แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]  (อ่าน 221696 ครั้ง)

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
หง่ะ ... :o
แต่อย่าเอาชื่อพันธ์พฤกษ์ไปใช้เน้อ เดี๋ยวต้องคิดชื่อตัวละครฉานใหม่อีก  :angry2:
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

ตอนนี้คิดชื่อไพรพฤกษ์ได้อีกชื่อ อันนี้เข้าป่าสุดๆไปเลย มีใครสนใจเอาไปใช้มั้ย โปรโมชันนำไปใช้วันนี้ได้อ่านนิยายป้าฟรีจนจบ  :laugh: (แจกและแถมสุดฤทธิ์)

เจ้านายยังจับไม่ได้ใช่ไม๊จ๊ะเนี่ย อิอิ

เอ่อ คุณพ่อ ใจร้ายจังเลยอ่ะ

ว้าย นักเขียนขวัญใจเข้ามาเม้นท์ด้วย ขอบคุณคับ  :m13:

เจ้านายน่าจะยังจับไม่ได้นะ แต่ไมวันนี้เหล่มาทางจอเราบ่อยจังหว่า เหอๆๆ

ส่วนป๊ะป๋า ร้ายได้อีก... :oni3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008 17:37:08 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
อัพตอนใหม่ซะหน่อยก่อนกลับบ้าน   :m18:


6.

“ไอ้หน่อไม้ ไม่ต้องขูดแรงขนาดนั้นลูก เดี๋ยวเปลือกมันหลุดติดออกมากับเนื้อมะพร้าวกันพอดี”

เสียงชายชราทักยิ้มๆเมื่อเห็นหลานชายตัวน้อยขะมักเขม้นนั่งขูดมะพร้าวกับกระต่ายขูดงกๆจนเหงื่อซึม เด็กชายพรพฤกษ์พยักหน้าแล้วก้มขูดมะพร้าวต่อโดยระมัดระวังมากขึ้น ส่วนตาก็กำลังหั่นไก่เป็นชิ้นๆเตรียมสำหรับทำแกงเขียวหวานเป็นมื้อเย็น เด็กชายใช้หลังมือปาดเหงื่อหลังขูดมะพร้าวเสร็จแล้วร้องบอกตาด้วยเสียงดังใสแจ๋ว

“ตาจ๋า ไผ่ขูดมะพร้าวเสร็จแล้ว”

ผู้เป็นตารับอ่างใบย่อมที่มีมะพร้าวขูดฝอยสีขาวฟูกองเป็นพูนไปเติมน้ำอุ่นพอประมาณ แล้วก็ไล่หลานชายจอมซนไปล้างมือให้สะอาดเพื่อจะได้มาคั้นกะทิ เด็กชายขยำมะพร้าวขูดกับน้ำอุ่นไปปากก็ชวนตาคุย “ตาๆ วันศุกร์นี้ที่โรงเรียนไผ่มีแข่งกีฬาสีแหละ ไผ่อยู่สีฟ้านะ ไผ่จะแข่งบอลกับชักเย่อด้วย ตาต้องไปดูนะ”

“เออๆ หลานตาเก่ง เดี๋ยวตาไปดู”

เด็กชายยิ้มแป้น “ไอ้อ้นมันชอบหาว่าไผ่เป็นลูกไม่มีพ่อมีแม่ แต่เวลามีงานโรงเรียนทีไรพ่อแม่มันไม่เห็นเคยมาดู สู้ไผ่ก็ไม่ได้ ตามาดูไผ่ทุกงานเลย”

ชายชราชะงักไปเล็กน้อย “อ้นมันเรียกไผ่อย่างงั้นเหรอลูก แล้ว...มีใครเรียกไผ่แบบนั้นอีกหรือเปล่า?”

เด็กชายเอียงคอ โดยปกติตาจะไม่ค่อยเรียกชื่อเล่นจริงๆของเขายกเว้นเวลาดุหรือเวลาจะคุยเรื่องสำคัญ เด็กน้อยจึงพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ไม่มีนะตา เพราะเวลาไอ้อ้นเรียกไผ่อย่างนี้ทีไรมันโดนครูนาดุทุกที ครูนาขู่ว่าถ้าได้ยินใครพูดอย่างนี้อีกจะตี เลยไม่มีใครกล้า”

“แล้วไผ่คิดมากหรือเปล่าลูก เรื่องพ่อแม่น่ะ”

เด็กชายวัยแปดขวบมองหน้าเศร้าๆของตาอย่างตื่นๆ แล้วเลยลุกขึ้นเอามือชุ่มน้ำกะทิกับเศษมะพร้าวขูดเช็ดเสื้อตัวเองก่อนเดินไปทรุดตัวกอดเอวตาอย่างประจบ “ไผ่ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่เป็นไร ไผ่มีตาเป็นทั้งพ่อทั้งแม่อยู่แล้ว ชีวิตไผ่มีตาคนเดียวก็พอ”

ชายชรายิ้มเศร้าๆแล้วกอดหลานตัวเล็กแน่นขึ้นอย่างมันเขี้ยว “ตาก็รักไผ่ แม่เค้าก็รักไผ่ แต่เค้าอยู่กับไผ่ไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงตาก็จะเลี้ยงไผ่ให้โตเป็นคนดีนะลูกเอ๊ย”




*************


พรพฤกษ์สะดุ้งลืมตาอย่างงัวเงีย หน้าจอโน้ตบุ๊คที่เขาเปิดไฟล์แปลงานเปลี่ยนเป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ไปแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเข็มนาฬิกาชี้เวลาเกือบห้าโมงเย็น นิ้วมือเรียวนวดคลึงขมับตนเองเบาๆแล้วก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปล้างหน้าที่อ่างในห้องครัว พอเงยหน้าขึ้นก็ได้ยินเสียงเปาะแปะๆดังเบาๆห่างๆก่อนจะเริ่มถี่และดังขึ้นเรื่อยๆ

“เฮ้ย!! ฝนตกอีกแล้วเหรอเนี่ย”

ร่างสูงเพรียวรีบเช็ดหน้าตนเองลวกๆก่อนวิ่งผ่านประตูหลังบ้านไปเก็บผ้าที่ตากไว้ โชคดีที่เสื้อผ้าที่ซักมีน้อยชิ้นจึงเก็บได้เร็ว มีเพียงเสื้อไม่กี่ตัวที่ซึมน้ำฝนจนเห็นเป็นรอยด่างวงเล็กๆ พรพฤกษ์จึงเอาใส่ไม้แขวนเสื้อแล้วผึ่งไว้ที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเลื่อนปิดประตูกระจกเพื่อกันฝนสาดเข้ามาในบ้าน มือข้างหนึ่งยกทาบที่ประตูก่อนจะแนบหน้าผากของตนตามลงไป สัมผัสเย็นๆจากแผ่นกระจกใสที่มีหยาดน้ำฝนอาบไล้เป็นสายอยู่ด้านนอกทำให้รู้สึกดี

“ต้นจะขับรถกลับมาอยู่หรือเปล่านะ ถนนทางขึ้นเขาตอนฝนตกมันลื่นด้วยสิ”

เจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มพึมพำเบาๆอย่างเป็นห่วง จะว่าไป เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศของการใช้ชีวิตกับใครอีกคนแบบนี้ เพราะตั้งแต่เรียนจบมัธยมก็ออกจากบ้านไปอยู่หอ จากนั้นเมื่อได้งานทำในกองบรรณาธิการนิตยสารในกรุงเทพฯก็เช่าห้องพักอยู่คนเดียว จนเมื่อตาล้มป่วยจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผู้เป็นบุพการี และหลังจากชายชราที่เขาเทิดทูนดั่งพ่อและแม่จากไปก็ตัดสินใจเปลี่ยนบ้านให้เป็นเกสต์เฮ้าส์เพราะจะได้ไม่ต้องขายบ้านให้แก่คนอื่น โชคดีที่บรรณาธิการที่พรพฤกษ์เคยร่วมงานด้วยเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง จึงคอยป้อนงานแปลและงานเขียนบทความเล็กๆน้อยๆให้อย่างสม่ำเสมอ พรพฤกษ์จึงมีรายได้เสริมเพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างไม่ขัดสน

ร่างสูงเพรียวหวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งในวัยเด็กที่ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ ชายหนุ่มไม่ได้ฝันถึงวัยเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับตามานานแล้ว การที่มีตระการเข้ามาอยู่ในบ้านตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คอยช่วยหยิบจับทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆและให้ความสนิทสนมราวคุ้นเคยกันมานานคงสะกิดต่อมความคิดถึงบรรยากาศครอบครัวขึ้นมากระมัง

เสียงบีบแตรจากรถยนต์คุ้นตาที่เลี้ยวเข้ามาตามถนนโรยกรวดฉุดพรพฤกษ์จากภวังค์ ชายหนุ่มคว้าร่มที่เสียบอยู่ในตะกร้าข้างประตูบ้านกางออกแล้ววิ่งฝ่าไปรับตระการที่เปิดประตูรถลงมา

“โห ทำไมต้นเปียกงี้ล่ะ ฝนเพิ่งตกเมื่อกี้เองนะ”

“พอดีในเมืองฝนมันตกไปก่อนแล้ว จะรอจนฝนหยุดก็กลัวมันจะค่ำมืด ไม่อยากให้ไผ่เป็นห่วงเลยรีบฝ่าฝนขับรถกลับมา”

น้ำเสียงและหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่ากลัวอีกฝ่ายจะเป็นห่วงจริงๆไม่ใช่แกล้งพูดเอาใจ จนคนถูกเป็นห่วงต้องยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ขับรถขึ้นเขาฝ่าฝนแบบนี้สิจะทำให้เป็นห่วงมากกว่า มา รีบเอาของเข้าบ้านแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวเป็นหวัด”

ตระการฉวยถุงจากร้านสะดวกซื้อหลายใบที่วางอยู่บนเบาะหลังแล้วหิ้วเข้าบ้านโดยมีพรพฤกษ์กางร่มให้ตลอดทาง ร่างสูงเอาของเข้าไปวางบนโต๊ะในครัวขณะเจ้าของที่พักเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาให้ ตระการเช็ดหน้าเช็ดผมลวกๆแล้วก็หันมาเห็นสีหน้ายิ้มๆของอีกคนจึงขมวดคิ้ว

“อะไรไผ่ ขำอะไร”

พรพฤกษ์พูดกลั้วหัวเราะ “ก็...ตอนที่ต้นมาพักที่นี่วันแรกก็เปียกฝนมาแบบนี้เหมือนกัน ยังกับโดนเจ้าที่เจ้าทางกลั่นแกล้งเลย”

นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มตวัดมองใบหน้ายามหัวเราะของคู่สนทนาแล้วก็ยิ้มตาม ได้แต่คิดในใจว่า ถ้าโดนเจ้าที่เจ้าทางแกล้งแล้วทำให้ได้อยู่ข้างๆพรพฤกษ์อย่างนี้ล่ะก็ เขายอมโดนแกล้งตลอดชีวิตก็ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

“เดี๋ยวต้นไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกินข้าวเย็นกัน ซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานมาด้วย เห็นที่ตลาดเขาว่าเจ้านี้อร่อย”

พรพฤกษ์กระพริบตาในความบังเอิญ เพราะเขาก็เพิ่งฝันว่าทำแกงเขียวหวานกับตาไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มส่ายศีรษะไล่ความคิดประหลาดๆออกไป

“โอเค งั้นต้นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวเราอุ่นแกงให้”


*************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 17:01:38 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
[ตอนที่ 6 ต่ออีกหน่อย]  :m13:

หลังจากทั้งสองทานอาหารเย็นและเก็บล้างจานชามเสร็จ พรพฤกษ์ก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง ตระการนั่งว่างๆอยู่ที่ห้องรับแขกคนเดียวจึงเปิดโทรทัศน์ดู ข่าวประจำวันยังคงเต็มไปด้วยการนำเสนอการโต้เถียงกันด้านนโยบายเศรษฐกิจระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ชายหนุ่มหยิบหนังสือนิตยสารท่องเที่ยวที่วางอยู่แถวๆโต๊ะรับแขกขึ้นพลิกดูอย่างไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาในโทรทัศน์นัก แต่แล้วหูก็ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยจากพิธีกรสาวเสียงใสจึงเงยหน้าขึ้นดู และได้พบว่าตอนนี้ทางสถานีเปลี่ยนรายการเป็นช่วงข่าวซุบซิบเกี่ยวกับดาราและแวดวงชนชั้นสูงไปแล้ว

“และวันนี้เหยี่ยวข่าวสาวของเราจะไปเกาะติดสาวสวยที่กำลังฮอตสุดๆในขณะนี้ เพราะเธอเพิ่งถ่ายแบบลงนิตยสารชื่อดังและกำลังจะเปิดร้านเสื้อผ้าที่ออกแบบด้วยตัวเอง คุณลิลลี่ หรือลลิตา ธนประสิทธิ์ค่ะ”

ภาพตัดไปที่หญิงสาวใบหน้าสวยสะดุดตาที่เขารู้จักดี ใบหน้านั้นได้รับการแต่งแต้มอย่างพิถีพิถัน ผมยาวสลวยเป็นลอนล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ ชุดที่ใส่และแสงแฟลชที่เห็นวูบวาบเป็นระยะทำให้รู้ได้ว่าหญิงสาวคงกำลังอยู่ในงานสังคมที่ใดสักแห่ง

หญิงสาวหันมายังผู้สื่อข่าวของช่องที่เขากำลังดูอยู่เมื่อถูกส่งเสียงเรียก “ลิลลี่คะ แล้วข่าวลือที่ว่าตอนนี้ลิลลี่กับคุณตระการ สุวรรณฤทธิ์กำลังคบหาดูใจกันอยู่นี่จริงหรือปล่าคะ?”

ตระการแทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินคำถาม แล้วก็ต้องอึ้งเป็นคำรบสองเมื่อได้ยินคำตอบจากปากนางแบบสาว “อ๋อ ตอนนี้พี่ต้นงานยุ่งมากค่ะก็เลยไม่ค่อยได้นัดเจอกัน แต่เราก็โทรคุยกันตลอดนะคะ เวลาเค้าไม่สบายใจอะไรก็จะโทรมาปรึกษาลิลลี่ นี่ก็คุยกันอยู่ว่าพองานซาๆลงเมื่อไหร่จะนัดไปเที่ยวต่างประเทศกัน”

แล้วภาพในจอก็ตัดไปเป็นวิดีโอที่เป็นภาพของเขาและหญิงสาวกำลังยืนคุยกันอยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อในงานสังคมงานหนึ่งที่เขาเคยถูกบิดาบังคับให้ไปเพราะเป็นงานเลี้ยงของหุ้นส่วนสำคัญ และมีนักข่าวเข้าไปขอถ่ายภาพ หญิงสาวจึงคล้องแขนเขาพลางหันยิ้มให้กล้องทันที ในตอนนั้นชายหนุ่มเกรงจะเสียมารยาทหากปฏิเสธจึงต้องปล่อยเลยตามเลย

ตระการบีบขมับ ไม่น่าแปลกใจหากสื่อมวลชนหรือคนทั่วไปที่รู้จักเขาเพียงผิวเผินจะเชื่อเรื่องที่ลลิตาแต่งขึ้น ในเมื่อภาพที่ได้เห็นนั้นแสดงความสนิทสนมจนยากจะคิดเป็นอื่น ทว่าความเป็นจริงก็คือเขาไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวและไม่เคยคิดจะขอ เพียงแค่คิดว่าเมื่อกลับไปเขาจะโดนทั้งคนรู้จักและสื่อมวลชนซักถามเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลลิตา ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่อยากกลับกรุงเทพฯมากขึ้นทุกที

“ดูอะไรอยู่เหรอต้น?”

ตระการสะดุ้งพลางคว้ารีโมตปิดโทรทัศน์อย่างรวดเร็วก่อนหันมายิ้ม “ข่าวซุบซิบดาราไร้สาระน่ะ เดี๋ยวต้นว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อย ไผ่จะทำงานต่อข้างล่างนี่หรือเปล่า เดี๋ยวชงกาแฟให้นะ”

พรพฤกษ์ขยำผ้าขนหนูผืนเล็กซับผมที่เพิ่งสระให้หมาดน้ำ ใบหน้าและผิวขาวยังแดงเรื่อๆจากการอาบน้ำอุ่น

“ขอเป็นชาดีกว่า วันนี้ซัดกาแฟไปหลายแก้วแล้ว ถ้ากินอีกแก้วปวดหัวจนนอนไม่หลับแน่”

“ได้ งั้นเอาเป็นเอิร์ลเกรย์แล้วกันนะ เห็นไผ่ชอบนี่”

ใบหน้าหวานยิ้มตามหลังชายหนุ่มที่เดินหายลับเข้าไปในครัวก่อนโยนผ้าขนหนูผืนเล็กใส่ตะกร้าผ้ารอซักที่วางอยู่ข้างบันได แล้วจึงเดินไปนั่งหลังเคาน์เตอร์ที่มีโน้ตบุ๊คคู่ใจวางอยู่และเปิดหนังสือต้นฉบับไปยังหน้าที่แปลค้างไว้



*************


ตระการเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนบนฝาผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว ชายหนุ่มสังเกตว่าเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นระยะบริเวณเคาน์เตอร์ที่พรพฤกษ์ทำงานอยู่เงียบไปแล้วจึงลุกขึ้นไปดู แล้วก็พบว่าร่างบางฟุบหลับอยู่หน้าจอ เขาชะโงกมองข้ามไหล่ไปยังกระดาษโน้ตที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเขียนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

“ปวดตาของีบก่อน ถ้าต้นจะไปนอนช่วยปลุกด้วย”

ใบหน้าคมเข้มอมยิ้ม เขาก้มลงตั้งท่าจะปลุกพรพฤกษ์ให้ตื่นแล้วไปนอนต่อบนห้องเพราะดูท่าทางคงทำงานต่อคืนนี้ไม่ไหว แต่พอก้มลงก็ได้กลิ่นหอมของแชมพูสระผมที่เจ้าตัวใช้เมื่อหัวค่ำ ชายหนุ่มชะงัก มือหนาที่ตั้งใจจะเขย่าปลุกจึงเปลี่ยนเป็นสางเข้าไปในเรือนผมนุ่มเบาๆอย่างพยายามไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกตัวตื่น

“ไผ่ ไผ่จะรู้ไหมว่าต้นอยากเจอไผ่มานานแค่ไหนแล้ว ต้นจะทำไงดี ต้นไม่อยากกลับเลย ถ้าต้นกลับไปกรุงเทพฯไผ่จะคิดถึงต้นหรือเปล่า”

ร่างบางส่งเสียงครางในลำคอเบาๆจนชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนึกว่าพรพฤกษ์จะตื่นขึ้นมา แต่แล้วก็เพียงแค่ขยับหันหน้าไปอีกด้านเท่านั้นเหมือนละเมอ เมื่อรอจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาชายหนุ่มก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจ นัยน์ตาคมทอดมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากที่ต้นคอด้านหลังเบาๆ

พรพฤกษ์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยความอ่อนเพลียและง่วงงุนจึงไม่ทันได้สนใจ ได้แต่ส่งเสียงคำรามเบาๆในคอเหมือนขัดใจที่มีคนมารบกวนการนอน ตระการหัวเราะกับอากัปกริยานั้นและตัดสินใจเขย่าปลุกร่างตรงหน้าอย่างจริงจัง

“ไผ่ ไผ่ลุกเร็ว ง่วงก็ไปนอนบนห้องเถอะ งานน่ะค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้”

ร่างบางผงกหัวขึ้นอย่างเสียไม่ได้เมื่อโดนเร้ามากๆเข้า หน้าตาง่วงงุนเหมือนคนยังไม่ตื่นดีทำให้ตระการยิ้ม เขาอยากเก็บภาพทุกอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไว้ ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับ และถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้ช่วงเวลาอันเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันมีค่านี้ต้องจบลงเลย


*************

ติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะจ๊ะ  :a11:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 17:06:30 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ความยาว ค่อนข้างสั้น นะคับ เอ๊ะยังไง 555

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ความยาว ค่อนข้างสั้น นะคับ เอ๊ะยังไง 555

หมายถึงนิยายของป้าหรืออะไรอะ  :jul3:

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
อ้างจาก: bellbomeb
พรพฤกษ์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ด้านหลัง
จินตนาการเข้าไปเรา โฮะๆๆ ลมหายใจอย่างเดียวเท่านั้นหรือ โฮะๆๆๆ  :oni3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
ใกล้จะถึงเวลาพรัดพรากกันแล้วใช่มั้ยคู่นี้  :m15:

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
ป้าคับ
ค้างคับป้า
 :serius2:

อ่านไปแล้วผมชอบมากเลยคับ โดยเฉพาะบทที่ต้นไม่อยากกลับอ่ะคับป้า ผมชอบจริงๆ นึกถึง location ตามที่ป้าบรรยายเลยคับ  :m23:

juuuno99

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:ชะแว้บบบบ แอบเข้ามาอ่าน  :laugh:  ลงบ่อยๆนะป้า ได้อ่านอีกทีนสงสัยคงตอนกลับบ้านแหระ


ป้าๆๆ มีแต่คนเรียกว่า ป้า ทั้งนั้นเลยนะ  :laugh:  :laugh: :laugh:


มาอ่านแล้ว สะใจแล้ว ไปละค๊าบบบบบบบบบ ชะแว้บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :oni1: :oni1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
คิดถึงแฟนๆขาประจำทุกท่านเจ้าค่า~

เอ็ดเวิร์ด เฉิน ไม่แน่ใจที่ว่าสั้นนี่คือนิยายของป้าหรืออะไร แต่หลังๆนี้ก็พยายามเขียนแต่ละตอนให้ยาวขึ้นแล้วนะ กลัวคนอ่านไม่จุใจ
The Living Rive   พลังจิ้นเท่านั้นที่ครองโลกจ้า~~ โฮะๆๆๆ
ที่รักของ...  ไม่เอา ไม่สปอยล์ กิ๊วๆ
บุหรง     ช่วงนี้หายไปเลยแฮะ ปั่นนิยายตัวเองอยู่อะดิ คิดถึงนะตะเอ๊ง
pickki_a  แท็งกิ้วหลานรัก อย่าว่าแต่ป้าเลย เรื่องของตัวเองก็ค้างได้ที่พอกัน ยังไงก็ขอบคุณที่ชอบสำนวนป้านะจ๊ะ
Ju!_Ju!   ไปภูเก็ตเจแตกไปมั่งยังเนี่ย แล้วก็คิดว่าเพราะใครยะป้าถึงได้กลายเป็นป้าอย่างทุกวันนี้ โฮก!
:angry2:

*************



7.


พรพฤกษ์สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือเสียดก้องเข้ามาในโสตประสาท ชายหนุ่มหยีตาขึ้นข้างหนึ่งมองออกไปที่หน้าต่างก็เห็นว่าภายนอกสว่างสดใส แสดงให้เห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านานพอสมควรแล้ว ร่างเพรียวหลับตาลงอย่างเก่าพลางขยับตัวและกวาดมือเปะปะไปยังโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง พอคว้าได้โทรศัพท์มือถือก็กลั้นหาวก่อนกดปุ่มรับสายทันที

“สวัสดีครับ”

เสียงหัวเราะก๊ากดังมาจากปลายสาย “ไอ้เสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นนั่นมันอะไรวะ คุณท่านพรพฤกษ์คร้าบ ถือว่าเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์แล้วนอนอืดกินบ้านกินเมืองอย่างงี้ได้เรอะ?”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้วแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอ เมื่อเห็นชื่อว่าใครเป็นคนโทรมาก็ยิ้มขำ นิ้วมือเรียวยกขึ้นขยี้ตาพลางตอบรับ

“ขออู้มั่งสิ เมื่อคืนทำงานดึก กว่าจะได้นอนก็ตีสาม แขกก็ไม่มีมาพัก”

เอ...จริงๆก็มีอยู่คนหนึ่งล่ะนะ แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนเป็นแขกก็ไม่รู้เหมือนกัน พรพฤกษ์คิดช้าๆเหมือนสมองยังไม่ตื่นตัวดี

“อู๊ยยยย ชีวิตเอกเขนอกจริงโว้ย ว่าแต่ช่วงนี้เงียบหายไปนานแล้วนะ คนเค้าไม่ได้ชวนลงหุ้นทำร้านให้รอรับทรัพย์อย่างเดียวนะเว้ย ว่างๆก็ลงมาเป็นนางกวักเรียกลูกค้ามั่งซิ”

“เฮ่ย...ไม่ใช่ผู้หญิง”

พรพฤกษ์ติงอย่างไม่ใส่ใจนักพลางยันตัวขึ้นแล้ววาดขาลงข้างเตียง “แล้วส่วนที่เราลงขันไปก็ส่วนเล็กๆเอง นอมันยังบอกว่าไม่ต้องลงไปบ่อยๆก็ได้ พนักงานในร้านก็มีตั้งเยอะแยะ”

“ไอ้นี่ กวนนะ เอาเหอะ พอดีคืนนี้น้องแนนเค้าจะจัดงานวันเกิดที่ร้านแล้วบ่นคิดถึงพี่ไผ่ๆ ไอ้นอเลยฝากให้โทรมาชวน ตกลงว่างมาแจมมั้ยล่ะ”

พรพฤกษ์เหลือบดูปฏิทินแขวนข้างประตู พรุ่งนี้เป็นวันที่จะมีแขกมาเข้าพักสองห้องตามที่เคยโทรมาจองไว้กับตระการ ถ้าเขาเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่วันนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“ไปก็ได้ ไม่ได้เข้าร้านมาเป็นเดือนแล้วนี่ เอ้อ...เฮ้ยย่าม คืนนี้เราพาเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”

“หือ ไปแอบมีเพื่อนที่ไหนแล้วไม่บอกเพื่อนฝูงด้วยเหรอวะ ก็เอาดิคนเยอะๆจะได้คึกคัก”

พรพฤกษ์ไม่ทันรู้สึกถึงน้ำเสียงกระเซ้าๆของอีกฝ่ายตอนที่พูดคำว่า “เพื่อน” จึงกลั้นหาวอีกครั้งก่อนตัดบท

“เอาเหอะ ยังไงไว้คืนนี้เจอกันที่ร้านแล้วค่อยคุยกัน”

นิ้วเรียวกดปิดโทรศัพท์มือถือก่อนลุกเข้าห้องน้ำ ห้องนอนของเขาเป็นห้องเดียวในบ้านที่มีห้องน้ำในตัวเพราะเป็นห้องนอนหลักและเพื่อความเป็นส่วนตัว พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองกระจกหลังแปรงฟันล้างหน้าเสร็จพลางเอาผ้าขนหนูซับใบหน้า จะว่าไป เมื่อคืนเขาจำได้ว่าเหนื่อยมากจนฟุบหลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อตระการมาเรียก แต่กระนั้นก็จำไม่ได้ว่าตนเองเดินขึ้นมาบนห้องนอนตอนไหน ท่าทางเขาคงเพลียมากไปจนละเมอเดินตามคนปลุกขึ้นมากระมัง

เมื่อพรพฤกษ์เดินลงมาชั้นล่างก็พบว่าตระการกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ พ่อครัวจำเป็นหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง

“ตื่นแล้วเหรอ หิวมั้ย? ต้นทำข้าวต้มปลาไว้ กินก่อนค่อยทำงานต่อนะ”

ร่างเพรียวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งแล้วรับถ้วยข้าวต้มควันกรุ่นมาไว้ตรงหน้า “เมื่อคืนแปลไปได้เยอะแล้ว วันนี้บ่ายๆก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ ว่าแต่คืนนี้เพื่อนโทรมาชวนให้ไปที่ร้าน ต้นอยากไปด้วยกันมั้ย”

ร่างสูงชะงักมือแข็งแรงที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปาก นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้มๆ

“ไปอยู่แล้วสิ เรื่องอะไรจะเฝ้าบ้านเหงาอยู่คนเดียวล่ะ”



*************


พรพฤกษ์จอดรถเลียบถนนในตรอกเล็กๆไม่ห่างจากร้านอาหารกึ่งผับที่ตนเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนก่อนจะเดินนำตระการไปที่ร้าน เนื่องจากทั้งสองเดินทางมาถึงเมื่อเวลาล่วงเลยหัวค่ำไปมากแล้วทั้งร้านจึงมีคนแน่น ตระการสังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนมากเป็นนักศึกษาหรือไม่ก็พนักงานบริษัทที่อายุไม่มากนัก และมีบางโต๊ะที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบบแบ็คแพ็ค ด้วยสไตล์การแต่งร้านแนวป๊อบอาร์ตย้อนยุคและโต๊ะเก้าอี้ที่เป็นไม้ทาสีดูดิบๆบวกกับการเปิดดนตรีป๊อบสไตล์อังกฤษจึงไม่น่าแปลกใจที่ทางร้านจะมีลูกค้าประจำที่ชื่นชอบบรรยากาศแนวนี้ได้ไม่ยาก

ร่างเพรียวเดินนำคนตัวสูงกว่าเข้าไปนั่งบริเวณเคาน์เตอร์ด้านในซึ่งยังไม่มีคนจับจองแล้วก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังเคาน์เตอร์ทันที

“บอย ขอสิงห์ไลท์สองขวด”

“อ้าวพี่ไผ่ หูยไม่ได้มาตั้งนานแนะพี่ แป๊บนะ”

เด็กหนุ่มหน้าอ่อนผมตัดสั้นเกรียนซึ่งฟอกจนเป็นสีทองไปทั้งหัว หูข้างหนึ่งใส่ต่างหูสตั๊ดประดับเพชรเทียมเม็ดใหญ่ ท่าทางยังเป็นแค่นักศึกษายกมือไหว้พรพฤกษ์ก่อนหายเข้าไปห้องด้านหลังเคาน์เตอร์แล้วนำเครื่องดื่มที่สั่งมาให้

“พี่นอบอกผมไว้แล้วแหละว่าพี่ไผ่จะมาคืนนี้ แต่ไม่เห็นมาซักทีเลยไม่รู้เฮียเค้าหายไปไหนแล้ว เดี๋ยวผมไปตามให้นะ”

มือหนาหนักตบบ่าบางของพรพฤกษ์ที่หันไปพยักหน้าให้เด็กเสิร์ฟในร้านอย่างไม่เบามือนัก “ไงไอ้เสือภูเขา นึกว่าวันนี้จะไม่ลงมาจากเขาแล้วซะอีก”

ร่างบางหันกลับไปมองต้นเสียงแล้วก็แขวะกลับเข้าให้ยิ้มๆ

“ก็คุณไม่ใช่เหรอครับที่โทรตามผมลงมา ไอ้คุณย่าม ยังดีหน่อยนะที่คราวนี้เลื่อนขั้นให้เป็นเสือภูเขา คราวที่แล้วยังเรียกแพะภูเขาอยู่เลย”

ผู้มาใหม่หัวเราะร่วน ร่างท้วมเล็กน้อยใส่เสื้อยืดสีขาวตุ่นๆตัดกับผิวสีคล้ำและกางเกงขาสามส่วนลายพรางกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อบ่งบอกความเป็นศิลปินเต็มตัว ดวงตาคมดูฉลาดทันคนบนใบหน้าที่มีหนวดเครารุงรังดูเปิดเผยและใจดี ชายหนุ่มหันมาทางตระการก่อนเอ่ยทัก

“หวัดดีครับ เพื่อนไอ้ไผ่ใช่มั้ยเนี่ย?”

ตระการนึกชอบความมีอัธยาศัยดีโดยไม่เสแสร้งของคนตรงหน้าทันที “ครับ ผมต้นครับ ตอนนี้มาอาศัยบ้านไผ่อยู่ครับ”

ชายหนุ่มพูดติดตลก อีกฝ่ายเกาคางหลังจากได้ยินคำตอบ

“เหอ แปลกดี ไม่เห็นไอ้ไผ่เคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนชื่อต้น”

พรพฤกษ์กระทุ้งศอกใส่เอวตระการที่นั่งอยู่ข้างกันเบาๆก่อนจะแก้ให้

“เป็นแขกต่างหาก แต่ท่าทางตอนนี้หาทางกลับบ้านไม่เจอเลยมานอนที่เกสต์เฮ้าส์เกือบสองอาทิตย์แล้ว ต้น นี่เพื่อนไผ่ชื่อย่าม เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมแล้ว”

ดิษยะลอบมองคนทั้งสองด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็ยิ้มเผล่ แต่ไม่ทันอ้าปากพูดอะไรก็มีชายหนุ่มร่างผอม ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายและกางเกงยีนส์สีเข้มเดินตรงเข้ามาทักพรพฤกษ์เสียก่อน

“ไงเรา หาทางมาร้านเจอแล้วเหรอ ตอนไอ้ย่ามบอกว่าไผ่จะลงมาวันนี้เรายังไม่ค่อยเชื่อมันเลยนะเนี่ย”

พรพฤกษ์ยิ้มแห้งๆแล้วก็แนะนำตระการให้รู้จักกับนรพัฒน์ซึ่งเป็นเพื่อนอีกคน ทั้งสามร่วมกันลงขันเปิดร้านนี้ขึ้นเมื่อปีกลาย แต่เจ้าของหลักคือนรพัฒน์เนื่องจากใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านมาดัดแปลงทำเป็นร้าน และเป็นคนที่ออกเงินลงทุนเยอะที่สุด ส่วนดิษยะนั้นเป็นครูพิเศษสอนดนตรีและมีวงของตัวเอง และในสัปดาห์หนึ่งๆก็จะมาเล่นสดที่ร้านสามวัน

ทั้งสามพูดคุยกันสัพเพเหระตามประสาเพื่อนที่นานครั้งจะได้เจอกัน โดยมีดิษยะคอยเล่าวีรกรรมสมัยเด็กของพรพฤกษ์ให้ตระการฟังและมีนรพัฒน์คอยขัดจังหวะเป็นระยะ ตระการนั่งยิ้มฟังเรื่องราวที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนของคนข้างตัวและคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของร่างบางเวลาพูดคุยกับเพื่อนสนิทซึ่งแตกต่างจากเวลาอยู่กับเขาอย่างเพลิดเพลิน

“จะว่าไป รู้สึกตอนนี้ไอ้อ้นมันจะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วนะ”

พรพฤกษ์หันไปถามเพื่อนร่างท้วมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“อ้น อภิสิทธิ์ที่เคยไปโรงเรียนเดียวกันกับเราตอนเด็กน่ะเหรอ”

ดิษยะหยิบถั่วลิสงทอดใส่ปาก “อ้นนั้นน่ะแหละ พอดีวันก่อนกูไปเล่นดนตรีที่ร้านอาหารริมแม่น้ำแล้วเจอมันเดินเข้ามาทัก เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากไปช่วยญาติทำร้านอาหารที่ญี่ปุ่น เห็นว่าตอนนี้จะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเพราะที่บ้านมันก็ทำร้านอาหาร มันถามถึงมึงด้วยว่ะ”

“ถามถึงทำไม ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้สนิทกัน ยิ่งสมัยมัธยมนี่คุยกันนับครั้งได้เลยมั้ง”

พรพฤกษ์ทำหน้าฉงน ตระการสังเกตเห็นท่าทางอมยิ้มของดิษยะแล้วก็ให้รู้สึกอคติกับคนที่อีกฝ่ายพูดถึงขึ้นมาเสียดื้อๆ

นรพัฒน์ขอยืมตัวพรพฤกษ์ไปทักทายน้องสาวของตนซึ่งกำลังนั่งฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆอยู่ที่โต๊ะด้านนอก ตรงเคาน์เตอร์จึงเหลือเพียงดิษยะกับตระการเท่านั้น

“นี่...ต้นไม่เคยรู้จักกับไผ่มันมาก่อนจริงๆเหรอ”

ตระการเงยหน้าขึ้นมองคนถามแล้วก็ตอบกลับยิ้มๆ

“ก็เพิ่งเจอตัวตอนที่ผมไปพักที่บ้านนฤมิตรนี่แหละครับ ทำไมเหรอ?”

คนถูกถามเกาคาง ซึ่งตระการคาดว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของเจ้าตัวเวลาใช้ความคิด

“อืม...ก็เห็นสนิทกันขนาดนั้น ปกติไผ่มันแนะนำแขกที่เกสต์เฮ้าส์ให้มาที่ร้านก็จริง แต่มันไม่เคยพาแขกมาเองแบบนี้ซักครั้ง”

ตระการได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเขินๆ “เพราะผมมาพักคนเดียวแบบไม่มีแผนการเที่ยวล่ะมั้งครับ แล้วก็อายุน้อยกว่าด้วย ไผ่คงสงสารเลยพาไปโน่นไปนี่”

“เห...นี่เด็กกว่าไอ้ไผ่เหรอ”

ไม่ทันที่ย่ามจะพูดอะไรต่อพรพฤกษ์กับนอก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ หลังจากทั้งหมดดื่มเบียร์หมดไปอีกขวดและเพลงในร้านเริ่มเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วขึ้นสำหรับลูกค้าที่อยากเต้น พรพฤกษ์กับตระการก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังต้องขับรถกลับบ้านอีกไกล

“วันหลังมาอีกนะ มากันวันที่พี่ร้องเพลงก็ได้ จะได้รู้ว่าป๊อบ แคลอรี่ บลาบลายังชิดซ้าย ฮ่าๆๆๆ”

หลังจากทั้งสองเดินลับตาไปแขนใหญ่ๆของดิษยะก็คว้าหมับที่แขนนรพัฒน์ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปทางอื่นแล้วป้องปากทำเสียงกระซิบ

“เฮ้ย สงสัยไอ้อ้นแม่งอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้จีบแน่เลยว่ะ”

คนถูกดึงตัวไว้ทำหน้างง “มึงพูดถึงใครวะ แล้วจะทำเสียงกระซิบกระซาบทำไม ดนตรียิ่งดังๆอยู่”

“มึงนี่นะ ก็เพื่อนที่ไอ้ไผ่มันพามาด้วยไง มึงไม่คิดว่ามันดูสนิทกันมากผิดปกติมั่งเหรอ”

นรพัฒน์เลิกคิ้วคิดตามแล้วก็นึกออก “อ๋อ แต่เท่าที่เห็นสองคนนั้นก็ไม่ได้เป็นแฟนกันนี่หว่า แล้วอีกฝ่ายก็แค่แขกที่มาพัก เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพฯแล้ว”

“ก็ไม่แน่นา ไม่เห็นตาไอ้ต้นตอนมองเพื่อนมึงเหรอ หวานเยิ้มซะกูกลัวมดขึ้น”

“เหมือนตอนมึงตามจีบน้องกูน่ะเหรอ?”

นรพัฒน์พ่นหัวเราะทางจมูกจนอีกฝ่ายรีบปัดอย่างร้อนตัว “เฮ่ย! เรื่องตั้งแต่สมัยไหนวะนั่น เดี๋ยวแฟนน้องแนนมาได้ยินกูซวยพอดี แล้วตกลงมึงไม่ติดใจอะไรเรื่องไอ้ไผ่มั่งเลยเรอะ?”

ฝ่ายคนถูกถามเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วหยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดูเพราะท่าทางเพื่อนรักคงไม่ปล่อยตัวไปง่ายๆ

“เรื่องหัวใจใครก็เรื่องของคนนั้นสิวะ แล้วอีกอย่าง ไอ้อ้นมันก็ไม่รุกเองตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน จะโดนคนอื่นคาบไปก็ต้องโทษตัวมันเองแหละ”

“ตกลงว่า มึงพนันข้างเด็กใหม่?”

“คิดพิเรนทร์อะไรขึ้นมาอีกล่ะ เอาเรื่องเพื่อนมาพนัน ขืนไผ่มันรู้คงได้โดนบ่นหูชา”

นรพัฒน์เหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนอย่างระแวง ดิษยะจึงจุ๊ปากอย่างขัดใจ “เรื่องอะไรจะให้มันรู้ละ ก็พนันขำๆสิวะ กูเห็นเพื่อนจะมีคู่ทั้งทีก็เลยขอลุ้นให้ตื่นเต้นเล่นเท่านั้นแหละ”

ฝ่ายคนฟังส่ายหน้าอย่างระอาใจ ขณะที่เพื่อนอีกคนกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์นัยน์ตาเป็นมัน บอยเดินถือถังน้ำแข็งออกมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์พอดี

“เอ้า พี่ๆเจ้าของร้านครับ อย่ากินแรงลูกน้องแล้วมัวแต่จีบกันอยู่สิครับ ช่วยผมทำมาหากินหน่อย”

“ไอ้บอย”

เสียงเข้มดังประสานขณะที่สายตาอาฆาตสองคู่หันขวับมาทางไอ้เด็กปากดีจนเจ้าของชื่อต้องรีบเผ่นไปนอกเคาน์เตอร์แทบไม่ทัน



*************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 17:48:26 โดย bellbomb »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
[ตอนที่ 7 ต่อ] ตอนโพสท์เมื่อคืนก็โอเคนะ แต่ไหงมาดูอีกทีเมื่อเช้าโดนตัดตอนไม่รู้งะ เลยต้องโพสท์ใหม่  :a11:


*************


“ไผ่ ถึงบ้านแล้ว”

“อืมม์...”

พรพฤกษ์ขยี้ตาอย่างงัวเงียเมื่อถูกมือหนาแข็งแรงเขย่าไหล่ ตระการก้าวลงจากรถแล้วยืนรออีกฝ่ายเปิดประตูรถลงมาอย่างใจเย็นก่อนจะล็อครถแล้วเดินตามหลังเจ้าของบ้าน แล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางงกๆเงิ่นๆของพรพฤกษ์ที่พยายามเลือกกุญแจดอกที่ถูกออกมาไขประตู นัยน์ตาหวานที่ตอนนี้เชื่อมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ตวัดขึ้นมองคนตัวสูงกว่าค้อนๆ

“ขำอะไรต้น”

เสียงที่อ้อแอ้นิดๆทำให้ตระการหลุดขำออกมา ก่อนจะคว้าพวงกุญแจไปจากมือเรียวที่ดูจะไขกุญแจไม่ตรงช่องเสียที

“พอเถอะไผ่ ขืนรอไผ่คืนนี้ได้นอนหน้าบ้านแน่เลย”

ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะคัดค้านคนตัวสูงก็เลือกกุญแจดอกที่ถูกต้องแล้วไขกุญแจเข้าบ้านไปแล้ว ตระการกดสวิทช์เปิดไฟแล้วก็หัวเราะเมื่อหันกลับไปคนหน้ามุ่ยที่เดินตามหลังมา ใบหน้าขาวเนียนแดงเรื่อด้วยแอลกอฮอลล์ นัยน์ตาฉ่ำมีประกายไม่พอใจกลับยิ่งขับดวงตาหวานคู่นั้นให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ริมฝีปากที่ยื่นเล็กน้อยดูยั่วยวนจนร่างสูงอยากดึงเข้ามาหอมแก้มอย่างมันเขี้ยว

“ไผ่ไปล้างหน้าก่อนนะ เดี๋ยวต้นชงชาให้ จะได้สร่าง”

ร่างเพรียวอยากจะค้านว่าตนไม่ได้ดื่มมากขนาดนั้น แต่ก็โดนอีกฝ่ายจูงไปหน้าห้องน้ำแล้วจึงจำใจเข้าไปล้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก ทำไมทั้งที่เขาอายุมากกว่าแท้ๆแต่กลับมาโดนคนที่อายุน้อยกว่าคอยดูแลเจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป็นเด็กอย่างนี้ด้วยนะ

“ไผ่ จะเอาลิปตันหรือชาสมุนไพรดี”

“เอาลิปตันก็ได้...โอ๊ย!”

ด้วยความที่ในหัวยังมึนๆอยู่ทำให้พรพฤกษ์ไม่ทันสังเกตตอนเดินออกจากห้องน้ำว่ามีด้ามไม้กวาดล้มขวางอยู่บนพื้นจึงสะดุดล้ม ตระการรีบออกจากครัวมาดูเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้อง

“ไผ่! เป็นอะไร?”

“สงสัยข้อเท้าแพลง โอ๊ยต้น เบาๆหน่อย” พรพฤกษ์หน้านิ่วเมื่อโดนมือหนาจับข้อเท้าข้างที่เจ็บอย่างไม่เบามือนัก

ตระการพยุงอีกฝ่ายขึ้น  แต่ก้าวเดินได้แค่ก้าวเดียวร่างบางก็รู้สึกปวดแปลบทันทีจนต้องยื้อแขนอีกฝ่ายไว้  “เดี๋ยวต้นขึ้นไปเอากระเป๋ายาบนห้องมาให้หน่อยได้มั้ย ถ้าเอาน้ำมันนวดกับเอาผ้าอิลาสติกพันไว้ก็น่าจะโอเค…เฮ้ยต้น ทำอะไร!”

ท้ายประโยคเสียงพรพฤกษ์แหลมขึ้นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อร่างตัวเองถูกยกอุ้มจนตัวลอย ตระการมองคนในอ้อมแขนแล้วก็ส่ายหน้า

“เสียเวลา อุ้มขึ้นไปแล้วไปนวดบนห้องเลยแล้วกัน ไผ่จะได้อาบน้ำนอนไปเลย”

“เฮ้ยไม่เอา เราหนักต้นอุ้มไม่ไหวหรอก เดี๋ยวค่อยๆเดินขึ้นไปก็ได้”

“หนักตรงไหน เมื่อคืนก็อุ้มไปนอนทีนึงแล้ว เบาจนจะโยนเล่นได้แล้วเนี่ย”

ไม่พูดเปล่า คนอุ้มทำท่าเหวี่ยงเหมือนจะโยนจริงๆจนคนที่โดนอุ้มต้องรีบกระหวัดแขนรอบคอคนอุ้มแน่น

“เฮ้ย อย่าเล่นนะต้น หล่นไปมีเคืองจริงๆด้วย”

“งั้นก็ว่าง่ายๆ ไปขึ้นห้องกัน”

แทนที่จะทำท่ากลัว คนถูกขู่กลับยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกายระยับ พรพฤกษ์รู้สึกบรรยากาศชักแปลกๆจึงพยายามจะยื้อ “เดี๋ยวนอนที่โซฟาข้างล่างก็ได้ ไม่งั้นตอนเช้าก็เดินลงมาลำบากอีก พรุ่งนี้มีแขกมาเช็คอินไม่ใช่เหรอต้น”

“เดี๋ยวต้นอุ้มก็อุ้มลงมาไง ไปนอนที่ห้องแหละดีแล้ว ไผ่จะไม่อาบน้ำเหรอ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ติดตัวติดผมไปหมดแล้ว”

ชายหนุ่มว่าแล้วก็ทำท่าก้มมาดมผมของคนในอ้อมแขนจนพรพฤกษ์หน้าย้อมไปด้วยสีเลือด ร่างบางจนด้วยคำพูดโต้เถียงเพราะดูท่ายังไงๆคนอุ้มคงไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆแน่ แล้วเมื่อคืนอุ้มเขาขึ้นไปอีท่าไหนกันเขาถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิด คนถูกอุ้มถอนหายใจ

เอ้า อยากทำอะไรก็ให้ทำไปแล้วกัน...



*************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 17:58:34 โดย bellbomb »

kampanat02

  • บุคคลทั่วไป
โห ป้า

อัพบ่อยจังเลย

ผมนี่ขี้เีกียจๆๆ  เหอะๆๆ

ชอบๆๆป้าแต่งเก่งมั่ก


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
นู๋ kampanat02  เปลี่ยนจากเจ้เป็นป้าไปอีกคนแล้วสินะ  :freeze:

เหมือนตอนนี้เรื่องกำลังไหล เลยต้องรีบปั่นระหว่างที่ยังมีเวลาอะ เดี๋ยวยุ่งขึ้นมาเมื่อไหร่จะเงียบหายนานเกิน

juuuno99

  • บุคคลทั่วไป
นู๋ kampanat02  เปลี่ยนจากเจ้เป็นป้าไปอีกคนแล้วสินะ  :freeze:


เข้ามา :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :jul3: :jul3: :jul3: :jul3:

แล้วก็  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
ป้าครับ
ยาวได้โล่เลยป้า  o13

ผมว่าเดี๋ยวต้นกับไผ่จะต้องรักกัน  :laugh:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
:a2: อัพถี่ๆ อัพถี่ๆ (งานได้เงินไม่ยักขยันอย่างนี้แฮะ  :m29:)


*************


8.


เสียงรถโดยสารที่ขับเข้ามาตามถนนโรยกรวดหน้าบ้านแจ้งให้รู้ว่าแขกผู้มาเยือนเดินทางมาถึงแล้ว พรพฤกษ์ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์แต่โดนมือใหญ่รั้งไหล่ไว้

“คนขาเจ็บนั่งอยู่นี่แหละ เดี๋ยวต้นไปรับแขกเอง”

“แค่ข้อเท้าแพลงเองนะ ทำยังกับไผ่ขยับตัวนิดหน่อยขาจะหักงั้นแหละ”

ร่างบางบ่นแล้วก็ทำหน้างอจนอีกฝ่ายหัวเราะ “ก็ยิ่งไม่ใช้งานมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหายเร็วไง”

ร่างสูงว่าแล้วก็เดินไปเปิดประตูรับแขกทั้งสี่ซึ่งกำลังนำกระเป๋าลงจากรถรับจ้างพลางจ่ายเงินค่ารถอยู่

“สวัสดีครับ คณะของคุณปาริดาใช่มั้ยครับ?”

หญิงสาวผมตรงเคลียไหล่ สวมแว่นกรอบกลมดูท่าทางยังเป็นนักศึกษาหันมาทางเขาแล้วยิ้มรับ “ใช่ค่ะ ที่จองไว้สองห้องน่ะค่ะ”

“เชิญด้านในเลยครับ”

ชายหนุ่มสังเกตเห็นแล้วว่าทั้งสี่ต่างพกกระเป๋าประจำตัวมาเพียงใบย่อมๆและไม่มีสัมภาระใดต้องช่วยถือจึงเดินนำเข้าในตัวบ้าน พรพฤกษ์เดินกระเผลกๆพร้อมถาดและถ้วยชาสมุนไพรใส่น้ำแข็งสี่ใบออกมาจากในครัว พอตระการเห็นก็รีบเดินเข้าไปคว้าถาดจากมือทันที

“ลุกมาทำไมเนี่ย ต้นบอกแล้วว่าให้นั่งเฉยๆไง”

“เอ้า ก็คนมันชินนี่นา เป็นเจ้าของบ้านพักไม่ต้อนรับแขกได้ที่ไหน”

ทั้งสองเถียงกันจนลืมแขกทั้งสี่ที่ยืนหน้าตื่นๆอยู่กลางห้องรับแขก จนกระทั่งเสียงหนึ่งกระแอมขึ้นเบาๆ ทั้งสองจึงหันมามอง

“เอ้อ ขอโทษ แต่พอดีอยากเอาของขึ้นไปเก็บแล้ว ขอกุญแจห้องได้ไหม?”

“เจ้ปาล์ม! อย่าเสียมารยาทสิ ขอโทษนะคะ เจ้แกคงหงุดหงิดที่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กน่ะค่ะ”

ปาริดาหันไปตบแขนผู้เป็นพี่สาวเบาๆก่อนหันมายิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มทั้งสอง เมื่อตระการหันไปมองต้นเสียงเมื่อครู่ก็พบว่าเป็นหญิงสาวผมซอยสั้นใบหน้าเกลี้ยงเกลา รูปร่างสูงระหงดูท่าทางทะมัดทะแมง ใส่เสื้อยืดโปโลทับเสื้อคอกลมด้านในกับกางเกงทรงหลวม ดูเผินๆคงจะเป็น “สาวหล่อ” ที่คนบางกลุ่มนิยมกัน

“ขอโทษครับ เดี๋ยวยังไงดื่มชาเย็นแล้วก็เซ็นชื่อลงทะเบียนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมพาขึ้นไปดูห้อง”

หลังเสิร์ฟชาให้หญิงสาวทั้งสี่แล้วตระการก็กึ่งอุ้มกึ่งลากพรพฤกษ์กลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังเคาน์เตอร์เหมือนเดิม หน้าหวานแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาสี่คู่มองตามอากัปกิริยาของพวกเขาทั้งสองด้วยหน้าตาเหรอหราปนสนใจ ชายหนุ่มแอบหยิกแขนคนตัวโตกว่าจนอีกฝ่ายสูดปากแต่นัยน์ตากลับยิ้มพราว

“ผมพรพฤกษ์นะครับ เรียกไผ่ก็ได้ เป็นเจ้าของบ้านนฤมิตรนี่ ส่วนคนนี้ชื่อต้น เป็น....ผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์”

ท้ายประโยคพรพฤกษ์ไม่รู้จะแนะนำตระการว่าอะไรดีจึงโมเมให้เป็นผู้ช่วยเขาเสียเลย พอชำเลืองมองก็เห็นคนที่เพิ่งถูกแต่งตั้งจะชอบตำแหน่งที่ได้รับเสียด้วย

หลังตระการพาแขกทั้งสี่ขึ้นไปบนห้องพักที่ชั้นสามแล้วพรพฤกษ์ก็นั่งเท้าคางพลางเปิดอีเมล์โหลดงานแปลที่อดีตบก.ส่งมาให้ตรวจทานเพิ่มเติม แล้วพลันก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน หลังตระการส่งเขาเข้าห้องและกำชับว่าอาบน้ำเสร็จแล้วอย่าเดินมาก ชายหนุ่มก็กลับขึ้นห้องไปขนกระเป๋าของตัวเองลงมาแล้วก็ถือวิสาสะมานอนเฝ้าเขาที่ห้อง ไม่วายที่พรพฤกษ์จะแย้งว่าเขาไม่ได้เจ็บไข้รุนแรงจนต้องมีคนเฝ้า แต่คนตัวสูงก็เฉไฉหน้าตายว่าหากอีกฝ่ายต้องการอะไรขึ้นมาจะได้เป็นธุระจัดการให้ คนข้อเท้าแพลงจะได้นอนพักเฉยๆ พอถึงเวลานอนก็มายึดพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเตียงไปเสียอีก แม้เจ้าของห้องจะพยายามไม่คิดอะไรมาก แต่พอตื่นเช้ามาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างสูงหนานั้นคว้าเขาเข้าไปกอดแทนหมอนข้างใต้ผ้านวมผืนใหญ่ที่ใช้ร่วมกันเสียแล้ว แถมยังซุกไซ้เหมือนละเมอจนพรพฤกษ์ต้องดิ้นและโวยวายเสียงดังอีกฝ่ายจึงยอมปล่อยเขาด้วยนัยน์ตาละห้อย

พรพฤกษ์คิดมาถึงตรงนี้ก็หน้าร้อนวูบขึ้นมา สิ่งต่างๆที่อีกฝ่ายทำให้และสารพันข้ออ้างที่ฝ่ายนั้นพยายามขุดมาหว่านล้อมเขา จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับเขาอยู่ แต่เขาเป็นผู้ชาย ตระการก็เป็นผู้ชาย แล้วเขาเองก็ไม่เคยโดนใครเข้าหาแบบนี้มาก่อน แต่ทำไมถึงได้ไม่รู้สึกรังเกียจสิ่งต่างๆที่อีกฝ่ายพยายามทำให้กัน ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งเขินจนต้องฟุบหน้าลงกับหลังมือตัวเองหน้าจอคอมพิวเตอร์

“ไผ่เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง มีไข้เหรอ”

พรพฤกษ์สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์เมื่อได้ยินเสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างตัว ฝ่ามือหนาวางแนบลงกับหน้าผากเขาแล้วก็พึมพำ

“ตัวอุ่นๆนะ ปวดหัวหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์สะบัดหน้าพรืด จะให้บอกความจริงได้อย่างไรว่าเพราะเขากำลังคิดถึงเรื่องของอีกฝ่ายอยู่เลยมีอาการแบบนี้ ชายหนุ่มรีบเสถามถึงแขกที่อีกฝ่ายเพิ่งส่งขึ้นห้องไปแทน

“เห็นว่าสามในสี่คนเป็นนักศึกษาอยู่ในช่วงปิดเทอม แล้วก็เคยอ่านเกี่ยวกับที่นี่จากบลอกของใครซักคนเลยอยากมาพักน่ะ แล้วก็เค้าจะขอเหลือพักแค่คืนเดียวเพราะเปลี่ยนแผนจะไปค้างบ้านเพื่อนในเมืองคืนพรุ่งนี้ เดี๋ยวเที่ยงๆจะมีรถตู้ที่นัดไว้มารับไปเที่ยว”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับแล้วก็หันไปทำงานต่อ ตระการจึงนั่งลงอ่านหนังสือที่โซฟา สักพักก็ได้ยินเสียงแตรรถตู้ที่ขับมาจอดที่หน้าบ้านและเสียงฝีเท้าของหญิงสาวทั้งสี่ที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเดินลงมา

“ที่นี่มีกฎเรื่องห้ามกลับดึกเกินกี่โมงหรือเปล่าคะ?”

ปาริดาหันมาถามตระการก่อนจะออกจากบ้าน ชายหนุ่มไม่ทราบจึงหันหาพรพฤกษ์เหมือนขอคำตอบ

“ปกติก็ไม่กำหนดนะครับเพราะผมนอนดึกอยู่แล้ว แต่ถ้าเลยเที่ยงคืนไปก็จะขอให้แจ้งล่วงหน้าเพราะผมจะได้อยู่รอ”

เด็กสาวยิ้มรับ “งั้นคงไม่ดึกหรอกค่ะ คืนนี้ว่าจะไปกินขันโตกกัน ไม่เกินสามสี่ทุ่มก็น่าจะกลับมาแล้ว”

“พี่เจ้าของบ้านอย่าลุกเดินบ่อยๆอีกนะคะ เดี๋ยวคุณผู้ช่วยเขาจะเป็นห่วง”

เสียงเด็กสาวอีกคนที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วมเอ่ยกระเซ้าขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอาชายหนุ่มทั้งสองสบตากันเขินๆ

คล้อยหลังเด็กสาวทั้งสาม หญิงสาวที่ท่าทางจะเป็นพี่สาวของปาริดาก็หันมาหาตระการ พอสังเกตใกล้ๆชายหนุ่มจึงพบว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ตัวค่อนข้างสูงทีเดียว บางทีอาจไล่เลี่ยกับพรพฤกษ์เลยก็ได้

“นายชื่อจริงชื่ออะไร?”

ร่างสูงเลิกคิ้วกับคำถาม แต่ก็ตอบโดยดี “ตระการครับ ตระการ รัตนวงศ์”

“ตระการ รัตนวงศ์งั้นเหรอ...งั้นเราคงจำผิดคน ขอโทษที”

เสียงที่ห้าวกว่าหญิงสาวทั่วไปเอ่ยกับเขาก่อนจะก้าวตามพวกน้องสาวออกไป พรพฤกษ์หันมาเอ่ยกับตระการที่ชงชามาให้ตนที่เคาน์เตอร์หลังรถตู้ลับสายตาไปแล้ว

“ผู้หญิงคนนั้นเค้ามองต้นแปลกๆตั้งแต่เข้ามาแล้วนะ”

“ต้นคงหน้าคล้ายคนรู้จักเค้ามั้ง เมื่อกี้เค้าก็บอกนี่ว่าคงจำคนผิด”

ชายหนุ่มรีบเสตัดบท ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาทางตนตั้งแต่หล่อนเดินเข้ามาในบ้านเช่นกัน  ตระการได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่ทันรู้ตัวจริงของเขา เพราะตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศตนก็ออกงานสังคมแทบนับครั้งได้จึงไม่น่าจะมีรูปลงตามสื่อมากนัก

ตระการเหลือบมองร่างบางที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พรพฤกษ์คนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากเก็บความลับเกี่ยวกับตัวจริงของตนไว้ให้นานที่สุด นานจนแอบหวังในใจว่า หากไม่ต้องเปิดเผยความจริงนี้ตลอดไปเพื่อยืดช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีร่วมกันให้ยาวนานขึ้นแม้เพียงน้อยนิดได้ก็คงจะดี


*************


พอรถตู้ออกตัวพ้นบ้านนฤมิตรมาได้ไม่นานนัก เด็กสาวทั้งสามคนก็หันมาถกกันเรื่องชายหนุ่มผู้ดูแลเกสต์เฮ้าส์ทั้งสองทันทีเหมือนเก็บกดความสงสัยไว้มานาน

“นี่ๆ คิดว่าใช่ปะ สองคนนั้นอะ เป็นอย่างว่ากันใช่มะ”

เด็กสาวร่างท้วม หรือโบเริ่มเปิดประเด็นเป็นคนแรกอย่างตื่นเต้น

“เออๆเราก็ว่าแหงๆเลยอะ มีงอนมีค้อนกันด้วย”

ส้ม หญิงสาวตัวเล็ก ผิวคล้ำกว่าเพื่อนออกปากผสมโรง ปาริดาจึงเอ่ยความเห็นของตนบ้าง

“แต่เราว่าน่ารักดีนะ ดูเค้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันแบบเปิดเผยดีอะ ท่าทางพี่ต้นเค้าจะเป็นห่วงพี่ไผ่น่าดูเลย”

“ถ้างั้นหมอนั่นก็ตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ”

ทั้งสามหันขวับมาทางต้นเสียงผู้นั่งอยู่เพียงลำพังที่ท้ายรถทันที

“ทำไมเจ้คิดงั้นอะ แล้วเมื่อกี้ก่อนออกจากบ้านมาเจ้ถามอะไรพี่ต้นเขาเหรอ?”

หญิงสาวที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มยักไหล่ “ก็แค่เช็คอะไรนิดหน่อย แต่ท่าทางเจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่ก็ช่างมันเหอะ พวกแกก็เลิกเม้าท์เรื่องคนอื่นเค้าได้แล้ว ชั้นหนวกหู”

ผู้เป็นน้องสาวทำปากยื่นอย่างขัดใจ แต่แล้วสามสาวก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยกันเกี่ยวกับเรื่องแผนการเที่ยวของวันนั้นแทน ปฏิมาส่ายหน้ากับสามสาวที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงคุยกันเสียงเบาๆไม่ได้ จึงเอาไอพอดที่พกไปด้วยอุดหูฟังเพลงแล้วก็เท้าศอกกับขอบหน้าต่างรถก่อนจะหลับตาลง

ใช่แล้ว ถ้าตระการคือคนคนเดียวกับที่หล่อนกำลังสงสัยอยู่ล่ะก็ หมอนั่นตกที่นั่งลำบากแน่ๆ...


*************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 18:13:48 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

 :o

ตกที่นั่งลำบากเรื่องอะไรอ่ะ

บอกมาๆ

เร็วๆ


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ให้คนอ่านสงสัยไปก่อน ขอไปใช้สิทธิ์ออกเสียงก่อนนะ

 o3

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
เจ๊คนนั้นเขาคิดไรอยู่อ่ะป้า
มาต่อด้วยนะคับคืนนี้
 :a1:

sirasyung

  • บุคคลทั่วไป
อ่านรวดเดียวจบเลย

+ 1 เป็นกำลังใจให้จ้ะ

รออ่านตอนต่อไปอ่ะ :oni2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
!UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
«ตอบ #80 เมื่อ06-10-2008 10:01:26 »

มาต่อแล้วจ้า :m32:


9.


อาการแสบระคายคอทำให้เด็กชายตัวน้อยส่งเสียงไอจนตัวโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่  ร่างกายเล็กๆปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง นอกหน้าต่างที่มืดครึ้มมีพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น  ขอบตาทั้งสองของร่างเล็กร้อนผ่าวเมื่อคิดได้ว่าตนเองอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพังเพราะบิดาและมารดาต้องออกไปร่วมงานเลี้ยง ส่วนแม่บ้านก็ลางานกลับไปต่างจังหวัดตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ความเหงาและความกังวลไหลเข้ามาเกาะกุมจิตใจจนเด็กน้อยหลุดเสียงสะอื้นออกมา

เสียงเปิดประตูและแสงไฟที่ลอดเข้ามาภายในห้องทำให้มือเล็กยกขึ้นบังแสงจ้านั้น

“แม่?”

“น้องต้น  ยังไม่หลับเหรอลูก หนูยังปวดหัวมากมั้ย?”

ร่างเล็กๆผวาเข้ากอดเอวหญิงสาวที่เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งบนขอบเตียงแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกอุ่นแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น วงแขนเรียวยกขึ้นกอดตอบแล้วก็โยกตัวเด็กชายตัวน้อยอย่างปลอบโยน

“ไม่เป็นไรนะลูก หนูไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว แม่จะอยู่ข้างๆต้นเองนะ”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา “แล้วพ่อล่ะฮะ แม่ต้องไปออกงานกับพ่อไม่ใช่เหรอ?”

ใบหน้าสะสวยส่ายหน้าแล้วก็กดศีรษะเด็กชายให้ซบลงกับอกตนอย่างเก่า “ก็ลูกแม่ป่วยอยู่อย่างนี้แม่จะใจร้ายทิ้งไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ให้พ่อเค้าไปคนเดียวเถอะ ว่าแต่ต้นหิวอะไรไหมลูก ให้แม่ทำข้าวต้มให้มั้ย”

“ต้นอยากให้แม่เล่านิทานให้ฟังมากกว่า ข้าวต้มค่อยกินพรุ่งนี้เช้าก็ได้ แล้วแม่ต้องป้อนข้าวต้มให้ต้นด้วยนะครับ”

ศีรษะเล็กๆส่ายไปมาแล้วก็แหงนขึ้นยิ้มพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นัยน์ตาหวานซึ้งก้มลงยิ้มให้เด็กน้อยในอ้อมแขน ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะเบาๆ

“ได้สิจ๊ะ คืนนี้กับพรุ่งนี้แม่จะอยู่กับต้นทั้งวันเลย งั้นเดี๋ยวต้นกินยาก่อนนะ แล้วแม่จะเล่านิทานให้ฟัง”




*************


“เอ้า ไผ่ อ้ำ อ้าปากสิ เร็ว”

พรพฤกษ์ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรู้สึกประดักประเดิดกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกหรือเปล่า เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ตระการขับรถออกไปซื้อข้าวผัดจากร้านอาหารตามสั่งในตลาดเล็กๆตรงตีนเขา พอกลับมาถึงและจัดอาหารใส่จานเสร็จก็มาอุ้มเขาเข้าไปนั่งในห้องครัวโดยไม่นำพาว่าคนถูกอุ้มจะทั้งดิ้นทั้งขัดขืนแค่ไหน แถมพอนั่งลงที่เก้าอี้แล้วชายหนุ่มยังคว้าจานส่วนของเขาไปแล้วตักข้าวทำท่าจะป้อนให้เสียอีก พรพฤกษ์ชักสงสัยแล้วว่าที่อีกฝ่ายดูแลเขาดีขนาดนี้เพราะกำลังแหย่เขาเล่นอยู่หรือเปล่า

“ต้น ที่ไผ่เจ็บน่ะข้อเท้านะ มือไม่ได้เป็นอะไร กินข้าวเองได้”

“ก็ต้นอยากป้อนนี่ ไม่ดีเหรอไผ่ได้นั่งกินข้าวสบายๆ หาคนเซอร์วิสให้ขนาดนี้ไม่ได้ง่ายๆนะ”

พรพฤกษ์บุ้ยคางไปทางจานข้าวอีกจาน “ต้นก็กินข้าวส่วนของต้นไปสิ เดี๋ยวข้าวก็เย็นหมดหรอก”

“เย็นก็ไปอุ่นใหม่ได้ เร็วกินข้าวแล้วจะได้กินยาแก้อักเสบ อ้าปากเร็ว...นะครับ”

พอได้ยินคำลงท้ายคนถูกคะยั้นคะยอก็ใจอ่อนยวบ เอ้า...เล่นกับเด็กไม่ยอมโตเขาเสียหน่อย ริมฝีปากได้รูปอ้าปากรับข้าวที่อีกฝ่ายตักใส่ช้อนป้อนให้แล้วก็ก้มเคี้ยวหน้างุด

“อร่อยมั้ยไผ่ แล้วก้มหน้าอย่างงั้นมันจะเคี้ยวถนัดได้ไง”

พรพฤกษ์นึกคันมืออยากทุบอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ใบหน้าที่ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นก็ทำให้ต้องจำใจเปิดปากรับข้าวคำต่อไปที่คนป้อนให้ดูจะมีความสุขเสียเหลือเกิน

“ครั้งสุดท้ายที่โดนป้อนข้าวนี่ตั้งแต่สมัยประถมแล้วนะเนี่ย”

คนโดนป้อนรำพึงขึ้นมา ตระการชะงักมือที่กำลังตักข้าวคำต่อไปแล้วก็เอ่ยถาม “ตอนที่ไผ่อยู่กับตาสองคนน่ะเหรอ?”

มือเรียวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็พยักหน้า “ปกติตอนเด็กๆไม่ค่อยป่วย แต่ถ้าเป็นทีก็หนักเลยแหละ เวลาป่วยขึ้นมาตาก็เลยจะคอยป้อนข้าวป้อนยาให้ ถ้าไม่มีตาก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าชีวิตตอนเด็กจะเป็นไง”

ตระการพยักหน้ารับรู้แล้วก็เงียบไป พรพฤกษ์สังเกตเห็นจึงเอ่ยปากถาม

“จะว่าไปมีแต่ไผ่เล่าเรื่องตัวเองให้ต้นฟัง ต้นไม่ค่อยเล่าถึงตัวเองเลย ทางนี้ขาดทุนนะเนี่ย”

นัยน์ตาคมใต้คิ้วดกหนาเงยขึ้นสบตาสีนิลที่มองมาตรงๆแล้วก็เสมองจานข้าว

“ก็มีพ่อ แม่ แล้วก็แม่บ้านกับคนสวน ชีวิตตอนเด็กต้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหรอก”

“อะไรกัน ฟังดูบ้านต้นน่าจะมีฐานะ น่าจะได้ไปเที่ยวเล่นเยอะไม่ใช่เหรอ?”

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยิ้มบางๆให้ “พอดีพ่อเค้าจะงานยุ่งแทบตลอดน่ะ วันๆก็เลยจะอยู่กับแม่กับแม่บ้านซะมากกว่า เอ้า กินข้าวอีกคำเร็ว จะหมดจานแล้ว จะได้กินยา”

คิ้วโก่งได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยกับการที่อีกฝ่ายดูจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวเองนัก แต่แล้วก็เตือนตนเองว่าอย่าถามละลาบละล้วงจะดีกว่า มือเรียวยกขึ้นปิดปากหาว ใบหน้าคมจึงหลิ่วตามองอย่างล้อเลียน

“อะไรเด็กน้อย กินอิ่มปุ๊บก็ง่วงเลยเหรอ?”

คนถูกแซวถลึงตาใส่คนพูด “เด็กน้อยอะไรกันล่ะ ก็เมื่อคืนเพราะใครไม่รู้น่ะแหละทำให้หลับไม่สนิทเลย”

 “ต้นเหรอ ต้นไปกวนอะไรไผ่ล่ะ ต้นว่าต้นไม่ใช่คนนอนกรนนะ”

ใบหน้าคมเข้มฉายแววฉงน คนถูกถามเลยหน้าแดงขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนขึ้นมา

“ก็ไม่ได้กรนหรอก แค่แยกแยะคนกับหมอนข้างไม่ได้”

คำตอบที่ได้ทำให้ชายหนุ่มต้นเหตุหัวเราะเสียงใส “อะไรกัน ก็เมื่อคืนมันหนาว หนาวก็ต้องนอนกอดกันสิถึงจะอุ่น ต้นกลัวไผ่จะเป็นหวัดหรอกนะนั่น”

นัยน์ตาคู่สวยยิ่งทำตาดุใส่จนคนตัวโตหัวเราะเสียงดังมากขึ้น พรพฤกษ์จึงรีบตัดบทก่อนจะพาบทสนทนาเข้าตัวมากไปกว่านี้

“ไม่คุยด้วยแล้ว ไปทำงานต่อดีกว่า”

ร่างบางต้องจำใจโดนคนตัวใหญ่กว่าอุ้มกลับมาที่คอมพิวเตอร์หลังเคาน์เตอร์อีกครั้งเพราะรู้ว่าอิดออดอย่างไรก็ไร้ผลอยู่ดี ระหว่างที่ทำงานไปสายตาที่จ้องอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ก็แอบชำเลืองมองคนที่นอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาเป็นระยะๆ

พรพฤกษ์คิดว่าเขาเริ่มเข้าใจตนเองแล้วว่าความรู้สึกเขินแปลกๆเวลาที่โดนอีกฝ่ายทำดีด้วยหรือเวลาโดนมองนั้นเป็นเพราะอะไร แต่ในขณะเดียวกัน ตระการก็ดูจะชอบเก็บงำอะไรเอาไว้เหมือนมีอะไรที่ไม่ต้องการให้ตนรู้ แล้วก็แกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่นเวลาเขาตะล่อมถามเสียทุกครั้ง และแม้บางครั้งพฤติกรรมของอีกฝ่ายจะชวนให้คิดเลยเถิดกว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อน แต่ชายหนุ่มผู้มาเยือนก็ไม่เคยเอ่ยคำใดที่จะสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่



*************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 18:23:46 โดย bellbomb »

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :o8: หวานกันจนมดขึ้นจอแย้วคร่าป้าขราาาาาาา จะหวานกันไปหน๊ายยยยยยยย  :man1:

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
อ้างจาก: bellbome
จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่

คิดจะชนท้าย แล้วเคลมประกันน่ะสิ วะฮะฮ่า  :o8:

premkoe

  • บุคคลทั่วไป
สนุกดีอ่าคับ

รีบๆมาต่วยล่ะกานคับ

 :oni2: :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
:o8: หวานกันจนมดขึ้นจอแย้วคร่าป้าขราาาาาาา จะหวานกันไปหน๊ายยยยยยยย  :man1:

ชีวิตจริงป้าขาดความหวานอ่ะค้าบ เลยต้องมาหาเติมเอาจากนิยาย  :laugh:


อ้างจาก: bellbome
จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่

คิดจะชนท้าย แล้วเคลมประกันน่ะสิ วะฮะฮ่า  :o8:


คิดไปด้ายน่อ 555555+  :jul3:  :jul3:


สนุกดีอ่าคับ

รีบๆมาต่วยล่ะกานคับ

 :oni2: :oni2: :oni2:

กะลังพยายามเข็นออกมาอยู่ ฮือๆ ใครช่วยมารับงานแปลกับวาดรูปประกอบนิทานไปทำแทนป้าที๊~~  o2

sirasyung

  • บุคคลทั่วไป

แม่ของต้น มีอะไรเกี่ยวพันกะไผ่รึเปล่า

เค้าเป็นคนขี้สงสัยอ่ะ อย่าว่าเค้าน้า~~~ :serius2:

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
 :m4: :m4:
ก๊าก!!!!
รักกัน รักกัน

แต่แปลกนะป้า ทำไมตอนนี้มันสั้งจังอ่ะ?  o12

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

มีบังคับป้อนข้าวกันด้วยวุ้ย

หวานซ้า


 :m1: :m1: :m1: :m1:


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
:m4: :m4:
ก๊าก!!!!
รักกัน รักกัน

แต่แปลกนะป้า ทำไมตอนนี้มันสั้งจังอ่ะ?  o12

ไหนใครบอกตอนที่แล้วสั้น คราวนี้เอายาวๆไปเลยละกัน (ยอมรับเขียนตอนนี้ไปเครียดไป กลัวปฏิกิริยาคนอ่าน แว้ก :serius2: )


10.

พรพฤกษ์เดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าผู้ที่มานอนร่วมห้องด้วยกำลังจัดผ้าปูที่นอนอยู่จึงนั่งลงเช็ดผมที่เก้าอี้ข้างประตู อาการปวดที่ข้อเท้านั้นทุเลาลงมากแล้ว เมื่อหัวค่ำหลังจากส่งแขกผู้มาพักทั้งสี่ขึ้นห้องแล้วเขาจึงดึงดันกับตระการที่จะเดินขึ้นห้องมาเองโดยไม่ฟังคำทัดทานของอีกฝ่าย ท่าทางชายหนุ่มจะหงอยๆไปบ้างที่ถูกปฏิเสธน้ำใจ แต่ร่างบางก็คิดใคร่ครวญมาแล้วตลอดบ่ายว่าเขาควรพูดคุยกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียทีว่าความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่ของทั้งสองคืออะไร

“เสร็จแล้วไผ่ จะนอนเลยหรือเปล่า? เดี๋ยวต้นจะไปอาบน้ำก่อน”

มือเรียวคว้าข้อมือแข็งแรงของอีกฝ่ายไว้ขณะกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ตระการหันมามองอย่างงงๆพรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วจูงอีกฝ่ายไปนั่งที่เตียง

“ต้น มีเรื่องจะคุยด้วย”

ใบหน้าคมเข้มขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ไม่สบตาเขาตรงๆแล้วก็กังวลใจขึ้นมา

“มีอะไรเหรอ?”

ริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้าหวาน ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเปิดอกถามอย่างตรงไปตรงมาแต่พอถึงเวลาเผชิญหน้าจริงๆกลับให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างบางสูดหายใจลึกก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

“คือ ต้น...ที่ต้นมาคอยเอาใจใส่ทำนั่นทำนี่ให้เราน่ะ มัน....” พรพฤกษ์กลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “ต้นคิดอะไรกับไผ่เกินเพื่อนอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อหลุดคำถามไปแล้วร่างเพรียวก็ก้มหน้านิ่งอย่างหวั่นเกรงคำตอบที่จะได้รับ ตั้งแต่พรพฤกษ์เป็นวัยรุ่นจนเข้ารุ่นหนุ่ม เขาไม่เคยคบหาเป็นคนรักกับใคร แต่จู่ๆกับตระการที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเขากลับมีความรู้สึกพิเศษด้วยจนกลัวใจตัวเอง ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะรับรู้เสียแต่เนิ่นๆว่าจุดยืนในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ที่ใด จะได้รีบทำใจก่อนจะถลำลึกไปกว่าที่กำลังเป็นอยู่

“ไผ่....มองหน้าต้นสิ”

เสียงทุ้มนุ่มแผ่วเบาที่เอ่ยเรียกชื่อนั้นทำเอาคนถูกเรียกตัวสั่น ความหวาดหวั่นแล่นริ้วขึ้นมาว่าตนพร้อมจะฟังคำตอบจากคนตรงหน้าจริงหรือ  บางทีเขาอาจจะใจร้อนเกินไปที่อยากได้คำตอบกับเรื่องนี้ขึ้นมา พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่อปลายนิ้วอุ่นแตะที่แก้มของตัวเองแล้วรั้งให้เงยหน้าขึ้น แล้วก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้าเมื่อโดนดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองสบมาตรงๆ

“ต้นรู้ว่าเวลาที่เราเพิ่งได้ทำความรู้จักกันจริงๆมันสั้นมาก แล้วเรายังเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ต้นอยากให้ไผ่รู้ว่าความรู้สึกที่ต้นมีไม่ใช่แค่ความเป็นเพื่อนแน่นอน”

พรพฤกษ์ตัวแข็งทื่อเมื่อโดนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งร่างตนเข้าไปหา ทว่าความอบอุ่นที่ได้สัมผัสทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างบางจึงเอนตัวลงซบกับแผ่นอกกว้างและถอนหายใจเสียงเบาเมื่อโดนมือใหญ่ลูบหลังอย่างปลอบโยน

“ต้น มันไม่เร็วไปเหรอ เราเพิ่งเจอกันแค่สองอาทิตย์กว่าเองนะ”

ริมฝีปากอุ่นก้มลงประทับบนเรือนผมที่ยังชื้น “ไม่เร็วไปหรอก สำหรับต้น ได้เจอไผ่ตอนไหนก็ไม่ต่างกัน”

วงแขนแข็งแรงโอบกระชับคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น พรพฤกษ์ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวจนหูอื้อ แต่ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงหัวใจของตระการหรือของตัวเองกันแน่ แม้อ้อมแขนนั้นจะมอบความรู้สึกอัดอัดอยู่บ้าง แต่ร่างบางก็ไม่ปฏิเสธว่าความอึดอัดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความอบอุ่นที่ได้รับ แขนเรียวสองข้างค่อยๆเอื้อมไปโอบเอวของอีกฝ่ายเพื่อตอบรับความรู้สึกที่เพิ่งได้รับรู้

“ต้นรักไผ่นะ”

พรพฤกษ์ซ่อนใบหน้าที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดด้วยการซุกลงกับแผ่นอกตรงหน้า จู่ๆก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริงเพราะทุกอย่างดูรวดเร็วจนเบลอไปหมด มือเรียวขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ต้นรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่ขอมัดจำก่อนได้มั้ย?”

พรพฤกษ์รู้สึกถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีนิลสบกับสีน้ำตาลที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกลึกซึ้งจนไม่แน่ใจว่าตนเองคือต้นเหตุของสายตาอ่อนหวานคู่นั้น นัยน์ตาหวานคมค่อยๆปิดลงขณะที่ใบหน้าคมคายก้มประชิดเข้ามาจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่ตรงปลายจมูก ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจะแตะประทับลงบนริมฝีปากของตนอย่างแผ่วเบาราวจะปลอบโยน



*************


ตระการตื่นแต่เช้าอย่างสดใส เขาหันมองร่างที่หลับใหลในอ้อมกอดของเขาทั้งคืนแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะไล่ปลายนิ้วไปตามโหนกแก้มเนียน ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ให้อีกฝ่ายเมื่อเห็นพรพฤกษ์กระชับแขนกอดรอบตัวเองเหมือนต้องการความอบอุ่น ชายหนุ่มก้มลงประทับจูบบนหน้าผากมนแล้วก็ตัดสินใจปล่อยให้คนที่ยังดูมีความสุขกับโลกในดินแดนแห่งความฝันนอนหลับต่อไป

ชายหนุ่มเข้าครัวชงกาแฟดื่มพลางเปิดตู้เช็ครายการของที่ควรต้องซื้อไว้ติดบ้านได้สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินลงบันไดมาจึงเดินออกไปต้อนรับที่โถงรับแขก

“อรุณสวัสดิ์ครับ จะไปกันแล้วหรือ?”

ปาริดาเลื่อนแว่นสายตาขึ้นก่อนจะขยับกระเป๋าสะพายบนหลังให้ได้สมดุล “ค่ะ พอดีนัดรถตู้ไว้แล้ว ทางบ้านเพื่อนเค้าบอกว่าจะพาไปเที่ยวไร่เลยอยากออกกันไวหน่อยเดี๋ยวแดดจะแรง”

“ที่นี่นอนสบายมากเลยค่ะพี่ เดี๋ยวจะไปช่วยโฆษณากับเพื่อนๆให้นะคะ” สาวโบเอ่ยเสริมอย่างเอาใจ

“เอาเลยครับ เจ้าของบ้านเขาคงดีใจ”

สามสาวมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ของชายหนุ่มกันอย่างเขินๆ ก่อนที่เสียงค่อนข้างห้วนจะดังทำลายบรรยากาศขึ้น

“ไอ้ปลา รถตู้มาแล้ว”

เด็กสาวหันค้อนต้นเสียงปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันกลับมาไหว้ชายหนุ่ม “งั้นไปก่อนนะคะพี่ต้น แล้วจะหาโอกาสมาพักอีกนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ชายหนุ่มรอจนทั้งสี่เดินผ่านประตูบ้านออกไปแล้วจึงเดินตามออกมาส่ง หญิงสาวที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเดินรั้งท้าย เรือนร่างสูงเพรียวหันกลับมาหาผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ก่อนจะเอ่ยลา

“ขอบคุณที่ดูแล ยังไงฝากลาคุณเจ้าของบ้านด้วย”

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มตอบรับ แต่แล้วประโยคถัดมาของหญิงสาวก็ทำให้ตระการนิ่งชะงัก
 
“แล้วเราคงได้เจอกันที่กรุงเทพฯ คุณตระการ สุวรรณฤทธิ์”

นัยน์ตาคมดูฉลาดเฉลียวลอบสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่มแล้วก็คลี่ยิ้มบางก่อนจะผละจากไปเปิดประตูขึ้นนั่งตรงที่ข้างคนขับ จากจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ เขาพอจะมองเห็นได้ลางๆว่าเด็กสาวอีกสามคนในรถแสดงท่าทีงุนงงว่าหญิงสาวพูดอะไรกับเขาสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไป

รถตู้ลับสายตาไปแล้ว แต่ร่างสูงแข็งแรงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตระการกำมือแน่นก่อนจะหันกลับเข้าบ้าน จวนจะถึงกำหนดเวลาที่ตนสัญญากับบิดาว่าจะกลับไปแล้ว เขาควรจะบอกความจริงกับคนที่เพิ่งสารภาพรักอย่างไรดี?



*************



“ไผ่ ตื่นเร็ว”

“อื้อ ยังเพิ่งแปดโมงเอง”

ตระการกลอกตา นึกขำที่คนที่ปกตินอนตื่นเช้าอย่างพรพฤกษ์กลับกลายเป็นคนขี้เซาหลังจากเขามาอยู่ด้วย

“จะตื่นไม่ตื่น?”

“ไม่ตื่น ไม่มีแขกมาพักนี่นา”

“ไม่ตื่นต้นปล้ำนะ”

“เฮ้ย!!”

ไม่พูดเปล่า คนตัวใหญ่ม้วนผ้านวมรอบคนที่ยังนอนอยู่จนตัวกลมแล้วก็ล้มตัวลงกอดร่างในม้วนผ้าแน่นจนพรพฤกษ์ร้องเสียงหลง

“ต้น อย่าเล่น! หนักนะ อื้อ...”

เสียงต่อต้านหายไปในลำคอเมื่อโดนอีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมา พรพฤกษ์หลับตาแน่น ริมฝีปากเม้มปิดอย่างตกใจ แต่แล้วเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นชื้นที่ไล้เลียเบาๆบนริมฝีปากก็เคลิบเคลิ้มจนเผลอ ปล่อยให้ปลายลิ้นร้อนรุกไล่เข้าในริมฝีปากที่เผยอขึ้นอย่างลืมตัว

ร่างในอ้อมแขนรู้สึกราวกับจู่ๆโลกก็หมุนอย่างเร็วจนเวียนหัว สัมผัสที่ได้รับช่างเร่าร้อนแตกต่างกับสัมผัสอ่อนโยนทะนุถนอมเมื่อคืน ตระการและเล็มหาความหวานจากริมฝีปากนิ่มจนพอใจ ก่อนจะค่อยๆไล่ขึ้นฝากจุมพิตที่ปลายจมูกและเปลือกตาของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบาต่างกับสัมผัสร้อนแรงที่เพิ่งมอบให้เมื่อครู่

พรพฤกษ์หายใจหอบเมื่อตระการผละไป แล้วก็ใช้หลังมือเช็ดคราบความเปียกชื้นที่หลงเหลืออยู่บนริมฝีปากเบาๆ ใบหน้าหวานซับสีเลือดจนตระการอดใจไม่ไหวต้องก้มลงฝังจมูกที่แก้มเนียนของคนตรงหน้าอีกครั้ง มือเรียวสองข้างรีบยกขึ้นดันอกกว้างให้ออกห่างตัวทันที

“พอเลย กะเล่นให้ช้ำตายเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

คนถูกท้วงพลิกตัวนอนตะแคงบนข้อศอกข้างหนึ่งแล้วก็ยิ้มให้ตาเป็นมัน “ช้ำแค่นี้ไม่ตายหรอก ต้นยังมีวิธีทำให้ไผ่ช้ำกว่านี้ได้อีกเยอะ”

ประโยคล้อเลียนแฝงความหมายชวนคิดนั้นยิ่งทำให้คนตรงหน้าหน้าแดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“โรคจิต”

ตระการหัวเราะขำก่อนจะคว้าตัวคนที่พลิกตัวหนีไปอีกด้านมากระชับแนบอก “ก็แฟนต้นน่ารักนี่นา นี่ต้นต้องอดทนแค่ไหนไผ่ไม่รู้เลยสิเนี่ย”

ชายหนุ่มแว่วเสียงบ่นอุบอิบไม่ได้ศัพท์ของอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนก้มลงจูบเรือนผมนิ่มอีกครั้ง

“เดี๋ยวต้นว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของหน่อย ของสดในตู้เย็นจะหมดแล้ว เดี๋ยวไม่มีอะไรทำกับข้าว ไผ่จะฝากซื้ออะไรมั้ย?”

ร่างบางเงียบไปเหมือนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นึกไม่ออก ต้นอยากซื้ออะไรก็ซื้อมาแล้วกัน”

“ครับๆ งั้นไผ่เป็นเด็กดีเฝ้าบ้านรอต้นนะ”

ชายหนุ่มรีบลุกหนีแล้วปิดประตูห้องทันก่อนอีกคนจะลุกขว้างหมอนใส่ ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้งก่อนเดินลงบันไดไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 18:36:26 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
10. ต่อค้าบ


*************


พรพฤกษ์เสยผมยุ่งเหยิงของตนอยู่บนเตียงแล้วก็พยายามบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง เมื่อคืนทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรกัน หลังจากจุมพิตแผ่วเบาที่ตระการมอบให้ ชายหนุ่มเหมือนจะรับรู้ถึงอาการประหม่าของเขาจึงเพียงแค่นอนกอดไว้นิ่งๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกวาบหวามและอบอุ่นในใจอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับสัมผัสที่ได้รับ แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะก้าวข้ามไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านี้

ร่างบางลุกขึ้นจากกองผ้าห่มที่พันตัวอยู่ด้วยตั้งใจจะลุกเข้าห้องน้ำ แต่แล้วก็เผลอลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่ยังแพลงอยู่จึงล้มลงโดยเผลอยื่นแขนไปคว้าหูกระเป๋าของตระการที่วางบนเก้าอี้ใกล้ๆหล่นลงมาด้วย

“อูย....”

ร่างบางเอามือบีบข้อเท้าตัวเองเบาๆก่อนจะหันไปมองของในกระเป๋าที่หล่นกระจัดกระจายจากช่องซิปด้านหน้าอย่างตกใจ ชายหนุ่มคงลืมรูดซิปช่องด้านหน้าให้สนิทตอนที่หยิบกระเป๋าสตางค์ออกไปเมื่อครู่ พรพฤกษ์รีบกระวีกระวาดกวาดข้าวของที่หล่นออกมายัดลวกๆใส่กลับเข้าไปในช่อง แต่แล้วพอจะรูดซิปปิดก็ไปติดกับขอบซองจดหมายสีขาวที่หนาเป็นปึก มือเรียวจึงรูดซิปเปิดออกก่อนจะหยิบซองไม่ได้ปิดผนึกนั้นออกมาดู แล้วก็พบว่าภายในเป็นรูปถ่ายปึกหนึ่ง บางรูปมีสีซีดจางอย่างรูปที่ล้างอัดไว้นานมาแล้ว ในขณะที่บางรูปมีสีสดชัดเหมือนเพิ่งล้างอัดมาไม่นาน

นิ้วมือเรียวค่อยๆไล่ดูรูปถ่ายในซองนั้นทีละใบอย่างสั่นเทาก่อนจะรู้สึกตัวชาเหมือนโดนน้ำเย็นราดรด


*************


ตระการเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงรถหลังกลับจากซื้อของในตัวเมืองแล้วก็หยิบฉวยถุงใส่ของมากมายจากเบาะหลัง ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าของบ้านไม่ออกมาต้อนรับเหมือนปกติ แต่ก็คิดเอาเองว่าคงเพราะอีกฝ่ายยังเจ็บข้อเท้าอยู่ ร่างสูงเดินเข้าบ้านอย่างร่าเริงแล้วก็พบว่าคนที่ตนคิดถึงนั้นนั่งเงียบๆอยู่ลำพังที่โซฟา

ชายหนุ่มยิ้มแล้วเดินเอาถุงของที่ซื้อมาเข้าไปวางบนโต๊ะในครัวก่อนจะเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งแล้วก็โอบคนข้างๆเข้ามาหอมแก้มทีหนึ่ง

“เป็นอะไรครับ ไม่สบายหรือเปล่าทำไมหน้าซีดๆ”

ตระการชะงักไปเมื่อใบหน้าหวานที่ปกติมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอหันมามองเขาด้วยขอบตาแดงก่ำ ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วงทันที

“ไผ่ เป็นอะไร?”

มือเรียวหยิบซองกระดาษสีขาวหนาบนโต๊ะเล็กที่เขาไม่ทันได้สังเกตขึ้นมาชูให้ดูแล้วชายหนุ่มก็นิ่งชะงัก

“ต้น รูปพวกนี้หมายความว่ายังไง?”

ตระการนั่งตัวแข็ง มองสบนัยน์ตาสีนิลที่มีแววรื้นน้ำราวอับจนด้วยคำพูดขณะที่อีกฝ่ายหยิบรูปในซองออกมาวางบนโต๊ะทีละใบ

“แปลกดีนะที่ต้นมีรูปของแม่ไผ่ด้วย ขนาดตาเองยังซ่อนไผ่แทบตาย ตอนเด็กๆไผ่ก็เคยสงสัยว่าทำไมตาถึงไม่ยอมเอารูปแม่มาให้ดูจนต้องไปแอบขโมยเปิดตู้จนโดนดุเลย” ท้ายประโยคร่างเพรียวแค่นหัวเราะเบาๆ

“ไผ่...”  คำพูดที่ตระการพยายามจะเค้นออกมากลับหายไปในลำคออีกครั้งเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆตกลงบนโต๊ะกระจก

“นี่ก็...รูปของแม่ตอนอุ้มไผ่ตอนเด็กๆ...นี่ก็รูปไผ่ตอนเพิ่งหัดเดิน แปลกดีนะที่ต้นมีรูปพวกนี้ มีกระทั่งตอนไผ่เรียนม.ปลายเลย”

ตระการรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อร่างบางเลื่อนมือไปถึงรูปถ่ายที่ดูใหม่ที่สุด ลักษณะท่าทางมุมกล้องที่เห็นบ่งชี้ว่าเป็นรูปที่ถ่ายตอนเจ้าตัวไม่รู้ตัวขณะกำลังเดินอยู่ในเมือง พรพฤกษ์พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาเต็มที่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววรวดร้าวไม่แพ้กัน

“ต้น มีอะไรจะบอกไผ่หรือเปล่า?”

ตระการรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ทั้งที่รู้และเตือนตัวเองมาตลอดว่าต้องบอกความจริงเข้าสักวัน แต่เมื่อเวลาแห่งการเปิดเผยความจริงมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวชายหนุ่มกลับไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากจุดไหน ยิ่งเห็นสายตาเจ็บปวดที่มองมาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งขึ้นมาจุกที่ลำคอจนไม่มีเสียง

“ต้น...อย่าบอกนะว่าต้นเป็นน้องชายของไผ่”

ประโยคคำถามนั้นเหมือนฉุดตระการกลับมาจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วละล่ำละลักตอบ “ไม่ใช่นะไผ่ เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเลยนะ แม่อยู่กับไผ่จนห้าขวบก่อนจะมาอยู่กับต้น เราจะเป็นพี่น้องกันได้ยังไง”

“แม่?”

นัยน์ตาฉ่ำรื้นด้วยม่านน้ำตาที่จ้องมองกลับมาทำให้ชายหนุ่มต้องหลบตามองไปทางอื่น “ไผ่...ต้น...ที่แม่ทิ้งไผ่ไป ไม่ใช่เพราะเค้าไม่รักไผ่ แต่เป็นเพราะพ่อ...ไม่สิ” ชายหนุ่มหลับตาลง “เป็นเพราะต้นเอง”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาที่เขาปิดบังเอาไว้ “ตอนเด็กต้นเป็นเด็กขี้โรค ป่วยจนเกือบตายไปหลายครั้ง ส่วนแม่แท้ๆก็ร่างกายอ่อนแอเหมือนกัน ตอนนั้นพ่อก็เลยรับสมัครคนมาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นช่วงที่แม่พิมเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯพอดี เพราะว่า...”

ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งฟังนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยประโยคต่อไปหรือไม่ “…ต้องหาเงินมาใช้หนี้ที่พ่อของไผ่สร้างไว้จนต้องฆ่าตัวตายหนีหนี้”

พรพฤกษ์รู้สึกร่างกายชาเหมือนโดนไฟช็อต ตระการมองอย่างเห็นใจก่อนจะบีบมือเรียวแน่นขึ้น “ตอนแรกแม่พิมก็แค่เข้าไปเป็นพี่เลี้ยง แต่เพราะเราใกล้ชิดกันมากต้นเลยรู้สึกผูกพันกับแม่พิมมากยิ่งกว่าแม่แท้ๆ แล้วตอนนั้นเหมือนพ่อเองก็เริ่มหลงรักแม่พิม พอแม่ของต้นเสีย พ่อก็เลยยื่นคำขาดกับแม่พิมว่าจะจ่ายหนี้ทั้งหมดให้ แต่แม่พิมต้องแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อและเป็นแม่ให้กับต้น”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ตระการก็เหลือบมองพรพฤกษ์ที่ก้มหน้านิ่ง แต่ก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป

“พ่อของต้นเป็นคนเด็ดขาด แล้วก็เป็นคนหึงหวงแรง พ่อเลยตั้งเงื่อนไขกับแม่พิมว่านอกจากจะล้างหนี้ให้ทั้งหมดแล้ว พ่อจะออกเงินค่าเลี้ยงดูให้แม่ส่งมาให้ตากับไผ่ทุกเดือนด้วย แต่แม่จะต้องยอมตัดขาดจากไผ่ และห้ามกลับมาเยี่ยมอย่างเด็ดขาด”

“มีครั้งนึงแม่เคยจะหนีออกจากบ้าน แต่ตอนนั้นต้นไปเจอตอนแม่แอบจัดกระเป๋า แล้วก็ร้องไห้โวยวายเข้าไปห้ามจนชักเข้าโรงพยาบาล เหตุการณ์นั้นคงทำให้แม่รู้สึกผิดมาก เลยยอมทำใจที่จะไม่ติดต่อกับไผ่ แต่ก็ยังแอบติดต่อกับตาของไผ่เพื่อจะได้รู้ว่าไผ่เป็นยังไงบ้าง”

ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆเอ่ยช้าๆ

“เรื่องที่จะเล่ามีแค่นี้ใช่มั้ย?” 

ตระการมองคนตรงหน้าที่น้ำตาไหลเป็นสายอย่างปวดใจก่อนจะเอื้อมมือไปหวังเช็ดน้ำตาให้ แต่แล้วก็ถูกปัดออกอย่างแรงก่อนร่างบางจะกระถดตัวหนี

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มฉายแววเจ็บปวด “แม่พิมแอบพ่อเล่าเรื่องของไผ่แล้วก็คอยเอารูปที่ตาส่งมาให้ให้ต้นดูตลอด ต้นยอมรับว่าตอนเด็กต้นอิจฉาไผ่มาก มากจนยิ่งติดแม่พิมมากขึ้นไปอีก แต่ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ต้นยิ่งอยากเจอตัวจริงของไผ่มากขึ้นทุกที จนหลังแม่เสียระหว่างที่ต้นไปเรียนต่อที่เมืองนอกต้นเลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องมาเจอไผ่ มาทำตามสัญญาที่แม่ขอไว้ให้ช่วยดูแลไผ่ให้ได้”

ไหล่ของร่างบางสั่นไหวเมื่อเจ้าตัวเริ่มสะอื้นอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างสูงเอื้อมไปหมายจะโอบกอดแต่แล้วก็ถูกผลักอกอย่างรุนแรง

“อย่ามายุ่งนะ!! คนโกหกหลอกลวง ทั้งตา ทั้งแม่ ทั้งต้น ทุกคนหน้าไหว้หลังหลอกกันทั้งหมดนั่นแหละ ฮึก”

ตระการหน้าเสีย “ไผ่...”

“ที่ต้นมาที่นี่ก็เพื่อทำตามสัญญาที่แม่ขอไว้สินะ แม่ที่ต้นแย่งไป คนที่ไผ่ยังจำแทบไม่ได้ว่าเป็นยังไง มีแต่ตาที่คอยบอกว่าแม่อยู่กับไผ่ไม่ได้ แต่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าเพราะอะไร”

“ไผ่ฟังเหตุผลก่อนสิ ตอนนั้นแม่เค้ามีความจำเป็นนะ”

“ไม่ฟัง!!”

ร่างบางลุกขึ้นหันหลังหอบจนตัวโยน ตระการทำได้แค่นั่งนิ่งๆเพราะไม่รู้จะอธิบายต่อว่าอย่างไร

ทั้งบ้านปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าอึดอัดจนพรพฤกษ์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน “ต้น ดีแล้วล่ะที่ความสัมพันธ์ของเรายังไม่เกินเลยไปกว่านี้...”

“ไผ่พูดอะไรน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มเผือดซีด

แขนเรียวสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองเหมือนจะพยายามหยุดอาการสั่น แต่กระนั้นใบหน้าหวานคมก็ยังไม่ยอมหันกลับมามองอีกฝ่าย

“ไผ่จะโทรไปเรียกลุงแหวงที่ตลาดให้ขึ้นมารับต้นเข้าเมืองเอง ต้นกลับบ้านไปเถอะ แล้วเราก็อย่าเจอกันอีกเลย”



*************


ร่างสูงที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกเงยหน้าขึ้นมองไปนอกประตูกระจกเมื่อเห็นรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาตามถนนโรยกรวด ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปจับกรอบประตูห้องครัว สายตาจับจ้องที่แผ่นหลังของคนที่เขารักซึ่งนั่งหันหลังให้อยู่อย่างเจ็บปวด หลังจากเจ้าของบ้านนฤมิตรโทรศัพท์ลงไปเรียกคนขับรถรับจ้างที่รู้จักกันในตลาดให้ขึ้นมารับแล้วพรพฤกษ์ก็ไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเลย ตระการจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมขึ้นไปเก็บของใส่กระเป๋าลงมาแต่โดยดี

“ไผ่....”  ร่างบางยังคงไม่ยอมหันมาตามเสียงเรียก

“รถลุงแหวงมาแล้ว ยังไงต้นไปก่อนนะ”

เสียงสูดน้ำมูกที่ได้ยินราวจะเป็นสัญญาณรับรู้จากอีกฝ่าย ตระการปรารถนาเหลือเกินที่จะเดินเข้าไปกอดรัดร่างนั้นไว้แน่นๆแล้วจูบให้เต็มความรู้สึกโหยหาที่เอ่อท้นขึ้นมา แต่ก็รู้ดีว่าในอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นของอีกฝ่าย ไม่ว่าคำพูดใดหรือการกระทำใดในตอนนี้ต่างไร้ประโยชน์

“ต้นลืมบอกว่ามีของจะให้ไผ่ด้วย ยังไงต้นวางไว้ที่เคาน์เตอร์นะ”

ชายหนุ่มนิ่งรอ แต่กระนั้นอีกฝ่ายยังคงนั่งเงียบไม่เอ่ยเอื้อนอะไร ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถหวีดแหลมดังมาจากทางหน้าบ้าน

“รีบไปเถอะ อย่าให้เค้ารอนาน”

เสียงที่เอ่ยขึ้นเรียบๆปราศจากความรู้สึกกรีดลึกลงในหัวใจคนฟังที่หวังว่าอีกฝ่ายจะแสดงอารมณ์หวั่นไหวกับการจากลาออกมาบ้าง ตระการหันกลับไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นจากโซฟาก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยังนั่งหันหลังให้ตนอยู่ในครัวอีกครั้ง

“ต้นไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่ยังไงต้นก็อยากให้ไผ่จำคำนี้ไว้ ไม่ว่าไผ่จะได้ยินใครพูดอะไร แต่คนที่ต้นรักคือไผ่คนเดียว”

เสียงรถกระบะขับห่างออกไปแล้ว พรพฤกษ์ค่อยๆหันหน้ากลับมายังห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่าก่อนจะก้าวไปยังเคาน์เตอร์อย่างอ่อนระโหย สิ่งที่วางอยู่คือสร้อยข้อมือเงินลายโซ่สำหรับผู้ชาย และการ์ดเล็กๆที่มีเพียงข้อความสั้นๆ แต่กลับทำให้คนอ่านน้ำตาไหลและหลุดสะอื้นออกมาอีกอย่างหยุดไม่ได้


“ของขวัญสำหรับคนรักคนเดียวในชีวิตของผม”



*************



“พ่อหนุ่มมาจากกรุงเทพฯเหรอ นี่มาอยู่ได้กี่วันแล้วล่ะ”

ตระการฝืนยิ้มบางๆทั้งที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะเสวนาเท่าใดนัก

“ราวสองอาทิตย์กว่าได้แล้วครับ”

“โห...มานานนะ เกสต์เฮ้าส์เล็กๆบนเขาอย่างนั้นหน้าฝนอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครไปพักนานๆหรอก ดูสิ พูดถึงไม่ทันไรก็ตกอีกแล้ว”

ตระการเงยหน้ามองออกไปจากหน้าต่างที่นั่งฝั่งตนแล้วก็พบว่าม่านฝนเริ่มโรยตัวลงมา จากบางเบาก็ค่อยๆทวีแรงขึ้นจนกระจกหน้าต่างมัวไปหมด

“อย่างงี้คงขับเร็วไม่ได้นะพ่อหนุ่ม ว่าแต่จะไปสนามบินใช่มั้ย จะหลับไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวถึงแล้วลุงปลุก”

“ขอบคุณครับ”

ชายหนุ่มหลับตาลง ไม่ใช่เพราะอยากพักผ่อน แต่เพราะพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้นเมื่อนึกถึงคนที่ตนจากมา ตอนนี้ไผ่จะกำลังเศร้า กำลังคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายอยู่หรือเปล่า


“ไผ่ ต่อให้เราอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน คนที่ต้นรักก็มีแต่ไผ่คนเดียวนะ”


*************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2009 18:42:51 โดย bellbomb »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด