Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130675 ครั้ง)

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แพ้ทางตลอด แถมรันยังมีตัวช่วยเพียบ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 18

ช่วงสอบมิดเทอม พี่เนย์ไม่ได้มาหาผมในวันหยุด เพราะพี่เขาตั้งใจจะปล่อยให้ผมได้อ่านหนังสือให้เต็มที่ ส่วนช่วงเวลาก่อนนอน เราสองคนยังคงคุยโทรศัพท์กันเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ไม่นานมากนัก ส่วนคดีชิงทรัพย์ก็ดูท่าจะไม่คืบหน้า เนื่องจากสถานที่ตรงจุดเกิดเหตุเป็นมุมอับสายตา อีกทั้งยังไม่มีพยานรู้เห็น ซ้ำร้ายไอ้โจรนั่นดันฉลาด เพราะมันดันถอดซิม พร้อมปิดทั้งอินเตอร์เน็ตและ GPS ทำให้เราทราบแค่ที่อยู่ครั้งล่าสุด ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก และยังเป็นจุดๆเดิมที่คนร้ายทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้ดูต่างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตำรวจก็แนะนำให้เอาใบแจ้งความไปยื่นกับทางค่ายมือถือที่ผมใช้บริการ เพื่อให้ทางนั้นติดตามเครื่องจากเลขอีมี่อีกที เพราะทางบริษัทจะสามารถติดตามได้ว่า อีมี่นี้มีการใช้งานโทรเข้าโทรออกหรือรับเข้าจากเบอร์ไหนบ้าง แต่ก็ต้องแห้วไป เพราะผมซื้อโทรศัพท์มานานแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าเอากล่องไปเก็บไว้ที่ไหน ส่วนอีกที่นึงที่สามารถเช็คได้ก็คือด้านหลังเครื่อง ซึ่งตอนนี้ก็ถูกซิวไปแล้ว ผมเลยถือซะว่าฟาดเคราะห์ให้กับตัวเองที่ประมาทมากไปหน่อย ทั้งๆที่ข่าวคราวเกี่ยวกับการถูกจี้ชิงทรัพย์แถวสะพานลอยหน้ามหาลัย ผมก็ออกจะได้ยินอยู่บ่อยๆ แถมช่วงที่พี่เนย์ยังเรียนอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก็เคยพูดเตือนให้ผมเลี่ยงที่จะไปยืนคอยแถวๆสะพานลอยในช่วงดึก จนพักหลังเรามักจะกลับหอพร้อมกัน เพราะการต่างคนต่างกลับ โดยที่ผมต้องเดินข้ามสะพานลอย มันอันตรายเกินไป ขนาดตอนเตรียมโปรเจคของสาขา ผมต้องสอนน้องรหัสจนดึกดื่น พี่เนย์ยังอาสาจะไปรับเองถึงที่ เพราะพี่เขาไม่อยากให้ผมเดินเข้าซอยหอมืดๆคนเดียว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เพื่อความปลอดภัยของผมทั้งนั้น เพียงแต่ผมได้รับมันจนบ่อยเกินไป เลยทำให้มันกลายเป็นความเคยชิน จนเผลอลืมไปว่า สาเหตุของการกระทำทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไร พอเกิดเรื่องดังกล่าว ผมถึงนึกขึ้นได้ว่า สิ่งที่พี่เขาเคยพูดเคยเตือน ทั้งผมและเพื่อนต่างก็ลืมมันจนสนิทใจ
พวกเราถึงได้โดนบ่นกันยกแก๊งค์

ส่วนการเงินช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว เพราะว่าแผลของผมแห้งสนิท จึงไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นอีก เหลือก็แต่ผมต้องไปฉีดยากันบาดทะยักเข็มที่สองตามที่หมอสั่ง โดยนับจากเข็มแรกไปอีกหนึ่งเดือน ส่วนโทรศัพท์มือถือตอนนี้ผมก็มีเครื่องใหม่แล้ว แม่เพิ่งจะโอนเงินมาให้เมื่อไม่นานนี้ ไอ้หมอกกับไอ้คินและสามสาวจากคณะบัญชีเลยอาสาพาผมเข้าเมืองไปซื้อเป็นการด่วน
กระทั่งการสอบได้ผ่านพ้นไป พี่เนย์ก็เริ่มไปมาหาสู่ผมเหมือนปกติ เพราะกรุงเทพกับจังหวัดที่ผมเรียน มันก็ใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งพี่เขาก็ยังมีเวลาพักผ่อนเมื่อกลับไปถึงคอนโด ผมจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร
แถมช่วงที่อีกฝ่ายมาหาถึงที่นี่ พี่เขาก็ยังมีที่หลับที่นอนอย่างดีด้วย

“ผมควรไปงาน..เลี้ยงศิษย์เก่า..ดีไหมครับ?” ผมถามพี่เนย์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะครั้งแรกผมเพียงแค่เล่าให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ว่าช่วงเวลาที่เราห่างกัน เส้นชัยของผม มันเริ่มขยับเข้ามาใกล้อีกนิดแล้ว
“แล้วมึงเชื่อใจเพื่อนคนนั้น เหมือนอย่างที่เขาต้องการให้มึงเชื่อหรือเปล่าล่ะ ?” พี่เนย์เงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงไปกินเกี๊ยวที่ครั้งนี้คุณป้าท่านยอมแถมให้กับลูกค้าเจ้าประจำที่เพิ่งจะโผล่หน้ามาวันนี้เป็นวันแรก

“ผมยังไม่ถึงขนาด..เชื่อใจจนร้อย..เปอร์เซ็นต์..หรอกครับ” ผมตอบไปตามตรง
“ตามความคิดของกู การไปงานเลี้ยงศิษย์เก่ามันก็ดีอยู่หรอก เท่ากับว่าตอนนี้มึงมีโจทย์ให้ต้องคิด ว่าถ้าหากไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งการบ้านของมึงก็คือ มึงต้องเตรียมตัวตั้งรับกับปัญหานั้นให้ได้ เพราะถ้าหากมึงผ่านมันไปได้ ก็เท่ากับว่ามึงสอบผ่านบททดสอบที่มันยากขึ้นมาอีกขั้น กูว่ามันก็เป็นอะไรที่ท้าทายดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมึงนะ ที่กูพูดมันก็แค่ความคิดเห็นจากมุมมองของกูเท่านั้น” ผมรับฟังพี่เนย์ พร้อมกับใช้ความคิด ตามที่อีกฝ่ายพูดเป็นสเต็ป
ซึ่งก็พบว่าผลดีของ ‘โจทย์’ ข้อที่ว่า มันก็ดูเป็นรางวัลชั้นดีไม่หยอก

“แล้วอีกอย่าง คนที่มึงควรจะเชื่อใจ ก็คือตัวเอง ไม่ใช่เพื่อน”  ว่าที่นักจิตบำบัดกล่าว พลางหันไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงเพิ่มอีกหนึ่งจาน ส่วนผมก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดเหมือนเดิม
“ได้คุยกับพี่เนย์..ทีไร..ผมสบายใจขึ้น..ทุกทีเลยครับ” ผมจิ้มตะเกียบลงในชามก๋วยเตี๋ยว พลางยกยิ้มประกอบคำพูด ทำเอาคนได้รับคำชมถึงกับยกยิ้มตาม

“คนเรานะเว้ย คิดลบไปก็เท่านั้น ดีแต่ทำร้ายจิตใจตัวเองเปล่าๆ เพราะถึงยังไงชีวิตคนเรามันก็ต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว กูถึงพยายามมองทุกๆเรื่องให้มันเป็นบวกเข้าไว้ แม้ว่าตอนนั้นเรื่องราวที่กูเจอ มันจะเหี้ยแค่ไหนก็เถอะ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า แต่กลับมั่นคงในความรู้สึกจนผมสัมผัสได้
“ก็จริงครับ” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็ยิ้มจนตาปิด ไม่นานบะหมี่ที่พี่เนย์สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมจึงถือโอกาสเบิ้ลชามที่สองกับเขาบ้าง

“เออ มึงจะแวะซื้ออะไรที่เซเว่นป่ะ กูว่าจะแวะเข้าไปเอากระเป๋าที่หอไอ้ทีม แล้วก็ค่อยไปส่งมึงที่มอก่อนเข้ากรุงเทพ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” ผมส่ายหัวตอบ เพราะข้าวของเครื่องใช้ผมเพิ่งจะซื้อไปอาทิตย์ก่อนเอง
“จริงๆผมไม่อยาก..ให้พี่เดินทางตอน..มืดๆเลย..เพราะกว่าจะถึง..มันก็ดึก..แถมอันตรายด้วย” ผมพูดขึ้น ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังนั่งรอผมจัดการบะหมี่ถ้วยที่สองของตัวเองให้เสร็จ เพราะเดี๋ยวนี้พี่เนย์ชอบกลับกรุงเทพประมาณสองสามทุ่มทุกที เนื่องจากเจ้าตัวมักจะชวนผมไปหาอะไรกินเป็นครั้งสุดท้ายของมื้อที่เราอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะต้องกลับไปนั่งทานคนเดียวแบบเหงาๆ อีกเกือบหนึ่งสัปดาห์

“มึงอย่าห่วงเลย เมื่อวานกูก็ไปส่งมึงก่อนหอปิด พอกลับหอไอ้ทีม กูก็หลับเป็นตาย ส่วนวันนี้กว่ากูจะตื่นก็สองโมงแล้ว กูนอนเยอะขนาดนี้ มึงยังคิดว่ากูจะง่วงจนหลับในอีกเหรอวะ”
“ผมแค่เป็นห่วงพี่เนย์” ผมตอบพลางยิ้มบางๆ

“กูรู้ แต่ให้ทำไงได้ เรามีโอกาสเจอกันแค่สองวันต่ออาทิตย์เองนะ มึงจะรีบไล่กูกลับทำไมเร็วนัก”
“ถ้างั้นพี่เนย์..ต้องสัญญานะครับ..ว่าจะไม่ขับรถเร็ว” ผมกล่าวย้ำกับอีกฝ่าย แม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้ขับรถเร็วอย่างที่เป็นห่วงนัก แต่ผมก็อยากแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าพี่เขายังมีคนที่หวังดีรออยู่ตรงนี้นะ

“สาบานเลยว่ากูจะขับรถ ด้วยความเร็วในระดับที่คนทั่วไปเขาขับกัน กูจะไม่ตีนผี โอเคมั้ย?” พี่เนย์พูดพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ราวกับจะปฏิญาณตน
“ครับ”

ผมตัดสินใจไปงานเลี้ยงศิษย์เก่าตามที่ไอ้มอสมันชักชวน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่เนย์ หรือไอ้มอส แต่มันเป็นเพราะผมเลือกที่จะก้าวเดินเข้าไปหาความหวาดกลัวของตัวเอง โดยผมได้เก็บเอาคำพูดของพี่เนย์มาใช้ในการรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หรืออาจจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมก็คิดว่า หากครั้งนี้ผมถูกเรียกว่า ‘ไอ้ใบ้’ ผมคงจะไม่เจ็บปวดมากเท่าครั้งอื่น เพราะผมรู้มาจากไอ้มอสแล้วว่า พวกมันแค่จดจำชื่อของผมไม่ได้ ดังนั้นการรับมือของผมก็มีแค่ทางเดียวคือ บอกพวกเขาไปว่าผมชื่ออะไร พร้อมกับมองข้ามความหมายของคำว่าไอ้ใบ้
ที่มันแปลว่า บ้าใบ้ โง่ ทึบ ไร้สมอง
เพราะอันที่จริง คนทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้คิด จนถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น

ก่อนไปงานเลี้ยงศิษย์เก่าในค่ำคืนวันศุกร์แบบนี้ ช่วงบ่ายผมต้องไปหาคุณหมอ เพื่อประเมินผลความคืบหน้าอีกครั้ง ซึ่งไอ้มอสมันก็อาสาจะกลับบ้านพร้อมผมเลย ทีแรกผมก็ไม่ยอม แต่พอมันบอกว่าวิชาที่ต้องเรียนเป็นวิชาเลือกที่สามารถโดดได้ และมันก็ขี้เกียจพอดี ผมเลยคร้านจะใส่ใจ เพราะถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมอยู่แล้ว ดังนั้นเกรดของมันจะดีหรือแย่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวมันเอง

“ไอ้รัน อย่าเพิ่งไปสิเว้ย แลกเบอร์กันก่อนดิ ไม่งั้นกูจะติดต่อกับมึงยังไงล่ะครับ” ผมที่กำลังจะเดินเข้าไปยังอาคารส่วนหน้าของทางโรงพยาบาล ก็ถึงกับชะงักเมื่อไอ้เพื่อนต่างสาขามันถือโอกาสวนรถมาส่งผมข้างบน ราวกับผู้ป่วยหนัก จนผมเกรงใจบุรุษพยาบาลที่ตั้งท่าจะเดินเข้ามารับ ผมก็เลยต้องรีบเดินเข้าไปข้างใน
“มึงรีบๆไปได้แล้วเว้ย..ตรงนี้เขาใช้สำหรับ..ส่งตัวผู้ป่วยฉุกเฉิน” ผมรีบจิ้มเบอร์ใหม่ของตัวเองลงในโทรศัพท์ของไอ้มอส ที่เอี้ยวตัวมายังเบาะนั่งข้างคนขับ เพื่อให้ผมหยิบโทรศัพท์ของมันไปกดหมายเลขตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
จากนั้นผมก็รีบมุ่งตรงไปยังจุดนัดหมายของแม่ที่มานั่งรอผมได้สักพักแล้ว

ผลการประเมินในคราวนี้ คุณหมอบอกว่าผมดูพูดได้คล่องขึ้นมาก ซึ่งถ้าหากใช้ความพยายามอีกนิด เป้าหมายของผมก็น่าจะสำเร็จในไม่ช้า เพราะในบางครั้ง ตอนทีเผลอ ผมก็มักจะพูดแบบมีอารมณ์ร่วมไปกับบทสนทนานั้นๆ ด้วย
นับได้ว่าตอนนี้ผมเริ่มก้าวขึ้นมาอีกขั้น ทั้งจากเรื่องของการพูดและอคติที่ตัวเองเคยมี

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผมตัดสินใจโทรหาพี่เนย์ด้วยความดีใจมากเป็นพิเศษ เพราะผมอยากจะอวดให้อีกฝ่ายรู้ว่า ความพยายามของผมตอนนี้มันใกล้จะสมบูรณ์มากขึ้นทุกทีแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะคำพูดของพี่เนย์ที่เคยบอกไว้ว่า ‘คนบางคนเขาอาจทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน แล้วทำได้ดีเท่าๆกัน แต่กับคนบางคนเขาต้องทำทีละอย่าง มันถึงจะออกมาดีทั้งคู่’

“พี่เขาทำงานอยู่หรือเปล่ารัน เอาไว้เลิกงานค่อยบอกก็ยังไม่สาย” คุณแม่พูดขึ้น เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่โทรหาอีกฝ่ายจนมือเป็นระวิง ผมจึงหันไปยิ้มให้ท่านที่กำลังนั่งมองผม ขณะที่รถกำลังจอดติดไฟแดง
“ครับ” ผมตอบพลางยิ้มจนตาปิด แม่ก็เลยเอื้อมมือมาลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู กระทั่งสัญญาณไฟแดงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว บทสนทนาของเราสองแม่ลูกจึงจบลงเพียงแค่นั้น โดยที่ผมก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ข้อความส่งผ่านทางแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท เพราะถึงยังไง ผมก็ต้องบอกพี่เขาในตอนนี้ให้ได้
ส่วนอีกฝ่ายจะอ่านข้อความของผมตอนไหน ก็แล้วแต่ความสะดวกของเจ้าตัวเขาเลย

งานเลี้ยงศิษย์เก่าในค่ำคืนนี้ ถูกจัดในลักษณะของโต๊ะจีนจำนวนหลากหลายโต๊ะ อีกทั้งบนเวทีก็ยังมีการแสดงของนักเรียนในระดับชั้นต่างๆ ที่ให้ความเพลิดเพลินไม่ขาดสาย จนเสียงดนตรีมันดังออกมาจนถึงบริเวณหน้าโรงเรียนที่ผมกำลังยืนรอใครบางคนที่เป็นฝ่ายเร่งให้ผมมาให้เร็วๆ แต่ตัวเองกลับมาช้าเสียเอง นึกแล้วมันก็น่าด่าให้เข็ดอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่ค่อยชอบคนที่ไม่ตรงเวลาสักเท่าไหร่

“กูไม่ผิดสัญญานะเว้ย ที่ช้าเพราะมัวแต่หาที่จอดรถโน่น” ไอ้มอสมันรีบแก้ตัวสลับกับหอบหายใจอย่างน่าสงสาร
“เข้าไปในงานกันเถอะ” ผมตัดบท เพราะดูจากท่าทางของมันแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้ตั้งใจจะผิดเวลานัดสักเท่าไหร่

“ถึงแล้วเว้ย กูกำลังจะเข้าไปในงานเนี่ย เออๆ” พอเราเดินเข้ามาใกล้ในส่วนจัดงานมากเท่าไหร่ เสียงดนตรีก็ยิ่งดังกลบทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นเท่านั้น ยังดีที่ไอ้มอสมันตั้งระบบสั่นไว้ ผมจึงถือโอกาสนั้นเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายด้วยจิตใจอันลุ้นระทึก
ว่าหนทางข้างหน้า ผมจะต้องเจอกับสถานการณ์ในรูปแบบไหน

“พร้อมหรือยังมึง?” ไอ้มอสมันหันมาส่งยิ้มให้ ทันทีที่เราเดินมาถึง ปากทางเข้าสู่งานเลี้ยงอันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่บ้างก็พากันเดินให้ขวักไขว่ บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนได้พบเจอมา
“อืม” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางตอบไอ้มอสในลำคอเพียงเบาๆ จากนั้นสองขาของผมก็ค่อยๆก้าวเดินตามอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มแจกจ่ายคนอื่นเขาไปทั่ว เพราะเดิมทีมันก็เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้ว จึงทำให้มีเพื่อนอยู่ห้องโน้น ห้องนี้เต็มไปหมด ขณะที่ผมกลับรู้สึกอึดอัด คล้ายกับไม่มีตัวตน หรือไม่ก็เหมือนคนที่มาผิดที่ หรือแต่งตัวผิดธีมงานอะไรเทือกนั้น แต่แล้วเพื่อนต่างสาขาผู้มีอัธยาศัยดีก็รีบแนะนำผมให้คนอื่นๆได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามอย่างกระตือรือร้น หากแต่คนเหล่านั้นกลับจดจำผมไม่ได้ ซึ่งผมก็พอจะรับรู้อยู่แล้ว จึงสามารถตั้งรับกับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี

“ไอเชี่ยยยยย คิดถึงมึงว่ะ” กระทั่งเดินมาจนถึงโต๊ะที่ไอ้มอสเป็นคนจับจอง คนตัวสูงข้างๆผมมันก็รีบพุ่งเข้าไปหาเพื่อนสนิทของมันที่ตอนนี้สอบติดในมหาลัยที่กรุงเทพด้วยความยินดี เนื่องจากพวกมันไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตากันแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองแห่งการท่องเที่ยวบ่อยนัก
“ไอ้เชษฐ์ มึงจำไอ้รันได้มั้ย ที่กูเล่าให้มึงฟังวันนั้นไง” พอพวกมันสองคนกอดคอกันเสร็จ ไอ้มอสก็เริ่มแนะนำผมกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งพวกมันก็เคยร่วมมือกันรังแกผม

“…” ไอ้เชษฐ์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าของมันคล้ายกับคนกำลังวางตัวไม่ถูก ผมจึงตัดสินใจยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย จากนั้นสีหน้าของมันก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรอีก แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันยังคงจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้
“ไปนั่งกัน” ไอ้มอสหันมาพูดพลางยกยิ้มให้ จากนั้นมันก็เดินนำไปยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ โดยที่มันเลือกให้ผมนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ติดหน้าเวที ราวกับมันรู้ว่าผมอาจจะต้องอึดอัด หรือไม่ก็อาจจะเบื่อได้ มันก็เลยเลือกที่นั่งตรงนี้เก็บไว้ให้

“ขอโทษ” ขณะที่ผมกำลังจะเดินแทรกตัวเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวดังกล่าวที่ไอ้มอสมันจับจองไว้ ไอ้เชษฐ์ก็พูดขึ้นเพียงเบาๆ แต่เพราะความใกล้ชิด ทำให้ผมได้ยินถ้อยคำที่มันเอื้อนเอ่ยอย่างชัดเจน ผมจึงยืนนิ่งงันอยู่ตรงที่เดิม พลางเม้มปากแน่น ขณะขบคิดกับตัวเองว่าผมควรจะยกโทษให้มันง่ายๆดีไหม แต่ฉับพลัน ผมก็คิดไปถึงคำกล่าวของพี่เนย์ที่เคยบอกว่า ‘มึงก็เลือกมองพวกเขาเป็นแค่หนังสือเล่มนึง ที่มึงบังเอิญเปิดอ่านก็ได้นี่ ถ้าชอบก็เก็บเข้าลิสต์ ไม่ชอบก็ปล่อยทิ้งไป’
ดังนั้นตอนนี้ ผมควรจะมองทุกคนให้เป็นหนังสือสักเล่ม ที่ยังอ่านไม่จบ จึงสามารถรับรู้ได้แค่เพียง ด้านที่มันแย่ๆ ซึ่งในบรรดาหนังสือจากกองนั้น ก็มีเพียงแค่ หนังสือที่ชื่อว่า ‘มอส’ และ ‘เชษฐ์’ ที่ผมเริ่มจะมองเห็นด้านใหม่ๆ ส่งผลให้มุมมองที่ผมเคยมีต่อหนังสือสองเล่มนี้มันค่อยๆเปลี่ยนไป
โดยเริ่มจากคำว่า ‘ขอโทษ’ และแววตาแห่ง ‘ความจริงใจ’
ซึ่งทั้งไอ้มอสและไอ้เชษฐ์ กลับมีสองสิ่งนี้กันคนละอย่าง

“อืม” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะที่ยังคงมีเพื่อนอีกหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่ ซึ่งไอ้มอสก็เป็นฝ่ายแนะนำผมให้คนอื่นๆ รู้จัก ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดมากนัก เมื่อไอ้มอสมันเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของผมแล้ว ทุกคนจะทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก แต่พอมีใครสักคนพูดขึ้นว่า ‘อ๋อ ไอ้ใบ้’ ทุกคนก็เริ่มนึกเรื่องราวของผมออก
ซึ่งมันก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
จนผมทำได้แค่เพียง กำมือของตัวเองเอาไว้แน่น ขณะที่ใบหน้าก็กำลังยกยิ้ม

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของงานเลี้ยงที่ผมไม่เคยคิดจะมา ทั้งโต๊ะจึงมีเพียงคนเดียวที่ผมกล้าพูดคุยด้วย ซึ่งก็คือไอ้มอส จนกระทั่งมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงมีโอกาสได้ให้ความสนใจกับไอ้เชษฐ์ เลยทำให้ผมทราบว่า เพื่อนคนนี้มันเริ่มชอบแมว ตั้งแต่มันได้มีโอกาสเก็บแมวที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษา จากนั้นมันก็เลี้ยงดูเจ้าแมวแก่ตัวนั้นด้วยความสงสาร เราสองคนก็เลยยิ่งคุยกันถูกคอ

“ถ้าแมวเริ่มแก่แล้ว..มึงต้องให้อาหารที่มันย่อยง่ายๆ..อย่างเช่นพวกอาหารเหลวที่..เป็นถุงน่ะ..หรือไม่ก็อาหารเม็ดของรอยัลคานินก็ได้..มันจะมีสูตรสำหรับแมวแก่อยู่” ผมรีบให้คำแนะนำกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงแมวทันที
“หาซื้อที่ไหนวะ ไอ้ยี่ห้อที่มึงบอกเนี่ย กูไม่เห็นจะรู้จักเลยวะ” ไอ้เชษฐ์ถึงกับทำหน้างุนงง เมื่อเจอชื่อยี่ห้ออาหารแมวเข้าไป

“ก็ซื้อที่คลินิกรักษาสัตว์..นั่นแหละ..บอกเค้าเอาสูตร vet.. เพราะร้านทั่วไปจะไม่มีสูตรนี้”
“โอเค เดี๋ยวกูจะลองไปหาซื้อตามที่มึงแนะนำดู” ไอ้เชษฐ์มันว่า พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อมูลลงในโทรศัพท์ของตัวเอง

“จริงๆ..ปลาทูให้กินมากก็ไม่ดี..นะ..เพราะมันเค็มเกินไปสำหรับแมว..อาจทำให้มันเป็นโรคไต..ได้” พอมันพูดถึงปลาทู ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมต้องเตือนมันเรื่องนี้ด้วย
“อ้าวจริงดิวะ” ไอ้เชษฐ์ทำหน้าตกใจ ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าสนับสนุน เพื่อให้มันเชื่อว่าสิ่งที่ผมแนะนำคือสิ่งที่ดีสำหรับแมวแน่ๆ

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2017 22:53:52 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“คุยเชี่ยไรกันวะ เคร่งเครียดชิบหาย” ไอ้มอสกลับมาถึงโต๊ะ พลางถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นผมกับเพื่อนสนิทของมันสุมหัวคุยกันอยู่สองคน
“เรื่องแมว” พอไอ้เชษฐ์ตอบคำถาม ไอ้มอสมันก็เลิกสงสัย เลยหันกลับไปสนใจวงสนทนากลางโต๊ะ
จากนั้นคำถามที่เคยคุยกันในวงแคบๆ ก็เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น จนมาถึงผม

“อ้อ..กูเรียนคณะ..ศิลปศาสตร์..สาขาวิชา..หูหนวกศึกษา” ผมตอบเพื่อนที่ชื่อเอก ที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้าม พลางยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารโต๊ะจีนที่เขาเอามาเสิร์ฟ
“ไม่เห็นจะเคยได้ยินสาขานี้เลยเนอะ” แก้มหญิงสาวหน้าตาสะสวยเอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งผมก็เข้าใจดี เพราะแม้แต่ญาติของผมเอง ก็ยังไม่รู้จักเลย ผมถึงทราบโดยอัตโนมัติว่า สาขาที่ผมเลือกเรียน มันน่าจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนัก
เพราะถึงช่วงนี้จะมีคนรู้จักมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่เคยรู้

“ก็เรียนเกี่ยวกับ..ภาษามือน่ะ” ผมขยายความสั้นๆ แต่ทุกคนก็น่าจะมองภาพกันออก
“แล้วแบบนี้คนใบ้ที่เป็นคนไทย กับคนใบ้ที่เป็นต่างชาติเขาจะคุยกันรู้เรื่องไหม?” ไอ้เชษฐ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ที่จริงภาษามือในแต่ละ..ประเทศจะไม่เหมือนกัน..แต่ถ้าผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน..สองคนทราบภาษามือ..ที่เป็นภาษากลาง..ก็จะสามารถสื่อสารกันได้”
“…”

“แล้วจริงๆ เราก็ไม่ควรจะเรียก..กลุ่มคนที่มีความบกพร่อง..ทางการได้ยินว่า..ไอ้ใบ้ด้วย..เพราะมันเป็นความหมายในแง่..ลบ” ผมถือโอกาสพูดเรื่องนี้ที่ค้างคาใจมานานทันที
“อ้อ” ไอ้เชษฐ์ถึงกับชะงักขึ้นมาอีกหน แต่พอผมยกยิ้มให้ มันก็เริ่มกลับมาทำตัวเป็นปกติ ส่วนคนอื่นๆที่นั่งร่วมโต๊ะ เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่ผมพูดมากนัก ซึ่งผมก็พอจะคาดเดาได้อยู่หรอก แต่มันก็อดจะรู้สึกแย่ไม่ได้ ที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่ผมพูดเลย

“ที่จริง..ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน..เขาก็แบ่งออกเป็นสองประเภทด้วย” หลังจากเห็นว่าไอ้มอสและไอ้เชษฐ์มันยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมพูด ผมจึงถือโอกาสอธิบายให้คนที่คิดจะรับฟังได้เข้าใจต่อไป เพื่อที่อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ไปสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับคนอื่นอีก
“ประเภทแรกก็คือกลุ่มคนหูหนวก..เป็นผู้ที่สูญเสียการได้ยิน..และไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้..หากไม่ได้รับการฝึกฝน..ส่วนประเภทที่สอง..ก็คือหูตึง..จะแบ่งเป็นหลายระดับหน่อย..แต่รวมๆแล้ว..คนกลุ่มนี้มีความได้ยินนะ..แต่จะมากหรือน้อย..ก็ขึ้นอยู่กับระดับค่าเฉลี่ย..ที่สมาคมโสต..สอ..นาสิก..แพทย์..แห่งประเทศไทย..เขาจำแนกออกมาน่ะ..แถมบางคนก็พูดได้..บางคนก็พูดไม่ได้..มันขึ้นอยู่กับความฝึกฝนน่ะ” หัวใจของผมเต้นระรัวขณะที่กำลังได้พูดอธิบายให้คนที่ผมคิดว่าตัวเองสามารถเปิดใจได้อย่างเต็มที่รับฟัง ส่งผลให้ผมมองเห็นเส้นชัยอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม เพราะอย่างน้อยวันนี้ผมก็สามารถเข้ากับไอ้เชษฐ์ได้ดี แค่เพียงเรามีเรื่องที่สามารถจูนกันติด ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ผมก็ไม่ได้มีความอึดอัดมากกว่าที่คิด เรียกได้ว่าเรื่องราวในวันนี้ มันผิดคาดจากที่ผมคิดเอาไว้มาก อาจเป็นเพราะผมทำใจกับโจทย์ที่จะได้รับมานานหลายวัน อีกทั้งยังคิดหาวิธีการแก้โจทย์หัวข้อนั้นๆมาแล้ว พอได้เจอสถานการณ์จริง ผมก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น
ซึ่งมันต่างกับทุกครั้ง ที่ผมไม่มีความมั่นใจ
ทั้งนี้ คนที่ทำให้ผมคิดได้ ก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘พี่อาคเนย์’

ครืด ครืด

“มึงกลับบ้านหรือยัง?” ผมเดินออกมารับสายตรงใต้ต้นพิกุล ที่อยู่ห่างไกลจากบริเวณงานมากขึ้นหน่อย เสียงลำโพงจะได้ไม่ดังรบกวนการพูดคุยของเรา
“ยังเลยครับ” ผมตอบพลางเอาเท้าเขี่ยดินเล่นไปพลางๆ

“อืม แล้วก็เรื่องผลการประเมิน กูดีใจด้วยนะรัน” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นผ่านมาตามสายโทรศัพท์ จนทำเอาผมรู้สึกอุ่นไปทั้งใจ
“ครับ”

“ใจจริงกูอยากจะแสดงความยินดีตั้งแต่ที่เห็นข้อความแล้วล่ะ แต่กูไม่สะดวกจะตอบ พอเลิกงานกูเลยกะจะรอโทรศัพท์มาพูดกับมึงด้วยตัวเองเลยดีกว่า”
“อื้อ” ผมตอบรับพลางอมยิ้มจนตาปิด กับความใส่ใจของพี่เนย์

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นรองรับดอกพิกุลที่กำลังจะร่วงหล่นลงสู่พื้น จากนั้นปลายนิ้วของผมก็หมุนก้านเล็กๆของมันเล่นด้วยความเพลิดเพลิน
“หือ?”

“วันนี้ผมได้หนังสือ..ที่เก็บเข้าลิสต์..ของตัวเองมาสอง..เล่มแล้วนะครับ” ผมอมยิ้มพลางมองจ้องดอกพิกุลสีขาวขุ่นที่กำลังบานสะพรั่ง
“อืม ดีแล้ว”

“ผมได้พูดอธิบาย..เกี่ยวกับคำพูด..ที่ไม่ควรพูดต่อ..คนที่มีความบกพร่อง..แล้วก็ได้บอกให้พวกมัน..เข้าใจด้วยว่ากลุ่มคนประเภทนี้..มีความแตกต่างกันนะ..ผมดีใจที่พวกเขา..รับฟังผมแล้ว..พี่เนย์..ผมเปิดใจให้พวกเขาง่ายไป..หรือเปล่าครับ”
“มันไม่หรอกง่ายไปหรอก เพราะกว่าที่มึงจะมาถึงจุดนี้ได้ มันก็ต้องแลกมากับความหวาดกลัว ความเสียใจของตัวมึงเอง แล้วอีกอย่าง วันนี้มึงก็เตรียมรับมือมาอย่างดี มันก็แน่นอนว่า ถ้าหากเขามาทำดีด้วย มึงก็ต้องเปิดใจได้ง่ายอยู่แล้ว จะยากหรือง่าย มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า มึงได้โลกที่สดใสของตัวเองกลับคืนมาหรอก”

“มึงปล่อยวางได้มันก็ดี กูเองก็ดีใจด้วย เพราะความสุขของมึง ก็คือความสุขของกูเหมือนกัน
“ครับ..งั้นผมวางสายก่อนนะ..เดี๋ยวถ้างานเลิกแล้ว..ผมจะโทรหา” ผมอมยิ้มพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายใบโปรดที่มักจะพกติดตัวไปด้วยเสมอ จากนั้นก็ยกดอกพิกุลขึ้นมาดมเป็นระยะ พร้อมกับก้าวเดินกลับไปยังส่วนของการจัดงานด้วยความรู้สึกที่มั่นใจมากกว่าเดิม

“ไอ้ใบ้แม่งฮาว่ะ พูดเหมือนคนไร้ความรู้สึก ตลกชิบหาย ฟังก็ยาก เป็นกูนะ กูไม่พูดเลยดีกว่า พูดไปก็อายคนอื่นเขาเปล่าๆ” ผมหยุดชะงักการก้าวเดินแทบจะทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้ร่วมโต๊ะ ที่ดูจะตลกขบขันกับปมด้อยของผมไม่เปลี่ยน
“หยุดพูดได้แล้วน่า” ไอ้มอสเป็นฝ่ายเอ่ยห้าม ทั้งๆที่มันยังมองไม่เห็นผมเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย การกระทำของมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ไปกับการเปิดใจในครั้งนี้ของตัวเองมากนัก

“มึงอย่ามาทำเป็นห้ามกูหน่อยเลย ทีแต่ก่อน มึงน่ะเป็นหัวโจกที่คอยแกล้งไอ้ใบ้มันด้วยซ้ำ นึกถึงตอนนั้นแล้วแม่งโคตรตลกเลยว่ะ มึงจำได้ป่ะ ตอนนั้นที่มีคนขังไอ้ใบ้ไว้ในห้องน้ำตรงตึกวิทย์ ที่เขาว่ากันว่าผีดุน่ะ ฮ่าๆ ไอ้ใบ้แม่งร้องไห้จ้าเลย กูล่ะโคตรฮาแม่งจริงๆ ปกติเห็นไร้ความรู้สึกชิบหาย แต่ก็นะ ว่าก็ว่าเถอะ แม่งแอ๊บหรือเปล่าก็ไม่รู้ มึงดูดิ อย่างวันนี้ จู่ๆแม่งก็พูดได้เฉย ที่ผ่านมาแม่งเรียกร้องความสนใจแบบที่กูบอกชัวร์ๆ” ไอ้โอ๊ตพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน จนผมได้แต่กำมือทั้งสองข้างจนแน่น ส่งผลให้ดอกพิกุลในมือแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ขณะที่ริมฝีปากของผมก็เม้มแน่นขึ้น เพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ความอ่อนแอปรากฏให้ใครเห็น
“มันไม่ได้แกล้งเว้ย มึงอย่าพูดถึงเรื่องเก่าๆได้ไหมวะ กูสงสารมัน เกิดมันมาได้ยินเข้าจะทำยังไงวะ” ยิ่งไอ้มอสมันพูดด้วยความห่วงใย น้ำตามันก็ยิ่งคลอหน่วยตามากขึ้น
เพราะอย่างน้อยผมก็เลือกที่จะเปิดใจให้ไม่ผิดคน

“จะทำไง ก็ทำได้แค่ร้องไห้น่ะสิวะ นู่นน่ะ” ผมกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เมื่อทุกคนที่อยู่ในโต๊ะนั้น ยกเว้นไอ้เชษฐ์และไอ้มอส กลับทำสีหน้าตลกขบขัน
“…”

“ถ้าคนที่เขาเป็นจริงๆ กูก็เห็นใจเขานะ แต่กับไอ้นี่ กูสมเพชว่ะ เรียกร้องความสนใจไม่เข้าท่า แอ๊บทั้งทีแต่กลับแอ๊บไม่เนียน ถามหน่อยเถอะ คนใบ้ที่ไหนเขาจะอุทานเสียงอะไรออกมาได้วะตลก” ไอ้สิน เพื่อนร่วมห้องอีกคนกอดอกพลางพูดกับไอ้เชษฐ์และไอ้มอสที่กำลังหน้าถอดสี ก่อนจะปลายสายตามาทางผมตรงคำว่า ‘ตลก’
“…”

“มึงหยุดพูดเลยไอ้เหี้ย!” สุดท้ายไอ้เชษฐ์มันก็ทนฟังคำต่อว่าแทนผมต่อไปไม่ไหว มันก็เลยซัดหน้าไอ้คนพูดจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งผมเพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนที่เสียงซุบซิบเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมจึงทำได้แค่เพียงรีบเดินออกจากที่แห่งนั้น
ที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


------------------------------------------------------------
[edit : แก้ตรงส่วนข้อมูลของการฉีดยากันบาดทะยักนะคะ เข็มที่สองนับจากเข็มแรกไป 1 เดือน]
เอาใจช่วยน้องรันกันด้วยเน้อ อีกนิดเดียวเท่านั้น T[]T
จากสองตอนก่อนหน้านี้ เราเห็นมีคอมเมนต์เคืองพี่เนย์ที่ดุน้อง เราอยากให้มองในอีกมุมนึงดูนะคะ ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนไว้แล้วว่าพี่เนย์มักจะชอบบอกให้น้องรอพี่เขาที่ไหนก็ได้ ที่ๆมันไม่ใกล้กับสะพานลอย ยิ่งตอนกลางคืนพี่เขาจะไม่ให้ใช้เลยค่ะ พี่เขาถึงไปรับไปส่งอยู่บ่อยๆ ส่วนตอนกลางวันพี่เนย์ไม่เคยบ่นน้องเลย เพราะว่ามันปลอดภัย อีกทั้งเพื่อนของน้องก็ยังรู้ข่าวเรื่องที่ว่ามีโจรปล้นบ่อยๆ ซึ่งจากความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราได้ยินข่าวแบบนี้ เราจะต้องไม่ประมาทถูกไหมคะ แต่นี่น้องไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะได้รับความห่วงใย และการดูแลจากพี่เนย์จนเคยชินไป ว่าสาเหตุที่พี่เขาคอยดูแลไปรับไปส่งตอนช่วงมืดๆเนี่ย ก็เพราะมีโจรมันดักรออยู่นะ ที่เราแต่งให้พี่เนย์ดุแทนที่จะโอ๋ เพราะน้องมีคนโอ๋เยอะมากแล้วค่ะ ถ้าหากพี่เนย์โอ๋ขึ้นมาอีก น้องรันก็จะดื้อเงียบและปล่อยให้ความเคยชินครอบงำต่อไป วันข้างน้องก็อาจจะทำแบบนี้อีกก็ได้ อารมณ์แบบรู้ทั้งรู้ แต่มันสะดวกแบบนี้ ก็เลยทำ แบบนั้นน่ะค่ะ ซึ่งมันอันตรายกับตัวเองทั้งนั้นถ้าหากปล่อยไว้ไม่มีการเตือน เหตุการณ์นี้เราตีความว่าประมาทนะคะ ไม่ใช่สุดวิสัย เพราะถ้าสุดวิสัยมันต้องไม่เคยมีข่าวคราวมาก่อน ซึ่งจริงๆแล้ว พี่เขาก็ไม่ได้อยากลงโทษหรอกค่ะ เพราะต่างคนต่างก็ทรมานเท่าๆกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2017 22:54:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บางครั้งบางอย่างบางคนก็เปลี่ยนยาก

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
ไอ้โอ๊ตนี่จิตใจทำด้วยอะไร :fire: :angry2:
อยากจะตบบ่องหู 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :z6:  :z6:  :z6: ใจมันร้อนมากๆ ถ้าอยู่ตรงนั้นด้วยจะเอาอะไรฟาดปากมันเลย

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ตามอ่านตั้งแรกจนจบรวดเดียว จะบอกว่ามันดีมากๆเลยค่ะ แต่ตอนล่าสุดนี่เพื่อนชื่อโอ๊ตแย่มากจริงๆ อยากให้พี่เนย์เอาตีนยัดยอดหน้ามันซักดอก พูดละโมโหหหห

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 19

หากเปรียบผมเหมือนกับเจ้าของชั้นหนังสือ ก็คงจะมีหนังสือแค่เพียงไม่กี่เล่ม ที่วางเรียงรายอยู่บนนั้น โดยหนังสือเล่มโปรดที่มักจะถูกดูแลเป็นอย่างดี ด้วยการใส่ถุงซิปล็อค ไปจนถึงใส่ที่กันความชื้น ก็คงจะหนีไม่พ้นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘อาคเนย์’
เพราะหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงหนังสือเล่มเดียวที่ผมมักจะนึกถึงเสมอ

“ถึงบ้านแล้วเหรอวะ?” ผมนิ่งฟังเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่าย อยู่ภายในร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับโรงเรียนมากนัก อีกทั้งยังเป็นร้านที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย
“เฮ้ย! มึงละเมอโทรมาหากู หรือว่าเป็นอะไรน่ะ?” สิ้นคำถามคล้ายกับจับความผิดสังเกตได้ ความอดทนที่สะสมมาทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง ก็ค่อยๆพังทลายลงทีละนิด ส่งผลให้หยดน้ำตามันไหลอาบแก้ม โดยไร้เสียงสะอื้น หล่นแหมะลงในแก้วบลูเลม่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่ผมก็ยังไม่คิดที่จะปริปากตอบ

“รัน มึงเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงของพี่เนย์เริ่มร้อนรนมากยิ่งขึ้น เมื่อผมทำเพียงแค่นิ่งเงียบและรับฟัง
“มึงพูดกับกูดิ ตี๊ด---” ผมตัดสินใจกดตัดสาย ก่อนจะเข้าไปยังแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งถึงอีกฝ่าย สลับกับการกดตัดสาย
จึงทำให้ข้อความง่ายๆ มันกลายเป็นข้อความที่พิมพ์ออกมาได้ยากเย็น

‘ผมอยากไปหาพี่เนย์’
‘แล้วมึงจะมายังไง?’

‘ผมจะนั่งรถเมล์ไปครับ ถ้าคืนนี้ผมถึงเอกมัยแล้ว พี่มารับผมได้ไหม?’
คืนนี้? เฮ้ยรัน! กูถามจริงๆนะ มันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้เรายังคุยกันดีๆอยู่เลย’ น้ำตาของผมหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อพี่เขาถามถึงสาเหตุของการกระทำแปลกๆที่ผมกำลังเป็น

‘ผมอยากไปหาพี่เนย์’ ผมเลี่ยงที่จะตอบให้ตรงคำถาม โดยเลือกใช้ข้อความเดิมในการย้ำความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้
‘อืม แต่กูขอคุยกับแม่ของมึงก่อนได้หรือเปล่า ถ้าหากท่านไม่มีปัญหาอะไร มึงจะมาหากูตอนนี้เลยก็ได้ แล้วถ้ามึงมาถึงเมื่อไหร่ เดี๋ยวกูจะไปรับมึงเอง แต่เวลาที่กูโทรหา มึงต้องรับสายกูนะ แล้วก็ห้ามกดตัดสายเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?’
‘ครับ’

ผมตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปยังสถานีขนส่งใกล้ๆกับศาลาว่าการประจำเมือง จากนั้นผมก็จัดการซื้อตั๋วด้วยความเก้ๆกังๆ เพราะต้องเขียนจุดหมายปลายทางลงในกระดาษโน้ตให้เจ้าหน้าที่ทราบมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ต้องประคองโทรศัพท์ที่มีใครบางคนรออยู่ที่ปลายทาง
ไม่ต่างกับตอนที่กำลังเจรจากับวินมอเตอร์ไซค์แม้แต่นิด

กระทั่งนั่งรอเวลาในการเดินทาง พี่เนย์ก็ยังคงสรรหาเรื่องราวต่างๆ เพื่อมาพูดคุยกับผม โดยไม่คิดที่จะถามถึงสาเหตุที่ทำให้ผมเอาแต่เงียบงันใส่อีกฝ่ายแม้แต่น้อย
คล้ายกับเจ้าตัวเขาทราบแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไง

“มึงจะถึงเมื่อไหร่ ส่งไลน์มาบอกกูหน่อย” ผมกดหมายเลขหนึ่ง เพื่อตอบรับอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่งไลน์ไปบอกเวลานัดหมายที่ผมจะเดินทางไปถึง พลางสอบถามสาเหตุที่คุณแม่ยินยอมให้ผมเดินทางไปกรุงเทพด้วยตัวเองในยามค่ำคืนด้วยความสงสัย และทันทีที่ผมกดหมายเลขบนแป้นโทรศัพท์ เพื่อส่งสัญญาณตอบรับไปถึงใครบางคน
พี่เขาก็รีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันขี้เล่นว่า ‘ความลับ’

“เดี๋ยวกูเล่นกีตาร์ให้ฟัง มึงก็ตั้งใจฟังล่ะ” ผมกดแป้นโทรศัพท์เพื่อตอบรับคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกเดินไปยังรถประจำทางที่ภายในมีเครื่องปรับอากาศอย่างดี ขณะที่สายตาก็มองเลขที่นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอที่นั่งเป้าหมาย ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง ก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหูฟังมาใส่ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องคอยถือโทรศัพท์จนเมื่อยมือ
ไม่นานเสียงกีตาร์ก็เริ่มดังมาตามสาย ผมจึงได้แต่นั่งเอาหัวพิงกระจก พลางฟังท่วงทำนองที่อีกฝ่ายกำลังนำเสนอ โดยที่ความคิดของผมก็พยายามจะโฟกัสไปที่ปลายสายให้ได้มากที่สุด เพราะผมเข้าใจจุดประสงค์ของพี่เนย์ดี ว่าทำไมจู่ๆ พี่เขาถึงได้ลุกขึ้นมาเล่นกีตาร์ในเวลาสี่ทุ่มแบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะพี่เขาต้องการจะปลอบใจและพยายามจะทำให้อะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ผมต้องคิดไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นั่นล่ะ นั่นคือความห่วงใย ที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็ยังสามารถรับรู้มันได้   

เวลากว่าสองชั่วโมงที่ผมต้องนั่งข้างๆ คนไร้ข้อบกพร่อง ตามข้อจำกัดของการนั่งรถโดยสารสาธารณะ ผมเอาแต่หันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง ขณะที่หูทั้งสองข้างก็เสียบหูฟังไว้ แม้ว่าตอนนี้บุคคลปลายสายเขาจำเป็นจะต้องไร้การติดต่อไปชั่วขณะ เนื่องจากผมไม่อยากให้พี่เขาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ เราก็เลยตกลงกันผ่านทางข้อความแชทว่า ถ้าหากพี่เขาถึงสถานีที่เอกมัยเมื่อไหร่ ก็ค่อยโทรมาหา เพราะตอนนี้ผมเข้าสู่เขตตัวเมืองของกรุงเทพเรียบร้อยแล้ว อีกสักพักใหญ่ก็น่าจะถึงที่หมาย
ดังนั้นการปล่อยผมทิ้งไว้เพียงลำพัง จึงไม่มีปัญหาอะไร

“รัน” หลังจากที่ลงจากรถประจำทางตรงสถานีเอกมัย ผมก็ยืนหันรีหันขวางอยู่นาน เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหนดี อีกทั้งมองๆไปก็ยังไม่เห็นคนตัวโตมารอรับเหมือนอย่างที่สัญญากันไว้ แต่แล้วใครบางคนในความคิดก็เอ่ยเรียกผมอย่างแผ่วเบา ผมจึงค่อยๆหันไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“กูไปเข้าห้องน้ำมา” พี่เขาตอบพลางยกยิ้ม ผมจึงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เริ่มทำตัวเงียบงันเหมือนเคย

“มึงหิวมั้ย?” พี่เขาเดินเข้ามาโอบไหล่ จากนั้นก็ถามไถ่อย่างใส่ใจ
“…” ผมก็ได้แต่ส่ายหัว เพราะต่อให้หิวมากแค่ไหน ผมก็รู้สึกกินอะไรไม่ลง ในเมื่อความรู้สึกแย่ๆ มันยังคงตกค้างอยู่ในใจตลอดเวลา แต่ที่ผมยังคงวางตัวได้เป็นปกติขนาดนี้ นั่นก็เพราะผมพยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าจิตใจของผมมันจะพังตามคำพูดของคนเหล่านั้นไปแล้วก็ตาม

“กูมีที่นึงอยากพามึงไป แต่เราคงต้องเดินทางกันนานหน่อย” พอเดินมาจนถึงรถคันคุ้นเคย พี่เนย์ก็เปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็โน้มตัวลงมาใกล้ โดยค้ำยันประตูกับหลังคารถเอาไว้ พลางเอ่ยบอกจุดหมายปลายทางของเรา ที่ไม่ใช่คอนโดอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้
“…” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย พลางพยักหน้ารับรู้

“มึงจะนอนพักสายตาไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถึงแล้วกูค่อยปลุก”
“…” ผมมองตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง เพราะใจจริงผมไม่อยากให้พี่เขาต้องเหนื่อย เพื่อพาผมไปไหนไกลๆเลย แล้วอีกอย่างถ้าเกิดผมหลับ โดยปล่อยให้พี่เขาขับรถเพียงคนเดียว เกิดอีกฝ่ายเผลอหลับในขึ้นมาคงยุ่งแน่ๆ

“ไม่ต้องห่วง กูอัดกาแฟมาเพื่อมึงเรียบร้อยแล้ว” พี่เขาพูดพลางเกลี่ยปอยผมที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากเบาๆ จากนั้นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ผมมักจะได้เห็นบ่อยๆก็ปรากฏขึ้น ทำเอาขอบตาของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“…” ผมยกยิ้มน้อยๆ พลางซ้อนฝ่ามือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายแน่นิ่ง

“นอนซะ” แต่แล้วความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นก็ค่อยๆจางหายไป เมื่อเจ้าของต้องเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นสารถี เพื่อพาผมเดินทางไปยังที่ไหนสักแห่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นความลับ เพราะว่าที่นักจิตบำบัดไม่มีวี่แววแม้แต่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม
“เออนี่ กูมีข่าวดีมาบอก คาดว่าถ้าฝึกงานเสร็จ กูคงได้งานทันทีเลยว่ะ” ขณะขับรถ พี่เขาก็พูดเรื่องราวของตัวเองขึ้นมา คงเพราะเห็นว่าผมยังไม่ยอมนอน ตามที่อีกฝ่ายแนะนำเมื่อครู่

“…” ผมได้แต่แอบยิ้มให้กับความสำเร็จของอีกฝ่าย ที่มันเริ่มเข้าใกล้เส้นชัยขึ้นมาอีกขั้น โดยที่ปฏิกิริยาอื่นๆ ก็ยังคงไร้การตอบรับเหมือนอย่างเคย
“กูไม่รู้ว่ามึงไปเจออะไรมา แต่กูกับพ่อแม่ของมึง เป็นห่วงมึงนะ” คนตัวโตที่กำลังทำหน้าที่สารถีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พลางเอื้อมมือมากอบกุมมือของผมไว้ ส่งผลให้ความอบอุ่นจากทั้งคำพูดและการกระทำ มันทำลายทำนบน้ำตาของผมจนแตกกระจาย เพราะยิ่งผมนึกไปถึงพ่อกับแม่ ที่ตอนนี้อาจจะเป็นห่วงที่ผมหนีมากรุงเทพเพียงคนเดียว ผมก็ยิ่งสะอื้นจนตัวโยน จากนั้นผมก็ตัดสินใจปล่อยมือคนข้างๆ เพื่อเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ขึ้นมาพิมพ์ข้อความบอกท่านทั้งสองว่าตอนนี้ผมเจอกับพี่เนย์แล้ว พวกท่านจะได้ไม่เป็นห่วง

“ตอนนี้มึงโอเคมั้ย กูถามจริงๆ” ขณะที่รถกำลังติดไฟแดง พี่เนย์ก็เริ่มตั้งคำถามขึ้นมาเป็นคำแรก หลังจากที่ผมกลับมานั่งเหม่อมองไปยังบรรยากาศด้านนอกตัวรถ ที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากร้านรวงต่างๆ ที่กำลังทยอยปิดการให้บริการ
“…” ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ผม จากนั้นก็ค่อยๆส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า พร้อมด้วยน้ำตาที่หยดแหมะลงบนข้างแขนของตัวเอง เมื่อสายตาและน้ำเสียงของคนถามเขาดูเจ็บปวดกับการกระทำของผมในตอนนี้

“อยู่กับกู มึงอ่อนแอได้นะรัน มึงไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง เพื่อรักษาคำสัญญาของเราขนาดนี้ก็ได้” ทันทีที่พี่เขาอนุญาต น้ำตาที่กักเก็บไว้ก็เริ่มพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก ซ้ำยังสะอื้นไห้จนตัวโยน เพราะผมเจ็บปวดกับคำพูดดูถูกพวกนั้น จนแทบไม่อยากจะมองหน้าใครต่อใครอีกแล้ว เนื่องจากผมไม่มีทางได้รู้เลยว่า การกระทำของตัวเอง มันจะกลายไปเป็นเรื่องตลกขบขันให้กับใครต่อใครอีกหรือเปล่า
แล้วพี่เนย์จะอายมั้ย ที่มีแฟนเป็นคนพูดจาได้ไร้ความรู้สึกขนาดนี้
นึกๆดูแล้ว ผมไม่มีอะไรที่คู่ควรกับพี่เนย์เลยสักอย่าง

เพียงแค่คิดถึงเรื่องข้อบกพร่องของตัวเอง ผมก็เริ่มคิดไปต่างๆนาๆ ซึ่งหลายๆเรื่อง ก็มักจะเกี่ยวข้องกับพี่เนย์ คนที่มีความอบอุ่นให้กับผมเสมอ และถ้าหากวันนึง ผมต้องเสียพี่เขาไป ผมก็คาดเดาได้ทันทีว่าชีวิตของผมในช่วงเวลานั้นมันจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากการมีอยู่ของผม มันจะทำให้พี่เขาต้องมาคอยแปดเปื้อนไปกับความคิดอันสกปรกของคนเหล่านั้น ที่เปรียบเสมือนสีดำสนิทของจิตใจ ที่ค่อยๆป้ายความมืดมนลงบนตัวผม จนกลืนกินความสว่างสดใสของพี่เนย์
ความรู้สึกของผมคงต้องพังยิ่งกว่านี้แน่ๆ

“เคยมีคนกล่าวไว้ว่า having a soft heart in a cruel world is courage, not weakness (by Katherine Henson)” ผมหยุดสะอื้นไห้ พลางจ้องมองไปยังคนที่กำลังขับรถ ขณะที่ผมกำลังนิ่งคิดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย
“เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะวันที่มึงร้องไห้ หรือวันที่มึงยิ้มได้ หรือจะเป็นวันไหนๆ มึงก็เข้มแข็งสำหรับกูเสมอ เพราะมึงเป็นคนที่มีหัวใจที่อ่อนโยน และมึงก็มักจะคอยแต่ห่วงความรู้สึกและคิดเห็นของคนรอบข้างมากเกินไป จนลืมดูแลความรู้สึกของตัวเอง กูถึงอยากให้มึงเข้มแข็งให้มากกว่านี้อีกนิด มึงจะได้ปกป้องความรู้สึกของตัวเองได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีวันไหนเลย ที่กูไม่ภาคภูมิใจในตัวมึง” คำพูดของพี่เนย์เหมือนกับเครื่องซักใจอันเต็มไปด้วยบาดแผลของผม ให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ครุ่นคิดในแบบที่ผมกำลังหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ต่อให้ตัวผมถูกสีดำจากจิตใจอันมอดไหม้ของใครต่อใครกลืนกิน แต่แสงสว่างจากพี่เนย์ก็มักจะปัดเป่าสีอันสกปรกแบบนั้นให้หลุดหายไปได้
ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็คงไม่สามารถทำให้คนที่มีจิตใจอบอุ่นแบบพี่เนย์ต้องแปดเปื้อนได้แน่ๆ

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางยกยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับกุมชายเสื้อของพี่เขาไว้แน่น เมื่อความรู้สึกดีๆ มันเริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกแย่ๆ จากคนกลุ่มหนึ่งเพียงน้อยนิด
“กูขอยืนยันอีกครั้ง ว่ามึงเหมาะกับรอยยิ้ม ไม่เหมาะกับน้ำตาหรอก” เมื่ออีกฝ่ายเขาพูดแบบนั้น ผมก็ยกยิ้มจนตาปิด ทั้งๆที่ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถส่งยิ้มออกมาได้
ทั้งๆที่ผมได้พบเจอกับเรื่องราวแย่ๆ จนแทบจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหว

ท้องทะเลในยามค่ำคืน ใครต่อใครเขาต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่ามันน่ากลัวและไม่ปลอดภัย แต่สำหรับผมในเวลานี้ กลับรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ที่แสนพิเศษ ซึ่งในความพิเศษนั้นกลับไม่ใช่เพราะปัจจัยรอบด้าน แต่กลับเป็นเพราะผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขากำลังพยายามจะลบความเศร้าหมองในจิตใจของผมให้หมดไป ด้วยการพาผมเดินทางมายังจังหวัดเพชรบุรี โดยเราได้จองห้องพักในราคาถูกที่สุดของทางโรงแรม เพียงเพราะต้องการจะใช้ชายหาดส่วนตัวที่มันปลอดภัยกว่าชายหาดบริเวณอื่น พร้อมกับเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ข้างๆหูของเรา ทันทีที่เรากำลังแบ่งปันหูฟังกันคนละข้าง ขณะเดินย่ำน้ำทะเลอันเย็นเฉียบ ที่เคล้าคลอไปกับเสียงของเกลียวคลื่นที่กำลังซัดสาดกระทบกับข้อเท้าของเราเป็นระยะๆ โดยที่ฝ่ามือข้างหนึ่งของเราต่างก็กอบกุมกันเอาไว้แน่น ขณะที่บทเพลงก็ยังคงบรรเลงต่อไปอย่างเป็นใจ

ในวันที่ฝน เปลี่ยนเป็นเมฆขาว
อากาศเช้าๆ สวยงามกว่าใคร
มือเธอและฉัน จับจูงกันไป
เดินด้วยกันนะ

เราผ่านเรื่องราวอะไรๆ มากมาย
อาจมีทั้งร้ายและดี เข้ามาในบางครั้ง
แต่ขอแค่เธอ ขอแค่เธอ


ผมยังคงจำบทเพลงนี้ได้ดี เพราะมันเป็นเพลงที่สามารถปลอบโยนหัวใจอันอ่อนล้าของผมได้ดีเสมอ และคนที่แนะนำให้ผมได้รู้จักกับบทเพลงนี้ ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่ไม่ว่าจะในเวลานี้ หรือเวลาไหน ผมก็มักจะหันไปเจออีกฝ่ายเสมอ

ยังจำได้ไหม ตอนที่เธอท้อ
ตอนที่เธอล้า หัวใจแทบหมดแรง
คำพูดของฉัน บอกเธอวันนั้น
ให้เธอโปรดเข้มแข็ง

เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ
ปล่อยความทุกข์ลอยไปกับทะเลและฟ้าสีคราม
จากวันนั้น ฉันและเธอ


ผมเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นเพราะวันนี้ผมอ่อนแอมากเป็นพิเศษ การฟังเพลงๆนี้มันถึงได้ส่งผลให้ผมไม่สามารถหักห้ามน้ำตาที่กำลังรินไหลได้อีกครั้ง ยิ่งการกระทำของพี่เขาในตอนนี้ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี เพราะผมไม่ทันคาดคิดว่าการที่อีกฝ่ายเขาพาผมมาจนถึงทะเลชะอำ ก็เพื่อที่จะพาผมมาปลดปล่อยความทุกข์ไปกับท้องทะเล ตามที่บทเพลงเขาแนะนำ
เหตุเพราะอาการของผมในวันนี้มันหนักหนามากเกินไป
พี่เขาก็เลยต้องรับมือด้วยการพามาเปิดหูเปิดตาในสถานที่ใหม่ๆ

จุดเริ่มต้นความรัก นั้นล้วนมาจากใจ
อาจไม่มีเหตุผล แต่ฉันรู้ว่ามันใช่
เธอเติมเต็มให้ฉัน รับรู้ได้ด้วยหัวใจที่สุขล้น

(Jeep – วัชราวลี)

“เวลาที่ผมพูด..มันตลกจริงๆเหรอครับ..แต่ผมก็พยายามเต็มที่แล้ว..ผมพยายามแล้วจริงๆ” ผมหันไปกอดพี่เนย์พร้อมกับระบายความในใจที่กักเก็บเอาไว้ทั้งน้ำตา เพราะบทเพลงนี้มันเปิดใจของผม ให้ยอมแบ่งปันความทุกข์ของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ แม้ว่าการที่ผมพูดออกไป มันจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ที่เกาะกินหัวใจทีละนิด ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดที่มันทำร้ายจิตใจพวกนั้น
“กูเคยบอกเหรอว่ามันตลก?” พี่เนย์ย้อนถาม พลางยกมือข้างนึงขึ้นโอบเอวผมไว้ ขณะที่หูฟังที่เราแบ่งปันให้แก่กัน ก็ถูกละเลยจนแทบจะละลงไปกับท้องทะเลอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่นิด

“แต่คนอื่น..”
“แล้วเขาสำคัญกับมึงแค่ไหน? สำคัญมากพอให้มึงเอามาบั่นทอนความรู้สึกของตัวเองเลยหรือเปล่า?” ทันทีที่พี่เนย์พูดขึ้น ผมก็เริ่มนิ่งคิด ซึ่งมันก็จริงที่ว่าคนพวกนั้น ไม่ได้มีความสำคัญมากพอที่ผมจะเอาคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ
แต่ถึงความเป็นจริงมันจะเป็นแบบนั้น ยังไงซะความเจ็บปวดจากคำพูดอันไร้ค่า ก็เหมือนกับมีดคมๆเล่มหนึ่ง ที่ค่อยๆกรีดลงบนหัวใจของผมอย่างช้าๆ หากแต่เน้นในทุกรายละเอียดของการบาดลึก

“จริงอยู่ที่กูเคยบอกให้มึงเปิดใจ แต่การเปิดใจไม่ได้หมายถึงการที่เราจะต้องรับเอาทุกอย่างมาใส่ใจนะรัน”
“…”

“คนพวกนั้นที่มันจิตใจสกปรก ก็เหมือนกับหนังสือชั้นเลวที่ไม่มีใครคิดอยากจะหยิบมาอ่าน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำลายได้ยาก เพราะว่ามันเขียนขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งคุณค่าของมันกลับไม่มีเลยแม้แต่นิด ดังนั้นหนังสือทุกเล่มที่มึงหยิบมาอ่าน มึงจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเข้าลิสต์เสมอไป และไม่จำเป็นต้องอ่านมันให้จบ แต่ถ้าเรื่องไหนที่มึงคิดว่ามันดีกับใจของมึง การจะอ่านให้จบ มันก็คือเรื่องที่สมควรทำ แล้วอีกอย่างหนังสือที่มึงเคยชอบ พออ่านๆไปมึงก็อาจจะพบเจอกับเรื่องราวที่มึงไม่ชอบ หรือไม่ใช่แนว หรือแม้กระทั่งดูไม่สมเหตุสมผล มึงก็สามารถขายมันทิ้งไปได้ และไม่ต้องเสียดาย เพราะบนโลกใบนี้ยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม รอให้มึงเก็บเข้าชั้นหนังสือ”
“ขนาดหนังสือมันยังมีตั้งหลายแนวเลย แล้วทำไมคนจะมีหลายประเภทไม่ได้ ในเมื่อเขาเกิดมาจากครอบครัวที่หลากหลาย ไม่ต่างกับหนังสือที่เกิดขึ้นจากนามปากกาของนักเขียนหลายๆคน มึงต้องปล่อยวางนะรัน ที่กูพูด ไม่ได้หมายถึงมึงเสียใจไม่ได้ แต่หมายถึงตอนที่มึงเจอหนังสือชั้นเลว มึงก็แค่ต้องใส่หน้ากากให้แน่นหนา แล้วแสดงให้มันเห็นว่ามึงไม่ได้ดิ้นไปตามคำพูดของมัน แค่นั้นมันก็จะแพ้ภัยตัวเอง อีกอย่างกูดีใจนะ ที่มึงเลือกที่จะมาระบายกับกูแทนการใช้กำลัง เพราะถ้ามึงใช้กำลัง มันก็จะยิ่งสร้างความบาดหมางมากขึ้น ทีนี้พอมึงบังเอิญเจอหนังสือประเภทนั้นอีกครั้ง คำพูดแย่ๆของมันก็คงจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์นี้ถ้าให้กูเดา มันคงจะเกิดขึ้นกลางงานเลยสินะ กูว่าป่านนี้หนังสือชั้นเลวของมึง คงจะกำลังถูกสังคมตัดสินไปแล้วล่ะมั้ง”

“รันมึงอาจจะลืมที่กูเคยพูดไปแล้ว ว่ากูแพ้ทางเวลาที่มึงพูดกับตอนที่มึงใช้ภาษามือ วันนี้กูขอย้ำอีกครั้งว่าจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกของกูก็ยังไม่เปลี่ยน กูไม่อยากให้มึงหมดความมั่นใจในเรื่องของการพูดเลยรัน ถ้าเป็นไปได้กูก็อยากให้มึงนึกถึงคำพูดนี้ของกูเข้าไว้ ส่วนคนอื่นเขาจะตลก หรือจะรู้สึกอะไรก็ช่างเขา เพราะคนที่รักมึงเขาชอบ มึงคิดแค่นี้ก็พอ” พี่เนย์ผละตัวออกห่างจากผม ก่อนจะเก็บหูฟังให้มันเข้าที่เข้าทาง จากนั้นเราก็พากันเดินจูงมือไปยังทางเข้าที่เชื่อมต่อระหว่างโรงแรมและชายหาดส่วนตัวอันเงียบสงบ
“ก่อนหน้านี้คุณหมอเขาก็บอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้ามึงพยายามอีกนิด ขาของมึงก็จะก้าวเข้าสู่เส้นชัยแล้ว มึงเชื่อคนที่สมควรจะเชื่อไม่ดีกว่าเหรอ?” พี่เนย์โน้มศีรษะของผมเข้าไปซบกับข้างแขนของตัวเอง พลางพูดเตือนสติไม่ให้ผมคล้อยตามคำพูดดูถูกเหล่านั้น

“ครับ” ผมตอบรับพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของอีกฝ่ายอย่างหาญกล้า เพราะในช่วงเวลาที่มันใกล้จะสว่างแบบนี้
คงไม่มีใครมาให้สนใจกับผู้ชายสองคน ที่กำลังยืนอิงแอบแนบชิดกันหรอก


----------------------------------------------------------------
สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากน้องรันเข้มแข็งขึ้นมากกกกก และได้รับกำลังใจที่ดี พร้อมกับได้รับคำแนะนำให้มองปัญหาในมุมใหม่ๆ ก็เลยทำให้น้องไม่กลับไปก้าวถอยหลังเหมือนอย่างช่วงแรกที่น้องเป็น หลังจากนี้ถ้าหากน้องปล่อยวางโดยการเลิกยึดติดกับการเปิดใจแบบผิดๆได้ น้องก็จะสามารถก้าวไปถึงเส้นชัยได้ด้วยตัวเอง ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่น้องภาคภูมิใจในตัวเองมากๆวันนึงค่ะ เพราะมันจะหมายถึงความพยายามของน้องไม่ได้สูญเปล่าเลย สำหรับตอนที่แล้ว เราแอบคิดว่าเขียนแรงไปหรือเปล่า แต่จริงๆแล้ว คนแบบนี้ยังมีอยู่อีกเยอะค่ะ และใช้คำพูดรุนแรงกว่านี้มาก ซึ่งคำพูดของเค้าสามารถฆ่าใครต่อใครได้เลย ซึ่งการที่เราเขียนให้มีทั้งคนที่เปลี่ยนและไม่เปลี่ยน มันจะทำให้น้องมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นตามคำแนะนำของพี่เนย์ค่ะ ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก็บหนังสือที่ได้อ่านเข้าลิสต์หนังสือที่เราชอบเสมอไป เราสามารถทิ้งมันไปได้ ซึ่งที่ผ่านมา น้องไม่เคยทิ้งมันไปสักเล่ม น้องถึงยังก้าวเดินได้แค่นี้

เราเห็นคอมเมนต์ของคนที่มีความคิดและรู้สึกแบบเดียวกับน้องรันเข้ามาอ่าน แล้วบอกว่านิยายของเราสามารถลดอคติในใจต่างๆไปได้เยอะ เราเองก็ดีใจนะคะที่นิยายของเราทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น มันเป็นอะไรที่ดีที่สุดสำหรับการแต่งนิยายเลยค่ะ และเราก็หวังว่าถ้าหากคุณกำลังท้อ นิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง เราเป็นกำลังใจให้คุณเหมือนกันนะคะ

ปล. เราวางแผนไว้ว่าจะจบ 20 ตอน แต่ว่าปลายทางของเรื่องนี้ มันจะห่างกันประมาณ 1 ปี เราเลยจะขยายเรื่องออกไปอีกหน่อย เพราะไม่อย่างนั้น เรื่องมันจะกระโดดมากเกินไป เราอยากให้มันจบแบบสมบูรณ์ที่สุด แม้ว่าตอนพิเศษอาจจะยาวพอๆกับเนื้อเรื่องหลักก็ตาม T_T

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ดีจังเลยที่ได้พี่เนย์เป็นแฟน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตกหลุมรักพี่เนย์อีกแล้ว หล่อทั้งตัวทั้งจิตใจ :hao5: :L1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
โกรธไอ้พวกนั้นมาก นิสัยไม่ดี สงสารน้องรัน ดีใจที่รันได้พี่เนย์เป็นแฟน ดูแลกันต่อไปนะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 20

เพราะการเดินทางอันฉุกละหุก ทำให้กว่าเราสองคนจะตื่น ก็ปาเข้าไปตั้งสิบเอ็ดโมงแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าเรามีเวลาอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง แค่คนละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากเราต้องรีบเช็คเอาท์ตามกฎระเบียบของโรงแรม ที่ถ้าหากอยู่นานกว่านั้น ก็อาจจะถูกชาร์ตค่าใช้จ่ายเพิ่มเอาได้ ดังนั้นภายในเวลาบ่ายโมงกว่าๆแบบนี้ พวกเราจึงยังคงวนเวียนอยู่ในชะอำ เพื่อตะเวนหามื้อเช้าที่มันค่อนไปทางบ่าย

“กินร้านนั้น..มั้ยครับ?” ผมชี้ไปยังร้านๆหนึ่งที่เราขับผ่าน ซึ่งดูท่าทางน่าจะทำอร่อยด้วย เพราะว่าคนเต็มร้านไปหมด
“โห คนโคตรเยอะเลยว่ะ จะมีที่นั่งหรือเปล่า” พี่เนย์บ่นอุบ แต่ก็ยอมมองหาที่จอดรถ ตามความต้องการของผม ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เพราะร้านนี้มีทั้งโซนในร้านและนอกร้าน ผมจึงเลือกนั่งที่โซนนอกร้าน ที่มันให้อารมณ์เหมือนกับเรามานั่งเตียงผ้าใบแล้วกินอาหารทะเลแบบนั้นแหละ เพียงแต่เก้าอี้ของร้านนี้ไม่ใช่เตียงผ้าใบแค่นั้นเอง

“พี่ออกค่าโรงแรมไปแล้ว..ผมออกค่า..อาหารนะครับ” หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ผมก็รีบตกลงกับผู้ชายตรงหน้าที่กำลังนั่งท้าวคางมองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เนื่องจากเราบังเอิญได้โต๊ะนั่งตัวสุดท้ายที่อยู่ริมหาด ซึ่งสามารถมองวิวรอบๆทิศทางได้อย่างชัดเจน
“อืม” อีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ คงเพราะรู้ว่าช่วงนี้ผมไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเหมือนช่วงที่ต้องไปล้างแผล เพราะฉะนั้นหากกลับจากชะอำ ผมคงต้องงดบลูเลม่อนสักระยะ

“มองอะไร?” พี่เนย์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อหันมาเจอสายตาของผม ที่ยังคงมองตรงไปที่อีกฝ่ายแน่นิ่ง
“…” ผมส่ายหน้า พลางยกยิ้ม เพราะผมไม่มีเหตุผลของการกระทำให้ต้องมานั่งอธิบาย ฝ่ายคนถูกมองเขาก็ทำเฉย พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเป็นครั้งแรกในรอบวัน

“ข่าวมึง”   
“ครับ?” ผมรับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาถือไว้ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองว่าที่นักจิตบำบัด ที่กำลังพยักพเยิดหน้าให้ผมลองดูเนื้อความด้วยตัวเอง

“เอ้าเชี่ย!” ผมสบถอย่างตกใจ เพราะทันทีที่กดดูคลิป เสียงจากลำโพงโทรศัพท์ของพี่เนย์ก็ดังก้องออกมา จนผมกดปิดแทบไม่ทัน จากนั้นผมก็รีบสไลด์หน้าจอขึ้นไปข้างบน ก่อนจะสไลด์กลับลงมายังคลิปเป้าหมายอีกครั้ง เพื่อให้มันเล่นแบบไม่มีเสียง ไม่นานภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวานก็ปรากฏ
“…” ผมนั่งมองคลิปๆนั้นแน่นิ่ง แม้ว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเล่นแบบไม่มีเสียงก็ตาม แต่ผมผู้ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของหนังสือชั้นเลว กลับสามารถจนจำทุกคำพูดที่อีกฝ่ายพ่นออกมาได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านั้นฝ่ามือของผมก็ต้องกอบกุมโทรศัพท์ของพี่เนย์เอาไว้แน่น

“มึงต้องปล่อยวางให้ได้นะรัน ไม่อย่างนั้นชีวิตของมึงจะไม่มีความสุขจริงๆสักที คนเราห้ามปากใครไม่ได้ ห้ามความคิดใครก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราจะห้ามได้ก็คือตัวเอง” พี่เนย์เอื้อมมากุมมือของผมไว้ พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่ออีกฝ่ายเขาเห็นว่าผมเอาแต่นิ่งมองคลิปเหตุการณ์นั้นแน่นิ่ง
“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบา พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและยกยิ้มให้

“ไอ้โอ๊ต..มันถูกสังคมลงโทษ..แบบที่พี่ว่าจริงๆ..ด้วย” หลังจากอ่านคอมเมนต์คร่าวๆ ของบุคคลต้นเรื่องที่เป็นคนแชร์คลิปเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนนี้ พบว่าหลายๆคนในโลกโซเชียล ต่างพากันด่าทอไอ้โอ๊ตอย่างหนักหน่วง บางรายถึงกับขุดหาเฟซบุ๊กของมันจนเจอ ก็มีการแท็กไปให้เห็นจนเต็มสองตา
“อืม ผลจากการกระทำของมัน ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง อาจารย์ หรือแม้กระทั่งญาติๆของตัวเอง ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำแย่ๆแบบนั้น ยิ่งช่วงนี้มีการรณรงค์เรื่องการบูลลี่ด้วยแล้ว สังคมยิ่งตื่นตัว พอมาเจอเรื่องของมึงเข้า หนังสือเล่มนั้นก็เลยเละอย่างที่เห็น” ผมส่งยิ้มบางๆให้กับพี่เนย์ จากนั้นก็คืนโทรศัพท์ให้กับเจ้าของ เพราะผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปอ่านข้อความที่คนอื่นด่าทอคนที่ทำร้ายผม ซึ่งผมจะถือซะว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันคือบทเรียนของตัวเอง ที่จะทำให้ผมก้าวหน้าไปอีกขั้น และก็เป็นบทเรียนให้กับคนที่แม้ว่าจะโตขึ้น แต่ความคิดกลับไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ซึ่งคนแบบนี้พี่เนย์ได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันมีอยู่เยอะ เพราะมันก็เหมือนกับหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาได้ง่าย มันจึงไม่มีค่า ไม่มีราคามากพอให้ผมต้องเอามาใส่ใจ

ดังนั้นหากผมจะเปิดใจให้ใคร ผมก็ควรที่จะใช้วิธีการเดียวกันกับไอ้มอสหรือไอ้เชษฐ์ โดยผมจะต้องมองพวกเขาเป็นหนังสือที่ยังไม่ได้แกะซีล ซึ่งเราจะไม่ทราบเนื้อหาอันเป็นแก่นแท้ข้างใน แต่จะทราบแค่เพียงคำโปรยตรงด้านหลังปกเท่านั้น ที่จะเป็นตัววัดว่าหนังสือเล่มนี้มันใช่แนวที่เราชอบอ่านหรือไม่ เพราะถ้าหากชอบ เราก็ต้องลงทุนซื้อ ซึ่งการลงทุนมันก็มักจะมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาด้านใน จะใช่แนวที่เราชอบจนสามารถอ่านได้จนจบเล่มหรือเปล่า อีกทั้งหนังสือทุกเล่มก็ใช่ว่าจะมีคนรีวิวทั้งหมด หรือบางทีหนังสือเล่มเดียวกัน คนรีวิวก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเลย และมันก็เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเห็นต่างกับรีวิวพวกนั้น เพราะการอ่านหนังสือ หรือการเรียนรู้ใครสักคน มันก็เหมือนกับการที่เราค่อยๆ เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเข้าใจในบริบทนั้นๆ
กระทั่งเราอ่านจบและประทับมากๆ
เราก็แค่เก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ในลิสต์ของเรา

“พี่เนย์..ผมขอไป..โทรหาไอ้มอส..ได้ไหมครับ..ตั้งแต่เกิดเรื่อง..ผมก็ยังไม่ได้คุยกับมันเลย” พอน้ำมาเสิร์ฟผมก็ออกปากขอตัวไปหามุมคุยกับไอ้มอสสักครู่ เพราะว่าผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมทิ้งมันเอาไว้ในงาน แล้วไหนจะไอ้เชษฐ์อีก มันเล่นซัดหน้าคนอื่นซะกลางงานแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“อืม” พอพี่เนย์อนุญาต ผมก็เดินตรงไปยังริมทะเล เพราะเป็นมุมที่ปราศจากคน และเงียบสงบ เหมาะกับการพูดคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัวมากทีเดียว

“กูนึกว่ามึงจะโกรธกูซะแล้วว่ะ ที่พาไปเจอเรื่องอะไรแบบนั้น” ไอ้มอสพูดขึ้นทันทีที่ผมโทรหาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้เบอร์ของมันจากการโทรมาบอกสถานที่ในการนัดหมายก่อนจะเข้างานเลี้ยงศิษย์เก่าเมื่อค่ำวานนี้
“เปล่า..กูแค่รู้สึกแย่..ก็เลยรีบเดินออกมา”

“แล้วมึงเป็นยังไงบ้างวะ พวกกูเป็นห่วงนะเว้ย ตามหาจนทั่วงานก็ไม่เจอ จะโทรไปก็กลัวว่ามึงจะโกรธ ที่กูพามึงมาเจอเรื่องเหี้ยๆแบบนี้” ไอ้มอสบรรยายความรู้สึกของมันผ่านทางคำพูดด้วยความรู้สึกอัดอั้น คล้ายกับมันทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“กูโอเคขึ้นแล้ว..ยังไงกูก็ต้อง..ขอบคุณมึงนะ..ที่ทำให้กูสามารถ..ก้าวเดินไปได้อีกขั้น..และทำให้กูได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น”

“ยังไงวะ?” ปลายสายถามด้วยความงุนงง
“…” ผมได้แต่อมยิ้ม ไร้ซึ่งคำตอบ เพราะคำกล่าวนั้นคงจะมีแค่ตัวผมและพี่เนย์เท่านั้นที่เข้าใจ ว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายๆในค่ำคืนนั้น มันถึงได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่ดีสำหรับผมในวันนี้

“มึงรู้ป่ะ ไอ้เชษฐ์แม่งจัดหนักชิบหายเลย ซัดไม่เลี้ยง โต๊ะเต๊อะพังกระจายชิบหาย แต่แม่งโคตรแมน มีการควักเงินเป็นค่าเสียหายวางแหมะเอาไว้บนโต๊ะด้วยนะเว้ย กูนี่ได้แต่ยืนอึ้งไปเลย ไอ้สัสนี่แม่งเลือดร้อนไม่เปลี่ยน” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกไปถึงเพื่อนผู้แสนเลือดร้อนของไอ้มอส ที่ครั้งหนึ่งมันเคยตีแบดอัดใส่ผม เพราะรำคาญกับท่าทางเฉยชาจนน่าหงุดหงิด
“เหมือนมึงแหละ” ผมย้อนเข้าให้

“โห่มึง พวกกูสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
“อืม”

“เออนี่ มึงเห็นหรือยัง มีคนถ่ายคลิปไว้ แม่งโดนด่ากระจายเลยว่ะ เห็นมีเอาไปลงพันทิพย์ด้วย เรื่องแลจะไปกันใหญ่ แต่นึกๆดูแล้วก็สะท้อนใจว่ะ ถ้าหากตอนนี้กูไม่เปลี่ยนสันดาน กูก็คงจะถูกด่าไปพร้อมกับมันนี่แหละ แต่สิ่งที่มันพูดเมื่อคืน มันคือเรื่องจริงที่ทำให้มึงโดนแบบนั้นนะเว้ย เพราะฉะนั้นมึงอย่าอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะเขาจะยิ่งสนุกจนลืมลิมิตของตัวเอง อีกอย่างมึงต้องแสดงความจริงใจให้คนอื่นเขาเห็นด้วยรู้หรือเปล่า เพราะการที่พวกกูชวนมึงคุย แล้วมึงทำเมินเฉย มันก็ไม่ต่างกับการถูกตบหน้าเลยนะเว้ย แล้วยิ่งมาได้ยินมึงอุทานแบบตกใจได้ พวกกูก็เลยเหมารวมว่ามึงโกหกทุกคนว่ามึงพูดไม่ได้ พวกกูถึงได้พยายามจะกระชากหน้ากากของมึงออกมา แถมเรื่องของเรื่องที่มันเป็นชนวนสาเหตุ แม่งก็เพราะพวกกูมีความรู้ไม่มากพอแค่นั้นเองเหรอวะ โคตรไม่ยุติธรรมกับมึงจริงๆน่ะแหละ เพราะพอกูได้มาฟังมึงอธิบายเรื่องของคนที่มีความบกพร่อง พวกกูถึงได้เข้าใจว่า ความรู้หากมีไม่มากพอ แม่งก็นำพามาสู่ความขัดแย้งได้จริงๆ คิดๆแล้วกูก็รู้สึกแย่จริงๆว่ะ ถ้าหากตอนนั้นพวกกูพยายามจะทำความเข้าใจกับมึง มันก็คงจะดีเนอะ”
“ตอนนั้นกูป่วยกว่าที่คิด..แล้วกูเองก็เพิ่งจะรู้..เมื่อไม่นานมานี้ด้วย..กูถึงได้ไม่ค่อยแสดง..การตอบสนองอะไรกับใคร..เพราะส่วนนึงกูยังรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้..แล้วกูก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่..อายุสี่ขวบแล้ว..แต่ที่กูกลับมาใช้ชีวิตปกติได้บ้าง..ก็เพราะกูทำเพื่อพ่อกับแม่..กูสงสารท่านที่ต้องมาร้องไห้กับพฤติกรรมของกู..พอมึงบอกว่าการกระทำของกู..มันเหมือนกับไม่มีความจริงใจให้..กูเองก็เพิ่งจะเข้าใจ..แต่ว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครรู้สึกแย่..หรือรู้สึกไม่ชอบใจในการกระทำของกูเลย..ส่วนเรื่องความรู้..มันก็จริงอย่างที่มึงว่าน่ะแหละ..แต่ช่างมันเถอะ..ตอนนี้กูไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว..กูจะเริ่มต้นใหม่..มึงเองก็เริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ..ไอ้เชษฐ์ก็ด้วย”
“มึงพูดจริงดิวะ เฮ้ยยยย!” เสียงไอ้เชษฐ์ดังทะลุกลางปล้องออกมา จนทำเอาผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากข้างหู
“อืม กูขอไปกินข้าวก่อนนะ”

ครืด ครืด

“ว่า?” ผมรับสายที่โทรเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
“กูเพิ่งรู้เรื่อง มึงโอเคมั้ยวะ?” ไอ้หมอกพูดขึ้นทันที โดยไม่ต้องรอให้ผมย้ำถามให้มากความ

“กูโอเคแล้ว”
“แน่นะมึง” ไอ้คินย้ำถามขึ้นมาอีกคน ผมจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพวกมันใช้ฟังก์ชั่นการประชุมสายมาเพื่อสิ่งนี้

“อืม..ตอนนี้กูอยู่กับพี่เนย์แล้ว..กูสบายใจขึ้นเยอะ”
“เออๆ กูจะได้โทรบอกแอ้ม รายนั้นเขาก็เป็นห่วงมึง เห็นบอกไลน์ไปแต่มึงไม่ตอบ โหลดสติ๊กเกอร์ฟรีเยอะก็งี้ เลยไม่รู้ว่าใครส่งแชทมาหาบ้าง” ไอ้คินมันว่าแกมหยอก ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้

“เออ กูโหลดของฟรีไว้เยอะ..เดี๋ยวกูจะทยอยจัดแฟนทอล์ก..ให้นะ”
“กวนตีนไอ้สัส เพื่อนๆพี่ๆคนอื่นเขาก็เป็นห่วงมึงกันทั้งนั้น ถึงขั้นโทรมาถามกูจนสายแทบไหม้ มึงก็รีบตอบไลน์ให้มันครบๆล่ะ” ไอ้หมอกพูดขึ้นมาบ้าง

“เออรู้แล้วน่า..กูขอกินข้าวก่อนได้ป่ะ..ตอนนี้กูโคตรหิวเลย” พอพวกมันอนุญาต ผมก็รีบวางสายและเดินกลับไปที่โต๊ะ ก็พบว่าอาหารมาเสิร์ฟจนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมื้อนี้เราจัดหนักกันสุดๆ โดยเฉพาะปูนึ่ง ผมจะชอบมาก ก็เลยสั่งมากิโลนึงเต็มๆ ผมถึงได้ยอมอดบลูเลม่อนไปสักระยะนี่แหละ

“ไอ้หมอกกับไอ้คินเพื่อนสนิทมึง ร่ายยาวข้อมูลของผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมาเต็มเลยว่ะ ส่วนไอ้เอ้เพื่อนกูจัดหนักเกี่ยวกับความรู้เรื่อง PTSD มาเฉย มันรู้ได้ยังไงวะ มึงเคยเล่าให้มันฟังเหรอ?” พี่เนย์ย้อนถามด้วยความสงสัย
“พี่เอ้คงจะจับสังเกตได้จากตอนที่ผมเนียนๆถามเกี่ยวกับข้อมูลของเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ยินพี่เอ่ยชื่อของแม่มั้งครับ” ผมหยุดแกะปู พลางตอบอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก

“มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะหลังจากที่กูคุยกับแม่มึงเสร็จ กูก็เรียกมึงไปคุยด้วยตั้งนาน ไอ้เอ้มันคงจะจับสังเกตได้จริงๆน่ะแหละ อีกอย่างตั้งแต่ทำสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ กูเองก็เปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ถือว่าดีแล้วแหละ คนเหี้ยๆที่เคยเข้าใจผิด ถ้ามันได้เข้าแท็กของมึง ก็จะได้มีความรู้ติดหัวเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่ายึดติดแค่กับความคิดของตัวเอง จนไม่คิดจะทำความเข้าใจกับคนอื่นเลย” พี่เนย์พูดอย่างใส่อารมณ์นิดหน่อย คงเพราะเจ้าตัวได้ฟังคำพูดดูถูกของอีกฝ่ายที่มีต่อผมแล้ว คนใจเย็นแบบพี่เนย์ถึงได้โมโหแบบเก็บอาการ
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอกครับ..ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัว..ว่าการเมินเฉย..ไม่พูดไม่จาไม่แสดงออกอะไร..มันจะเป็นชนวนสาเหตุที่ทำให้..ถูกเข้าใจผิดจนลุกลามได้”

“กูไม่เห็นด้วยว่ะ อย่างกูกับมึงตอนเจอกันครั้งแรก มึงเองก็เมินเฉย นิ่งเงียบ ไม่แสดงออกอะไรเลย กูยังไม่เห็นจะคิดแบบนั้นเลยวะ เพราะกูเข้าใจไง ว่าคนเรามันก็ต้องมีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้น กูว่ามันเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ แต่ก็นะ คนเรามันต่างคนต่างความคิด ยังไงมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ทั้งนั้น กูจะไม่ไปดิสคัสใครส่งๆ” พี่เนย์พูดพลางตักน้ำต้มยำไปซดอย่างเอร็ดอร่อย
“…” ผมอมยิ้มพลางแกะปูนิ่งในมือต่ออีกครั้ง เพราะผมสามารถมองเห็นภาพหนังสือแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน และสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

“ไม่กินปูเหรอครับ?” ผมถาม หลังจากสังเกตอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
“ไม่ว่ะ กูแกะไม่เป็น” พี่เนย์ตอบสั้นๆ ขณะที่เจ้าตัวกำลังโซ้ยตำไทยอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าที่นักจิตบำบัดตรงหน้าอยู่หรอก เนื่องจากคนกรุงเทพอย่างพี่เนย์ ก็น่าจะแกะปูไม่ค่อยเป็นเหมือนกับน้องแพรญาติทางฝั่งแม่ของผม ทีนี้พอมาเจอกันทีไร ผมก็ต้องคอยแกะให้สาวเจ้าทุกที เหตุเพราะครั้งแรกผมหวังดี อยากให้เธอลองกินของอร่อยๆที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรส
จากนั้นมาเจ้าตัวก็ติดอกติดใจใหญ่ เวลาไปกินร้านอาหารทะเลพร้อมกันทีไร เธอจะนั่งเกาะติดผมแจเลย

“ผมแกะให้ครับ” ผมรับอาสา พลางคาดเดาไว้แล้วว่า พี่เนย์จะต้องตกเป็นทาสปูนึ่งอร่อยๆ เหมือนกับน้องแพรแน่ๆ ทีนี้ต่อไปหน้าที่ของผมก็คือการแกะปูให้อีกฝ่ายกินนี่แหละ

วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มออกมาเยอะมาก อาจเพราะผมปล่อยวางทุกอย่างแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้การแกะปูให้อีกฝ่าย จนตัวเองแทบจะไม่ได้กิน ก็ทำให้ผมมีความสุข จนแทบไม่อยากจะปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยจริงๆ
“มึงแกะกินเองด้วยสิ ชอบไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มแกะให้ตัวเอง ตามคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ได้ตกเป็นทาสปูนึ่งเหมือนผมเรียบร้อยแล้ว

“มึงอยากไปไหนต่อหรือเปล่า?” พี่เนย์ถามขณะที่เรากำลังเดินกลับมาที่รถ หลังจากชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว
“กลับเลยดีกว่าครับ..พี่จะได้พักผ่อนด้วย” ผมส่ายหน้าพลางตอบอีกฝ่าย ขณะเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปในรถสีดำคันคุ้นเคย

“พรุ่งนี้กูก็หยุด ยังมีเวลาพักอีกถมเถ”
“แต่เมื่อคืนพี่ขับรถมาตั้งไกล..เชื่อผมสักครั้งนะ” ผมตอบพลางหันไปมองอีกฝ่ายที่เอามือมาท้าวตรงเบาะข้างคนขับ พร้อมกับหันไปมองทางด้านหลัง เพื่อให้สะดวกต่อการถอยรถออกจากซองจอด

“อืม” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอ แต่กลับชัดเจนในความรู้สึกของผมอย่างมากมาย
“ขอบคุณนะครับ..ที่เชื่อคำพูดของผม”

“ถือว่ากูให้เป็นของรางวัล ที่มึงเดินจนเกือบจะไปถึงเส้นชัยก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้น..พี่ต้องรอผมที่ปลาย..ทางของเส้นชัย..ด้วยนะครับ..ถ้าหากผมเรียนจบ..แล้วได้เป็นล่ามภาษามือ..พี่ต้องส่งยิ้มให้ผมจากตรงนั้นนะ”

“อืม” สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา หากแต่หนักแน่น ว่าที่นักจิตบำบัดเขาก็ส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่ต่างจากวันแรกๆ ที่เราส่งยิ้มให้กัน

ผมชอบบทสนทนาของเรา ที่พูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป
ผมชอบรอยยิ้มของเรา ที่ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน ก็ยังคงมีให้กันเสมอ
ผมชอบที่เราค่อยๆเติบโตไปด้วยกัน อย่างช้าๆ แต่กลับมั่นคง
ผมชอบที่เราสามารถเป็นกำลังใจให้กันและกันได้
ผมชอบที่เราไม่ต้องพยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่กลับพยายามจะทำความเข้าใจอีกฝ่าย เท่าที่เราจะทำได้
ผมชอบที่พี่เขามีข้อคิดดีๆให้กับผม ในยามที่ท้อแท้และอ่อนแอ
ผมชอบที่พี่เขาพยายามจะจูงมือผม เพื่อให้เราเดินไปจนถึงเส้นชัย แม้จะไม่พร้อมกัน แต่มันก็อบอุ่น
ผมชอบความรักของเรา ที่ไม่ได้หวือหวา แต่กลับอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึง
ผมชอบที่พี่เขานึกถึงครอบครัวของผม และไม่คิดจะปล่อยให้มันเกิดช่องว่างจนเกินจะควบคุม
ผมชอบที่การกระทำของพี่เขา มันแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่ไม่อาจสังเกตเห็น ถ้าหากไม่ตั้งใจมอง
ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา เพราะมันทำให้ผมมีความสุข และก้าวเดินต่อไปได้
เพราะทั้งหมดทั้งมวล มันคือความรู้สึกของคำว่า ‘รัก’  ที่ไม่ใช่แค่ ‘รัก’ ด้วยความรู้สึกอันฉาบฉวย
   
----------------------------------------------------------------------
     เกือบจะเป็นบทสรุปแล้วค่ะ 555 แต่เรามีตอนจบในใจของเราอยู่ เพราะมันจะเกี่ยวกับภาพวาดที่น้องรันวาดตอนช่วงปิดเทอมด้วย และเกี่ยวข้องกับคอนเซ็ปของตอนพิเศษด้วยค่ะ สำหรับตอนนี้หลายคนอาจจะไม่พอใจในบทสรุปของโอ๊ตก็ได้ แต่เราอยากเขียนให้มันเหมือนกับความเป็นจริง ที่คนๆนึงหมดแรงที่จะสู้ไปแล้ว เขาถึงได้เลือกที่จะเดินออกมา และสุดท้ายสังคมก็เป็นฝ่ายลงโทษคนๆนั้นเอง เพราะการเหยียดคนอื่น ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ควรยกย่อง ถือว่าเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เลยเนอะ อีกอย่างสาเหตุของการกระทำอันบานปลาย มันก็เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ไม่เปิดใจให้กันด้วยส่วนนึงค่ะ แต่ก็อย่างที่พี่เนย์บอกว่าพี่เขาไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ต่างคนต่างมุมมอง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และหลายๆครั้ง ความไม่รู้ก็มักจะนำพามาซึ่งความเข้าใจผิด และลุกลามเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถึงว่าได้เรียนรู้กันทั้งสองฝ่าย
     ปล.เราเห็นมีคนสอบถามถึงเรื่องการรวมเล่มเข้ามา คือตอนนี้เรากำลังรอการพิจารณาจาก สนพ อยู่ค่ะ ถ้าหากทราบเรื่องที่แน่นอนแล้ว เราจะมาแจ้งข่าวอีกทีนะคะ ตอนนี้ก็อ่านกันไปเรื่อยๆก่อนเนอะ เราเองก็ยังไม่รีบร้อนค่ะ ระหว่างนี้ก็อยากจะเขียนให้มันดีที่สุดก่อน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
สะใจ โดนด่าเลยเป็นไง หัดหาความรู้ใส่หัวบ้างนะโอ๊ตนะ พี่เนย์ยังดีต่อใจน้องเหมือนเดิมมม

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 21

ช่วงก่อนสอบปลายภาค เป็นช่วงที่งานชุกชุมมากจริงๆ ไหนจะสอบภาษามือนอกตารางที่ผมต้องเผชิญจนคุ้นเคยอีก กว่าจะผ่านไปได้ก็แทบจะหมดแรง ผมโชคดีอย่างนึงคือได้ไอ้มอสมันคอยช่วยเรื่องการเข้ากลุ่มทำกิจกรรมมากๆ เพราะมันเป็นคนประเภทกระตือรือร้น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ดังนั้นต่อให้ผมยังปิดกั้นตัวเอง ผมก็เชื่อว่าตัวเองจะไม่เดือดร้อนในเรื่องนี้ ส่วนไอ้เชษฐ์ ตอนนี้เราก็กลับมาห่างเหินกันเหมือนเดิม ด้วยความที่เรียนกันคนละที่ แต่เวลามันมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องแมว มันก็จะไลน์มาถามผมบ้าง
ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แย่

ส่วนพี่เนย์ตอนนี้ก็ฝึกงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังบรรจุเป็นนักจิตบำบัดประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จากนั้นช่วงต้นเทอมพี่เขาคงต้องทำเรื่องจบเพื่อเอาทรานสคริปต์ไปยื่นให้กับทางฝ่ายบุคคลของทางโรงพยาบาล และกว่าจะได้รับปริญญาก็คงจะประมาณเทอมสองของปีหน้าโน่น   
ขณะที่ผมก็ยังคงต้องพยายามก้าวตามอีกฝ่ายให้ทัน เพื่อที่พี่เขาจะได้ไม่ต้องยืนรออย่างโดดเดี่ยว ผมจึงตั้งใจเรียนมากขึ้น สอบปลายภาครอบนี้ก็เลยไม่เครียดเท่ากับครั้งก่อนๆ

ปิดเทอมครั้งใหญ่นี้ ผมจึงอดจะไปนั่งละเลียดดื่มบลูเลม่อนที่ร้านเจ้าประจำในเขตเมืองท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะหลังจากออกค่าอาหารช่วงที่ไปชะอำ ผมก็แทบจะกินแกลบ แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะยังได้ค่าขนมตามปกติก็เถอะ แต่ว่าการอ่านหนังสือจนติดพัน มันก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้แวะเข้าร้านกาแฟ เนื่องจากเทอมนี้ เพื่อนๆนัดติวกันที่โรงอาหารกลาง ผมก็เลยซื้อแต่น้ำเปล่าหรือไม่ก็น้ำเก็กฮวยแก้วละไม่กี่บาทดื่ม
สำหรับการเดินทางมายังร้านโปรด ผมก็อาศัยวิธีเกาะท้ายรถของคุณพ่อเหมือนอย่างเคย โชคดีที่พ่อยังคงเข้างานกะบ่าย ไม่อย่างนั้นผมคงจะเดินทางไปไหนมาไหนลำบาก ส่วนขากลับ ผมไม่เคยซีเรียสอยู่แล้ว เพราะว่าคุณแม่เลิกงานเวลาเดียวกับพนักงานออฟฟิศ ผมจึงรอทานข้าวพร้อมแม่แล้วก็กลับบ้านพร้อมกันในเวลาไม่เกินสามทุ่ม

“นั่นรถพี่เนย์หรือเปล่าน่ะรัน?” แม่ถามขึ้น เมื่อเราขับรถเข้ามายังเขตหมู่บ้าน กระทั่งภาพตรงหน้าปรากฏรถญี่ปุ่นสีดำคันหนึ่ง
“ใช่ครับ..แต่พี่เขาไม่เห็นบอกผมเลยว่า..จะมาหา” ผมตอบแม่ พลางคุ้ยหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย ปรากฏว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ผมคงลืมหยิบมาด้วย และป่านนี้ก็คงจะนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนอนนั่นแหละ
งานนี้พี่เนย์ บ่นผมหูฉีกแน่

ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเคาะกระจกรถที่อีกฝ่ายเปิดแง้มไว้นิดๆ ขณะกำลังหลับใหลจนได้ที่ ไม่นานว่าที่นักจิตบำบัดเขาก็ขยับตัวเบาๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น จากนั้นเจ้าของรถคันดังกล่าวก็ลดกระจกลงอีกนิด
เป๊าะ!

“ทำไมปิดเทอมทีไร มึงไม่พกโทรศัพท์ตลอดเลยวะ” ทันทีที่ผมก้มหน้าลงไปหาอีกฝ่าย เพื่อจะชักชวนเข้าบ้าน มือใหญ่ก็ถือโอกาสดีดหน้าผากผมจนดังลั่น พร้อมกับบ่นออกมาอีกคำรบนึง
“…” ผมไม่ได้แก้ตัวอะไร นอกจากส่งยิ้มใส่คนหน้าบึ้ง ที่คงจะมารอผมนานแล้ว

“ทั้งสองคน รีบเข้าบ้านกันก่อนดีไหมครับ?” หลังจากที่แม่จัดการเปิดไฟหน้าบ้านจนสว่างโล่แล้ว แม่ก็เดินเข้ามาหาเราสองคน พลางยกยิ้มบางๆ และถามไถ่อย่างชักชวน
“ครับ” ผมหันไปตอบพลางยกยิ้มให้กับแม่ที่เอื้อมมือมาลูบหัวผมตรงข้างรถของพี่เนย์เบาๆ

“แม่ลืมเอาโทรศัพท์มาจากที่ทำงานหรือเปล่าครับ ผมโทรไปไม่มีคนรับเลย” เมื่อล็อครถเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน ก็ถามคุณแม่ของผมด้วยความสงสัย เพราะวันนี้เจ้าตัวไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
“ใช่จ๊ะ แม่ลืมไว้ที่ลิ้นชักในห้องทำงาน พอดีรีบๆน่ะ กลัวรันเขาจะรอนานด้วย ออดิทเข้าทีก็แย่หน่อย แม่ล่ะปวดหัว” พี่เนย์เดินเคียงข้างไปกับคุณแม่ของผม จนกระทั่งเข้าไปยังในตัวบ้าน

“เอ้อ แล้วงานของเนย์เป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย เห็นรันบอกว่าตอนนี้ได้บรรจุแล้ว”
“ก็โอเคครับแม่ โชคดีที่ได้งานที่โรงพยาบาลที่ผมไปฝึกด้วย ก็เลยไม่ต้องปรับตัวมากนัก” พี่เนย์กับแม่นั่งตรงโซฟารับแขก พลางคุยกันด้วยเรื่องที่มันยังห่างไกลจากตัวผมนัก เพราะสาขาที่ผมเรียน จะต้องเรียนถึงห้าปีแน่ะ
ผมเลยถือโอกาสไปเอาน้ำเย็นๆมาบริการแม่กับพี่เนย์จะดีกว่า

หลังจากจัดการในครัวจนเรียบร้อย ผมก็มายืนลังเลอยู่ตรงหน้าปากประตูเชื่อมกับห้องรับแขกกลางบ้านว่าจะเข้าไปขัดจังหวะผู้ใหญ่เขาคุยกันดีไหม แต่สงสัยจะคิดนานไปหน่อย ก็เลยยิ่งหาช่องว่างเข้าแทรกได้ยาก เพราะดูท่าทางทั้งแม่ ทั้งพี่เนย์จะคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ
“ส่วนใหญ่ตำแหน่งนักจิตบำบัด ทางโรงพยาบาลจะไม่ค่อยเปิดรับกันเท่าไหร่นะครับ จริงๆ ถ้าหากมีตำแหน่งนี้ในทุกโรงพยาบาลของไทยได้ ผมว่ามันก็ดี ถือเป็นทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยด้วย”
“นั่นสิ แม่เองก็เห็นด้วย เพราะในชลบุรีเท่าที่ทราบ เหมือนจะมีแค่สองที่เองมั้ง”

“เนย์ แม่ต้องขอบคุณมากๆเลยนะ ที่ทำให้รันสามารถเปิดใจให้กับคนอื่นได้ ตั้งแต่น้องได้รู้จักกับเนย์ น้องดูสดใสขึ้นมาก แม่ดีใจมากเลยเนย์รู้ไหม แถมช่องว่างของครอบครัวเราก็ลดน้อยลงแล้วด้วย แม่กับพ่อไม่รู้จะขอบคุณเนย์ยังไง น้องโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเนย์” ผมซ่อนตัวเองไว้กับกำแพงบ้าน พลางกระพริบตาปริบๆ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลกับสิ่งที่แม่พูด
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับแม่ ผมก็แค่เอาเรื่องที่เรียนมาใช้กับรันเฉยๆเองครับ จริงๆแล้วที่ผมเป็นผมอย่างทุกวันนี้ได้ ส่วนนึงก็เพราะรันด้วย น้องทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร มันก็เหมือนกับอนาคตของผมมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ก็เพราะเขานะครับ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมก็อาจจะยังล่องลอยอยู่ก็ได้ เพราะที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร ง่ายๆคือไม่มีเป้าหมายในชีวิตน่ะครับ เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ในเมื่อทั้งผมทั้งรัน เราต่างก็วินๆกันทั้งคู่ อีกอย่างกว่าเราจะได้เจอกัน น้องเองก็เข้มแข็งเพราะพ่อกับแม่นะครับ ส่วนผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีเป้าหมาย มีทัศนคติที่ดีขึ้นแค่นั้นเอง และที่สำคัญทุกคนรอบๆตัวเขาต่างหากครับ ที่ทำให้อะไรๆมันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น” พี่เนย์พูดอย่างถ่อมตัว แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นจริงที่ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย จึงยิ่งทำให้ผมประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะทั้งๆที่พี่เนย์มีโอกาสจะพูดเอาความดีเข้าตัวเพียงคนเดียว แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำ 
และผมก็เชื่อว่าแม่จะต้องประทับใจในจุดนี้เหมือนกัน

“แม่ไปนอนดีกว่า เนย์ก็พักที่นี่สักคืนนะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดอยู่แล้วด้วย”
“ครับแม่”

แม่เดินขึ้นชั้นสองไปแล้ว ตอนนี้ในห้องรับแขกก็เลยเหลือแค่พี่เนย์ที่กำลังนั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่ผมกลับยังไม่กล้าจะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องนั้น เหมือนกับว่าคำพูดของอีกฝ่าย มันทำให้ผมหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก

“แอบฟังจนจบแล้ว ก็เข้ามาดิ” ผมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ พี่เนย์ก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ
“ทำไมพี่ถึงมาหาผมวันนี้ล่ะครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่ง พลางเอ่ยปากถามด้วยเรื่องไม่เข้าท่า

“คิดถึง” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พร้อมกับเอื้อมมือมาหยิบน้ำไปดื่ม ส่วนผมก็ได้แต่นั่งเม้มปากแน่น ขณะที่ใจก็เต้นแรงเหมือนอย่างเคย เพราะนานๆที พี่เขาจะยอมพูดคำหวานๆประเภทนี้ออกมา ซ้ำร้าย นี่ยังเป็นวันแรกที่เราเจอกัน หลังจากที่ผมสอบเสร็จซะด้วย คำว่า ‘คิดถึง’ จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริง เมื่อคืนวันศุกร์แบบนี้ เป็นคืนแรกที่ตรงกับวันหยุดของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเป็นคืนแรกหลังจากที่ผมสอบเสร็จซะด้วย
“อืม”

“จริงๆ วันนี้เป็นวันเกิดกู” ผมเหลือบมองไปยังนาฬิกาที่ชี้เลขเก้า บ่งบอกเวลาสามทุ่มกว่าๆ
“ไม่เห็นพี่จะเคยบอกผมเลยครับ”

“มึงก็ไม่เห็นจะถามกูนี่”
“เพราะผมมองว่ามันเป็นวันธรรมดาวันนึง..แล้วจากการที่เราคบกันมาจะสองปีแล้ว..ผมก็คิดว่าพี่น่าจะคิดเห็นไม่ต่างจากผม..ก็เลยไม่เคยได้ถาม..อีกอย่าง..พอเข็มยาวกับเข็มสั้นชี้ที่เลขสิบสอง..วันนั้นก็จะเป็นวันเกิดของผมเหมือนกัน” ผมตอบพลางหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย

“งั้นเหรอ แล้วเราควรจะฉลองดีมั้ย?”
“…” ผมส่ายหน้า เพราะผมไม่เคยมีงานฉลองวันเกิดอะไรหรอก

“จริงๆวันนี้กูรู้สึกดาวน์ว่ะ” พี่เขาพูดพลางเอนศีรษะพิงไหล่ของผมช้าๆ
“กูพยายามเตือนตัวเองตลอดนะ ว่าคนไข้ก็มีทั้งดื้อและไม่ดื้อ จนกระทั่งกูค้นพบสัจธรรมอย่างนึงว่า เราไม่สามารถช่วยทุกคนๆให้หลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเองได้ ถ้าหากเขาไม่ให้ความร่วมมือ”

“แล้วสุดท้ายคนไข้คนนั้นของกู เขาก็ฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า กูเลยรู้สึกแย่ที่กูช่วยเขาไม่ได้ ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา กูดาวน์จนกูอยู่คนเดียวต่อไปไม่ไหว กว่าจะเสร็จงานศพ กูต้องคอยแต่ภาวนาให้มึงสอบเสร็จเร็วๆ กูจะได้รีบมาหามึง” ผมฟังอีกฝ่ายพูดด้วยความสะเทือนใจ จนต้องเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายที่เอนซบลงบนลาดไหล่ของผมเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับ พี่เนย์เหมือนแก้วบางๆที่พร้อมกับจะแตกหักได้ง่ายๆ เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว และอ่อนโยน บางครั้งการทำงานตรงนี้ มันก็กระทบต่อจิตใจของอีกฝ่ายด้วย เนื่องจากนักจิตบำบัดเองก็เป็นมนุษย์คนนึง ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง
“…” ผมปลอบใครไม่เก่ง จึงทำได้แค่ลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆอยู่อย่างนั้น พร้อมกับนึกถึงอาการผิดสังเกตของเจ้าตัวที่ไม่เคยแสดงออกให้ผมรับรู้ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็เลยนึกเป็นห่วง กลัวว่าพี่เขาจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไปด้วยอีกคน เพราะเอาเข้าจริง ตอนเด็กๆผมเองก็น่าจะพ่วงด้วยโรคนี้เข้าไปด้วย
เพียงแต่ลึกๆ ผมยังมีพ่อกับแม่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้

“เราอาบน้ำพร้อมกันดีไหมครับ?” หลังจากนิ่งเงียบกันมานาน จนเกือบๆชั่วโมงนึง ผมก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับทำใจหากอะไรๆมันจะต้องเกินเลย แต่ผมก็คิดออกแค่วิธีนี้เท่านั้น
“อืม”

“เขาบอกว่าสระผมแล้วจะช่วย..ให้สมองโล่งขึ้นนะครับ” ผมพูดพลางยกยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่ผมกำลังลงมือสระผมให้กับคนกรุงเทพที่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจจนต้องเดินทางมาหากันถึงที่นี่
“ก็จริง กูชอบสระผมตอนเช้า ตาสว่างดีด้วย” พี่เนย์ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน พูดพลางเอามือเขี่ยต้นเฟิร์นสุดรักสุดหวงของแม่ที่ห้อยอยู่ตรงกำแพงข้างๆฝักบัวสำหรับอาบน้ำ

“บ้านมึงแปลกดีเนอะ ปลูกต้นไม้เลี้ยงปลาในห้องน้ำ” พี่เขาพูด พลางขยับตัวไปชะเง้อดูโหลแก้วกึ่งกลมกึ่งแบน ที่แขวนประดับไว้ตรงข้างกำแพงอย่างแน่นหนา โดยบางอันภายในประดับเพียงแค่เปลือกหอยสีสันสวยงามกับเม็ดทรายสีขาวสะอาด บางอันประดับด้วยต้นพลูด่างอย่างเรียบง่าย และบางอันก็เลี้ยงปลากัดเอาไว้ในนั้น
“ถ้าเอาไว้ข้างนอก..แชมเปญมันทำแตกหมดเลยครับ..เพราะขนาดหลังโทรทัศน์มันยังปีนขึ้นไปนอนได้..แม่เลยต้องเอามาไว้ในห้องน้ำ..แต่ผมชอบนะครับ..เข้ามาแล้วสดชื่นดี..แถมห้องน้ำยังสวยพอๆกับ..โรงแรมเลยด้วย”

“แม่มึงน่ารักดีเนอะ ใจดีมากๆด้วย”
“พ่อกับแม่พี่เนย์ก็ใจดีครับ” ผมตอบพลางเอื้อมหยิบฝักบัวลงมาล้างฟองแชมพูออกจากศีรษะของอีกฝ่าย

“พ่อมึงก็ใจดีเหมือนกัน แต่ติดจะนิ่งกว่าพ่อกูเยอะ”
“…” ผมเอื้อมมือเอาฝักบัวเก็บเข้าที่ จากนั้นก็หันมาเจอกำแพงมนุษย์ในระยะประชิด

“ถ้าเราเกินเลยกันที่นี่ แม่มึงจะเอามีดฟันหัวกูหรือเปล่า?”
“…” ผมเม้มปากแน่น พลางลูบสายตาลงต่ำ เพราะทนสู้สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของอีกฝ่ายไม่ไหว แต่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่า ผมควรจะต้องตอบรับอีกฝ่ายอย่างไร
ในเมื่อสัมผัสของค่ำคืนนั้น ยังคงตราตรึงใจไม่ห่างหาย

“ผมจะไม่เสียงดัง”
“…”

“มึงมันคนร้ายกาจ” พี่เนย์เขาว่าพลางงับปลายจมูกของผมเบาๆ พร้อมกับคว้าตัวผมเข้าไปแนบชิด ส่งผลให้ปลายเท้าของผมเกยอยู่บนหลังเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นโฟกัสทางสายตาก็พร่าเบลอกว่าที่เคย เมื่อริมฝีปากของเรากำลังเคล้าคลอกันอย่างคิดถึง
จากนั้นอะไรๆมันก็เริ่มเกินเลย ไปตามความเคยชิน
กว่าจะรู้ตัวอีกที เราต่างก็หลงใหลอยู่ในวังวนของความหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า


------------------------------------------------------
ไม่มีตอนคัทนะคะ ไปจิ้นต่อกันเอง เพราะเรามีฉากอีกฉากนึงในใจในเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ
ต่อไปน้องรันจะขึ้นปีสามแล้ว ส่วนพี่เนย์จะเป็นพี่บัณฑิตเต็มตัวแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นนักจิตบำบัดเต็มตัวไปก่อน เพราะหลายๆคนก็มักจะได้งานก่อนจะรับปริญญาเนอะ ซึ่งงานของพี่เนย์เนี่ย จะประจำอยู่ในโรงพยาบาล คนส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าคุณหมอค่ะ มีห้องให้เข้าพบเหมือนคุณหมอเด๊ะๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ค่อยๆเติบโตกันไปนะ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ดูแลกันดีมากกก

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด