-เป็นทุกอย่าง-
'น้ำ... มึงเป็นทุกอย่างสำหรับกูจริง ๆ '
เป็นเพื่อนเธอไปดูหนัง...อยู่ด้วยกันตอนเธอเหงา
ฟังทุกเรื่องราวที่เธอระบาย...ยาวจนเช้าฉันก็ยังยินดี
แม้ไม่ใช่คนพิเศษ...ไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ
"ไอ้น้ำ กูอยากไปดูหนัง"
"มึงก็ไปดิ"
"มึงไปกับกูดิ" พีรพัฒน์พูดอย่างเอาแต่ใจ
"เห็นไหมว่ากูทำงาน"
"น่าาา~ ไปเป็นเพื่อนพี่พีหน่อยนะจ๊ะน้องน้ำ เดี๋ยวพี่พีเลี้ยงเองนะ" ร่างกระตึ๋งหนึ่งของพีรพัฒน์สวมกอดร่างที่นั่งโต๊ะคอมพ์ไม่ยอมหันมามองเจ้าตัวสักนิด แถมยังเอ่ยปากไล่
"รำคาญว่ะพี" อรรนพขืนตัวกางแขนออกให้เพื่อนสนิทปล่อยออก "กูไม่ว่างมึงจะไปก็ไปเองดิ"
"มึงอ่ะ" คนตัวเล็กวางท่างอนตุ๊บป่องย้ายไปนั่งกอดอกอยู่ปลายเตียงแทน
อรรนพเหล่มองเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กแล้วแอบถอนหายใจออกมา ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปด้วยหรอกแต่งานยังคาอยู่แบบนี้ อีกทั้งตั๋วหนังที่อยู่ในมือมันก็ไม่ได้คิดจะชวนเขาไปแต่แรก เพราะใจจริงมันตั้งใจชวนแฟนเด็กมันไปดูต่างหาก ทว่าทุกอย่างดันพังลงไม่เป็นท่า...เมื่อคนรักรุ่นน้องติดลงสำรวจข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ปีสุดท้าย ผลเลยมาตกอยู่ที่เขาแทน
ห้องนอนสีทึบตกอยู่ในความเงียบอยู่นานจนความอดทนอันน้อยนิดของพีรพัฒน์หมดลง
"จำไว้เลยนะไอ้น้ำ"
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นจากปลายเตียงของเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องเสียงดังปัง คนที่ยังเคลียร์งานตัวเองไม่เสร็จจึงถอนหายใจออกมาเสียงดังได้เสียที และถอดแว่นออกวางไว้กับเครื่องพีซีที่เข้าสู่โหมดสลีปไปเรียบร้อยแล้ว
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ล้อเลื่อนยืนขึ้นเต็มความสูง บิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อจากการนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าคอมพ์นานให้กระดูลั่น มือที่จับแต่เมาส์และแป้นคีย์บอร์ดคว้าผ้าเช็ดหน้าเดินเข้าห้องน้ำจัดการล้างหน้าล้างตาให้พอสดชื่น
ทั้งที่วันนี้เขาต้องแก้ไขโปรแกรมนี้ให้เสร็จพร้อมใช้งานในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ยังเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบกางเกงยีนส์ขึ้นมาใส่ทับบ๊อกเซอร์ และเปลี่ยนจากเสื้อยืดตัวเก่าเป็นเชิ้ตสีดำ ทาครีมบำรุงไม่ให้ดูโทรมจนเกินไป จัดทรงผมให้พอเข้าที่เข้าทาง ใส่นาฬิกาที่เพื่อนสนิทซื้อให้ในวันเกิด
โอเค เท่านี้ก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว
อรรนพเปิดประตูห้องนอนไม่เจออีกคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เลยไปเคาะประตูหน้าห้องมันแทน
'ก๊อก ๆ'
ยืนรอไม่ถึงสองวิเจ้าของห้องก็แสดงตัวพร้อมกับหน้างอง้ำราวเด็กไม่รู้จักโต แต่พอเห็นว่าอรรนพอยู่ในชุดพร้อมออกไปข้างนอก ใบหน้านั้นจึงแสดงถึงความปรีดีดูลิงโลดจนเผลอคลี่รอยยิ้มออกจนเต็มแก้ม
"ไปดูหนังกัน!"
"เออ จะไปก็แต่งตัวเร็ว ๆ "
ถึงไม่อยากไป แต่สุดท้ายเขาก็ยอมมันอยู่ดีนั่นแหละ
เป็นคนโทรปลุกตอนเช้า...คอยเฝ้าถามและห่วงใย
อยากที่จะรู้ว่าเธอเป็นไง...ในเวลาที่เธอไม่เหลือใคร
แม้เธออาจไม่เห็นกัน...ในบางวันที่เธอไม่ทุกข์ใจ
"น้ำมึงไม่กลับบ้านบ้างวะ ป้านีกับฟ้าถามหามึงบอกให้กลับบ้านบ้าง"
คนกินมาม่าคัพไม่ได้สนใจคนที่บ่นกระปอดกระแปดหลังจากกลับบ้านไปเมื่อวานนี้ เพราะบ้านเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน และรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อแม่เองก็สนิทกันทำให้พวกเขามักจะเล่นด้วยกันเสมอ เพราะพีรพัฒน์เป็นน้องเล็กของบ้านร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรงนักเพราะออกก่อนกำหนด ส่วนเขาเป็นลูกคนกลางห่างจากพี่คนโตสี่ปี ห่างจากน้องสาวอีกหกปีถูกแม่ให้พามารู้จักกับเด็กตัวกะเปี๊ยกขี้มูกย้อย นั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'ไอ้น้ำ' กับ 'ไอ้พี'
พวกเขาเรียนจบกันได้และใกล้จะรับปริญญากันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ย้ายออกจากคอนโดที่ซื้อไว้เพราะเขาเองก็อยู่ที่นี่จนชินแล้วส่วนพีรพัฒน์พอเห็นว่าเขาไม่กลับบ้านจึงขอแม่อยู่ต่อและแน่นอนว่าคนที่ทุกคนโอ๋อย่างมันขออะไรแม่มันก็แทบฝากฝังให้เขาดูแลมันเหมือนลูกในไส้
เรื่องค่าใช้จ่ายพวกเขาก็ยังคงหารครึ่งกันเท่าเดิมเพราะเรียนจบมาอรรนพก็เลือกทำงานฟรีแลนซ์คือเอากลับมาทำที่บ้าน พีรพัฒน์เองก็เหมือนกันแต่รายนี้ไม่ค่อยรับงาน มันบอกว่าทำงานทั้งวันทั้งคืนแบบเขาคงได้ใช้เงินในห้อง ICU แต่พอปลายเดือนเงินหมดก็มักจะมาอ้อนวอนให้เขาเลี้ยงนั่นเลี้ยงนี่ตลอด
"กูเพิ่งกลับไปเมื่อสิ้นเดือน ไว้สิ้นเดือนอีกค่อยไป" อรรนพพูดก่อนคีบเส้นเข้าปากแล้วสูดเสียงดัง
"กินมั่ง"
"อยากแดกก็ต้มเอง"
คำตอบของอรรนพถูกเมินสนิทมือเรียวเล็กผิดจากอีกคนดึงแก้วมาม่าที่เหลือ แย่งตะเกียบจากมาสูดเส้นเข้าปากก่อนกระดกซดน้ำเสียงดังพอกันจนหมดแล้วค่อยวางคืนเจ้าของ
"อย่างก ๆ ได้ข่าวว่างานที่แล้วได้มาเหนาะ ๆ สามหมื่นแค่มาม่าถ้วยเดียวมึงงกเหรอน้ำ หืมมม มึงงกเหรอ" ไอ้ตัววุ่นถาม
"แล้วหมาตัวไหนโยนงานนี้ให้กูเองล่ะห้ะชายพี หือออ หมาตัวไหน"
อรรนพย้อนกลับ เพราะงานนี้เป็นงานที่คนตัวเล็กรับมาแล้วเอามาให้เขาทำแทนอ้างว่าช่วงนี้พักผ่อนน้อยเกินไปทำให้ขอบตาคล้ำและโทรมมันเลยโยนงานนี้มาให้เขาทั้งที่เขาเองก็แทบไม่ได้หลับได้นอนพอกัน
ใครว่าทำงานฟรีแลนซ์สบาย บอกเลยว่าไม่สักนิดถึงเงินจะดีแต่ก็ต้องแลกด้วยเวลาทั้งสุขภาพร่างกายอีก แล้วยิ่งคนที่ห่วงหล่ออย่างคุณชายพีแล้วล่ะก็นะ
"มึงก็รู้ว่ากูนอนน้อยไม่ได้เดี๋ยวขอบตาดำ" มันชี้นิ้วให้ดูขอบตามัน
"แล้วกู" เลยชี้ให้มันดูขอบตาเขาบ้าง ดำกว่ามันไปหลายเท่านัก
"เอาน่า ๆ วันนี้งานเสร็จแล้วช้ะ?(วิบัติเพื่อเสียง)"
"เออ"
"พอดีเลย พรุ่งนี้กูเพิ่งนัดกับสยามไปดูรองเท้าที่เซ็นทรัล มึงไปกับกูด้วยนะ"
"มีเวลาว่างทำไมไม่นอนวะ"
"เหงา คิดถึงพวกมัน นานจะได้รวมตัวด้วยขาดมึงก็เหงาตายห่า" เจ้าตัวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แต่เขาก็รู้ว่าจริง "ว่าไง ไปป่ะ"
"เออ" รับคำง่าย ๆ
"เด็กดีที่สุด" ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นยีหัวเพื่อนตัวโตประหนึ่งเห็นเขาเป็นเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์(Golden Retriever) ที่เลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน
"เดี๋ยวมึงจะโดน"
ขู่ไปอย่างนั้น เพราะพีรพัฒน์รู้ดีว่าเขาไม่ทำมันอยู่แล้ว
.
.
"ไอ้เชี่ยน้ำ ตาโหลฉิบหายยยย พี้ยามาเหรอมึงฮ่า ๆ "
ธนพนธ์หัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อเห็นหน้าเพื่อนที่อดหลับอดนอนสามวันสามคืนติดทำให้ขอบตาเขียวคล้ำอย่างเห็นได้ชัดแม้จะสวมแว่นกรอบสีขำพรางไว้บ้าง ทำให้คนที่คีพลุคอยู่เสมอตวัดสายตามองเพื่อนวัยเด็กอีกคน
พีรพัฒน์รู้ความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนของพวกมันทั้งสองคนแล้วก็ช็อคไปพักใหญ่ก่อนจะถามเขาว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ซึ่งเขาเองก็ได้แต่บอกว่าไม่รู้ ช่างมันเถอะจนมันเลิกถามไปเอง แต่ถึงจะรู้ว่าเป็นเกย์แต่พวกเขาก็ยังคบกับฉันท์เพื่อนอยู่ดี
"หนวกหู" เป็นสยามที่นั่งเล่นเกมอยู่ยัดแซนด์วิสเข้าปากแฟนตัวเอง
"เชี่ยหยาม!"
"บอกว่าหนวกหูไง"
สยามเหล่สายตาคมใส่คนข้างกายก่อนกลับไปสนใจกับเกมในมือถือต่อ ส่วนคนข้าง ๆ เขานั้นก็ไม่ได้ต่างกัน หลังจากไปหิ้วรองเท้าจากช็อปมาได้คนละคู่สองคู่พวกเขาก็มาหาที่นั่งพักในคาเฟ่เล็ก ๆ สั่งของกินเล่นมาสองสามอย่างแล้วนั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบหรือกาเรื่องคุยสัพเพเหระไปเรื่อย เว้นก็แต่สองคนที่นัดแนะกันมาก่อนนี่แหละเอาแต่นั่งเล่นเกมตั้งแต่หย่อนก้นลงเก้าอี้
"กูจะลบเกมมึงทิ้ง" ธนพนธ์พูดอย่างเซ็ง ๆ มองหน้าเขาอย่าขอความคิดเห็น
"หยามมึงดันป้อมไป เดี๋ยวกูจะไปล่อมัน"
คราแรกก็จะไม่ออกความเห็นอะไรหรอก แต่พอได้ยินคนด้านข้างมัวแต่สนใจเกมอีกคนแล้วมันก็...
"กูก็ว่างั้น"
อรรนพนั่งได้สักพักก็ชักจะปวดเบาขึ้นมา เลยมาเข้าห้องน้ำคนเดียวระหว่างที่เดินกลับอยู่ก็บังเอิญเจอใครบางคนที่ไม่อยากเจอเสียด้วยสิ
"อ้าวพี่น้ำ" เธอเดินเข้ามาทักพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน "พี่พีมาด้วยเปล่าคะ"
"อืม" อรรนพตอบแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเช่นทุกที
"เออ งั้นฉันไปหาพี่พีก่อน แกสองคนจะไปกับฉันป่ะ"
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันรอที่..."
"โอเค ๆ เดี๋ยวมา" บอกกับเพื่อนก่อนหันมาพูดกับเขา "ไปกันค่ะพี่น้ำ"
เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วยิ้มให้สองสาวเพื่อนของเธอก่อนจะเดินนำฐิติกาญจน์ หรือปิม แฟนของเพื่อนเขานั่นเอง ระหว่างทางที่เดินมาก็คุยกับเขามาเรื่อย ๆ
“พี่น้ำคะ รู้ไหมเพื่อนปิมมันชอบพี่มากเลยนะ...จนมันคะยั้นคะยอให้ปิมมาขอเบอร์พี่ให้มัน แต่ปิมก็บอกให้มันมาขอเอง นี่สงสัยยัยอันจะเขินจนไม่กล้ามาขอสักที”
"อ้าว เป็นงั้นไป พี่ดูน่ากลัวเหรอ"
"ไม่ได้น่ากลัวหรอกค่ะ แต่พี่พีน่ะสิไปบอกกับเพื่อนปิมว่าพี่น้ำเจ้าชู้"
"เชื่อไอ้พีมัน มันเพ้อเจ้อ"
"ปิมก็เชื่ออย่างนั้นค่ะ" เธอป้องปากหัวเราะ
อรรนพเหลือบมองหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ ตามที่เจ้าตัวชอบทำเสมอ ปิม แฟนสาวของพีรพัฒน์เป็นคนน่ารัก สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบตามสเป็กคนตัวเล็กอย่างมัน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี สดใสร่าเริงจนเขาเองยังชอบคนลักษณะแบบนี้เช่นกัน
เขาสองคนเดินคุยกันมาตลอดทางโดยรักษาระยะห่างเอาไว้พอประมาณจนมาถึงโต๊ะ ธนพนธ์ดูตกใจที่เห็นหน้าแฟนของเพื่อนตัวเล็กทั้งยังเดินมาพร้อมกับเขาอีก ส่วนสยามนั้นแค่เหลือบมองแค่แป๊บเดียวก็สนใจเกมในจอต่อจะมีก็แต่คนที่ติดเกมจนฝังหัวนั่นแหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
"พี่พี!"
"เชี่ย!" อุทานออกมาอย่างลืมตัว
"พี่พีพูดไม่เพราะนะคะ" ฐิติกาญจน์หัวเราะเมื่อเห็นว่าแกล้งแฟนสำเร็จ
"ปิมมาได้ไงครับ ไหนว่าจะไปปากเกร็ดกับเพื่อน" เมื่อเห็นแฟนตัวเองโทรศัพท์ที่ค้างเกมอยู่ในมือก็ถูกส่งให้อรรนพทันที และเขาก็รับมาเล่นต่ออย่างรู้หน้าที่
"พายัยอันกับ ยัยบีมาซื้อของค่ะ แล้วพี่พีมาทำอะไรคะ"
"มาซื้อรองเท้าครับ นัดเจอพวกนี้มันด้วย"
พวกนี้ที่ว่าหมายถึงธนพนธ์กับสยามที่จู่ ๆ นั่งหยอกกันเสียอย่างนั้น จนเขาชักจะทนไม่ไหว...
"เหม็นความรัก"
"อิจฉาล่ะสิมึง เหม็นคนโสด"
ก็โสดรอมึงนี่ไง...ควาย
ใบหน้าหล่อแต่โทรมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ก่อนจะก้มลงเล่นต่ออย่างไม่ใส่ใจแม้หูกำลังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ได้ยินมันคุยอะไรงุ้งงิ้งกับแฟนสาวอยู่หลายประโยคแต่เสียงเบาจนจับรูปประโยคแทบไม่ได้
"เออ พวกมึงเดี๋ยวกูว่าจะไปกับปิมเลยนะ"
"อ้าวเหรอ? น้องเขาไปทำงานป่ะไม่ได้ไปเที่ยว" ธนพนธ์เอ่ยถามแทน
"ไปเก็บข้อมูลที่ปากเกร็ดค่ะพี่แบงค์ แต่พี่พีเขาบอกว่ามีแต่ผู้หญิงอันตรายค่ะ"
"ก็จริงนี่ครับ ให้พี่ไปขับรถให้นะ ๆ "
"ปากบอกว่าเหงาอยากเจอเพื่อนเจอฝูง พอเจอแฟนแล้วชิ่งเลยนะสัส" ลูกเจ้าของร้านทองว่าขำ ๆ ก่อนโบกมือไล่ "ไปไหนก็ไปเลย เดี๋ยวกูพาน้องน้ำกลับไปส่งเอง"
"แต๊งกิ้วจ้ะเพื่อนแบงค์ กูไปก่อนนะสยาม น้องน้ำฝากดูโทรศัพท์พี่ด้วยนะจ๊ะ บ๊ายบาย" ว่าแล้วก็เดินโอบไหล่แฟนมันออกไป
น้องน้ำพ่อง...
ใบหน้าหล่อพร้อมความโทรมเผยหน้าเซ็งออกมาแบบไม่อยากเกร็งกล้ามเนื้อ อยากจะวางโทรศัพท์สีดำรุ่นล่าสุดทิ้งแต่เจอสายตาดุ ๆ ของสยามทำให้ต้องฝืนเล่นต่อไปจนจบเกม
ธนพนธ์ชอบบอกว่าเขาเป็นคนฉลาด และรู้ทันคนอื่นเสมอ เขาเองก็ชอบคำชมนี้อยู่เหมือนกันมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมอะไรได้หลายอย่าง หรือกระทั่งนั่งมองเพื่อนแอบรักเพื่อนอีกคนโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยจนเวลาผ่านพ้นไปหลายปีจนมันเอ่ยปากถึงได้ยอมช่วย
แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองแล้วอรรนพคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนฉลาดหรือทันคน เขาแค่วิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่ฉลาดพูดฉาดทันคนแถมยังถูกชักจูงได้ง่ายดายเพียงแค่คนนั้นเป็นพีรพัฒน์...
"ไง จ๋อยเลยสิมึง"
"จ๋อยพ่อง" เขาวางโทรศัพท์ในมือทันทีเมื่อป้อมที่อุตส่าห์กันไว้แตก
"มึงนี่ไม่น่าเป็นคนดีได้ขนาดนี้ว่ะ" เพื่อนผิวสีแทนพูดขึ้นบ้าง
"กูดูเป็นแบบนั้นเหรอ"
"แสดงเป็นเพื่อนที่แสนดีได้เนียนขนาดนี้ยังกล้าพูด" อีกคนพูดเสริม เพราะมันก็รู้จักกับเขากับพีรพัฒน์มาไม่ใช่น้อย ทุกการกระทำย่อมอยู่ในสายตาของมันเสมอ
"กูไม่ได้เป็นคนดี"
“เหรอ? แล้วที่ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงไปวัน ๆ นี่คือ?”
เอาเป็นว่าทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าเขาคิดยังไงกับเพื่อนที่คบกันมาแต่เด็ก แต่ที่เขาทำไม่ใช่การแสดงเป็นเพื่อนที่แสนดีหรอก อรรนพไม่ใช่คนดีขนาดนั้น
อรรนพดันแว่นให้เข้าที่ก่อนคิดหาคำตอบว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคืออะไร
"ก็แค่เป็นทุกอย่างที่มันขอนั่นแหละ"
มันก็แค่ความสุขเล็กน้อยที่เขาพร้อมจะทำให้มันได้เสมอ
ทำได้แค่เพียง...แค่ทุกๆอย่างที่เธอขอ
จะนานเท่าไรไม่ว่าเมื่อไร...ก็พร้อมจะยอมทำให้เธอ
"พีไม่ได้คุยกับใครพีทำงาน.... ปิมอย่างงี่เง่าดิ"
เสียงแหบห้าวของคนตัวโปร่งบางกำลังยืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียง ความจริงอรรนพไม่ใช่คนไม่มีมารยาทมาแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ เพียงแต่เขาหิวน้ำและน้ำในห้องก็หมดขวดพอดีจึงออกมากินในครัว แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับแจคพ็อตเข้าเต็ม ๆ แถมดูเหมือนฝ่ายนั้นจะลืมแม้กระทั่งปิดกระจกบานเลื่อนให้สนิททำให้เสียงตะโกนเมื่อครู่เล็ดลอดเข้ามา
"พีไม่ได้จะว่าปิม แต่พีทำงานอยู่จริง ๆ "
"ก็แล้วแต่ปิมแล้วกัน"
"อยากเลิกก็ตามใจ"
อรรนพเมินสายตาจากเพื่อนเมื่อมันหันกลับมาแล้วเจอเขาเข้าพอดี อรรนพจึงก้าวขาไปห้องครัวเพื่อดื่มน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
อ่า... ดูเหมือนว่าจะได้ยินอะไรที่ไม่สมควรเข้าแล้วสิ
"มึงได้ยินเมื่อกี้ใช่ไหม"
เสียงแหบเอกลักษณ์เอ่ยถามด้านหลัง คาดว่าคงจะคุยจบแล้ว
"อือ กูออกมากินน้ำ ไม่ตั้งใจจะแอบฟัง" ดื่มน้ำหมดแก้วค่อยตอบกลับไป และไม่ลืมที่จะริน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
"ช่างแม่งเหอะ คนบ้าอะไรงี่เง่าฉิบหาย"
พีรพัฒน์รับแก้วแล้วดื่มต่อไม่ได้สนใจว่าแก้วนั้นจะเป็นแก้วเดียวกับที่คนร่วมห้องดื่มไปเมื่อครู่นี้ แต่ชีวิตประจำวันพวกเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกว่ามันแปลกอะไรที่ใช้ของร่วมกัน
ส่วนเรื่องที่เขาได้ยินนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่อยากออกความเห็นอะไรทั้งสิ้น ต่อให้แฟนของอีกฝ่ายเป็นคนที่เขาคิดว่าดี แต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิง นิสัยติดระแวง จับผิดพิรุธย่อมมีติดตัวอยู่ไม่มากก็น้อย
"ผู้หญิงแม่งปัญญาอ่อน!"
"อืม" ได้แต่รับคำสั้น ๆ
"น่ารำคาญเหี้ย ๆ เลิกกันแล้วก็ดี"
"อืม"
"มึงว่างั้นป่ะ"
"อืม"
"กวนตีนกูเหรอ"
"อืม"
"เป็นควายใช่ไหม?"
"มึงสิควาย" อรรนพเปลี่ยนคำตอบทันควัน ถึงที่ตอบมันไปจะไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่ก็มีสติอยู่ตลอดเวลา
"มึงแม่ง"
ปากสีสดของมันขมุบขมิบด่าอยู่แน่ ๆ อรรนพก็ไม่เข้าใจว่าทั้งที่มันก็สูบบุหรี่เหมือนกับเขาและเพื่อนคนอื่น แต่ทำไมปากยังเป็นสีพีชเหมือนคนสุขภาพดีห่างไกลสารนิโคตินได้ถึงขนาดนี้
"งั้นกูไปทำงานต่อละ" หลายต่อหลายนาทีพวกเขายืนกันเฉย ๆ สุดท้ายอรรนพก็ขอไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ ต่อให้ยังไม่ถึงกำหนดแต่ก็เร่งทำไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องตายในวันเดดไลน์
"เดี๋ยวดิ"
"อะไรอีก" ทำหน้าเหม็นเบื่อกับความเอาแต่ใจของมัน
"ไปสูบบุหรี่เป็นเพื่อนหน่อย"
สุดท้ายเข้าก็ยอมมานั่งบริจาคเลือดให้ยุงนอกระเบียง พร้อมเบียร์คนละกระป๋องและบุหรี่คนละตัว นั่งทอดอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อยฟังเสียงงุ้งงิ้ง ๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้างซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ตอนนี้เขาก็เหมือนพี่อ้อย พี่ฉอด แห่งศูนย์บรรเทาทุกข์ความรัก
"กูนะทำงานไม่ได้หลับได้นอน ทำไม่น้องไม่เข้าใจกูวะ"
"..."
"เป็นแฟนกันไม่เชื่อใจกันบ้างเลย ตลอดเวลามึงก็เห็นว่ากูเคยมีใครที่ไหน"
"..."
"มีแค่มึงนี่แหละ ที่เข้าใจกูที่สุด"
อรรนพทำหน้าที่แค่รับฟัง ไม่พูดแย้ง ขัด หรือยุยงอะไรทั้งสิ้น บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกสูบจนเหลือเพียงก้นกรองสีเทาเหมือนตะกอนความรู้สึก ความคิดของเขาล่องลอยไปกับความมืดของท้องฟ้า และไฟนีออนจากตึกในเมืองหลวง
นั่งเหม่ออยู่นานจู่ ๆ แขนข้างซ้ายก็เกร็งตัวอัตโนมัติเมื่อได้รับน้ำนักจากอย่างใดอย่างหนึ่ง หันไปมองจึงเห็นเรือนผมเส้นใหญ่ของคนข้าง ๆ
พีรพัฒน์หลับไปแล้ว... ทั้งยังนอนซบแขนของเขาอีก ร่างสูงจึงกระถดตัวเองให้ต่ำลงมาหน่อยก่อนจะจัดท่าทางให้พีรพัฒน์ซบให้ตรงตำแหล่งไหล่แทนจะได้ถนัดยิ่งขึ้น
เป็นหมอนแล้วกันตอนนี้
"งืม..."
อรรนพมองเจ้าของเสียงเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเพียงแค่ขยับท่าทางให้สบายขึ้นจึงไม่คิดปลุกแม้ว่าไหล่ข้างซ้ายจะชาจนร้อนเพราะถูกอิงมาสามชั่วโมง
เห้อ...
ตั้งแต่เด็กจนโต เคยตามใจมันอย่างไง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
อรรนพไถหน้าจอโทรศัพท์ด้วยมือข้างที่แขนว่างดูพวกนกฮูกพร่ำเพ้อกันในแอพพลิเคชั่นนกสีฟ้า เจออันไหนถูกใจก็รีกดรีทวีต มีบ้างที่ตอบเมนชั่นคุยกับธนพนธ์หรือสยามที่ยังไม่หลับไม่นอนคาดว่าคงทำงานหามรุ่งหามค่ำเพราะมันสองคนทำงานที่บริษัทเดียวกัน ชะตาเด็กวิทย์’คอมจะฟรีแลนซ์ หรืองานบริษัทเอกชนสภาพชีวิตก็ไม่ต่างกันนักหรอก
เขาถ่ายรูปตัวเองกับพีรพัฒน์ที่กำลังฟุบหน้าลงที่ไหล่ของเขาแล้วทวีตรูปพร้อมแคปชั่น
‘เป็นทุกอย่างให้มึงได้หมด เป็นอะไรก็ได้เป็นหมอนก็ได้’
คนตัวโตกว่าหัวเราะเบา ๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังถ่ายรูปอวดแฟนกับเพื่อนในโซเชียลเป็นเด็กน้อยทั้งที่อายุก็ยี่สิบสามแล้ว
อีกไม่ถึงชั่วโมงพระอาทิตย์ก็คงจะขึ้นถึงตอนนั้นแล้วค่อยปลุกมันก็ได้มั้ง
ไม่บ่อยเสียหน่อยที่จะได้อยู่ใกล้กันในระยะนี้นาน ๆ
เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว
แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย
ฉันก็แค่คนหนึ่ง...ที่เธอต้องการในบางครั้ง
ได้อยู่ตรงนี้ก็ดีแค่ไหน
...จะหวังอะไรให้มากมาย
TBC.
เรื่องนี้เป็นเรื่องแยกออกมาจากเรื่องเล่นสวาทนะคะ
เอามาลงที่นี่แทนค่ะ
อีกสองตอนก็ปั่นอยู่น้าาา ปั่นพอ ๆ กับงานตอนนี้ค่ะ 55555