#แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]  (อ่าน 27938 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าจะงอนกันได้ไม่นานล่ะม้างง  :katai3:  :katai3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ป้าด.... เราก็นึกว่ากลับบ้านไปให้แม่โอ๋เรียบร้อยแล้ว  ถ้าแว่นจะตามติดอย่างนี้จะกลับบ้านไงเนี้ย พรุ่งนี้โทรตามพี่ซินด่วนเลยนะ  :m16:

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
จะตัดได้รึป่าวนะ คงามสัมพันธ์

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
สิ่งที่กัสเจอมันหนักเกินไปจริงๆ แต่ไม่อยากให้กัสทำอะไรที่ประชดเลย เริ่ดๆเชิ่ดๆไปนะกัสนะ ทำให้พวกนั้นมันเสียใจ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กัส ไม่ฟังก็ไม่รู้น่ะสิ  :really2:
บางครั้งสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด

อยากให้กัสฟังเหตุผลของเซน
แล้วจะยังไงต่อไป ก็แล้วแต่กัส
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 12
สับสน






“จะทำอะไร”

“ไปอาบน้ำหรือว่าพี่จะอาบให้ผม”

“เป็นแผลใครเขาให้โดนน้ำ นั่งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะเช็ดตัวให้”

“...”



เซนไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมจึงลุกขึ้นและเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตียงมากนัก เนื่องจากภายในห้องที่ผมอาศัยอยู่ มันค่อนข้างเล็กแต่ไม่ถึงกับเล็กอะไรมากมายขนาดที่ว่าแทบไมมีทางเดินหรอกนะ เพราะภายในห้องของผมยังคงมีพื้นที่สำหรับใช้สอยทำกิจกรรมอื่นๆได้



แต่ถ้าหากเทียบกับคอนโดของเซนแล้วละก็ แบบนั้นเทียบกันไม่ติดเลยละ คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร ก็รายนั้นห้องใหญ่และดูหรูหรากว่าบ้านของผมซะอีก




อีกทั้งยังดูร่ำรวยเสียจนผมไม่กล้าแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ภายในคอนโดแห่งนั้นเลยแม้แต่นิด เพราะกลัวว่าผมจะไปทำเรื่องซุ่มซ่ามเป็นเหตุให้ข้าวของเครื่องใช้ของอีกฝ่ายพัง และยิ่งผมเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่มีเงินไปซื้อมาชดใช้หรอก







หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์สำหรับเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเห็นเซนกำลังนอนกดมือถือด้วยท่าทางสบายๆอยู่บนเตียงที่ผมเป็นเจ้าของ 




ยังไม่ทันได้พูดอะไรเซนก็เอ่ยทักขึ้นมา ในขณะที่ผมกำลังยกอ่างน้ำใบไม่เล็กไม่ใหญ่มากนักเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อนและเดินอย่างสบายๆ




“พี่กัสใจดีแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า”



คำถามของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องเบนสายตาขึ้นไปสบมอง แต่ดูเหมือนเซนจะไม่ได้สนใจมองผมสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางที่เซนแสดงออกมาก็ทำให้ผมแน่ใจได้ว่า เซนกำลังตั้งใจรอคำตอบจากผมไม่น้อย



“ไม่รู้สิ”

“นั่นคือคำตอบหรือไง”

“อืม”

“ถ้าพี่ซินขาเจ็บ พี่กัสจะดูแลแบบนี้ไหม”



คงไม่หรอก ....ใช่ ผมคงไม่ดูแลแบบนี้หรอก พี่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับผมสักหน่อย ถ้าจะให้ดูแลจริงๆ อย่างมากก็คงพาพี่เขาไปหาหมอหรือไม่ก็โทรหาคนที่รู้จักให้มารับตัวพี่เขาไปเพื่อทำการดูแลแทน




ในขณะที่ให้คำตอบซึ่งเป็นผมเพียงคนเดียวที่รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร เซนดูเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง




ผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจ และปล่อยให้มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ทั้งๆที่ผมเองรู้อยู่แก่ใจดี ว่าคำตอบของคำถามนี้คืออะไรกันแน่ ผมสลัดเอาความรู้สึกแปลกๆในหัวออกไป และหยิบผ้าในอ่างน้ำที่เตรียมมาเพื่อเช็ดตัวให้คนที่นอนอยู่บนเตียง




“ผมรู้ว่าพี่เกลียดผมไปแล้ว แต่ขออธิบายหน่อยได้ไหม พี่ไม่ยอมฟังที่ผมพยายามอธิบายเลย บางทีทั้งพี่และผม เราสองคนอาจจะกำลังเข้าใจผิดกันอยู่ก็ได้”



“เข้าใจผิดหรอ ทั้งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู สัมผัสได้จากการโดนกระทำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเข้าใจผิดไปเองคนเดียวอย่างนั้นหรอ ต้องโง่ขนาดไหนถึงจะเชื่อคำพวกนี้ได้กัน”



“ผมยอมรับว่าเป็นคนสั่งให้พี่ทีเป็นคนปล่อยรูปภาพพวกนั้น และผมก็ยอมรับว่าคลิปขู่พวกนั้นผมเป็นคนให้พี่ทีเก็บเอาไว้ ผมยอมรับว่าผมเป็นคนทำและจัดการเรื่องทุกอย่างทั้งหมด”



หลังจากที่ได้ยินคำสารภาพทั้งหมด ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองอยู่แล้วแท้ๆว่าทุกอย่างมันเป็นความคิดของเซน เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผม เซนเป็นคนบงการมันทั้งหมด



แต่ทำไมพอมาได้ยินคำสารภาพจากปากของเซนด้วยกันกับหูของตัวเอง มันกลับทำให้ผมรู้สึกไปไม่เป็นแบบนี้




ความรู้สึกต่างๆที่พยายามเก็บเอาไว้มันกำลังพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง เพราะคนๆนี้อีกแล้ว ผมยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนๆเดียวที่คิดทำร้าย แต่ทำไมกันละ ความผิดที่ผมเคยทำเอาไว้ให้กับคนสองคนนี้ มันร้ายแรงถึงขนาดที่ผมจะต้องได้รับผลของการกระทำขนาดนี้เลยหรือไง





“พอใจแล้วหรือยัง”




คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผม มันออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดลงมาจากหางตาเพียงข้างเดียว มันเป็นเพียงแค่น้ำตายหยดเดียวเท่านั้น ผมไม่ได้มีน้ำตาที่เอาไว้มานั่งเสียใจกับคนเดิมๆมากมายขนาดนั้น



“ผมไม่ได้ต้องการให้เรื่องของเราเป็นแบบนี้ และผมก็ไม่อยากหยุดที่คำว่าพอ”


“แต่พี่อยากพอ... เหนื่อยแล้วกับเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่คิดเลยจริงๆว่าการที่ไม่ได้เข้าไปช่วยนายตอนนั้นมันจะส่งผลให้ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ”



ใช่...ผมอยากพอ ไม่อยากรับรู้เรื่องของใครอีกแล้ว ตอนนี้ผมกำลังอยากพัก มันเหนื่อยไปหมด หลายวันมานี้มันหนักมากจริงๆสำหรับผม เหตุการณ์มากมายพลันเกิดขึ้นแทบทุกวัน จนผมรับมือแทบไม่ไหว





ยิ่งเมื่อวานก็ยิ่งเหมือนคนสติแตก ถ้าไม่ใจแข็งพอป่านนี้คงจะได้เป็นบ้านอนโรงพยาบาลไปแล้ว ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าเรื่องที่ผ่านเข้ามาในตลอดหลายวันมานี้อีกแล้วละนะ



เซนไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากนั่งเงียบไม่พูดไม่จาปล่อยให้ผมเช็ดตัวไปเรื่อยๆ



ผมขยับตัวลุกขึ้นยืนและเก็บผ้าลงอ่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนักยกเอาไปเก็บไว้ในห้องน้ำดังเดิม หลังจากที่เช็ดตัวให้อีกฝ่ายมาได้สักพัก พร้อมกับเดินออกมาและเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดปานกลางควานหาเสื้อที่คิดว่าขนาดใหญ่ที่สุดออกมากับกางเกงยางยืดสีเข้มส่งไปให้เซนที่กำลังนอนพิงหัวเตียงอยู่



“ใหญ่สุดเท่านี้ ใส่ไปก่อนก็แล้วกัน” ผมเหลือบมองไปทางเซนขณะที่กำลังพูดไปด้วย เห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือมาหยิบผ้าที่ผมเป็นคนส่งให้กับมือ


“พรุ่งนี้ก็กลับไปได้แล้ว”




ผมพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหันไปมองร่างสูงที่กำลังใส่เสื้อและกางเกงจนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นจึงเดินไปปิดไฟที่อยู่บริเวณหน้าประตูห้อง และเดินกลับเข้ามาด้านในอย่างคุ้นเคยสถานที่ภายในห้องเป็นอย่างดี





ถึงแม้ว่าห้องจะมืดขนาดไหนผมกลับคุ้นชินกับสภาพพื้นที่ในห้องเป็นอย่างดีและไม่มีผิดเพี้ยน ถ้าจะให้พูดอีกอย่างผมสามารถหลับตาเดินในห้องได้เลยละ



ทว่าผมกลับสัมผัสได้ว่าเซนเงียบผิดปกติ ตอนแรกยังพอมีความพยายามที่จะชวนผมพูดคุยอยู่บ้าง แต่หลังจากที่โดนผมตัดบทและพูดแทงใจไปหลายครั้ง จนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นใบ้ไปแล้ว




ไม่ได้รู้สึกดีหรือสะใจอะไรอย่างที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ผมอยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ผมเป็นบ้าง แต่กลับไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรแบบนั้นเลยสักนิด







ตอนนี้ผมขยับตัวลงไปนอนบนเตียงแล้ว หลังจากที่เดินไปปิดไฟและเดินกลับมายังเตียงได้ไม่นานนัก ส่วนเซนที่ล้มตัวลงนอนหลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเรียบร้อย ตอนนี้กลับเงียบไปเสียจนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ




“หลับแล้วหรอ” ผมเป็นคนทักขึ้นมาก่อน


“....ยัง”



หลังจากที่ได้ยินคำตอบของอีกคนที่นอนอยู่ข้างกาย ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ได้ยินเสียงของผมที่ถามไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับตอบกลับมาแล้ว




แต่กว่าจะตอบผมเกือบจะคิดไปแล้วว่าเซนคงจะหลับไปแล้ว ตอนนี้กลับเป็นผมเองที่กำลังเงียบท่ามกลางความมืดสลัว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรหรือจะต้องตอบอะไรกลับไป เพราะไม่รู้ผมจึงเงียบอย่างที่กำลังเป็นอยู่




ผมเลิกสนใจและข่มตาหลับเพื่อหนีความรู้สึกอึดอัดที่ลอยอยู่เต็มไปหมด ถ้าไม่รีบหลับในตอนนี้มีหวังพาลจะทำให้ประสาทเสียไปกันใหญ่




ทว่าผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเซนขยับตัวหันหน้ามาทางผม ซึ่งจากเดิมเซนหันหลังนอนตะแคงในตอนแรก ผมรีบหันหน้าไปมองเซนทันทีเพราะดูเหมือนเซนมีอะไรจะพูดกับผมซักอย่าง



“พี่....จะกลับบ้านวันไหน”

“ไม่แน่ใจ”

“ไม่แน่ใจหรือไม่อยากบอกกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง”




ผมไม่ได้โกหกแต่เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ทั้งรู้สึกไม่อยากบอกให้เซนรู้ ทั้งรู้สึกไม่แน่ใจด้วยว่าจะกลับวันไหน ถ้าให้ดีที่สุดผมอยากกลับเองคนเดียว ถึงแม้จะบอกและตกลงกับพี่ซินไปแล้วก็ตาม แต่ผมไม่อยากยุ่งกับใครโดยเฉพาะกลุ่มคนพวกนี้ ผมไม่อยากไว้ใจใครหน้าไหนอีกแล้ว



เซนพยักหน้าและหันหน้ากลับไป ซึ่งตอนนี้เซนกำลังมองไปที่เพดานห้องสีขาว



“ผมพลาดเอง...”

“พลาดอะไร”

“ผมพลาดที่ทำเรื่องแบบนี้ มันคงยากที่จะทำให้พี่เชื่ออีกครั้งว่าผมเป็นคนที่พี่ไว้ใจได้”

“อืม...มันคงยากจริงๆนั่นล่ะ” ผมไม่ได้โกหกแต่พูดออกไปตามความรู้สึก

“แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมจะทำให้พี่กลับมาเชื่อใจผมอีกครั้งให้ได้”



ผมไม่อยากให้เซนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวที่เหลืออยู่ต่อจากนี้สักเท่าไหร่ จะทำให้กลับมาเชื่อใจอีกครั้งหรอ มันยากมากเลยนะสำหรับสิ่งที่ผมสูญเสียไป มันยากที่ผมจะให้ความเชื่อใจพวกนี้กับคนเดิมๆอีกครั้ง



เพราะเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะทรมานมาแล้ว เพราะแบบนี้ผมถึงไม่อยากฝากเอาความรู้สึกพวกนี้ไว้กับคนแบบเดิมอีก



“....เคยได้ยินหรือเปล่าว่าความพยายามของคนเรา บางครั้งมันก็ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไหร่”




หมับ!



“จะทำอะไร! ลุกออกไป!”



ผมเบิกตาโตมองร่างสูงตรงหน้า กับการกระทำที่รวดเร็วนั้น ผมไม่สามารถที่จะหลบทันหรือแม้แต่จะคิดหนี ซึ่งตอนนี้เซนกำลังคร่อมทับผมอยู่ มือทั้งสองข้างของผมถูกกดตรึงเอาไว้กับเตียงนอนนุ่ม ไม่ว่าจะพยายามขัดขืนให้หลุดออกจากพันธนาการเท่าไหร่ เรี่ยวแรงที่ผมมีกลับสู้แรงของคนตรงหน้าไม่ได้สักนิด




สายตาของเซนที่จ้องมองลงมาที่ผม เราทั้งสองคนต่างสบตากันและกัน ผมมองเห็นทุกอย่างทุกการเคลื่อนไหว นัยน์ตาของเซนมันวูบไหวผิดแปลกไปจากแต่ก่อนมาก ผมไม่ได้โง่จนถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าแววตาแบบนั้นมันกำลังสื่อถึงอะไรอยู่ ผมรู้ว่าความหมายที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้นมันคืออะไร




เซนกำลังเสียใจ...




“ผมถามพี่จริงๆ พี่เคยรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกกับพี่บ้างไหม”

“ออกไป”

“ไม่ออก จนกว่าพี่จะตอบ”

“อยากรู้นักหรือไง อยากได้ยินมากใช่ไหม”

“ใช่ผมอยากรู้และก็อยากได้ยิน ผมจะได้ตัดสินใจสักที ว่าตัวเองควรจะอยู่ต่อหรือควรจะไปกันแน่”




เป็นผมเองที่กำลังเงียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้สึกแน่นและจุกไปทั่วทั้งอกมันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดขึ้นเพราะอะไร สาเหตุของอาการพวกนี้มันมาจากอะไรกันแน่




หรือว่าผมกำลังกลัว



ผมกำลังกลัวว่าตัวเองจะไม่เหลือใครอย่างนั้นหรอ ทั้งๆที่เป็นคนเลือกเองแท้ๆว่าต่อไปนี้จะไม่ต้องการใครอีกแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับอยากจะรั้งใครสักคนเอาไว้ให้อยู่ข้างกายแบบนี้ละ




“ว่าไง ตกลงว่าพี่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับผมบ้างไหม”


“เคย...”



ในขณะที่ผมตอบกลับไป เซนกลับผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า มันเป็นรอยยิ้มเล็กๆที่ผมเห็นผ่านความมืดสลัว เพราะคำตอบของผมที่เพิ่งพูดออกไป จริงอย่างที่ผมบอกออกไปนั่นแหล่ะ ผมเคยรู้สึกแบบนั้น



“แต่ตอนนี้ มันไม่มีแล้ว”



ผมโกหกทั้งๆที่ไม่อยากโกหก ทุกคำพูดที่พูดออกไปมันสวนทางกับใจทั้งหมด ใจที่กำลังเต้นอยากผิดแปลกตอนนี้มันไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดออกไปเลยสักนิดเดียว




“อย่างนั้นหรอ แค่เคยหรอกหรอ” เซนพยักหน้าเข้าใจ



ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปสักคำ ทำได้แต่เบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน ไม่กล้าแม้แต่จะสบมองไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่ายแม้สักนิด




แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังมองไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนสายตาของตัวเองอยู่นั้น อยู่ๆเซนก็ขยับใบหน้าโน้มลงเข้ามาใกล้จนผมตกใจร้องห้ามเสียงดังท่ามกลางเหตุการณ์ตรงหน้า




“จะทำบ้าอะไร!”

“จะบอกอะไรให้...”

“ออกไปห่างๆ”



ผมพยายามขืนตัวอีกครั้งแต่คราวนี้เหมือนแรงของคนด้านบนมันจะมีมากกว่าเก่าเสียอีก แล้วมันกำลังจะพูดบ้าอะไรของมันออกมา เมื่อครู่มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของผมเลยหรือไง จะหน้าด้านหน้าทนไปถึงไหน



“ตอนนี้ผมตัด...ใจได้แล้ว” เซนว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งคล้ายกระซิบ ก่อนจะผละตัวออกจากร่างกายของผมอย่างไม่รีบเร่งนัก



ผมมองเซนที่กำลังขยับตัวลงไปนอนบริเวณที่เดิมของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหยุดนิ่งไม่ขยับตัวอีกคล้ายว่ากำลังเริ่มต้นเข้าสู่ห้วงนิทรา โดยปล่อยให้ผมนอนงุนงงอยู่แบบนั้นคนเดียวเพียงลำพัง



ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมาต่อ หลังจากที่พูดประโยคที่ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงแปลกประหลาดภายในใจของผม



คำพูดที่บ่งบอกว่าตัดใจแล้ว ใบหน้าเรียบเฉยของเซนหลังจากที่พูดจบมันทำให้ผมรู้สึกติดตาอย่างบอกไม่ถูก แถมผมยังไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดพวกนี้ได้ ถ้อยคำสุดท้ายมันกำลังฉายซ้ำอยู่ภายในหัวของผมวนไปวนมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด




ตัดใจอย่างนั้นหรอ...







.
.
เช้าของอีกวัน เวลา 8.05 น.



ผมลืมตาตื่นในตอนเช้าของอีกวัน เนื่องจากแสงที่สาดส่องเข้ามาในห้อง มันกำลังทำลายล้างการนอนหลับพักผ่อนของผม สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเพดานห้องสีขาวสะอาดตาที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วห้องก็พบกับตัวการที่ทำให้ผมตื่น





มันคือผ้าม่านที่เปิดอ้ารับแสงแดดในยามเช้าของวันนี้ แต่ทำไมมันถึงได้เปิดเอาไว้แบบนี้กันละ ปกติผมมักจะปิดเอาไว้จนเป็นเรื่องเคยชิน





อา...จริงด้วยสิ ผมไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ เมื่อคืนผมนอนร่วมเตียงกับใครอีกคนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จะว่าก็ว่าเถอะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยอยากจะคุ้นเคยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นักก็ตาม


แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะผมดันเป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแบบนั้น




ทว่าพอนึกถึงคำพูดของเซนเมื่อคืนกลับทำให้ผมตื่นขึ้นมาเต็มตา ทั้งๆที่ตอนแรกกำลังงัวเงียคล้ายไม่อยากตื่นด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่าตัดใจคำนั้น หมายถึงตัดใจจากผมแล้วอย่างนั้นหรอ




คนเรามันจะตัดแล้วมันตัดได้ง่ายๆเลยหรือไง!



ว่าแต่...แล้วเซนไปไหนแล้วละ




ผมกวาดสายตามองไปทั่วห้องพบเพียงแต่ความว่างเปล่า เตียงนอนด้านข้างไม่มีใครนอนอยู่เหมือนอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา พลางใช้มือลูบคลำบนเตียงข้างกายไม่พบแม้แต่ไออุ่นจากคนเพิ่งตื่นและลุกไปไหนเลยสักนิด พบแต่เพียงความเย็นชืดคล้ายว่าลุกออกไปนานแล้ว




นี่ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ




ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ภายในหัวนึกถึงสิ่งที่คาดว่าจะเป็นไปได้ ระหว่างเซนกำลังเข้าห้องน้ำ กับอีกเหตุการณ์หนึ่งคือเซนกลับไปแล้ว




ซึ่งมันเป็นอย่างที่สอง เพราะประตูห้องน้ำเปิดอยู่และไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย นอกจากความมืดและว่างเปล่า และแถมยังมีเสื้อและกางเกงซึ่งมันเป็นของผมถูกพับและวางไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่บริเวณปลายเตียง




ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นมันทำให้แน่ใจแล้วว่า เซนไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว เพราะในห้องนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น



น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว อะไรคือความรู้สึกสบายใจ อะไรคือการปล่อยวาง อะไรคือการเดินหน้าต่อโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันกลับมลายหายไปหมดแทบไม่มีเหลือ



อึดอัด

กังวล

เปล่าเปลี่ยว




ผมกำลังนึกอยู่ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือว่าควรจะเสียใจกันแน่ที่เลือกทางนี้ เพราะว่าผมเคยชินกับมันมากเกินไป เคยชินกับการมีคนอยู่ข้างๆ เคยชินกับการที่มีคนที่ไว้ใจพร้อมจะพูดระบายได้ทุกอย่าง เพราะผมเคยชินกับมันมากเกินไปหน่อยละมั้ง ตอนนี้ผมเลยยังปรับตัวได้ไม่ดีสักเท่าไหร่





แล้วความรู้สึกพวกนี้ มันจะค่อยๆหายไปตามกาลเวลาหรือเปล่า




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ความหน่วงยังไม่หมด

อย่าเพิ่งนับศพไอ้แว่น

ตอนหน้ากลับบ้านค่ะ


ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 นังกัสสส แกจะปากแข็งไปมั้ย ฟหกกเาาดาสเ
ว่าแต่แกอึดอัด ฉันก็อึดอัดนะะ  :katai1:

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
กลับไปพักใจก่อนเหอะ,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับไปหาแม่เถอะกัส  แม่ดีกับเรามากกว่าใคร ๆ อยู่แล้ว  :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม้ไม่ชอบใจที่เซนวางแผนกับที
แต่ก็ไม่ชอบใจที่กัส ไม่ฟังเหตุผลที่เซนทำให้สุดๆ
ส่วนเซนมีโอกาสพูดแล้ว ทำไมไม่พูดไม่หมด    :fire: :fire: :fire:
     
กัส รู้ใจคัวเอง แต่ยังแถปากแข็งต่อไป
ก็จมกับความทุกข์ของแต่ละคนไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขอทวงความสุขให้กัสค่ะ หน่วงเกินไปแล้ว ความหมายของ ตัดใจได้แล้วอาจหมายถึงตัดสินใจได้แล้วเปล่า คิดได้แล้ว ง้อแบบไหนดี ไรงี้

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
สงสารกัส ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เรื่องตอนเด็กเข้าใจกัสนะ ก็กลัวเหมือนกัน แถมเรื่องนี้ก็ตามหลอนอีกหลายปี
ทุกคนเจ็บปวดไม่ต่างกัน สำหรับเซนคือจะโกรธก็เข้าใจ แต่ไม่ควรถึงขนาดแค้นไหม และไม่ควรให้คนอื่นมาช่วย
เจ็บสุดคือที ผิดหวังมาก ใครจะเลวใส่ยังไงก็ไม่เจ็บเท่าเพื่อนเลวใส่อ่ะ กัสรักทีมาก ทีคือแบบน่าผิดหวัง ความคิดต่ำตม
กัสสู้ๆ นะ เข้มแข็ง ทำเพื่อแม่ ถ้าจะให้โอกาสก็ให้คิดนานๆ คิดดีๆ สมกับที่เจ็บมาเยอะ #ทีมกัส เด้อ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 13
เริ่มต้นใหม่






ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆขาว ลมหนาวพัดผ่านร่างกายจนเสื้อปลิวไหวลู่ไปตามแรงลม ในขณะที่แสงแดดอ่อนๆไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกร้อนได้เหมือนอย่างทุกที




เนื่องจากในวันนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวเป็นวันแรก สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดแต่งแต้มไปด้วยจ้ำแดงตามจมูก ปากและแก้มขาว




“หนาวแล้วหรอเนี่ย”



เสียงบ่นอุบอิบที่หลุดออกมาจากปากสีชมพูเข้มแกมไปทางแดงเสียส่วนใหญ่ หลังจากเดินลงจากรถตู้ได้ไม่นานใบหน้าก็ปะทะเข้ากับลมเย็นเข้าอย่างจัง



ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วรอบตัว อันเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็กจนโต บริเวณที่กำลังยืนอยู่เคยเป็นทางที่ใช้วิ่งเล่นอยู่บ่อยครั้งในวัยเด็ก




ด้านข้างเป็นต้นมะม่วงที่คุณตาร้านขายของชำเป็นคนปลูกเอาไว้ แน่นอนว่าตอนเด็กเขาไม่พลาดที่จะแอบปีนรั้วและขโมยมะม่วงดิบมากิน น่าแปลกใจนักที่มะม่วงที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงแบบนี้มักจะอร่อยกว่ามะม่วงที่แม่เขาเป็นคนซื้อมาให้เป็นไหนๆ





.”กัสหรือเปล่าลูก”




เสียงของหญิงสาววัยหกสิบเอ่ยทักจากทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องรีบหันหน้ากลับไปมอง เสียงแบบนี้มันคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อหันหน้ากลับไปพร้อมสบตากับคุณป้าวัยหกสิบ รอยยิ้มแรกในวันนี้ของผมก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว



“ใช่ครับป้าทอง พอดีผมเพิ่งกลับมาเองครับ ปิดเทอมแล้วด้วย” พูดพร้อมกับหันกระเป๋าเป้ใบโตให้ดู



“โตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อ มีแฟนหรือยังล่ะ”

“ยังครับ”

“หลานป้ายังโสดอยู่นะลูก” ป้าทองพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหา

“น้องพลอยนะหรอครับ”


“ใช่จ้ะ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย นอนคุมโปงเพราะอากาศเย็นอยู่บนห้องโน่น” ป้าทองพูดพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนบ้านไม้สีเข้ม


“เป็นผมก็คงจะตื่นยากเหมือนกันครับ อากาศแบบนี้น่านอนมาก”



ป้าทองยิ้มรับพร้อมกับบอกให้รอเดี๋ยว ก่อนที่ตัวเองจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานป้าทองก็เดินออกมาพร้อมกับในมือที่ถือถุงกล้วยออกมาหลายหวี



“พอดีว่าป้าปลูกไว้แล้วกินไม่หมด ดูสิเล่นออกมาทั้งเครือแบบนี้ ป้าให้กัสเอาไปกินนะ เอาไปฝากแม่หนูด้วย ไว้ทำขนมขาย”



ป้าทองพูดพร้อมกับยื่นถุงกล้วยมาทางผม จะปฏิเสธก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย เพราะป้าอุตส่าห์เดินเข้าไปหยิบมาให้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผมเลยทำได้เพียงยิ้มและเอื้อมมือไปรับถุงกล้วยมาถือเอาไว้




“ขอบคุณนะครับป้าทอง ไว้ผมจะเอาขนมมาฝากนะครับ”

“ขอบใจนะจ้ะ”




หลังจากที่หอบหิ้วเอาถุงใบใหญ่ที่ใส่กล้วยไม่น้อยกว่าสามหวีเดินออกมาจากหน้าบ้านป้าทอง ตามทางเดินเป็นตลาดยามเช้าขนาดเล็กไม่ใหญ่มากนัก ข้างทางมีรถเข็นขายของกินมากมาย ทั้งข้าวแกง พืชผักต่างๆ เต็มสองข้างทางไปหมด



ซึ่งบ้านของผมอยู่ไมไกลเท่าไหร่นัก เพราะเดินไปอีกสองสามหลังก็ถึงแล้ว ตลอดทางเดินผมทักทายเหล่าคุณน้าคุณป้ามาตลอดทาง บ้างก็หยุดยืนคุยถามสารทุกสุกดิบ บ้างก็ทักทายเพียงแค่ผิวเผิน กว่าจะเดินไปถึงหน้าบ้านของตัวเองก็เล่นเอาเมื่อยแขนอยู่เหมือนกัน




เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งปกติเวลาเก้าโมงเช้าแบบนี้ หน้าบ้านของผมจะปิดและยังไม่เปิด แต่ทำไมกลับมีรถเข็นมาตั้งอยู่บ้าน เหมือนเตรียมขายของอย่างนั้นกันละ




ที่ผมสงสัยก็เพราะปกติแล้ว บ้านผมจะทำขนมขายแค่เพียงยามเย็นเท่านั้น ซึ่งจะเปิดขายขนมหวานประมาณสี่โมงเย็นของทุกๆวัน แต่วันนี้กลับมีเรื่องให้ผมรู้สึกประหลาดใจ




“แม่! ผมกลับมาแล้ว”



ผมตะโกนเรียกแม่เสียงไม่ดังมากนัก เพื่อให้คนข้างในช่วยเปิดประตูรับ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด ไม่ถึงนาที คนข้างในก็เปิดประตูต้อนรับผมเข้าบ้าน




แต่ทว่าบุคคลที่เดินออกมาเปิดประตูกลับไม่ใช่แม่ของผมเสียนี่ แต่กลับกลายเป็นเด็กผู้ชาย ไม่น่าเรียกเด็กแล้วละ ก็ถือว่าโตในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าดูจากใบหน้าและความสูงแล้ว คิดว่าน่าจะอยู่ประมาณม.ปลายได้




“นายเป็นใคร”




คำถามที่ต้องการคำตอบหลุดออกมาจากปากของผม หลังจากที่สำรวจใบหน้าและความสูงภายนอกอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ใบหน้าเล็กกว่าผมนิดหน่อย ผมสีดำขลับ สีผิวขาวเหลืองคล้ายกับผม ดวงตาคมโต ส่วนความสูงไม่ได้แตกต่างอะไรกับผมมากนัก แต่ค่อนไปทางสูงกว่าผมนิดหน่อย




“ยืนนิ่งทำไม ถามนายอยู่นะ” ผมจ้องเด็กตรงหน้าเขม็งอย่างไม่ละสายตา




บ้านของผมมีแค่ผมและแม่ที่อยู่เท่านั้น ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต ทั้งผมและแม่ก็อาศัยอยู่ด้วยกันแค่สองคนมาโดยตลอดเกือบสิบปี แล้วทำไมวันนี้จู่ๆถึงได้มีเด็กแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วย แถมยังใส่เสื้อผ้าของผมอีกต่างหาก





จะบอกว่าหวงก็พูดตามตรงว่าหวง ก็เล่นมาใส่เสื้อผ้าของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ใครจะไปรู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันละ




“คือผม...ผมชื่อ”



ในขณะที่เด็กตรงหน้ากำลังตอบด้วยคำพูดและน้ำเสียงอ้ำอึ้ง ซ้ำยังตอบอย่างตะกุกตะกัก พาลจะทำให้รู้สึกรำคาญ เสียงของหญิงวัยห้าสิบก็เอ่ยทักขึ้นมาจากด้านใน ทำให้ผมเลิกสนใจเด็กที่อยู่ตรงหน้าไปเสียสนิท




“ใหม่ไงลูก ใหม่ลูกป้านี จำไม่ได้หรือไงกัส”




แม่ของผมเป็นคนพูดแนะนำเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผม ชื่อใหม่หรอ จะบอกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว มันก็พอจำได้แหล่ะว่ามีเด็กที่ชื่อใหม่อยู่บนโลก แต่จำหน้าและจำเหตุการณ์ที่เคยรู้จักกันตอนเด็กไม่ได้เลยสักนิด



“จำไม่ได้” พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆออกไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก




เพราะนิสัยที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างที่จะแก้ไขให้เหมือนคนปกติทั่วไปยากหน่อย นิสัยที่มันนึกอะไรก็พูดอย่างตรงๆแบบนี้ของผม บางครั้งมันไม่ได้ดีเสมอไปเท่าไหร่นักหรอก




บางคนอาจจะชอบอะไรตรงๆไม่อ้อมค้อม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนไปเสียหมด อย่างที่บอกไปก็เป็นเพียงแค่บางคนเท่านั้น การที่พูดออกไปแบบนี้ เด็กคนนั้นหน้าซีดไปไม่น้อยเลยทีเดียว แม่ของผมก็เช่นกัน



“แต่....แต่ผมจำพี่ได้นะ ตอนเด็กๆพี่กับผมเคยเล่นด้วยกัน”



ผมเห็นความพยายามแม้เพียงจะเล็กน้อยของเด็กตรงหน้าที่จะทำลายเกราะป้องกันบางอย่างที่ผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ผมเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่อยากหยุดที่ความสัมพันธ์เฉยชาแบบนี้ ผมรู้เพราะสัมผัสมันได้



“ข้างนอกอากาศเย็น ขอเข้าไปข้างในก่อนแล้วกัน”


“ลูกเอาของไปเก็บในห้องก่อน พอออกมาแล้วเราสามคนมานั่งคุยกันสักสิบนาที”



แม่ของผมเป็นคนพูดขึ้น คล้ายจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างที่ผมยังไม่รู้ และเป็นเรื่องที่ผมจะต้องรู้เสียด้วย และเรื่องพวกนี้คงไม่พ้นเจ้าเด็กชื่อใหม่คนนี้แน่ๆ







ภายในห้องครัวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแสนอึมครึมจนรู้สึกอึดอัด



“มีเรื่องอะไรที่แม่ยังไม่ได้บอกกับผมหรือเปล่า”



เป็นผมเองที่เริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก หลังจากที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่ใช้สำหรับทานข้าวมาได้เกือบห้านาทีแล้ว แต่กลับยังไม่มีใครเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ทั้งที่คนที่ควรจะเริ่มพูดคนแรกควรที่จะเป็นแม่ของผมแท้ๆ



“มีสิ แม่ว่าจะบอกลูกตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว แต่เห็นว่าลูกกำลังตั้งใจอ่านหนังสือสอบ แม่เลยไม่อยากรบกวนอะไรลูกมากนัก กลัวจะเอาไปคิดรวมกับเรื่องเรียนให้พาลเครียดไปกันใหญ่”




ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนเลยหรอ มันเรื่องอะไรกันแน่ละ แล้วมันเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขนาดที่แม่ไม่กล้าบอกกับผมถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ




“แล้วเรื่องที่แม่จะบอกคือเรื่องอะไร”


“เรื่องที่น้องใหม่จะเข้ามาอยู่กับเราด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นคนในครอบครัวของเราอีกคนหนึ่ง”



หลังจากที่แม่พูดจบประโยค สายตาของผมหันกลับไปมองยังเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามทันที หมายความว่ายังไง เป็นคนในครอบครัวอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรอ มันไม่ตลกไปหน่อยหรือไง



“แม่ล้อเล่นแรงไปแล้ว น้องมันจะมาอยู่แค่เดือนสองเดือนผมไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าตลอดไปน่ะ...ผมว่า..”


“อย่าพูดแบบนี้นะกัส ไม่คิดว่าน้องจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไง นี่ขนาดต่อหน้าน้องทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา”



“ผมรู้แค่ว่า ผมเป็นลูกแม่คนเดียว ผมเกิดมาคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ผมรู้แค่นี้ แต่ถ้าจู่ๆวันหนึ่งแม่มาบอกผมว่าผมมีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนแบบนี้ แม่คิดว่าผมจะไม่รู้สึกบ้างหรือไง”



ตอนนี้มันมีแต่ความสับสนเต็มไปหมด ใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารไม่รู้ว่าผมกำลังสงสารใครหรืออาจจะกำลังสงสารตัวเองอยู่กันแน่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่เรื่องมากมายให้รู้สึกเครียด แค่คิดว่ากลับมาบ้านและพักผ่อนใจบ้างกลับต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้อีก



จะต้องรับมือในรูปแบบไหนอีก พอได้แล้วมั้ง



“พี่กัสไม่ต้องรับผมเป็นน้องก็ได้ เพราะผมรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง ถ้าเป็นผมก็คงจะสับสนไม่แพ้กันนักหรอกครับ”



หลังจากที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจุดระเบิดขึ้นมาก่อน เป็นเด็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่เริ่มพูดและออกเสียงแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว



“กัส...แม่อยากให้หนูเปิดใจ ฟังแม่นะ เรื่องนี้แม่ไม่อยากพูดบ่อยๆนักหรอกแต่แม่จำเป็นที่จะต้องพูด เหตุผลที่น้องมาอยู่กับเราเพราะป้านีเขาเสียแล้ว น้องใหม่ก็เหมือนกัสนะลูก น้องใหม่ไม่มีพ่อ มีแค่แม่เท่านั้น เพราะแบบนี้แม่ถึงให้ใหม่มาอยู่กับเราไง”



ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะตกใจกับเรื่องที่แม่พูดไม่น้อย ทันทีที่แม่พูดจบผมรีบเบนสายตาหันกลับไปมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทบจะทันที และในขณะนี้เด็กนั่นกำลังนั่งก้มหน้าอยู่




เพราะแบบนี้อย่างนั้นเองหรอ แล้วที่ผมพูดออกไปก่อนหน้านี้ละ น้องต้องเสียใจมากแน่ๆ การพูดแบบไม่คิดและเอาแต่คิดไปเองคนเดียวแบบนี้ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นมาตามหลัง มันคือแบบนี้เองใช่หรือเปล่า



และเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ไอ้ทีมันรู้สึก



“ป้าครับ เหมือนน้ำมันจะเดือดแล้ว ให้ผมยกลงเลยไหมครับ”

“ลืมไปสนิทเลย ยกลงได้เลยจ้ะ”


กลายเป็นว่าตอนนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่ทั้งแม่และใหม่กำลังเตรียมขนมเพื่อออกไปขาย ไม่รู้ว่าผมไม่มีเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นใบ้ไปแล้ว



“กัสจะนั่งอยู่เฉยๆทำไม ช่วยน้องยกหม้อไปตั้งหน้าร้านได้แล้ว”



เสียงเรียกของแม่ทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด ตอนแรกคิดว่าจะโดนโกรธเสียแล้ว แต่ทั้งสองกลับทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป



ทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายที่ผิดเองแท้ๆ ทั้งแม่และใหม่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น




ในขณะที่ผมกำลังช่วยใหม่ยก พอเอาหม้อมาวางหน้าร้านเรียบร้อย เป็นผมเองที่เริ่มพูดคุยขึ้นมาก่อน



“มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”

“ประมาณสองอาทิตย์ครับ”

“ขอโทษที่พูดไปแบบนั้นนะ คือพี่...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะผมที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่กับแม่เกือบทะเลาะกัน แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมมาอยู่ไม่นานหรอกครับ ถ้าเรียนจบม.ปลาย ผมว่าจะออกไปหางานทำแล้วละ”



ผมยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ หลังจากได้ยินความคิดของเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กคนนี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียดายและความเสียใจที่ส่งผ่านออกมาจากแววตาคู่นั้น เป็นผมเองที่กลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิด การพูดโดยไม่คิดของผมกำลังทำให้เด็กคนหนึ่งรู้สึกผิดและอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้







19.20 น.

วันนี้ทั้งวันผมช่วยแม่ขายขนมตั้งแต่เช้า ซึ่งขายขนมหมดประมาณเกือบเที่ยง ได้พักกินข้าวกันไม่ถึงชั่วโมง ก็เริ่มเตรียมของสำหรับทำขนมในช่วงเย็นอีกครั้ง บ้านของผมประกอบกิจการทำขนมหวานมานานเกือบสามสิบปีแล้ว และแถมยังมีลูกค้าประจำหลายรายที่มักจะมาซื้อกันไม่ต่ำกว่าสิบถุงเพื่อนำไปขายต่อ




แม่กับพ่อของผมเป็นคนตั้งร้านขายขนมแห่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด สูตรที่เอามาทำขนมก็มาจากพ่อทั้งหมด พ่อของผมเป็นคนทำขนมอร่อยและยังเป็นคนสอนให้แม่ของผมทำขนมต่างๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นแม่ของผมที่เป็นฝ่ายทำเองแทบทั้งหมดเพราะพ่อของเริ่มล้มป่วยด้วยโรคร้าย




พ่อไม่สามารถที่จะช่วยแม่ขายของได้ ตอนนั้นทั้งผมและแม่ต่างก็ช่วยกันขายขนมแบบนี้ทั้งเช้าและเย็น แต่เงินค่ารักษาก็ไม่พอที่จะเอาไปรักษาพ่อให้หายป่วยได้ จนเวลาผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นพ่อของผมก็จากไป



ผมเข้าใจความรู้สึกดีเลยล่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกของใหม่ ที่ผมนิ่งเงียบไปเพราะผมรู้ว่าใหม่รู้สึกแบบไหน มันไมได้แตกต่างอะไรจากผมนักหรอก เผลอๆจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะใหม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว นอกจากตัวคนเดียว



ผมมารู้ทีหลังอีกว่าใหม่เป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งมาก มักจะไปแข่งขันตอบปัญหาต่างๆได้รางวัลเป็นเงินกลับมาเสมอ ยิ่งมาเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก



 ผมไม่อยากให้เด็กที่กำลังมีอนาคตอย่างใหม่ ต้องมาจบลงด้วยการไม่ศึกษาต่อแบบนี้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมเรียกใหม่ให้เข้ามาหาในห้องนอน




ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ขอเข้าไปนะครับ”

“เข้ามาได้เลย”



ใหม่เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่กำลังถือสมุดเรียนเข้ามาด้วย ผมมองไปที่สมุดเล่มนั้นด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจว่าใหม่จะเอามันมาด้วยทำไม



“ถือสมุดมาด้วยทำไม”


“พี่กัสเก่งวิทยาศาสตร์ใช่ไหม ผมถามป้าว่าพี่เรียนคณะอะไร แล้วป้าบอกว่าพี่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ผมเลยเอาสมุดมาด้วย”


ผมลอบมองเด็กชายตรงหน้าที่กอดสมุดไว้ในอกแน่นพร้อมกับพูดเจื้อยแจ้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีติดขัดเหมือนเมื่อตอนกลางวัน คงจะผ่อนคลายมากขึ้นเพราะผมเป็นฝ่ายเริ่มคุยด้วยก่อน



“ไม่เก่งขนาดนั้นหรอก นั่งตรงนี้สิ จะให้พี่สอนใช่ไหม”


“ผมรบกวนพี่หรือเปล่า เห็นพี่เรียกผมมา จะคุยอะไรหรือเปล่าครับ”



“ไหนๆก็ถามแล้ว ใหม่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแล้วนะ บ้านหลังนี้ก็บ้านของใหม่เหมือนกัน ดีซะอีกอยู่ช่วยแม่พี่ตอนพี่ไม่อยู่ รู้ไหมพี่รู้สึกเบาใจไปตั้งเยอะ”



“จริงหรอครับ”



จู่ๆก็รู้สึกอยากตีปากตัวเอง พูดอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่มันรู้สึกแปลกๆแฮะ ไม่เข้าใจว่าพูดออกมาได้ยังไงเหมือนกัน และไอ้ท่าทางที่เด็กนี่มันแสดงออกมานั่นอีก



ใหม่มันจะทำหน้าดีใจอะไรขนาดนั้นกันวะ ก็แค่ให้อยู่บ้านแค่นั้นไม่ใช่หรือไง ผมรีบสลัดเอาความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกให้หมดและเริ่มตั้งสติใหม่อีกครั้ง


 
“จะโกหกทำไม”


“ผมดูคนไม่ผิดจริงๆ ถึงพี่จะเย็นชาและพูดตรงแบบไม่แคร์ใครหน้าไหนไปหน่อยก็เถอะ”

“เดี๋ยวนะ นี่ด่าอยู่หรอ”

“เปล่านะพี่ ผมแค่บอกให้ฟังเฉยๆ”


ใหม่พูดพร้อมกับยิ้มตาหยีจนผมถึงกับต้องหันหน้าหนีไปทางอื่นแทบจะทันที ยิ้มให้น้องมันตอนนี้ไม่ได้ ต้องเก็กขรึมไว้ก่อนเดี๋ยวมันจะเหลิง



“แล้วใหม่นอนห้องไหน ที่นี่มีแค่ห้องพี่กับห้องแม่ ตั้งแต่เข้ามาในนี้ยังไม่เห็นที่นอนของใหม่เลย นอกจากที่นอนของพี่”




ผมพูดพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เผื่อจะเห็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มที่แตกต่างไปจากของผมสักผืนสองผืน พับเรียงกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้



แต่ไม่ว่าจะกวาดสายตามองไปรอบๆยังไงกลับไม่พบสิ่งที่กำลังหาเลยสักชิ้น จนใหม่เป็นฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมาแทน จนผมหยุดมองหาและหันหน้ากลับไปมองยังต้นเสียง



“ผมนอนห้องข้างๆพี่กัสนั่นแหล่ะ”

“ห้องข้างๆ?”

“ใช่ครับ”

“นั่นมันห้องเก็บของไม่ใช่หรือไง!”



ผมตกใจทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ ว่าห้องที่อยู่ติดกับห้องของผมมันเป็นห้องเก็บของที่ผมมักจะเอาพวกหนังสือที่เรียนตั้งแต่ประถมเข้าไปเก็บเอาไว้ ไหนจะพวกถ้วยรางวัลต่างๆรวมไปถึงใบประกาศนียบัตรที่ผมเคยประกวดมาตลอดตั้งแต่เด็กนั่นอีก



ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเข้าไปในห้องเก็บของเมื่อปีก่อน มันเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่มากมาย จนไม่อยากจะเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง



แต่นี่ห้องเก็บของที่ผมกำลังพูดถึงมันกลับกลายเป็นห้องนอนของเด็กที่อยู่ตรงหน้าไปเสียได้ จะว่าไปเตียงผมก็กว้างพอที่จะให้อีกคนนอนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ



ผมมันเป็นโรคประหลาดที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายในห้องมากนัก ถ้ามันไม่จำเป็นหรือเราสนิทกันและไว้ใจกันแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ ให้ใหม่ไปนอนในห้องเก็บของแบบนั้น มันออกจะดูไร้มารยาทเกินไป



“ย้ายมานอนห้องพี่”

“แต่มันไม่ได้รกอะไรขนาดนั้นเลยนะครับ และอีกอย่าง...”

“อีกอย่าง อะไร”


“ผมรู้ว่าพี่กัสชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่าจะให้ใครมานอนร่วมด้วย และผมก็ทำความสะอาดหมดแล้ว ตอนนี้สะอาดจนกลายเป็นห้องสวยๆที่นึงเลยนะ ไม่เชื่อพี่กัสลองไปดูได้”



ผมฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กตรงหน้าที่พูดไปด้วยทำท่าทางไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วกลับรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก และไหนจะยังมารู้นิสัยส่วนตัวของผมอีก



“รู้ได้ไง”

“ครับ”

“รู้ได้ไงว่าพี่ชอบความเป็นส่วนตัว เอ่อคล้ายๆไม่ชอบความวุ่นวาย”

“ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วผมจำได้ พี่เป็นคนพูดตรงๆและเหมือนจะเข้ากับคนยาก”


“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ถ้าจะให้พูดอีกอย่างพี่เป็นเปิดใจยากมากกว่า และยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะเปิดใจรับใครเข้ามาสักเท่าไหร่”



ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจู่ๆดันพูดเรื่องของตัวเองออกไปทำไม ทั้งๆที่เป็นพวกเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเองแท้ แต่ตอนนี้ผมกลับเลือกที่จะปล่อยมันออกมาผ่านคำพูด คล้ายจะให้ในอกเบาบางลงบ้าง หลายวันมานี้มันหนักมามากเกินพอแล้ว



“ผมไม่รู้ว่าพี่เจออะไรมา แต่ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร เล่าให้ผมฟังได้นะ ผมรับฟังได้เสมอ”

“เป็นแค่เด็กอย่าอวดเก่ง”

“ผมไม่ได้อวดเก่งสักหน่อย”

“พี่เจอเรื่องมาเยอะ และเรื่องราวต่างๆพวกนั้นมันสอนพี่ได้หลายอย่างเลยละ และมันก็สอนให้เข้มแข็งขึ้นด้วย บางครั้งการที่เราเป็นเรามากจนเกินไปและไม่ยอมรับสิ่งใหม่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนี่มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ เพราะบางทีการที่เราเป็นเราอาจทำให้คนรอบข้างที่ดีกับเรารู้สึกเกลียดเราก็ได้”



จะว่าไปก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ได้พูดความรู้สึกออกไปบ้าง อย่างน้อยได้พูดความรู้สึกมันอัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาสักนิดก็ยังดี นี่ผมกำลังเริ่มปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่หรือเปล่านะ



“ถ้าพี่จะคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ละก็ ผมไม่อยากให้พี่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปจนหลงลืมตัวตนเดิมที่พี่เคยเป็น ในความคิดของผมนะ ผมอยากให้พี่เก็บความเป็นพี่เอาไว้ เพราะอย่างน้อยมันก็คือตัวพี่”



มันจริงอย่างที่ใหม่บอก ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็จริง แต่ถ้าหากพยายามเปลี่ยนตัวเองทั้งหมดแบบนั้นความเป็นผมจากที่มีอยู่มันจะไม่หลงเหลืออยู่เลย



การที่ได้เปิดใจพูดและรับฟังความคิดเห็นจากใครสักคนมันดีแบบนี้เองสินะ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ปิดกั้นอีกแล้ว



“ขอบใจที่บอกนะ”

“พี่แตกต่างจากคนอื่นที่ผมเคยรู้จัก ผมคิดว่าความแตกต่างมันเป็นเสน่ห์ของพี่”



จากเดิมที่ผมมองไปที่ใหม่ แต่หลังจากที่ใหม่พูดคำนั้นออกมามันทำให้ต้องรีบเบนสายตาหนีแทบจะทันที ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่กล้าสบตาไปตรงๆแบบนั้น



คำพูดและท่าทางที่ใหม่แสดงออกมาส่งผ่านมายังผม มันกำลังทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมมักจะนึกถึงใครอีกคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าไหร่นัก




เมื่อวานเป็นวันที่รู้สึกกระวนกระวายที่สุด เพราะผมถูกทิ้งให้จมอยู่กับความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจ ผมพยายามจะเข้าใจคำพูดที่คนๆนั้นได้บอกกับผมก่อนไปและทุกครั้งที่ผมพยายามจะเข้าใจมันผมกลับรู้สึกปวดไปที่อกข้างซ้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ




คนเรามันตัดใจได้ง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง เพิ่งพูดว่าชอบกันแท้ๆ แค่ยังไม่พ้นหนึ่งวันดีเลยด้วยซ้ำ กลับพูดว่าตัดใจเสียดื้อๆ แล้วแบบนี้ใครจะไปเชื่อง่ายๆกันล่ะ






:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์
ตอนนี้ว่างแต่งแล้ว และจะว่างเรื่อยๆค่ะ
ช่วงที่หายไปมีเรื่องให้เสียใจและเหนื่อยกับงาน
ขอโทษด้วยนะคะ

ตอนนี้จะเรื่อยๆหน่อย ตอนหน้าพระเอกจะมาแล้วค่ะ












ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนรอบๆตัวกัส ก็บอกความเป็นตัวตนของกัสเช่นกัน

ใหม่ เด็กหนุ่มวัยใส ที่เข้ามาในชีวิตกัส
ดูแล้วน่าจะทำให้กัสได้คิด
ทั้งยังช่วยเบาแรงแม่กัสเต็มๆ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอน้องใหม่โตแล้วเชียร์ให้พี่กัส  :-[

มโนแลนด์  :laugh:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ได้มองเห็นตัวเองในอดีตในตัวใหม่ คงทำให้กัสคิดอะไรได้มากมันก็ดีนะ เป็นการปรับปรุงตัวเองด้วย  :กอด1:

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาแล้วๆ  :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
กัสสู้ๆ กินเด็กก็ดีนะจ้ะ อายุยืนนนนน

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ใหมาดูจะโตกว่ากัสอีก,,,

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กัสใหม่ จงเจริญญญ~

#เรือนี้จะไม่ล่ม !!!

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอๆๆๆๆๆๆ   :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kachettt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
    • Twitter
แว่นดุ 14
ตาม




แสงแดดแรงๆสาดส่องเข้ามายังห้องสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ใครคนหนึ่งที่นอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีเทาผืนหนา จำต้องขยับกระชับผืนผ้าห่มที่จากเดิมคลุมแค่เพียงอกให้ขยับขึ้นมาคลุมยังใบหน้าเพื่อหลบหนีแสงแดดที่กำลังสาดแสงเมาภายในห้องยามเช้า




แต่การมุดผ้าห่มเพื่อหลบแสงแดดผ่านไปได้แค่เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครอีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู แต่กลับไม่มีการเคาะประตูห้องให้รู้สึกรำคาญใจ มีเพียงแค่เสียเรียกชื่อลอดผ่านประตูเข้ามาเท่านั้น



ใจหนึ่งก็ไม่อยากตื่นเท่าไหร่นักหรอก แต่พอให้ขยับชายผ้าห่มผืนหนาลงมากองอยู่ที่อกดังเดิมและได้ลองลืมเปลือกตาขึ้นมาก็ทำให้ตาสว่างแทบจะทันที



เพราะแสงแดดยามเช้าที่มันแรงเสียยิ่งกว่าอะไร และไหนจะเป็นนาฬิกาที่ผนังบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้มันสายมากแล้ว ทำให้ต้องรีบดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแทบจะในทันที



สองเท้ารีบก้าวเร่งๆไปยังประตูห้องพร้อมกับสภาพที่เพิ่งตื่นและไม่น่าพิสมัย มือขาวซีดเอื้อมเปิดลูกบิดประตูที่ถูกล็อคเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนในยามที่ต้องการความสงบ บัดนี้มันถูกปลดล็อคด้วยความรวดเร็วแทบจะเร็วยิ่งกว่าแสงด้วยซ้ำ



“ไงพี่ ทำไมตื่นสายจัง”



คำทักทายแรกของเช้าวันนี้เป็นของไอ้เด็กที่ชื่อใหม่ ถึงแม้มันจะตัวสูงกว่าผมไม่มากเท่าไหร่นัก แต่พอมายืนใกล้กันแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองดูหดเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมผมถึงคิดแบบนี้นะหรอ ก็มันเล่นก้มหน้าลงมามองผมจากหน้าประตูนะสิ



ผมกวาดสายตาขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังสะพายกระเป๋าเป้รูปร่างหน้าตาคุ้นๆเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พร้อมกับแต่งกายชุดนักเรียนมัธยมสวมเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ยืนมองผมยิ้มๆ




“เมื่อคืนนอนไม่หลับ” ผมตอบกลับไปส่งๆ และทำท่าจะเดินผ่านออกมา

“ทำไมนอนไม่หลับ พี่คิดอะไรอยู่หรอ”



ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านออกมาได้เกินสองก้าว ช่วงแขนกลับถูกมือของใหม่ยึดจับเอาไว้อย่างหลวมๆ มือของใหม่อุ่นมากเมื่อเทียบกับตัวของผม ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนที่อุ่นเพราะเพิ่งดีดตัวขึ้นมาจากผ้าห่มแท้ๆ




ผมหันหน้ากลับไปเผชิญกับเด็กที่ชื่อใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นและชี้ไปที่นาฬิกาบนผนังในห้องของตนเอง เพื่อบอกเวลาให้ใหม่รับรู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ใหม่หันหน้ามองไปตามมือของผมแทบจะทันที แต่กลับทำท่าทางไม่เข้าใจส่งกลับมา




แต่ใหม่มันทำหน้าไม่เข้าใจแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลับจากที่โดนผมกวาดสายตามองชุดนักเรียนของอีกฝ่าย เหมือนตอนนี้มันเพิ่งจะนึกขึ้นได้มาดื้อๆ




“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมเข้าสายเป็นประจำอยู่แล้ว”

“เป็นประจำหรอ เท่าที่ดูก็เหมือนเด็กขยันเรียนนี่หว่าที่แท้ก็เป็นเด็กเกเรหรือไง”




ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกไม่ชอบใจ ถ้าเด็กนี่มันเกเรอย่างที่คิดจริงๆ แสดงว่าเมื่อคืนมันแกล้งทำเป็นเด็กขยันเรียนขอให้ผมสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อมาตีซี้กับผมแน่ๆ




“ผมเปล่านะพี่ ที่ผมไปเรียนสายเป็นเรื่องปกติ เพราะผมช่วยป้าทำขนมต่างหาก ครูยกให้ผมเป็นกรณีพิเศษและให้ไปโรงเรียนสายได้ ผมไม่ได้เป็นเด็กเกเรอย่างที่พี่คิดสักหน่อย”




หลังจากที่ฟังคำอธิบายจากเด็กที่ยืนกำสายกระเป๋าอยู่หน้าประตูห้อง ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาแทบจะทันที ไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่อยากให้ใหม่เป็นเด็กเกเร อยากให้ใหม่เติบโตขึ้นไปเป็นคนดีไม่อยากให้เหมือนเด็กแถวๆนี้ที่วันๆเอาแต่แต่งรถและขับแข่งกัน




“ก็ดีแล้ว ไปโรงเรียนได้แล้วไป นี่มันแปดโมงจะครึ่งแล้วนะ”

“ครับๆ ผมกำลังไปพอดี เห็นพี่ยังไม่ตื่นเลยมาเรียกก่อน”




ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกกระดากอายตัวเองชะมัดที่นอนหลับแทบจะเป็นศพอยู่บนเตียง โดยที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างนอกเลยแม้แต่นิดเดียว มันคงเป็นเพราะความเคยชินที่ผมอยู่หอเลยเก็บมันกลับมาใช้ตอนอยู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ผมไม่ควรเอานิสัยตื่นสายพวกนั้นมาใช้ที่นี่




แม่ของผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนมหวานให้เสร็จก่อนแปดโมง นี่คือเรื่องที่ผมรับรู้เมื่อคืน เนื่องจากแม่เป็นคนบอกผมเอง และผมก็เป็นคนรับปากว่าจะตื่นขึ้นมาช่วยแม่ในตอนเช้า แต่วันนี้ในตอนที่แม่ของผมกำลังทำขนมอยู่กลับกลายเป็นผมซะเองที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่บนเตียงนอนในห้อง




“พรุ่งนี้ปลุกพี่แต่เช้าด้วย” ผมรีบพูดก่อนที่ใหม่จะเดินออกไป

“ผมเรียกพี่ที่หน้าห้องตั้งแต่ตีห้าแล้ว แต่พี่ไม่ตื่น จะเข้าไปข้างในห้องพี่ก็ไม่ได้ ผมควรจะปลุกพี่ยังไง”



ว่าไงนะ นี่ใหม่มันปลุกตั้งแต่ตีห้าแล้วหรอ ผมนึกว่ามันเพิ่งมาเรียกตอนแปดโมงเช้าด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่ไม่ยอมตื่นและไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกที่ตะโกนผ่านเข้ามาในห้องเลยแม้แต่นิด



“หรือว่าพี่จะให้ผมนอนด้วย ก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะได้ปลุกพี่ได้ไง”

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

“ถ้างั้นพี่ก็อย่าล็อคห้องสิ ผมเข้าไปปลุกไม่ได้นะ”

“ไม่ล็อค พรุ่งนี้เช้าปลุกด้วย”



เป็นผมเองที่รีบเดินหนีออกมา จำได้ว่าประโยคสุดท้ายที่ผมพูดออกไปใหม่มันยิ้มออกมาแปลกๆจนผมต้องเป็นฝ่ายเดินหนีออกมาก่อน



ผมแยกเดินออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปในครัว พร้อมกับสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันหรือแม้แต่หวีผมหลังตื่นนอนก็ยังไม่ได้แตะสักนิด



เสื้อผ้าที่สวมก็ยังคงเป็นชุดนอนลายตารางสีน้ำเงินที่สวมใส่หลังอาบน้ำเมื่อคืน โดยรวมแล้วสภาพผมก็แค่คนเพิ่งลุกจากเตียงนั่นละ



“แม่มีไรให้ช่วยไหม”



คำถามแรกที่ผมเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาได้ไม่นานและพบกับหญิงวัยกลางคนที่กำลังตามหาก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับผู้เป็นแม่ผมก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ขอช่วยงานอะไรสักนิดสักหน่อย



เพราะผมกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองดันไม่ยอมตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาช่วยแม่ทำขนม ทั้งๆที่เมื่อคืนก็รับปากกับแม่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆ แต่ดันผิดสัญญาที่ให้ไว้เพราะผมมันไม่ยอมตื่น



“ยกหม้อไปตั้งหน้าร้าน ใหม่เค้าจัดหน้าร้านเอาไว้แล้ว”

“ใหม่ตื่นมาช่วยแม่ตั้งแต่เช้าเลยหรอ”

“ใช่ เจ้าใหม่ตื่นก่อนแม่ซะอีก ตอนแม่ลงมาเห็นใหม่กำลังต้มน้ำเตรียมทำขนมเลย”

“น้องมันช่วยแม่แบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่า”

“ก็ตั้งแต่วันแรกที่ใหม่ย้ายมาอยู่ที่นี่นั่นแหล่ะ นี่กัสลูกอย่าไปใจร้ายกับน้องมากเลยนะ ใหม่เป็นเด็กดี ขยันขันแข็งช่วยแม่แทบจะทุกอย่าง ต่อไปก็คงจะทำขนมแทนแม่ได้แล้วละ”



ผมยืนมองแม่เล่าเรื่องของใหม่ ตั้งแต่ที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทั้งเรื่องก่อนที่ใหม่จะเสียแม่ที่เหลือเพียงคนเดียวที่เป็นครอบครัวไป จวบจนเรื่องราวที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่



ในตอนที่แม่ของผมเล่าเรื่องของใหม่ ผมสัมผัสได้ว่าแม่เอ็นดูเด็กคนนี้มากไม่น้อยไปกว่าผมเลยด้วยซ้ำ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยิ้มตามไปพร้อมกับการฟังแม่เล่าเรื่องของใหม่



จะว่าไป...ใหม่มันก็น่ารักดีเหมือนกันนะ











.
.
เสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่บริเวณหน้าร้านมันทำให้ผมรู้สึกรำคาญไม่น้อยเลย บอกตามตรงว่าไม่ค่อยชอบการขายของและเรียกลูกค้าสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะไม่ต้องเรียกเพราะลูกค้าเจ้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่จะเข้าออกร้านผมไม่ขาดก็ตาม




แต่ไอ้การที่จะต้องพูดขอบคุณ และถามถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการนี่มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทบระเบิด มันไม่ใช่แนวผมเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะเคยขายของแบบนี้กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม ผมก็ยังไม่เคยชินกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิด



กลับกัน ผมยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานพวกนี้มากกว่าเดิมขึ้นไปเสียอีก ลูกค้าบางคนก็ช่างเหลือเกิน ขนมกะทิที่ถูกบรรจุเอาไว้ในถุงเรียบร้อยแล้ว และป้ายก็บอกอยู่ปาวๆว่ามันคือบัวลอย แต่ก็ยังหยิบจับถุงขึ้นมาเขย่าดู ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันต้องการหาอะไรในถุง ทั้งๆที่ในถุงมันก็มีแต่เม็ดบัวลอย



และที่มันน่าเจ็บใจที่สุดคือเขย่าดูแล้วมันก็ไม่ซื้อถุงที่มันเขย่าเสียด้วยนะ แต่ดันไปหยิบถุงอื่น จากที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาตักขนมช่วยแม่อยู่ข้างๆ มองมือของชายคนหนึ่งที่กำลังเขย่าถุงบัวลอยอยู่นานนม ผมไม่เห็นหน้ามันหรอกเพราะแม่ยืนบังอยู่



ผมนั่งอยู่ด้านหลังของแม่และกำลังตักขนมใส่ถุงจัดเอาไว้ในถาด เพื่อเตรียมเอาไว้ไปเติมที่หน้าร้านถ้าหากขนมชนิดไหนขายดีและหมดไปก่อน แม่ผมก็เหลือเกินไม่เตือนลูกค้าบ้างเลย เอาแต่ยิ้มขายของไปเรื่อย ทั้งๆที่ลูกค้าคนนั้นมันกำลังก่อกวนอยู่แท้ๆ




จนในที่สุดเส้นความอดทนของผมก็ขาดผึง ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและยกถาดขนมที่ตักและมัดเตรียมเอาไว้ พร้อมกับเดินไปยืนอยู่ข้างๆแม่



อยากจะเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ชะมัด ลูกค้าที่มันเอาแต่มองบัวลอยในถุงและเขย่าหาญาติฝ่ายไหนของมันก็ไม่รู้อยู่ได้ แน่นอนว่าผมต้องการเห็นหน้ามัน และจะขอด่ามันหน่อยเถอะ



แต่หลังจากที่ผมเห็นผมกลับต้องชะงักแทบจะทันที เมื่ออีกฝ่ายมันเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มหน้ามองขนมที่กำลังถือเอาไว้ในมืออยู่หนึ่งถุง 



“เซน...”




ผมเรียกชื่อไม่ผิดหรอก มันคือเซนจริงๆ และที่ผมไม่เรียกไอ้แว่นก็เพราะมันไม่ได้ใส่แว่นอย่างที่ผมมักจะเรียกมันแบบนั้นเสมอ แต่นี่มันคือเซนที่ผมรู้จักในร้านเหล้า เซนที่ผมรู้จักในคืนๆนั้น ผมจำใบหน้าแบบนี้ได้ดี ใบหน้าที่ไม่ได้สวมแว่นหนาเตอะอย่างที่ผมเคยเห็นมาตลอดหลายอาทิตย์



แล้วทำไมเซนถึงมายืนเลือกขนมหน้าร้านของผมได้ ใจหนึ่งมันก็แอบหลงดีใจไม่น้อย เพราะกำลังแอบคิดว่ามันกำลังตามผมมา แต่อีกใจมันก็ดันสับสนอย่างบอกไม่ถูกพาลจะทำให้ปั่นป่วน



แน่นอนว่าผมตกใจไม่น้อย แถมยังก้าวเท้าถอยหลังอย่างที่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ผมเบนสายตาไปทางแม่ซึ่งแม่ก็กำลังหันหน้ามองมาที่ผมสลับกับมองไปที่เซนไปมาอย่างสงสัยใคร่รู้



“กัสรู้จักลูกค้าคนนี้ด้วยหรอลูก”



คำถามของแม่ที่เอ่ยทักขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถ้าจะโกหกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโกหกออกไป เพราะผมรู้จักกับเซนจริงๆ อีกทั้งยังเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัวนั่นอีก



เซนไม่ได้มองผมนานเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากที่ผมถอยหลังออกมา เซนก็หันกลับไปก้มหน้ามองขนมต่อ แน่นอนว่าผมแอบเจ็บใจไม่น้อย เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกในใจลึกๆว่าตัวเองกำลังถูกเมินอย่างซึ่งๆหน้า



เป็นผมเองที่ก้าวเท้าเดินกลับเข้าไปยังที่เดิม พร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะอย่างแรงต่อหน้ามัน ผมยังไม่ได้ตอบคำถามของแม่ที่เพิ่งจะถามเมื่อครู่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจที่กำลังถูกคนตรงหน้าตีหน้าเรียบนิ่งใส่อย่างไร้อารมณ์



“กัส เบาๆหน่อยสิ” แม่พูดเสียงดุ

“ขอโทษครับ”

“ว่ายังไงรู้จักกันหรอจ๊ะ”

“รู้จักครับ/ไม่รู้จักครับ”


คำพูดที่เปล่งออกมาว่าไม่รู้จักมันหลุดออกมาจากปากของผมเอง ถึงแม้ว่าตอนแรกผมจะบอกแม่อยู่แล้วเชียวว่ารู้จักไอ้หมอนี่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว สู้ทำเป็นไม่รู้จักเสียยังดีกว่า



“ตกลงยังไงกัน รู้จักหรือว่าไม่รู้จักกันแน่ แม่งงไปหมดแล้ว”



โชคดีที่ร้านของผมตอนนี้ลูกค้าท่านอื่นยังไม่มีใครเดินเข้ามาซื้อของ จะมีก็แค่เซนเท่านั้นที่เป็นลูกค้าของร้านผมตอนนี้ แน่นอนว่าหลังจากที่ผมพูดว่าไม่รู้จักออกไป เป็นเซนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆและมองมาที่ผมแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยิน



มันช่วยไม่ได้ ใครมันใช้ให้โผล่มาตอนนี้กันละ และแถมมันยังมีชนักติดหลังอยู่ด้วย ใครจะไปยกโทษให้ง่ายๆ ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะโกรธนิดๆหน่อยๆแล้วก็หายซะเมื่อไหร่



“ผมไม่รู้จัก”

“แต่เมื่อกี้พี่เรียกชื่อผม ก็เท่ากับว่าพี่รู้จัก อย่าทำเป็นจำไม่ได้ไปหน่อยเลย ผมกับพี่สนิทกันจะตายไป”

“ใครสนิทด้วยวะ อย่ามาพูดมั่วๆ จะไปไหนก็ไปเลยไป ร้านนี้ไม่ต้อนรับ”

“หยุดเลยนะกัส พูดแบบนี้ได้ยังไง”

“แต่แม่”

“หยุดเลยนะ”



ผมนิ่งเงียบทันทีหลังจากที่แม่เริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ใครว่าแม่ผมใจดี บอกเลยว่าความจริงแล้วไม่ได้ใจดีอย่างที่คิดหรอก ถ้าแม่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อไหร่ เท่ากับว่าผมต้องรีบเบรกตัวเองทันที



ผมเคยโดนแม่โกรธจนไม่พูดและคุยด้วยเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นผมแทบเป็นบ้าเพราะอยู่บ้านก็อยู่กับแม่แค่สองคน เกือบคิดไปแล้วว่าแม่จะไม่คุยด้วยไปตลอดชีวิต โชคดีที่แม่หายโกรธ และตั้งแต่คราวนั้น ผมก็ไม่กล้ามีปัญหากับแม่อีกเลย



และครั้งนี้ก็ดูเหมือนแม่จะเริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน ต้นเหตุก็คือผม เพราะผมทำกิริยาไม่สมควรออกไป จนทำให้แม่ต้องเตือนแบบนี้ แต่ใครมันจะไปทนไหว ท่าทางของเซนมันออกจะกวนประสาทขนาดนั้น เป็นใครก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนผมนั่นละ



“ว่ายังไง สรุปรู้จักกันใช่ไหม”

“ครับ ผมรู้จักกับพี่กัส และเราก็เรียนมหาลัยเดียวกันด้วยครับ”

“ตายจริง เป็นรุ่นน้องของกัสหรอกหรอ ตัวสูงมากเลยนะ แม่นึกว่าเป็นรุ่นพี่เจ้ากัสซะอีก”

“เปล่าครับ ผมเป็นรุ่นน้องพี่กัสหนึ่งปี”

“โลกนี่กลมจริงๆเลย เป็นยังไงมายังไงละ ทำไมถึงมาแถวนี้ได้ หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้”



นั่นสิ มันเป็นยังไงมายังไง ทำไมมันถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ผมก็ยังพอจำความได้อยู่ว่าตอนเด็กๆมันเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผม แต่ก็เท่านั้นแหล่ะ ตั้งแต่คืนวันนั้นผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย



ข่าวที่แว่วๆมา บ้างก็บอกว่ามันย้ายบ้านไปอยู่กรุงเทพแล้ว บ้างก็บอกว่ามันแค่ย้ายโรงเรียนไปอยู่ในเมือง แต่ตอนนั้นผมยังเด็กเลยไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นธุระโกงการอะไร ที่จะต้องไปรู้เห็นเรื่องนั้นด้วยซ้ำ



แล้วถ้าบ้านไม่ได้อยู่แถวนี้ มันทำไมมาโผล่ที่นี่ได้กันละ



“เอ่อ...เปล่าครับ บ้านผมอยู่กรุงเทพ พอดีผมมาเที่ยวพักผ่อนปิดเทอม ไม่ทราบว่าป้าพอจะมีห้องให้เช่าบ้างไหมครับ”

“แถวนี้ไม่มีหรอก ที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว”



ผมรีบพูดแทรกเพื่อตัดบทมันแทบจะทันที คิดว่าผมจะโง่หรือไง ท่าทางการพูดแนวๆนี้ของมันคงหนีไม่พ้นขออาศัยด้วยแน่ๆ แล้วคนอย่างผมนะหรอจะยอมให้มันเข้ามาอยู่ด้วย ไม่มีทาง



“พักบ้านแม่ก่อนก็แล้วกัน ไหนๆก็เป็นคนรู้จักของลูกแม่อยู่แล้วด้วย ถ้าไม่มีที่พักแบบนี้มันจะอันตราย ตอนกลางคืนแถวนี้น่ากลัวด้วย โจรเยอะแยะเต็มไปหมด”

“แม่!”

“ขอบคุณนะครับแม่ ผมขอฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่นี่ด้วยเลยนะครับ”



ผมได้แต่ยืนอึ้งกับท่าทางของแม่ตัวเองสลับกับมองไปที่อีกคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับสักเท่าไหร่ ให้ตายเถอะ นี่แม่ต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรอ เชื่อเขาเลย



“แม่..บ้านเราก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดรับคนเข้ามาอยู่ได้ตามทางนะ”

“เซนเขามาเที่ยว ใช่ว่าจะมาอยู่บ้านเราตลอดไปซะเมื่อไหร่”

“ถ้างั้นก็แล้วแต่แม่เถอะ”



ผมถอนหายใจแรงๆออกไปทันที เพราะไม่รู้จะพูดอะไรหรือหาข้ออ้างอะไรให้แม่เปลี่ยนใจได้ เนื่องจากตอนนี้แม่ยืนกรานว่าจะให้ที่พักกับเซนอย่างเต็มที่ และดูเหมือนจะชอบอกชอบใจอะไรไอ้หมอนี่นักก็ไม่รู้



เมื่อความรู้สึกเซ็งเข้ามา ผมจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว พูดไปเดี๋ยวก็โดนแม่โกรธอีก สู้ไม่พูดและเดินหนีออกมายังจะดีซะกว่า



แต่ทว่าการเดินหนีเข้ามาในบ้านกลับกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว จากที่เดินเร่งๆเข้ามาในตัวบ้านผมรีบหยุดชะงักฝ่าเท้าแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่เรียกเชิญบุคคลที่ผมไม่อยากต้อนรับเข้ามาในบ้าน



“มาพ่อหนุ่ม เอากระเป๋าเป้เข้ามาไว้ในบ้านก่อน”

“ขอบคุณมากเลยครับ”

“กัสพาน้องเข้าไปเก็บของ เดี๋ยวแม่ขายของเอง”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวผมขายให้”


ผมรีบบอกปัด พร้อมกับรีบเดินเร่งๆกลับเข้าไปประจำหน้าร้าน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปได้เกินสองก้าวดี เซนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านกลับมายืนขวางทางไม่ให้ผมเดินออกไปง่ายๆ



“พาผมไปเก็บกระเป๋าหน่อย”

“หลบไป”



หมับ!

“ผมเกรงใจแม่พี่หรอกนะ ถ้าผมไม่เกรงใจป่านนี้พี่โดนไปแล้ว หรือว่าผมจะไม่เกรงใจแม่พี่ดี”



เสียงกระซิบข้างใบหูของผมมันเรียบนิ่งจนผมไม่กล้าขยับตัว แรงจับที่ช่วงแขนของผมไม่ได้แรงมาก แต่ที่ผมยอมก็เพราะมันทำหน้าตาเอาจริงจนผมเริ่มกังวล



แม่จะมารับรู้เรื่องพวกนั้นไม่ได้ มีไม่มากนักหรอกที่จะมีคนยอมรับเรื่องเพศได้อย่างไม่คิดอะไร ทางที่ดีตอนนี้ผมควรปิดบังเรื่องนี้ไปก่อน เพราะมันไม่ดีกับทั้งตัวผมและก็แม่



ทันทีที่คิดทบทวนดีแล้ว ผมรีบสะบัดแขนให้หลุดออกจากการจับกุมอย่างแรง พร้อมกับหันหลังเดินกลับไปยังด้านในของตัวบ้านอีกครั้ง



ภายในบ้านของผมจะมีโซนไว้สำหรับนั่งเล่นเพื่อต้อนรับแขกและดูทีวี แต่หลังๆมาไม่มีแขกที่ไหนแวะเวียนเข้ามาบ่อยนักหรอก มันก็จะนานๆทีถึงจะมี บริเวณนี้เลยกลายเป็นที่นั่งเล่นสำหรับพักผ่อนของแม่และก็ผมไปโดยปริยาย



“เอาของมาวางไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะหาห้องให้นอน”

“นอนห้องเดียวกับพี่ไง”

“อย่าได้คิด”



ผมรีบบอกปัดพร้อมกับวิ่งขึ้นไปบนบ้านชั้นสอง เพื่อมองหาห้องที่พอจะใช้นอนได้ บนชั้นสองของบ้านผมไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก มันก็จะแค่นานๆที เพราะบนนี้เป็นห้องของพ่อและแม่ของผม ตอนเด็กผมมักจะนอนบนนี้ แต่พอเริ่มโตพ่อก็ทำห้องให้ข้างล่างเพื่อความเป็นส่วนตัว



และตั้งแต่ที่ผมได้ห้องใหม่ด้านล่างที่พ่อสร้างให้ หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ขึ้นไปบนบ้านบ่อยเหมือนเคย จวบจนพ่อเสียผมก็ยิ่งไม่กล้าขึ้นไป จะมีก็เพียงแม่เท่านั้นที่มักจะขึ้นไปนอนในห้องเหมือนเดิม



แต่พอผมขึ้นมาบนนี้ กลับไม่มีห้องว่างเลยสักห้อง สองห้องเล็กๆกลายเป็นห้องสำหรับเก็บหนังสือและสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วมากมาย จนมีฝุ่นเต็มไปหมด ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องพระ และแน่นอนว่าใช้สำหรับหลับนอนไม่ได้




หลังจากที่ตรวจเช็คห้องทุกห้องบนบ้านเรียบร้อยแล้ว จนทำให้ตัดสินใจได้ว่า ทุกห้องในบ้านหลังนี้ไม่มีห้องว่างเลยสักห้องเดียว และแม่ก็ไปตบปากรับคำให้เซนเข้ามาอยู่ทั้งๆที่ไม่มีห้องให้นอนเนี่ยนะ




“แม่!”

“อะไรกัส ตะโกนทำไม”

“บ้านเราไม่มีห้องว่าง ให้เซนไปนอนบ้านอื่นไม่ได้หรอ”

“จะบ้าหรือไง ก็ให้น้องนอนด้วยสิ ห้องก็ตั้งกว้าง แม่จะขายของ อย่ามากวนแม่ตอนนี้”



หงุดหงิดคูณสอง อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง อุตส่าห์หนีกลับมาบ้านก็ยังมาเจอคนตามรังควานอีก จะไปไหนก็ไม่ไปให้มันพ้นๆ กลับบ้านมาไม่ถึงวัน เจอหน้ามันอีกแล้ว และซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรทำไมมันต้องมานอนที่บ้านด้วย



คิดแล้วหงุดหงิด และสิ่งที่ทำได้ตอนนี้สำหรับผมก็คือช่างหัวมัน



“ก็แค่ให้ผมนอนด้วย ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

“ยกกระเป๋าเข้ามา”



ผมไม่คิดจะสนใจคำพูดล้อเลียนของเซน และเลือกที่จะเดินนำเพื่อให้เซนเดินตามเข้ามาในห้องของผมแทน ผมเปิดประตูเข้ามาด้านในพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้เซนเดินเข้ามาได้สะดวก



“อยู่กี่วัน”

“ผมว่าจะอยู่สักอาทิต---“

“สามวันก็พอ มาเที่ยวไม่ใช่หรอ”

“ผมไม่ได้จะเข้ามาอยู่ฟรีสักหน่อย แน่นอนว่าผมจ่ายเงิน”

“ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น แต่ต้องการความสบายใจ อยู่ที่นี่แค่สามวันก็พอ และจะไปไหนก็ไป”



ผมพูดพร้อมกับยื่นคำขาดออกไป เพื่อหวังจะให้เซนรีบๆกลับไปซะ ก่อนที่แม่ของผมจะรู้ความจริงว่าระหว่างผมและเซนเราสองคนเคยผ่านเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้



“พี่กลัวแม่รู้ใช่ไหมละ”

“ห๊ะ?”

“พี่กลัวแม่จะรู้ว่าพี่กับผม..”

“ปิดปากนายให้สนิท”

“ปิดอยู่แล้ว แค่พี่กลับมาคุยดีๆกับผมเหมือนเดิม แล้วก็เลิกหนีซะที เมื่อวานผมไปหาพี่ที่หอตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ทัน พี่เล่นกลับบ้านมาก่อน แต่ไม่ยอมบอกผม”

“ทำไมต้องบอกด้วย ช่างเถอะ เอาของวางไว้ตรงนี้แหล่ะ ไปละ”



พูดตัดบททันทีเพราะไม่อยากจะพูดอะไรต่อ อย่างน้อยก็ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า เซนมันไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ ก็เล่นตามผมมาขนาดนี้ เป็นใครก็คงจะดูออกว่ามันอยากจะคืนดีขนาดไหน



“เดี๋ยวก่อน”

“อะไรอีก จะออกไปช่วยแม่ขายของไม่เข้าใจหรือไง”

“หนังสือนี่มันของใคร พี่เรียนมหาลัยแล้วนะ ทำไมยังมีหนังสือเด็กม.ปลายกองอยู่ตรงนี้ด้วยละ ไม่ใช่ว่าจะนึกคึกมานั่งทบทวนบทเรียนสมัยวัยเยาว์หรอกใช่ไหม”

“ของน้อง”



สั้นๆง่ายๆและเต็มไปด้วยความขี้เกียจที่จะคุยด้วย เพราะตอนนี้ผมอยากออกไปข้างนอกเต็มทน ขืนอยู่สองคนนานๆไม่รู้ว่ามันจะถามอะไรที่ผมไม่อยากตอบอีกกี่คำถาม แค่ได้ยินเสียงมันก็เบ้ปากส่งไปแล้ว



“เท่าที่รู้มา พี่ลูกคนเดียว”


“ขอพูดอะไรหน่อยเถอะ ไม่อยากด่าว่าโรคจิตหรอกนะ แต่การกระทำของนายที่แสดงออกมาตอนนี้เนี่ย แม่งโคตรจะโรคจิตเลยว่ะ ไม่รู้หรอกนะว่าไปสืบมาจากไหน แต่ตอนนี้เวลานี้บ้านหลังนี้ อยู่กันสามคนเป็นครอบครัว แล้วก็เลิกถามเรื่องส่วนตัวได้แล้ว ไม่อยากตอบ เข้าใจนะ”



พูดจบผมก็เดินหนีออกมาพร้อมกับผิดประตูเสียงดังใส่ไปแรงๆ ถึงจะรู้สึกปวดใจนิดหน่อยที่ดันเพิ่งมารู้สึกสงสารประตูห้องตัวเองมันก็สายเกินไปแล้ว




ว่าแต่เถอะ ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ยอมรับตรงๆเลยว่าตอนแรกที่เห็นหน้าของเซนที่หน้าร้าน ผมอดรู้สึกดีใจไม่ได้เลยจริง แต่ความรู้สึกดีใจที่เห็นมันกลับโดนกลบไปด้วยความรู้สึกสับสนที่มีอยู่เต็มไปหมด




ผมโตแล้วและรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง มีความรู้สึกแบบไหน ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นภายในจิตใจตอนนี้ ผมรู้ดีกว่าใครเลยละ แต่ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น ผมกลับไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ผมมี อีกฝ่ายมีเหมือนกันกับผมหรือเปล่า




ทั้งๆที่ผมได้ยินมากับหูว่า “ชอบ” แต่ผมกลับกลัว ผมกำลังกลัวว่ามันจะพังไม่เป็นท่าเหมือนกับความไว้วางใจที่ผมเคยมีให้ ความไว้ใจที่ผมให้ไป ผมให้เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จนความรู้สึกดีๆที่เคยให้ไปมันกลับแตกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดี




ถึงสภาพตอนนี้มันกำลังเยียวยารักษาตัวเองแล้วก็ตาม ตอนนี้ผมไม่ต่างอะไรกับการกลายเป็นคนขี้กลัวไปเลย กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำรอย





เพราะแบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังต้องการความแน่ใจ ว่าสิ่งที่ผมมีกับสิ่งที่อีกฝ่ายมีมันตรงกันหรือเปล่า และถ้าหากมันไม่ตรงกันละก็ ผมจะได้ทำใจและเก็บมันเอาไว้ให้คนอื่น คนที่เขาต้องการมันจริงๆแทน






:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์
เฉกเช่นเดิม แต่ก็กลับมาแล้วจ้า
ปีใหม่ไปเที่ยวยาวๆเลยไม่ได้แต่งเลย
ขอโทษจริงๆค่าาาา

ใกล้จบแล้วน้า ฮิฮิ

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
คิดถึงไรท์ เย้ๆๆ เซนมาง้อแล้ว ดีต่อใจ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
แว่นก็มีวิธีการเข้าหาเค้าที่แปลกจริงแหละ ความไว้ใจมันสร้างไม่ได้ง่ายๆนะ เฮ้อ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ถ้าเซนกับใหม่เจอกันล่ะ

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราชอบใหม่อะ เราทีมใหม่ ขอโทษนะเซน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กัสเอาใหม่ไปนอนรวมกัน 3 คนเลยแล้วกัน  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด