แว่นดุ 14
ตาม
แสงแดดแรงๆสาดส่องเข้ามายังห้องสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ใครคนหนึ่งที่นอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีเทาผืนหนา จำต้องขยับกระชับผืนผ้าห่มที่จากเดิมคลุมแค่เพียงอกให้ขยับขึ้นมาคลุมยังใบหน้าเพื่อหลบหนีแสงแดดที่กำลังสาดแสงเมาภายในห้องยามเช้า
แต่การมุดผ้าห่มเพื่อหลบแสงแดดผ่านไปได้แค่เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครอีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู แต่กลับไม่มีการเคาะประตูห้องให้รู้สึกรำคาญใจ มีเพียงแค่เสียเรียกชื่อลอดผ่านประตูเข้ามาเท่านั้น
ใจหนึ่งก็ไม่อยากตื่นเท่าไหร่นักหรอก แต่พอให้ขยับชายผ้าห่มผืนหนาลงมากองอยู่ที่อกดังเดิมและได้ลองลืมเปลือกตาขึ้นมาก็ทำให้ตาสว่างแทบจะทันที
เพราะแสงแดดยามเช้าที่มันแรงเสียยิ่งกว่าอะไร และไหนจะเป็นนาฬิกาที่ผนังบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้มันสายมากแล้ว ทำให้ต้องรีบดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแทบจะในทันที
สองเท้ารีบก้าวเร่งๆไปยังประตูห้องพร้อมกับสภาพที่เพิ่งตื่นและไม่น่าพิสมัย มือขาวซีดเอื้อมเปิดลูกบิดประตูที่ถูกล็อคเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนในยามที่ต้องการความสงบ บัดนี้มันถูกปลดล็อคด้วยความรวดเร็วแทบจะเร็วยิ่งกว่าแสงด้วยซ้ำ
“ไงพี่ ทำไมตื่นสายจัง”
คำทักทายแรกของเช้าวันนี้เป็นของไอ้เด็กที่ชื่อใหม่ ถึงแม้มันจะตัวสูงกว่าผมไม่มากเท่าไหร่นัก แต่พอมายืนใกล้กันแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองดูหดเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมผมถึงคิดแบบนี้นะหรอ ก็มันเล่นก้มหน้าลงมามองผมจากหน้าประตูนะสิ
ผมกวาดสายตาขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังสะพายกระเป๋าเป้รูปร่างหน้าตาคุ้นๆเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พร้อมกับแต่งกายชุดนักเรียนมัธยมสวมเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ยืนมองผมยิ้มๆ
“เมื่อคืนนอนไม่หลับ” ผมตอบกลับไปส่งๆ และทำท่าจะเดินผ่านออกมา
“ทำไมนอนไม่หลับ พี่คิดอะไรอยู่หรอ”
ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านออกมาได้เกินสองก้าว ช่วงแขนกลับถูกมือของใหม่ยึดจับเอาไว้อย่างหลวมๆ มือของใหม่อุ่นมากเมื่อเทียบกับตัวของผม ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนที่อุ่นเพราะเพิ่งดีดตัวขึ้นมาจากผ้าห่มแท้ๆ
ผมหันหน้ากลับไปเผชิญกับเด็กที่ชื่อใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นและชี้ไปที่นาฬิกาบนผนังในห้องของตนเอง เพื่อบอกเวลาให้ใหม่รับรู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ใหม่หันหน้ามองไปตามมือของผมแทบจะทันที แต่กลับทำท่าทางไม่เข้าใจส่งกลับมา
แต่ใหม่มันทำหน้าไม่เข้าใจแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลับจากที่โดนผมกวาดสายตามองชุดนักเรียนของอีกฝ่าย เหมือนตอนนี้มันเพิ่งจะนึกขึ้นได้มาดื้อๆ
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมเข้าสายเป็นประจำอยู่แล้ว”
“เป็นประจำหรอ เท่าที่ดูก็เหมือนเด็กขยันเรียนนี่หว่าที่แท้ก็เป็นเด็กเกเรหรือไง”
ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกไม่ชอบใจ ถ้าเด็กนี่มันเกเรอย่างที่คิดจริงๆ แสดงว่าเมื่อคืนมันแกล้งทำเป็นเด็กขยันเรียนขอให้ผมสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อมาตีซี้กับผมแน่ๆ
“ผมเปล่านะพี่ ที่ผมไปเรียนสายเป็นเรื่องปกติ เพราะผมช่วยป้าทำขนมต่างหาก ครูยกให้ผมเป็นกรณีพิเศษและให้ไปโรงเรียนสายได้ ผมไม่ได้เป็นเด็กเกเรอย่างที่พี่คิดสักหน่อย”
หลังจากที่ฟังคำอธิบายจากเด็กที่ยืนกำสายกระเป๋าอยู่หน้าประตูห้อง ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาแทบจะทันที ไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่อยากให้ใหม่เป็นเด็กเกเร อยากให้ใหม่เติบโตขึ้นไปเป็นคนดีไม่อยากให้เหมือนเด็กแถวๆนี้ที่วันๆเอาแต่แต่งรถและขับแข่งกัน
“ก็ดีแล้ว ไปโรงเรียนได้แล้วไป นี่มันแปดโมงจะครึ่งแล้วนะ”
“ครับๆ ผมกำลังไปพอดี เห็นพี่ยังไม่ตื่นเลยมาเรียกก่อน”
ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกกระดากอายตัวเองชะมัดที่นอนหลับแทบจะเป็นศพอยู่บนเตียง โดยที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างนอกเลยแม้แต่นิดเดียว มันคงเป็นเพราะความเคยชินที่ผมอยู่หอเลยเก็บมันกลับมาใช้ตอนอยู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ผมไม่ควรเอานิสัยตื่นสายพวกนั้นมาใช้ที่นี่
แม่ของผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนมหวานให้เสร็จก่อนแปดโมง นี่คือเรื่องที่ผมรับรู้เมื่อคืน เนื่องจากแม่เป็นคนบอกผมเอง และผมก็เป็นคนรับปากว่าจะตื่นขึ้นมาช่วยแม่ในตอนเช้า แต่วันนี้ในตอนที่แม่ของผมกำลังทำขนมอยู่กลับกลายเป็นผมซะเองที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่บนเตียงนอนในห้อง
“พรุ่งนี้ปลุกพี่แต่เช้าด้วย” ผมรีบพูดก่อนที่ใหม่จะเดินออกไป
“ผมเรียกพี่ที่หน้าห้องตั้งแต่ตีห้าแล้ว แต่พี่ไม่ตื่น จะเข้าไปข้างในห้องพี่ก็ไม่ได้ ผมควรจะปลุกพี่ยังไง”
ว่าไงนะ นี่ใหม่มันปลุกตั้งแต่ตีห้าแล้วหรอ ผมนึกว่ามันเพิ่งมาเรียกตอนแปดโมงเช้าด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่ไม่ยอมตื่นและไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกที่ตะโกนผ่านเข้ามาในห้องเลยแม้แต่นิด
“หรือว่าพี่จะให้ผมนอนด้วย ก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะได้ปลุกพี่ได้ไง”
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
“ถ้างั้นพี่ก็อย่าล็อคห้องสิ ผมเข้าไปปลุกไม่ได้นะ”
“ไม่ล็อค พรุ่งนี้เช้าปลุกด้วย”
เป็นผมเองที่รีบเดินหนีออกมา จำได้ว่าประโยคสุดท้ายที่ผมพูดออกไปใหม่มันยิ้มออกมาแปลกๆจนผมต้องเป็นฝ่ายเดินหนีออกมาก่อน
ผมแยกเดินออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปในครัว พร้อมกับสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันหรือแม้แต่หวีผมหลังตื่นนอนก็ยังไม่ได้แตะสักนิด
เสื้อผ้าที่สวมก็ยังคงเป็นชุดนอนลายตารางสีน้ำเงินที่สวมใส่หลังอาบน้ำเมื่อคืน โดยรวมแล้วสภาพผมก็แค่คนเพิ่งลุกจากเตียงนั่นละ
“แม่มีไรให้ช่วยไหม”
คำถามแรกที่ผมเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาได้ไม่นานและพบกับหญิงวัยกลางคนที่กำลังตามหาก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับผู้เป็นแม่ผมก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ขอช่วยงานอะไรสักนิดสักหน่อย
เพราะผมกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองดันไม่ยอมตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาช่วยแม่ทำขนม ทั้งๆที่เมื่อคืนก็รับปากกับแม่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆ แต่ดันผิดสัญญาที่ให้ไว้เพราะผมมันไม่ยอมตื่น
“ยกหม้อไปตั้งหน้าร้าน ใหม่เค้าจัดหน้าร้านเอาไว้แล้ว”
“ใหม่ตื่นมาช่วยแม่ตั้งแต่เช้าเลยหรอ”
“ใช่ เจ้าใหม่ตื่นก่อนแม่ซะอีก ตอนแม่ลงมาเห็นใหม่กำลังต้มน้ำเตรียมทำขนมเลย”
“น้องมันช่วยแม่แบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่า”
“ก็ตั้งแต่วันแรกที่ใหม่ย้ายมาอยู่ที่นี่นั่นแหล่ะ นี่กัสลูกอย่าไปใจร้ายกับน้องมากเลยนะ ใหม่เป็นเด็กดี ขยันขันแข็งช่วยแม่แทบจะทุกอย่าง ต่อไปก็คงจะทำขนมแทนแม่ได้แล้วละ”
ผมยืนมองแม่เล่าเรื่องของใหม่ ตั้งแต่ที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทั้งเรื่องก่อนที่ใหม่จะเสียแม่ที่เหลือเพียงคนเดียวที่เป็นครอบครัวไป จวบจนเรื่องราวที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่
ในตอนที่แม่ของผมเล่าเรื่องของใหม่ ผมสัมผัสได้ว่าแม่เอ็นดูเด็กคนนี้มากไม่น้อยไปกว่าผมเลยด้วยซ้ำ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยิ้มตามไปพร้อมกับการฟังแม่เล่าเรื่องของใหม่
จะว่าไป...ใหม่มันก็น่ารักดีเหมือนกันนะ
.
.
เสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่บริเวณหน้าร้านมันทำให้ผมรู้สึกรำคาญไม่น้อยเลย บอกตามตรงว่าไม่ค่อยชอบการขายของและเรียกลูกค้าสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะไม่ต้องเรียกเพราะลูกค้าเจ้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่จะเข้าออกร้านผมไม่ขาดก็ตาม
แต่ไอ้การที่จะต้องพูดขอบคุณ และถามถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการนี่มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทบระเบิด มันไม่ใช่แนวผมเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะเคยขายของแบบนี้กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม ผมก็ยังไม่เคยชินกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิด
กลับกัน ผมยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานพวกนี้มากกว่าเดิมขึ้นไปเสียอีก ลูกค้าบางคนก็ช่างเหลือเกิน ขนมกะทิที่ถูกบรรจุเอาไว้ในถุงเรียบร้อยแล้ว และป้ายก็บอกอยู่ปาวๆว่ามันคือบัวลอย แต่ก็ยังหยิบจับถุงขึ้นมาเขย่าดู ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันต้องการหาอะไรในถุง ทั้งๆที่ในถุงมันก็มีแต่เม็ดบัวลอย
และที่มันน่าเจ็บใจที่สุดคือเขย่าดูแล้วมันก็ไม่ซื้อถุงที่มันเขย่าเสียด้วยนะ แต่ดันไปหยิบถุงอื่น จากที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาตักขนมช่วยแม่อยู่ข้างๆ มองมือของชายคนหนึ่งที่กำลังเขย่าถุงบัวลอยอยู่นานนม ผมไม่เห็นหน้ามันหรอกเพราะแม่ยืนบังอยู่
ผมนั่งอยู่ด้านหลังของแม่และกำลังตักขนมใส่ถุงจัดเอาไว้ในถาด เพื่อเตรียมเอาไว้ไปเติมที่หน้าร้านถ้าหากขนมชนิดไหนขายดีและหมดไปก่อน แม่ผมก็เหลือเกินไม่เตือนลูกค้าบ้างเลย เอาแต่ยิ้มขายของไปเรื่อย ทั้งๆที่ลูกค้าคนนั้นมันกำลังก่อกวนอยู่แท้ๆ
จนในที่สุดเส้นความอดทนของผมก็ขาดผึง ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและยกถาดขนมที่ตักและมัดเตรียมเอาไว้ พร้อมกับเดินไปยืนอยู่ข้างๆแม่
อยากจะเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ชะมัด ลูกค้าที่มันเอาแต่มองบัวลอยในถุงและเขย่าหาญาติฝ่ายไหนของมันก็ไม่รู้อยู่ได้ แน่นอนว่าผมต้องการเห็นหน้ามัน และจะขอด่ามันหน่อยเถอะ
แต่หลังจากที่ผมเห็นผมกลับต้องชะงักแทบจะทันที เมื่ออีกฝ่ายมันเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มหน้ามองขนมที่กำลังถือเอาไว้ในมืออยู่หนึ่งถุง
“เซน...”
ผมเรียกชื่อไม่ผิดหรอก มันคือเซนจริงๆ และที่ผมไม่เรียกไอ้แว่นก็เพราะมันไม่ได้ใส่แว่นอย่างที่ผมมักจะเรียกมันแบบนั้นเสมอ แต่นี่มันคือเซนที่ผมรู้จักในร้านเหล้า เซนที่ผมรู้จักในคืนๆนั้น ผมจำใบหน้าแบบนี้ได้ดี ใบหน้าที่ไม่ได้สวมแว่นหนาเตอะอย่างที่ผมเคยเห็นมาตลอดหลายอาทิตย์
แล้วทำไมเซนถึงมายืนเลือกขนมหน้าร้านของผมได้ ใจหนึ่งมันก็แอบหลงดีใจไม่น้อย เพราะกำลังแอบคิดว่ามันกำลังตามผมมา แต่อีกใจมันก็ดันสับสนอย่างบอกไม่ถูกพาลจะทำให้ปั่นป่วน
แน่นอนว่าผมตกใจไม่น้อย แถมยังก้าวเท้าถอยหลังอย่างที่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ผมเบนสายตาไปทางแม่ซึ่งแม่ก็กำลังหันหน้ามองมาที่ผมสลับกับมองไปที่เซนไปมาอย่างสงสัยใคร่รู้
“กัสรู้จักลูกค้าคนนี้ด้วยหรอลูก”
คำถามของแม่ที่เอ่ยทักขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถ้าจะโกหกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโกหกออกไป เพราะผมรู้จักกับเซนจริงๆ อีกทั้งยังเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัวนั่นอีก
เซนไม่ได้มองผมนานเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากที่ผมถอยหลังออกมา เซนก็หันกลับไปก้มหน้ามองขนมต่อ แน่นอนว่าผมแอบเจ็บใจไม่น้อย เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกในใจลึกๆว่าตัวเองกำลังถูกเมินอย่างซึ่งๆหน้า
เป็นผมเองที่ก้าวเท้าเดินกลับเข้าไปยังที่เดิม พร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะอย่างแรงต่อหน้ามัน ผมยังไม่ได้ตอบคำถามของแม่ที่เพิ่งจะถามเมื่อครู่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจที่กำลังถูกคนตรงหน้าตีหน้าเรียบนิ่งใส่อย่างไร้อารมณ์
“กัส เบาๆหน่อยสิ” แม่พูดเสียงดุ
“ขอโทษครับ”
“ว่ายังไงรู้จักกันหรอจ๊ะ”
“รู้จักครับ/ไม่รู้จักครับ”
คำพูดที่เปล่งออกมาว่าไม่รู้จักมันหลุดออกมาจากปากของผมเอง ถึงแม้ว่าตอนแรกผมจะบอกแม่อยู่แล้วเชียวว่ารู้จักไอ้หมอนี่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว สู้ทำเป็นไม่รู้จักเสียยังดีกว่า
“ตกลงยังไงกัน รู้จักหรือว่าไม่รู้จักกันแน่ แม่งงไปหมดแล้ว”
โชคดีที่ร้านของผมตอนนี้ลูกค้าท่านอื่นยังไม่มีใครเดินเข้ามาซื้อของ จะมีก็แค่เซนเท่านั้นที่เป็นลูกค้าของร้านผมตอนนี้ แน่นอนว่าหลังจากที่ผมพูดว่าไม่รู้จักออกไป เป็นเซนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆและมองมาที่ผมแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยิน
มันช่วยไม่ได้ ใครมันใช้ให้โผล่มาตอนนี้กันละ และแถมมันยังมีชนักติดหลังอยู่ด้วย ใครจะไปยกโทษให้ง่ายๆ ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะโกรธนิดๆหน่อยๆแล้วก็หายซะเมื่อไหร่
“ผมไม่รู้จัก”
“แต่เมื่อกี้พี่เรียกชื่อผม ก็เท่ากับว่าพี่รู้จัก อย่าทำเป็นจำไม่ได้ไปหน่อยเลย ผมกับพี่สนิทกันจะตายไป”
“ใครสนิทด้วยวะ อย่ามาพูดมั่วๆ จะไปไหนก็ไปเลยไป ร้านนี้ไม่ต้อนรับ”
“หยุดเลยนะกัส พูดแบบนี้ได้ยังไง”
“แต่แม่”
“หยุดเลยนะ”
ผมนิ่งเงียบทันทีหลังจากที่แม่เริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ใครว่าแม่ผมใจดี บอกเลยว่าความจริงแล้วไม่ได้ใจดีอย่างที่คิดหรอก ถ้าแม่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อไหร่ เท่ากับว่าผมต้องรีบเบรกตัวเองทันที
ผมเคยโดนแม่โกรธจนไม่พูดและคุยด้วยเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นผมแทบเป็นบ้าเพราะอยู่บ้านก็อยู่กับแม่แค่สองคน เกือบคิดไปแล้วว่าแม่จะไม่คุยด้วยไปตลอดชีวิต โชคดีที่แม่หายโกรธ และตั้งแต่คราวนั้น ผมก็ไม่กล้ามีปัญหากับแม่อีกเลย
และครั้งนี้ก็ดูเหมือนแม่จะเริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน ต้นเหตุก็คือผม เพราะผมทำกิริยาไม่สมควรออกไป จนทำให้แม่ต้องเตือนแบบนี้ แต่ใครมันจะไปทนไหว ท่าทางของเซนมันออกจะกวนประสาทขนาดนั้น เป็นใครก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนผมนั่นละ
“ว่ายังไง สรุปรู้จักกันใช่ไหม”
“ครับ ผมรู้จักกับพี่กัส และเราก็เรียนมหาลัยเดียวกันด้วยครับ”
“ตายจริง เป็นรุ่นน้องของกัสหรอกหรอ ตัวสูงมากเลยนะ แม่นึกว่าเป็นรุ่นพี่เจ้ากัสซะอีก”
“เปล่าครับ ผมเป็นรุ่นน้องพี่กัสหนึ่งปี”
“โลกนี่กลมจริงๆเลย เป็นยังไงมายังไงละ ทำไมถึงมาแถวนี้ได้ หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้”
นั่นสิ มันเป็นยังไงมายังไง ทำไมมันถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ผมก็ยังพอจำความได้อยู่ว่าตอนเด็กๆมันเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผม แต่ก็เท่านั้นแหล่ะ ตั้งแต่คืนวันนั้นผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย
ข่าวที่แว่วๆมา บ้างก็บอกว่ามันย้ายบ้านไปอยู่กรุงเทพแล้ว บ้างก็บอกว่ามันแค่ย้ายโรงเรียนไปอยู่ในเมือง แต่ตอนนั้นผมยังเด็กเลยไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นธุระโกงการอะไร ที่จะต้องไปรู้เห็นเรื่องนั้นด้วยซ้ำ
แล้วถ้าบ้านไม่ได้อยู่แถวนี้ มันทำไมมาโผล่ที่นี่ได้กันละ
“เอ่อ...เปล่าครับ บ้านผมอยู่กรุงเทพ พอดีผมมาเที่ยวพักผ่อนปิดเทอม ไม่ทราบว่าป้าพอจะมีห้องให้เช่าบ้างไหมครับ”
“แถวนี้ไม่มีหรอก ที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว”
ผมรีบพูดแทรกเพื่อตัดบทมันแทบจะทันที คิดว่าผมจะโง่หรือไง ท่าทางการพูดแนวๆนี้ของมันคงหนีไม่พ้นขออาศัยด้วยแน่ๆ แล้วคนอย่างผมนะหรอจะยอมให้มันเข้ามาอยู่ด้วย ไม่มีทาง
“พักบ้านแม่ก่อนก็แล้วกัน ไหนๆก็เป็นคนรู้จักของลูกแม่อยู่แล้วด้วย ถ้าไม่มีที่พักแบบนี้มันจะอันตราย ตอนกลางคืนแถวนี้น่ากลัวด้วย โจรเยอะแยะเต็มไปหมด”
“แม่!”
“ขอบคุณนะครับแม่ ผมขอฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่นี่ด้วยเลยนะครับ”
ผมได้แต่ยืนอึ้งกับท่าทางของแม่ตัวเองสลับกับมองไปที่อีกคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับสักเท่าไหร่ ให้ตายเถอะ นี่แม่ต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรอ เชื่อเขาเลย
“แม่..บ้านเราก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดรับคนเข้ามาอยู่ได้ตามทางนะ”
“เซนเขามาเที่ยว ใช่ว่าจะมาอยู่บ้านเราตลอดไปซะเมื่อไหร่”
“ถ้างั้นก็แล้วแต่แม่เถอะ”
ผมถอนหายใจแรงๆออกไปทันที เพราะไม่รู้จะพูดอะไรหรือหาข้ออ้างอะไรให้แม่เปลี่ยนใจได้ เนื่องจากตอนนี้แม่ยืนกรานว่าจะให้ที่พักกับเซนอย่างเต็มที่ และดูเหมือนจะชอบอกชอบใจอะไรไอ้หมอนี่นักก็ไม่รู้
เมื่อความรู้สึกเซ็งเข้ามา ผมจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว พูดไปเดี๋ยวก็โดนแม่โกรธอีก สู้ไม่พูดและเดินหนีออกมายังจะดีซะกว่า
แต่ทว่าการเดินหนีเข้ามาในบ้านกลับกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว จากที่เดินเร่งๆเข้ามาในตัวบ้านผมรีบหยุดชะงักฝ่าเท้าแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่เรียกเชิญบุคคลที่ผมไม่อยากต้อนรับเข้ามาในบ้าน
“มาพ่อหนุ่ม เอากระเป๋าเป้เข้ามาไว้ในบ้านก่อน”
“ขอบคุณมากเลยครับ”
“กัสพาน้องเข้าไปเก็บของ เดี๋ยวแม่ขายของเอง”
“ไม่เอาอะ เดี๋ยวผมขายให้”
ผมรีบบอกปัด พร้อมกับรีบเดินเร่งๆกลับเข้าไปประจำหน้าร้าน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปได้เกินสองก้าวดี เซนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านกลับมายืนขวางทางไม่ให้ผมเดินออกไปง่ายๆ
“พาผมไปเก็บกระเป๋าหน่อย”
“หลบไป”
หมับ!
“ผมเกรงใจแม่พี่หรอกนะ ถ้าผมไม่เกรงใจป่านนี้พี่โดนไปแล้ว หรือว่าผมจะไม่เกรงใจแม่พี่ดี”
เสียงกระซิบข้างใบหูของผมมันเรียบนิ่งจนผมไม่กล้าขยับตัว แรงจับที่ช่วงแขนของผมไม่ได้แรงมาก แต่ที่ผมยอมก็เพราะมันทำหน้าตาเอาจริงจนผมเริ่มกังวล
แม่จะมารับรู้เรื่องพวกนั้นไม่ได้ มีไม่มากนักหรอกที่จะมีคนยอมรับเรื่องเพศได้อย่างไม่คิดอะไร ทางที่ดีตอนนี้ผมควรปิดบังเรื่องนี้ไปก่อน เพราะมันไม่ดีกับทั้งตัวผมและก็แม่
ทันทีที่คิดทบทวนดีแล้ว ผมรีบสะบัดแขนให้หลุดออกจากการจับกุมอย่างแรง พร้อมกับหันหลังเดินกลับไปยังด้านในของตัวบ้านอีกครั้ง
ภายในบ้านของผมจะมีโซนไว้สำหรับนั่งเล่นเพื่อต้อนรับแขกและดูทีวี แต่หลังๆมาไม่มีแขกที่ไหนแวะเวียนเข้ามาบ่อยนักหรอก มันก็จะนานๆทีถึงจะมี บริเวณนี้เลยกลายเป็นที่นั่งเล่นสำหรับพักผ่อนของแม่และก็ผมไปโดยปริยาย
“เอาของมาวางไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะหาห้องให้นอน”
“นอนห้องเดียวกับพี่ไง”
“อย่าได้คิด”
ผมรีบบอกปัดพร้อมกับวิ่งขึ้นไปบนบ้านชั้นสอง เพื่อมองหาห้องที่พอจะใช้นอนได้ บนชั้นสองของบ้านผมไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก มันก็จะแค่นานๆที เพราะบนนี้เป็นห้องของพ่อและแม่ของผม ตอนเด็กผมมักจะนอนบนนี้ แต่พอเริ่มโตพ่อก็ทำห้องให้ข้างล่างเพื่อความเป็นส่วนตัว
และตั้งแต่ที่ผมได้ห้องใหม่ด้านล่างที่พ่อสร้างให้ หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ขึ้นไปบนบ้านบ่อยเหมือนเคย จวบจนพ่อเสียผมก็ยิ่งไม่กล้าขึ้นไป จะมีก็เพียงแม่เท่านั้นที่มักจะขึ้นไปนอนในห้องเหมือนเดิม
แต่พอผมขึ้นมาบนนี้ กลับไม่มีห้องว่างเลยสักห้อง สองห้องเล็กๆกลายเป็นห้องสำหรับเก็บหนังสือและสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วมากมาย จนมีฝุ่นเต็มไปหมด ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องพระ และแน่นอนว่าใช้สำหรับหลับนอนไม่ได้
หลังจากที่ตรวจเช็คห้องทุกห้องบนบ้านเรียบร้อยแล้ว จนทำให้ตัดสินใจได้ว่า ทุกห้องในบ้านหลังนี้ไม่มีห้องว่างเลยสักห้องเดียว และแม่ก็ไปตบปากรับคำให้เซนเข้ามาอยู่ทั้งๆที่ไม่มีห้องให้นอนเนี่ยนะ
“แม่!”
“อะไรกัส ตะโกนทำไม”
“บ้านเราไม่มีห้องว่าง ให้เซนไปนอนบ้านอื่นไม่ได้หรอ”
“จะบ้าหรือไง ก็ให้น้องนอนด้วยสิ ห้องก็ตั้งกว้าง แม่จะขายของ อย่ามากวนแม่ตอนนี้”
หงุดหงิดคูณสอง อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง อุตส่าห์หนีกลับมาบ้านก็ยังมาเจอคนตามรังควานอีก จะไปไหนก็ไม่ไปให้มันพ้นๆ กลับบ้านมาไม่ถึงวัน เจอหน้ามันอีกแล้ว และซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรทำไมมันต้องมานอนที่บ้านด้วย
คิดแล้วหงุดหงิด และสิ่งที่ทำได้ตอนนี้สำหรับผมก็คือช่างหัวมัน
“ก็แค่ให้ผมนอนด้วย ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”
“ยกกระเป๋าเข้ามา”
ผมไม่คิดจะสนใจคำพูดล้อเลียนของเซน และเลือกที่จะเดินนำเพื่อให้เซนเดินตามเข้ามาในห้องของผมแทน ผมเปิดประตูเข้ามาด้านในพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้เซนเดินเข้ามาได้สะดวก
“อยู่กี่วัน”
“ผมว่าจะอยู่สักอาทิต---“
“สามวันก็พอ มาเที่ยวไม่ใช่หรอ”
“ผมไม่ได้จะเข้ามาอยู่ฟรีสักหน่อย แน่นอนว่าผมจ่ายเงิน”
“ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น แต่ต้องการความสบายใจ อยู่ที่นี่แค่สามวันก็พอ และจะไปไหนก็ไป”
ผมพูดพร้อมกับยื่นคำขาดออกไป เพื่อหวังจะให้เซนรีบๆกลับไปซะ ก่อนที่แม่ของผมจะรู้ความจริงว่าระหว่างผมและเซนเราสองคนเคยผ่านเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้
“พี่กลัวแม่รู้ใช่ไหมละ”
“ห๊ะ?”
“พี่กลัวแม่จะรู้ว่าพี่กับผม..”
“ปิดปากนายให้สนิท”
“ปิดอยู่แล้ว แค่พี่กลับมาคุยดีๆกับผมเหมือนเดิม แล้วก็เลิกหนีซะที เมื่อวานผมไปหาพี่ที่หอตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ทัน พี่เล่นกลับบ้านมาก่อน แต่ไม่ยอมบอกผม”
“ทำไมต้องบอกด้วย ช่างเถอะ เอาของวางไว้ตรงนี้แหล่ะ ไปละ”
พูดตัดบททันทีเพราะไม่อยากจะพูดอะไรต่อ อย่างน้อยก็ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า เซนมันไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ ก็เล่นตามผมมาขนาดนี้ เป็นใครก็คงจะดูออกว่ามันอยากจะคืนดีขนาดไหน
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีก จะออกไปช่วยแม่ขายของไม่เข้าใจหรือไง”
“หนังสือนี่มันของใคร พี่เรียนมหาลัยแล้วนะ ทำไมยังมีหนังสือเด็กม.ปลายกองอยู่ตรงนี้ด้วยละ ไม่ใช่ว่าจะนึกคึกมานั่งทบทวนบทเรียนสมัยวัยเยาว์หรอกใช่ไหม”
“ของน้อง”
สั้นๆง่ายๆและเต็มไปด้วยความขี้เกียจที่จะคุยด้วย เพราะตอนนี้ผมอยากออกไปข้างนอกเต็มทน ขืนอยู่สองคนนานๆไม่รู้ว่ามันจะถามอะไรที่ผมไม่อยากตอบอีกกี่คำถาม แค่ได้ยินเสียงมันก็เบ้ปากส่งไปแล้ว
“เท่าที่รู้มา พี่ลูกคนเดียว”
“ขอพูดอะไรหน่อยเถอะ ไม่อยากด่าว่าโรคจิตหรอกนะ แต่การกระทำของนายที่แสดงออกมาตอนนี้เนี่ย แม่งโคตรจะโรคจิตเลยว่ะ ไม่รู้หรอกนะว่าไปสืบมาจากไหน แต่ตอนนี้เวลานี้บ้านหลังนี้ อยู่กันสามคนเป็นครอบครัว แล้วก็เลิกถามเรื่องส่วนตัวได้แล้ว ไม่อยากตอบ เข้าใจนะ”
พูดจบผมก็เดินหนีออกมาพร้อมกับผิดประตูเสียงดังใส่ไปแรงๆ ถึงจะรู้สึกปวดใจนิดหน่อยที่ดันเพิ่งมารู้สึกสงสารประตูห้องตัวเองมันก็สายเกินไปแล้ว
ว่าแต่เถอะ ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ยอมรับตรงๆเลยว่าตอนแรกที่เห็นหน้าของเซนที่หน้าร้าน ผมอดรู้สึกดีใจไม่ได้เลยจริง แต่ความรู้สึกดีใจที่เห็นมันกลับโดนกลบไปด้วยความรู้สึกสับสนที่มีอยู่เต็มไปหมด
ผมโตแล้วและรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง มีความรู้สึกแบบไหน ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นภายในจิตใจตอนนี้ ผมรู้ดีกว่าใครเลยละ แต่ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น ผมกลับไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ผมมี อีกฝ่ายมีเหมือนกันกับผมหรือเปล่า
ทั้งๆที่ผมได้ยินมากับหูว่า “ชอบ” แต่ผมกลับกลัว ผมกำลังกลัวว่ามันจะพังไม่เป็นท่าเหมือนกับความไว้วางใจที่ผมเคยมีให้ ความไว้ใจที่ผมให้ไป ผมให้เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จนความรู้สึกดีๆที่เคยให้ไปมันกลับแตกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดี
ถึงสภาพตอนนี้มันกำลังเยียวยารักษาตัวเองแล้วก็ตาม ตอนนี้ผมไม่ต่างอะไรกับการกลายเป็นคนขี้กลัวไปเลย กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำรอย
เพราะแบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังต้องการความแน่ใจ ว่าสิ่งที่ผมมีกับสิ่งที่อีกฝ่ายมีมันตรงกันหรือเปล่า และถ้าหากมันไม่ตรงกันละก็ ผมจะได้ทำใจและเก็บมันเอาไว้ให้คนอื่น คนที่เขาต้องการมันจริงๆแทน
หายไปเกือบสองอาทิตย์
เฉกเช่นเดิม แต่ก็กลับมาแล้วจ้า
ปีใหม่ไปเที่ยวยาวๆเลยไม่ได้แต่งเลย
ขอโทษจริงๆค่าาาา
ใกล้จบแล้วน้า ฮิฮิ