In Time, I’ll Find You by Night Rain
เขาระแคะระคายเรื่องนี้มานานมากแล้ว
รู้สึกได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่เกรด 10 ว่าพ่อมีความลับ ไม่แน่ใจว่าแม่สงสัยเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า แต่ถ้ารู้ แม่ก็ปกปิดความรู้สึกได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
พฤติกรรมของพ่อแปลกไปมากตั้งแต่กลับจากพักร้อนหลังงานสัมมนาศิลปะกรีกโบราณประจำปีที่กรุงเอเธนส์ พ่อเริ่มใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้นและกลับบ้านดึกจนผิดวิสัย อีกทั้งยังดูมีความสุขกระชุ่มกระชวยอยู่ตลอด ต่างจากอาจารย์มหาวิทยาลัยด้านประวัติศาสตร์คลาสสิคผู้เคร่งขรึมที่เขารู้จักมาตั้งแต่เกิด เขาลองหลอกถามดูหลายครั้งแต่ทุกครั้งพ่อจะแค่ยิ้มตอบแล้วเลี่ยงไปพลิกหน้ากระดาษเก่าคร่ำครึของสารานุกรมภาษากรีกโบราณ
ยิ่งเวลาผ่านไปพ่อก็ยิ่งหมกมุ่นกับตำนานคลาสสิคจนดูคล้ายศาสตราจารย์สติเฟื่องเข้าไปทุกที และมักจะพึมพำชื่อของใครสักคนด้วยสีหน้าอมยิ้มจนตัวเขาเริ่มวิตก
หรือพ่อจะมีผู้หญิงอื่น!
ชายหนุ่มเก็บงำความสงสัยที่คับแน่นอยู่เต็มอกเอาไว้เพียงลำพัง และคอยจับตาดูพ่อทุกฝีก้าวจนหากจะเรียกว่าจ้องจับผิดก็คงไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก
เขาจับตาดูพ่อมาตลอดเจ็ดปีเต็ม ซุกซ่อนความสงสัยและวิตกกังวลไว้เนิ่นนาน และไฟในอกที่ถูกสุมมานานปีย่อมเป็นเหมือนระเบิดเวลารอเพียงเหตุการณ์เล็กๆ มาสะกิดให้ทุกอย่างระเบิดตูมออกมา
ภาพพ่อนั่งคุยอย่างสนิทสนมกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีเสี้ยวหน้าหวานซึ้งในร้านขนมชื่อดังคือคือสลักที่ถูกดึงรั้งจนใกล้หลุดจากขั้ว
เขาแอบซุ่มอยู่ในเงามืด เฝ้ามองร่างสูงโปร่งของพ่อหายลับไปในอาคารที่พักกับเด็กร่างเพรียวบางในชุดลำลองที่เหมือนมีประกายเรืองรองบางอย่างซึ่งเขาหาคำจำกัดความไม่ได้
ชายหนุ่มโกรธจนหน้ามืด ความผิดหวังประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติดหากไม่ใช่เพราะเพื่อนสนิทรั้งแขนเขาไว้ล่ะก็...คงสนุกไม่หยอก
เขายอมกลับมาสงบใจที่บ้าน แต่คืนนั้นกลับข่มตานอนไม่หลับ กระสับกระส่ายรอพ่อเหมือนหนูติดจั่น คอยเงี่ยหูฟังเสียงรถของพ่ออยู่ตลอด
ในที่สุด เสียงไขประตูบ้านก็ดังขึ้น…
...เมื่อเข็มสั้นของนาฬิกาชี้พาดไปที่เลขหนึ่งพอดิบพอดี
เพราะเหตุนี้ชายหนุ่มจึงหักพวงมาลัยเข้าที่จอดรถหน้าอาคารซึ่งกุมความลับดำมืดของพ่อเอาไว้
อาคารทรงโคโลเนียลสีขาวสะอาดตาดูเหมาะกับรสนิยมของศาสตราจารย์โบลตันมากพอที่เขาจะเชื่อว่าพ่อซุกผู้หญิงคนอื่นไว้ที่นี่จริงๆ
ชายหนุ่มกระชับเสื้อโค้ต ก้าวเร็วๆ ฝ่าหิมะเข้าไปกดอินเตอร์คอมหน้าตึก ดีที่วันนั้นเขาทันเห็นเลขที่พ่อกดจึงสามารถพาร่างสูงของตัวเองมายืนเคาะประตูห้อง 403 อย่างก้าวร้าว เสียงเคาะรัวดังฟังดูไร้มารยาท แต่ทรอยไม่ใส่ใจ เขามีเรื่องต้องคุยกับเด็กคนนั้น และถ้าหล่อนยังไม่มาเปิดประตูภายในอีกสิบวินาทีล่ะก็ ความอดทนของเขาคงถึงขีดสุด
ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะยอมถูกแจ้งข้อหาบุกรุกดีหรือไม่ บานประตูสีขาวก็แง้มออก
ชายหนุ่มรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องทันที ก้าวผ่านร่างเพรียวที่เขาเห็นเพียงแวบเดียวด้วยหางตาเข้าไปในห้องสีขาวสะอาดตา เมื่อเห็นว่าในห้องมีเพียงเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนและของตกแต่งไม่กี่ชิ้นก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อยที่รู้ว่าพ่อไม่ได้ทุ่มเงินให้กับแม่นี่มากอย่างที่กังวล แต่ก็ไม่ช่วยดับพายุในใจเขาได้
ระเบิดเวลาในใจเขาถูกดึงสลักออกในที่สุด
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ขอเตือนเลยนะ เลิกยุ่งกับพ่อผมได้แล้ว!” ไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยถาม ชายหนุ่มก็เปิดประเด็นทันทีด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทรอยเลื่อนสายตาสำรวจรอบห้องอีกครั้ง ห้องนี้เป็นห้องชุดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ดูสะอาดเป็นระเบียบ ของตกแต่งที่มีล้วนเป็นวัตถุโบราณสไตล์กรีกเช่น แจกันเขียนสีที่เรียกกันว่า แอมโฟรา หรือรูปสลักหินเล็กๆ แขวนผนัง ดูสวยงามแต่ไม่ใช่รสนิยมที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเลือกมาแต่งบ้าน
ชายหนุ่มพิจารณา ‘รังรัก’ ของพ่อจนแทบลืมไปว่าตนตั้งใจจะมาสะสางเรื่องคาใจกับเด็กสาว เมื่อนึกขึ้นได้จึงออกจะแปลกใจไม่น้อยที่ไม่ได้ยินเสียงหวานใสเถียงกลับมา
เพราะสิ่งที่เข้ากระทบโสตประสาทคือเสียงนุ่มชวนฟังของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ทรอยจึงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันกลับไปปะทะใบหน้าหวานซึ้งของเด็กหนุ่มร่างเพรียวบาง ผู้มีผิวสีน้ำผึ้งสวยกับดวงตาสีเขียวมะกอกกลมโตที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
ให้ตายเถอะ เด็กคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างร้ายกาจ เหมือนกวางตัวน้อยที่เชื้อเชิญให้กระโจนเข้าขย้ำจนจมเขี้ยว
“ใครครับ”
หนุ่มน้อยคนนั้นจ้องเขาด้วยตาโตน่าหลงใหล ทรอยอึ้งไปนิด สะบัดศีรษะไล่ความคิดแล้วกอดอก แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์
“รู้จักศจ. โรเบิร์ต โบลตันใช่ไหม” เขารีบถามให้แน่ใจ เริ่มสงสัยตัวเองว่าสมองหรือจอประสาทตาเสื่อมขั้นรุนแรงจนถึงขั้นมองเด็กหนุ่มเป็นเด็กสาวไปได้จริงๆ หรือ อาจเพราะรูปร่างสูงโปร่งและทรงผมที่ค่อนข้างยาวทำให้เขาที่มองผ่านกระจกหน้าร้านขนมเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ “ใช่ รู้จัก...ร็อบ”
คราวนี้อารมณ์ที่เริ่มเย็นกลับยิ่งพุ่งสูงเป็นพายุเพลิง เด็กคนนี้ไม่เพียงรู้จักพ่อเขาแต่ยังเรียกชื่ออย่างสนิทสนม นี่มันชักไปกันใหญ่แล้ว
“คุณ...เป็นใคร” วิธีพูดของเด็กหนุ่มเนิบช้า ทอดเสียงนุ่มแต่กลับเอ่ยออกมาอย่างติดขัดคล้ายไม่ชินกับภาษาอังกฤษ ฟังแล้วแยกสำเนียงไม่ออกว่ามาจากที่ไหน
“ชื่ออะไร” ทรอยเอ่ย เด็กหนุ่มทำหน้างง
“หมายถึงข้า...เอ่อ...ผมเหรอ”
“ก็เออสิ” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด เด็กคนนั้นทำท่านึกอยู่สักพักถึงตอบได้
“ไฮลาส”
ทรอยเลิกคิ้ว ชื่อของอีกฝ่ายฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากตำนานโบราณจนอดแขวะไม่ได้
“ไฮลาส เด็กในสังกัดเฮอร์คิวลีสรึไง”
เด็กไฮลาสนั่นนิ่งไปอีก ท่าทีทั้งชวนมองและชวนหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน
“ข้า...ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร แต่นั่นเป็นคำภาษาละติน ชื่อจริงของท่านคือเฮราคลีส และใช่ ผมเคยรับใช้ท่าน”
ได้คำตอบแบบนี้ สิ่งเดียวที่ทรอยทำได้คือจ้องอีกฝ่ายเหมือนเห็นตัวประหลาด
เขาแวะมาหาเด็กนั่นอีกจนได้
ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะอยู่ให้ห่าง ทั้งๆ ที่สัญชาตญาณบอกเขาว่าเด็กคนนี้อันตราย ที่ว่าอันตรายนั้นหมายถึงเสน่ห์เหลือร้ายของที่ดึงดูดเข้าให้เข้าใกล้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้นั่นล่ะ เหมือนหลุมดำที่มีอำนาจดูดกลืนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ในแกแลคซีให้ตกสู่วังวนอันล้ำลึก
หลังจากการพบกันครั้งแรกที่ไม่โสภานักในวันนั้น ดวงหน้าหวานๆ ของไฮลาสถึงขั้นตามไปหลอกหลอนเขาในความฝัน เขาเลิกคิดถึงเด็กคนนั้นไม่ได้เลย และเมื่อเริ่มคิดทบทวนเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว กลับยิ่งกังวลใจหนักขึ้นเมื่อความจริงข้อหนึ่งกระแทกเข้าจู่โจมความรู้สึกนึกคิดจนตั้งตัวไม่ถูก
ถ้าพ่อสนิทกับเด็กนั่นขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมที่จะมีอะไรเกินเลยไม่ถูกครรลองคลองธรรม หลายปีที่ผ่านมาพ่อใช้เวลากับเด็กคนนั้นในห้องชุดนั่นน่ะหรือ
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงขับรถมาที่ห้องของไฮลาสอีกครั้ง หมายมาดในใจว่าครั้งนี้จะต้องถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง จะเค้นความจริงทั้งหมดจากริมฝีปากหยักสวยนั่นให้ได้
“สวัสดีครับ” เสียงนุ่มทักมาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมที่ลอยมาเตะจมูกทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคงกำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว ทรอยลอบกลอกตา รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อวางกล่องอาหารจีนที่อุตส่าห์ซื้อมาเผื่ออีกฝ่ายลงบนโต๊ะแล้วเดินไปชะโงกดูสิ่งที่ร่างเล็กกำลังตั้งใจทำอยู่บนเตา
“ข้า...ผมทำสตูกรีกแบบที่คุณชอบอยู่นะ ใกล้เสร็จแล้ว” ทรอยเลิกคิ้ว ไฮลาสคงเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือพ่อสินะ ถึงได้พูดอย่างสนิทสนมขนาดนั้น คิดได้ดังนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงแต้มลึกที่มุมปากเมื่อแผนพิสูจน์สิ่งที่คาใจแบบรวบรัดผุดขึ้นมาในห้วงคิดในวินาทีนั้นเอง
แขนแข็งแรงอย่างหนุ่มนักกีฬามหาวิทยาลัยเอื้อมออก โอบกระชับเอวเล็กของคนตรงหน้าแล้วกดจมูกลงกับเรือนผมสีเข้มหยักเป็นคลื่นสวยนั่น
ถ้าพ่อกับเด็กนี่ไม่มีอะไรกัน แน่นอนว่าไฮลาสต้องตกใจร้องโวยวายจนน่าขันแน่ๆ
ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อเด็กหนุ่มยังคงนิ่ง แม้มือที่กำลังคนสตูว์จะชะงักไปนิด แต่กลับไร้วี่แววคนตกใจจนออกงิ้วอย่างที่ทรอยจินตนาการไว้แต่แรก
อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร พ่อ...กับเด็กคนนี้...เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ อย่างนั้นเหรอ!
เงียบไปนานหลายอึดใจจนชายหนุ่มเริ่มใจไม่ดี วงหน้าเนียนใสของเด็กไฮลาสจึงค่อยๆ เอี้ยวมา ดวงตาสีมะกอกเบิกกว้าง หากอีกฝ่ายไม่ร้องด้วยความเจ็บ ทรอยคงไม่รู้ว่าตัวเองเผลอกอดรัดร่างเล็กจนแน่น
“คุณทรอย!” แขนเรียวเสลาเหมือนรูปปั้นนั้นผลักเขาออกด้วยเรี่ยวแรงที่น่าตกใจ เด็กหนุ่มถอยกรูดหลังชนประตูตู้เย็น ดูๆ ไปก็เหมือนลูกกวางจนตรอก ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มยกยิ้มชอบใจ
“ทำไม นึกว่าพ่อรึไง” เขาเผลอพูดไม่ดีอีกแล้ว กล่าวหาเด็กนั่นด้วยข้อหา ‘ชู้’ ของพ่อไม่เลิกรา
ไฮลาสหน้าตึง เชิดคางใส่เขา ท่าทีคล้ายเจ้าชายน้อยถูกขัดใจแถมยังมองเขาตาขวางอีกด้วย
ทรอยเลิกคิ้ว กวาดตาพิจารณาร่างเพรียวตรงหน้าอย่างเปิดเผย เขาเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนั้นเองว่ารูปร่างที่ดูเหมือนผอมบางของไฮลาสแท้จริงแล้วมีมัดกล้ามกระชับด้วยเช่นกัน ดูคล้ายรูปสลักเด็กเลี้ยงแกะของแบร์เธล ธอร์วาลด์เซนกำลังจ้องตรงมาที่เขา เรือนผมสีเข้มหยักศกยาวระต้นคอยิ่งส่งเสริมความหมดจดงดงาม แม้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมกางเกงอยู่บ้านสบายๆ แต่กลับดูคล้ายมีรัศมีเรืองรองของความเยาว์วัยและความงามสมบูรณ์แบบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ไฮลาสเป็นเหมือนภาพจินตนาการที่มนุษย์มีต่อเทพเจ้ายุคโบราณ
“ข้า...ผมบอกคุณแล้วนะ ว่าผมกับร็อบเป็นเพื่อนกัน” เสียงของเด็กหนุ่มดึงทรอยออกจากภวังค์ เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเองเผลอจ้องเด็กหนุ่มนานจนเกินไป
“อ้อเหรอ” ทรอยรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองตอบไปแบบนั้น คงเป็นเพราะกลไกการป้องกันความกระดากตามธรรมชาติมนุษย์
“งั้นเล่าเรื่องตัวนายกับพ่อให้ฉันฟังสิ เอาแบบละเอียด ถ้าฉันจับได้ว่านายโกหกหรือปิดบังอะไรล่ะก็ นายเจอดีแน่”
สีหน้าของไฮลาสดูงงงันกับสิ่งที่ได้ยิน ราวกับไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก นานทีเดียวกว่าเด็กคนนั้นจะขยับตัวขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวที่สะอาดเอี่ยมเหมือนในแคตตาล็อคเครือบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากสวีเดน
“คุณอยากรู้จริงหรือ”
พระเจ้าช่วยเถอะ อย่าจ้องเขาด้วยสายตาแบบนั้นได้ไหม หัวใจเขาเหมือนจะกระเด็นออกมานอกออกให้ได้เพราะดวงตาคู่สวยเหมือนอัญมณีคู่นั้น
ทรอยรีบกลอกตากลบเกลื่อนดึงตัวเองออกจากภวังค์สะกด “เล่ามา อย่าลีลา”
ไฮลาสจ้องเขา คลี่ยิ้มจางๆ เป็นปริศนาก่อนจะเริ่มเอ่ย “ร็อบเป็นคนดี”
ดวงตาสีเขียวเหมือนเหม่อมองไปยังอดีตแสนไกล ไฮลาสมีแววตาที่ลึกล้ำเกินกว่าเด็กวัยมัธยมปลายควรจะมี ราวกับเด็ก
หนุ่มผ่านชีวิตมายาวนาน ไม่แน่ว่าคำตอบของทุกสิ่งที่เขาสงสัยอาจอยู่ในเรื่องราวที่เด็กหนุ่มกำลังจะเล่าก็เป็นได้
“เขาเป็นคนแรกที่พูดกับผมในรอบพันปี”
ไฮลาสคือชื่อของเจ้าชายแห่งไดรโอพีส เจ้าชายกำพร้าที่พระบิดาถูกสังหารด้วยน้ำมือของวีรบุรุษเฮราคลีสหรือที่ผู้คนในยุคปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อละตินว่า เฮอร์คิวลีส
เขาจำได้ดี ความทรงจำเหล่านั้นยังแจ่มชัดเหมือนเหล็กที่ถูกเผาไฟจนร้อน ตรึงตรา ไม่มีวันลบเลือน
นับตั้งแต่พระบิดาสิ้นพระชนม์ เฮราคลีสได้รับเขาไปเลี้ยงดูอย่างดี สอนศาสตร์ต่างๆ ที่บุรุษแห่งชนชาติกรีกพึงได้เรียนรู้ เขาเทิดทูนเฮราคลีสยิ่งกว่าผู้ใด ไม่ว่าวีรบุรุษผู้นั้นจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ไฮลาสก็พร้อมจะเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาและพร้อมจะบุกน้ำลุยไฟไปกับท่าน
การที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะอาร์โกนอตก็เป็นเพราะเฮราคลีส
เย็นวันหนึ่ง เมื่อเรืออาร์โกอันลือชื่อแห่งตำนานขนแกะทองคำเข้าจอดเทียบท่าที่เมืองไมเซีย เจสัน หัวหน้าวีรบุรุษอาร์โกนอตออกปากให้เขาไปตักน้ำสะอาดสำหรับดับกระหายในมื้อเย็น
แรกทีเดียวไฮลาสไม่พอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติให้ทำงานของเด็กรับใช้ แต่แท้จริงแล้วในใจลึกๆ กลับเข้าใจสถานการณ์ของตนเองเป็นอย่างดี
เขายังเยาว์นัก ทั้งอ่อนวัยเกินกว่าจะเป็นนักรบและขลาดเขลาเกินกว่าจะได้รับอนุญาตให้รับรู้ในเรื่องที่ทุกคนจะปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
หน้าที่ตักน้ำจึงเหมาะสมกับเขาอย่างที่สุด
ทว่าผู้ใดเลยจะรู้ว่าการตักน้ำจากน้ำพุจะพลิกชะตาชีวิตของตนได้เช่นนี้
วินาทีที่เขายื่นคนโททองเหลืองลงแตะผิวน้ำ ฝ่ามือซีดขาวทว่าเรียวงามของนางพรายกลับโผล่ขึ้นมา เขาไม่นึกเอะใจสักนิด ด้วยว่ายุคสมัยของเขานั้นเวทมนตร์และพลังอำนาจของเทพเจ้ายังแก่กล้า การพบเจอสัตว์ประหลาด นางไม้หรือแม้กระทั่งเทพยังเป็นเรื่องสามัญเสียจนไม่มีอะไรให้ตระหนก
เพราะเหตุนี้ไฮลาสจึงไม่ระวังตัวว่านางพรายเจ้าของน้ำพุใสแจ๋วจนเห็นก้นบ่อนั้นจะฉุดกระชากเขาลงไปในน้ำ
ทั้งเปียกโชก หนาวเหน็บและหวาดกลัว เด็กหนุ่มตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ ทว่านางพรายกอดรัดเขาแน่นไม่ปล่อย เจ้าชายหนุ่มจึงดิ้นทุนรนทุรายเมื่ออากาศในปอดลอยล่องเป็นฟอง
ไฮลาสตระหนัก ณ บัดนั้นเองว่าชีวิตของเขาคงจบลงในน้ำใสบริสุทธิ์นี้เอง ไร้วีรกรรมกล้าหาญให้ผู้คนขับขานสืบไป
แล้วความเจ็บปวดทรมานก็ยุติลง
เมื่อลืมตาขึ้น เจ้าชายหนุ่มคาดว่าตนต้องยืนอยู่ริมฝั่งสีดำอันหดหู่ของแม่น้ำอเครอน ปราการด่านแรกของยมโลกและต้องเฝ้ารออย่างไร้จุดหมายไปอีกนับร้อยนับพันปีจนกว่าเครอนจะยอมให้วิญญาณที่ไม่ได้รับการทำพิธีศพอย่างถูกต้องขึ้นเรือข้ามฟากไป
ทว่ากลับพบว่าร่างของตนนอนราบอยู่บนผืนหญ้าเขียวขจีข้างบ่อน้ำพุ รอบกายมีพฤกษานานาพันธุ์แตกกิ่งชูช่ออวดสีสัน ดูงดงามราวกับสวนสวรรค์
นางพรายสารภาพกับเขาภายหลังว่านางหลงรักดวงหน้างดงามและความเยาว์วัยของเขา ลุ่มหลงมากเสียจนเปลี่ยนเขาให้เป็นอมตะ ไม่แก่เฒ่า ไม่มีวันตาย
ไฮลาสไม่นึกยินดีในความอมตะที่ได้รับมาแม้แต่น้อย เพราะการมีชีวิตเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติคือความทุกข์ทนไร้ที่สิ้นสุด
ทรอยไม่แน่ใจว่าตัวเขาอยากรับรู้เรื่องที่เพิ่งได้ฟังจากปากของไฮลาสหรือไม่
อันที่จริง เขาควรถามตัวเองว่า ‘เชื่อ’ เด็กนั่นหรือไม่ต่างหาก
ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา เขาพบเจอเรื่องประหลาดที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้มาหลายครั้ง จนเรียกได้ว่า ‘เชื่อ’ ว่ามีเรื่องราวลี้ลับอีกมากมายที่ยังซุกซ่อนอยู่ในความผันแปรเฉียบพลันของโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ทว่าสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าเกินจะรับไหว ชวนให้สับสนว้าวุ่นเสียจนเล่นเอานอนไม่หลับต้องพาตัวเองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมในห้องสมุดส่วนตัวของพ่อ
ไฮลาสบอกเขาว่าตนไม่ใช่คนของยุคปัจจุบัน
เด็กตัวร้ายนั่นอ้างว่าตนคือเจ้าชายไฮลาส หนึ่งในคณะวีรบุรุษอาร์โกนอตในตำนานชื่อก้องโลกอย่าง เจสันและขนแกะทองคำ
ไฮลาส ‘คนนั้น’ นั่นแหล่ะ!
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องการผจญภัยอย่างละเอียดราวกับเคยอยู่ในเหตุการณ์จริง อีกทั้งเรื่องที่ถูกใช้ไปตักน้ำในไมเซียจนถูกนางพรายประจำน้ำพุฉุดลากไปก็ตรงกับในตำนานไม่ผิดเพี้ยน
ที่ต่างออกไปคือเรื่องราวหลังจากนั้น
ไฮลาสอ้างว่าถูกกักขังให้อยู่ในพื้นที่รอบน้ำพุเท่านั้นด้วยมนตร์ของนางพราย
วันคืนผ่านไปไม่อาจนับ นานเสียจนลืมเลือนโลกภายนอกไปเกือบหมดหัวใจ แต่ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกยุคต่างๆ ไฮลาสบอกว่ามนตร์ของนางพรายค่อยๆ เสื่อมลงในที่สุดเมื่อความบริสุทธิ์ของผืนดินและธรรมชาติถูกทำลาย เด็กหนุ่มไม่ได้พบนางพรายตนนั้นอีก และใช้ชีวิตเพียงลำพังในดินแดนรกร้างห่างไกล
ไฮลาสบอกว่าเขาเคยอยากจากโลกนี้ไปเพราะไม่อาจทนต่อความเปลี่ยนแปลงรอบตัวได้ แต่ความเป็นอมตะยับยั้งเขาจากความตายที่ปรารถนา ได้แต่เฝ้าดูสัตว์น้อยใหญ่ที่แวะเวียนมาหาแหล่งน้ำค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละตัวจนในที่สุดผืนป่าที่เคยกว้างใหญ่ก็แทบไม่เหลือต้นไม้อยู่อีก
ทรอยยกนิ้วขึ้นคลึงสันจมูก ปิดหนังสือหนาหนักของพ่อแล้วมองออกไปยังท้องถนนยามค่ำคืน
เด็กคนนั้นอยู่คนเดียวมานับพันปีอย่างที่พูดจริงหรือ
แต่ไม่ว่าสิ่งที่ไฮลาสพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ชายหนุ่มต้องยอมรับว่ารู้สึกดีใจที่พ่อของตนเป็นคนพบตัวไฮลาส
เขาพอจะนึกภาพออกถึงเหตุการณ์ที่ศาสตราจารย์สติเฟื่องเกิดอาการ ‘กรีกโบราณขึ้นสมอง’ เดินสำรวจพื้นที่ไปทั่วจนพลัดหลงกับคนอื่นแล้วโผล่พรวดไปเจอเด็กหนุ่มผู้เป็นอมตะในดินแดนที่แดดจัดจ้าจนแสบผิวสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนได้คร่าวๆ
ศาสตราจารย์ผู้หลงทางกับเด็กหนุ่มจากอดีตอันไกลโพ้นช่างเป็นสองชีวิตที่ไม่น่ามาพบเจอกันได้เลย
แต่โชคชะตามักเล่นตลกเสมอ
ไฮลาสไม่ได้อธิบายว่าพ่อใช้วิธีไหนพาเด็กหนุ่มที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตนอะไรเลยข้ามประเทศกลับมายังเกาะอังกฤษได้อย่างไร บอกเพียงแค่ว่าหลังจากนั้นโรเบิร์ต โบลตันให้เขาอยู่ที่ห้องนั้นและคอยดูแลในทุกเรื่องแลกกับเรื่องราวยุคกรีกโบราณที่ไฮลาสรู้
เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้อมูลหลายอย่างที่พ่อนำไปทำวิจัยหรือสอนเด็กนั้นได้มาจากคำบอกเล่าของไฮลาสผสมกับการค้นคว้าเพิ่มเติม
พ่อเชื่อสนิทใจว่าเด็กคนนั้นคือเจ้าชายกรีกผู้มีชีวิตอมตะ
เอาเถอะ เขาจะไม่ห้ามพ่อ อย่างน้อยไฮลาสได้ยืนยันเสียงแข็งมาแล้วว่าไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อกัน เด็กหนุ่มเล่าเรื่องกรีกโบราณ พ่อก็สอนสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตในโลกดิจิตอลให้รู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างอาหารการกิน การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ไปจนถึงเรื่องยากอย่างภาษาและเทคโนโลยี
ทรอยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมหัวใจเขาต้องพองฟูเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อได้ยินแบบนั้น
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมของไฮลาสยังกระตุ้นให้เขากลับไปหาเด็กนั่นอีกเป็นครั้งที่สาม
วินาทีที่เปิดประตูเข้าไป ใบหน้าหวานของคนในห้องก็แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับรออยู่ก่อนแล้ว
ทรอยรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง จนต้องรีบกระแอมกลบเกลื่อนแล้วยื่นกล่องขนมไปให้
“ได้ข่าวว่าชอบมูสน้ำผึ้ง”
เจ้าของห้องกะพริบตาเหมือนตกใจ “ใช่แล้ว ร็อบบอกคุณหรือ”
ทรอยแทบจะกลอกตาเมื่อได้ยืนชื่อพ่อ ถึงแม้เขาจะไปเปิดอกคุยกับพ่อจริงดังที่อีกฝ่ายว่าก็เถอะ แต่มันทำให้เขาหงุดหงิดใจพิลึก ศาสตราจารย์โบลตันดูช็อคพอสมควรที่ความลับถูกเปิดเผย เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพ่อจะกลัวทำไม ในเมื่อไม่ได้กินตับเจ้าชายหลงยุคนั่นสักหน่อย
“พ่อครับ” ชายหนุ่มเปรยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร วันนี้แม่ออกไปเตรียมงานการกุศลตั้งแต่เช้าตรู่ เหลือเพียงเขากับพ่อนั่งรับประทานอาหารเช้าสไตล์อังกฤษแท้กันตามลำพัง ทรอยจึงถือโอกาสนี้เปิดประเด็นเรื่องไฮลาส
“หืม” โรเบิร์ต โบลตันขานรับหลังหนังสือพิมพ์รายวันที่กำลังกางอ่านอยู่ทำให้อ่านสีหน้าไม่ได้
“ผมรู้เรื่องห้อง 403 นะ” เสียงทุ้มของลูกชายสะท้อนก้องในห้องสีเบจ คนเป็นพ่อสะดุ้ง เผลอทำหนังสือพิมพ์ตกแล้วจ้องหน้าลูกชายเหมือนเห็นผี
“ว่าไงนะ!”
ทรอยประสานมือบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีสบายๆ รู้ดีว่าท่าทีแบบนี้แหล่ะกดดันพ่อได้ชะงัด
ศาสตราจารย์โบลตันไม่เคยเอาชนะการรีดความจริงจากลูกชายได้เลย
“ผมบอกว่า ผมรู้เรื่องห้อง 403 แล้วและผมได้คุยกับคนในห้องนั้นแล้วด้วย”
ศาสตราจารย์วัยกลางคนหน้าถอดสี
“ลูกรู้ได้ยังไง”
“ไม่สำคัญหรอกครับ สิ่งสำคัญก็คือผมอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเด็กคนนั้น” ทรอยเดาะลิ้น เอื้อมมือไปหมุนแก้วกาแฟตัวเองเล่น ทำสงครามประสาทกับพ่อ เขาตวัดตาขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อนิ่งนานก่อนกล่าวต่อด้วยถ้อยคำที่เหมือนเอาหมอนยัดนุ่นไปอุดปากอุดจมูกคนฟัง
“พ่อนอนกับเด็กคนนั้นรึเปล่า”
ศาสตราจารย์โบลตันทำหน้าเหมือนจะเป็นลม รีบออกปากปฏิเสธ “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ ทรอย พ่อไม่ทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด ไฮลาสเป็นเพื่อน เพื่อนชาวกรีกโบราณหนึ่งเดียวที่พ่อมี พ่อไม่เคยแตะต้องเขาเลย”
ทรอยหรี่ตา โรเบิร์ตจึงรีบเสริมว่า “โอเค มีกอดบ้าง แต่กอดแบบเพื่อน เข้าใจไหม พ่อไม่นอกใจแม่แกหรอกนะ รู้ไว้ด้วย”
ทรอยปั้นหน้านิ่งทั้งๆ ที่อยากหัวเราะเต็มแก่ พ่อจะรู้ตัวไหมนะ ว่าตัวเองน่าขันขนาดไหนตอนให้การปฏิเสธน่ะ โอเค เขาเชื่อแล้วว่าพ่อไม่เกินเลยกับไฮลาส แต่นิสัยขี้แกล้งที่แก้ไม่หายก็ทำให้อยากแกล้งพ่ออีกเล็กน้อย
“สาบานต่อพระเจ้าสิพ่อ”
“พ่อสาบาน ไม่มีอะไรระหว่างพ่อกับไฮลาส” ชายวัยกลางคนขยับแว่น ท่าทีจริงจัง ยกมือขึ้นเอ่ยคำสาบานแล้วถอนใจยาว ทรอยคลี่ยิ้มให้พ่ออย่างพอใจ
“โอเค ผมเชื่อ งั้น คำถามสุดท้าย ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้”
คราวนี้คนถูกถามไม่มีท่าทางหวาดกลัวอีก ซ้ำยังกลอกตาใส่เขาด้วยซ้ำ
“ขืนมีใครรู้เรื่องนี้ พ่อก็ตายสิ ลักลอบเข้าเมืองแบบนี้ติดคุกหัวโตเลยนา”
เพราะเจอเหตุผลนี้ของพ่อเข้าไป สุดท้ายทรอยที่คิดว่าจะปั้นหน้านิ่งจนจบการสอบสวนก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้
(มีต่อ)