Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130617 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
«ตอบ #60 เมื่อ01-11-2017 13:10:53 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 14


การสอบในครั้งนี้ ถึงผมจะไม่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพี่รหัสเหมือนพวกไอ้คิน ไอ้หมอก หรือเพื่อนคนอื่นๆ แต่ผมก็ยังได้ชีทสรุปสมัยปีหนึ่งของพี่บอสกับพี่ทีมที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เนย์ ผมก็เลยได้ข้อมูลในส่วนนั้นมาอ่านเสริม และแบ่งเพื่อนอีกสองคนไปถ่ายเอกสาร เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำคะแนนในวิชาที่ยังเหลืออยู่
แต่ไปๆมาๆ โพยเหล่านั้นก็ถูกส่งต่อไปถึงเพื่อนคนอื่นๆในสาขาด้วย

‘ก็พอทำได้บ้างครับแม่’ ผมไลน์บอกแม่ที่มักจะถามไถ่อยู่เสมอว่าผมกินอยู่สบายดีมั้ย การเรียนหนักไปหรือเปล่า เข้ากับเพื่อนได้มั้ย พอถึงช่วงสอบแม่ก็มักจะเตือนให้ผมอ่านหนังสือ และทบทวนให้เยอะๆ เพราะการเรียนในระดับมหาลัยมันไม่เหมือนกับการเรียนในระดับมัธยม ซึ่งผมก็ได้บอกให้ท่านได้สบายใจไปแล้ว ว่าตอนนี้ผมแทบจะกินนอนอยู่กับหนังสือจนแทบจะรวมร่างให้ได้อยู่แล้ว
‘วันศุกร์นี้แม่กำลังจะเข้ากรุงเทพพอดี ถ้าเสร็จงานแล้วแม่จะเลยไปหาที่มหาลัยนะ’

‘นัดเจอกันที่ไหนดีครับ หน้าหอผม หรือว่าคาเฟ่ในมหาลัย แต่จริงๆก็มีร้านนึงที่บรรยากาศดีมากเลยครับ สามารถนั่งห้อยขาริมน้ำได้ด้วย แต่อยู่ไกลจากมหาลัยพอควรเลยครับ’ ผมกระตือร้นที่จะเสนอสถานที่เพื่อนัดเจอกับแม่อย่างตื่นเต้น เพราะผมไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว
‘รันเลือกเลย เอาร้านที่รันอยากไปนั่นแหละ แล้วเจอกันนะ ถ้าพ่อว่างแม่จะให้พ่อตามมาตอนช่วงบ่ายแล้วกันเนอะ’

‘ครับ’

แม่ของผมท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลของทางโรงแรมในจังหวัดชลบุรีที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต่างชาตินิยมมาเที่ยวอย่าง ‘เมืองพัทยา’ ส่วนพ่อท่านมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบริการส่วนหน้าของโรงแรมเดียวกัน และด้วยลักษณะงานของพ่อที่ไม่ค่อยจะเป็นเวลา เพราะต้องเข้ากะสลับกันไปทุกๆเดือน เช่นเดือนนี้เข้างานเช้า เดือนหน้าเข้างานบ่าย อะไรทำนองนี้ ผมจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยอะไรกับพ่อมากนัก มีแต่ส่งสติ๊กเกอร์ดีเลย์กันไปมาอยู่บ่อยๆ ส่วนคุณแม่ท่านทำงานเหมือนระบบออฟฟิศ ก็เลยมีเวลามาพูดคุยกับผมแบบไม่ขาดตอน

“พวกมึงได้สรุปวิชาอาจารย์ฤดีของพี่รหัสไอ้ต้อมมันหรือยัง กูได้ข่าวมาว่าแกท็อปเซค” ไอ้โชคมาเคาะห้องพวกผม พลางชูเอกสารในมือให้พวกเราดู
“ยังว่ะ กูยืมไปถ่ายหน่อยดิ” ไอ้คินตอบ

“ไอ้ต้อมมันเอาทิ้งไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารตรงโรงอาหารกลางแล้ว มึงไปสั่งได้เลย กูจะรีบไปอ่านต่อแล้วว่ะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เออๆ ขอบใจมึงว่ะโชค” ไอ้คินพยักหน้าพลางยกยิ้มให้เพื่อนร่วมสาขา ผมกับไอ้หมอกเลยผงกหัวทักทายมันกลับไปในเชิงขอบคุณบ้าง

“ไปโรงอาหารกันพวกมึง กูว่าจะไปลองส่องดูวิชาอื่นด้วย” ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และกุญแจห้อง เพราะไอ้เพื่อนสองคนนี้มันไม่ค่อยยอมพก
กะจะเอาสบายอย่างเดียวเลย

ช่วงสอบชีทอะไรต่อมิอะไร มักจะถูกเอามาวางไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารเยอะแยะเต็มไปหมด แรกๆ พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีขุมสมบัติแบบนี้ด้วย แต่เพราะพี่เฟรมกับพี่อาร์ต พี่รหัสของไอ้สองเพื่อนซี้แนะนำให้พวกเราไปดูที่ร้านถ่ายเอกสารเมื่อวันก่อน ซึ่งมันก็เกือบจะไม่ทันการณ์ เพราะพวกเราได้สอบไปบางวิชาแล้ว ดังนั้นวิชาที่ยังไม่ได้สอบ เราจึงต้องพึ่งสรุปอื่นๆด้วย เพราะส่วนใหญ่สรุปพวกนั้นจะเป็นของพวกเด็กท็อปปีก่อนๆเขาทำไว้

“สรุป Man and Culture มีอยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารคณะเรานะ เมื่อกี้พวกกูก็เพิ่งจะไปถ่ายมา” พอมาถึงร้านถ่ายเอกสาร ก็เจอกับพวกไอ้เก่ง มันเลยบอกให้เราไปที่ร้านถ่ายเอกสารอีกที่นึง เพื่อไปเอาสรุปวิชาด้านสังคมศาสตร์ที่เป็นวิชาเรียนรวมมาอ่าน
“งั้นเอางี้ พวกมึงสองคนไปเอาสรุปที่คณะเรา ส่วนกูจะรอที่ร้านนี้แล้วก็ส่งข่าวพวกไอ้โชคมันด้วย เผื่อมันไม่รู้ เสร็จแล้วก็เจอกันที่ห้องเลย” ไอ้คินสรุปอย่างรวดเร็ว เพราะเราจะเสียเวลาไม่ได้

“เออๆ แต่คงช้าหน่อยว่ะ กูไม่ได้เอาบัตรนักศึกษามาด้วย คงต้องเดินเอา” ไอ้หมอกหันไปรับปากไอ้คิน ก่อนจะหันมาพูดให้ผมเตรียมใจเดินไปที่ตึกคณะ ซึ่งผมไม่ได้หนักใจอะไร แต่เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาเร่งด่วน ผมเลยต้องก้มหน้าก้มตาเดิน พร้อมกับค้นกระเป๋าสตางค์เพื่อหาบัตรนักศึกษาของตัวเอง เพราะผมมักจะเก็บไว้ในช่องใส่บัตรของกระเป๋าสตางค์เสมอ

“อะไร? อ้าวมึงเอามาด้วยเหรอ ก็ดีจะได้ไม่เสียเวลา” ไอ้หมอกมันว่า พร้อมกับเอาบัตรของผมไปทำเรื่องยืมจักรยาน ก่อนจะปั่นไปยังตึกคณะที่ตอนนี้ผู้คนคงจะกำลังพลุกพล่านเพราะหมดเวลาในการสอบเข้าพอดี
“Man and Culture สามชุดครับ” ไอ้หมอกเป็นคนสั่ง จากนั้นมันก็ชวนผมไปนั่งรอที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะใต้ร่มไม้ใหญ่

‘กูไปซื้อน้ำนะ มึงจะเอาอะไรมั้ย?’
“แดงมะนาวโซดาก็ได้มึง”

พอไปถึงร้านผมก็สั่งแดงมะนาวโซดาให้ไอ้หมอกก่อน ส่วนช็อคโก้บานาน่าปั่นผมสั่งให้ตัวเอง เพราะที่ร้านไม่มีบลูเลม่อน และระหว่างรอเมนูที่สั่ง ผมก็นั่งรออยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าร้านนั่นแหละ เพราะร้านนี้ไม่ได้เป็นร้านที่หรูหราอะไรนัก แถมราคาก็ไม่แพงด้วย ที่นั่งก็มีแค่ไม่กี่โต๊ะ นักศึกษาจึงไม่ได้นิยมมานั่งแช่เพื่อติวหนังสือกันเหมือนร้านอื่นๆ

“ไง” พี่เนย์ทักด้วยการวางมือไว้บนลาดไหล่ของผมไม่เบานัก จากนั้นถึงค่อยส่งเสียงเพื่อบอกให้ผมรู้ว่าใครเป็นคนแกล้งกันแบบนี้
‘สอบเสร็จแล้วเหรอครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ และยื่นส่งไปให้อีกฝ่ายอ่าน จากนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นพี่คนอื่นๆ กำลังยืนออกันอยู่ตรงหน้าร้านถ่ายเอกสารที่อยู่ข้างๆร้านกาแฟ ผมจึงยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างสาขาทั้งสามคนนั้นโดยอัตโนมัติ

“เสร็จแล้ว กูใช้เวลาอย่างคุ้มค่าจนหยดสุดท้ายเลยเว้ย”
‘แสดงว่าพี่ก็ทำข้อสอบได้น่ะสิ’
“แน่นอนกูกะเอา A พี่ครับเอาน้ำแตงโมปั่นแก้วนึง” พี่เนย์หันมาตอบพลางยักคิ้วให้ผม ก่อนจะหันไปสั่งเมนูของตัวเองกับเจ้าของร้านบ้าง
‘ราคาคุยหรือเปล่าครับนั่น’ ผมแกล้งหยอกเจ้าของเมนูน้ำแตงโมปั่นด้วยความหมั่นไส้

“คนอย่างอาคเนย์ไม่เคยมีคำว่าราคาคุยหรอกครับคุณเนรัน” พี่เนย์ดีดหน้าผากผมดังป๊อก จนผมต้องลูบหน้าผากตัวเองด้วยความเจ็บ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ออมแรงเลย
“ผลสอบปลายภาคออกเมื่อไหร่ มึงเลี้ยงเลยนะ”   

‘เพิ่งจะสอบมิดเทอมเองครับ พี่ให้เวลาผมเตรียมตัวล้างท้องนานเกินไปนะ’
“มึงจะล้างท้องทำไม กูนี่สิที่ต้องล้างท้องรอ”

‘ก็ถ้าพี่ไม่ได้ A ตามที่พูด พี่ก็ต้องเลี้ยงผมสิ’
“สำหรับมึง ถึงกูจะได้ A กูก็ยอมเลี้ยงมึงอยู่ดีมั้ย”

‘ไม่เอางั้นดิ ระหว่างทำข้อตกลง พี่ห้ามเลี้ยงผมทุกกรณี แถมจ่ายคนละครึ่งก็ไม่ได้’ ผมถือโอกาสยื่นคำขาด เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่า เครื่องดื่มมื้อนี้เดี๋ยวเผลอๆ พี่เขาต้องเนียนเลี้ยงผมกับไอ้หมอกแน่
“หัวหมอ อะไรจะไม่อยากให้เลี้ยงขนาดนั้น ไม่เคยเจอเลยคนที่ไม่ชอบให้เทคแคร์เนี่ย” พี่เนย์บ่นอุบ

‘พี่เทคแคร์ผมก็ชอบครับ แต่ที่ไม่อยากให้เลี้ยงเพราะเราเองก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นค่ากินถ้าหากเราไปกินด้วยกัน ผมอยากให้เราหารกัน’
“เหตุผลมึงดี มีน้ำหนัก เอาเป็นว่ากูจะเลี้ยงมึงตามแต่โอกาสที่เหมาะสม ส่วนมื้ออื่นก็หารกัน”

‘แต่ต้องเป็นโอกาสพิเศษจริงๆนะครับ’
“รู้แล้วน่า” พี่เขาย่นจมูกพลางยีหัวผม จากนั้นไม่นานเมนูที่ผมสั่งก็ได้ครบ ผมเลยร่ำลากับพี่เนย์ตั้งแต่หน้าร้านกาแฟ เพราะพี่เนย์เองก็มีติวหนังสือกับเพื่อนต่อ แต่ที่สามารถเนียนมาสั่งน้ำเพื่อเถลไถลมาคุยกับผมได้ ก็เพราะว่าพี่เนย์กำลังรอให้เพื่อนเอาสรุปของตัวเองไปถ่ายเอกสาร

ผมกับไอ้หมอกนั่งรอชีทสรุปที่โต๊ะม้าหินอ่อนอีกประมาณสิบนาที ก็พากันลุกเข้าไปถามหาชีทของตัวเอง เพราะเมื่อครู่กลุ่มที่มาพร้อมกับผม ได้รับชีทไปเรียบร้อยแล้ว

“ถึงคิวยัง?” พี่เนย์ทัก เมื่อผมมายืนรอชีทสรุปอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มของพี่เขาที่ก็ยังคงยืนรอชีทสรุปของตัวเองเหมือนกัน
“ได้พอดีเลยพี่” ไอ้หมอกมันหันมาตอบแทน พลางยกกระดาษปึกหนึ่งให้รุ่นพี่ต่างสาขาดู

“อ้อ กูขอให้โชคดีกับการสอบเว้ยมึง”

“ขอบคุณครับ ผมก็หวังว่ามันสมองอันปราดเปรื่องของพี่ทีมเพื่อนพี่ จะออสโมซิสเข้าหัวผมบ้างนะ” ไอ้หมอกมันพูดแกมทะเล้น จนผมถึงกับกุมขมับ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ กูคงต้มหนังสือกินไปนานแล้ว.. ไอ้หมอก เพื่อนมึงเครียดใหญ่แล้วนั่น” พี่เนย์ว่าพลางยิ้มขำกับคำพูดของไอ้หมอก ก่อนจะหันมาเห็นผม ที่ทำหน้าหนักใจกับอากัปกิริยาของเพื่อนตัวเอง ที่ดูไม่ค่อยจะสมประกอบสักเท่าไหร่
คาดว่าคงจะอ่านหนังสือมากเกินไป จนอาการเริ่มน่าเป็นห่วง

“ไอ้เชี่ยรันมันไม่ได้เครียดหรอกพี่ แต่แม่งกำลังกระแนะกระแหนผมอยู่ ไม่รู้ว่าแอบด่าในใจไปกี่ตลบแล้ว ยังไงผมก็ฝากพี่ช่วยอบรมมันหน่อยนะ”

ป๊าป!

ผมฟาดแขนเพื่อนคู่ปรับของตัวเองเต็มแรง ไม่มีการออมมือใดๆทั้งสิ้น โทษฐานของมันมีเพียงอย่างเดียวคือการลงไม้ลงมือ เพราะมันชอบกวนประสาทผม จะมีก็แค่ช่วงสอบ กับช่วงที่มันให้คำแนะนำเรื่องพี่เนย์เท่านั้น ที่มันไม่กวนประสาทจนน่าปวดหัว

“ไอ้รันมึงตีกูทำไม กูยังฝากฝังมึงไม่เสร็จเลย.. ดูสิพี่ คนของพี่มันร้ายแค่ไหน”
“ร้ายตรงไหนวะ มันออกจะน่ารัก”

“โห่ววววววว กระโถนหน่อยเร็ว กูจะอ้วก” สิ้นคำพูดของรุ่นพี่ต่างสาขาที่มีดีกรีเป็นถึงคนรักของผม เพื่อนๆของเจ้าตัวก็พากันโห่แซ็วจนคนที่อยู่รอบๆเริ่มให้ความสนใจ
แต่โชคดีที่ประโยคเด็ดเมื่อครู่ พี่เนย์พูดแบบไม่มีเสียง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอายยิ่งกว่านี้
เนี่ยเหรอ คนที่เคยบอกว่าจีบใครไม่เป็น แลไม่น่าเชื่อถือสักนิดเลย!

ตึง ตึง!
ตึง ตึง ตึง ตึง!

เมื่อเดินมาจนถึงหอพัก ไอ้หมอกมันก็รีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนการก้าวขาเพียงหนึ่งขั้นของบันไดจะยังไม่ทันใจ ไอ้หมอกมันเลยก้าวทีเดียวสองขั้น จนรองเท้าแตะหูหนีบของมันดังสะท้านลั่นพื้นจนเสียงก้องไปหมด
ไม่รู้ว่ามันจะรีบอะไรของมันนักหนา

ปัง ปัง!

พอมาถึงหน้าห้อง ด้วยความที่มันไม่ค่อยชอบพกกุญแจห้อง มันจึงทุบประตูอยู่นาน จนไอ้คินมันต้องรีบเปิดประตูออกมาด่า เพราะเสียงทุบประตูรัวๆแบบนั้น มันรบกวนเพื่อนห้องข้างๆ

“รีบเหี้ยไรของมึงเนี่ย ไอ้รันมันก็เอากุญแจไปไม่ใช่รึไง” ตอนผมเดินเข้ามาในห้อง ก็พอดีกับช่วงที่ไอ้คินกำลังยืนกอดอกเพื่ออบรมไอ้เพื่อนรักอีกคนให้อยู่ในโอวาส
“ก็ไอ้รันมันชักช้านี่หว่า” ไอ้หมอกมันกระพือเสื้อยืดสีขาวของตัวเองยกใหญ่ เพราะความเหนื่อยจากการวิ่งขึ้นบันได

“ท่าทางจะอ่านหนังสือจนเพี้ยนนะมึงเนี่ย” ไอ้คินบ่นพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้กับประตูห้อง แต่ปรากฏว่าไอ้หมอกมันรั้งเอาไว้จนสุดแรง
“อะไรมึง กูปวดขี้”

“ไอ้สัส มาปวดขี้อะไรตอนนี้”
“อ้าวเชี่ย แล้วมึงจะมาปวดอะไรพร้อมกูวะ”

 “กูไม่ได้ปวดเว้ย แต่กูคันปากยิบๆอยากจะเล่า คือเมื่อกี้กูเจอไอ้พี่เนย์ที่ร้านถ่ายเอกสาร กูเลยใส่ไฟไอ้รันมันสักหน่อย ประมาณว่าไอ้เตี้ยนี่เห็นใสๆ แบบนี้ แต่จริงๆมันร้าย! แล้วมึงรู้มั้ยว่าพี่มันตอบว่าไง ไอ้สัสเอ้ย โคตรจั๊กจี้
“พี่มันตอบว่าอะไร มึงเล่ามาเร็วๆ อย่าลีลา กูขอเนื้อๆ ไม่เอาน้ำนะ กูจะไม่ไหวแล้วโว้ย”

“ไอ้พี่เนย์มันบอกว่า ‘ร้ายตรงไหนวะ มันออกจะน่ารัก’ ไอ้เชี่ยยยย กูนี่มือหงิกเลย” ไอ้หมอกมันยกมือหงิกๆของมันขึ้นมาประกอบคำพูด ซ้ำยังใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบและเลียนแบบท่าทางของพี่เนย์ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมาอีก จนผมนึกอยากจะทำเรื่องขอย้ายไอ้หมอกให้ไปเรียนคณะนิเทศซะเลยแม่ง
เพราะท่าทางมันน่าจะเล่นละครเก่งไม่หยอก

“ไอ้สัส เรื่องแค่นี้ มึงรอกูขี้เสร็จ แล้วค่อยเล่าก็ยังได้” ไอ้คินมันด่าอย่างไม่ไว้หน้า พลางรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ผมเลยหัวเราะเยาะไอ้หมอกที่ออกอาการโอเว่อร์จนผมอดคิดไม่ได้ว่า
ตกลงแล้ว พี่เนย์ชมผมหรือชมมันกันแน่วะ



 -----------------------------------------------------

วันนี้มาลงเร็วหน่อย ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายของเรามากๆเลยค่ะ
สำหรับตอนนี้ก็หวานกันเบาๆ ไปก่อนเนอะ ส่วนพระเอกของเราก็ยังคงเป็นตัวประกอบต่อไปปปป
และตั้งแต่ตอนหน้าพี่เนย์จะเริ่มแสดงออร่าพระเอกแล้วค่ะ 555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
«ตอบ #61 เมื่อ01-11-2017 13:48:42 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
«ตอบ #62 เมื่อ01-11-2017 18:02:15 »

น้องรันน่ารัก น้องรันน่ารัก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
«ตอบ #63 เมื่อ01-11-2017 19:56:01 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
«ตอบ #64 เมื่อ01-11-2017 22:21:37 »

หมอกนี่ขี้เว่อร์จริงๆ 555555

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
«ตอบ #65 เมื่อ02-11-2017 12:57:01 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 15


เมื่อฤดูของการสอบมิดเทอมผ่านพ้นไป วันที่ผมรอคอยก็เดินทางมาถึง คุณแม่บอกว่าวันนี้ท่าทางจะเดินเรื่องวีซ่าได้ช้า เพราะคิวเยอะมาก พลางบ่นอุบว่าถ้าไม่ใช่กรณีเร่งด่วนคงจะยื่นเรื่องสบายไปแล้ว ส่วนคุณพ่อก็กำลังขับรถตามมาในช่วงบ่าย แต่เห็นแม่บอกว่าพ่อจะแวะไปรับแม่ก่อน เพราะวันนี้แม่มาพร้อมกับชาวต่างชาติที่เป็นเพื่อนร่วมงานในโรงแรมเดียวกัน แถมยังเอารถของโรงแรมมาด้วย ก็เลยไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก เพราะเพื่อนร่วมงานของแม่เขายกเลิกอบรมที่กรุงเทพพอดี ทาง GM เลยอนุมัติให้นั่งรถไปพร้อมกันเลย

“ทำไมมานั่งอยู่นี่คนเดียวล่ะ?” พี่เนย์เดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะ
‘รอพ่อกับแม่ครับ พอดีท่านจะขึ้นมาหา เลยนัดเจอกันที่นี่จะได้หาเจอง่ายๆหน่อย แล้วพี่ล่ะครับ ทำไมวันนี้เลิกช้า’ ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้คนตรงหน้าอ่านข้อความ เพราะเจ้าตัวไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อนทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากกระพริบตาระหว่างที่กำลังนั่งมองผมอยู่

“รอส่งงานกลุ่มน่ะ”
‘ผมจะพาพ่อกับแม่ไปร้านที่เราเคยไปด้วยกันเมื่อคราวก่อน ขากลับพี่ไปรับผมได้มั้ย ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาวนรถมาส่งผมที่หออีก เพราะกว่าท่านจะกลับถึงบ้านก็ดึกแล้วด้วย’

“ยังไงใกล้จะกลับมึงก็ไลน์มาบอกกูแล้วกัน หรือว่ามึงจะให้กูไปด้วยเลยก็ได้นะ แนะนำตัวกับพ่อแม่อะไรงี้” พี่เขาพูดแกมหยอก
‘พี่ไม่โกรธจริงๆใช่มั้ยเนี่ย ที่ผมยังไม่พร้อมจะบอกพวกท่านน่ะ’

“โกรธทำไมวะ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องโกรธ เอาไว้มึงพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกพวกท่านก็ได้นี่ กูไม่ซีเรียส อีกอย่างเราก็เพิ่งคบกันเอง แต่ถ้าพ่อแม่กูขึ้นมาหา มึงต้องไปเจอท่านนะ เพราะกูเล่าเรื่องของมึงไปเยอะเลย”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า

พี่เขานั่งรอเป็นเพื่อนผม จนกระทั่งพ่อโทรมาบอกว่ารออยู่ที่ลานจอดรถของคณะแล้ว ผมก็เลยแยกตัวออกมาจากโต๊ะม้าหินอ่อน ส่วนพี่เนย์ก็เดินกลับเข้าไปในตึกอีกครั้ง เพื่อไปดูว่าตอนนี้ถึงคิวส่งงานของกลุ่มตัวเองหรือยัง    
เมื่อขึ้นมาบนรถ ผมก็เสิร์จหาแผนที่ พร้อมกับส่งให้พ่อดู ขณะที่แม่ก็บ่นอุบว่าผมซูบลงไปมาก จนแม่ออกปากว่ามื้อนี้แม่จะขุนผมให้กลายเป็นหมู ผมก็เลยได้แต่ขำ เพราะผมแอบนึกไปแล้วว่าตัวเองน่าจะเลี้ยงพยาธิไว้เยอะ เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนสักที
อีกอย่างนะ แม่ไม่เคยขุนผมจนกลายเป็นหมูได้สำเร็จสักที

วันนี้เรามาถึงร้านช้ากว่าครั้งก่อนมาก จึงทำให้ที่นั่งริมน้ำถูกจับจองจนเต็มหมดแล้ว ผมเลยอดจะเฟลไม่ได้ แต่แม่ก็ปลอบใจว่าแม่น่ะนั่งตรงไหนก็ได้ แค่เจอหน้าผมก็โอเคที่สุดแล้ว
“เฮ้ยไอ้รัน มายังไงวะ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก็พบกับเพื่อนร่วมสาขา เลยส่งยิ้มทักทายพวกมัน แล้วก็ชี้ไปที่พ่อกับแม่ พวกมันก็เลยยกมือไหว้กันทั้งแก๊งค์ จากนั้นผมจึงขอตัวพาพ่อกับแม่ไปนั่งในมุมที่สงบๆสักหน่อย

ผมเปิดโอกาสให้แม่ได้ขุนผมเต็มที่ ส่วนพ่อก็นั่งเงียบๆตามสไตล์คนพูดน้อย เมนูสำหรับมื้อเย็นในวันนี้จึงมาจากการคัดสรรของคุณนายระพีล้วนๆ จากนั้นแม่ก็ออกปากชมบรรยากาศของร้านไม่หยุด ก็แน่ล่ะที่แม่ต้องออกปากชม เพราะเราบังเอิญได้ที่นั่งที่ดีที่เป็นระเบียงยื่นออกมากลางน้ำเล็กน้อย และวิวจากตรงนี้ยังมองเห็นริ้วสีม่วง แดง ของพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าตัดกับสีเขียวเข้มของต้นไม้อีกด้วย แถมที่นั่งยังเป็นโซฟาเนื้อดี ที่นุ่มสบายก้นไม่หยอก อีกทั้งบนโต๊ะยังจุดเทียนหอมให้ความสว่างสลัวๆ จนการทานอาหารมื้อนี้แลเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“เสียดายไม่ได้พาเจ้าแชมเปญมาด้วย มันคิดถึงรันจะแย่” แม่บ่นอุบ ขณะที่เปิดรูปเจ้าแชมเปญ แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ หน้าอ้วนๆ ตัวกลมๆ จนบางทีก็น่าบีบให้แตก เพราะชีวิตมันดีมาก แถมเวลาจะนอนก็ต้องนอนบนเตียงไม้ที่สั่งทำพิเศษสำหรับแมว

‘จะเป็นหมูตอนแล้ว ไม่มีใครพาไปวิ่งเลยใช่ไหมครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วยื่นส่งให้แม่ จากนั้นก็ทำหน้างอ เพราะปกติถ้าหากผมยังอยู่ที่บ้าน ผมจะพามันออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านบ่อยๆ เพราะแชมเปญมันชอบกินแล้วนอน ใครเดินผ่านไม่ได้ เป็นต้องร้องขออาหาร ทั้งๆที่บางทีตัวเองก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้น
“ใครชวนมันก็ไม่ยอมวิ่งทั้งนั้นแหละ ท่าทางจะรอแต่รัน” แม่มุ่ยหน้าเมื่อพูดถึงเจ้าแชมเปญสุดดื้อ ที่ดูเหมือนจะเชื่อฟังผมมากกว่าใครเพื่อน เพราะผมกับมันนี่เมื่อก่อนเป็นเพื่อนซี้กันเลยนะ ตัวติดกันสุดๆ ตอนที่ผมเพิ่งจะพูดไม่ได้ ผมก็ได้เจ้าแชมเปญนี่แหละที่ช่วยเยียวยาให้ค่อยๆทำใจยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้

‘กลับไปแม่อุ้มไอ้แชมเปญมาวีดิโอคอลเลย เดี๋ยวผมดุมันเอง จะดุให้หัวหดเลย’
“เอ.. จะดุหรือจะร้องไห้เพราะคิดถึงเจ้าแชมเปญกันแน่ เพราะใครแถวๆนี้ก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้แม่พูดถึง ไม่ยอมให้แม่ส่งรูปมาให้ดู เนอะพ่อเนอะ” แม่ว่าพลางหันไปพยักพเยิดกับพ่ออย่างสนุกสนาน    

“นั่นสิแม่ สงสัยไอ้เด็กที่ว่านั่น คงเป็นคนที่กำลังนั่งหน้ามึนอยู่ตรงหน้าเราแน่ๆ” ดูเอาเถอะ สองสามีภรรยาเขาหัวเราะคิกคักสนุกสนานเหลือเกินที่สามารถล้อลูกชายคนเดียวของตัวเองได้

เราสามคนพ่อแม่ลูกใช้เวลาไปกับการพูดคุยและทานอาหารเย็น หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักใหญ่ เผลอแป๊ปเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงทุ่มกว่าๆแล้ว ผมเลยไลน์ไปหาพี่เนย์ พี่เขาจะได้มาถึงก่อนที่พ่อกับแม่จะกลับ ประการหนึ่งคือผมตั้งใจให้พ่อกับแม่ได้เจอพี่เนย์โดยที่ยังไม่บอกสถานะระหว่างเราให้พวกท่านทราบ และอีกประการหนึ่งคือผมไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ เพราะมันจะทำให้พวกท่านกลับถึงบ้านดึก
“เอาบานอฟฟี่เหมือนเดิมใช่มั้ยรัน ?” พอทานของคาวจบ แม่ก็จัดของหวานต่อให้เลย ซึ่งผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะมื้อนี้ผมไม่ต้องควักเงินสักแดง ผมจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่คิดลังเล

“อ้าวไอ้เชี่ยเนย์ ไหนมึงบอกว่าไม่ว่างไงวะ แล้วทำไมมึงมาโผล่หัวอยู่นี่” ผมหันไปมองยังต้นเสียง จึงเห็นสารถีจำเป็นที่ผมส่งข้อความไปบอกได้สักครึ่งชั่วโมงแล้ว มาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่น่าจะอยู่สาขาเดียวกัน และอาจจะเป็นสายรหัสของพี่เขาด้วย เพราะผมเห็นพี่เนย์ยกมือไหว้พี่คนหนึ่ง ส่วนคนที่เหลือก็เป็นฝ่ายไหว้พี่เนย์
“ผมมารับแฟนว่ะพี่”

“ไหนวะแฟนมึง กูได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานละ”
“เขาคุยกับพ่อแม่ของเขาอยู่ว่ะพี่ ยังพามาเจอไม่ได้” พี่เนย์ขยับตัวไปนั่งยังเก้าอี้ที่พนักงานนำมาเสริมให้ ซึ่งเก้าอี้ตัวนั้นองศาของมันถูกกำแพงบังเอาไว้จนมิด ผมจึงมองเข้าไปในร้านไม่เห็น แต่กลับได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
และจากคำพูดนั้น ถ้าหากผมทำตามความตั้งใจเดิม พ่อกับแม่คงรู้ได้ทันทีเลยว่าใครคือแฟนของพี่ผู้ชายในกลุ่มนั้น ที่คุยกันเสียงดังที่สุดในบริเวณนี้

“คนนี้ไงเฮีย”
“เด็กคณะเรานี่หว่า เหมือนเคยเดินสวนกันอยู่”

“รอบนี้มาสไตล์ใหม่เหรอมึง ปกติเด็กมึงไม่ใช่แนวนี้นี่หว่า”
“แนวนี้คือแนวไหนวะไอ้พี่เจต พูดให้มันดีๆนะเว้ย”

“เด็กใหม่มึงมาแนวเรียบร้อยเลยว่ะ แต่เด็กเก่ามึงไอ้เบสที่เป็นดาราอะไรนั่นน่ะ มาแนวราชินีเลยสัส เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้กระทั่งคนรับใช้ ชีวิตออนทัวร์ชิบหาย”
“มันก็ต้องคนละสไตล์กันอยู่แล้ว เพราะคนนี้ผมจีบเอง ส่วนคนที่พี่ไม่ชอบเขามาจีบผม”

“จะบอกว่าคนนี้มึงจริงจังว่างั้น”
“จริงจังดิพี่ ไม่งั้นผมจะลงทุนจีบทำเพื่อ เออพี่ แต่แฟนผมคนนี้เขาไม่เหมือนคนอื่นนิดหน่อยว่ะ คือเขาพูดไม่ได้ ถ้าผมพาเขามาแนะนำให้รู้จัก พี่อย่าทำให้เขารู้สึกแย่นะเว้ยไม่งั้นผมเอาตายแน่”

“พวกกูก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นมั้ย”
“เออดิพี่ เห็นพวกผมเลวร้ายได้ไงวะเนี่ย ออกจะเรียบร้อยขนาดนี้”

“เรียบร้อยแบบผ้ายับพับไว้น่ะเหรอไอ้เต”
“โว้ พี่แก้วนี่ก็..”

“ผมก็ต้องพูดเผื่อไว้ก่อนดิ”

“เพื่อนเราจะมารับเมื่อไหร่น่ะ แม่ว่าจะเช็คบิลแล้ว” แม่ดูนาฬิกาพลางถามผม
‘เช็คบิลเลยก็ได้ครับ เขามาถึงนานแล้วแหละ’ ผมส่งข้อความแชทบอกแม่ พร้อมกับเข้าหน้าต่างแชทอันใหม่ที่เป็นของพี่เนย์ ก่อนจะส่งไปบอกว่าแม่จะกลับแล้ว พี่เขาเลยปลีกตัวออกมาจากกลุ่มนั้น แต่พอเดินออกมาข้างนอกระเบียงแล้วเจอโต๊ะของผมเข้า พี่เนย์ก็ชะงักทันที คงเพราะนึกขึ้นได้แล้วว่า เมื่อครู่นี้ตัวเองพูดคุยอะไรออกไปบ้าง เจ้าตัวถึงได้เกาท้ายทอยแก้เก้ออยู่แบบนั้น

“สวัสดีครับ ผมชื่ออาคเนย์ครับ” ผมลุกเดินเข้าไปเรียกพี่เนย์ ให้เดินมาที่โต๊ะ พร้อมกับเปิดโอกาสให้พี่เขาแนะนำตัวกับพ่อแม่ผม เพราะยังไงก็คงไม่มีเวลาให้ทำใจอีกแล้ว ในเมื่อทั้งพ่อและแม่ก็น่าจะได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่ทั้งหมด เนื่องจากโต๊ะของเราอยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ เพราะโต๊ะของพวกผมอยู่ในโซนระเบียงร้าน ส่วนโต๊ะของพวกพี่เขาอยู่ข้างในร้าน ซึ่งมันสามารถมองเห็นกันได้ผ่านทางช่องหน้าต่าง แต่พี่เขาคงไม่ทันได้มองออกมาข้างนอก แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงไหน
“สวัสดีจ๊ะ” แม่ยิ้มทักทายพลางหยิบเงินทอนเก็บใส่กระเป๋า โดยเลือกไม่เก็บแบงค์ยี่สิบเพื่อเอาไว้เป็นธิปให้กับพนักงาน จากนั้นพ่อกับแม่ของผมก็เดินนำหน้าไปยังลานจอดรถ

“พ่อกับแม่ฝากรันด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” พี่เนย์ยกยิ้ม พลางเอามือมากุมกันไว้ข้างหน้าด้วยท่าทางเกร็งๆ

“พ่อกับแม่ไปก่อนนะรัน เอาไว้แม่จะไลน์ไปหาบ่อยๆ” แม่ดึงผมเข้าไปกอด พลางผละออกมาหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่ราวกับจะตักตวงช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด จากนั้นผมก็เดินเข้าไปกอดพ่อที่ยืนมองเรานิ่งๆ

“แม่ฝากรันด้วยนะ แล้วก็ขับรถระวังๆด้วยล่ะ” ก่อนที่แม่จะยอมขึ้นรถตามคุณพ่อไปอีกคน แม่ก็หันมาย้ำกับพี่เนย์อีกหนึ่งรอบ
“ครับแม่” พี่เนย์ยิ้มรับคำฝากฝังของคุณแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางยกมือไหว้แม่ผมที่อยู่ข้างนอก และก้มตัวลงไปไหว้พ่อที่นั่งอยู่ในรถ จนกระทั่งมั่นใจแล้ว แม่ผมถึงได้ยอมขึ้นรถไป ส่วนผมกับพี่เนย์ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เพื่อรอจนไฟท้ายรถคันดังกล่าวค่อยๆเลือนหายไปจากกรอบสายตา

“พี่นึกว่าท่านจะซักฟอกพี่จนขาวสะอาดซะอีก เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่ได้ยินที่พี่คุยกับสายรหัสเมื่อกี้” พี่เนย์ถอนหายใจออกมา ราวกับยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว
‘ท่านอาจต้องการเวลาทำใจก่อนมั้งครับ’ ผมอมยิ้มพลางพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้ว่าตัวเองจะกำลังหนักใจอยู่ก็ตาม เพราะผมไม่รู้เลยว่าพ่อกับแม่มีความคิดเห็นอย่างไร ในเมื่อพวกท่านไม่แม้แต่จะซักถามใดๆออกมา แต่อย่างน้อยผมก็พอจะวางใจได้บ้าง เพราะคุณแม่ได้กล่าวฝากฝังผมกับพี่เขาถึงสองครั้ง แสดงว่าท่านก็อาจจะต้องการเวลาทำใจอย่างที่ผมว่าจริงๆ

“คงงั้น พ่อกับแม่พี่แรกๆท่านก็ต้องใช้เวลาทำใจยอมรับอยู่นานเหมือนกัน” พี่เขาพูด พลางเดินนำผมเหมือนจะกลับเข้าไปในร้าน
“ไหนๆก็มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ไปลาสายรหัสกับกูก่อน” พี่เขาหันมาบอก และยืนนิ่งอยู่ตรงปากทางเข้าตัวร้าน คล้ายกับรอฟังคำตอบจากผมก่อน พี่เขาถึงจะค่อยพาผมเข้าไปด้านใน

ผมพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย เพราะผมทราบความคิดของพวกเขาแล้วว่าไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับที่ผมมีอคติด้วย และผมก็ได้รับบทเรียนที่ดีเมื่อครั้งเปิดใจให้กับสามสาวจากคณะบัญชี เพราะในวันสอบ พวกเธอก็ยังเข้ามาพูดคุยทักทายกับพวกเราอย่างเป็นกันเองอยู่เลย

“ผมกลับก่อนนะ ไว้โอกาสหน้าจะมาให้เลี้ยงแน่นอน” พี่เนย์ไหว้พี่สายรหัสของตัวเอง พลางพยักหน้ารับไหว้น้องสายรหัสอีกสองคน ส่วนผมก็ได้แต่ยกมือไหว้รอบวง เพราะไม่รู้จักใครเลย
“ส่วนนี่แฟนผม ชื่อรันอยู่สาขาหูหนวกศึกษา คณะเดียวกัน น่าจะเคยเห็นๆกันอยู่.. รันนั่นพี่เจตพี่รหัสพี่ ส่วนนั่นยัยแก้วน้องรหัสพี่ แล้วก็นั่นไอ้เตหลานรหัสพี่” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างสาขาอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเตที่อยู่ปีเดียวกัน

“…” ผมยิ้มให้ทุกคน เมื่อพวกเขาก็เอาแต่ส่งยิ้มมาให้ผม คาดว่าคงจะวางตัวกันไม่ถูก
“ถ้างั้นผมลาเลยแล้วกันครับ” พี่เนย์ไหว้ร่ำลาพี่เจตอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มให้กับน้องๆร่วมสายรหัส ผมจึงทำตามอีกฝ่ายและเดินออกมาพร้อมกัน

 “เป็นไง น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยกังวลมั้ย?” พี่เขาเดินกอดคอผม พลางสอบถามราวกับจะติดตามผลลัพธ์ของคำแนะนำที่เคยให้ไว้
“…” ผมส่ายหัว

“ใช่ไหมล่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย แค่เริ่มต้นด้วยการเปิดใจเท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมเปิดใจให้เราด้วย”
“…”

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อีกสักพักเราจะรู้ได้เอง ว่าคนประเภทไหนที่น่าคบหา และคนประเภทไหนที่ไม่น่าคบหา เพราะคนดีๆที่เขาไม่มีข้อบกพร่องก็ยังมีอีกเยอะ และบางทีคนไม่ดีก็อาจจะรวมอยู่ในกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องก็ได้ ของอย่างนี้มันไม่มีอะไรตายตัวหรอก เพราะมันขึ้นอยู่กับสันดานคน ถ้าหากปล่อยวางอคติได้ พี่เชื่อว่ารันจะมีเพื่อนอีกเยอะเลยแหละ เพราะรันเป็นคนน่ารักที่นิสัย”
“…” ผมยิ้มพลางเดินเข้าไปนั่งในรถ เมื่ออีกฝ่ายปลดล็อค

ผมยอมรับว่าคำแนะนำของพี่เนย์เป็นคำแนะนำที่ดี และมาพร้อมกับความอบอุ่นในหัวใจเสมอ อีกทั้งคำแนะนำนั้น ยังทำให้ผมได้รู้จักกับคนมากหน้าหลายตา ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้มีพฤติกรรมในแบบที่ผมฝังใจ และผมเองก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักกับพวกเขา แต่มันก็มีความจริงอีกด้านหนึ่งที่ผมยังไม่ลืม ว่าที่ผมยอมเปิดใจมันเป็นเพราะทุกคนที่ก้าวเข้ามาในโลกของผม แท้ที่จริงพวกเขาอยู่ในโลกของเพื่อนสนิทผม และอยู่ในโลกของแฟนผม
ซึ่งผมเชื่อใจพวกเขา

ดังนั้นถึงยังไงแล้ว ผมก็ยังคงมีอคติต่อคนที่ไร้ข้อบกพร่องคนอื่นๆอยู่ดี และเมื่ออนาคตผมต้องไปทำงานที่ไหนสักแห่ง ผมก็คิดว่าผมคงจะหนีจากความอึดอัดเหล่านั้นไม่พ้น เพราะขนาดคนอื่นๆ เริ่มรู้จักผมมากขึ้นและชื่นชอบผมมากขึ้น ผมยังรู้สึกกลัวและไม่ไว้วางใจพวกเขา ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
และทุกครั้งที่ผมคิดจะเปิดใจให้กับคนที่ไม่ได้มีตัวแปรสำคัญอะไร ผมก็มักจะนึกถึงช่วงเวลาที่ผมต้องทนทุกข์อยู่กับคำว่า ‘ไอ้ใบ้’ และต้องกลายเป็นตัวตลกของกลุ่มคนที่เคยเป็นเพื่อร่วมชั้นเรียนจนผมไม่คิดอยากจะไปรักษาให้หายขาด เพราะผมเชื่อว่าถ้าหากใครหวังดีกับผม หรืออยากรู้จักกับผมจริงๆ เขาจะมีวิธีในการเข้าหาที่ดี และทำให้ผมค่อยๆเปิดใจเหมือนกับพี่เนย์ ที่เพียงแค่รู้ภาษามือ ผมก็ยอมเปิดใจที่จะยอมรับพี่เขาให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของตัวเอง

แต่แล้วความเชื่ออันสวยหรูของผมมันก็ถูกข้อจำกัดหนึ่งที่ว่า‘โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเราเสมอไป’เข้ามาขวางกั้น ซึ่งมุมมองในส่วนนี้ผมสามารถวิเคราะห์ได้จากคำพูดของพี่เนย์ ที่พยายามจะช่วยให้ผมเติบโตขึ้น โดยการบอกกล่าวอยู่เสมอว่าผมต้องค่อยๆเปิดใจให้พวกเขาเห็น จากนั้นพวกเขาถึงจะยอมเปิดใจให้เราเห็นด้วย เพราะถ้าหากผมไม่ยอมเปิดใจ ก็จะไม่มีใครเข้าใจผม หรือบางทีเราอาจจะเปิดใจแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเข้าใจเราในแบบที่เราต้องการให้เข้าใจเสมอไป พี่เขาถึงได้ย้ำเสมอว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป   
ทั้งๆที่ผมทราบดี แต่ใจของผมมันก็ยังมีกำแพงบางๆ ที่พี่เนย์ไม่อาจมองเห็น..
จนบางที ผมก็อดกลัวไม่ได้ว่าพี่เนย์อาจจะต้องเหนื่อยใจไปกับผมเสียเปล่าๆ

ในวันที่ฝน เปลี่ยนเป็นเมฆขาว
อากาศเช้าๆ สวยงามกว่าใคร
มือเธอและฉัน จับจูงกันไป
เดินด้วยกันนะ


ผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยระหว่างใช้ความคิด จนจิตใจมันล่องลอยออกไปนอกรถ เริ่มได้สติขึ้นมา เมื่อสารถีประจำตัวเขาเปิดเพลงๆหนึ่งขึ้น และเมื่อตั้งใจฟังดีๆ หัวใจของผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ยังจำได้ไหม ตอนที่เธอท้อ
ตอนที่เธอล้า หัวใจแทบหมดแรง
คำพูดของฉัน บอกเธอวันนั้น
ให้เธอโปรดเข้มแข็ง
เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ
ปล่อยความทุกข์ลอยไปกับทะเลและฟ้าสีคราม

(Jeep – วัชราวลี)

ผมหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังกดปุ่มเพิ่มเสียงเพื่อเน้นในท่อนที่เขาต้องการจะสื่อความหมายด้วยสายตาแน่นิ่ง ขณะที่หัวใจก็เต้นรัวจนแทบระเบิด ความอุ่นร้อนในม่านตาก็ค่อยๆเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายทำนบน้ำตาก็พังยับเยินไม่เป็นท่า เมื่อฝ่ามือใหญ่ๆ เลื่อนเข้ามากอบกุมกับฝ่ามือของผมอย่างแนบแน่น คล้ายกับพี่เขารู้ว่ากำแพงบางๆที่ผมนึกถึง มันยังคงไม่หายไปไหน
เหมือนกับผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ที่ยังคงอยู่ข้างๆผมไม่จากไปไหน..
จนผมอดสงสัยไม่ได้ ว่ากำแพงที่ผมสร้าง หรือพี่อาคเนย์กันแน่ ที่จะสูญหายไปก่อนกัน..


--------------------------------------------------------------

ตอนนี้มันก็จะสีเทาๆนิดนึงเนอะ ส่วนตอนหน้าพี่เนย์ก็ยังสมกับเป็นพระเอกอยู่ ไม่ได้มาแบบโผล่ๆแล้ว 555 ช่วงนี้เราปั่นไปได้ 23 ตอนแล้ว ยังมีสต๊อกลงได้อีกนานค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะว่างปั่นเหมือนตอนนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แต่จะพยายามปั่นให้จบก่อนที่จะไม่ว่างนะคะ จะได้ลงได้ไม่ขาดตอน และก็หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนเดิม เรากลัวจะเบื่อซะก่อน เพราะเรื่องมันเรื่อยๆเอื่อยๆมาก T[]T แต่เราชอบนิยายสไตล์นี้ค่ะ เลยเขียนออกมาแบบนี้

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
«ตอบ #66 เมื่อ02-11-2017 13:47:15 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
«ตอบ #67 เมื่อ03-11-2017 01:47:20 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
«ตอบ #68 เมื่อ03-11-2017 08:35:48 »

พี่เนย์ได้เจอพ่อตาแม่ยายแล้ว ส่วนรันก็สู้ๆนะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #69 เมื่อ03-11-2017 15:13:22 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 1ุ6


หลังจบแคมเปญภาษามืออันเป็นโปรเจคแรกสำหรับปีนี้ พี่ทีมก็แจ้งว่าจะทำโปรเจคที่สองต่อเลย แต่ในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผมที่จะเข้าร่วมแคมเปญนี้อย่างเดียว เพราะพี่ทีมจะให้น้องๆและเพื่อนๆ ทุกคนได้เข้าร่วม สำหรับรายละเอียดของแคมเปญนี้จะเป็นเพียงแค่การแนะนำคำศัพท์หรือประโยคง่ายๆเท่านั้น ซึ่งพวกพี่เขาได้ทำรีเสิร์จออกมาแล้วว่าคำไหนหรือประโยคไหนที่น่าจะมีคนให้ความสนใจกันเยอะ และสามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งพี่ทีมผู้เป็นประธานรุ่นของปีสามได้บอกเอาไว้ว่า แคมเปญนี้เราจะทำลากยาวกันจนกว่าจะถึงช่วงงานโอเพ่นเฮ้าส์ในปีนี้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่มีความสนใจในสาขาวิชาน้องใหม่ที่หลายๆคนแทบจะไม่เคยรู้ว่ามันก็มีอยู่ในโลกใบนี้ด้วย

“จับฉลากคนละใบเลยครับ ใครได้คำไหนให้บอกพี่ฟางที่ยืนสวยๆอยู่ตรงนั้น” พี่ทีมพูดพลางเขย่ากล่องสี่เหลี่ยมที่ภายในบรรจุประโยคสำหรับการทำแคมเปญที่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน ซึ่งพวกพี่เขาให้ออกไปจับฉลากตามแถวที่นั่งในห้องเรียน กว่าจะถึงผมก็คงอีกพักใหญ่ เพราะผมนั่งตรงแถวกลางๆ

“มึงได้คำว่าอะไรกันบ้างวะ” หลังจากเดินกลับมาจากการจับฉลาก ไอ้หมอกมันก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“กูได้ประโยคนี้ว่ะ ‘เมื่อไหร่จะเลิกกับแฟน’” ไอ้คินตอบ พลางคลี่กระดาษให้ดูด้วยสีหน้าที่ผมก็บอกไม่ถูก

“พีคเหี้ยๆ เทียบกับของกูนี่เด๋อในเด๋อ ไม่เท่เลยว่ะ ‘ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย’” ไอ้หมอกมันบ่นอุบพลางคลี่กระดาษของมันให้พวกผมดู
“แล้วมึงล่ะ?” ไอ้คินพยักหน้าถามผม

“…” ผมจึงยื่นกระดาษที่ตัวเองจับฉลากได้วางเอาไว้ที่โต๊ะของไอ้หมอกที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“เป็นแฟนกันนะ”

“โอ้โห พีคในพีค เข้ากับสถานการณ์ไปอีก”

“หมายเลขที่อยู่ในกระดาษที่น้องๆจับฉลากได้ คือลำดับของการส่งคลิปวีดิโอนะครับ น้องๆสามารถส่งมาตามอีเมลที่อยู่ด้านล่างของกระดาษในมือน้องเลย แต่พี่มีข้อแม้อยู่หนึ่งอย่างคือน้องๆจะต้องส่งมาให้พี่ล่วงหน้าหนึ่งวัน เพื่อที่พี่จะได้มีเวลาทำการตัดต่อหรือใส่เอฟเฟคอื่นๆด้วย แคมเปญนี้เราจะเปิดตัวในวันพุธที่ 27 นี้นะครับ หากน้องๆไม่ทราบว่าประโยคที่น้องๆจับฉลากได้ต้องใช้ภาษามืออย่างไร น้องๆสามารถสอบถามเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ได้เสมอ”

ติ้ง!

‘รันทำไมประชุมนานจังวะ จะเลยเวลานัดกูแล้วเนี่ย’
‘เลิกแล้วครับ เดี๋ยวจะรีบลงไป’ หลังจากพิมพ์ข้อความเสร็จ พี่ๆก็ทยอยออกจากห้องเรียนจนหมด ผมจึงหันไปโบกมือลาไอ้คินกับไอ้หมอกอย่างรวดเร็ว เพราะนัดในวันนี้พี่เนย์ได้บอกผมล่วงหน้ามาตั้งสามวันแล้ว

เรื่องของเรื่องพี่เขาอยากเลี้ยงตัวอะไรก็ไม่รู้ แลจะหาซื้อยาก เพราะผมเห็นพี่เนย์ติดต่อไปหลายร้านแล้ว กว่าจะหาซื้อได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันนี้ทางร้านเขานัดให้ไปรับของที่ตลาดนัดแถวๆมหาลัยชื่อดังอีกแห่งหนึ่ง พี่เขาเลยชวนให้ผมไปเป็นเพื่อน

“ไอ้เชี่ยทีม มึงแม่งประชุมโคตรนาน จะเลยเวลานัดกูแล้วเนี่ย.. เกี่ยวดิวะ ก็กูพาไอ้รันมันไปด้วย เอ้า! ไอ้สัส มันแฟนกูหนิ กูก็ต้องพามันไปด้วยสิ แค่นี้! ไอ้สัส ล้ออยู่นั่นอย่าให้มึงมีบ้างนะ” ระหว่างขับรถพี่เนย์ก็โทรไปต่อว่าเพื่อนของตัวเองยกใหญ่ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นเจ้าตัวเสียเอง ที่ถูกเพื่อนล้อกลับมา
“…” ผมเอื้อมมือไปลูบข้างแขนของอีกฝ่าย เมื่อพี่เขาขับรถเร็วจนเกินความจำเป็น

“กูไม่อยากผิดเวลา เรื่องนี้กูถือ กูไม่ชอบและไม่คิดว่าตัวเองจะมาทำซะเอง” พี่เขาพูดพลางลดความเร็วในการเหยียบคันเร่งลง
“…” ผมอยากจะบอกว่าเรื่องนี้มันสุดวิสัย อีกอย่างทางร้านก็น่าจะรอได้ แต่ก็นะ พี่เขาไม่สะดวกจะอ่านข้อความของผมนี่หว่า

‘อย่าขับรถเร็วแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย’ กว่าจะมาถึงร้านผมก็ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เพราะผมเป็นห่วงอีกฝ่าย ไม่อยากจะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆขึ้น และเมื่อสบโอกาสเหมาะ ผมก็ไม่ลืมที่จะตักเตือนพี่เขาด้วย
“เป็นห่วงเหรอ?” ทันทีที่อ่านจบ อีกฝ่ายก็ยกมือข้างขวาขึ้นมาชูทั้งห้านิ้ว พร้อมกับพยักหน้าขึ้นลงสองครั้ง คล้ายกับจะให้ ‘คำสัญญา’ ว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ก่อนจะย้อนถามผมบ้าง

“…” ผมจึงกำมือข้างขวาขึ้น พลางสะบัดข้อมือเหมือนกำลังเคาะประตู และพยักหน้าขึ้นลงตามจังหวะการเคลื่อนไหวของฝ่ามือ เพื่อสื่อเป็นคำว่า ‘ใช่’ในภาษามือไทย
จากนั้นเราสองคนก็ยกยิ้มให้กัน
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เราสามารถใช้ภาษามือสื่อสารถึงกันได้

ร้านที่พี่เนย์พาผมมา เป็นร้านนำเข้าสัตว์เลี้ยงแทบจะทุกประเภท มีตั้งแต่กิ้งก่า เต่า งู แมงมุม กบ และอีกมากมายที่ล้วนไม่ใช่สไตล์ของสัตว์ที่ผมจะเลี้ยง ผมจึงเดินดูสัตว์แต่ละประเภทที่อยู่ในตู้กระจกไปเรื่อยๆ โดยปล่อยให้พี่เนย์จัดการเรื่องของตัวเองต่อไป เพราะได้ยินแว่วๆ ว่าพี่เขาไม่ได้มารับแค่สัตว์เลี้ยงที่ต้องการเพียงอย่างเดียว ไหนจะมีเรื่องตู้กระจกที่สั่งทำแบบเสร็จสมบูรณ์ รวมไปถึงข้อมูลต่างๆที่ควรรู้หากต้องการจะเลี้ยง ‘เรดอายสกิ้งค์’
พอเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจระเข้สีดำตัวเล็กที่มีป้ายแปะสายพันธุ์เอาไว้ว่า ‘เรดอายสกิ้งค์’ สองขาของผมจึงหยุดการก้าวเดินและยืนจ้องมองเข้าไปยังตู้กระจกใสในลักษณะเหมือนตู้ปลา เพียงแต่ภายในถูกเนรมิตให้เหมือนกับป่าชื้น อีกทั้งยังมีสระน้ำเล็กๆให้เจ้าพวกนี้ได้ลงเล่น และยังมีพื้นดินชื้นๆให้ได้คลุกตัว   

เจ้า ‘เรดอายสกิ้งค์’ ที่ผมกำลังยืนสำรวจอยู่นี้ มีลักษณะคล้ายกับจระเข้มาก เพราะลำตัวของมันมีหนามแหลม และมีส่วนหัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ส่วนสีสันของมันค่อนข้างจะเป็นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ แต่ขอบตาของมันกลับเป็นสีส้มอมแดง จึงทำให้ดวงตาของมันดูโดดเด่น

“น่ารักมั้ย?” พี่เนย์เดินเข้ามาถาม พลางยิ้มรอคอยคำตอบ
“…” ผมส่ายหัว เพราะคำว่าน่ารักสำหรับสัตว์เลี้ยง ผมขอยกให้ ‘แมว’ เท่านั้น

‘พี่จะเลี้ยงจระเข้เหรอครับ มันจะดุเกินไปหรือเปล่า’ ผมพิมพ์ข้อความส่งให้ชายหนุ่มผู้ที่ไม่เคยมีวี่แววเลยว่าจะชอบสัตว์เลี้ยงประเภทนี้
“จระเข้ที่ไหน นี่มันจิ้งเหลน” พี่เขาตอบพลางกลั้วหัวเราะ

‘จิ้งเหลนเหรอครับ ไม่เห็นจะเหมือน’
“เจ้านี่มันก็แปลกอย่างนี้แหละ เป็นถึงจิ้งเหลนแต่กลับทำตัวเหมือนกิ้งก่า มิหนำซ้ำดันมีรูปร่างเหมือนจระเข้ เขาเลยเรียกกันว่า ‘กิ้งก่าจระเข้’ ชื่อเต็มๆของมันคือ ‘เรดอาย ครอกโกไดล สกิ้งค์’ คนจะเข้าใจผิดว่าเป็นจระเข้หรือกิ้งก่าก็ไม่แปลก แถมยังมีความประหลาดอีกอย่างก็คือมันออกลูกเป็นไข่ ทั้งๆที่จิ้งเหลนมันออกลูกเป็นตัว”

ผมกับพี่เนย์ยืนดูเจ้า ‘เรดอายสกิ้งค์’ ในตู้ของทางร้านอยู่พักใหญ่ จากนั้นเจ้าของร้านเขาก็มาตามพี่เนย์ให้ไปตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและทำการขนย้ายตู้กระจกขนาดกลางที่คล้ายกับตู้เลี้ยงปลามาไว้ที่รถ โดยในตู้นั้นได้ตกแต่งให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติมาเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าในตู้นั้นมีทั้งต้นไม้สีเขียวสดต้นเล็กๆจัดรวมกันเป็นกลุ่มกระจัดกระจายเหมือนป่าชื้น มีขอนไม้ขนาดย่อมพอให้ปีนเล่นและหลบซ่อนตัวได้ ส่วนพื้นด้านล่างถูกรองด้วยขุยมะพร้าวหนาประมาณสองนิ้วและปูทับด้วยหญ้ามอสเล็กน้อย ขณะที่ในส่วนของพื้นดินชื้นๆก็โรยด้วยดินสีน้ำตาลค่อนไปทางดำ ส่วนทางซ้ายมือที่มีพื้นที่น้อยกว่าเป็นพื้นที่สำหรับผืนน้ำที่ด้านล่างถูกโรยด้วยก้อนหินสีขาวผสมเนื้อดินสีดำ ตามแบบฉบับที่เจ้าจิ้งเหลนจระเข้ชอบ ปิดท้ายด้วยพื้นหลังที่ถูกบุด้วยดินชื้นๆ มีไม้เลื้อยและหญ้ามอสใช้เป็นหลักยึด ส่วนฝั่งซ้ายที่อยู่ในส่วนของผืนน้ำได้ถูกประดับด้วยก้อนหินทรงกลมเก่าๆ คล้ายกับต้นทางของน้ำตกขนาดย่อม
“รันมึงไปนั่งข้างหลังไป กูกลัวเวลาเบรกแล้วตู้มันคว่ำว่ะ”

“มึงหิวยัง?” พี่เขาถามขึ้น เมื่อขับรถออกจากร้านได้ประมาณหนึ่งแล้ว ท้องฟ้าข้างนอก จากที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิทลง ข้างทางถูกแทนที่ด้วยแสงสีตามร้านรวงต่างๆ
‘นิดหน่อยครับ’ ผมพิมพ์ลงในหน้าต่างแชทของอีกฝ่าย

“จัดการนี่เสร็จ เดี๋ยวกูพาไปกิน” ผมพยักหน้ารับรู้แม้จะไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นหรือไม่ แต่มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้

เมื่อมาถึงหอ ผมกับพี่เนย์ก็ต้องช่วยกันขนย้ายตู้เลี้ยงกิ้งก่าจระเข้ออกจากเบาะหลังอย่างทุลักทุเล สุดท้ายพี่เขาเลยโทรเรียกพวกพี่ทีมพี่บอสให้มาช่วยกันยก เพราะกลัวว่าภายในตู้จะเละเทะซะก่อน และอาจจะเป็นอันตรายกับลูกรักที่พี่เขากำลังเห่อเอาได้
“รันมึงอย่าลืมถืออาหารแล้วก็ล็อครถให้กูด้วย” พวกพี่สามคนช่วยกันยกตู้กระจกขึ้นหอไปแล้ว ส่วนผมก็ต้องเดินไปหยิบกล่อง ‘อาหาร’ ที่ไม่ใช่อาหารเม็ดแบบสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่ดันเป็น ‘ไส้เดือน’ ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดตรงเบาะข้างคนขับ
บอกตรงๆ ถึงผมจะไม่ได้กลัว แต่ก็ใช่ว่าจะชอบ

ผมจัดการล็อครถให้เรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นไปยังหอพักของพี่เนย์ที่ผมเคยมาแล้วครั้งนึง เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าสามหนุ่มเขากำลังช่วยกันต่อสายอะไรต่อมิอะไรอยู่ กระทั่งเรียบร้อย พี่เนย์ก็เดินไปหยิบฟ็อกกี้เข้าไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็นำมาฉีดพรมทุกสิ่งอย่างภายในตู้นั้นจนเกิดฝ้า เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้สมกับบรรยากาศของป่าชื้นที่เป็นต้นกำเนิดของสัตว์ชนิดนี้

“มึงแน่ใจนะว่าลูกมึงไม่ใช่จระเข้” พี่ทีมทักขึ้นมาอีกคนแล้ว เห็นไหมล่ะ ใครจะเชื่อว่าเจ้านี่มันคือจิ้งเหลน
“เออดิ.. กูจะโกหกมึงทำเพื่อ ไม่เชื่อมึงก็เสิร์จหาข้อมูลในกูเกิ้ลได้เลย” พี่เนย์เถียงกับพี่ทีมพลางก้มๆมองๆ ลูกรักตัวสีดำขอบตาสีแดงอมส้ม ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ต้นไม้ขนาดเล็ก

“…” ผมสะกิดแขนพี่เนย์ พลางยื่น ‘อาหาร’ ของเจ้าตัวที่อยู่ในตู้กระจกไปให้ จากนั้นพี่เนย์ก็เริ่มให้อาหารโดยการใช้แหนบคีบไส้เดือนใส่ลงไปในตู้ แล้วก็เลื่อนประตูกระจกปิดให้สนิทอย่างไม่ต้องกังวลว่าอากาศจะไม่ถ่ายเท เพราะว่าข้างบนของตัวตู้จะเป็นมุ้งลวดซี่เล็กๆ สามารถให้อากาศเล็ดรอดผ่านได้
“เออรัน เราเริ่มแคมเปญคนแรกนี่ อย่าลืมส่งคลิปให้พี่ล่ะ”

“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ
“แคมเปญอะไรอีกวะ” พี่เนย์หันมาถามอย่างสนใจ

“ภาษามือเหมือนเดิมแหละ แต่ไม่ยากเท่าคราวก่อนแล้ว ถ้ามึงว่างก็ช่วยบอกภาษามือแล้วถ่ายคลิปให้น้องมันเลยก็ได้ เสร็จแล้วกูจะได้แวะมาเอาที่ห้องมึง” พี่ทีมเสนอ
“เออๆ เดี๋ยวกูขอหลังจากไปแดกข้าวก่อนนะเว้ย ยังไม่ได้กินเลยเนี่ย” พี่เขาพยักหน้าส่งๆ จากนั้นก็แบมือขอกุญแจรถจากผม คล้ายกับส่งสัญญาณว่าได้เวลากินข้าวแล้ว

“เย็นนี้กินข้าวต้มแล้วกัน มึงว่าไง?” พี่เนย์เดินนำผมออกมาจากรั้วบริเวณของหอพัก คาดว่าร้านที่เราสองคนจะไปฝากท้องคงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“…” ผมยักไหล่ประมาณว่ายังไงก็ได้

ข้าวต้มมื้อดึกร้านที่ว่าอยู่ตรงหน้าปากซอย เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือก็ถึงแล้ว และเมื่อมาถึงผมก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าประจำเขาสั่งอาหารได้เต็มที่ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟพี่เนย์ก็เล่าข้อมูลการเลี้ยงจิ้งเหลนจระเข้ให้ผมฟัง ดูท่าทางจะเห่อไม่หยอก

‘ผมว่าเรดอายสกิ้งค์ มันเหมือนไอ้เขี้ยวกุด มังกรจากหนังเรื่อง How To Train Your Dragon เลยนะครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในหน้าต่างแชทของคนช่างเห่อ จากนั้นก็รีบเข้ากูเกิ้ลเพื่อเสิร์จหารูปเจ้าเขี้ยวกุดให้อีกฝ่ายดู เพราะพี่เขาทำท่าเหมือนจะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้
“ลูกชายกูออกจะเท่ ไอ้เชี้ยวกุดอะไรของมึงนี่โคตรแบ๊วเลย”

‘เขี้ยวกุด’
‘อะไรมึง’ พี่เขาพิมพ์ข้อความส่งกลับมา คงเพราะเดาออกว่าผมกำลังจะล้อลูกชายตัวโปรด จากนั้นก็เอามือไปลูบๆอังๆ ไอน้ำข้างแก้ว แล้วสะบัดละอองน้ำใส่ผมในทีเผลอ แต่ดูเหมือนพี่เขาจะยังไม่สะใจมากนัก เจ้าตัวถึงได้จัดการหันไปเทน้ำใส่มือราวกับต้องการจะล้างมือ แต่ขอโทษทีมือไม่ได้เลอะสักนิด แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมไหวตัวทันได้ยังไง
 
‘ลูกพี่ชื่อเขี้ยวกุด’ ผมแกล้งแหย่คนตัวโตอีกหนอย่างนึกสนุก เพราะอีกฝ่ายดันออกอาการไม่สบอารมณ์ ที่มองดูแล้วตลกดี
“…” พี่เนย์สะบัดมือที่ยังคงเปียกน้ำใส่หน้าผมอีกครั้ง ทำเอาละอองน้ำลอยมาเกาะใบหน้าจนเต็มไปหมด แต่ผมก็หาได้สนใจไม่

‘พ่อชื่อฮ่องเต้ ลูกชื่อเขี้ยวกุด เข้ากันดีเนอะ’
“…” พี่เนย์ขมวดคิ้วยกใหญ่ ดูเหมือนในหัวคงกำลังคิดหาวิธีมารับมือกับไอ้รันคนนี้อยู่แน่ๆ แต่ก็ต้องขอโทษทีนะครับ เพราะผมได้รับการฝึกปรือเรื่องการกวนประสาทชาวบ้านมาจากไอ้หมอกเป็นอย่างดี
เห็นทีพี่เนย์คงจะรับมือยาก!

“เออดี ส่วนแม่มันให้ชื่อเนรัน”


---------------------------------------------

สำหรับตอนนี้มาแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ แต่ก็มีความกวนประสาทกันเบาๆ เพราะเริ่มจะคุ้นกันมากขึ้นแล้วเนอะ
พระเอกบทเยอะแล้วค่า ดีใจ 555
หมายเหตุ : ถ้าใครอยากให้หน้าตาลูกชายพี่เนย์ว่าเป็นยังไง เราลงไว้ในเด็กดีแล้ว >จิ้ม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-11-2017 15:13:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #70 เมื่อ03-11-2017 15:54:41 »

สุขสันต์วันลอยกระทง

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #71 เมื่อ03-11-2017 21:13:43 »

เหมือนเขี้ยวกุดจริงๆ เราชอบเขี้ยวกุด  :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #72 เมื่อ03-11-2017 21:41:49 »

เอ... ก็ไม่คล้ายจระเข้เท่าไหร่นะ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #73 เมื่อ04-11-2017 09:42:34 »

เหมือนเขี้ยวกุดจริงๆ 55555 น้องรันกลายเป็นแม่เขี้ยวกุดแล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
«ตอบ #74 เมื่อ04-11-2017 11:52:40 »

ว้ายๆ พ่อฮ่องเต้ แม่เนรันน้องเขี้ยวกุด
แฮปปี้แฟมิลี่ :katai2-1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
«ตอบ #75 เมื่อ04-11-2017 13:51:50 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 1ุ7


แพ้ครับ!
ผมแพ้อย่างราบคาบจริงๆ กับผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’

“กูนึกว่ามึงจะไม่กลับหอแล้วนะนั่น” ทันทีที่เปิดประตูและเดินเข้ามาในห้อง ไอ้หมอกก็ปรามาสใส่อย่างรวดเร็ว ผมเลยชูนิ้วกลางใส่แม่งซะ
“ทำไมถึงกลับเร็ววะ?” ไอ้คินถามอย่างแปลกใจ เพราะตอนแรกผมไลน์ไปบอกมันว่าจะกลับสักสามทุ่ม เพราะพี่เขาจะช่วยอัดคลิปสำหรับทำแคมเปญของสาขาให้เลย

‘กูเปลี่ยนใจ วันนี้ขี้เกียจ’ ผมแก้ตัวข้างๆคูๆ จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมไว้ใส่หลังอาบน้ำ

เรื่องของเรื่องที่ผมเกเรไม่ยอมกลับหอพี่เนย์เพื่อไปอัดคลิปในวันนี้ มันเป็นเพราะคำพูดสุดท้ายของพี่เนย์นั่นแหละ อยู่ๆก็มายกให้ผมเป็นแม่ไอ้เขี้ยวกุดเฉย โคตรกวนประสาท ทำเอาหน้าร้อนเห่อไปหมด
แล้วผมก็เป็นผู้ชายด้วย จะให้เป็นแม่ได้ไงวะ!

ติ้ง!

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็จัดการตากผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะโยนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วลงในตระกร้า ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของผมก็มีการแจ้งเตือน แต่ผมไม่คิดจะเปิดหรอก เพราะเดาได้เลยว่าพี่อาคเนย์ต้องหาเรื่องมาล้อผมแน่ๆ เพราะตลอดทางที่มาส่งผม สารถีตัวดีเอาแต่พูดอยู่นั่นแหละว่า ไอ้เขี้ยวกุดน่ารักอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้ สงสัยจะได้เชื้อแม่มันมา!
ดูสิ.. ดูพูดเข้าสิ!
นี่ถ้าผมกล้าลงไม้ลงมือกับพี่อาคเนย์นะ ผมต่อยคว่ำไปแล้ว!

Akane Akarawin sent you a friend request

ผมพยายามข่มตานอน แต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับ เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น และเมื่อหน้าจอสว่างวาบขึ้น แจ้งเตือนต่างๆก็เด้งขึ้นมาเป็นทิวแถว ด้วยความที่แจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กคือแจ้งเตือนล่าสุด ผมจึงเลือกกดไปที่แอปพลิเคชันนั้น และกดรับคุณ ‘อาคเนย์ อัครวินท์’ ตามที่ขอมา จากนั้นผมก็เลื่อนดูทามไลน์ของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เพราะผมเองก็เพิ่งจะทราบว่าพี่เขามีเฟซบุ๊กด้วย
ที่สำคัญคนไม่ค่อยเล่นโซเชียลทำไมถึงลงทุนมาขุดหาเฟซบุ๊กของผมได้
 
พ่อไอ้เขี้ยวกุดนี่ขี้เห่อมากจริงๆครับ ภายในวันเดียวพี่เขาอวดลูกชายตัวโปรดไปแล้วห้าครั้ง ทั้งๆที่เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ชอบเล่นโซเชียลสักเท่าไหร่ และที่แปลกคือมีคนมากดถูกใจเยอะซะด้วย ผมจึงเลื่อนไปดูจำนวนเพื่อนของอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น พอหมดจากช่วงอวดลูกชาย ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปที่พี่ๆเพื่อนๆของเจ้าตัวแท็กมา แล้วพอเลื่อนลงมาอีก ผมก็เจอกับรูปของพี่อาคเนย์กับใครสักคนที่ถ้าหากผมจำไม่ผิด ก็น่าจะเป็น ‘พี่เบส’ แฟนเก่าของพี่เขาที่ถ่ายคู่กันอย่างอิงแอบแนบชิด โดยฝ่ายพี่เนย์กำลังทำหน้าบึ้งบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ชอบถ่ายรูป ส่วนพี่เบสก็กำลังยิ้มแป้นให้กล้องอย่างน่ามอง สายตาของผมจึงเลื่อนมาดูที่จำนวนคนกดถูกใจ ก็ถึงกับแปลกใจมากที่มีคนให้ความสนใจกันเยอะและเมื่ออ่านคอมเมนต์ก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองคนในภาพน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนหนึ่งและพวกเขาต่างก็ยินดีในความรักของคนทั้งคู่ สายตาของผมจึงเลื่อนขึ้นมาดูวันเวลาของสถานการณ์นั้น เพราะคนโพสต์อย่างพี่เบสเขาไม่ได้ใส่แคปชั่นอะไร
ตั้งแต่ปลายปี 2015
แสดงว่าก็น่าเลิกกันได้ปีกว่าๆแล้วสินะ เพราะรูปนั้นเป็นรูปสุดท้ายในหน้าเฟซของพี่เนย์

Akane Akarawin tagged you in a post

ผมหยุดส่องไทม์ไลน์เก่าๆของพี่เนย์ทันที เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็โพสต์เฟซและแท็กมาถึงผมในยามวิกาล ซึ่งเมื่อผมเลื่อนขึ้นไปดูการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุด ก็พบว่าพี่เนย์อัพคลิปวีดิโอ ผมจึงกดคลิปนั้นดู ปรากฏว่าคนขี้เห่อก็ยังเป็นคนขี้เห่ออยู่ดี เพราะสิ่งที่พี่เขาถ่ายอยู่นั้นก็คือเจ้าเขี้ยวกุด

“เขี้ยวกุด” พี่เนย์จับเจ้าเขี้ยวกุดออกมาจากตู้ พลางเรียกเจ้าลูกชายตัวโปรดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มสุดจะเอ็นดู

“เขี้ยวกุดหันไปบอกฝันดีแม่แกก่อนเร็วๆ” พี่เนย์เรียกเจ้าเขี้ยวกุดอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่ยอมหันมามองกล้อง จนพี่เขาต้องพูดแกมบังคับ พร้อมใช้มืออีกข้างดันหน้าเจ้าเขี้ยวกุดให้ยอมหันมามองกล้อง

“ฝันดีครับแม่” ผมกลั้นขำจนปวดท้องไปหมด ให้ตายสิ ทำไมพี่เนย์ทำตัวน่าจั๊กจี้ขนาดนี้

‘ผมไม่ใช่แม่ของไอ้เขี้ยวกุดนะเว้ยพี่เนย์ มาแท็กผมทำไม’ ผมทักไลน์อีกฝ่ายไปทันที เพราะมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าพี่เนย์คงยังไม่นอน
‘นั่นก็เรื่องของมึงครับ ส่วนกูจะให้มึงเป็นและจะแท็กมึงด้วย มันก็เรื่องของกูอีก’
‘กวนประสาท’
‘ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ากูก็มีสกิลการกวนประสาทชาวบ้านเขาด้วย ความรู้ใหม่มากๆเลยมึง’

‘ไหนว่าไม่ชอบโพสต์นู่นโพสต์นี่ไงครับ แล้วนึกยังไงมานั่งขุดหาเฟซผมได้’ ผมย้อนกลับเข้าเรื่องที่จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบก่อนดีกว่า
‘กูบอกตอนไหนว่ากูไม่ชอบโพสต์’

‘ที่ตลาดนัดเครื่องบินไงครับ พี่เคยบอกว่า ‘กูไม่ถ่ายรูป แล้วก็ไม่เช็คอินด้วย’ ก็น่าจะไม่ชอบโพสต์ ไม่ชอบเล่นโซเชียล ไม่ใช่เหรอ?’
‘แล้วไงวะ กูไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเช็คอิน ไม่ชอบโพสต์ ก็ไม่ได้แปลว่ากูจะไม่เล่นโซเชียลนี่หว่า’

‘แล้วนึกยังไงถึงแอดมาครับ ดูท่าทางน่าจะแอบส่องเฟซผมมานานแล้วด้วยมั้ง’
‘ก็มึงไม่อ่านไลน์กูหนิ ทีหลังถ้าไม่อ่านไลน์ กูจะมาตามมึงในนี้’

‘งั้นถ้าพี่อยากบอกผมให้ฝันดี ก็ไม่เห็นต้องใช้เจ้าเขี้ยวกุดมาอ้างเลย’ ผมเถียง เพราะคลิปวีดิโอจากทางเฟซและไลน์ก็เหมือนกันเด๊ะ

Rrrrrr

“อะไรวะ กูอุตส่าห์ใช้วิธีซอฟท์ๆเพราะกลัวว่ามึงจะเขินจนตัวแตกเลยนะเว้ย มึงไม่เห็นความดีของกูเลยเหรอ ฮึ แม่ไอ้เขี้ยวกุด” ดูเอาเถอะ ไม่รู้จะชอบอะไรหนักหนากับสถานะนี้ของผมเนี่ย!
ถ้าจะเห่อลูกชายก็อย่าเอาผมเข้าไปเอี่ยวสิ!

“รัน”

“หลับยัง?”
“ยะ..อัง” ผมเผลอตอบอีกฝ่ายแบบไม่เป็นคำพูด แต่ดูเหมือนคนขี้เห่อเขาจะเข้าใจคำที่ผมต้องการจะสื่อ

“ฝันดี”
“ฝะ..ฝาน..ด..อิ” หัวใจผมเต้นแรงมาก เมื่อพยายามจะพูดคุยสื่อสารกับอีกฝ่าย โดยที่ใครคนนั้นก็ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ และเมื่อผมพูดจบพี่เนย์ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่เขาไม่ได้หัวเราะในเชิงที่ไม่ดี
เพราะเสียงหัวเราะของพี่เนย์ มันฟังแล้วให้อารมณ์อบอุ่นในใจ

ผมนอนฟังเสียงลมหายใจของพี่เนย์อยู่นานสองนาน เพราะผมไม่กล้าวางสายจากอีกฝ่ายก่อน จึงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่ฮีตเตอร์ส่วนตัวเครื่องนี้จะถึงเวลาหยุดทำงานเสียที

มือของเธอนั้นจะอุ่นไหม
ฝนแถวนั้นจะยังตกไหม
มืดสว่างอากาศก็ร้อนตั้งมากมาย
ใจดวงนี้คิดถึงเธอ
เธอคงยังมีความสุขนะ
ถ้าลดไปฉันพร้อมแบ่งนะ
ยื่นให้เธอส่งใจของฉันที่มีค่า
ฝากไปให้พร้อมความห่วงใย


จู่ๆ พี่เนย์ก็เปิดเพลงกล่อมผมเข้านอนซะแล้ว ผมก็ได้แต่ฟังไปแล้วก็อมยิ้มไป เพราะเพลงที่พี่เขาเลือกใช้ มันแฝงความอบอุ่นไว้ทุกอณูของเนื้อเพลง ราวกับพี่เขารู้ว่าการพูดคุยออกเสียงของผมเมื่อครู่ มันต้องผ่านการเค้นเสียงมากถึงมากที่สุด จนพี่เขาอาจกลัวว่าผมจะคิดมากกับข้อบกพร่องของตัวเอง

หอบเอาความรักที่มีในใจ
ที่เต็มด้วยความรู้สึก
ความคิดถึงไม่เหงา มีแต่อุ่นหัวใจ
ไปให้เธอนะคนดี ได้อุ่นเอนข้างกาย
ขอให้เธอเก็บเอาไว้

และต่อจากนั้น
ลองเอาดวงใจของเธอที่มีความสุข
หมดความทุกข์ เลิกเหงามีแต่อุ่นหัวใจ
ยื่นให้คนที่เดินเคียง ได้อุ่นเอนข้างกาย
ชีวิตช่างดูมีความหมาย ที่มากกว่านั้น


(Forward – วัชราวลี)

ไม่สิ ผมคิดว่าพี่เนย์อาจต้องการบอกผมผ่านทางเสียงเพลงว่า พี่เขาจะอยู่ข้างๆผม ถ้าหากผมอยากจะลองฝึกพูด หรืออยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ผมไม่มีความกล้า โดยที่พี่เขาจะใช้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผม ส่งผ่านเป็นกำลังใจให้กัน เพื่อที่ผมจะได้ส่งผ่านความต้องการเหล่านั้นให้กลายเป็นความสำเร็จ
หรือเปล่านะ?

“นอนได้แล้ว แค่นี้” ผมนอนอมยิ้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆหม่นแสงลง เมื่อพี่อาคเนย์คนที่เคยทำตัวเหมือนกับฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น เขาได้กลับมาเป็นพี่อาคเนย์คนที่พูดความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง และนานๆครั้งถึงจะยอมพูดความรู้สึกออกมาตรงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพี่เนย์ จะครองตัวเป็นโสดจนกระทั่งมาเจอผมได้เลย เพราะพี่เขาทั้งหน้าตาก็ดี เรียนก็น่าจะเก่ง เพราะเพื่อนๆ ชอบยืมช็อตโน้ตของพี่เนย์ไปอ่านก่อนสอบ แถมความคิดความอ่านของพี่เขาก็ดีมากๆด้วย
แล้วทำไมพี่เบสถึงกล้าปล่อยมือจากพี่เนย์ได้ล่ะ
เพราะถ้าหากเป็นผม ผมคงไม่มีทางปล่อยมือจากพี่เนย์แน่ๆ

วันนี้ผมไม่มีเรียนก็เลยตกลงกับไอ้หมอกไอ้คินว่าจะให้มันช่วยอัดคลิปวีดิโอให้ ซึ่งแน่นอนว่าประโยคที่ผมจับฉลากได้ ผมไม่รู้หรอกว่าภาษามือเขาใช้กันแบบไหน จึงต้องให้ไอ้หมอกมันช่วยทำให้ดูสักรอบสองรอบ ผมก็จำได้แล้ว เพราะว่ามันไม่ยากเลย
“อัดเลยเหรอมึง ?” ไอ้คินมันถาม ผมจึงพยักหน้าตอบ
“หมอกมึงไปปิดแอร์ดิ เดี๋ยวเสียงมันเข้า”

“จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้เลย อัดเร็วๆนะมึง กูร้อน” ไอ้หมอกมันบ่น แต่ก็ยอมเดินไปปิดแอร์ ส่วนไอ้คินมันก็ส่งสัญญาณความพร้อมโดยชูนิ้วเพื่อนับหนึ่ง สอง และสาม จากนั้นผมก็ใช้มือขวาชี้ไปที่หน้ากล้องของโทรศัพท์มือถือ และชี้กลับมาที่ตัวเอง แล้วก็ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกมา ก่อนจะขยับมาชิดกันสองครั้งเหมือนท่าทางของกรรไกรที่กำลังตัดกระดาษ ขณะที่ใบหน้าก็ทำอ้อนๆเข้าไว้และต้องพยักหน้าขึ้นลงด้วย
“คัท!” ไอ้หมอกมันยื่นมือออกมาตบกันตรงหน้ากล้อง พร้อมส่งเสียงราวกับผู้กำกับหนัง
เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าไอ้นี่มันควรไปเรียนนิเทศ

‘พี่ทีมครับ ผมส่งคลิปภาษามือให้ทางอีเมลแล้วนะครับ’ หลังจากจัดการส่งอีเมลเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไลน์ไปบอกพี่ทีม จากนั้นผมก็หันมานั่งทบทวนภาษามือตั้งแต่บทแรกเหมือนที่ทำเป็นประจำ
กระทั่งใกล้เวลาเลิกเรียนพี่เนย์ก็ไลน์มาหา เพื่อนัดให้ไปเจอกันที่คาเฟ่ใกล้หอพัก เพราะวันนี้พี่เขาจะทานมื้อเย็นเร็วกว่าปกติ เนื่องจากต้องรีบกลับไปให้อาหารเจ้าลูกชายตัวโปรด และคงต้องนั่งประคบประหงมอีกนาน นาฬิกาชีวิตก็เลยต้องปรับเปลี่ยน

‘พี่เนย์ชวนไปคาเฟ่ข้างหอ พวกมึงจะไปด้วยกันมั้ย?’ ผมพิมพ์ลงในกรุ๊ปแชท
“เอาดีๆ พี่เขาชวนมึงคนเดียว หรือชวนพวกกูไปด้วยไม่ทราบ” ไอ้หมอกมันย้อนถาม

‘ชวนกูคนเดียว’
“เออไง แล้วมึงจะชวนพวกกูทำเพื่อ ไปไหนก็ไปไป๊” ไอ้หมอกมันพูดพร้อมกับโบกมือไล่

ติ้ง!

ผมเดินออกมาจากหอได้สักพัก พี่เนย์ก็ส่งข้อความเสียงมาให้ และเมื่อกดฟังก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะถึงสถานที่นัดหมายแล้ว เพราะว่าตอนที่พี่เขาบอกให้ผมเตรียมตัวก็เกือบจะสี่โมงแล้ว ผมจึงอัดเสียงรอบข้างส่งกลับไปบอกคนที่กำลังรออยู่ที่คาเฟ่บ้าง

‘ให้กูสั่งบลูเลม่อนเลยมั้ย?’
‘ครับ ยำแซลม่อนด้วยนะ’

‘อืม รีบๆมา เดี๋ยวน้ำจะละลายก่อน’
‘จะถึงแล้วครับ ไม่ต้องห่วงสั่งได้เลย’

พอผมเดินเข้ามาในร้านและทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะ อาหารละลานตาก็วางเสิร์ฟไว้รออยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเหลือบไปมองแก้วบลูเลม่อน จึงเห็นว่าน้ำแข็งยังไม่ละลาย แสดงว่าพี่เขาน่าจะเพิ่งสั่ง หลังจากที่พวกเราเลิกพูดคุยสนทนากันทางแชทไลน์
“เมื่อเช้ากูลองเอาจิ้งหรีดให้เขี้ยวกุดกิน มึงดูลูกกู เป็นนักล่าที่โคตรเท่” พี่เนย์เปิดคลิปวีดิโอในโทรศัพท์ตัวเองพลางยื่นมาให้ผมดูเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังล่าจิ้งหรีดกินเป็นอาหาร

‘ผมว่าเหมือนคลิปทรมานสัตว์มากกว่า’ ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วก็พิมพ์ส่งกลับไปให้อีกฝ่ายอ่าน
“มันคือห่วงโซ่อาหารเว้ยมึง ธรรมชาติเขากำหนดมาแล้ว” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พลางเปิดอีกคลิปให้ผมดูต่อ ซึ่งคลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่เจ้าเขี้ยวกุดกำลังมุดตัวอยู่ใต้โพรงไม้เล็กๆ โผล่ออกมาแค่ดวงตาสีแดงอมส้มที่โดดเด่นเท่านั้น

“ลูกกูนอกจากจะมีมุมเท่ๆแล้วยังมีมุมน่ารักด้วยเห็นมั้ยล่ะ”
“…” ผมส่ายหัวเถียง เพราะยังไงผมก็ยังมองไม่ออกว่าไอ้เขี้ยวกุดมันน่ารักตรงไหน
ในเมื่อนิยามคำว่า ‘น่ารัก’ ในแบบของผม มันคือแมวทุกชนิด

“ถ้างั้นแบบไหน ถึงจะเรียกว่าน่ารักสำหรับมึง?” พี่เนย์ถามพลางตักซีซาร์สลัดเข้าปาก
“…” ผมเปิดวีดิโอของเจ้าแชมเปญแมวของตัวเองให้พี่เนย์ดู โดยเลือกคลิปที่คิดว่าน่ารักที่สุดเท่าที่ผมจะมี จำได้ว่าตอนนั้นหลังจากหยุดถ่ายคลิปแล้ว ผมก็เข้าไปฟัดมันยกใหญ่ ก็ใครใช้ให้เจ้าอ้วนมันเอียงคอไปมา ขณะที่กำลังใช้สายตาอ้อนๆมองผมล่ะ

“น่ารักในแบบของมึงนี่ โคตรน่ารำคาญสำหรับกูเลย”
‘เหมือนกันครับ น่ารักในแบบของพี่ก็ไม่ได้น่ารักสำหรับผม เพราะเราสองคนชอบอะไรไม่เหมือนกันนี่ครับ’ ผมพิมพ์ข้อความส่งไปในห้องแชทของอีกฝ่าย ก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้ข้างๆตัว และเริ่มลงมือกินยำแซลม่อน พร้อมกับดูดบลูเลม่อนแก้ฝืดคอ

“เข้าใจพูด” พี่เนย์ว่าอย่างนั้นพลางท้าวคางมองผม ก่อนจะยิ้มออกมา
“อ้าวรัน” ผมละความสนใจจากพี่เนย์ หันไปมองยังทิศทางของต้นเสียงที่ร้องเรียกผม พอเห็นว่าเป็นพวกแอ้มสามสาวจากคณะบัญชี ผมเลยโบกมือกลับไป

“ไม่ได้มากับคินเหรอ?” แอ้มเดินเข้ามาถามผมพลางยกมือไหว้พี่เนย์ ขณะที่อีกสองสาวหลังจากที่โบกมือทักทายผมแล้วก็เดินไปหาที่นั่งในมุมสงบของตัวเอง
“…” ผมส่ายหน้าตอบ

“เสียดายจัง งั้นเราไปก่อนนะ ไม่กวนแล้วจ๊ะ” แอ้มยกยิ้มพลางโบกมือให้ ก่อนจะหันไปไหว้พี่เนย์ที่กำลังนั่งเงียบๆอยู่ตรงข้ามผม
“…” พอหันหน้ากลับเข้ามาที่โต๊ะ ก็เห็นพี่เนย์นั่งท้าวคางพร้อมกับอมยิ้มอะไรก็ไม่รู้ ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไม่มีอะไรหรอก กินเถอะ” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พลางชี้ไปที่อาหารละลานตาที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมก็เลยพยักหน้าและหันมาใส่ใจกับมื้อเย็นของตัวเองตามที่อีกฝ่ายชักนำ ขณะที่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายน่ะออกอาการมากเกินไปหรือเปล่า
แล้วตกลงนี่พี่เนย์มีเพื่อนใหม่ หรือเป็นผมที่มีเพื่อนใหม่กันแน่!

เช้าวันนี้ผมไม่ได้เจอพี่เนย์ เพราะว่าพี่เขาไม่มีเรียน ได้เจออีกทีก็ช่วงเย็น เพราะพี่เนย์ให้ผมซื้อข้าวเข้ามากินด้วยกันที่ห้อง ซึ่งผมก็ต้องวานให้ไอ้หมอกช่วยขี่จักรยานไปส่งตรงหน้ามหาลัย จากนั้นผมก็ต้องเดินหิ้วข้าวกล่องจำนวนสองกล่อง ข้ามสะพานลอยเพื่อไปยังหอพักของพี่เนย์

‘บลูเลม่อนครับ’ ผมยื่นกระดาษโน้ตไปให้พนักงานเพื่อสั่งเครื่องดื่ม จากนั้นผมก็เดินมานั่งตรงโต๊ะติดกระจกที่เป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์ แล้วผมก็ไลน์ไปถามพี่เนย์ว่าจะเอาอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าพี่เขาไม่สั่งอะไร เพราะเอาแต่บ่นผมลูกเดียวว่าจะเดินตากแดดมาให้เสียเวลาทำไม ปล่อยให้พี่เขาไปรับเสียก็จบ
‘เดินแค่นี้เองครับ สบายมาก’ หลังจากได้รับเครื่องดื่มแล้ว ผมก็เดินเลี้ยวเข้าซอยข้างๆระหว่างร้านปิ้งย่างและข้าวต้มรอบดึก กระทั่งมาถึงรั้วบริเวณของหอพักพี่เนย์ ผมก็เดินตรงไปที่บันได และขึ้นไปยังชั้นที่อีกฝ่ายพักอยู่

“…” ขณะที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวออกจากบันไดมายังชั้นที่หมายตา ผมก็เดินสวนกับพี่เบสที่ก็หยุดชะงักการก้าวเดิน เมื่อเห็นผมอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด แต่จากนั้นไม่นาน อีกฝ่ายก็รีบวิ่งลงบันไดไป ผมจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางๆของรุ่นพี่ต่างคณะ ที่หน้าตาน่ารักเหมาะกับซีรีส์ที่เจ้าตัวเล่น แถมผิวก็ยังขาวพอๆกับผมด้วย ช่วงขาของพี่เขาก็ยาวพอๆกัน รวมๆแล้วเราน่าจะสูงไม่มากไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ต่างกันที่ความโดดเด่นล้วนๆ เพราะพี่เบสมีดีกรีเป็นถึงดาราที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ที่ขนาดเพื่อนใหม่ที่เป็นสาวคณะบัญชียังรู้จัก แล้วไหนจะสาวๆจากคณะอื่นอีก กิจกรรมของเจ้าตัวคงจะโดดเด่นน่าดู 
โปรไฟล์ของพี่เบสออกจะดีเลิศขนาดนั้น ถ้าหากเขาอยากจะทวงคืนพี่เนย์ขึ้นมา ผมคงไม่มีอะไรจะไปสู้พี่เขาแน่

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าที่เริ่มประเดประดังเข้ามา เพียงเพราะผมแค่ได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่เนย์กับพี่เบสโดยบังเอิญ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มารู้ก็ตอนที่พี่เนย์แอดเฟซบุ๊กมาหา และผมขุดไปเจอรูปถ่ายคู่กันของทั้งสองคนที่มีอยู่มากมาย กระทั่งวันนี้ผมได้บังเอิญเดินสวนทางกับพี่เบสที่หอพี่เนย์
แต่บางทีพี่เบสอาจจะพักอยู่ที่หอนี้อยู่แล้วก็ได้   

“เห้อ~” ผมเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะคำพูดปลอบใจของตัวเองมันไม่ได้ช่วยให้เลิกคิดอะไรไม่เข้าท่าเลย

ก๊อก ก๊อก

“ตกลง”ผมยืนงงอยู่หน้าประตู เมื่อเจ้าของห้องเขาเปิดประตูต้อนรับด้วยคำว่า ‘ตกลง’ ที่ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“นี่ไง ตกลง” พี่เขาเบี่ยงตัวให้ผมเข้ามาในห้อง และขณะที่ผมปิดประตูและกำลังถอดรองเท้า พี่เนย์ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู ซึ่งภายในหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้น เป็นคลิปวีดิโอที่ผมกำลังสอนภาษามือเป็นคำว่า ‘เป็นแฟนกันนะ’

‘แต่เราก็คบกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?’ ผมเดินเข้าไปในห้อง พลางวางข้าวกล่องเอาไว้บนหลังตู้ใส่หนังสือ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพิมพ์ลงในหน้าต่างแชทของอีกฝ่าย
“ซื้ออะไรมา” พี่เขายักไหล่ จากนั้นก็เดินเข้ามายืนข้างๆผม พร้อมกับหยิบข้าวกล่องออกมา

“อะไร? ซื้อมาเหมือนกันเลยเหรอ?” พี่เขาหันมาถาม เมื่อผมรั้งข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ให้รื้อข้าวอีกกล่องออกมาดู
“อ..อือ” ผมพยักหน้าพลางเค้นเสียงออกมาด้วย

ปึก!

ผมเบิกตาโตอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆคนข้างๆ ก็พลิกตัวผมให้หันหลังเพื่อยืนพิงกับตู้หนังสือ จากนั้นอีกฝ่ายก็ขยับตัวเข้ามาคล่อมทับผมไว้ โดยใช้วงแขนเป็นกรงขัง และใช้ฝ่ามือจับยืดข้อมือทั้งสองข้างของผม ส่วนริมฝีปากหนาคู่นั้นก็ประทับลงบนริมฝีปากของผม พลางขบเม้มอย่างเร่าร้อน จนสติของผมกระเจิดกระเจิง หากแต่สายตาของผมก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงพี่เขาได้ เพราะผมกำลังวางตัวไม่ถูก และไม่รู้ว่าในสถานการณ์อย่างนี้ผมควรต้องทำอย่างไร
อาจต้องกำจัดผีเสื้อนับร้อยที่บินว่อนอยู่ในอกก่อนดี หรือว่าจะไปตามหาสติที่มันหลุดลอยหายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แทน
   
“ต่อไปเวลาที่เราจูบกัน มึงต้องอ้าปากด้วย”


-----------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น > แอปพลิเคชัน
ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าผสมผสานทุกอารมณ์เนอะ ทั้งหวาน อบอุ่น แล้วก็หม่นๆ
เขามีจูบแรกต่อกันแล้วค่า 555 ไม่ได้เขียนเลิฟซีนมานาน ก็เลยเขียนได้ประมาณนี้แหละค่ะ 5555
ส่วนพี่เนย์ก็จะขี้อวดและมีมุมเด็กๆออกมาบ้าง เพราะถึงเจ้าตัวจะโตแล้วแต่ยังจูบปากพ่อแม่อยู่นะคะ อิอิ
ภาษามือสำหรับตอนนี้สามารถดูได้ที่สารบัญรวมภาษามือที่เราทำเอาไว้ในเด็กดีค่ะ > จิ้ม

และหากใครชื่นชอบเรื่องนี้ สามารถติดแท็กในทวิตเตอร์ได้เลยค่ะ เราไปสิงอยู่ที่นั่นบ่อย #ฟอลอินยู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:07:35 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่เนย์เล่นทีเผลอ :-[ โอยยย ฟินก็ฟิน แต่ก็แอบหวงน้องรัน :serius2: ว่าแต่เบสนี่ไหงโผล่มาหอนี้ได้ล่ะ อยุ่หอนี้อยุ่แล้วหรือแวะมาหาพี่เนย์หว่า กลัวว่าเบสนี่จะสร้างปัญหาในอนาคตจัง  :hao5:

รอตอนต่อไปนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ร้ายยยนะเน

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกมากๆค่ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 18



“เป็นบ้าเหรอมึง ?” ระหว่างเรียนวิชาภาษาไทยด้านการเขียน ไอ้หมอกมันก็กระซิบกระซาบถามผมด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
‘..?..’ ผมจึงหันไปเขียนเครื่องหมายคำถามใส่ลงในสมุดจดเลคเชอร์ของมันด้วยความไม่เข้าใจว่าใครกันแน่ที่เป็นบ้า

“ก็มึงนั่งเหม่อจนอาจารย์เขาเริ่มสอนชีทหน้าใหม่แล้ว มือน่ะก็ลูบปากเข้าไปสิ เป็นเชี่ยไรปากแตกเหรอ?” ไอ้หมอกมันย้อนถามมาเป็นชุด ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลายแทบไม่ทัน เลยต้องเฉไฉเปิดชีทไปยังหน้าถัดไป แล้วก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนให้มากกว่าที่เป็นอยู่
“เพื่อนมึงอาจจะปากไม่แตก แต่คงทาลิปมันยี่ห้อเดียวกับคนที่เรียนเอกจิตวิทยาล่ะมั้ง” ทันทีที่ไอ้คินพูดจบ ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับไอ้คินก็ถึงกับหันควับมามองอย่างรวดเร็ว

“อ้อ.. กูเข้าใจละ พยายามตั้งใจเรียนเข้านะมึง” ไอ้หมอกมันเอาปากกาเหน็บตรงข้างหู พลางเอื้อมมือมาตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ พร้อมกับกลั้นขำเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้ผมไม่รู้สึกอายน้อยลงเลย
เชี่ยเถอะ! ทำไมผมถึงไม่สามารถปิดบังพวกมันได้เลยเนี่ย!

ตั้งแต่วันนั้นวันที่เราจูบกัน ผมก็มั่นใจได้เลยว่าความรู้สึกทางใจมันพัฒนาไปมาก มากจนรวดเร็วเหมือนกับตอนที่เสือชีตาร์กำลังวิ่ง แต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับมีความเร็วเท่าเต่าคลาน ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราดูไม่บาลานซ์กันเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกชื่นชอบความสัมพันธ์ของเราไม่ว่าจะในรูปแบบไหนอยู่ดี

“วันนี้จะไปกินร้านไหนกันดีวะ?” ระหว่างเดินลงบันไดหลังจากเลิกคลาสไอ้หมอกมันก็หันมาถามความคิดเห็น
“ไปกินร้านแถวๆคณะวิศวะมั้ยมึง เรายังไม่เคยไปกันเลยนี่หว่า” ไอ้คินเสนอ

“ไปแย่งกับพวกวิศวะเนี่ยนะ มึงครับ คณะเขาคนเยอะที่สุดในมหาลัยเลยมั้ง จะได้แดกเมื่อไหร่ล่ะนั่น” ไอ้หมอกมันแย้งแบบไม่เห็นด้วย
“เฮ้ยคณะเขาก็มีทั้งโรงอาหารกับร้านแถวๆนั้นด้วยนะมึง มันก็น่าจะถัวเฉลี่ยกันไหม อีกอย่างพวกวิศวะมันก็อาจจะไปกินข้าวที่โรงอาหารกลางเพื่อไปเปิดหูเปิดตาก็ได้นี่หว่า ไปเหอะอย่าเรื่องมากเลยครับมึง กูคิดออกแค่นี้” ไอ้คินมันว่าพลางกอดคอพวกผมให้รีบวิ่งลงบันไดเร็วๆ เพราะช่วงบ่ายมีเรียนกันอีกตัว

“อ้าวแอ้ม อิ๋ม นิ้ง มาทำอะไรเนี่ย?” ไอ้คินทักทายหญิงสาวต่างคณะอย่างเป็นกันเอง
“ฮั่นแน่ ติดใจอะไรที่คณะเราหรือเปล่าเนี่ย” ไอ้หมอกได้ทีก็รีบล้อหญิงสาวทั้งสามคนยกใหญ่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆพวกมัน

“พอดีเรามาหาเพื่อนน่ะ แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอ?” นิ้งตอบพลางถามกลับมา
“กินข้าวดิ เที่ยงแล้วเนี่ย” ไอ้คินตอบพลางชี้ไปที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเอง

“ไปด้วยกันไหมล่ะ เราว่าจะไปกินแถวคณะวิศวะ” ไอ้หมอกถือโอกาสชวน พลางหันไปขยิบตาให้ไอ้คินหนึ่งที จนผมถึงกับหรี่ตามองเพื่อนตัวสูงอีกคนทันที
ท่าทางว่าผมจะตกข่าวอะไรหรือเปล่านั่น

“ไปสิ แอ้มมันก็บ่นอยากไปกินข้าวแถวๆนั้นพอดีเลย ใช่มั้ย?” อิ๋มว่าพลางหันไปกระทุ้งสีข้างของเพื่อนสาวอีกคนที่เธอเอ่ยชื่อ
“อ..อื้อ” ทันทีที่เธอตอบอย่างเอียงอาย ผมก็หันไปมองไอ้คินบ้าง จนทันได้เห็นเสือยิ้มยากอย่างมันหลุดยิ้มออกมา จากนั้นสายตาผมก็หันไปสบเข้ากับไอ้หมอกพอดี มันเลยยักคิ้วให้
แสดงว่าการติวข้อสอบในวันนั้น ที่แท้มันก็มีนัยยะสำคัญแบบนี้นี่เอง

“เป็นเชี่ยไรไอ้รัน” ขณะที่กำลังจะเดินลงบันไดขั้นเล็กตรงหน้าตึกคณะ ผมก็หันไปเห็นพี่เบสกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ จังหวะการก้าวเดินของผมจึงสะดุดไป
“…” ผมยิ้มให้ไอ้หมอก จากนั้นก็วิ่งเข้าไปกอดคอและเดินไปพร้อมกับมัน ขณะที่หางตาของผมก็มองไปที่ใครคนนั้นที่สาวๆหลายคนต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากมาย ด้วยเพราะเขาเป็นดารานักแสดง และยังโดดเด่นจนน่ามอง

Rrrrrrr

“เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนกูซื้ออาหารไอ้เขี้ยวกุดหน่อย” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบพูดขึ้นมาราวกับกลัวว่าจะไม่ได้พูดเสียอย่างนั้น
“อ..อือ”

“ตามนั้น แล้วเจอกัน” พี่เนย์วางสายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้คำตอบ ทำเอาผมได้แต่มองโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่นิ่งด้วยความรู้สึกกังวล กลัวว่าที่พี่เขารีบวางสาย มันจะเป็นเพราะพี่เบสหรือเปล่า เล่นมานั่งรอที่หน้าคณะขนาดนั้น
แต่ว่า.. พี่เนย์ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว มาเร็วไปเร็วเสมอ ไม่โรแมนติก ไม่ได้ตัวติดกัน ทุกอย่างที่พี่เขาทำยังเหมือนเดิม มีแต่ผมที่กังวลไปเอง เพราะผมไม่มีอะไรที่จะเทียบกับใครคนนั้นได้เลยสักอย่าง

“นั่นน้องรันแฟนไอ้เนย์ใช่ไหมน่ะ?” เมื่อมาถึงร้านผมก็เลือกที่นั่งด้านในสุดตามความเคยชิน แต่ก็ได้ยินเสียงของใครสักคนดูเหมือนจะพูดถึงผมอยู่
“ไหนๆ อ้าวรัน บังเอิญจัง” ผมยกมือไหว้พี่เอ้ เพื่อนพี่เนย์ ซึ่งพี่เขาก็รับไหว้และยิ้มอย่างดีใจ

“ขอตัวเพื่อนแป๊ปนึงนะคะ” พี่เอ้หันไปพูดกับเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มผม จากนั้นก็เดินมาจูงมือผมให้ไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่ตรงกันข้าม
“คนนี้แหละ บาสยังไม่เคยเจอน้องนี่” ผมยกมือไหว้พี่บาสคนที่เป็นแฟนพี่เอ้ พลางยิ้มบางๆ ให้พี่เขา

“อืม ใช่คลาดกันตลอด” ระหว่างที่พี่เขาพูด ผมก็นึกไปถึงวันที่ผมบังเอิญเจอเพื่อนพี่เนย์ที่คาเฟ่แถวหอพักตอนช่วงสอบ คาดว่าในร้านกาแฟวันนั้นอาจจะมีเพื่อนร่วมสาขาอยู่ด้วย จึงทำให้ผมไม่ได้เอะใจว่ายังเจอเพื่อนของพี่เนย์ไม่ครบ แถมวันที่เจอกันตรงหน้าร้านถ่ายเอกสารก็มากันไม่ครบกลุ่มด้วย
แต่เอาเข้าจริง ผมก็ยังไม่ทราบว่ากลุ่มของพี่เนย์มีกันอยู่กี่คนด้วยน่ะแหละ

“แฟนเราแม่งบ้าเห่อมาก อวดไอ้เขี้ยวกุดทั้งวันจนพี่จะเป็นบ้าตาย” พี่บาสพูดขึ้น ทำเอาผมหลุดขำออกมาเพราะนึกออกเลยว่าอีกฝ่ายจะออกอาการแบบไหน ขนาดกับผมยังอวดลูกชายตัวโปรดอยู่บ่อยๆเลย แล้วนี่เพื่อนสนิททั้งคนพี่เขาต้องไม่พลาดที่จะอวดไอ้เขี้ยวกุดอยู่แล้ว
“ไอ้บาสมันกลัวสัตว์เลื้อยคลานน่ะ ไอ้เนย์มันเลยชอบเปิดรูปให้ดูบ่อยๆ ตามประสาคนกวนประสาทไง” พี่เอ้แอบนินทาทั้งพี่เนย์และแฟนตัวเอง โดยการกระซิบกระซาบกับผมอย่างออกรส

“ปล่อยน้องมันไปกินข้าวก่อนดีมั้ยเอ้ ไม่รู้น้องมันมีเรียนต่อหรือเปล่า”
“เออใช่ โทษทีนะรัน เชิญตามสบายจ้า” พอพี่เอ้ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมจึงไหว้ลาพวกพี่ทั้งสองคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องพี่เนย์สักหน่อย

‘พี่เนย์กับพี่บาสอีกคนไปไหนเหรอครับ ทำไมถึงมากินกันสองคน’ ผมเดินไปสะกิดขอโทรศัพท์จากไอ้คิน จากนั้นก็ยืนพิมพ์ข้อความอยู่สักพักจึงยื่นไปให้พี่เอ้อ่าน
“อ๋อ ไอ้เนย์มันซื้ออาหารกล่องเข้าไปกินที่หอน่ะ ส่วนไอ้ตี๋บาสมันไปกินกับไอ้เปรม ประมาณว่าเพื่อนพี่มันมีคู่อริอยู่คณะวิศวะน่ะ เราเลยต้องแยกกันไปคนละทิศละทาง” พี่เอ้อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนพลางขยิบตาให้ผม เมื่อได้เผาเพื่อนตัวเอง

ผมยิ้มทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง และคืนโทรศัพท์ให้ไอ้คิน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความไปแซ็วคนขี้เห่อ ที่เดี๋ยวนี้มื้อกลางวันต้องซื้อข้าวกล่องเข้าไปกินเพราะต้องให้อาหารไอ้เขี้ยวกุด
ท่าทางว่าปากท้องของเจ้าลูกชายจะสำคัญกว่าปากท้องของตัวเองไปแล้ว

‘กินข้าวกับเขี้ยวกุดอร่อยไหมครับ’
‘มึงรู้ได้ไงวะ’ พี่เนย์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

‘พอดีผมเจอพี่เอ้กับพี่บาสครับ มากินข้าวร้านเดียวกัน’
‘อ้อ มันเลยถือโอกาสเผากูกับมึงเลยว่างั้น’

‘ก็ประมาณนั้นครับ’
‘แล้วเป็นไง ได้คุยกับเพื่อนกูแล้ว’

‘ก็น่ารักดีครับ’
‘แล้วถ้ากูจะพามึงไปแนะนำกับพวกมันวันศุกร์นี้ มึงจะว่าไง?’

‘ไม่มีปัญหาครับ’ ผมนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจตอบตกลง เพราะผมคิดว่ากำแพงเล็กๆที่ผมสร้างเอาไว้ไม่ได้แน่นหนานัก เพื่อนของพี่เนย์จึงค่อยๆก้าวเข้ามาในโลกของผมได้อย่างแยบยล ไม่ต่างกับสาวๆจากคณะบัญชี ที่ตอนนี้ผมเริ่มพูดคุยตอบโต้กับพวกเธอมากขึ้นแล้ว

หากเปรียบจิตใจของผมเหมือนกับผ้าขาว ที่เคยมีรอยเปรอะเปื้อนจนซักไม่ออก เพราะเลือกใช้ผงซักฟอกที่ไม่ได้มาตราฐาน หรือไม่ก็อาจจะใช้เครื่องซักผ้าที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ กระทั่งวันนี้วันที่ผมมีผู้จัดการส่วนตัวอย่างพี่อาคเนย์เป็นคนเลือกสรรเครื่องซักผ้าอย่างดีมาให้ และยังเลือกใช้ผงซักฟอกที่มาพร้อมกับเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นอีก ผ้าขาวที่ไม่เคยซักออก ก็ค่อยๆได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จนคราบเปรอะเปื้อนมันเริ่มจางหายไปทีละน้อย ซ้ำยังมีฮีตเตอร์อย่างดีที่คอยให้ความอบอุ่น ผ้าขาวที่กำลังเปียกปอนเพราะการซักล้าง ก็ค่อยๆแห้งหมาดอย่างรวดเร็ว

“ไม่ชอบก็ต้องกินนะมึง กูสั่งไปแล้ว เสียดายของ” ไอ้หมอกมันสะกิดพลางพยักพเยิดให้ผมรีบกินข้าว ผมจึงหยุดคิดเรื่องที่พี่เนย์เคยพูดไว้ว่าให้ผมค่อยๆเปิดใจเรียนรู้เพื่อนร่วมโลกในสังคมที่เป็นของเรา
“ขอโทษนะ เราถามได้หรือเปล่า คือเมื่อกี้เราได้ยินว่ารันเป็นแฟนกับพี่เนย์ ใช่พี่อาคเนย์เอกจิตวิทยาหรือเปล่า?” ขณะที่ผมเริ่มลงมือกินข้าว นิ้งก็ถามถึงเรื่องส่วนตัวของผมขึ้นมา

“…” ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนต่างคณะ จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลง เมื่อตัดสินใจดีแล้ว
“ก็ว่าอยู่ ทำไมพี่เนย์ถึงแชร์คลิปที่รันทำแคมเปญของสาขาลงเฟซ”

‘ไม่คิดว่าพี่เขาแชร์เพราะอยากช่วยเผยแพร่สาขาของเราหรือไม่ก็ภาษามือบ้างเหรอ?’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของตัวเอง พลางยื่นไปตรงหน้าของสามสาวต่างคณะ
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่เห็นพี่เนย์ลงคลิปเขี้ยวกุดแล้วแท็กรันด้วยไง แถมยังชอบเห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆอีก ก็เลย.. อ่า.. นั่นแหละ” อิ๋มเป็นฝ่ายตอบพลางยิ้มอายๆ เมื่อเธอกำลังสารภาพกับผมกลายๆว่าแอบส่องเฟซของแฟนผม

‘เราถามหน่อยสิ พี่เนย์ดังมากเลยเหรอ?’ ผมยิ้มพลางตั้งถามที่นึกสงสัย แม้ว่าจะเคยได้เห็นด้วยตาตัวเองผ่านทางข้อความจากในเฟซแล้วก็ตาม
“ดังสิ แต่ดังเพราะเคยเป็นคู่วายที่คนชอบเยอะมากๆน่ะ”

‘ประมาณเน็ตไอดอลอย่างนั้นน่ะเหรอ?’
“ก็ทำนองนั้น” นิ้งพยักหน้า ส่วนผมก็จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด

เพราะถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจคำว่า ‘คู่วาย’ อะไรนั่นก็เถอะ แต่ผมก็พอจะเดาได้จากบทสนทนาของสามสาวต่างคณะที่เคยพูดถึงเมื่อครั้งเจอหน้ากันครั้งแรกที่โรงอาหารกลาง ทำนองว่าพี่เนย์เลิกกับพี่เบสเพราะทำให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องส่วนรวม แล้วจากนั้นพี่เบสก็ได้เล่นซีรีส์เฉพาะกลุ่ม ซึ่งก็ดังและเป็นที่รู้จักของวัยรุ่นสาวๆที่ชื่นชอบอะไรแบบนี้
ถ้าอย่างนั้น มันจะเป็นไปได้ไหมว่า..
ความจริงแล้วที่พวกเขาเลิกกัน อาจเพราะไม่ได้เต็มใจที่จะเลิก ตอนนี้ถึงได้ยังติดต่อกันอยู่ แถมบางที เรื่องที่ทุกคนรู้ มันก็อาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้

-------------------------------------------------------------

วันนี้มาลงช้าหน่อย พอดีติดธุระค่ะ แถมตอนนี้ยังสั้นอีก T[]T
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันอย่างต่อเนื่องค่ะ ส่วนใครคิดถึงคุณพระเอกนั้น ตอนหน้านะคะ 555
ทาลิปมัน.. จะทากันอีกเมื่อไหร่ดี ?_?

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมน้องรันคิดเยอะ แถมดึงไปดราม่าเองด้วย เรายังไม่เห็นประเด็นตรงไหนเลย นอกจากเขาเคยเป็นแฟนกันอะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น้องรัน อย่าคิดมากกกก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่าคิดมากซิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ปมในใจ เห็นอะไรก็คิด

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อย่าคิดมากสิรันเอ้ยยย

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
น้องรันอย่าคิดมากนะ โอ๋ๆ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 19



ผมยอมรับว่าผมซึมลงไปเยอะ เพราะผมคิดไปเอง อีกทั้งการกระทำของพี่เบสก็ยังชวนให้คิด เพราะผมเจอพี่เบสที่หน้าตึกคณะช่วงพักกลางวันบ่อยมาก จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า บางทีการให้อิสระกันมากเกินไป มันก็ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกันได้ และผมก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบถามซอกแซก ความหน่วงในอกมันก็เลยฟุ้งกระจายเต็มไปหมด
“มึงจะดูทำไมวะไอ้รัน มันก็แค่การตลาด แค่ความคิดเห็นของคนน่ะมึง” ไอ้คินมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อช่วงนี้ผมเอาแต่ไถทามไลน์ในเฟซบุ๊กของตัวเอง เพียงเพื่อจะดูว่าเพื่อนๆของผมได้แชร์รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับพี่เนย์และพี่เบสอีกหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้จะมีรูปทำนองนั้นออกมาเยอะมาก ถึงจะเป็นรูปเก่าๆก็เถอะ

จากที่อ่านคร่าวๆ ตอนนี้เหมือนจะมีการเปิดแคสนักแสดงของซีรีส์เรื่องใหม่ แฟนคลับของนิยายเรื่องนั้น ซึ่งก็คือพวกเพื่อนๆผู้หญิงในสาขาของผม บางคนก็ร่วมแชร์ความคิดเห็นด้วย จนลุกลามไปถึงเรื่องราวส่วนตัวเมื่อครั้งนั้นของคนสองคนที่พวกเขาอยากให้ได้เล่นซีรีส์คู่กัน
“พวกเขาสองคนจะเคยคบกันหรือไม่เคยคบ กูว่ามันก็ไม่ใช่ประเด็นมั้ยมึง ตอนนี้มึงคือแฟนของพี่เนย์ พี่เขาเลือกมึง มันสำคัญแค่นั้น แต่ถ้ามึงกลัวว่าเขาจะกลับมาคุยกัน กูก็บอกมึงได้แค่ว่า ‘ทำใจ’ ซะ เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะถ้าคนจะไป ยังไงมันก็ไป กูไม่ได้จะพูดเพื่อตอกย้ำนะ แต่กูพูดเพื่อให้มึงลองมองในอีกมุม หรือไม่มึงก็ถามพี่เนย์ไปเลยว่าตกลงแล้วพี่เขาอยากกลับไปคืนดีด้วยหรือเปล่า เผื่อบางทีไอ้พี่เบสอะไรนั่น มันอาจจะแค่ไปคุยเรื่องงานที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ก็ได้”

“อืม ใช่ กูได้ยินมาจากแอ้มประมาณว่าซีรีส์เรื่องใหม่เขาอยากได้พี่เนย์ไปเล่น ก็เลยให้พี่เบสช่วยติดต่อให้ เพราะหาทางนั้นเขาติดต่อพี่เนย์ไม่ได้ มึงอย่าคิดมากดิวะ”
“…” ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นมาอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปตามนัด เพราะวันนี้พี่เนย์จะพาผมไปแนะนำกับเพื่อนของเขา

“รันช่วงนี้มึงเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?” เมื่อขึ้นมาบนรถ พี่เนย์ก็ถามผมพลางยกมือขึ้นอังหน้าผาก
“…” ผมส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธว่าผมไม่ได้เป็นอะไร อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

Rrrrr

“มีอะไร” พี่เนย์รับสายเสียงห้วน ขณะขับรถไปตามเส้นทางที่มุ่งไปยังร้านอันเป็นที่นัดหมายของกลุ่มเพื่อน
“เบส ตอนนี้กูไม่ว่าง และกูก็บอกมึงไปแล้วนะว่าไม่ ทำไมไม่จบวะ แค่นี้” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงกระชาก จากนั้นก็วางสาย และบรรยากาศภายในรถก็เริ่มรู้สึกอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก

Rrrrr
Rrrrr Rrrrr

โทรศัพท์ของพี่เนย์สั่นไหวอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเรามาถึงร้านอาหารทะเลอันเป็นที่นัดหมาย จากนั้นพี่เนย์ก็โทรหาเพื่อน เพื่อพาผมไปยังโต๊ะที่ได้จับจองไว้ ก่อนจะแนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนของพี่เนย์อย่างเป็นทางการ ซึ่งกลุ่มของพี่เขามีอยู่ด้วยกันห้าคน
ก็คือพี่เนย์ พี่เอ้ พี่บาสแฟนพี่เอ้ พี่บาสที่ผมเจอบ่อยๆ แต่ในกลุ่มเพื่อนจะเรียกว่าไอ้ตี๋บาส แล้วก็พี่เปรมคนที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ จนเกือบจะลืมไปแล้ว

“หงุดหงิดอะไรวะ หน้าหงิกเลย” พี่ตี๋บาสถามด้วยความสงสัย เมื่อพี่เนย์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างที่เพื่อนเว้นไว้ให้สองตัว

Rrrrr Rrrrr

“เชี่ยเอ้ย เดี๋ยวกูมา” พี่เนย์สบถ จากนั้นก็เดินออกไปจากโต๊ะพร้อมกับรับโทรศัพท์ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ พี่ๆคนอื่นก็เลยหันมายิ้มให้ผม พลางสอบถามว่าจะทานน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่า ก่อนจะหยิบเมนูอาหารมาให้ผมเลือกเพิ่ม เพราะพวกพี่เขาบอกว่ามื้อนี้จะเลี้ยงผม และไม่ต้องเกรงใจ
“กูว่าเรื่องไอ้เบสแน่ๆเลยว่ะ” พี่เปรมพยักหน้าไปทางคนตัวโตที่กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะกระซิบเบาๆกับเพื่อนคนอื่นๆ

“ไอ้เชี่ยเปรม” พี่เอ้ถลึงตาใส่เจ้าของชื่อ พลางพยักพเยิดมาทางผม ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแก้เก้อ
“เดี๋ยวกูมา พวกมึงกินกันไปก่อนเลย” พี่เนย์บอกเพื่อนตัวเอง พลางเอื้อมมือมาลูบหัวผมก่อนจะเดินจากไป
เพราะคนจากปลายสายเมื่อสักครู่แน่ๆ

“เชี่ยแม่ง อารมณ์เสีย” พี่เอ้พิงพนักเก้าอี้ด้วยไม่สบอารมณ์
“พวกมึงดูนะ ขนาดเลิกกันแล้ว แม่งยังเอาแต่ใจกับไอ้เนย์อยู่ได้”

“เบสมันอาจจะเรียกไปคุยเรื่องซีรีส์อะไรนั่นก็ได้มั้งมึง” พี่ตี๋บาสเอ่ยขึ้น
“…” ผมนั่งฟังพวกพี่เขาพูดคุยกันได้สักพัก ก็รู้สึกเหมือนกับก้อนอะไรสักอย่างมันจุกอยู่ในลำคอ อีกทั้งขอบตาก็เริ่มจะร้อนผ่าว เมื่อพี่เนย์เลือกที่จะเดินไปหาคนที่เคยเป็นแฟนเก่า ทั้งๆที่ตัวเองหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะไป โดยทิ้งผมไว้กับเพื่อนของตัวเอง ในวันที่พวกเรานัดหมายกันว่า วันนี้จะเป็นวันที่ผมเปิดใจให้เพื่อนๆของพี่เนย์ก้าวเข้ามาในโลกของผม
ทั้งๆที่ผมต้องการกำลังใจ ต้องการให้พี่เขาอยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาอย่างนี้แท้ๆ
แต่สุดท้าย พี่เนย์ก็ทิ้งผมไปอย่างไม่ใยดี

“มะ..อึง..มา..ระ..อับ” ทันทีที่ผมแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนของพี่เนย์เพราะกล่าวอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ผมก็หลบออกมาข้างนอกร้านตรงลานจอดรถมืดๆ และโทรหาไอ้คิน ด้วยไม่ทันคิดให้รอบคอบว่าวิธีนี้มันเป็นวิธีที่ตัวเองไม่สะดวกเลยสักนิด เพราะขณะที่กำลังพูดน้ำตาของผมก็ยิ่งไหล การเค้นเสียงที่ว่ายากอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ในเมื่อผมกำลังร้องไห้จนตัวโยนด้วยความกลัว กังวล และน้อยใจ
“…” ผมทรุดตัวนั่งลงร้องไห้เงียบๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองดี เพราะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
เพราะแม้แต่จะพูดผมก็ยังพูดให้เป็นคำไม่ได้

ติ้ง!
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง!

‘พวกมึงมารับกูเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม กูอยากกลับหอแล้ว มาเร็วๆนะ’ ผมตัดสินใจเช็ดหน้าเช็ดตา พลางนั่งคุดคู้พิมพ์ข้อความแชทส่งไปให้เพื่อนสนิททั้งสองคนหลังจากที่พวกมันรัวแชทมาหาผมจนโทรศัพท์ผมแทบค้าง ขณะที่น้ำตาก็ยังคงไหลเป็นทางโดยไม่มีทีท่าที่จะหยุด
‘ได้ดิ มึงแชร์โลเกชั่นมา เดี๋ยวกูไปยืมรถไอ้โชคมารับ’

Rrrrr Rrrrr

“รัน มึงได้ยินกูมั้ย”
“…” ผมเลือกที่จะกดปุ่มไหนสักปุ่มเพื่อบอกให้ไอ้หมอกมันรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่

“ไอ้คินมันกำลังไปยืมรถไอ้โชคอยู่ เดี๋ยวมันคงออกไปแล้วแหละ มึงรอก่อน”
“…”

“นี่ถ้าพวกกูรู้จักใครสักคนที่มีรถใหญ่ พวกกูคงยกโขยงกันไปรับมึงแล้วเนี่ย” ผมอมยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อไอ้หมอกมันพูดแกมหยอก แต่ก็แฝงให้รู้ว่าถึงมันจะไม่ได้นั่งรถมากับไอ้คิน แต่มันก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน
แต่ด้วยความที่ร้านที่พวกพี่เนย์พาผมมา มันอยู่ไกลจากมหาลัย จึงต้องใช้เวลาในการเดินทาง ผมเลยเลือกที่จะกดวางสาย และไลน์ไปบอกไอ้หมอกว่าผมรอได้ เพื่อไม่ให้มันต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งมันอยู่กับผมในสาย ผมก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าถ้าหากผมร้องในตอนนี้ ผมก็ยังมีเพื่อนที่คอยปลอบใจผมอยู่

“รัน” ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นคนที่เขาเพิ่งจะทิ้งผม เพื่อไปหาใครอีกคนเมื่อครู่ ทำนบน้ำตาของผมก็ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก เพราะผมโล่งใจที่พี่เขากลับมาอยู่ตรงนี้แล้ว
“กูขอโทษ” พี่เขาย่อตัวลงนั่งยองๆในระดับเดียวกัน พลางวางฝ่ามือหนาลงบนศีรษะของผมก่อนจะลูบเบาๆ

“กูไม่รู้ว่ามึงกำลังคิดมากเรื่องนี้ กูคงคิดน้อยไปเองแหละ” พี่เขารวบตัวผมเข้ามากอดไว้ จากนั้นก็กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหู
“…” ผมกอดพี่เขาแน่น พลางซุกหน้าลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ขณะที่น้ำตาก็ยังคงไหลไม่ขาดสาย เพราะผมดีใจที่พี่เขาไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมกังวล

“เรื่องของกูกับเขามันจบไปแล้ว แต่ที่กูต้องไป เพราะเขานัดผู้จัดมาคุยกับกูเรื่องซีรีส์อะไรนั่น ซึ่งกูไม่สนใจ และกูต้องการให้มันจบ กูถึงต้องไปคุย” พี่เขาผละผมออกจากอ้อมกอด จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือใหญ่ๆของเจ้าตัว เช็ดใบหน้าของผมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

“ณ ตอนนี้ คนที่พี่เลือกคือรัน เข้าใจไหม?” พี่เนย์ยกยิ้มเหมือนกับตอนที่พูดคุยเรื่องของครอบครัวตัวเองอีกครั้ง ทำเอาผมต้องพยักหน้าและยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่
“งั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว คนเก่งของกูไม่ใช่คนขี้แยนี่หว่า” พี่เขาประคองใบหน้าของผมไว้ พลางพูดแกมหยอก จากนั้นริมฝีปากคู่นั้นก็แตะกับริมฝีปากของผมอยู่หลายที ราวกับกำลังหยอกเย้าผมเล่น

“กลับไปกินบะหมี่ข้างทางแถวหอกูดีกว่า เดี๋ยวไว้ค่อยนัดเจอกับเพื่อนกูใหม่วันหลังดีไหม?”
“…” ผมพยักหน้า พลางหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เพื่อที่จะให้พี่เนย์โทรไปสอบถามไอ้คินว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะว่านี่มันนานพอสมควรแล้ว แต่ไอ้คินก็ยังมาไม่ถึง ผมกลัวว่ามันจะประสบอุบัติเหตุ เพราะมันขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาที่ถนนใหญ่คนเดียว แถมยังดึกมาแล้วด้วย

“จะให้กูโทรหาไอ้คินเหรอ?” พี่เขาถาม เมื่อผมค้างหน้าจอโทรศัพท์เอาไว้ที่สมุดรายชื่อที่เมมไว้ในเครื่อง ซึ่งเป็นเบอร์โทรของไอ้คิน
“…” ผมพยักหน้า

“มันเป็นคนโทรบอกให้กูรีบมาหามึงเอง มันอยากให้มึงเคลียร์กับกูให้เข้าใจภายในคืนนี้” พี่เขาอธิบาย จากนั้นก็กดโทรหาไอ้คินตามที่ผมขอร้อง
“กูเอง.. เข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้คืนดีกันแล้ว เออ.. แต่คืนนี้คงกลับไม่ทันหอปิดหรอกว่ะ มันอาจจะต้องค้างหอกู เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาคืน” ทันทีที่พี่เนย์พูดจบก็รีบวางสายและคืนโทรศัพท์กลับมาให้

“ไป.. ไปลาเพื่อนกูก่อน มันตกใจกันใหญ่ที่มึงหายไป” พี่เนย์ลุกขึ้นยืน พลางยื่นมือออกมาให้ผมจับ และทันทีที่ผมยื่นมือออกไปจับฝ่ามือคู่นั้น คนตัวโตก็ออกแรงฉุดให้ผมลุกขึ้น และเดินเข้าไปข้างในร้านด้วยกัน และทันทีที่เพื่อนพี่เนย์เห็นหน้าผม พี่เขาก็ถอนหายใจกันเป็นแถว ทำเอาผมรู้สึกผิดที่ก่อความวุ่นวายให้พวกพี่เขา
“อย่าคิดมากนะรัน เชื่อพี่.. ตอนนี้ไอ้เนย์กับดารานั่น จบกันแล้วแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์” พี่เอ้เดินเข้ามาจูงมือผมให้นั่งที่เก้าอี้ตัวที่เธอนั่ง จากนั้นก็ลูบแก้มผมยกใหญ่ จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ต้องปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อผมกลัวและรับไม่ได้กับข้อบกพร่องของตัวเอง

“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับคำพูดของพี่เอ้
“พวกพี่เองก็ผิด ที่พูดเรื่องเบสขึ้นมาด้วย”

“…” ผมส่ายหน้าให้พี่เปรม เพราะความจริงแล้วพวกพี่เขาไม่ได้ผิดอะไร ในเมื่อความเป็นจริงของเรื่องนี้มันก็ไม่มีอะไรเลย พวกพี่เขาถึงไม่ได้คาดคิดว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกคิดมาก จนกลายเป็นบ่อเกิดของความน้อยใจที่มีต่อพี่เนย์
“ขะ..ออ..” ผมขยับปากอย่างช้าๆ เมื่อผมต้องการจะบอกคำๆหนึ่งให้พวกพี่เขาทราบ

“พิมพ์เอาสิรัน” พี่เนย์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม พลางวางมือลงบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง
“…” ผมส่ายหัว

“ขะ..ออ..ทะ..โอท”
“ขอโทษ ?” พี่ตี๋บาสแปลถ้อยคำของผมในเชิงซักถาม ผมจึงพยักหน้าพลางยิ้มให้พวกพี่ๆทุกคนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องวุ่นวาย

“ขอโทษทำไมกัน เราไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย” พี่บาสแฟนพี่เอ้พูดขึ้นมาบ้าง พี่เอ้จึงรีบพยักหน้าสำทับ
“งั้นกูกลับก่อนดีกว่าว่ะ ไว้ค่อยนัดกันใหม่”

“เออๆ ไม่มีปัญหา เคลียร์กันให้เข้าใจนะมึง”
“อืม ไปนะ” พี่เขาร่ำลากับเพื่อนพักใหญ่ จากนั้นก็จูงมือผมเดินออกจากร้าน โดยมีเป้าหมายว่ามื้อค่ำวันนี้เราจะไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เราเคยไปกินด้วยกันตอนช่วงที่กำลังทำแคมเปญภาษามือของสาขา

“ต่อไป ถ้ามึงสงสัยหรือระแวงอะไรในตัวกู มึงถามได้ทุกเรื่องเลย เข้าใจไหม เพราะมึงคือแฟนกู มึงมีสิทธิที่จะถาม”
“…” ผมพยักหน้ารับ

“กลับกัน ถ้ากูมีเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับมึง กูก็จะถามมึงเหมือนกัน”
“คะ..อับ”

“ฝึกพูดกับกูมากๆ เดี๋ยวกูก็จูบมึงอีกหรอก ไม่รู้หรือไงว่ากูแพ้ทางตอนที่มึงพูด กับตอนที่มึงใช้ภาษามือ”


----------------------------------------------------------------------

ใครที่กลัวว่าจะดราม่า ก็สบายใจได้แล้วเนอะ คือรันเองก็รู้ตัวแหละว่าคิดมากไปเอง แต่น้องไม่ใช่คนชอบซักชอบถาม ก็เลยเป็นแบบนี้ แถมยังมีปมในใจที่เปิดออกยากด้วย เลยทำให้เป็นคนคิดมาก
แล้วคือเรื่องนี้เราอยากจะเน้นให้พี่เนย์ทำให้รันเปิดใจให้คนอื่นให้ได้ค่ะ เพราะถ้าไม่เริ่มตอนนี้รันต้องลำบากแน่ในอนาคต แต่อาจจะยังไม่ใช่คนทั่วไป เอาเป็นแค่กลุ่มเพื่อนของพี่เนย์ก่อน แล้วจากนั้นมันก็จะส่งผลกระทบต่อสาวๆคณะบัญชีที่เพื่อนคินแอบปลื้ม เพราะสาวๆกลุ่มนี้ถึงรันจะเปิดใจได้เยอะ แต่ก็ยังไม่สุด ส่วนสังคมอื่นๆ เราอาจจะไปเขียนเพิ่มในสเปเอาค่ะ
ปล. มันคือนิยายฟีลกู๊ดค่ะ ดราม่าเราไม่ค่อยถนัด 555 หรือถ้ามีเราไม่เคยเขียนได้นานเกิน เพราะเราสงสารตัวละครค่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด