเกลียดผม ไม่ได้เตรียมใจเลยจริงๆว่าจะต้องมาได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากคนที่ไว้ใจที่สุด เพราะไม่เคยรู้สึกเอะใจหรือรู้สึกสงสัยในตัวมันเลยสักครั้ง เพราะเชื่อ เชื่อว่าคนอย่างมันไม่มีทางที่จะทำร้ายผมลงได้แน่ๆ


แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับไปหมดเหมือนพลิกหน้ากระดาษ คนที่เชื่อใจกลับกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราได้อย่างเลือดเย็น ทำร้ายได้เพราะความรู้สึกเกลียด



น้ำตาหยดใสผุดร่วงออกมาจากตารินไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของผม อุตส่าห์เตรียมใจเอาไว้แล้วเชียวว่าจะไม่ร้องออกมาให้ใครเห็นอีก โดยเฉพาะคนอย่างไอ้ที ยิ่งไม่อยากให้มันเห็นเข้าไปใหญ่ว่าผมมันอ่อนแอ  แต่ตอนนี้เหมือนกับว่ามันไม่ทันแล้วเพราะผมไม่สามารถห้ามน้ำตาให้หยุดไหลออกมาได้อีกต่อไปแล้ว



มือข้างหนึ่งที่ยังคงกำบริเวณเสื้อยืดของอีกฝ่ายแน่น ตอนนี้มันไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะจับด้วยซ้ำ ผมปล่อยมือข้างที่ว่าออกมาจากเสื้อยืดของมัน และถอยหลังเดินออกมาสองก้าว


“มึงทำสำเร็จแล้วนะไอ้ที มึงทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จแล้ว”

“....”

“ทำไมไม่พูดละ ทำไมไม่แสดงท่าทางดีใจออกมาละ ยิ้มสิ มีความสุขหน่อยไอ้ที เห็นกูร้องไห้เสียใจขนาดนี้ไม่ดีใจบ้างหรือไง”

“ไอ้กัส...”


ผมถอยหลังออกมาอีกสองก้าวเพราะคิดเอาไว้แล้วว่าประโยคสุดท้ายที่ผมจะพูดออกไปมันจะเป็นประโยคที่ผมจะได้พูดกับมัน เพราะหลังจากนี้ไอ้ทีมันจะกลายเป็นคนอื่นสำหรับผม ไม่มีอีกแล้วเพื่อนสนิท ไม่มีอีกแล้วเพื่อนที่ไว้ใจ


“อยากได้เซนหรอ เอาไปสิ อยากให้ชีวิตกูพังใช่หรือเปล่า เอาไปสิ อยากให้กูอับอายกับข่าวลือ หรืออยากให้กูโดนไอ้สามคนนั้นรุมทำร้ายกู ทุกอย่างกูโดนมาหมดแล้ว พอใจแล้วใช่ไหม ถ้างั้นมึงกับกูก็...”

“เดี๋ยวไอ้กัส เรื่องไอ้สามคนที่มารุมทำร้ายมึงมันหมายความว่ายังไง”

“อยากให้กูเล่าเหตุการณ์ให้ฟังหรอ อยากฟังเพื่อความสะใจหรือไง!”

“ไม่ กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“ถ้าอยากรู้กูจะบอกให้ก็แล้วกัน”

“....”

“พวกมันจะข่มขืนกู เพราะไอ้ข่าวลือบ้าๆของพวกมึงสองคนไง! ข่าวลือที่มึงเป็นคนปล่อย ทำให้พวกมันเห็นกูเป็นไอ้ตัวอีตัว! พอใจไหมมึงไหมละ”


ผมมองหน้าของไอ้ทีผ่านม่านน้ำตาที่คลอหน่วย เห็นมันทำหน้าตกใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าอาการที่มันแสดงออกมามันเสแสร้งแกล้งทำหรือมันแสดงออกมาจริงๆ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น พอแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้อีกแล้ว


“กูจะช่วยมึงแต่....ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” ทีมองมาที่ผมหมายจะเอื้อมมือเข้ามาจับ แต่ผมเลือกที่จะถอยห่างออกไป

“ช่วยหรอ เสแสร้งอะไรอีกละ กูไม่โง่เป็นครั้งที่สองหรอกนะ”

“ไม่ มึงต้องเชื่อกู เย็นวันนั้นกูหลอกให้มันไปทางลัดนั่น แต่ไม่คิดว่ามึงจะกลับทางนั้นไปคนเดียว”

“ทางลัดที่มึงพูดถึง มึงก็รู้ว่ามีแค่กูกับมึงที่รู้จักและกลับด้วยกันบ่อยๆ แต่มึงกลับบอกว่าหลอกพวกมันอย่างนั้นหรอ กูไม่รู้จะพูดยังไงกับมึงแล้วไอ้ที ไม่รู้แล้วจริงๆ”

“กัสมึงต้องเชื่อกู มึงต้อง...”

“พอเถอะ เลิกปั้นหน้าให้ตัวเองดูดีสักทีเถอะ และมึงกับกูก็จบกันแค่นี้ด้วย”

“กัส...”

“มึงกับกูไม่ควรมารู้จักกันเลยจริงๆ”


ผมถอยหลังเดินออกมาพร้อมกับส่ายหน้า น้ำตาของผมหยุดไหลแล้ว ไม่มีสักหยดที่จะไหลออกมา ผมจ้องมองไปยังคนตรงหน้าเห็นมันทำสีหน้าเสียใจออกมาอย่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชั่ววูบหนึ่งผมกลับรู้สึกสงสารมัน แต่มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกสั้นเท่านั้นเมื่อหวนย้อนนึกถึงสิ่งที่มันทำกับผม



นึกย้อนไปถึงสิ่งที่ผมโดนกระทำ ทั้งทางกายและทางใจ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เจ็บปวดไปหมด เจ็บไม่มากแต่มันเจ็บลึกและนานยากจะทำให้หาย โดยเฉพาะบาดแผลทางใจที่ผมได้รับมันยากจะรักษาให้หาย ผมคงจะต้องใช้เวลาดูแลบาดแผลพวกนี้ด้วยตนเอง



ผมยิ้มให้กับความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีให้กับไอ้ที ทุกอย่างที่มันเคยทำให้ ทุกอย่างที่มันดีกับผม ผมยิ้มให้กับมันเป็นครั้งสุดท้าย และหลังจากนี้มันจะไม่มีอีกต่อไป



“ขอบคุณที่มึงเคยอยู่ข้างๆกู ขอบคุณที่มึงเป็นเพื่อนกับกู ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แม้ว่ามึงจะแสร้งทำมันมาตลอดแต่กูก็ขอบคุณ เพราะทุกอย่างที่มึงทำ ทุกที่ที่มึงอยู่ข้างๆกู มันทำให้กูมีความสุข”



ผมยิ้มให้กับมันเป็นครั้งสุดและหันหลังเดินออกมา มันจบแล้ว ความรู้สึกดีๆที่มีให้เพื่อนคนหนึ่งมันจบแล้ว ต่อไปนี้ผมจะเดินไปข้างหน้า และโตขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ว่าข้างหน้าที่ผมจะเดินผ่านไปจะพบเจอกับอะไรบ้าง อาจจะหนักหนาสาหัสมากกว่านี้ แต่ผมจะสามารถผ่านมันไปให้ได้ เหมือนกับครั้งนี้



“....ขอโทษ” เสียงแหบแห้งและสั่นเครือของคนข้างหลัง



ผมได้ยินมันอย่างชัดเจนไม่มีผิดเพี้ยน ผมรู้ว่าความหมายของคำๆนั้นแปลว่าอะไร แต่สิ่งที่ผมไม่รู้คือคนที่อยู่ข้างหลังทำสีหน้าแบบไหน พูดมันออกมาจากใจจริงหรือเปล่า หรือว่ามันพูดออกไปอย่างนั้นเอง  ผมไม่ได้หันกลับไปมองมัน เพราะผมเลือกแล้ว เลือกที่จะเดินออกมาเอง และจะไม่มีทางหันหลังกลับอีกแล้ว






.
.
สองเท้ายังคงก้าวเดินในจังหวะสม่ำเสมอตามทางเดินที่ลาดด้วยปูนซีเมนต์สีเทา มีผู้คนหลากหลายช่วงอายุเดินผ่านไปมา แม้แต่เด็กนักศึกษาก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง บางคนก็ยังไม่กลับบ้านเหมือนกับผม


ตอนนี้ผมเดินออกมาจากหอของไอ้ทีแล้ว เดินออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมเลือกที่จะเดินหน้าต่อและไม่หันหลับไปมอง แม้จะได้ยินเสียงร้องไห้ของมันก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่ามันร้องไห้หรือเปล่าแต่น้ำเสียงของมันสั่นเอามากๆ แต่ผมจะไม่พูดถึงคนๆนี้อีกแล้ว มันเป็นเพียงแค่อดีตที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้


เพราะตอนนี้ผมต้องมองไปที่ปัจจุบันและอนาคต ผมยังต้องเจอกับอะไรอีกมาก ยังต้องเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา และผมจะเปลี่ยนตัวเองด้วย เปลี่ยนเป็นคนใหม่ คนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่สนใจร้านผับร้านบาร์อีกแล้ว เพราะผมยังมีคนที่ต้องแคร์อีกคนหนึ่ง คนนี้สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต คนๆนั้นคือแม่ของผม

ตอนนี้ผมกำลังเล่นสนุกมามากเกินไปแล้ว...




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ศึกชิงนางยังไม่มา
เอาศึกปะทะอารมณ์และความรู้สึกไปก่อน

ขอโทษที่หายไปเป็นอาทิตย์นะคะ
ขออภัยด้วยจริงๆ เรื่องนี้จบแน่นอนค่ะ

มาแจ้งข่าว แว่นดุจะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ด้วยนะคะ
เย้เย้เย้ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกคอมเม้นมากเลยจริงๆ

รักทุกคนค่าาาา



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตัดให้หมดนะ

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 เย้ ได้ตีพิมพ์ด้วย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจกับไรท์ด้วย ได้ตีพิมพ์แล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:

กัส ก็ได้คุยแบบเปิดใจกับทีแล้ว
ที ที่สะใจกับการแกล้งกัส
เมื่อได้รับรู้ว่ากัสไม่ได้คิดเหมือนตัวเอง
ก็ดูจะไม่ยินดีที่กัสรู้ความจริง ออกจะเสียใจด้วยซ้ำ
ก็คิดเอง อิจฉาเอง ต่างฝ่ายต่างก็มีเพื่อนคนเดียว
ที มาถูกกัสตัดเพื่อนซะเอง ก็สมน้ำหน้านะ
ทำตัวเองชัดๆ เพราะตัณหา อิจฉาแท้ๆ
ตอนนี้ก็ตัวคนเดียวเหมือนกันกับกัสแล้ว

พี่ซิน ก็ลึกลับจริงๆอย่างกัสคิดนะ
เซน วางหมากผิด ถูกที ตระหลบหลังผิดแผน
แม้จะรักกัส แต่กัสทั้งโกรธทั้งไม่ไว้ใจไปแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หวังว่าคงจะตัดขาดนะ,,,

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับบ้านไปหาแม่เร็ว ๆ เลย พอเปิดเทอมใหม่ จะได้เป็นคนใหม่ที่แข็งแรงทั้งกายและใจ  :กอด1:

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 11
โกหกเพื่อห่างเธอ






หลังจากที่เดินออกมาได้สักพักพร้อมกับแวะเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะกลับไปยังหอของตัวเอง เมื่อเดินไปยังโซนอาหารแช่แข็งสายตาของผมดันเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง ซึ่งคนๆนั้นคือเซน แล้วไอ้แว่นมันมาทำอะไรแถวนี้กันละ



ผมหยุดชะงักไปเมื่อพบกับคนที่ไม่อยากจะเจอหน้าสักเท่าไหร่ จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินอย่างเร่งรีบออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เพิ่งจะเข้าไปได้ไม่ถึงสองนาที จนคนที่ประจำหน้าเคาน์เตอร์หันมองผมกับแทบจะเป็นตาเดียวเพราะความเร่งรีบออกจากร้านของผม




แต่ผมไม่ได้ใส่ใจและตัดสินใจมุ่งหน้ากลับหอของตนเอง ซึ่งเดินอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงหอของตนเองแล้ว ภายในใจคาดหวังเอาไว้ว่า เซนน่าจะยังไม่เห็นผมที่ร้านสะดวกซื้อหรอก แต่มันเป็นเพียงแค่ความคาดหวังเท่านั้น




“พี่กัส!”



เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมชะงักเท้าแทบจะทันที น้ำเสียงที่เอ่ยชื่อของผมแบบนั้นไม่ใช่เสียงของใครเลย นอกจากคนที่ผมเพิ่งเจอในร้านสะดวกซื้อเมื่อสักครู่ และตอนนี้เซนรู้แล้วว่าผมเดินหนีออกมาจากร้านนั่นถึงได้ตามมาเร็วขนาดนี้




แล้วจำเป็นจะต้องใส่ใจมันด้วยหรือไง




ผมเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมและค้นหาคีย์การ์ดซึ่งเอาไว้เปิดประตูก่อนเข้าหอซึ่งมันอยู่ในกระเป๋า ทว่ากลับหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที และดูเหมือนว่าไอ้คนที่เรียกชื่อผมทางด้านหลังมันกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว




หมับ!


“ปล่อย” เสียงที่เอ่ยออกมาจากปากผมไม่ดังมากนักเพราะไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจในตอนนี้สักเท่าไหร่







เนื่องจากตอนนี้ยังมีนักศึกษาอยู่ไม่น้อยที่ยังคงเดินพลุกพล่านผ่านหอไปมา บางคนไม่ได้ใส่ใจพวกผมเท่าไหร่นัก แต่บางคนกลับหันมามองด้วยสายตางุนงง คงจะคิดว่าผมกับไอ้แว่นนี่กำลังมีเรื่องกันแน่ๆ



และถึงแม้ว่าจะพูดเตือนออกไปแล้วก็ตามที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายมันไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด มือที่คว้าจับช่วงแขนของผมก็ยังคงจับอยู่แบบนั้นไม่มีปล่อย



“พี่คุยกับผมก่อนได้ไหม ผมอยากคุยกับพี่ให้รู้เรื่อง”

“ไม่คุย เอามือออกไป”




แขนของผมอีกข้างยกขึ้นมางัดแงะมือที่เหนียวซะยิ่งกว่ากาวตราช้างเพื่อให้หลุดออกมาจากช่วงแขนของตัวเอง โดยที่อีกฝ่ายยังคงจับเอาไว้อยู่อย่างเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกมาง่ายๆ




“ต้องให้ผมทำยังไง พี่ถึงจะยอมฟัง”

“ทำไมต้องฟัง ทีตอนกูพูดกับมึง แล้วมึงฟังกูบ้างไหม!”

“ผมไม่ชอบให้พี่พูดแทนตัวเองแบบนี้”

“ออกไปห่างๆ!”





ผลั่ก ตุบ



“อึ่ก!”


แรงจากศอกพุ่งกระแทกเข้าไปยังชายโครงของอีกฝ่าย เพื่อหวังจะให้มือที่ยืดจับหลุดออกจากช่วงแขน แต่ทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ใจคิด เนื่องจากผมกระแทกศอกออกไปแต่มันกลับไม่ได้โดนจุดที่คาดเอาไว้เพราะอีกฝ่ายเหมือนจะไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบไปทางด้านหลังแทน 




แต่ทว่าการเบี่ยงตัวหลบบนขั้นบันไดห้าขั้นแบบนั้นไม่ได้เป็นผลดีเลยสักนิด ผมได้ยินเสียงกระแทกพื้นอย่างแรงจากด้านหลัง จึงรีบหันหน้ากลับไปมองและพบว่าเซนกำลังนอนตะแคงอยู่บนพื้นปูนซีเมนต์ด้านล่าง



“พี่...”

“เซน!”



ไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป ผมรู้แค่ว่ากำลังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวผมเองที่เป็นต้นเหตุทำให้เซนพลัดตกลงไปนอนบนพื้นปูนแข็งๆข้างล่างนั่น



ทุกอย่างไวกว่าความคิด ผมพุ่งตัวเข้าไปหาและนั่งยองๆพลิกช่วงตัวของอีกฝ่ายขึ้นมาจัดท่านั่งดีๆ คนที่เดินผ่านไปมาบางคนก็ยืนมอง บางคนก็เดินผ่านไปอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจกับคนอื่นมากนัก ตอนนี้ผมกลัวว่าไอ้แว่นมันจะเป็นอะไรมากกว่า



“หลบทำไม ไอ้โง่!”

“พี่กัส...”

“ขยับขึ้นมานั่งตรงนี้ก่อน”

“พี่...”

“เงียบและนั่งเฉยๆ!”



ไอ้แว่นมันปิดปากเงียบแทบจะทันทีหลังจากที่โดนตะคอกใส่ จากนั้นผมจึงเอื้อมมือล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหมายจะกดโทรหาใครอีกคน



“พี่กัสจะโทรหาใคร”

“นั่งเฉยๆไปเถอะน่า”

“ถ้าจะโทรหาพี่ซิน ตอนนี้พี่ซินไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก เพราะพี่ผมไปออกงานกับพ่อที่กรุงเทพ”



มือที่กำลังกดโทรศัพท์ในมือพลันลดต่ำลง พร้อมกับหันหน้ากลับไปมองบุคคลที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บริเวณขั้นบันไดขั้นที่สอง และตอนนี้อีกฝ่ายมันกำลังมองมาทางผม



“น่ารำคาญ!”



ผมเอามือถือยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงดังเดิมและเดินเข้าไปหาไอ้แว่นอีกครั้ง หลังจากที่พูดตะคอกใส่ออกไปเมื่อครู่ ดูเหมือนไอ้แว่นมันจะทำหน้าสลดไม่น้อย ก็แหงล่ะ ผมเคยตะคอกใส่ใครแบบนี้บ่อยๆซะที่ไหน ล่าสุดก็ไอ้พวกแก๊งที่มันเข้ามาหาเรื่องพวกนั้น







สุดท้ายมันก็เป็นผมอีกตามเคยที่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดจากการกระทำวู่วามแบบไม่คิดของตัวเองแบบนี้ ผมพยุงไอ้แว่นเข้ามาข้างในห้องของตัวเองอย่างทุลักทุเลอย่างไม่มีทางเลือก ต้นเหตุมันก็เป็นเพราะผมเองแหล่ะที่เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายของมันก่อน



“นั่งตรงนี้ก่อน”

“แล้วพี่จะไปไหน”

“ไปเอายา”

“คือผม...”

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน ไม่ต้องพูดออกมา ไม่อยากฟัง!”


ผมหันหลังหนีทันทีและเดินไปยังตู้เสื้อผ้า โดยภายในนั้นมีกล่องยาเก็บอยู่ มันเป็นกล่องยาสามัญประจำบ้านทั่วไป ผมซื้อมาเก็บไว้อย่างนั้นเอง เพราะเผื่อเอาไว้ว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินกับตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ใช้อะไรมันมากนัก กล่องยาพวกนั้นจึงถูกเก็บเอาไว้ในตู้เหมือนกรุสมบัติที่ถ้าไม่พยายามหาดีๆก็คงจะหาไม่เจอ



“ขอดูเข่าหน่อย” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่หยิบกล่องยาและเดินมานั่งที่พื้นโดยให้เซนนั่งบนเก้าอี้บริเวณหน้าโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือและใช้ทำงานของผม


“มันปวดๆ สงสัยผมคงเผลอเอาเข่าลง” เซนพูดพร้อมกับขยับขามาทางผม


“โตขนาดนี้แล้วก็ยังปัญญาอ่อน ถ้ากลับไปตั้งแต่ที่โดนไล่ก็คงไม่เจ็บตัวแบบนี้หรอก”


“ถ้ากลับก็ไม่ได้คุยกับพี่กัสดิ ยอมเจ็บดีกว่าเป็นไหนๆ....โอ๊ย!”

“พูดมาก!”



เหตุผลที่ไอ้แว่นมันร้องลั่นเป็นเพราะผมเองนั่นละ เพราะรำคาญที่มันพูดไม่หยุดเลยใช้สำลีที่ผ่านการชุบแอลกอฮอล์สีฟ้าเข้มมีกลิ่นฉุนจิ้มเข้าไปที่แผลของมันอย่างหนักมือทันที



เห็นมันร้องและชักเข่าหนี ส่วนมือสองข้างก็เอื้อมมากุมเข่าตัวเองไว้แน่น มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันทั้งเจ็บทั้งแสบ ก็แผลสดๆแบบนั้นโดยน้ำยาล้างแผลเข้าไปก็คงจะกัดจนแสบไม่น้อย



เห็นแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดบาดแผลมันเป็นเพราะผมด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะผมที่เป็นต้นเหตุทั้งหมดก็ตาม



“พี่กัสทำเบาๆหน่อยดิ”



เซนพูดแต่ยังไม่ยอมขยับเข่ามาทางผมสักที เอาแต่นั่งหันข้างให้ส่วนมือทั้งสองข้างยังคงจับกุมบาดแผลเอาไว้เหมือนกลัวว่าผมจะเข้าไปทำร้ายแผลของมันแบบเมื่อครู่อีก



“อืม จะทำเบาๆ” หลังพูดเสร็จผมก็เอื้อมไปหยิบสำลีก้อนใหม่มาจุ่มแอลกอฮอล์เพื่อใช้ล้างบาดแผลที่หัวเข่าของคนตรงหน้าอีกครั้ง


“เรื่องเมื่อคืนที่คอนโด...”

“บอกไปแล้วนะ ว่าไม่อยากฟัง” ผมตัดบทสนทนาที่มันทำท่าจะใช้โอกาสในการพูด



“ขอโทษ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบเมื่อวานนี้เกิดขึ้นอีก ผมสัญญา” เซนพูดพร้อมกับเอื้อมมือลงมาจับข้อมือของผมให้หยุดการชำระล้างบาดแผล



ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหลังจากที่รับรู้ว่าถูกจับที่ข้อมือ ตาของผมและเซนสบมองกันและกัน ทำไมจะไม่รู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายกำลังจะสื่อสารและบ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่มันจริงจังและหนักแน่นแค่ไหน



แต่มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเพียงชั่ววูบหนึ่งภายในจิตใจของผมเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาภายในใจที่อยู่ลึกมากๆ ผมทำเพียงแค่รับรู้แต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ มันเป็นเพียงแค่คำพูดจากลมปากของคนที่เคยหลอกลวงให้ผมไว้ใจและทำร้ายอย่างไม่ใยดี





มันก็เป็นแค่คำพูดเท่านั้น เพราะคำพูดพวกนี้ผมไม่คิดจะเชื่ออะไรอยู่แล้ว อีกอย่างหากใจของเราเคยบาดเจ็บมาแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่จะจดจำว่าใครเคยทำอะไรไว้บ้างและพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเข้ามาทำร้ายในรูปแบบใหม่ เหมือนมีเกราะป้องกันด้านนอกหัวใจเพื่อไม่ให้คนเดิมๆเข้ามาทำร้ายซ้ำรอยบาดแผลเก่านั่นละ



“เรื่องเมื่อคืนผมโมโห และผมก็กลัว กลัวว่าพี่กัสจะไปชอบพี่ชายของผม” เซนยังคงพูดต่อถึงแม้จะหยุดพูดไปได้สักพักหลังจากที่ผมขยับข้อมือให้หลุดออกจากกันจับกุมและเอื้อมมือไปหยิบยาทาขวดสีเหลือง



“กลัวหรอ?” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักและขยับมือที่ถือสำลีชุบยาทาแผลไปทาบริเวณบาดแผลบริเวณหัวเขาของคนที่อยู่ตรงหน้า



“กลัว” ได้ยินเสียงของเซนตอบกลับมาแต่ในน้ำเสียงมันกลับบางเบาอย่างบอกไม่ถูก


“ไม่ต้องกลัวหรอก...” ยังไม่ทันได้ตอบกลับไปเต็มประโยคดีด้วยซ้ำ


“พี่กำลังจะหมายความว่า...” ดูเหมือนเซนจะรีบพูดสวนขึ้นมาก่อนพร้อมกับทำสีหน้ายิ้มๆเหมือนกำลังสบายใจ



“เพราะพี่ชอบ....พี่ซิน”





เพราะตัดสินใจแล้ว ผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะเลิกรู้สึกและเลิกยุ่งกับคนๆนี้ ไม่ว่าจะเข้ามาขอโทษหรือขอให้ผมอภัยอะไรให้ก็ตาม ความรู้สึกที่ผมได้รับพวกนั้นมันเจ็บเกินกว่าที่ผมจะกลับไปให้ความรู้สึกดีๆเหมือนเดิมกับคนกลุ่มนี้




ถ้าผมตัดสินใจว่าจะพอ มันก็มีแค่คำว่าพอ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่ซินอย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่ แต่อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้ผมจัดการกับความรู้สึกแปลกๆในใจของตัวเองได้ง่ายขึ้น



ถ้าอีกฝ่ายยอมแพ้และเดินถอยออกไปทำให้เกิดช่องว่างหรือระยะห่างของกันและกันมากขึ้น ยิ่งนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดีกับใจของผม




เพราะอย่างน้อยผมจะได้มีเวลารักษาบาดแผลข้างในจิตใจนั้นบ้าง มันทั้งเจ็บและแสบมามากเกินพอแล้ว ผมไม่อยากให้มันกลายเป็นบาดแผลที่เหวอะหวะไปมากกว่านี้อีกแล้ว




“พี่หมายความว่ายังไง” เสียงสั่นๆของอีกคนพูดขึ้นในขณะที่ผมยังคงทำแผลให้เหมือนคนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดที่เปล่งออกมาเมื่อครู่สักนิด ถึงแม้ว่าภายในใจมันกำลังว้าวุ่นอยู่ไม่น้อยเลยก็ตามที



“ก็อย่างที่บอก พี่ชอบพี่ซิน”

“โกหก!” เสียงเข้มของเซนพูดขึ้นพร้อมกับชักเข่าหนีในขณะที่ผมกำลังเอาผ้าปิดบาดแผล

“ขยับขามา ยังทำไม่เสร็จ”



“ไม่! ผมรู้ว่าพี่กำลังโกหก ผมไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรทำไมพี่ถึงโกหกแบบนี้ แต่ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออก ว่าพีกำลังโกหก!” อีกฝ่ายยังคงพูดเสียงดังเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงของมันกลับสั่นผิดปกติ จนทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง




“พี่โกหก! บอกผมสิว่าพี่โกหก! พี่ไม่ได้ชอบพี่ซินอย่างที่พูดออกมาเมื่อกี้ใช่ไหม”



ผมรับรู้ได้ว่าไอ้แว่นมันกระสับกระส่ายไม่น้อย เหมือนกำลังต้องการคำตอบที่ตัวเองถูกใจไม่ใช่คำตอบที่ผมบอกออกไปเมื่อก่อนหน้านี้ ผมรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร ผมรู้ดี แต่ผมเลือกแล้ว ถึงแม้ว่าคำตอบที่เซนต้องการมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆก็ตาม




“ต่อให้ถามอีกกี่ครั้ง คำตอบก็จะเหมือนเดิม.....เพราะพี่ชอบพี่ซิน”



หลังจากที่ตอบออกไปและยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นด้วยใบหน้าเรียบเฉยของผม มันคงทำให้อีกฝ่ายหลงเชื่อไม่น้อย ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เนื่องจากท่าทีและท่าทางที่ผมแสดงออกไปมันไม่มีทีท่าส่อแววไปทางโกหกเลยแม้แต่นิด



มันดีแล้วไม่ใช่หรือไง





ผมหันหน้าไปหยิบผ้าปิดแผลที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้งหวังจะเอื้อมไปปิดแผลให้กับคนตรงหน้าใหม่ เพราะในตอนแรกเซนขยับขาออกไม่ยอมให้ผมทำง่ายๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหยุดอาการขัดขืนและอยู่นิ่งปล่อยให้ผมทำแล้ว



“ไม่ต้องแล้วละ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า”



มือของผมหยุดชะงักทันที เมื่อเซนหยิบเอาผ้าปิดแผลที่ผมถือก่อนหน้าไปไว้ในมือของตัวเองและก้มหน้าทำแผลตัวเองจนเสร็จ แน่นอนว่าผมรู้สึกหน่วงในใจไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการออกมามากนัก ได้แต่เก็บความรู้สึกต่างๆเอาไว้ในใจ



ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีมันสับสนไปหมดว่าสิ่งที่ผมทำไปมันถูกแล้วจริงๆใช่หรือเปล่าหรือว่าผมกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่กันแน่


“พี่ชอบ...ชอบพี่ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”



ในขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นยืนเพื่อเอากล่องยาไปเก็บเอาไว้ในตู้ดังเดิม เซนก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผมหันหน้ากลับไปมองแต่เซนกลับไม่ได้มองผมเลยแม้แต่น้อย เอาแต่มองไปออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่



“....ก็ ...ก็สักพักแล้ว”

“หึ”

“อะไร”

“เปล่า ก็แค่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

“....” ผมเลิกให้ความสนใจและเดินเอากล่องยาไปเก็บยังตู้เสื้อผ้า แต่เซนก็ยังคงพูดต่อ


“ผมเคยถามพี่ไปแล้วว่ามีคนที่ชอบหรือยัง ตอนนั้นพี่ตอบผมว่ายังไม่มีคนที่ชอบ ถึงคำตอบของพี่จะทำให้ผมรู้เจ็บปวดแต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด รู้ไหมว่าเพราะอะไร”



ผมหันหน้าไปยังต้นเสียงที่กำลังพูดอยู่กับผม ตอนนี้อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองที่ผมแล้ว มองแบบที่เคยมองผมมาตลอด อีกอย่างสิ่งที่เซนเคยถาม ผมจำมันได้ดี เพราะตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับใครเลยจริงๆ ถึงแม้จะมีความรู้สึกแปลกๆกับเซนนิดหน่อยก็ตาม แต่มันยังไม่ชัดเจนถึงขนาดนี้



“ไม่รู้”

“เพราะอย่างน้อย ถ้าพี่ไม่ได้ชอบผม พี่ก็ไม่ได้ชอบใครเหมือนกัน”

“...”

“ผมรู้ว่าพี่ดูคนออก พี่ดูออกว่าผมชอบพี่”

“ใช่ ดูออก” ผมยอมรับ

“...”

“แต่ตอนนี้พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่...นาย” 



เพราะผมเลือกที่จะตัดเชือกที่มันกำลังพันกันอย่างยุ่งเหยิงตรงหน้า ตัดสินใจตัดให้มันขาดๆไปเพราะไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขให้มันกลายเป็นเชือกเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าพยายามจะแก้มันสักเท่าไหร่มันก็คงจะไม่มีทางแก้ให้มันกลับมาเป็นเชือกเส้นยาวเหมือนเดิมได้อีกแล้ว



เชือกเส้นนั้นมันเลยขาดสะบั้นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไงละ





“เห็นผมเป็นหุ่นยนต์ไม่มีหัวใจหรือไง ตอกย้ำอยู่ได้” เซนพูดพร้อมกับยิ้มจางๆบนใบหน้า ใช้ศอกแขนเท้าค้ำไปยังโต๊ะเขียนหนังสือข้างลำตัว วางคางไว้ที่ฝ่ามือและมองออกไปที่นอกหน้าต่าง




“จะกลับเมื่อไหร่” เป็นผมเองที่เป็นฝ่ายชวนคุยต่อ


“พรุ่งนี้”

“ไม่ได้”

“ขอนอนด้วยคืนนึง”

“น่ารำคาญ”

“แปลว่าตกลง”



ผมหันไปมองหน้าของไอ้แว่นด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนหน้านี้มันยังทำหน้าหงอยอยู่เลย ยอมรับว่าตอนแรกเกือบจะใจอ่อนกับมันไปแล้ว แต่โชคดีที่ผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ถึงได้ไม่ใจอ่อนกับมันง่ายๆ



เห็นว่าบาดเจ็บที่เข่าหรอก และแผลถลอกก็ค่อนข้างกว้างด้วย ขยับเขยื้อนตัวแต่ละที เห็นเจ้าตัวมันทำหน้าเหยเกอยู่หลายครั้ง ก็คงเป็นเพราะตึงและแสบที่แผลนั่นแหล่ะ เพราะเหตุผลนี้ผมเลยอนุญาตให้มันพักที่หอของผมเป็นเวลาหนึ่งคืน ส่วนเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่อีกที







17.00 น.

เวลาตอนนี้เข้าช่วงเย็นแล้ว ผมเดินออกมานอกหอคนเดียวพร้อมกับกำเงินห้าร้อยที่ได้มาจากไอ้แว่น ตอนแรกก็ว่าจะไม่เอาแต่เพราะมันคะยั้นคะยอให้รับเงินมันไปให้ได้ และสุดท้ายผมก็กำเงินของมันมาซื้อของกินอย่างที่เห็น




ช่วงยามเย็นแบบนี้คนพลุกพล่านเยอะเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักศึกษาที่ยังไม่กลับบ้านกัน แม้จะเข้าสู่ช่วงปิดเทอมแล้วก็ตาม ส่วนบางคนที่เดินอยู่ก็เป็นพนักงานที่ทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมบ้าง บางคนก็เป็นพนักงานออฟฟิศบ้างประปรายไปตามท้องถนน





บนถนนที่ผมเดินด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็นร้านค้าที่มาตั้งขายอาหารมากมายเต็มไปหมด ทั้งอาหารคาวหวาน อาหารสด หรือแม้แต่ปิ้งย่างก็มีจนเลือกซื้อไม่ถูก




ผมเดินมาเรื่อยๆและเข้าไปยังร้านประจำที่ผมมักจะเข้าไปซื้อร้านป้าคนนี้อยู่บ่อยๆ อาหารร้านป้าอร่อยมากสำหรับผม เพราะรสชาติที่ป้าปรุงแต่งมีรสคล้ายกับที่แม่ของผมปรุงให้กิน




โดยอาหารที่ป้าเอามาวางขายจะมีไม่ซ้ำกันแต่ละวัน มีอาหารอยู่ห้าหกอย่างเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆร้อนๆอยู่ในถาดขนาดสีเหลี่ยมผืนผ้าเป็นสแตนเลส และมีข้าวร้อนๆตักใส่ถุงรอเอาไว้อยู่แถวๆถาด



“ป้าครับ ผมเอาผัดบวบแล้วก็ต้มจืด ข้าวสองถุงครับ”

“วันนี้กินจุจังลูก สองถุงเลยหรอ”

“อ...เอ่อ”

“หรือว่าซื้อไปกินกับแฟนจ๊ะ โตป่านนี้แล้วก็ไม่แปลกที่จะมีแฟน”



ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มส่งๆไป พอได้ของที่ต้องการก็ส่งเงินให้กับป้าและรับเงินทอนพร้อมกับเดินออกมา และตรงไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อของใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย







ภายในหอพัก

“กินไปสิ นั่งมองทำไม” ผมเงยหน้ามองไอ้แว่นที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งตอนนี้มันนั่งมองจานข้าวตรงหน้าพร้อมกับมองอาหารสองอย่างที่อยู่ในจานเงียบๆ


“ถามจริงๆเถอะ ตั้งแต่พี่มาเรียนที่นี่เคยทำกับข้าวกินเองบ้างเปล่า”

“ไม่”

“ให้ผมสอนให้ไหม”

“ไม่ต้อง”

“จริงสิ เดี๋ยวพี่ซินก็สอนพี่อยู่ดี”

“งี่เง่า จะกินไม่กิน ถ้าไม่ก็ส่งจานข้าวมา”


เพราะเริ่มรำคาญกับการพูดการจาที่ออกท่าทางประชดประชันของมันเต็มที ไม่เข้าใจว่าตัวผมเองจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปพร้อมกับไอ้หมอนี่ด้วยทำไม ถ้าเป็นตอนปกติผมจะนิ่งกว่านี้ และไม่แสดงอาการออกมามากขนาดนี้ด้วยซ้ำ



สุดท้ายแล้วเซนก็กิน ท่าทางจะหิวเพราะมันกินไวมาก ก็เหมาะสมกับรูปร่างของมันละนะ ตัวก็สูงและตัวใหญ่ขนาดนี้ถ้ากินน้อยมันออกจะแปลกไปหน่อย



“ไม่ต้องลุก นั่งอยู่นั่นแหล่ะ เดี๋ยวเก็บเอง”


หลังจากที่กินกันอิ่มผมเป็นฝ่าลุกขึ้นมาก่อนและเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อนำไปล้าง โดยไม่ให้เซนลุกขึ้นตามมา ดูจากท่านั่งแล้วคงจะขยับตัวยากหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่รอยถลอกที่เข่าแต่ดูเหมือนจะล้มลงกระแทกพื้นค่อนข้างแรง


“ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าพี่เป็นห่วง” ผมหยุดชะงักเท้าที่กำลังเดินไปทางห้องน้ำทันที หลังจากได้ยินเสียงของอีกคนที่อยู่ข้างหลัง

“แล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน”

“ให้ความหวังนี่หว่า”

“อย่าลืมว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง ถ้ายังคิดเข้าข้างตัวเองได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

“....”



เสียงของคนด้านหลังเงียบไป ในขณะที่ผมเดินไปข้างหน้าต่อ พอเข้ามาในห้องน้ำก็ขยับตัวลงนั่งพร้อมกับก้มหน้าล้างจาน ภายในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า แต่มันก็จริงไม่ใช่หรือไง



คนเราทำผิดเอาไว้ยังมีหน้ามาพูดคุยให้เหมือนปกติธรรมดาได้อยู่หรือไง ยอมรับตรงๆว่าตัวเองก็แอบเผลอไปพูดคุยอย่างออกรสจนแทบจะปกติอยู่เหมือนกัน แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่ผมเผชิญมา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผมเจ็บปวดไปทั่วทั้งอก



ทางที่ดีอยู่ห่างๆเซนได้น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดในตอนนี้ ซึ่งต้องพยายามรักษาระยะห่างให้มันกว้างมากขึ้น อย่าไปทำตัวสนิทสนมเหมือนอย่างที่เคยเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกเด็ดขาด







:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปนานอีกแล้ว ขอโทษค่าา
หายไปอ่านหนังสือสอบ+สอบ+ทำงาน
เวลาที่เคยมีเลยค่อยๆหายไปทีละนิด

ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

หลังจากนี้ก็จะมีฉากชิงนางค่ะ
ตอนแรกว่าจะใส่ฉากแย่งกัสในตอนนี้
แต่ดูเหมือนเรื่องจะยืดไปหน่อย
นึกอยากใส่ซีนอารมณ์ให้ไอ้แว่นมันเจ็บจี๊ดบ้าง

รู้สึกหมั่นไส้โดยส่วนตัวค่ะ5555555

สุดท้ายนี้
ขอขอบคุณทุกคอมเม้นที่ให้กำลังใจ+วิเคราะห์เนื้อเรื่อง
ชอบอ่านมากเลยค่ะ ดีใจมากมีคนเข้าใจเรื่องที่ไรท์แต่งด้วย
เข้าใจในที่นี้หมายถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นให้กำลังใจนะคะ
ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน เพิ่งหัดแต่งไม่ถึง 3-4เดือนด้วยซ้ำ

เวิ่นเว้อมากไปแล้ว บ้ายบายค่ะ






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ถ้าจะตัดขาดก็ตัดขาดมันให้หมด คนใกล้ก็อย่าให้เหลือ 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด