[[[< มนตราในราตรี > ]]] ความหลงใหลในแวมไพร์ - ตอนที่ 17 (10 มีค 61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [[[< มนตราในราตรี > ]]] ความหลงใหลในแวมไพร์ - ตอนที่ 17 (10 มีค 61)  (อ่าน 5994 ครั้ง)

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


----------------------------------------


<<  มนตราในราตรี  >>


เกริ่นเรื่อง


ชายหนุ่มนึกสงสัย
ยุคนี้เรื่องโบราณอย่างแวมไพร์และมนุษย์หมาป่ายังมีหลงเหลืออยู่อีกเหรอ
แต่แล้ววันหนึ่งกลับถูกดึงเข้าไปพัวพันจนไม่อาจถอนตัว



----------------------------------------


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2018 07:18:19 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 1


          ชายหนุ่มผมดำยืนเท้าราวไม้ที่กั้นริมเฉลียงเรือนพัก ดวงตาสีเทาเงินกวาดมองทิวทัศน์เขียวชอุ่มเบื้องหน้าอย่างปลอดโปร่ง แม่น้ำสายเล็กไหลผ่านตีนเนินเบื้องล่างแลระยับคล้ายงูเกล็ดเงินกำลังลดเลื้อย สายลมหอบละอองน้ำเย็นฉ่ำขึ้นมาคลายความร้อนเหนอะหนะแล้วพัดเลยขึ้นไปยังภูเขาเตี้ยๆ ด้านหลังเรือนพัก แสงแดดจ้ายามบ่ายแก่ๆ ช่วยให้ผืนดินและเขาสูงที่โอบล้อมเรือนพักสะท้อนแสงสีเขียวจัดจ้าเต็มที่

          ฤดูร้อนของแถบนี้ยังเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แถมวันนี้ยังเป็นวันทำงาน นอกจากบ้านซึ่งใช้เป็นสำนักงานและส่วนต้อนรับของเจ้าของบังกะโลแล้ว เรือนพักสร้างจากไม้ที่เรียงรายนับสิบจึงมีแขกจับจองเพียงสองหลัง หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดสำนักงานเป็นของคู่สามีภรรยาวัยเกษียณซึ่งมาพักผ่อนตามลำพัง และอีกหลังซึ่งห่างออกมาหน่อยเป็นของเขา

          ครั้งนี้ศาสวัตินัดศศินิศาน้องสาวมาเที่ยวพักผ่อนด้วยกัน  เขาพักอยู่ในคอนโดมิเนียมของที่แม่ซื้อทิ้งไว้แถบชานกรุงใกล้กับมหาวิทยาลัย ส่วนศศินิศาซึ่งเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้เช่าห้องพักร่วมกับเพื่อนอีกสองคนอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยของเธอซึ่งอยู่อีกฟากของเมืองหลวง พี่น้องจึงนัดเจอและทานข้าวกันได้เฉพาะช่วงวันหยุด ส่วนบ้านแท้ๆ ของทั้งคู่อยู่ต่างจังหวัด ต้องรอจนถึงวันหยุดยาวหรือปิดเทอมจึงจะกลับไป 
 
          ศาสวัติพบว่าตั้งแต่เขาขึ้นมหาวิทยาลัยปีสาม งานและการเรียนในคณะจิตวิทยาของเขาก็หนักขึ้นหลายเท่าตัว บางสัปดาห์ยังต้องออกไปทำงานของคณะนอกสถานที่จนพี่น้องแทบไม่ได้เจอกันเหมือนเคย  คราวนี้เขาจึงชวนศศินิศามาเที่ยวต่างจังหวัด น้องสาวเขาขอพารูมเมททั้งสองคนมาด้วยซึ่งศาสวัติไม่ขัดข้อง  แต่ทั้งสามสาวจะมาถึงวันพรุ่งนี้  ศาสวัติล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวันและจองที่พักคืนนี้ให้ตัวเองเท่านั้น เขาเองอยากมีเวลาพักเงียบๆเช่นกัน ดวงตาสีเทาเงินที่เป็นมรดกตกทอดจากผู้เป็นย่าชาวต่างชาติหม่นลงจนเกือบเป็นสีดำ
 
          “แม่จะหย่ากับคุณพิทักษ์นะ นัดกันวันจันทร์หน้าแล้ว ”
 
          เสียงแม่พูดผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเวียนวนกลับมาในหัว ศาสวัติลอบถอนใจ เขาไม่อยู่ในฐานะโน้มน้าวหรือคัดค้านใดๆ ได้แต่รับฟังและยอมรับการตัดสินใจนั้น แม่ของเขาหย่าร้างกับพ่อแท้ๆ ของเขามาตั้งแต่ศาสวัติและน้องสาวยังเด็ก ก่อนจะพบรักใหม่กับคุณพิทักษ์สามีคนปัจจุบัน
 
          แต่สองสามปีมานี้แม่มีเรื่องระหองระแหงกับคุณพิทักษ์อยู่ตลอด ไม่แปลกใจเลยที่วันหนึ่งสามีภรรยาคู่นี้จะมาถึงจุดแตกหักอีกครั้งด้วยความค่อนข้างเอาแต่ใจและไม่อดทนต่อเรื่องที่ไม่ชอบของแม่เขาเอง
 
          ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงหลังกลีบเมฆ ทิวทัศน์แมกไม้เบื้องล่างที่อยู่ในเงื้อมเงาภูเขาเป็นสีเขียวเข้ม ศาสวัติยกนิ้วเรียวขึ้นเสยเรือนผมสีเข้มที่ปลิวตามแรงลมเย็น เรื่องครอบครัวหลายอย่างวนเวียนในหัวจนพาให้เขาชวนน้องสาวมาเปลี่ยนบรรยากาศ เผื่อความคิดที่ตีบตันจะทำงานดีขึ้น

          “คืนนี้พวกมันจะกลับมา ระวังตัวให้ดีนะลูก”  น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ตัว

          ศาสวัติสะดุ้งแต่เก็บอาการได้ทัน ดูท่าเขาจะใจลอยไปหน่อยถึงไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้  บันไดขั้นบนสุดของชานเรือนพักมีหญิงชราร่างเล็กสวมเสื้อลายดอกเล็กสีครีมกับผ้าถุงสีเข้มยืนอยู่  ผมสีเทาเกล้าเป็นมวยหลังศีรษะ ใบหน้าอวบอิ่มเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา ดวงตาฉายแววปรานี ดูเหมือนคุณยายใจดีตามชนบททั่วไป

          “ระวังเรื่องอะไรครับคุณยาย?” 
         
          ชายหนุ่มถามยิ้มๆ อย่างสุภาพ แต่ใบหน้าของหญิงชรานั้นดูจริงจัง ดวงตาเจือสีน้ำข้าวคล้ายมองทะลุไปยังอดีตมืดดำ

          “ทุกห้าสิบปีพวกมันจะกลับมาที่ภูเขาลูกนี้ มันจะฆ่าผู้ชายแล้วจับผู้หญิงไป คืนนี้ปิดประตูหน้าต่างให้ดี พวกมันจะมาแน่นอน” 
 
          เสียงเย็นๆ ของหญิงชราลอยวนเวียนท่ามกลางสายลมที่พัดสู่ภูเขา

          เสียงซอยเท้าถี่ดังใกล้เข้ามา ก่อนเสียงใสๆ จะดังขึ้นที่เชิงบันไดเรือนพัก

          “คุณย่าคะ อยู่นี่เอง”

          สาวน้อยจิ้มลิ้มผมเปียลูกสาวเจ้าของเรือนพักแห่งนี้รีบวิ่งขึ้นมาพลางขอโทษขอโพยชายหนุ่ม ศาสวัติคิดว่าเธอน่าจะอยู่ประมาณมัธยมปลาย  สาวน้อยกระตุกแขนเสื้อหญิงชราอย่างเกรงใจขณะพูดเบาๆ

          “คุณย่าอย่ากวนแขกอย่างนี้สิคะ กลับบ้านกับหนูนะ”

          “หมาผีพวกนั้นกลับมาแล้ว ย่าได้ยินเสียงมัน คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ พวกมันจะออกหาเหยื่อตลอดสามวันที่เหลือ ย่าเตือนทุกคนแล้ว ทำไมไม่มีใครเชื่อ ลูกจันหนูต้องระวังตัวให้ดีนะลูก” 
 
          หญิงชราบอกหลานสาว ดวงตาฝ้าฟางเป็นกังวลเห็นได้ชัด

          “ค่าๆ น่ากลัวจัง ไปเล่าให้หนูฟังต่อที่บ้านนะคะคุณย่า”

          ลูกจันไหว้ขอโทษชายหนุ่มอีกครั้งก่อนรีบพาคุณย่าของเธอกลับบ้าน ศาสวัติยังยืนนิ่งกับที่  ดวงตาฉายแววแปลกใจกับคำพูดหญิงสูงวัย

          ไม่นานนักเงาพระจันทร์สีซีดก็ปรากฏเลือนรางอยู่ปลายฟ้า เสียงหมาป่าบนภูเขาหอนรับกันเป็นทอดดังแว่วมา  …ตำนานที่เล่าสืบกัน...
 
 



 
 
          ดึกแล้ว พระจันทร์ดวงกลมโตลอยสูงเกือบถึงกลางฟ้าใสไร้เมฆ อัญมณีสีทองสาดแสงกระจ่างตาเหนือภูเขาสีเข้ม สายลมเย็นสบายโชยชายมาไม่ขาด ขับไล่ความร้อนที่สะสมไว้ตอนกลางวันจนไม่หลงเหลือ ทั้งภูเขาระงมด้วยเสียงจักจั่นกรีดปีกสูงต่ำประสานกันราวกับวงดนตรี รอบด้านโอบล้อมด้วยทัศนียภาพสีน้ำเงินจางลึกลับ ทั้งสวยงามและเงียบสงบอย่างที่หาไม่ได้ในตัวเมือง

          ชายหนุ่มคงจะผ่อนคลายและซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ หากไม่มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่ดังขึ้นครั้งเดียวแล้วเงียบหายไป ตามด้วยเสียงตะโกนวุ่นวายสับสนจนฟังไม่ได้ศัพท์ ศาสวัติดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้หวายริมหน้าต่าง ดวงตาสีเทาเงินทอประกาย ลางสังหรณ์ลึกลับไม่รู้ที่มาลุกโชนเต็มที่ คำเตือนของคุณยายเมื่อตอนเย็นสว่างวาบในหัว

          ...พวกมันจะฆ่าผู้ชายแล้วจับผู้หญิงไป  หมาผีกลับมาแล้ว...

          จะเป็นไปได้ยังไง เรื่องพรรค์นั้นในยุคนี้   ศาสวัติคิดในใจขณะพุ่งปราดออกประตูไป
 
          ใต้แสงไฟเพดานของบ้านที่ใช้เป็นส่วนต้อนรับมีเงาสูงต่ำเคลื่อนที่ไปมาดูร้อนรน ศาสวัติก้าวเข้าไปในตัวอาคารบริเวณล็อบบี้และเคาน์เตอร์เช็คอิน กวาดตามองอย่างรวดเร็ว หญิงชราผู้เตือนเขาเมื่อเย็นนั่งคู้ที่มุมห้องกำลังพนมมือสวดมนต์ตัวสั่นงันงก มีคนงานหญิงวัยกลางคนหน้าตาตื่นตระหนกคนหนึ่งนั่งปากมือสั่นประคองเธออยู่  คู่สามีภรรยาวัยเกษียณซึ่งเป็นแขกของที่นี่กำลังนั่งปลอบหญิงทั้งสองคน และมองมาที่ศาสวัติด้วยสีหน้าที่บอกว่ายังไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน
         
          “เกิดอะไรขึ้นครับ”

          “หมาผี หมาผี พวกมันกลับมาแล้ว นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” 
 
          เสียงคุณย่าพึมพำซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

          ชายผิวคล้ำร่างท้วมวัยสี่สิบคนหนึ่งถลันกลับเข้ามาในล็อบบี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด ศาสวัติจำได้ว่าเขาเป็นเจ้าของเรือนพักแห่งนี้และเป็นพ่อของลูกจัน และน่าจะเป็นคนเดียวที่บอกได้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น

          “ลูกจัน! ลูกจันถูกหมาตัวเท่าคนลากเข้าป่าไปเมื่อกี้! พ่อไล่ตามมันไปไม่ทัน” 
 
          ปากคอชายวัยสี่สิบสั่นระริก แทรกด้วยเสียงร้องอย่างขวัญหาย แม่ของสาวน้อยผู้เคราะห์ร้ายทรุดฮวบล้มพับข้างตัวคุณย่าเมื่อได้ยินข่าว
 
          “ปืน!! เอิบ! ไปหยิบปืนมาให้หมดทุกกระบอก!”
 
          อารักษ์ ผู้เป็นพ่อของลูกจันตะโกนสั่งพลางวิ่งทะลุส่วนสำนักงานเข้าไปหยิบของข้างใน  ลูกจ้างชายชื่อเอิบซึ่งออกไปช่วยตามหาด้วยรีบวิ่งตามเข้าไป อึดใจเดียวทั้งคู่ก็กลับออกมาพร้อมปืนพกหนึ่งกระบอก ปืนล่าสัตว์สองกระบอกและกระสุนสำรองสองสามกล่อง
 
          “ผมเห็นมันลากคุณลูกจันหายไปทางป่าบนภูเขาบนโน้น” 
 
           เอิบเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเหตุการณ์ เขาพูดสำเนียงติดเหน่อ ชี้บอกทิศพลางส่งไฟฉายกระบอกหนึ่งให้อารักษ์

          “ผมไปด้วย”
 
          ศาสวัติเสนอตัวและเอ่ยขอปืนพก แม้อานุภาพของมันจะอ่อนด้อยที่สุดยามเผชิญหน้าสัตว์ใหญ่ แต่มันเป็นอาวุธเขาถนัดที่สุดด้วยว่าเคยฝึกยิงเป้ามาก่อน แต่ก็ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ใช้จริง
 
          ชายหนุ่มเช็คความพร้อมของปืน ขอกระสุนสำรองและไฟฉายเพิ่มอีกกระบอก หมาป่าตัวเท่าคน เรื่องเล่าเมื่อตอนเย็นนั่นเป็นเรื่องจริงเหรอ? 

          คุณลุงวัยเกษียณซึ่งเป็นแขกของที่นี่ก็เสนอตัวจะร่วมขบวนค้นหาด้วยแต่นักศึกษาหนุ่มปฏิเสธ

          “ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับคนสูงอายุ ผมขอให้คุณลุงอยู่ดูแลทางนี้ดีกว่าครับ เผื่อพวกมันจะย้อนกลับมาอีกรอบ ปิดประตูหน้าต่างให้หมด หาอาวุธติดมือไว้ทุกคนด้วยนะครับ จะมีดหรือไม้อะไรก็ได้ที่ป้องกันตัวได้” 
 
          ศาสวัติบอก แม้รู้ว่าอาวุธเหล่านั้นแทบช่วยอะไรไม่ได้ก็ตามยามต้องเผชิญกับสัตว์ใหญ่ แต่มันมีไว้เพื่อคุ้มครองขวัญกำลังใจของคนถือ ชายหนุ่มวิ่งตามเอิบกับชายเจ้าของที่พักออกไป


------------------------------------
TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2017 16:56:12 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ตื่นเต้นนนนนนนน

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
.
คนเขียนตอบ  >>  ขอบคุณคนอ่านที่แวะมาอ่านและแวะมาเม้นท์ในตอนที่ 1 นะ



ตอนที่ 2


 

          ทั้งหมดย่ำไปตามทางดินเส้นเล็กๆ ที่ทอดขึ้นภูเขาด้านหลังเรือนพัก อารักษ์ตะโกนเรียกชื่อลูกสาวเป็นระยะ แสงจันทร์กระจ่างที่สาดลอดซุ้มใบไม้ลงมาในค่ำคืนนี้ช่วยให้การเดินง่ายขึ้น แนวไม้ข้างทางดูคล้ายฉากซ้อนทับกันทึบทะมึน ประสาททุกคนตื่นตัวเต็มที่
 
          แต่การค้นหาเสียงอื่นใดท่ามกลางเสียงจักจั่นร้องระงมกลายเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ  ศาสวัติกำด้ามปืนแน่นจนเหงื่อเริ่มซึมตามฝ่ามือ เขาเห็นเหงื่อผุดพรายเต็มขมับเอิบ  ชายเจ้าของที่พักกัดฟันแน่นจนกรามนูนเป็นสัน
 
           แม้เดินกันมาเกือบสิบห้านาทีก็ยังไม่พบร่องรอยหมาป่าหรือลูกจันแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะรอยลากหรือเสียงร้อง ราวกับมันพาเด็กสาวเลือนหายเข้าไปในความมืดแห่งรัตติกาล

          อากาศเย็นฉ่ำยามราตรีช่วยคลายความร้อนเหนอะหนะตอนกลางวัน ลมที่พัดกรูเกรียวผ่านแนวไม้พาเสียงบางอย่างเล็ดลอดมาด้วย  ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว เงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ เสียงจักจั่นที่เคยประโคมแข่งราวมโหรีพลันหยุดลงอย่างมีเลศนัย
 
           มันดังแว่วแทรกมาในสายลมที่พัดผ่าน เสียงคล้ายการต่อสู้ กิ่งไม้หัก และเสียงครางคล้ายสุนัข  ศาสวัติพุ่งตัดแนวป่าสวนทางลมเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยอารักษ์และเอิบที่เพิ่งไหวตัว

          ชายหนุ่มวิ่งฝ่ากิ่งก้านและดงไม้ระเกะระกะ ตามแขนได้รอยบาดไปหลายริ้ว สายลมที่พัดสวนทางพากลิ่นคาวคลุ้งชวนเวียนหัวลอยเข้าปะทะจมูกราวกับลางร้าย ไม่ถึงนาที ศาสวัติก็มาโผล่ที่ลานหญ้ากว้างกลางป่าพร้อมหายใจหอบ เมื่อเงยหน้าขึ้น ภาพที่ปรากฏกลางแสงจันทร์นวลทำให้ดวงตาสีเทาเงินคู่นั้นเบิกกว้าง ลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ

          ห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างลูกจันนอนตะแคงนิ่งบนพื้นดินติดกับแนวป่า ทั้งร่างไม่ไหวติง  และตรงกลางลานหญ้า นอกจากร่างหมาป่ามหึมาตัวหนึ่งที่จมกองเลือดบนพื้น หมาป่าขนาดใหญ่เกือบเท่าคนสองตัวกำลังโรมรันกับผู้ชายชุดดำผมสีอ่อนร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง
 
          กรงเล็บและคมเขี้ยวปะทะกับดาบสั้นยาวประมาณหนึ่งศอกเสียงดังสะท้าน  ชายคนนั้นยกมือขึ้นกันกรงเล็บที่ฟาดลงมา ดาบสั้นที่ลุกโชนราวกับเหล็กแดงร้อนในมืออีกข้างตวัดวูบ  ...ขาอสูรร่างยักษ์ข้างหนึ่งลุกไหม้พร้อมเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด กลิ่นเลือดเนื้อเส้นขนเหม็นไหม้ฉุนเฉียว 
 
          หมาป่าอีกตัวโถมเข้าใส่พร้อมคมเขี้ยววาววับ ชายชุดดำพลิ้วหลบ แต่หมาป่าตัวที่บาดเจ็บกลับกระโจนไปดักด้านหลังคนคนนั้นพร้อมกรงเล็บที่ฟาดลงมา
 
          ปัง!

          ปืนพกในมือศาสวัติคำรามลั่น กระสุนเข้าที่ซอกคอหมาป่าตัวนั้นแม่นราวจับวาง แต่สัตว์ร้ายตัวนั้นแค่ผงะเพราะแรงอัดดินปืนที่น้อยเกินไป ดวงตาสีแดงก่ำของมันตวัดจ้องศาสวัติอย่างมาดร้าย
 
          แค่ชั่ววินาที มันได้เปิดช่องให้ดาบที่ลุกโชนในมือชายชุดดำกรีดเลือดเนื้อและเผาผลาญตัวมัน เสียงโหยหวนแผดร้องสุดชีวิตก่อนทั้งร่างจะร่วงกองกับพื้นและสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ชายชุดดำร่างผมสีอ่อนคนนั้นเหลือบมองศาสวัติ แค่เพียงแวบเดียว ก่อนหันไปรับมือหมาป่าที่เหลือตัวสุดท้ายด้วยความเร็วเหนือธรรมดา

          แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ศาสวัติตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าคนคนนั้นคมสวยนัก ทว่าสายตากลับเยือกเย็น เย็นจัดจนแทบจะแช่แข็งมนุษย์ได้

          เอิบกับอารักษ์เพิ่งตามมาถึง ยังไม่ทันจะหายใจเต็มปอดก็ต้องตัวแข็งตกตะลึงกับภาพการต่อสู้ตรงหน้า เสียงศาสวัติช่วยเรียกทั้งคู่กลับมา

          “ลูกจันอยู่นั่น รีบพาเธอออกมาสิครับ” 
 
          เขาชี้บอกขณะดูการต่อสู้ไม่คลาดสายตา ผู้เป็นพ่อร้องเรียกชื่อลูกจันด้วยความดีใจ รีบวิ่งเข้าไปลากร่างลูกสาวออกมาอย่างรวดเร็ว

          สายตาศาสวัติถูกตรึงไว้กับการต่อสู้อันน่าตื่นใจของหมาป่ากับชายคนนั้น ดาบในมือเขาวาดเป็นเส้นสีส้มเรืองรองกลางความมืด ทั้งดุดัน งดงาม และรวดเร็วพอๆ กับกรงเล็บและคมเขี้ยวขาววับ  กลางแสงจันทร์กระจ่าง ทั้งหมดกลายเป็นประกายสายกวาดตวัดวูบวาบผ่านความมืดในราตรีพร้อมเสียงเลือดเนื้อรัวปะทะ 
 
          แต่ไม่กี่อึดใจ ชายชุดดำกลับโดนรุกไล่ให้ถอยร่นไปเรื่อยๆ ศาสวัติเหงื่อซึมมือ กำด้ามอาวุธคู่ใจแน่นขณะยกขึ้นเล็ง ขอแค่มีโอกาสกับจังหวะเท่านั้น

          เอิบคล้ายเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองถือปืนล่าสัตว์ไว้ เขารีบประทับปืนกับบ่า มือสั่นเทาลั่นไกเล็งไปที่หมาป่าโดยที่ศาสวัติห้ามไม่ทัน

          สัตว์ร้ายเบี่ยงหัวหลบราวกับรู้ กระสุนที่ถากใบหูทำให้หมาป่าตัวนั้นเปลี่ยนเป้าหมาย มันกระโจนใส่เอิบที่ยืนตัวแข็งตกใจสุดขีด  เสียงของแหลมกวาดผ่านเนื้อ หยาดเลือดสีเข้มกระเซ็นสูงในอากาศ ปืนล่าสัตว์กระเด็นหลุดจากมือขณะเอิบหงายหลังก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ดวงตาเบิกกว้าง แผลที่หน้าอกคงลึกกว่านี้หากหมาป่าตัวนั้นไม่กระโจนหลบปลายดาบที่กรีดเป็นสายใส่ร่างมัน

          “สนใจฉันดีกว่านะ” 
 
          เสียงนุ่มทุ้มเรียกความสนใจของหมาป่า แล้วการต่อสู้ยกใหม่ก็เริ่มขึ้น

          ศาสวัติหันไปหาอารักษ์ที่ตะลึงกับอาการบาดเจ็บของลูกน้อง สั่งเสียงห้วน 
 
           “คุณน้ารีบพาลูกจันกลับไปก่อน เดี๋ยวผมจะตามไป เร็วสิครับ”

          “แล้วพ่อหนุ่ม...”

          อารักษ์ยังละล้าละลังด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อชายหนุ่มยังยืนยันคำเดิม สุดท้ายคนสูงวัยกว่าก็กำชับให้เขาระวังตัวแล้วแบกร่างบุตรสาวขึ้นหลังวิ่งออกไป พร้อมเอิบที่กุมอกลากขาตามเจ้านายไปด้วย

          ศาสวัติมองปืนโคลต์กึ่งอัตโนมัติในมือ ถ้าเล็งจุดตายให้ดีๆ กระสุนขนาดเล็กคงมีอำนาจหยุดหมาป่าตัวนั้นได้หลายวินาที แค่นั้นคงเพียงพอสำหรับเจ้าคนชุดดำนั่น 
 
           ชายหนุ่มเร้าสมาธิ เล็งอาวุธในมือที่หัวอสูรร่างยักษ์ แม้จะเป็นเป้าใหญ่แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของมันกลับเป็นอุปสรรค เมื่อสบโอกาสที่ชายชุดดำวาดดาบลุกโชนโจมตีแล้วกระโดดถอยห่าง จังหวะนั้นปืนในมือศาสวัติก็ลั่นสองนัดซ้อน
 
          หมาป่าตัวนั้นแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด กระสุนหนึ่งนัดพลาดไปถนัดใจ แต่อีกนัดหนึ่งฝังเข้ากลางหน้าอกพอดีแต่ยังไม่ลึกพอ มันหลบปลายดาบที่พุ่งเข้ามาได้เฉียดฉิว กลิ่นขนสัตว์เหม็นไหม้ฉุนเฉียว ดูท่ามันจะเจ็บไปไม่น้อย  หมาป่าตัวนั้นถอยหลังแล้วกระโจนสุดแรงหายเข้าไปในแนวป่าทิศตรงข้ามกับเรือนพักด้านล่าง

          เมื่อเสียงคล้ายพายุลูกย่อมๆ ทะลวงผ่านดงไม้ค่อยๆ เลือนหายไป ทั้งป่าก็เงียบสนิทจนรู้สึกวังเวง  ไม่มีเสียงจักจั่นแม้แต่ตัวเดียว ชายชุดดำไม่แม้แต่จะหันกลับมามองศาสวัติ  เขาเดินเข้าไปในแนวป่าเกาะต้นไม้พยุงตัวไว้ แล้วร่างนั้นพลันรูดลงพิงโคนไม้ ดาบที่เคยลุกโชนในมือดับแสงวูบ  ความสว่างในที่นั้นเหลือเพียงแสงจันทร์กระจ่างเย็นตา

          “เจ็บตรงไหนครับ?”

          ศาสวัติวิ่งตัดลานหญ้าเข้าไปหา เมื่อมาเห็นใกล้ๆ จึงพบว่าชายคนนี้นั่งนิ่งหลับตา หายใจหอบ โค้ทดำตัวยาวขาดวิ่นเป็นริ้วจนเห็นเชิ้ตขาวข้างใน ใบหน้าแบบตะวันตกนั้นคมสวย แต่แฝงความเข้มแข็งแบบผู้ชายไว้เต็มเปี่ยมจนกระทั่งศาสวัติเองยังเผลอชื่นชม  ผิวหน้านั้นดูขาวซีดจนตัดกับเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลทองยาวปรกคอ ปอยผมตรงขมับมีน้ำสีเข้มหยดลงมา ไม่รู้ว่าเป็นเลือดใครกันแน่ คลับคล้ายชายชุดดำจะรับรู้ว่าศาสวัตินั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ เสียงทุ้มแกมหอบเอ่ยด้วยภาษาที่ศาสวัติได้ยินมาตั้งแต่เกิดว่า

          “ทำให้มันเจ็บอย่างนั้นจะโดนตามแก้แค้นทีหลัง หนีไปพร้อมคนอื่นตั้งแต่แรกก็หมดปัญหา ชอบหาเรื่องใส่ตัวรึไง”

          ศาสวัตินิ่งงันต่อความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยิน เขาหัวเราะหึ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
 
          “จะไม่ขอบคุณกันซักคำหรือครับ”

          “ทำเพื่อคำขอบคุณรึไง”

          ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สวยจนน่าหลงใหลจะไร้มารยาทอย่างนี้ ศาสวัติบอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังเริ่มโมโหหรือชื่นชมคนตรงหน้าอยู่กันแน่

          “ทิ้งให้พวกมันกลับมาแทะคุณต่อท่าจะดี ช่างเถอะ ถือว่าช่วยเอาบุญ  ผมจะพาคุณไปหาหมอก่อน ลุกไหวมั้ย”

          ศาสวัติคว้าแขนอีกฝ่ายพาดคอเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ แม้ศาสวัติจะสูงถึง 175 เซนติเมตร แต่คนข้างตัวยังสูงกว่าเขาราวคืบเศษ ร่างนั้นสูงโปร่งแต่สัมผัสถึงกล้ามเนื้อที่แน่นใต้เสื้อผ้าได้ เสียงคนเจ็บกัดฟันข่มความเจ็บปวดขณะที่มือข้างหนึ่งซุกมีดยาวเก็บในเสื้อโค้ท

          “ผมชื่อศาสวัติ คุณชื่ออะไรจะได้เรียกถูก” 
 
          คนอาสามาช่วยชวนคุยให้ลืมความเจ็บ ชายหนุ่มผมสีอ่อนส่งเสียงในลำคอคล้ายรำคาญ แต่ก็ตอบว่า

          “ชาล” 
 
          แล้วจ้องคนข้างตัว  “ฉันไม่ไปหาหมอ ไม่จำเป็น”

          ศาสวัติหัวเราะหึ แต่เมื่อหันไปมองชาล คำพูดที่เตรียมจะโต้ตอบของเขาพลันหายจากใจในพริบตา รู้สึกว่าลมหายใจขัดอยู่กลางอก  ดวงตาคมกล้าของคนตรงหน้าเป็นสีทอง สีทองกระจ่างราวกับภาพสะท้อนของดวงจันทร์ที่สุกสกาวเบื้องบน ทั้งเยือกเย็นและลึกล้ำ ดึงดูดเขาไว้จนไม่อาจละสายตาจากใบหน้าคมคายและดวงตาคู่นั้นได้  ศาสวัติรู้สึกว่าฟันเฟืองบางชิ้นในตัวเริ่มเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนลึกลงไป

          “กลับไปซะ”

          คำสั่งของชาลเรียกศาสวัติกลับมาสู่ปัจจุบัน ศาสวัติเพิ่งเห็นว่าเสื้อเชิ้ตขาวใต้โค้ทดำชุ่มโชกด้วยของเหลวสีเข้มส่งกลิ่นคาวชวนเวียนหัว พอเขาแตะรอยนั้นเบาๆ อีกฝ่ายก็ร้องโอยพลางปัดมือเขาทิ้ง  ใบหน้าสวยของชาลเหมือนกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ ดวงตาสีทองทอความโกรธวูบ

          “ผมจะพาคุณไปหาหมอ ที่บ้านพักข้างล่างมีรถยนต์ อดทนหน่อยนะครับ”

          คนข้างตัวฝืนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงคล้ายได้ยินเรื่องตลกเต็มประดา
 
          “ไร้ประโยชน์ ฉันเตือนแล้ว กลับไปซะ”

          “ไม่ครับ”
 
          ศาสวัตินึกอยากรู้ว่าคนเจ็บข้างตัวจะดื้อแพ่งได้ถึงไหน

          “หึ มนุษย์”  น้ำเสียงคล้ายถอนใจปนระอา 
 
          “ทำไมถึงหัวดื้อกันขนาดนี้ ถ้าอยากช่วยนักก็พาฉันกลับที่พักที ที่นั่นมียา”

          ศาสวัติส่ายหัว พูดเน้นเสียง
 
          “ไม่ใช่ครับ คุณต้องไปโรงพยาบาล ตอนนี้ และ เดี๋ยวนี้”

          มือชาลคว้าหมับที่ลำคอศาสวัติด้วยความเร็วเกินธรรมดาสำหรับคนเจ็บ ดวงตาสีทองทอประกายเยือกเย็น ศาสวัติตกใจในวูบแรก และวูบต่อมาราวกับถูกดวงตาคู่นั้นตรึงไว้ มือที่คว้าลำคออยู่ค่อยผ่อนแรงลงแล้วเลื่อนขึ้นไปลูบสันคางอีกฝ่าย ชาลเอ่ยเสียงทุ้มอ่อนโยน ดวงตาสีทองอ่อนลง

          “ฉันจะกลับที่พัก ช่วยพาไปหน่อยนะศาสวัติ”

          เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอที่นุ่มนวลนั้นได้ ศาสวัติรู้ดี

 
------------------------------------
TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 14:13:20 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
.
คนเขียนตอบ  >>  ขอบคุณคนอ่านที่แวะมาอ่านและแวะมาเม้นท์ในตอนที่่ผ่านมานะ


ตอนที่ 3

 

          หมาป่าพวกนั้นเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ของเขามาตั้งแต่โบราณ หรือจะพูดให้ถูกคงตั้งแต่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของกันและกันโดยสัญชาตญาณอันแรงกล้าที่ถ่ายทอดจากสายเลือดสู่สายเลือด ข้ามผ่านกาลเวลามาจากเหล่าบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ ผลักดันให้ห้ำหั่นกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสูญเผ่าพันธุ์ไปจากโลก  เขาเคยต่อสู้กับหมาป่าพวกนั้นหลายต่อหลายครั้ง และบางครั้งพวกมันมีจำนวนมากกว่านี้เป็นเท่าตัว ทว่าชาลยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีได้ง่ายเท่าครั้งนี้มาก่อน เขาคงอ่อนแอลงจริงๆ

          ชาลสูดลมหายใจลึก เหลือบมองคนร่างเล็กกว่าที่ประคองเขาอยู่เป็นครั้งคราว ปกติแล้วบาดแผลของเขาสามารถหายเองได้ ไม่ว่าแผลข่วนถลอกหรือแผลที่ลึกถึงอวัยวะภายในอย่างครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าคนอื่นในเผ่าพันธุ์ก็ตาม  แต่คืนนี้ชาลกลับไม่รู้สึกถึงการฟื้นตัวซักนิด มิหนำซ้ำสติสัมปชัญญะก็เริ่มขาดห้วงขึ้นเรื่อยๆ เขาคงเสียเลือดมากเกินไป  ชาลจิกเล็บกับฝ่ามือเมื่อได้กลิ่นหอมยวนใจและได้ยินเสียงเลือดสูบฉีดจากร่างที่ประคองแนบชิด เขาฝืนใจเบือนหน้าหนี

          ...บอกแล้วว่าให้กลับไป...

          ทั้งคู่เดินเคียงกันเงียบๆ ตามทางเล็กแคบที่ทอดยาวจากลานหญ้าคดเคี้ยวขึ้นไปบนภูเขา ในช่วงแรกศาสวัติชวนคุยอยู่บ้าง แต่ก็ละความพยายามในที่สุดเมื่อคนข้างตัวไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว นอกจากคำสั่งเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตรงไป เมื่อพ้นจากสุมทุมพุ่มไม้หนาทึบซึ่งทำหน้าที่เป็นรั้วบดบังสายตากรายๆ ศาสวัติก็พบบ้านไม้สองชั้นขนาดย่อมหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ลานกว้างอีกแห่งบนยอดเขา บ้านมืดมิดหลังนี้ดูทรุดโทรมราวกับถูกทอดทิ้งให้กรำแดดฝนมานับสิบปี คล้ายอสุรกายที่ถูกสาปให้แข็งเป็นหินท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างจ้า

          เมฆเคลื่อนคล้อยเข้าบดบังดวงจันทร์ทีละนิด กอพลับพลึงชูช่อดอกสีแดงเข้มเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพรมดอกไม้สีแดงแน่นขนัดตลอดสองข้างทางที่ทอดสู่ตัวบ้าน ส่งกลิ่นหอมจัดชวนเวียนหัว คล้ายกำลังล่อลวงสิ่งมีชีวิตที่ติดตามกลิ่นมาให้ก้าวเข้าสู่กับดักไร้ทางออก ดอกและใบสีเข้มไหวลู่ในสายลมเย็นเยือกชวนสะท้าน ต้นไม้ไหวส่งเสียงดังซัดซ่ารายรอบบริเวณ ไร้เสียงสัตว์กลางคืน ไม่มีแม้แต่เสียงจักจั่นเรไร ราวกับสิ่งมีชีวิตล้วนไม่กล้าย่างกรายเข้ามาสู่อาณาบริเวณ

          “ที่นี่...ที่พักคุณใช่มั้ย”

          ศาสวัติมองประตูตรงหน้าก่อนเหลียวมองใบหน้าสวยของคนที่ประคองไว้ ชาลเหลือบตาสีทองที่เริ่มล่องลอยมาสบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แลเห็นเขี้ยวเล็กๆ คมขาวแทนคำตอบ ผิวกายขาวซีดของอีกฝ่ายเหมือนลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความมืด ศาสวัติรู้สึกว่าร่างกายของคนร่างสูงเบียดอิงเขาขึ้นเรื่อยๆ

          “เปิดประตูสิ”  น้ำเสียงชาลเรียบเย็นและเบาเหมือนทนฝืนพูด
 
          ศาสวัติผลักประตูบานใหญ่ให้อ้ากว้างอย่างเงียบเชียบ ภายในไม่มืดอย่างที่คาดเพราะตะเกียงลุกโพลงที่แขวนไว้เป็นจุดตั้งแต่หน้าประตูลึกเข้าไปในตัวบ้าน น่าแปลกที่มองจากภายนอกกลับไม่เห็นแสงไฟเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย แสงตะเกียงส่องทางให้ชายหนุ่มขณะก้าวขึ้นบันไดเล็กที่ทอดเวียนสู่ชั้นสอง สร้างแสงเงาวูบไหวตามระเบียงทางเดินยามประคองร่างคนเจ็บขึ้นไป บันไดนั้นไปสิ้นสุดที่โถงเล็กกลางตัวบ้าน  ด้านซ้ายและด้านขวามีประตูข้างบานที่ปิดสนิท เสียงพูดเจือหอบแว่วมา
 
          “ซ้าย”
 
          เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ศาสวัติเลิกแปลกใจที่ภายในห้องนอนนี้ก็มีตะเกียงสามสี่ดวงตามไฟโชติช่วงวางตามหลืบมุม กลิ่นหอมหวานคล้ายดอกไม้เจือจางในอากาศ คงจะโรแมนติกน่าดูถ้าได้อยู่กับผู้หญิงสวยๆ ซักคน ไม่ใช่กับคนเจ็บเลือดโชกแบบนี้

          ศาสวัติประคองชาลให้เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงไม้แบบโบราณหลังใหญ่กลางห้อง เสียงคนเจ็บร้องโอยเบาๆ ยามต้องเปลี่ยนอิริยาบถ  แต่ไม่นาน ชาลก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้นอนนิ่งๆ ไม่ต้องขยับเคลื่อนไหว
 
          “หมดธุระแล้ว...กลับไป...”  คนเจ็บพยายามสั่งขณะปรือดวงตาสีทองหม่นมองอีกฝ่าย

          “ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ คุณน่ะแค่จะนั่งจะนอนก็ยังแทบไม่ไหว โรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป อยากจะกลับมาตายที่นี่รึไง คุณจำเป็นต้องมีคนดูแล เข้าใจสภาพตัวเองหน่อยสิครับ”  ศาสวัติพูดรวดเดียวจบด้วยโทสะนิดๆ ถ้าเขายืนกรานจะทำแผลให้ที่นี่ คนเจ็บใกล้ตายแบบนี้จะทำอะไรได้ ครั้นจะโทรติดต่อใครซักคนก็เพิ่งคิดได้ว่าเขาลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่เรือนพักนั่นเอง

          ศาสวัติถอดโค้ทดำตัวใหญ่น่าเกะกะออกจากตัวชาลไปพาดพนักเก้าอี้ใกล้ๆ มองร่างสูงโปร่งซีดเซียวที่นั่งนิ่งหลับตาหายใจแรง มือของชาลกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเล็บจิกฝ่ามือคล้ายกำลังอดกลั้น ที่นี่สว่างพอจะเห็นว่ารอยเลือดสีคล้ำบนหน้าอกเสื้อเชิ้ตนั้นใหญ่ขนาดไหน ศาสวัตินั่งที่ขอบเตียงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตขาวที่รุ่งริ่งแทบเป็นเศษผ้าโดยไม่รอคำอนุญาต  ใบหน้าคนช่วยถึงกับถอดสีเมื่อพบว่าบาดแผลเหวอะหวะเป็นรอยกรงเล็บบนผิวขาวซีดนั้นใหญ่และลึกกว่าที่คิดไว้มาก

           “อย่างน้อยก็ต้องปฐมพยาบาลไว้ก่อน ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็เถอะ”

          คำพูดซึ่งคล้ายเปรยกับตัวเองเจือความเครียดกังวล ศาสวัติจะลุกขึ้นไปหาผ้าสะอาดมาทำแผลแต่กลับถูกคว้าข้อมือไว้  เมื่อหันไปมองก็พบว่าใบหน้าคมสวยของชาลมีเหงื่อซึมทั่ว คล้ายกำลังข่มทั้งความเจ็บปวดและอารมณ์หลากหลายที่ศาสวัติไม่อาจเข้าใจได้  ชาลสั่นศีรษะเป็นการห้าม ดวงตาสีทองแทบไม่โฟกัสจุดไหนทั้งสิ้น  คนผมดำพยายามเงี่ยหูฟังเสียงกระท่อนกระแท่นที่อีกฝ่ายพยายามเปล่งออกมาปนเสียงหายใจหอบ

          “หยิบยา...มาก่อน...ขวดสีน้ำเงิน...ในตู้ชั้นบน”

          ศาสวัติรับคำ  แตะหลังมือเย็นเฉียบข้างนั้นเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ก่อนลุกไปค้นหายาที่ตู้ไม้หลังใหญ่มุมห้อง  เมื่อเขากลับมาอีกครั้งพร้อมขวดแก้วเจียระไนสีน้ำเงินที่ต้องการก็พบว่าร่างที่เอนพิงหัวเตียงขาวซีดจนน่ากลัว ดวงตาหรี่จนเกือบปิด ร่างกายไม่ขยับ สองมือวางทิ้งลงข้างตัว  ศาสวัติใจหายวาบ ตบเบาๆ ที่แก้มเย็นเฉียบของอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติพลางเรียกชื่อซ้ำๆ ในใจร้อนรนขึ้นมา ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ...  ก่อนจะได้ยินเสียงตอบสนองแผ่วเบา
 
          ยา...

          ศาสวัติรีบเปิดจุกขวดแก้วเจียระไน กลิ่นวูบแรกบาดจมูกคล้ายกลิ่นธาตุเหล็ก เขาเทยาเม็ดสีแดงขนาดเหรียญบาทที่มีอยู่ค่อนขวดออกมาเม็ดหนึ่งพลางคิด ...นี่อะไร ของพรรค์นี้จะช่วยอะไรได้... ศาสวัติมองของในมืออย่างไม่เข้าใจแต่ก็หยิบยาเม็ดนั้นไปจ่อที่ปากคนเจ็บ

          “อ้าปากหน่อยสิครับ”  คนผมดำบอก สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือเย็นเฉียบของชาลลูบตามท่อนแขนของเขาขึ้นมาเพื่อจับมือที่ป้อนยาข้างนั้น ดวงตาคนตรงหน้าเป็นสีทองวาววาม ไร้ความสนใจยาเม็ดตรงหน้า แต่กลับจ้องเขม็งบนแขนข้างนั้นของเขาซึ่งมีแผลถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนเลือดซึม  ชาลดึงแขนศาสวัติมาจรดริมฝีปากตนเอง ซีกหน้าด้านตรงข้ามแสงตะเกียงคล้ายมีเงาดำปกคลุม ดวงตาสีทองวาววามคู่นั้นเหลือบขึ้นสบตาศาสวัติและตรึงสายตาเขาไว้เช่นนั้น ปลายลิ้นเย็นและเปียกชุ่มสัมผัสผิวและไล้เลียหยดเลือดสดใหม่จากบาดแผล  ศาสวัติกลืนน้ำลายอึก ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน รู้สึกสั่นสะท้านราวกับตัวเองเป็นเหยื่อในกรงเล็บของสัตว์นักล่า

          อึดใจเดียว คนเจ็บก็ปล่อยแขนเขาลง คราบเลือดจางๆ ยังติดที่ริมฝีปากล่าง มือขาวซีดของชาลเอื้อมมาสัมผัสแก้มศาสวัติ เอ่ยน้ำเสียงทุ้มเบาและแตกพร่า

           “ช่วยฉันหน่อยได้มั้ย ศาสวัติ”

          ชายหนุ่มผมดำนิ่งงันกับสีหน้าอ้อนวอนและดวงตาสีทองที่ราวกับมีอำนาจสะกดเหยื่อ มือเรียวยาวของศาสวัติวางทับบนมือขาวซีดเย็นเฉียบบนแก้มตนโดยไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกใบหน้าคมสวยดึงดูดให้โน้มตัวเข้าไปใกล้

          “ครับ...?”

          ชาลเผยอตัวเข้าไปหา แล้วจูบริมฝีปากศาสวัติแผ่วเบา ชายหนุ่มผมดำได้แต่นั่งตัวแข็งอย่างคาดไม่ถึง ชาลเลียชิมริมฝีปากคู่นั้นก่อนเลื่อนลงไปจุมพิตลำคอขาว กระซิบว่า

          “ขอเลือดให้ฉันหน่อย ยาแค่นั้นไม่พอหรอก ฉันทนไม่ได้แล้ว”

          ดวงตาสีเทาเงินของศาสวัติเบิกกว้างยามกลุ่มผมสีน้ำตาลทองขยับเข้าคลอเคลีย รู้สึกถึงปลายเขี้ยวคมสองข้างครูดเบาๆ บนผิวที่ซอกคอ กลิ่นหอมหวานแปลกประหลาดจากร่างคนเจ็บกรุ่นอยู่ริมจมูกจนสมองมึนงง  ศาสวัติรู้สึกคล้ายสติล่องลอย พยายามจะพูดบางอย่างแต่เสียงนั้นกลับติดอยู่แค่ในลำคอกลายเป็นเสียงอืมเบาๆ ชาลถือว่านั่นคือคำตอบรับ
 
         ชาลโอบแขนรอบศีรษะและแผ่นหลังของอีกฝ่าย ฝังเขี้ยวแหลมขาวลงบนลำคอคนตรงหน้าโดยไม่รอช้า ลิ้มรสเลือดเข้มข้นหอมหวานที่ทะลักล้นจากเส้นเลือดแดง เลือดแท้ๆ สดๆ ของมนุษย์ที่ไม่ได้แตะต้องมานาน นาน...จนทำให้ชาลถึงกับสะดุ้งอย่างยินดีเมื่อแรกสัมผัส ม่านตาขยายกว้าง หัวใจเต้นแรง ของเหลวร้อนผ่าวไหลลงลำคอเหมือนธารไฟสายเล็กจนร้อนวูบไปทั่วร่าง รู้สึกได้ว่าทุกเซลล์กำลังตื่นตัวสั่นระริก

           ชาลหลับตาลง ด้วยพึงพอใจทั้งกับรสชาติและเสียงครางอย่างลืมตัวของคนในอ้อมกอด รสชาติแสนโปรดปรานที่ไม่ได้แตะต้องมาเนิ่นนาน กับเสียงที่แทบลืมเลือนไปแล้วว่าเคยได้ยินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ สัมผัสที่อบอุ่นและแนบชิดของมนุษย์

          อยากได้...มากกว่านี้...

           แต่สติสัมปชัญญะเข้าควบคุมสัญชาตญาณดั้งเดิมได้ทันท่วงที เมื่อได้เลือดเพียงพอตามความต้องการแล้ว ชาลจำใจถอนเขี้ยวออกจากลำคอด้วยความเสียดาย ก่อนจะเลียปากแผลเบาๆ เพื่อช่วยสมานแผล  เขาเอนหลังพิงหัวเตียง พลางรั้งร่างศาสวัติที่หมดสติอยู่ในอ้อมกอดมานอนอิงบนร่างตน  ชาลหลับตา รับรู้ว่าเลือดหอมหวานกำลังแผ่ซ่านไปทั้งร่างและเรียกพละกำลังให้กลับคืนมาทีละน้อย เนื้อปอดเริ่มประสานตัว กระดูกซี่โครงที่หักร้าวเชื่อมต่อกันตามตำแหน่งเดิม บาดแผลเหวอะหวะบนหน้าอกกำลังสร้างเนื้อเยื่อขึ้นเกาะเกี่ยวกันจากภายในสู่ภายนอกจนกระทั่งปากแผลบนผิวหนังปิดลง  เพียงสิบนาทีให้หลังทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ไม่เหลือร่องรอยบาดแผลใดๆ บนผิวขาวเรียบราวหินอ่อน

           เขาหลุบตามองรอยเขี้ยวบนลำคอศาสวัติที่เหลือเพียงจุดสีแดงเล็กๆ การกะปริมาณเลือดจากเหยื่อกลับกลายเป็นเรื่องยากเมื่อต้องห่างเหินมานาน ตั้งแต่เขาเลิกดื่มเลือดมนุษย์เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน ยังไงก็ตาม ชาลแน่ใจว่าอีกฝ่ายเพียงหมดสติไปซักพัก ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
 
          ชาลพลิกร่างศาสวัติให้นอนหงายราบบนเตียงอย่างนุ่มนวล ปัดปอยผมสีดำที่ปรกแก้มไปทัดหู ไล้นิ้วบนใบหน้าสวยที่นอนหลับตานิ่ง  ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองยิ้มน้อยๆ ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกพึงพอใจแบบนี้มานานเกือบเจ็ดสิบปีแล้วสินะ  ทั้งความพึงพอใจและความรู้สึกมากมายพลุ่งพลานเหมือนน้ำเดือดอยู่ในอก อาจเป็นเพราะนี่เป็นการเสพเลือดมนุษย์ครั้งแรกในรอบเจ็ดสิบปีก็เป็นได้ ชาลเอื้อมมือหนึ่งไปโอบกอดรอบเอวที่ไม่หนานักแต่มีกล้ามเนื้อแน่นของคนที่ยังสลบไสล ดวงตาสีทองเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อสัมผัสโดนบางสิ่งที่ขอบกางเกง

          ชาลเลิกชายเสื้ออีกฝ่ายขึ้นช้าๆ ลูบไล้เล่นกับหน้าท้องขาวราบเรียบซึ่งพ้นขอบกางเกงสีเข้มสูงแค่สะโพกจนพอใจ ก่อนจะดึงปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่เหน็บไว้ระหว่างเข็มขัดกับขอบกางเกงของศาสวัติออกมา  เมื่อประหวัดคิดถึงตอนที่คนคนนี้ยิงปืนเพื่อช่วยให้เขาจัดการกับพวกหมาป่าโดยไม่หวาดกลัว ชายหนุ่มยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว

           ความกล้านั่นถูกใจจริงๆ...

           ก่อนเอื้อมมือข้ามร่างศาสวัติเพื่อวางปืนไว้บนโต๊ะข้างเตียง อยากกอดร่างอบอุ่นนี้ต่ออีกสักหน่อย แต่คราบเลือดบนอกเขาจะทำให้อีกฝ่ายเปรอะไปด้วย คงไม่ดีเท่าไรถ้ากลิ่นเลือดที่ยังค้างอยู่จะกระตุ้นให้เขาอยากลิ้มรสเลือดของคนคนนี้เป็นครั้งที่สองในค่ำคืนเดียว  ชาลแนบจมูกกับเรือนผมดำ  สูดหายใจลึกเอากลิ่นหอมเย้ายวนจนเต็มปอดแล้วจำใจลุกจากเตียง เดินเข้าด้านหลังลับแลไม้ฉลุที่กั้นเป็นส่วนแต่งตัวและผ่านไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการกับคราบเลือดบนตัว
 

------------------------------------
TBC



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2017 10:39:50 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
.
 
ตอนที่ 3


          อารักษ์ พ่อของลูกจันยังคงนั่งรออยู่ในล็อบบี้ของส่วนต้อนรับ เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน 
 
          เขาขับรถพาลูกจันกับเอิบไปโรงพยาบาล ทั้งคู่ปลอดภัยดี แต่ต้องรอทำแผลโดยมีภรรยาของตน หญิงชราผู้เป็นมารดา และคนงานหญิงอยู่เฝ้าอาการที่โรงพยาบาลพร้อมลี้ภัยจากหมาป่าไปในตัว ส่วนตัวเขารีบกลับมาที่ภูเขานี้อีกรอบ  คู่สามีภรรยาวัยเกษียณเช็คเอ้าท์ออกไปแล้วตั้งแต่ตอนพาตัวลูกจันกลับลงมาจากภูเขาได้สำเร็จ  หลังกลับจากโรงพยาบาล อารักษ์รอศาสวัติตามลำพังอย่างกระวนกระวายมาจนเกือบครบชั่วโมง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่านักศึกษาหนุ่มจะกลับมา  เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเพื่อนซึ่งเป็นพรานเก่าเพื่อปรึกษาและขอกำลังตามหาศาสวัติอีกแรง รวมทั้งตามรอยหมาป่ายักษ์ที่ยังป้วนเปี้ยนแถวนี้ 
 
          เมื่อกดวางสายโทรศัพท์ อารักษ์พลันสั่นสะท้านเพราะเสียงหอนของสัตว์ป่าดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล สะท้อนรับเป็นช่วงๆ ในภูเขาก่อนจางหาย เขาได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเหตุร้ายกับนักศึกษาหนุ่มคนนั้นเลย
 
 
------------------------------------

 
               เขาได้ยินเสียงหอนของสัตว์ป่าดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล สะท้อนรับเป็นช่วงๆ ในภูเขาก่อนจางหาย  ชาลหันขวับตามต้นเสียง ดวงตาเจิดจ้าคล้ายมองผ่านกรอบหน้าต่างฝ่าความมืดของป่าและราตรีไปยังบางสิ่ง

              ...พวกมัน...
 
               ชาลโยนผ้าขนหนูที่เช็ดผมจนหมาดลงตะกร้า เปิดตู้เสื้อผ้าโบราณหลังใหญ่ หยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มยาวถึงข้อเท้ามาคลี่สวมโดยไม่รีบร้อน สีน้ำเงินเข้มยิ่งขับผิวขาวจัดให้สว่างเรื่อเรืองใต้แสงเทียน ลมวูบหนึ่งพัดผ่านหน้าต่างห้องแต่งตัวเข้ามา ไร้เสียงฝีเท้าแต่ชาลรับรู้ได้ 
 
           เขาหันหลังกลับแล้วกางแขนรับเด็กผู้ชายร่างเล็กที่โผเข้ากอด ชาลลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสั้นหยักศกสีทองนุ่มราวเส้นไหม และยิ้มให้เมื่อใบหน้าเล็กกลมเงยขึ้นมอง ดวงตากลมสีแดงสุกใสของเด็กชายสะท้อนความกล้าหาญ ดื้อรั้น และกังวลห่วงใย เสียงเล็กๆ ซักไซ้เร็วรัว  
 
          “บาดเจ็บอยู่ใช่มั้ย! เป็นอะไรมากรึเปล่า! ฉันได้กลิ่นเลือดนายเยอะมากเลยย้อนกลับมา”

          “ไม่เป็นอะไรแล้วอัคนิ ตอนนี้ฉันหายดีแล้ว”  คนถูกซักตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่นั่นทำให้อัคนิมองเขาอย่างกังขาระคนประหลาดใจ

          “หายแล้ว? ปกตินายไม่เคยหายเร็วอย่างนี้ซักหน่อย” 

          “เห็นมนุษย์ที่นอนอยู่ตรงนั้นแล้วใช่มั้ย ฉันขอเลือดเขามานิดหน่อย”  ดวงตาสีทองแวววามยามเอ่ยถึงคนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้านหลังลับแลไม้ฉลุ สีหน้าเด็กชายเหมือนตกใจสุดขีด 

          “นายดื่มเลือดเหรอ!  อุ๊บ!”  ชาลรีบปิดปากคนตัวเล็กเอาไว้ เอ่ยยิ้มๆ 

          “อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวเขาตื่น ทางอัคนิเป็นยังไงบ้าง”  มือเล็กดึงมือชาลออกจากปาก ดวงตาสีแดงใสดูเคืองเจ้านายนิดๆ  
 
          “พวกมันยังเหลือประมาณสี่ตัวตอนนี้ซุ่มนิ่งอยู่ในภูเขา ฉันจะหาตัวที่เจ็บให้ได้ก่อน อย่างที่รู้ ตัวเจ็บมันอันตรายกว่าตัวดีไม่รู้กี่เท่า” 

          ชาลคล้ายครุ่นคิด ก่อนตบไหล่ร่างเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู  “ขอบใจนะ อยากพักซักนิดก่อนมั้ย” 

          แต่เด็กชายกลับกอดอกเชิดจมูกใส่เจ้านาย  “ใครจะอ่อนแอไม่มีแรงเหมือนนายล่ะ มัวลังเลไม่ยอมกินเลือดอยู่นั่นล่ะ กินๆ เข้าไปก็หายเจ็บแล้ว ทั้งโง่ทั้งบ้าชะมัดเลยนายนี่ ฉันไม่มัวเสียเวลาอยู่แถวนี้หรอก ฉันจะไปตามพวกมันต่อ”  
 
          ว่าแล้วร่างเล็กๆ ก็ผลุบหายไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ทิ้งชาลไว้กลางห้องแต่งตัวเพียงลำพัง เสียงชายหนุ่มบอกไล่หลัง 
 
          "ถ้าคืนนี้ยังหาไม่เจอก็กลับมานะอัคนิ" เสียงหึเหมือนไม่ถูกใจดังแว่วมากับลม  ชาลหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง 
 
          ถูกลูกน้องสั่งสอนซะแล้วสิ  เอาเถอะ แบบนี้ก็น่ารักดี พวกนิสัยจริงจังนี่ยิ่งแกล้งก็ยิ่งสนุก 
 
           นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ จนอีกไม่นานจะสัมผัสยอดไม้สีเข้มที่สูงเสียดขอบฟ้าบ่งบอกเวลาว่าข้ามพ้นเที่ยงคืนมาแล้ว ความคิดของชาลหวนกลับมาสู่คนที่หลับใหลอยู่ข้างนอก  รอยยิ้มมุมปากพลันผุดขึ้น เท้าทั้งคู่พาเขากลับเข้าไปในห้องนอนในทันใด
 
          ชายหนุ่มผมดำยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่เช่นเดิม ชาลนั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างนั้น มองหน้าอกที่ขยับขึ้นลงสม่ำเสมอ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ เขาอาจหนักมือดื่มเลือดอีกฝ่ายมากเกินไป  
 
          ตลอดเจ็ดสิบปีที่ผ่านมาเขาหมดความอยากในเลือดมนุษย์ ถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเป็นเหตุสุดวิสัยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็กระตุ้นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ให้หวนกลับมาสู่ชาล ไม่เพียงแต่นำความอยากอาหารคืนมาเท่านั้น มันยังปลุกความรู้สึกอื่นๆ ให้ตื่นขึ้นและแล่นพล่านไปทั่วร่างจนแทบควบคุมไม่ได้
 
          ชาลเผลอเลียริมฝีปากด้วยภาพชายหนุ่มที่หลับใหลตรงหน้า เขาโน้มตัวใช้ปลายนิ้วสางเส้นผมสั้นดำขลับนุ่มสลวยของศาสวัติ มองต้นคอและผิวขาวเนียนพ้นร่มผ้า ก่อนกวาดตาไปยังริมฝีปากสีอ่อนที่ได้ลองชิมเมื่อครู่ ความอดทนของเขากำลังจะหมดแล้ว
 
          สักพักคนที่นอนนิ่งสนิทมาตลอดก็เริ่มขยับตัว เปลือกตากระพือถี่ก่อนเปิดขึ้นช้าๆ ดวงตาสีเทาเงินคู่งามคล้ายเคลือบคลุมด้วยเงาหมอก คล้ายพยายามดึงสติและความทรงจำทั้งหมดให้หวนคืน มือเรียวบางลูบใบหน้าตัวเองก่อนขยับยันร่างท่อนบนให้ลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง เขามองใบหน้าสวยคมของชาลที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เอ่ยถามน้ำเสียงงุนงง 

          “เมื่อกี้... คุณทำอะไรผม?”

          เป็นคำถามที่ฟังดูไร้เดียงสาที่สุดในความคิดของชาล ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองหัวเราะในลำคอ ดวงตาสีทองเป็นประกาย 

          “ฉันขอเลือดจากเธอมารักษาแผลนิดหน่อย” 

          “เลือด...”  ดวงตาสีเทาเงินจ้องความว่างเปล่าเบื้องหน้าคล้ายทบทวนความจำ  สัมผัสของคมเขี้ยวที่แทรกผ่านผิวเนื้อลงไปยังเส้นเลือดใหญ่ยังค้างอยู่ที่บาดแผล ศาสวัติยกมือแตะข้างลำคอจุดที่สัมผัสนั้นยังอยู่ เจ็บ... เรื่องจริงเหรอ เจ็บนิดหน่อย แต่... 

          ชาลขยับเข้าไปชิดจนปลายจมูกแทบสัมผัสอีกฝ่าย นิ้วมือลูบรอยเขี้ยวสีจางบนลำคอขาวช้าๆ  พลางเอ่ยกระซิบ

          “...รู้สึกดีใช่มั้ย”  เสียงนั้นยั่วเย้าแกมหัวเราะในลำคอ

          ใบหน้าของศาสวัติซับสีเรื่อขึ้นทันใด รีบเบือนหน้าหนีดวงตาสีทองที่จับจ้องอยู่เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็น ความทรงจำเมื่อครู่ผุดขึ้นมาแจ่มชัดตรงหน้าอีกครั้ง ถึงจะพยายามปฏิเสธอย่างไรก็ไม่สำเร็จ  ใช่... ทั้งที่เจ็บแต่รู้สึกดีจริงๆ  นี่เขากลายเป็นพวกมาโซคิสม์ตั้งแต่เมื่อไหร่... 

          ความคิดทั้งหมดพลันขาดห้วงลงเมื่อมือค่อนข้างเย็นเชยคางเขาเบาๆ และบังคับอย่างนุ่มนวลให้หันกลับไปสบดวงตาสีทองคู่นั้นอีกครั้ง 

          “มันเป็นของตอบแทนที่เผ่าพันธุ์ของฉันมอบให้มนุษย์ขณะแลกเปลี่ยนกับเลือดที่ล้ำค่า  เธอรู้มั้ยว่า สำหรับพวกฉันแล้ว เลือดมนุษย์น่ะเหนือกว่าอาหารเลิศรสทุกชนิดบนโลก” 
 
          ชาลขยับเข้าใกล้จนจมูกสัมผัสแก้มเนียนขาว 
     
          “หอมมาก”
 
          ดวงตาสีทองหรี่ปรือหยาดเยิ้มคล้ายได้กลิ่นหอมหวานถูกใจ 
 
          “แต่ความกระหายของพวกฉันไม่ได้ดับด้วยเลือดเพียงอย่างเดียวหรอก เราอยากมากกว่านั้น”
 
          น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่แตกพร่าข้างหูทำให้ดวงตาศาสวัติเบิกกว้าง ก่อนร่างของศาสวัติจะถูกกดลงบนที่นอน ตามด้วยริมฝีปากเย็นและนุ่มที่ทาบทับบนริมฝีปากเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ศาสวัติร้องบอกให้ปล่อย พลางผลักไสร่างใหญ่กว่าสุดกำลังที่มี 
 
           “ฉันเตือนเธอตั้งแต่แรกให้กลับไป แต่เปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้ว”

          ชาลกระซิบบอกพร้อมรอยยิ้ม นิ้วเรียวยาวแข็งแรงแกะมือของศาสวัติที่พยายามจะผลักร่างเขาออก ก่อนประสานเรียวนิ้วเข้าด้วยกันเพื่อตรึงอีกฝ่ายไว้กับที่ จุมพิตคนใต้ร่างตนอย่างกระหาย คอเสื้อคลุมของชาลหลุดลุ่ยพร้อมการเคลื่อนไหว เผยให้เห็นไหล่กว้างกับกล้ามเนื้อได้รูปใต้แผ่นอกและช่วงท้องขาวจัด ปลายนิ้วเย็นเฉียบอีกข้างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตศาสวัติช้าๆ ก่อนลูบไล้ผิวกายอบอุ่นของอีกฝ่ายด้วยความปรารถนา
 
          ชาลสูดหายใจลึก สัมผัสกลิ่นไอเลือดเนื้อแสนยวนใจที่ปลายจมูก
 
          อยากครอบครอง... 

          อยากเป็นเจ้าของ... 

          อยาก...
 
          เขาประทับรอยจูบสีเรื่อบนผิวกายขาวสะอาดตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในหัวศาสวัติคล้ายปกคลุมด้วยหมอกขาวโพลน ทั้งอ่อนเพลียจากการเสียเลือด ทั้งดวงตาสีทองของนักล่าที่เหมือนมีมนต์สะกด อีกทั้งกลิ่นหอมหวานที่ทำให้สติพร่าเลือน ดวงตาสีเทาเงินพริ้มลงทีละนิด 

          “กอดฉัน”
 
          แค่คำสั่งสั้นๆ เรียวแขนศาสวัติก็เลื่อนขึ้นกระหวัดกอดชาลโดยไม่รู้ตัว พลางจิกเล็บลงบนผิวอีกฝ่ายซึ่งบัดนี้อุ่นจัดจนร้อนราวกับไฟ ไฟที่แทบแผดเผาเลือดทุกหยดในร่างศาสวัติให้เดือดฉ่าและไหลพล่านจนควบคุมไม่อยู่ 

          ...เขากำลังจะถูกกิน ถ้าไม่หนีจะต้องตาย...

          ศาสวัติบอกกับตัวเองได้แค่นั้น สติที่ยังหลงเหลือก็ถูกกวาดละลายหายสิ้นในพริบตา เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพร่ำเรียกชื่ออีกฝ่ายหลุดลอดริมฝีปากตนอย่างลืมตัว เหลือเพียงการสนองตอบความปรารถนาและความพึงพอใจทางกายที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน  
 
          ในที่สุด ชายหนุ่มผู้เสพเลือดเป็นอาหารก็ได้ลิ้มรสชาติเอมโอช ดับความกระหายที่ต้องการมาเนิ่นนานจนกระทั่งสิ้นราตรี 
 

------------------------------------
TBC



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Somporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอ่อ...........เสพรสชาติเอมโอช  o18 o18 o18
เสพยังไงเหรอ ไรท์ลืมบรรยายอ่ะ
บอกหน่อยได้ไหมๆ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
รอตอนต่อไปค่าาาา

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


ตอนที่ 5




          แสงอาทิตย์แรกขึ้นสาดลอดช่องว่างระหว่างแผ่นไม้เข้ามากระทบเปลือกตาอารักษ์ผู้เผลอหลับด้วยความอ่อนเพลียอยู่บนโซฟาในล็อบบี้ของส่วนต้อนรับ เขาลืมตาช้าๆ มองเห็นเพื่อนพรานกับผู้ช่วยที่มาถึงตั้งแต่เมื่อคืนกำลังนั่งปรึกษาหารือกันอยู่ ทั้งหมดตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าจะตามรอยหมาป่าและศาสวัติเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และกำลังรอหน่วยกู้ภัยที่นัดหมายจะขึ้นภูเขาไปพร้อมกัน ตอนนี้ยังคงไร้วี่แววว่านักศึกษาหนุ่มที่รอมาทั้งคืน
 
          ห้วงความคิดของอารักษ์พลันถูกเบี่ยงเบนเพราะเสียงรถยนต์ที่แล่นมาจอดด้านหน้าบังกะโล ตามด้วยเสียงเปิดประตูรถ และเสียงสูงใสของหญิงสาวหลายคนที่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

          หญิงสาวสามคนน่าจะวัยประมาณเกือบยี่สิบในชุดลำลองพร้อมกระเป๋าเดินทางก้าวเข้ามาในส่วนต้อนรับ คนหนึ่งเป็นสาวน้อยตาชั้นเดียวตัวเล็กผมยาวประบ่า อีกคนเป็นสาวตัวสูงผิวแทนผมยาวหน้าตาคมขำ  และคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวร่างบางดูพริ้มเพราเหมือนตุ๊กตา ผมยาวคลุมแผ่นหลังปลิวตามสายลมสะอาดยามเช้า ดวงตากลมโตของเธอเป็นสีเทาเงินดูแปลกตา  อารักษ์คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน 
 
          สาวน้อยเหมือนตุ๊กตาคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม เสียงใสเหมือนระฆังแก้วไม่ผิดจากตัว
 
          “เราจองห้องพักไว้แล้วค่ะ เป็นชื่อของพี่ชาย ชื่อศาสวัติ ไม่ทราบอยู่ห้องไหนคะ”

          อารักษ์ได้ยินเสียงความตื่นกลัวดังแทรกความเงียบสงบของล็อบบี้ในยามเช้า เขากลืนรสขมที่โคนลิ้น บ่าทั้งสองข้างหนักอึ้ง ก่อนที่คำขอโทษและเหตุการณ์เมื่อคืนจะหลุดลอดออกมา
 

------------------------------------

 
          แสงอาทิตย์ส่องเป็นลำบางๆ แทรกผ่านร่มใบไม้ลงสู่ผืนดินทั่วป่ากว้าง ทั้งภูเขาอาบด้วยแสงสีทองอ่อนสว่างไสว สรรพเสียงของสัตว์ป่าปลุกภูเขาให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง  เว้นแต่บริเวณก้นหุบซึ่งดูคล้ายหลุมลึกสีเข้มกลางภูเขา ทุกอย่างนิ่งสงบ แม้แต่ใบไม้ยังไม่พลิกไหว อากาศอับชื้นน่าประหลาด ซากใบไม้เน่าทับถมกันบนพื้นดินส่งกลิ่นฉุนเฉียวจนเวียนหัวแม้ในยามเช้า รอบด้านเงียบสงัด คล้ายแมลงยังไม่กล้าส่งเสียงร้อง 
 
          แต่ลองหากเงี่ยหูฟังให้ดี จะได้ยินเสียงหายใจแรงคล้ายสัตว์กำลังบาดเจ็บดังมาจากผาหินเตี้ยๆ ซึ่งเว้าเข้าไปเป็นช่องคล้ายถ้ำตื้นที่มืดสลัว ดวงตาแดงฉานของสัตว์ล่าเนื้อวาวโรจน์เป็นระยะ

          ...ไอ้พวกตัวดูดเลือด  ต้องฆ่ามันให้ได้...

          ลำตัวของร่างนั้นมีแต่แผลเหวอะหวะและก้อนเลือดแห้งเกรอะกรัง ขนบางส่วนถูกความร้อนเผาจนไหม้เกรียม เสียงขู่คำรามลึกในลำคอ เลือดข้นขลักยังซึมจากบาดแผลกระสุนปืนที่เฉียดหัวใจไปนิดเดียว

          แต่ก่อนหน้านั้น...ไอ้มนุษย์ที่สร้างแผลนี้ให้กับข้า...ต้องจัดการ...
 

------------------------------------

 
          ดอกพลับพลึงสีแดงดุจเปลวไฟช่อใหญ่สะดุดตาประดับในแจกันใสบนโต๊ะริมหน้าต่างปลายเตียงนอน นั่นคือสิ่งแรกที่ศาสวัติมองเห็น  ชายหนุ่มผมดำนั่งนิ่งบนเตียงกว้าง แม้เนื้อตัวเขาจะได้รับการเช็ดจนสะอาดสะอ้านและสวมเสื้อคลุมบางๆ อยู่ แต่ความเจ็บแปลบที่ร่างกายท่อนล่างกับรอยจ้ำสีแดงระเรื่อเต็มตัวก็ทำให้ระลึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น 
 
           ทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงแดดยามเช้า แต่ไม่ว่าซอกมุมไหนของห้องก็ล้วนไร้เงาของคนคนนั้น  ศาสวัติชันเข่าซบหน้าผากลงพิง เสยผมด้วยความท้อแท้

          ...บ้าชิบ เมื่อคืนทำแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง...

          เขาถอนใจครั้งใหญ่ ดวงตาสีเทาเงินทอดไร้จุดหมายดูซึมเซาแกมกังวล ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ แต่มันต้องไม่ใช่กับผู้ชาย 
 
          ภาพหญิงสาวผมยาวที่สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าใครแวบขึ้นมาในห้วงความคิด

          ...ถ้าศศิรู้เข้า  จะทำยังไง...

          คิดแค่นั้น ชายหนุ่มพลันดีดตัวลุกขึ้นอย่างตกใจ แทบจะก้าวยาวๆ ลงจากเตียงนอน หากความเจ็บแปลบที่แล่นริ้วขึ้นมาช่วยยับยั้งเขาให้ทำอะไรช้าลง

          ...ศศิกับเพื่อนจะมาถึงเรือนพักเช้าวันนี้! 
 
          ศาสวัติไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ดูจากแสงแดดข้างนอกน่าจะยังเช้าอยู่ เขาต้องรีบกลับไปให้ทัน ...หมาผีพวกนั้นถ้ามันเจอศศิ...  ภาพลูกสาวเจ้าของบังกะโลถูกลากเข้าป่าไปยังติดตรึงในหัว ไม่อยากคิดถึงว่าอะไรคือเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดถ้าเขาตามไปช่วยไม่ทัน
 
          ศาสวัติกวาดตามองรอบห้องก่อนจะพบว่าชุดเมื่อคืนของตนพับเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างปลายเตียงนอน และปืนโคลท์กึ่งอัตโนมัติก็วางทับบนเสื้อผ้ากองนั้นเอง
 
 
 

          “ปล่อยไปอย่างงี้จะดีเหรอ? เจ้าหมาพวกนั้นต้องตามแก้แค้นเขาแน่ๆ”  อัคนิถาม 
 
          “พวกมันเจ็บแค้นแทนกันเป็นประจำ  จะไม่ทำอะไรซักหน่อยเหรอชาล? แบบที่มนุษย์ชอบเรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ’ อะไรทำนองนั้น”
 
          เด็กชายผมทองวางคางบนสองแขนที่พาดยาวบนกรอบหน้าต่างชั้นสอง มองดูศาสวัติเดินออกจากบ้านไปตามทางเดินแคบๆ ที่ลัดเลาะผ่านทุ่งดอกพลับพลึงสีแดงสด ชาลยืนกอดอกพิงขอบหน้าต่างอยู่ใกล้ๆ น้ำเสียงที่ตอบฟังเยียบเย็นไร้อารมณ์

          “เขาจะเป็นเหยื่อล่อ พวกมันต้องออกมาแน่”

          “เลือดเย็นจังนะ แต่อย่างงี้ค่อยสมเป็นท่านอดีตหัวหน้าซักที” อัคนิพูดล้อพลางยิ้มจนตาหยี  “ฉันตกใจแทบแย่ตอนรู้ว่านายยอมกินอาหาร แถมยังให้มนุษย์คนนั้นอยู่ที่นี่ทั้งคืน”
 
          สีหน้าอัคนิจริงจังขึ้นเมื่อเหลือบมองเจ้านายข้างตัว  “ทำไมถึงไว้ชีวิตมนุษย์คนนั้นล่ะ นายคิดกับเขาแบบเดียวกับ ‘เธอ’ รึเปล่า จะเหมือนอย่างตอนที่นายอยู่กับ‘เธอ’ แล้วเลิกกินอาหารไปเจ็ดสิบปีรึเปล่า”   
 
          “มนุษย์ที่น่าสนใจคนหนึ่ง มีไว้เล่นสนุกฆ่าเวลา อย่าห่วงเลย”
 
          ชาลตอบแล้วนิ่งเงียบ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังของร่างที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับหายไปหลังพุ่มไม้แน่นขนัด
 
 
 
 
          อีกฟากหนึ่ง เงาดำทะมึนเคลื่อนไหววูบใต้เงาไม้รวดเร็วจนแทบสังเกตไม่ทัน เสียงลมพัดซู่ที่ปลิดใบไม้กระจายคว้างกำลังพุ่งทะยานสู่จุดหมายเบื้องหน้า รอยยิ้มแสยะเหยียดกว้างยามมองเห็นเรือนพักที่เรียงรายบนยอดเขาข้างล่าง  ห่างแค่อึดใจเดียว...
 

------------------------------------

TBC


 

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
งื้ออออ ซาหนุกกกกกกกกกกกกกกก
แวมไพร์กะหมาป่าาาาาาาา
ศาสวัติก็ดีอ่าาา มาต่อเร็วๆนะคะ o13

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่ 6





ศาสวัติย่ำไปตามทางดินสายเล็กที่ลัดเลาะผ่านม่านต้นไม้หนาทึบเพื่อลงไปยังตีนเขา ถือปืนโคลท์กึ่งอัตโนมัติเตรียมพร้อม แต่รู้ตัวดีว่ากำลังเหม่อลอยผิดปกติวิสัยของตน  เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นมากมายเกินไปกระทั่งไม่รู้ว่าจะสลัดมันออกจากหัวได้ยังไง ที่เขายังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้แทบจะเรียกว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ทีเดียว แม้เนื้อตัวท่อนล่างจะเจ็บแปลบขึ้นมาเป็นระยะจนทำให้การเดินเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็นก็ตาม 
 
          ทุกคราวที่ความเจ็บแล่นริ้วกลับมา ภาพชายหนุ่มหน้าตาคมคายผมสีน้ำตาลทองก็ผุดขึ้นแจ่มชัดพร้อมกับอ้อมกอดที่ไม่ปล่อยเขาให้หลุดมือตลอดคืน  ศาสวัติไม่รู้ตัวว่าเลือดร้อนผ่าวสูบฉีดขึ้นหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบปัดมันออกจากหัวพลางถอนใจ
 
          ...เป็นอย่างนี้ต่อไปต้องแย่แน่
 
          ชายหนุ่มเสยผมลูบใบหน้าพยายามเรียกสติกลับมา ความคิดยังอลหม่านในหัว เขาอาจไม่ได้เจอชาลอีกแล้ว บางทีอาจจะดีกว่าหากคิดว่ามันเป็นวันไนท์สแตนด์คืนหนึ่งเท่านั้น แต่มันก็ยังรู้สึกเจ็บใจลึกๆ อยู่ดี
 
          เมื่อศาสวัติเลี้ยวซ้ายอ้อมโขดหินใหญ่ลงมา ขวามือของทางดินห่างไปข้างหน้าราวสิบกว่าเมตร นกสี่ห้าตัวบินกรูขึ้นจากต้นไม้ที่เกาะอยู่โดยฉับพลันอย่างส่อพิรุธ สายลมอ่อนพัดจากทางตัวเขาไปยังต้นไม้ต้นนั้น
 
          ชายหนุ่มหยุดนิ่ง เล็งปืนไปยังทิศทางที่สงสัย สรรพเสียงของป่าพลันหายไป รอบด้านเงียบกริบชวนขนลุกทำเอาประสาททุกส่วนเขม็งเกรียว  ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหากต้องเผชิญกับหมาป่าตัวมหึมาพวกนั้นตามลำพัง เขาจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร
 
          ลางสังหรณ์ของเขาทำงานได้ดีเยี่ยมจนน่ากลัวเมื่อร่างดำทมิฬของหมาป่าตัวหนึ่งโผล่ออกจากบริเวณนั้น มันย่างสามขุมตรงเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยเจตนาร้าย กลิ่นสาบสัตว์ฉุนเฉียว ดวงตาสีแดงก่ำวาววาม ปากแสยะออกเห็นเขี้ยวขาวคมกริบที่พร้อมขย้ำเหยื่อให้แหลกได้ในครั้งเดียว มันรอเวลาแก้แค้นให้เพื่อนร่วมฝูง
 
          ศาสวัติสูดหายใจลึกเรียกสติเตรียมพร้อม อาวุธในมือทำได้แค่สร้างโอกาสหลบหนีให้ตัวเองเท่านั้นและอาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต หากพลาดคือจบสิ้นกัน  เขาเล็งปากกระบอกปืนไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างดวงตาทั้งสองของหมาป่าที่สูงใหญ่เกือบถึงเอว เร้าสมาธิทั้งหมดแล้วกลั้นใจ
 
          มันแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บดุจใบมีดกระโจนเข้าใส่ศาสวัติ ชายหนุ่มพร้อมลั่นไกปืน แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นแสงกรีดวาบเป็นประกายปรากฏที่หางตา ด้วยการตวัดใบมีดอย่างเฉียบคมเพียงครั้งเดียว ต้นคอหมาป่าตัวมหึมาขาดสะบั้นพร้อมเลือดทะลักคาวคลุ้ง มันกระแทกร่างไร้วิญญาณลงบนพื้นดินห่างจากปลายเท้าศาสวัติเพียงสี่ห้าเมตร เลือดแดงข้นกระเซ็นไปอีกทางแทบไม่โดนตัวเขาบ่งบอกฝีมือการใช้ดาบที่เจนจัดของคนฟัน 
 
          เมื่อกองร่างดำทะมึนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีจึงแลเห็นชาลถือมีดยาวศอกเศษชุ่มเลือดอยู่เบื้องหลัง คนร่างสูงในเชิ้ตขาวกางเกงขายาวสีดำเด็ดใบไม้ใกล้มือมารูดใบมีดคมวาว ขจัดคราบเลือดสีคล้ำที่ค้างอยู่บนนั้นออก 
 
          ศาสวัติกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ลดปืนลง ไม่คิดว่าจู่ๆ จะได้พบเจอคนตรงหน้าอีกโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกปั่นป่วนมหาศาลเริ่มก่อตัวในช่องอก ทั้งตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งคาดไม่ถึง ทั้งโล่งใจ ได้แต่มองคนร่างสูงเงียบๆ ไม่รู้จะเริ่มพูดกับอีกฝ่ายด้วยประโยคไหนดี
 
          ชาลเงยหน้ามองเขา ถามด้วยประโยคที่ศาสวัติเคยพูดไว้เองว่า
 
          "จะไม่ขอบคุณกันซักคำหรือ" 
 
          ความรู้สึกมากมายที่บิดม้วนอยู่ในอกคลายตัวออก ชายหนุ่มผมดำยิ้มโดยไม่รู้ตัวก่อนเอ่ยคำ
 
          "ขอบคุณครับ"
 
          ศาสวัติมองชาลไม่วางตา เขาเดินเลี่ยงกองเถ้าธุลีสีเทาตรงเข้าไปหาชาลแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ  "เมื่อเช้าคุณหายไปไหน ผมพยายามหาคุณแต่ก็ไม่เจอ"
 
          ชาลเลิกคิ้วแสร้งสงสัย  "ตามหาฉันทำไม"
 
          ศาสวัติหยุดอยู่ตรงหน้าชาลแล้วเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า ดวงตาสีเทาเงินสบดวงตาสีทองที่เหมือนดวงจันทร์กระจ่าง เขาตอบว่า
 
          "ผมตั้งใจว่าถ้าเจอคุณอีกครั้ง..."
 
          มือซ้ายของศาสวัติเอื้อมแตะคอเสื้อเชิ้ตขาวของชาล สัมผัสผิวขาวจัดเย็นเฉียบใต้ร่มผ้าก่อนจะขยุ้มคอเสื้อนั้น  มือขวากำหมัดแน่นชกหน้าชาลเต็มแรงสองครั้งซ้อน ใบหน้าคมสวยแบบตะวันตกสะบัดตามแรงส่ง  เมื่อชาลหันกลับมา บนแก้มขาวจัดด้านซ้ายมีรอยแดงปื้นใหญ่ปรากฏก่อนมันจะหายไปในชั่ววินาทีราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาสีทองจับจ้องศาสวัติ ถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
 
          "การขอบคุณอีกแบบของมนุษย์รึไง" 
 
          "เมื่อคืน... ทำไมถึงทำแบบนั้นกับผม"  ศาสวัติถาม มือยังคงขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย รู้สึกว่าในคอตีบตัน
 
          ชาลแสร้งถามกลับ "ทำแบบไหน"
 
          ชายหนุ่มผมดำลูบลำคอตัวเองที่ยังหลงเหลือจุดแดงสองจุดบนเส้นเลือดใหญ่และรอยจ้ำสีแดงเรื่อ  "ก็..."  จะพูดออกไปก็กระดากอาย นี่คือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ใช่รึไง สุดท้ายเขาก็เอ่ยเสียงห้วน
 
          "ผมไม่เต็มใจ"
 
          "ไม่เต็มใจ? ทั้งที่เธอกอดฉันไว้ไม่ยอมปล่อยน่ะเหรอ"
 
          "คุณใช้ยาอะไรกับผม"  ศาสวัติถามเสียงแข็ง ข่มความอับอายไว้
 
          ชาลยิ้มมุมปาก ดวงตาสีทองทอประกาย  "ฉันไม่ได้ใช้ยาอะไรเลย ถ้าไม่เชื่อ ทำไมคืนนี้ไม่ลองพิสูจน์ดูเองอีกครั้งล่ะ"
 
          คนฟังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรกันแน่ระหว่างความโกรธกับความอับอาย เขาปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วถอยห่างออกมา ได้แต่บอกซ้ำว่า  "ยังไงก็ช่าง ผมไม่เต็มใจ เมื่อคืนคุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับผม"
 
          ชาลเหมือนตรึกตรองเล็กน้อยก่อนสบตาอีกฝ่าย เอ่ยว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอโทษด้วย" 
 
          ...ขอโทษเหรอ... ศาสวัติเองก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ หรือเปล่า 
 
          ชาลพูดต่อไปว่า  "ทำไมไม่ลองวิธีง่ายๆ อย่างลืมมันไปซะ คิดว่าเป็นความฝันคืนนึง พอตื่นเช้าขึ้นมามันก็หายไป"
 
          ศาสวัตินิ่งงังด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ รู้สึกหน้าชาทันที เขาหันมองทางอื่น  ชาลก้าวเข้าไปหาแล้วแตะคางอีกฝ่ายเบาๆ บังคับอย่างนุ่มนวลให้ใบหน้าที่เย็นชาปานน้ำแข็งหันกลับมามองเขา ก่อนก้มลงกระซิบที่ข้างหู
 
          "...หรือคิดว่าเป็นความฝันไม่ได้ เพราะทำยังไงก็ยังลืมเรื่องเมื่อคืนไม่ลง" 
 
          เหมือนแทงใจดำ ใบหน้าศาสวัติซับสีเรื่อในฉับพลัน เลือดทั่วร่างไหลพล่านปั่นป่วน ทั้งใจสั่นทั้งโกรธเกรี้ยว  ชาลหัวเราะในลำคอ รู้สึกว่าเขาจะติดนิสัยชอบแกล้งคนที่ดูจริงจังเอาซะจริง เขาสูดกลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยมาทั้งคืนจนเต็มปอด
 
          ...หอมมาก พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนแล้ว ก็อยากลิ้มรสเลือดนี้อีกครั้ง อยากสัมผัสผิวกายอบอุ่นอีกหน เขาจะอดใจไม่รั้งร่างนี้เข้ามากอดได้ถึงขนาดไหน...
 
          เขาถือโอกาสจรดปลายจมูกที่ข้างแก้มคนร่างเล็กกว่าก่อนจะถอยห่างออกมา ทิ้งให้ชายหนุ่มผมดำยืนตัวแข็งทื่อหน้าแดงก่ำ หมัดที่กำแน่นจะยกฟาดหน้าคนฉวยโอกาสอีกหนแต่กลับโดนมือใหญ่หนายื้อยุดไว้โดยแทบไม่ออกแรง  ชาลดึงมือข้างนั้นมาแตะปลายจมูกตัวเองช้าๆ ก่อนประทับริมฝีปากเย็นเยียบลงบนหลังมือ  ดวงตาสีทองที่เหลือบขึ้นมองศาสวัติเป็นประกายวับวาว แลเห็นเขี้ยวขาวเล็กๆ โผล่พ้นริมฝีปากที่แย้มยิ้มคล้ายกำลังหยอกเย้า
 
          ศาสวัติตัวสั่น กระชากมือกลับ ...นี่เขาถูกคนตรงหน้าล่อลวงอีกแล้วใช่ไหม...
 
          "ตอนนี้พวกมันคงรู้แล้วว่าฉันจับตาดูเธออยู่ ฉันจะไปส่งถึงที่พักข้างล่างก็แล้วกัน"
         
          ศาสวัติอยากปฏิเสธความช่วยเหลือนั้นด้วยถือทิฐิ แต่พอคิดถึงน้องสาวที่อยู่ในเรือนพักเชิงเขาข้างล่าง คนถือทิฐิก็จำเป็นต้องวางมันลง  หากเจอหมาป่าระหว่างทางอีกเขาคงไม่โชคดีเป็นครั้งที่สอง สู้มีคนคุ้มกันให้ตามไปด้วยจะดีกว่า  ชายหนุ่มหักใจ ...ช่างเถอะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน
 
          "ตามใจครับ"  ศาสวัติพูดแล้วเดินนำออกไป ชาลลอบยิ้ม


------------------------------------

TBC


ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่ 7


 

          เท่านี้หมาป่าทั้งฝูงก็เหลืออยู่แค่สองตัว  เมื่อคืนอัคนิจัดการมันไปได้ตัวหนึ่งแล้ว และเด็กชายกำลังออกตามหาตัวที่บาดเจ็บจากกระสุนของศาสวัติเมื่อคืน มันยังซ่อนตัวนิ่งในป่าลึก  ส่วนอีกตัวหนึ่งก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น
 
          ป่ารอบด้านกลับสู่สภาพเดิม ทั้งนกและสัตว์เล็กต่างส่งเสียงไม่หยุด สุมทุมพุ่มไม้กวัดแกว่งกิ่งก้านในสายลมยามเช้า ศาสวัติเดินตามเส้นทางเดินของสัตว์ป่าซึ่งเป็นทางดินสายเล็กลัดเลาะลงภูเขา เขาตัดสินใจแล้วว่าเรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป แค่อย่าให้เกิดอะไรซ้ำขึ้นอีกก็พอ ชายหนุ่มผมดำเหลือบมองคนร่างสูงที่เดินเคียงเป็นระยะ
 
          "คุณเป็นแวมไพร์ใช่มั้ย"  คนตัวเล็กกว่าตัดสินใจเอ่ยถามในที่สุด
 
          "มนุษย์ส่วนใหญ่เรียกพวกเราว่าอย่างนั้น"  ชาลตอบเสียงเรียบ
 
          ทั้งที่เตรียมใจรับคำตอบไว้แล้วแต่หัวใจคนฟังก็ยังหล่นวูบอยู่ดี ทั้งหมาป่าตัวเท่าเอว ทั้งแวมไพร์กินเลือดเป็นอาหาร แทบไม่น่าเชื่อว่าเรื่องพรรค์นี้ยังมีอยู่จริงนอกจากในหนังที่เคยดู  ศาสวัติสูดหายใจลึกหลายครั้งก่อนพูดต่อไป
 
          "ไม่เห็นเหมือนในเรื่องเล่าเลยนะครับ ไหนว่าแวมไพร์โดนแสงอาทิตย์แล้วจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ทำไมคุณไม่เป็นอะไรเลย"
 
          ชาลหัวเราะหึ  "มันเป็นเรื่องราวที่มนุษย์แต่งเติมให้มีสีสันเอาไว้ปลดปล่อยจินตนาการความเพ้อฝันของตัวเอง เธอไม่คิดว่าการมีจุดอ่อนง่ายๆ อย่างโดนน้ำมนต์ หมุดเงิน หรือกระเทียม หรือแสงแดด แล้วต้องตายทันทีมันเป็นเรื่องโง่บ้างเหรอ"
 
          "งั้นบอกผมหน่อยสิว่าพวกคุณเป็นอะไรกันแน่" 
 
          "เธอว่าสิ่งมีชีวิตสติปัญญาสูงที่เหลือรอดมาถึงปัจจุบันมีแค่เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens เท่านั้นหรือ ทำไมมนุษย์ถึงมีเรื่องเล่าของพวกเรามาตั้งแต่สมัยโบราณ"
 
          ศาสวัติมองคู่สนทนา "คุณกำลังบอกว่า พวกคุณเป็นสิ่งมีชีวิตอีกพันธุ์หนึ่งหรือสปีชีส์หนึ่งที่บังเอิญรูปร่างเหมือนมนุษย์ กินเลือดเป็นอาหาร แผลหายได้ทันที และมนุษย์ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริงมาก่อนนอกจากในเรื่องเล่าสมัยโบราณ...อย่างนั้นเหรอ  ดูยังไงก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ดี"
 
          ชาลหยุดเดิน คว้ามือศาสวัติมาแตะที่หน้าอกเย็นจัดของตัวเอง  คนผมดำยืนนิ่งเพราะตกใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายยึดมือข้างนั้นไว้ตามใจ
 
          "มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก  เธอก็เห็นแล้ว ฉันมีเลือดเนื้ออยู่จริง ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรือวิญญาณที่สัมผัสไม่ได้  พวกเราอาศัยปะปนอยู่กับมนุษย์มานานนับศตวรรษ เราวิจัยสืบหาที่มาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง ที่จริงแล้วพวกเรากับมนุษย์อาจจะมาจากจุดเดียวกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ยีนส์ในบรรพบุรุษของเราอาจกลายพันธุ์จนอาหารที่กินได้มีแค่เลือด มีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ มีประสาทสัมผัสดีกว่า และเซลล์ในร่างกายฟื้นคืนสภาพเดิมได้รวดเร็ว ความสามารถพวกนี้มีในสิ่งมีชีวิตหลายชนิดบนโลก เพียงแต่พวกมันมารวมอยู่ในตัวของพวกเรา  นอกจากข้อแตกต่างพรรค์นี้แล้ว ฉันกับเธอแทบไม่มีอะไรต่างกันเลยไม่ใช่รึไง"
 
         ดวงตาชาลเป็นประกายวาววับ ศาสวัติหลบตาพลางดึงมือกลับ  "อาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้"  เขายอมรับและเริ่มเดินต่อไป
 
         ...ซ่อนตัวปะปนอยู่ในหมู่มนุษย์มานับศตวรรษ ไม่อาจแยกแยะได้ด้วยสายตา ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าประหลาด เขาถามต่อ
 
          "แล้วหมาป่าพวกนั้นล่ะครับ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ ทำไมคุณต้องตามฆ่าพวกมันด้วย"
 
          "พวกเรากับหมาป่าพวกนี้เป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ พวกมันอาจจะกลายพันธุ์มาจากหมาป่าโบราณก็ได้ใครจะรู้  หมาป่าพวกนี้มีถิ่นอาศัยกระจายอยู่ทั่วโลก พวกเราที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่ามากต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อไล่ล่ามัน เราไม่ปักหลักอยู่ที่ไหนนานนักหรอก" 
 
          ...คราวนี้ก็ด้วยใช่ไหม  ศาสวัติเผลอคิด รู้สึกเจ็บจี๊ดที่กลางอก  ...มาทำหน้าที่ตัวเอง พอเสร็จก็เดินทางต่อไป เรื่องอย่างเมื่อคืนก็แค่ความต้องการทางกายภาพธรรมดา และบังเอิญเป็นเขาที่อยู่ตรงนั้น  ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ในอกเหมือนถูกถ่วงด้วยก้อนเหล็ก บอกตัวเองให้เลิกคิดถึงเรื่องนี้ซักที
 
          ชาลมองคนข้างตัวที่อยู่ๆ ก็เงียบไป เมื่อเห็นคนร่างเล็กกว่ายังเดินขัดอยู่เพราะเรื่องราวบนเตียงเมื่อคืน เขานึกจะเอื้อมมือไปประคองแต่สุดท้ายก็รั้งมือกลับมา ดวงตาสีทองหม่นลงเมื่อใจประหวัดไปถึง 'เธอ' ในความทรงจำเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน
 
          ...อย่าผูกพันให้มากอาจจะดีกว่า...
 
          ระยะทางที่เหลือจึงปกคลุมด้วยความเงียบงัน
 
           ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนสูงขึ้น ศาสวัติปาดเหงื่อ ขาทั้งสองข้างเริ่มชาจวนเจียนจะหมดแรง รู้สึกแค่ว่ากำลังก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเหมือนหุ่นยนต์  ชาลสังเกตเห็นจึงดึงแขนอีกฝ่ายให้หลบพักใต้ร่มไม้ข้างทางสักครู่ แต่ศาสวัติยังดึงดันจะเดินต่อเพราะอยากลงไปถึงเรือนพักเชิงเขาให้เร็วที่สุด แสงแดดยามเช้าสะท้อนหลังคาเรือนพักข้างล่างนับสิบหลังเห็นอยู่อีกไม่ไกล
 
          ชาลลูบเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกจากใบหน้าสวยนั้นเบาๆ พูดเสียงอ่อนโยน
 
          "พักซักหน่อยเถอะ เราเห็นจุดหมายแล้ว พักแค่สามนาทีเธอจะมีแรงเดินต่อตัวปลิว" 
 
          ชาลส่งกระติกโลหะแบนๆ สูงแค่คืบที่เตรียมมาด้วยให้ศาสวัติ  "ดื่มน้ำซักหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น ดื่มให้หมดก็ได้" 
 
           คนเหนื่อยจัดมองอย่างประหลาดใจก่อนรับมาดื่มจนเกลี้ยงฉาดแล้วส่งกระติกคืน ชาลยัดกระติกลงกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนที่เขาจะโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้หยุดพักต่อได้สำเร็จ เขาสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างเสียก่อน
 
          ชาลมองแนวไม้ที่บดบังซ้อนทับกันเหมือนฉากบังตารอบบริเวณ รู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่าพวกมันมาแล้ว ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองกุมด้ามดาบสั้นพร้อมตั้งรับ  ศาสวัติมองเห็นท่าทีระวังภัยของคนใกล้ตัวจึงกระชับด้ามปืนแน่น ลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ
 
          เสียงกิ่งไม้ไหวดังแซ่กทางขวามือพร้อมขนหลังสีดำของสัตว์ป่าเคลื่อนผ่านและหายไป  อึดใจต่อมาร่องรอยของมันปรากฏให้เห็นแล้วลับหายไปอีก ชาลย่างเท้าตามไป  การปรากฏตัวเป็นระยะของมันนำชาลให้ปลีกตัวออกห่างจากเส้นทางดินมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อชาลเลิกตามรอยมันและพาศาสวัติเดินต่อไป หมาป่าสีดำตัวนั้นก็โผล่มาให้เห็นลับล่อที่ข้างทางอีกอย่างมีเล่ห์กล และเมื่อเห็นชัดว่าชาลเลือกจะไม่สนใจ มันกระโจนเข้าโจมตีทั้งคู่ซึ่งหน้า
 
          คราวนี้ชาลตวัดดาบสั้นในมือเข้ารับคมเขี้ยวและกรงเล็บคมยาว เสียงใบดาบกับกรงเล็บกระทบกันเปรี้ยงสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวูบวับ  หากรู้สึกเหมือนร่างดำทะมึนจะเอาแต่หลบเลี่ยงคมดาบ มันเล่นเอาเถิดเจ้าล่อชักพาชาลให้ออกห่างทางดินและเข้าป่าลึกขึ้นไปเรื่อยๆ  ชาลถูกพัวพันไว้ด้วยการไม่เข้าโจมตีโดยตรงแต่ก็ไม่หนีหาย 
 
          คนที่กำลังคุมเชิงอสูรตัวมหึมาบอกศาสวัติให้รีบวิ่งลงไปยังเรือนพักที่มองเห็นข้างล่าง ส่วนเขาคงต้องจัดการหมาป่าตัวนี้ให้เด็ดขาดเสียก่อน
 
          ศาสวัติพยักหน้า กำอาวุธในมือเตรียมพร้อมลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ผ่านมา เขาวิ่งตามเส้นทางด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดไปยังจุดหมายเบื้องหน้า โดยไม่ทันสังเกตว่าในพุ่มไม้หนาทึบริมทางนั้นมีเงาดำอีกหนึ่งกำลังจับตามองเขาอยู่


------------------------------------
TBC

 

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ Sistel2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบอ่ะ มาต่อเร็ว ๆ น๊าาา

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


ตอนที่ 8






อัคนิลัดเลาะอย่างคล่องแคล่วผ่านพุ่มไม้รกทึบและต้นไม้หนาแน่นสูงชะลูด ขึ้นไปตามเส้นทางสู่ยอดเนินสูง ร่องรอยหมาป่าบาดเจ็บที่ตามรอยมาตั้งแต่เมื่อคืนปรากฏชัด  เด็กชายผมทองมุ่งหน้าเลียบลำธารเล็กที่ไหลลงสู่กลางหุบเขา จากนั้นผ่อนฝีเท้าและหยุดที่เชิงผาหินเตี้ยๆ
 
          ...จวนได้ตัวแล้ว...
 
          เด็กชายเชิดจมูกจับกระไอกลิ่นกลางอากาศ ก่อนจะเดินตรงไปยังหมู่ไม้รกทึบที่เชิงผา หยิบท่อนไม้แห้งมาเขี่ยกิ่งก้านต้นไม้และเถาวัลย์ที่ปิดบังรอยแยกแคบๆ สูงเกือบสองเมตรบนหน้าผา มันคือถ้ำเล็กๆ ที่ปากทางกว้างแค่พอตัวคนเข้าไปได้ กลิ่นของหมาป่าที่บาดเจ็บหนักเมื่อคืนสิ้นสุดลงตรงนี้  อัคนิก้าวเข้าไปในถ้ำอย่างระวังตัว
 
          หมาป่าบาดเจ็บตัวนั้นพักอยู่ในถ้ำจริงๆ เพียงแต่มันพักอยู่เมื่อคืนนี้...  ตอนนี้ในถ้ำว่างเปล่า เห็นเพียงคราบเลือดเก่าและกระจุกขนทิ้งไว้เยาะเย้ยผู้ติดตามร่องรอยมา
 
          อัคนิปาท่อนไม้แห้งในมือทิ้ง หลงกลมันจนได้!  เด็กชายเดือดดาล  รีบพุ่งตรงไปหาเจ้านายของตัวเองเท่าที่ความเร็วจะอำนวย
 
 
------------------------------------

 
         ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นอีก เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหกคนมาถึงแล้ว อารักษ์ผู้เป็นเจ้าของเรือนพักนำเพื่อนอดีตพรานเก่า พร้อมลูกมือวัยสามสิบต้นๆ หนึ่งคนผู้ดูท่าจะเชี่ยวชาญเรื่องการล่าสัตว์ไม่น้อยมาสมทบ  ทั้งหมดชุมนุมกันที่ปากทางขึ้นภูเขา กำลังตรวจปืนกับกระสุนพร้อมหารือแผนการสุดท้ายด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด
 
          ศศินิศาเองก็อยากจะขึ้นเขาไปค้นหาพี่ชายของเธออีกแรง แต่รู้ดีว่าเธอจะเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์  เมื่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยสั่งให้เธอกับเพื่อนสาวทั้งสองคนออกจากพื้นที่ภูเขาเพื่อป้องกันเหตุร้าย และให้รอฟังข่าวในที่ทำการหน่วยกู้ภัยซึ่งห่างออกไปสิบสองกิโลเมตร  หญิงสาวทั้งสามคนจึงได้แต่ทำตามและอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงให้ศาสวัติและทุกคนปลอดภัย 
 
          คณะเจ้าหน้าที่กู้ภัยและเหล่าอดีตพรานป่ามือฉมังเริ่มเดินขึ้นภูเขาหลังเรือนพัก แกะรอยเท้าศาสวัติเมื่อตอนที่ขึ้นไปตามหาลูกจันเมื่อคืนนี้   เสียงกรีดร้องโหยหวนของสัตว์ป่ายามขาดใจดังแว่วมาจากทิศทางข้างหน้า ทุกคนชะงัก มองหน้ากัน ก่อนเพิ่มความระวังตัวมากขึ้นอีก 


------------------------------------

 

           ศาสวัติวิ่งไปตามทางดินสายเล็ก จุดหมายคือเรือนพักตีนเขาที่มองเห็นหลังคาเบื้องหน้า เขาได้ยินเสียงหมาป่าร้องโหยหวนลั่นมาจากด้านหลังเช่นกัน  ...ชาลคงจัดการไอ้ตัวที่มาล่อวนเวียนได้แล้ว...
 
          ชายหนุ่มไหวตัวเมื่อได้ยินเสียงพุ่มไม้ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ข้างทางไหวซ่า หมาป่าสีดำตัวมหึมาก้าวออกมาขวางทางไว้  ศาสวัติตัวเย็นวาบ หัวใจหล่นไปกองกับพื้น มือสั่นนิดๆ แลเห็นขนบางส่วนของมันมีกระจุกเลือดแห้งกรัง บ่งบอกว่าเป็นตัวเดียวกับที่เขายิงบาดเจ็บและหนีไปเมื่อคืน 
 
          มันแสยะแผงเขี้ยวคมกริบ  ชายหนุ่มเหวี่ยงปลายกระบอกปืนเล็งเป้าหมายโดยสัญชาตญาณ แล้วเหนี่ยวไก
 
          แชะ!

          เสียงเข็มชนวนแทงรังเพลิงแต่ไม่จุดระเบิดดินปืน  ดุจเสียงระฆังยามมรณะ 
 
          ...กระสุนด้าน...
 
          ศาสวัติตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเงาทะมึนมหึมากระโจนขึ้นบดบังแสงอาทิตย์และถาโถมใส่เขาดุจคลื่นยักษ์ซัดฝั่ง  น้ำหนักมหาศาลของหมาป่าอัดร่างสูงโปร่งกระแทกกับพื้นพร้อมเสียงร้องอย่างเจ็บปวด  ฝุ่นแห้งลอยตลบเหมือนควันสีน้ำตาล  ร่างชายหนุ่มนอนแน่นิ่ง แทบมิดหายภายใต้ร่างสีดำมหึมาของหมาป่า
 
 
 
 
         มือที่กำลังใช้ใบไม้รูดเลือดออกจากใบมีดคมวาวพลันชะงัก แวมไพร์หนุ่มผละจากกองเถ้าธุลีหมาป่าที่เวียนวนพัวพันเขาไว้ รีบตามเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อครู่  ...นั่นเป็นเสียงของศาสวัติแน่นอน... ชาลใจเต้นระรัว เร่งฝีเท้า ขอให้เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด 
         
          เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ แลเห็นต้นไม้ใบหญ้าริมทางบางส่วนราบเป็นแปลงด้วยแรงปะทะ ยังมีรอยฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นละออง บนทางดินมีเลือดสดใหม่เจิ่งนองเป็นกองใหญ่  ชาลจำกลิ่นหอมหวานนี้ได้ขึ้นใจ กลิ่นที่เขาลิ้มรสมาทั้งคืน  ...เลือดของศาสวัติ...  แต่บริเวณนั้นกลับไร้ร่างชายหนุ่มที่เขาห่วงกังวล ไม่หลงเหลือแม้แต่เงา
 
           ชาลเห็นสิ่งหนึ่งตกอยู่ข้างกองเลือดนั้น เพราะเป็นสีแดงเหมือนกันจึงมองผ่านในครั้งแรก เขาฟาดกำปั้นด้วยแรงโทสะกับต้นไม้ใหญ่ใกล้มือ เสียงเนื้อไม้ลั่นเปรี๊ยะ ใบไม้ร่วงพรูเหมือนสายฝน  มองสิ่งที่ศัตรูคู่อาฆาตทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าพลางคำรามลั่นในใจ ...ไอ้พวกหมาป่า...
 
          เสียงดงไม้ดังแซ่กเบาๆ พร้อมร่างเด็กชายผมหยักศกสีทองปรากฏขึ้น  อัคนิมีสีหน้าเดือดดาลสุดขีดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า  ...นี่เขาโดนไอ้หมาป่าหลอก แล้วยังถูกมันตลบหลังอีก...  อัคนิกัดฟันกรอด เด็กชายสบถระบายความคับแค้น ก่อนพูดกับชาลด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า
 
          "ขอโทษด้วย  ฉันโดนพวกมันหลอกให้ตามกลิ่นไปอีกทาง ไม่คิดว่ามันจะวางแผนมาดักรอมนุษย์คนนั้นที่นี่"
 
          ชาลตบไหล่เด็กชายเบาๆ บอกว่าไม่เป็นไร
         
          "มนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่  พวกมันส่งบัตรเชิญให้เรา"
 
          ข้างกองเลือดที่เจิ่งนองบนพื้นดิน ดอกพลับพลึงสีแดงสดช่อหนึ่งวางกับพื้น กลีบบอบบางเปื้อนช้ำปรากฏเป็นรอยรองเท้าย่ำติดดิน  ...ดอกพลับพลึงซึ่งสื่อถึงมนุษย์ที่เขาพบเจอเมื่อคืน...  แม้ยังไม่เห็นตัว ชาลก็บอกได้ทันทีด้วยกลิ่นที่หลงเหลือว่าเจ้าของรอยเท้าใหม่เป็นใคร
         
          "ไทวิน"
         
          อัคนิเคยได้ยินคนอื่นในเผ่าพันธุ์ของตนเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน  นั่นเป็นหนึ่งในชื่อของมนุษย์ผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับหมาป่ามายาวนาน ผู้กลายร่างเป็นหมาป่าได้ซึ่งพวกมันยกย่องให้เป็นจ่าฝูง 
           
          "บัตรเชิญ?  หมายความว่ายังไง"  เด็กชายถาม
 
          "ถ้าอยากได้ตัวมนุษย์คนนี้คืนก็ตามมาสิ พวกเรารออยู่" 
 
          ชาลบอกเสียงเรียบ แต่ภายในสะกดความแค้นใจที่พลุ่งพล่าน ดอกพลับพลึงสีแดงที่ถูกเหยียบจมดินยังฝากฝังคำหยามหมิ่นถึงเขาว่า  ...ของของแกเองยังดูแลไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกเหยียบย่ำทำลาย เหมือนคนรักคนก่อนของแกไง...
 
          อัคนิกอดอก เงยหน้ามองเจ้านาย  "ไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมของมัน มนุษย์คนเดียวปล่อยทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง"
 
           ชาลหัวเราะหึ  "ที่ผ่านมาไทวินชอบเก็บตัว แทบไม่เคยโผล่มาให้เห็น หาตัวมันไม่ใช่เรื่องง่าย  แล้วอยู่ๆ มันก็ส่งบัตรเชิญมาให้  ถึงเป็นกับดัก แต่จะไม่ลองไปเจอหน่อยเหรอ"  เขาท้าทายเด็กชาย รู้ว่าอีกฝ่ายชอบรับคำท้านักหนา
 
          "ก็ได้ เพราะถูกพวกมันหยามศักดิ์ศรีจนแหลกหรอกนะ ไม่ได้อยากช่วยใคร"   อัคนิบอกเสียงขุ่นมัว
 
          "อัคนิไปด้วย ฉันก็อุ่นใจ"  ชาลยิ้มให้
 
          แต่เด็กชายมองตาขวาง  "ไม่ต้องแกล้งยอหรอกน่า ไปกันได้รึยัง"   
 
          ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ติดตามกลิ่นใหม่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์  เขาตัดเข้าแนวป่า นำเจ้านายมุ่งไปยังภูเขาลูกข้างเคียง


------------------------------------

           
          ศศินิศาจ้องมองภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอทีวี หมาป่าตัวมหึมาราวกับอสูรกลายเป็นข่าวใหญ่จนถึงขั้นต้องปิดพื้นที่แถบนั้นชั่วคราว ความตื่นกลัวแพร่กระจายไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง โหมกระพือด้วยเรื่องตำนานที่ฝูงหมาป่าจะกลับมาที่ภูเขาทุกห้าสิบปี โดยมีคำบอกเล่าของผู้สูงวัยมากมายแถบนั้นเป็นพยาน 
 
          ทีมหน่วยกู้ภัยกับคณะพรานเก่าที่ขึ้นไปตามรอยศาสวัติบนภูเขาพบเพียงรอยเลือดกองใหญ่ระหว่างทาง ร่องรอยของชายหนุ่มขาดหายไปตรงนั้น แม้หน่วยกู้ภัยยังติดตามค้นหาอยู่และไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ แต่ทุกคนก็เริ่มมั่นใจว่าชายหนุ่มเคราะห์ร้ายคงไม่รอดชีวิตแล้ว
 
          หญิงสาวกดรีโมทปิดทีวี เธอพักที่โรงแรมใกล้ๆ ที่ทำการหน่วยกู้ภัยกับเพื่อนรูมเมททั้งสองคน เพื่อจะติดตามข่าวความคืบหน้าของพี่ชายได้ตลอดเวลา 
 
          ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา อลิชา แม่ของเธอก็มาถึงพร้อมกับ พิทักษ์ ผู้เป็นสามี  ดวงตาของอลิชาแดงก่ำบ่งบอกว่าร้องไห้มาตลอดทาง พิทักษ์เองมีสีหน้าห่วงกังวลจากใจจริง  ทั้งคู่เตรียมเสื้อผ้ามาพักที่นี่ด้วยเพื่อคอยติดตามข่าวลูกชายซึ่งหายไป ดูเหมือนลืมเรื่องจะนัดหย่ากันวันจันทร์นี้จนหมด
 
          ศศินิศาโผเข้ากอดแม่ เธอกลับเป็นฝ่ายปลอบมารดาที่ยังร้องไห้ไม่หยุดว่า
 
          "ไม่ต้องกลัวนะแม่ พวกเขาต้องเจอพี่ ไม่ต้องกลัว" 


------------------------------------
TBC


 

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
สนุกอยู่นะติดตามจ้า

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 9




           ศาสวัติเริ่มได้สติ ความรู้สึกแรกคือเจ็บปวดขัดยอกไปทั้งตัว  เขาขยับตัวช้าๆ พลางร้องโอย พยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นรับภาพ รอบตัวค่อนข้างมืด มีแสงสลัวลอดลงมาจากที่สูง  รู้สึกตัวว่ากำลังนอนอยู่ ใต้ร่างเขาคือสัมผัสของผ้าผืนใหญ่ที่ปูทับพื้นแข็งๆ  เขายังงุนงงและเบลอหนัก ขณะพยายามยันตัวลุกขึ้น หัวไหล่ซ้ายที่ออกแรงยันพื้นก็เจ็บแปลบ  ศาสวัติคลำหัวไหล่ข้างนั้น สัมผัสผิวสากหยาบของผ้าที่พันไว้พร้อมความเจ็บจนสะดุ้ง
 
          ...เขาบาดเจ็บและมีคนทำแผลให้ พลันระลึกได้ว่าตนเองถูกหมาป่ากระโจนฝังเขี้ยวใส่ขณะเดินกลับเรือนพักเชิงเขา
 
          ชายหนุ่มสำรวจตัวเอง พบว่ายังปลอดภัยดีและอวัยวะต่างๆ ยังอยู่ครบ เว้นแต่ความรู้สึกหนักๆ ที่ข้อเท้าซ้าย  เมื่อเลื่อนมือไปคลำดูก็พบว่าข้อเท้าข้างนั้นถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นหนึ่งซึ่งแกะไม่ออก ปลายโซ่ยาวเหยียดอยู่ห่างออกไปในความมืด ไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ไหน
 
          ศาสวัติใจหายวาบ ลำดับความคิดไม่ถูก ในใจพลุ่งพล่านสับสน ...นี่อะไร มันเกิดอะไรขึ้น... 
 
ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล แสงไฟสีส้มจากตะเกียงเจ้าพายุก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูพร้อมร่างคนคนหนึ่งก้าวเข้ามา  ศาสวัติเพิ่งเห็นจากแสงไฟว่า เขาอยู่ในบ้านซึ่งก่อขึ้นจากไม้ตั้งแต่พื้นจรดหลังคา พื้นที่ขนาดห้าคูณหกเมตรโล่งว่างไม่มีเครื่องเรือนใดๆ  ผนังทุกด้านปิดสนิท
 
          ผู้มาใหม่ปิดประตูไว้ตามเดิม เดินตรงมาหาศาสวัติแล้ววางตะเกียงลงตรงหน้า  เขาเป็นผู้ชายผมสีเข้ม ตัวสูงพอๆ กับชาลแต่ดูกำยำกว่า แขนขาแม้สวมเสื้อผ้าคลุมก็ยังเห็นกล้ามเนื้อชัด จนศาสวัติคิดว่าถ้าตัวเองโดนฟาดคงสลบเหมือดคาที่ในครั้งเดียวแน่นอน   เครื่องหน้าของเขาคมเข้มได้รูปละม้ายชาวเอเชียแถบหิมาลัย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กซน ดูเหมือนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ เขาเผยยิ้มกว้าง
 
          "ฟื้นเร็วกว่าที่คิดนะ ใส่ยาแล้วแผลไม่ติดเชื้อหรอก ไม่ต้องห่วง"  เขาบอกกับคนเจ็บ  "ตอนนี้ค่ำแล้ว หิวมั้ย กินซะสิ" 
 
          เขาวางใบไม้ใหญ่ขนาดสี่ฝ่ามือที่รองรับเนื้อย่างกับหัวมันเผา พร้อมกระบอกไม้ไผ่สูงคืบครึ่งบรรจุน้ำสะอาด  ร่างกายคนถูกขังซึ่งไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อเช้าร้องอุทธรณ์ว่าต้องการอาหารตรงหน้า แต่ศาสวัติไม่สนใจ เขาชี้ที่ข้อเท้าซ้ายตัวเอง เสียงโซ่เหล็กกระทบกันดังแกร๊ง
 
          "ทำไมต้องล่ามโซ่ แกจะทำอะไร"
 
          คนที่ดูเหมือนอายุน้อยกว่าศาสวัติยังคงยิ้มกว้าง  "อย่าสนใจเลย กินเถอะน่า"
 
           ศาสวัติอยากคว้าอะไรซักอย่างใกล้มือมาฟาดใส่คนพูด แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงขยับตัวขนาดนั้น แค่ลุกนั่งได้ก็เต็มกำลังแล้ว
 
          "แกเป็นใคร จะทำอะไร จับฉันไว้ทำไม"  ดวงตาสีเทาเงินจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไร้วี่แววตื่นกลัว
 
          คนที่เพิ่งเข้ามาก้าวยาวๆ ไปถึงข้างตัวศาสวัติในพริบตา มือเหมือนคีมเหล็กบีบคางคนเจ็บให้อยู่นิ่ง จ้องตาไม่กระพริบ
 
          "แววตาดี นิสัยแบบที่มันชอบนี่เอง ผีดูดเลือดตัวนั้นถึงได้สนใจนักหนา ไม่เลวๆ"
 
          ศาสวัติหยุดดิ้นรน  ถามคนตรงหน้า  "แกรู้จักชาล?"
 
          "รู้จักตั้งแต่ยังไม่เกิดซะอีก ศัตรูของรุ่นปู่เลยมั้ง"
 
          เรื่องนี้ดูท่าจะเกินจินตนาการในหัวเสียแล้ว ศาสวัติได้แต่ถามว่า  "แกเป็นหมาป่า?  พวกหมาป่ากลายร่างเป็นคนได้ด้วยเหรอ?"
 
          คนตอบหัวเราะร่า  "เฮ้ๆ อย่าเข้าใจผิด หมาป่าธรรมดาน่ะกลายเป็นคนไม่ได้หรอก แต่ครอบครัวฉันพิเศษนิดหน่อย  หมาป่าชอบยกให้คนในครอบครัวฉันเป็นจ่าฝูง ฉันเลยต้องตกกระไดพลอยโจนเป็นศัตรูกับพวกตัวดูดเลือดไปด้วย แย่ชะมัด ไม่ถามความเห็นกันซักคำ"
 
          คนตัวใหญ่กว่ายังไม่ปล่อยมือที่บีบคางอีกฝ่าย ยิ้มเหมือนเด็ก  "ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้ายังอยากอยู่ครบสามสิบสองก็ทำตัวดีๆ ว่าง่ายเข้าไว้  อีกเดี๋ยวตัวดูดเลือดนั่นจะมาช่วยแกเอง"
 
          ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างขึ้น  "แกจับฉันมาเป็นเหยื่อล่อชาล"
 
          "นั่นล่ะ เข้าใจง่ายดี ชักชอบแล้วสิ"
 
          "เปล่าประโยชน์"  ศาสวัติเอ่ยเสียงเรียบอย่างคุมอารมณ์ได้  "ชาลไม่มาที่นี่ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันซักนิดเดียว"
 
          คนตัวใหญ่เลิกคิ้ว ลากนิ้วชี้เบาๆ ลูบรอยจูบสีแดงเรื่อข้างลำคอมนุษย์ที่ปฏิเสธเสียงแข็ง 
 
"แน่ใจได้ยังไง มันไม่ยอมกินเลือดไม่มีสัมพันธ์กับมนุษย์มานาน  แล้วอยู่ๆ มันก็นอนกับแก"
 
          ศาสวัติปัดมือที่แตะตัวทิ้ง ข่มความอับอายที่พลุ่งขึ้นมา สั่นศีรษะช้าๆ  "แกคิดผิด มันก็แค่สัญชาตญาณ  ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"   
 
          คนรับฟังจับจ้องเหมือนจะมองให้ทะลุถึงภายในใจ  "จะจริงเหรอ?  เอาเถอะ ทำตัวดีๆ เข้าไว้ ถ้าไม่ทำให้ฉันโกรธ แกจะมีชีวิตรอดกลับบ้าน  และอย่าพยายามหนี เพราะหมาป่าที่แกเล่นงานจนเจ็บเฝ้าอยู่ข้างนอกทั้งวันทั้งคืน ถ้ามันจับแกได้ แกกลายเป็นอาหารมื้อใหญ่แน่นอน  อยู่เงียบๆ แล้วฉันจะปล่อยแกไป  ฉันรับรอง เอาเกียรติของจ่าฝูงเป็นประกัน"  เขายิ้มพลางถอยห่าง
 
          "ห้องน้ำอยู่นั่น"  เขาชี้ไปที่ประตูเล็กๆ บานหนึ่งด้านในสุดของบ้าน  "ถ้าแกลุกได้ก็อาบน้ำซะ เหม็นกลิ่นตัวดูดเลือดเป็นบ้า เลวร้ายจนไม่อยากเข้าใกล้"
 
          ...งั้นจะไม่อาบเด็ดขาด...  ศาสวัติตัดสินใจ
 
          คนถือไพ่เหนือกว่าทิ้งตะเกียงไว้กลางห้อง เดินไปเปิดประตูทางออก และเหมือนจะนึกอะไรได้จึงหันกลับมาบอกตัวประกันของตน
 
          "ฉันชื่อไทวิน  เผื่อเจอกันคราวหน้าจะได้ทักถูก"
 
          แล้วแสงสลัวภายนอกซึ่งมองเห็นผ่านกรอบประตูก็ปิดลง  ศาสวัติถอนใจยาวอย่างโล่งอก มองอาหารตรงหน้า เขาหยิบกระบอกน้ำมาจิบบรรเทาริมฝีปากแห้งผาก แผลที่หัวไหล่ซ้ายเต้นตุบๆ  รู้สึกว่าแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ชีวิตของตัวเองพลิกตลบจากหน้ามือเป็นหลังมือ  ใครจะคิดว่าชีวิตนี้ต้องเจอทั้งแวมไพร์ทั้งมนุษย์หมาป่า ตอนนี้เขาคงปลอดภัยสักระยะในฐานะตัวประกันที่ดี  เมื่อนึกถึงภาพชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีทองสวยคนนั้น ความหวาดหวั่นก็พุ่งจับหัวใจ ศาสวัติได้แต่ร้องขอเงียบๆ
 
          ...อย่ามาเลยชาล อย่าตามมา...


------------------------------------

 
          บ้านที่กักตัวศาสวัติไว้เคยเป็นรีสอร์ตเมื่อนานมาแล้ว แต่ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงาน ตอนนี้ถูกทิ้งร้างเหลือเพียงโครงบ้านไม่มีใครดูแล ไทวินจึงยึดที่นี่เป็นแหล่งซ่อนตัวชั่วคราว  เขาเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนคาคบต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน สองแขนหนุนศีรษะ เห็นหมาป่าลูกฝูงตัวที่บาดเจ็บจากฝีมือตัวประกันของเขากำลังเดินตรวจตราทั่วบริเวณ 
 
          ราวสามเดือนก่อน ไทวินได้ข่าวว่าผีดูดเลือดที่เขาต้องการตัวจะกลับมายังภูเขาลูกข้างๆ เพื่อดักรอจัดการกับฝูงหมาป่าซึ่งจะหวนกลับมาทุกห้าสิบปี เขาจึงมารออีกฝ่ายเช่นกัน
 
          คนมักพูดว่า ‘การแก้แค้นมีรสหวาน’ และ  ‘การแก้แค้นเป็นอาหารเลิศรสที่สุดเมื่อมันเย็นแล้ว’ ประโยคเหล่านี้อาจเป็นคติประจำครอบครัวนับตั้งแต่รุ่นปู่ลงมา ยิ่งบ่มนานความแค้นยิ่งสุกงอม การชำระแค้นก็ยิ่งเอร็ดอร่อยสาสมใจ แต่ไทวินกลับไม่เคยสัมผัสรสชาติหอมหวานของมัน  และเขาไม่พิสมัยของเย็นชืด เพราะนอกจากไร้รสชาติแล้วยังต้องรอคอยจนน่าเบื่อ  หากเลือกลงมือกระทำอะไรสักอย่าง เขายินดีทำสิ่งที่อุ่นร้อนเพื่อตัวเอง มากกว่าเพื่อการแก้แค้นอันแสนจืดจางของครอบครัว
 
          ไทวินดีดร่างลุกจากคาคบไม้ นั่งหลังตรง จมูกจับสายลมพัดผ่าน ดวงตาคมกริบเป็นประกายในความสลัวราง เขาได้กลิ่นแล้ว ...กลิ่นของแวมไพร์ที่เหล่าหมาป่าแทบทุกตนต้องการตัวกำลังมุ่งตรงมาที่นี่


------------------------------------
TBC

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2018 18:24:44 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อื้อหือ ลุ้นมาก :hao3:

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

คนเขียน >>  ขอบคุณทุกเม้นท์ในทุกตอนที่ผ่านมานะ

 
ตอนที่ 10



เธอชื่อ ซิลรีญา
 
ชาลพบเธอครั้งแรกราวเจ็ดสิบปีก่อน เมื่อเขาเป็นหัวหน้าแวมไพร์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ชื่อของชาลเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่แวมไพร์และหมาป่า ด้วยฝีมือจัดเจนเด็ดขาดไม่พ่ายแพ้ศัตรูตนใด
 
ครั้งนั้นเขาได้ข่าวว่า ผู้นำของหมาป่าตระกูลหนึ่งมีพี่สาวต่างแม่เป็นสายเลือดมนุษย์แท้  เธอถูกเลี้ยงดูไว้ในตระกูลเพื่อประโยชน์ในอนาคต
 
ด้วยนิสัยมุทะลุ เอาแต่ใจ และทระนงในฝีมือตัวเอง บวกกับความสงสัยใคร่รู้ ชาลจึงเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลหมาป่า ซุ่มดูอยู่หลายคืนจนพบตัวซิลรีญา  ครั้งแรกเขาตั้งใจว่าจะใช้เธอเป็นเครื่องมือปั่นหัวผู้นำหมาป่าให้คลั่งใจเล่น เมื่อสบโอกาสที่หญิงสาวอยู่ตามลำพัง เขาจับตัวเธอไว้และสังหารหมาป่าลูกฝูงไปมากมายเหมือนเด็ดใบไม้จากต้น
 
  ชาลได้ฝังเขี้ยวบนลำคอหญิงสาวต่อหน้าผู้นำตระกูลหมาป่าที่ติดตามไล่ล่ามาทัน เขาดื่มเลือดเธอแทนคำเย้ยหยันและพาเธอหนีหายไปในความมืด จากนั้นไม่มีใครติดตามตัวซิลรีญากลับมาได้อีกเลย 
 
 ศักดิ์ศรีของกลุ่มและตระกูลถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่สำหรับแวมไพร์และหมาป่า ถ่ายทอดสืบเนื่องจากเลือดเก่าสู่เลือดใหม่  นับตั้งแต่นั้น ผู้นำตระกูลหมาป่าจึงสาบานด้วยความคลั่งแค้นว่าจะต้องกำจัดชาลให้จงได้ ความเคียดแค้นนั้นยังเพาะบ่มและส่งต่อในสายตระกูลทั้งสามรุ่นจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งลงมาสู่มือไทวินในที่สุด
 
การจับตัวซิลรีญาด้วยความคึกคะนองในคืนนั้นอาจเป็นความผิดพลาดมหันต์ในชีวิตแวมไพร์ของชาล เพราะเธอเป็นคนสอนความอ่อนโยนของมนุษย์ให้เขารู้จัก และละลายหัวใจที่เย็นชาจนเป็นน้ำแข็งให้สัมผัสความอบอุ่น  หลายปีต่อมา ชาลตัดสินใจยกตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มให้แวมไพร์ตนอื่นแล้วหายตัวไป  เขาเลือกเส้นทางที่มีซิลรีญา
 
แต่สุดท้ายเขาก็เสียเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ  ในวันนั้นเขาสัมผัสถึงร่างกายที่เหลือแต่เปลือกกลวงเปล่าของตัวเอง ไร้จิตใจ ไร้วิญญาณ ไร้ความรู้สึก และไม่เคยหวนกลับไปยังกลุ่มแวมไพร์ที่จากมา  ชาลใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อกำจัดหมาป่าตามสัญชาตญาณเท่านั้น  จนกระทั่งได้พบศาสวัติ เขาไม่อาจปล่อยให้ประวัติศาสตร์หมุนซ้ำรอยได้อีก เขาไม่ต้องการบาดแผลฝังใจเป็นรอยที่สอง

 

-----------------------------


 
เมื่อชาลก้าวเข้ามาถึงบริเวณบ้านที่กักตัวศาสวัติไว้ ก็พบไทวินยืนรออยู่ด้วยท่าทางสบายๆ จ่าฝูงหมาป่าหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวคม
 
“เราได้เจอกันซักทีนะ ฉันได้ยินชื่อเสียงแกมานานแล้ว”
 
“ฉันมารับตัวมนุษย์คนนั้นคืน”  ชาลบอกเสียงเรียบ
 
“อยากได้ของสำคัญคืนก็ต้องมีเงื่อนไข"  ไทวินพูด แล้วถามว่า  “นี่...เรามาคุยอะไรกันหน่อยมั้ย  แกคิดยังไงกับพันธะหน้าที่ของเผ่าพันธุ์ตัวเอง"
 
ชาลเลิกคิ้ว รับฟังอย่างสนใจ ...นั่นเป็นสิ่งที่เขาเคยปล่อยมือจากลาเมื่อนานมาแล้ว...  ไทวินเอ่ยต่อ 
 
"ฉันเคยคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ทำไมฉันต้องถูกผูกมัดไว้ด้วยกฎกติกาของตระกูล ทำไมฉันต้องมาตามล่าพวกผีดูดเลือดไม่มีวันจบสิ้น ทำไมต้องมาตามแก้แค้นให้ย่าซิลรีญาที่ยังไม่เคยเห็นหน้าซักครั้งตั้งแต่เกิดมา ทำไมฉันต้องแบกรับภาระพรรค์นี้  แกเคยสงสัยหรือมีคำถามกับตัวเองแบบนี้บ้างไหมชาล”
 
ชาลไม่ตอบอะไร ฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป
 
“ฉันคิดอยู่นานว่าทำยังไงให้ตัวเองหมดภาระผูกพันซักที...”  ไทวินชูนิ้วแรก  “ถ้าฉันเลือกวิธีหนีหายไป ฉันก็คงเหมือนแก คงถูกทั้งแวมไพร์และหมาป่าตามล่าไปชั่วชีวิต หรือวิธีต่อไป...”  เขายกนิ้วที่สอง  “ถ้าฉันกำจัดหมาป่าจนหมดเพื่อเป็นอิสระ จะเป็นกำไรให้พวกแกฝ่ายเดียว ฉันก็ยังโดนแวมไพร์ตามล่าอยู่ดี  หรือวิธีสุดท้าย...” เขาชูนิ้วที่สาม  “ถ้าฉันกำจัดแวมไพร์จนหมด ฉันจะไม่ถูกใครตามล่าอีก และยังถือว่ามีความสามารถจนอาจได้เป็นผู้นำของตระกูล ถ้าฉันเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ของตระกูลซะเอง จะไม่มีใครบังคับฉันได้ ทางเลือกนี้น่าจะดีที่สุด  เพราะฉะนั้น...” 
 
ดวงตาคมมองชาล เจตจำนงที่เห็นผ่านแววตาเร่าร้อนเหมือนเปลวไฟ
 
“...คงต้องขอให้แวมไพร์หายไปจากโลกนี้ล่ะนะ”
 


 
 
 
ขณะที่ชาลกำลังถ่วงเวลาไทวินไว้ อัคนิวกอ้อมใต้ลมมายังตัวบ้านที่กักขังตัวประกันมนุษย์ แลเห็นแสงไฟสีส้มจากตะเกียงส่องสว่างภายใน  เด็กชายหยิบดาบสั้นศอกเศษออกมา เปิดประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ กลิ่นหมาป่าฟุ้งตลบทั่วบริเวณจนเขาเริ่มแยกแยะทิศทางมันไม่ออก อัคนิผลุบเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูงับไว้ดังเดิม 
 
กลางแสงตะเกียง ศาสวัติกำลังจ้องเขา ตาเบิกกว้างเหมือนตกใจ คล้ายเตรียมตัวจะลุกหนีทั้งที่ข้อเท้ายังถูกล่ามโซ่  เด็กชายแตะนิ้วที่ริมฝีปากตัวเอง บอกคนตรงหน้าว่าอย่าส่งเสียง  อัคนิมองรอบตัว บริเวณที่แสงตะเกียงจับไม่ถึงตามมุมห้องยังเป็นเงามืด  สังเกตเห็นศาสวัติมองเขานิ่งแล้วเหลือบสายตาไปทางมุมห้องด้านซ้ายสองสามครั้งคล้ายกำลังส่งสัญญาณ เด็กชายเบนสายตามองตาม
 
ดวงตาสีแดงก่ำวาวโรจน์ในมุมมืด  อัคนิกระโดดหลบหมาป่าที่กระโจนเข้าใส่อย่างเฉียดฉิว สัตว์ร้ายแสยะเขี้ยว เคลื่อนไหวคุมเชิงคั่นระหว่างเด็กชายด้านหน้ากับตัวประกันด้านหลัง  ศาสวัติติดตามการเคลื่อนไหวของหมาป่าไม่คลาดสายตาเช่นกัน มันหันหลังให้เขา จ้องเพียงอัคนิเท่านั้น  ชายหนุ่มสบตาเด็กชายแล้วลอบชี้นิ้วไปยังวัตถุชิ้นหนึ่ง  แวมไพร์ร่างเล็กเดินคุมเชิงหมาป่าเบี่ยงไปทางด้านขวามือของตนคล้ายกำลังมองหาช่องว่าง อสูรสีดำทมิฬก้าวตาม 
 
ศาสวัติปัดตะเกียงใส่ร่างหมาป่าจนน้ำมันหกกระจาย  มันร้องลั่นเพราะเปลวเพลิงที่ลุกลามติดขน สัตว์ร้ายกลิ้งตัวกับพื้นเพื่อดับไฟอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นกระโจนเข้าใส่อัคนิทันควันอย่างกัดไม่ปล่อย เพราะรู้ว่าเป็นอันตรายกับมันที่สุด
 
น้ำมันซึ่งหกราดพื้นไม้กลายเป็นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เปลวไฟเริ่มโหมแรงส่งควันคละคลุ้งกระจายเต็มห้อง  ศาสวัติเริ่มสำลักควัน เขาพยายามดึงโซ่ออกจากขาตัวเองแม้รู้ว่าไร้ประโยชน์  มือขาวจัดข้างหนึ่งพลันเอื้อมมาแตะแม่กุญแจที่คล้องห่วงโซ่ แล้วกระชากอย่างแรงจนแม่กุญแจคลายล็อก ภาพคนคุ้นตาปรากฏตรงหน้า
 
“ชาล...”
 
“ไปเร็ว”  ชาลบอก พาศาสวัติออกจากกองเพลิงทางประตูที่ถูกพังเป็นรูใหญ่  อัคนิพุ่งออกจากบ้านไม้ที่กำลังติดไฟโชติช่วง ล่อหมาป่าไปอีกทาง
 
ชาลพาศาสวัติออกจากตัวบ้านได้เพียงสี่ห้าก้าวก็ถูกไทวินดักรอขวางทาง แสงไฟสีส้มแดงสาดจับใบหน้าหมาป่าหนุ่มที่ขยี้ผมแยกเขี้ยวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์  “ไวเป็นบ้า เผลอมองทางอื่นแป๊บเดียว ก็หายไปพาตัวประกันออกมาซะแล้ว”
 
ไอร้อนของเปลวไฟเริ่มลามเลียแผ่นหลังทั้งคู่จนอุ่นระอุ ชาลก้มลงกระซิบข้างหูศาสวัติ  แล้วพุ่งเข้าใส่ไทวินพร้อมดาบสั้นในมือ หมาป่าหนุ่มหัวเราะร่าพร้อมตั้งรับ ดวงตาเป็นประกาย
 
ศาสวัติวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อมุ่งไปยังเชิงเขาตามเส้นทางสายเก่าของรีสอร์ต ซึ่งยังพอเห็นเป็นแนวหญ้าโล่งเตียนลาดลงสู่เบื้องล่างกลางแสงจันทร์ ทิ้งบ้านไม้ลุกโชนไว้เบื้องหลัง
 
...วิ่งไป ไม่ต้องกลัว ฉันจะตามหาเธอเอง...  ชาลกระซิบบอกเมื่อครู่
 
ชายหนุ่มรู้สึกว่าลมที่ผ่านเข้าออกจมูกเริ่มกลายเป็นใบมีดบาดเฉือนเนื้อปอดและหลอดลม ชายโครงเจ็บแปลบจากอาการหอบ  เท้าที่วิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อต้นทางค่อยๆ ชะลอช้าลง
 
จนในที่สุดเมื่อวิ่งต่อไม่ไหว ศาสวัติต้องหยุดเพื่อพักหายใจ  รอบด้านโอบคลุมด้วยความมืดเลือนรางจนน่าหวาดหวั่น ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นเงาตะคุ่มสูงต่ำกลางแสงจันทร์ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินกระจ่าง เสียงจักจั่นเรไรร้องระงม
 
ในยามที่เริ่มหวั่นใจ มือหนึ่งพลันแตะที่ต้นแขนศาสวัติอย่างนุ่มนวล เขาหันไปหาพลางเรียกชื่อ
 
“ชาล”
 
ก่อนจะรู้ว่านั่นเป็นมือของไทวินที่กำลังส่งยิ้มเห็นฟันเขี้ยวคมขาวให้เขา หมาป่าหนุ่มสะบัดหลุดจากชาลและตามตัวประกันมาจนทัน
 
“ถ้าอยู่เงียบๆ จะปล่อยไปแท้ๆ  อุตส่าห์บอกแล้วว่าอย่าหนี อย่าว่ากันเลยนะ”
 
ไทวินหยิบของอย่างหนึ่งขึ้นมา เมื่อผิววัตถุมันวาวสะท้อนรับแสงจันทร์สุกใส ศาสวัตจึงพบว่านั่นคือปืนโคลท์กึ่งอัตโนมัติที่เขาพกติดตัวก่อนหน้าจะถูกจับ  ไทวินจ่อมันที่ขมับตัวประกันซึ่งหนีหลุดมือมา
 
ศาสวัติหัวใจกระตุก เขาสูดหายใจลึกอย่างเตรียมใจ แล้วหลับตาลงรอรับชะตากรรม
 
 

-----------------------------
TBC



ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ฟัดกันนัวเลย ขอบคุณนักเขียนที่เอามาลงต่อตลอดน้า

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


ตอนที่ 11


 
“ฉันบอกแล้ว ว่าคงต้องขอให้แวมไพร์หายไปจากโลกนี้...”
 
ศาสวัติยังหลับตาเตรียมใจรอรับกระสุน เมื่อได้ยินเสียงไทวินพูดกับใครอีกคน เขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้น  ปืนโคลท์กึ่งอัตโนมัติในมือหมาป่าหนุ่มยังจ่อศีรษะเขา แต่สายตาจ้องไปข้างหน้า มองแวมไพร์ที่ตามมาทัน
 
"รู้ไหมว่าวิธีไหนจะกำจัดแวมไพร์ให้หมดโลกได้เร็วที่สุดโดยไม่เปลืองแรง..."
 
มืออีกข้างของไทวินชูของอย่างหนึ่ง เป็นหลอดขนาดนิ้วก้อยยาวคืบเศษ ภายในบรรจุของเหลว
 
"พวกเราเองก็วิจัยมาเป็นสิบปี ในหลอดนี้เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่ง ถึงยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ทันทีที่เข้าสู่ตัวแวมไพร์ ไวรัสจะทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ทั่วร่างพวกแกจนตายในหนึ่งหรือสองวัน  ถ้าฉีดให้มนุษย์ จะไม่แสดงอาการของโรค แต่มนุษย์จะกลายเป็นพาหะ แวมไพร์ที่ดูดเลือดพาหะจะติดไวรัสจนตายเหมือนกัน  ลองคำนวณเล่นๆ ก็ได้ว่า ถ้าฉันใช้จริง พวกแกเหลือเวลาอีกกี่วันหรือกี่เดือนก่อนจะสูญพันธุ์"
 
คนที่ยืนตัวสั่นเมื่อได้รับฟังกลับเป็นศาสวัติ  ...นี่มันเรื่องบ้าอะไร หมาป่าคิดจะทำสงครามกับแวมไพร์โดยดึงมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาเป็นหมากบนกระดาน ?
 
"จุ๊ๆ เงียบไว้คนเก่ง"  ไทวินกระซิบบอกศาสวัติที่คิดจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แล้วโยนหลอดไวรัสให้ชาล 
 
"ถ้าอยากได้ตัวประกันคืนก็ต้องมีเงื่อนไข... ฉีดเข้าตัวเองซะ แล้วฉันจะคืนมนุษย์คนนี้ให้แบบไม่บุบสลายซักนิดเดียว"  ไทวินสั่ง ศาสวัติไหล่สะท้าน มองชาลที่ยังนิ่งเงียบพินิจหลอดไวรัสในมือ จนหมาป่าหนุ่มต้องตะโกนสั่งอีกรอบ
 
"ฉีดเข้าตัวเองให้หมดหลอด!  ไม่อย่างงั้นฉันยิงทิ้งแน่"  ปากกระบอกปืนกดขมับตัวประกันแรงขึ้น ศาสวัติหลับตาแน่น เม้มริมฝีปาก ...เขายังไม่อยากตาย  และเขาก็ไม่อยากให้ชาลตายเช่นกัน...  เสียงพึมพำลอดไรฟันว่าอย่าฉีด...
 
"เร็ว!"  ไทวินเร่ง  แต่ชาลกลับโยนหลอดไวรัสทิ้งกับพื้นหญ้าโดยไม่แยแส เอ่ยเสียงเย็น
 
"ฉันไม่ฉีด" 
 
ไทวินมองคนตรงหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจ ก่อนเริ่มหัวเราะเห็นฟันเขี้ยวคมกริบ  "เกิดอะไรขึ้นล่ะคุณอดีตหัวหน้า ได้กินเลือดมนุษย์อีกครั้ง ความเย็นชาไร้หัวใจเลยกลับมาเหรอ  นี่ล่ะธาตุแท้ของแก  ทำตัวเลียนแบบมนุษย์แค่ไหนก็ไม่สำเร็จหรอก อาหารยังไงก็เป็นอาหารอยู่วันยังค่ำ" 
 
ไทวินรู้แน่ว่าอีกฝ่ายต้องโจมตีเข้ามา เขาโยนปืนทิ้งในเสี้ยววินาทีเพื่อหยิบของอีกอย่าง  ไทวินปักปลายเข็มฉีดยาอีกหลอดบนต้นแขนศาสวัติ กดก้านหลอด เมื่อเห็นชาลพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมมีดยาวที่ลุกโชน เขาดึงศาสวัติมาเป็นโล่บังไว้ ชาลยั้งอาวุธในมือ ชะงักไปชั่วอึดใจ
 
ชั่ววินาทีแห่งโอกาส ไทวินดึงเข็มฉีดยาจากแขนตัวประกันปักทิ่มบนหลังมือชาล ปล่อยไวรัสที่เหลือหนึ่งในสิบของหลอดเข้าสู่เส้นเลือดแวมไพร์  ชาลตระหนกรีบกระโดดถอยห่าง ไทวินดึงผ้าพันแผลที่หัวไหล่ซ้ายตัวประกันออก แล้วกัดลงไป ฝากรอยเขี้ยวคมบนไหล่พร้อมเสียงร้องเจ็บปวดของศาสวัติ จากนั้นผลักร่างชายหนุ่มคืนให้ชาล  แวมไพร์หนุ่มปราดเข้ารับไว้ไม่ให้อีกฝ่ายล้มกระแทกพื้น
 
ไทวินยิ้มกว้างอย่างสาแก่ใจ บนฟันคมยังมีรอยเลือดค้างอยู่
 
มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนจำนวนมากดังใกล้เข้ามา ที่แท้กลุ่มหน่วยกู้ภัยซึ่งยังตามหาศาสวัติที่ภูเขาลูกข้างๆ พร้อมกับหน่วยควบคุมไฟป่าสังเกตเห็นไฟซึ่งโหมลุกไหม้บ้านไม้ จึงตรงมายังภูเขาลูกนี้เพื่อดับไฟ
 
ไทวินถอยห่าง แล้วหายไปในความมืดของป่าพร้อมเสียงหัวเราะเยาะเย้ย  ทิ้งชาลไว้กับศาสวัติที่บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลุกไม่ขึ้น  ดวงตาสีเทาเงินสะลึมสะลือจวนเจียนจะปิด
 
ชาลรีดเลือดสีดำซึ่งเกิดจากพิษในน้ำลายหมาป่าออกจากบาดแผลสดของคนเจ็บเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเลือดที่ไหลรินจากปากแผลกลายเป็นสีแดงสด จึงกดห้ามเลือด  ชาลลูบเรือนผมศาสวัติที่หลับตาแน่นอย่างทรมาน แล้วเลื่อนมือมาลูบไล้แก้มร้อนผ่าวของคนเจ็บ พยายามเรียกสติอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยเจืออาทร เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ฟื้นคืนสติแน่แล้ว ชาลก้มลงประทับจูบบนหน้าผากและริมฝีปากแห้งผากของศาสวัติเป็นครั้งสุดท้าย
 
เมื่อถึงเวลาต้องผละออกมา ชาลวางร่างชายหนุ่มในอ้อมกอดบนพื้นหญ้า แล้วเดินไปหยิบปืนที่ไทวินโยนทิ้งในพงหญ้ายิงขึ้นฟ้า เสียงดังเปรี้ยงท่ามกลางความเงียบ เป็นสัญญาณเรียกกลุ่มคนที่กำลังขึ้นภูเขามาดับไฟป่า  เสียงซ่าของปืนยังไม่ทันเลือนหายจากยอดไม้ ก็มีเสียงยิงเรียกกลับจากกลุ่มเจ้าหน้าที่หนึ่งนัด  ชาลรออยู่อึดใจก่อนยิงปืนอีกนัดเป็นการตอบรับและบอกตำแหน่ง 
 
แวมไพร์หนุ่มปาดเลือดที่หยดจากจมูก วางปืนไว้ข้างตัวศาสวัติ เก็บหลอดไวรัสอันแรกที่เขาโยนทิ้งบนพื้นหญ้าไปด้วย จากนั้นหลบเข้าสู่ความมืด  เฝ้ามองเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งซึ่งแบ่งกำลังพลมาตามหาผู้ที่ยิงปืนเรียกและพบตัวศาสวัตินอนนิ่งบนทางดินสายเก่า 
 
เมื่อรู้ว่าคนที่เป็นห่วงปลอดภัยแล้ว ชาลจึงถอยกลับไปยังบ้านพักของตนบนภูเขาลูกข้างๆ เพื่อรักษาตัว เขาปาดเลือดซึ่งหยดจากจมูกอีกครั้ง สัมผัสได้ว่าไวรัสกำลังกัดกินร่างกายตัวเองอยู่
 
...ทันทีที่เข้าสู่ตัวแวมไพร์ ไวรัสจะทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ทั่วร่างพวกแกจนตายในหนึ่งหรือสองวัน...
 
ดูท่าคำพูดของไทวินจะเป็นความจริง
 
 
-----------------------------

 
เพราะฝีมือการต่อสู้ยังไม่เก่งกาจเทียบเท่าเจ้านาย อัคนิจึงใช้เวลาพอสมควรกว่าจะจัดการหมาป่าตัวใหญ่จนสิ้นฤทธิ์ได้ 
 
เมื่อเด็กชายย้อนกลับไปยังบ้านพักกลางภูเขา แสงสว่างของตะเกียงส่องให้เห็นภาพเจ้านายที่เอนกายนั่งพักบนเตียงโบราณหลังใหญ่ มีคราบเลือดไหลซึมจากจมูก ผิวขาวจัดปรากฏรอยจ้ำเลือดสีม่วงแดงปื้นใหญ่กระจายทั่วตัว เหมือนมีเลือดออกใต้ผิวหนัง ริมฝีปากและเล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อน  อัคนิโผเข้าไปเกาะริมเตียงอย่างตื่นตระหนก ชาลพยายามปลอบใจและเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง มองเห็นอัคนิหน้าซีดเผือดในแสงตะเกียง
 
ชาลใช้เล็บคมกรีดหลังมือตัวเอง ปล่อยเลือดหยดลงในขวดแก้วใบเล็กจนเต็มแล้วปิดฝา ยื่นให้อัคนิพร้อมกับหลอดไวรัสที่เก็บมาด้วย
 
"เอาสองอย่างนี้ไปให้วาริท ให้เขาวิเคราะห์หายาต้านไวรัสหรือยารักษา  บอกวาริทว่า ไอ้พวกหมาป่าจะใช้ไวรัสนี้ทำลายพวกเรา"
 
"แต่นายเจ็บหนักขนาดนี้ ถ้าฉันไปแล้วใครจะดูแล"
 
ชาลหัวเราะเบาๆ เขากลายเป็นภาระให้คนอื่นดูแลแล้วหรือ ครั้งแรกก็ศาสวัติ ครั้งที่สองก็เด็กชายตรงหน้า  ชาลลูบผมสีทองนุ่มสลวยของอัคนิอย่างเอ็นดูก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
 
"นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เราทุกคน  รู้ใช่มั้ยว่าวาริทอยู่ที่ไหน รีบไปเดี๋ยวนี้"  เขาสั่งเสียงเย็น อัคนิพยักหน้า บอกว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด แล้วพุ่งออกจากหน้าต่างห้องหายไปในความมืด 
 
เมื่อลูกน้องคนสนิทลับสายตาไปแล้ว ชาลล้มตัวลงนอน รู้สึกว่าภายในตัวร้อนจัดราวกับทุกเซลล์ในร่างกำลังหลอมละลาย  ระหว่างความตายกับยารักษา เขาไม่แน่ใจนักว่าอะไรจะมาถึงก่อนกัน

  เคยได้ยินว่าหากมนุษย์ตายอาจยังเหลือสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ  ถึงกระนั้น ชาลไม่เคยพบเจอวิญญาณของซิลรีญาแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าเขาปรารถนาอยากพบเจอเธอมากเพียงใดก็ตาม  แวมไพร์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณหลังความตาย  สำหรับแวมไพร์...ความตายคือสูญสลายกลับสู่เถ้าธุลี
 
 
-----------------------------
TBC

 

ออฟไลน์ whistle

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
โหหหห......ชาลจะรอดมั้ยยยยย........
แล้วศาสวัติกลายเป็นพาหะแล้วอ่ะ ชาลจะดูดเลือดใครอ่ะ

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


ตอนที่ 12



ทันทีที่วาริทรู้เรื่องราวและได้รับหลอดไวรัสรวมทั้งตัวอย่างเลือดของชาลจากอัคนิ ศูนย์วิจัยที่เหล่าแวมไพร์เป็นผู้ก่อตั้งถูกสั่งเปิดอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อคืน นักวิจัยทั้งหมดในสังกัดถูกเรียกตัวมาประจำหน้าที่ การรักษาความปลอดภัยของแวมไพร์กลุ่มต่างๆ ยกระดับถึงเกณฑ์สูงมาก 

หญิงสาวหน้าคมร่างระหงสวมเสื้อกาวน์สีขาวติดบัตรประจำตัวก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินที่สว่างจ้าภายในอาคารเข้าสู่ส่วนลึกของศูนย์วิจัย เธอกำลังคุยโทรศัพท์ไปพลาง สวนกับเจ้าหน้าที่ศูนย์หลายคนซึ่งรีบเดินไปมาในส่วนที่รับผิดชอบ

“ค่ะบอส  ทราบแล้วค่ะ  ฉันจะดูแลที่นี่เอง จะรายงานผลให้ทราบเป็นระยะค่ะ” 

เรเนียวางสาย เธอหยุดเดินเมื่อถึงจุดหมาย หญิงสาวสแกนม่านตาตรงหน้าประตูห้องควบคุมการวิจัยแล้วก้าวเข้าไปทันทีที่ประตูเปิด  ภายในห้องสีขาวมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พร้อมจอรายงานผลเครื่องใหญ่กินเนื้อที่ห้องไปสามแถบ บนผนังมีจอภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องแล็บทั้งสามห้อง เจ้าหน้าที่ในชุดกาวน์สีขาวหกคนนั่งประจำหน้าจอ มีเสียงพูดคุยติดต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมกับนักวิจัยในห้องแล็บผ่านลำโพงเป็นระยะ

ชายโหนกแก้มสูงสวมแว่นตาในห้องควบคุมละสายตาจากข้อมูลบนหน้าจอ เขาดูภายนอกอายุราวสามสิบ  เมื่อหันมาเห็นหญิงสาว เขาลุกจากเก้าอี้เดินมาหา แทบจะกางแขนต้อนรับเธอพร้อมรอยยิ้มกว้าง 

“คุณเรเนีย ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยของเรา ขอโทษที่ไม่ได้ออกไปรับนะ  คุณมาคนเดียวเหรอ หัวหน้าวาริทล่ะ”  เขาถามถึงหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ที่ตนสังกัดอยู่

“บอสกำลังประชุมด่วนกับหัวหน้ากลุ่มท่านอื่นค่ะ  จากนั้นเห็นว่ามีที่ต้องไปต่อด้วย”  เรเนียติดเรียกหัวหน้ากลุ่มของเธอว่า ‘บอส’ เพราะฉากหน้าเธอทำงานเป็นเลขานุการให้เขา 

“บอสให้ฉันมาดูแลที่นี่แทน พร้อมรายงานความคืบหน้า  บอสฝากเรื่องการวิจัยไวรัสไว้กับคุณนะคะ ดร.อาคัส  นอกจากคุณที่เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยกับลูกทีมของเรา บอสก็ไม่วางใจใครอีก”   

ดร.อาคัสพยักหน้า  “เราทุ่มเทเต็มที่  ผมรับรอง  นี่เป็นความเสี่ยงของเผ่าพันธุ์เรา  ถ้าผมไม่ทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ล่ะก็...”  ดวงตาแพรวพราวมองเรียวขายาวคู่งามในกางเกงหนังสีดำของหญิงสาว  เขาพูดเสียงเบาทีเล่นทีจริง

“ผมยอมให้คุณใช้ขาสวยๆ กับรองเท้าบูทส้นสูงคู่นี้เหยียบผมได้เลย”   

เรเนียกอดอก ใบหน้าสวยแบบตะวันตกฉายยิ้มจนแลเห็นปลายเขี้ยวคม  “ถ้าคุณพลาดนะ ดร.อาคัส คนที่จะเหยียบคุณไม่ได้มีแค่ฉันหรอก  บอสจะเหยียบคุณอีกคนค่ะ”

อาคัสยิ้มกว้าง ดวงตาสีเข้มหลังเลนส์แว่นค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม  “อา... โดนหัวหน้าวาริทเหยียบก็ไม่เลว แต่ต้องเหยียบด้วยรองเท้าส้นสูงนะ  ถ้าเป็นคุณเรเนียกับหัวหน้า ผมยอม”  เขาหัวเราะ แล้วบอกว่า  “มาดูผลตรงนี้เถอะ  นักวิจัยของเราพยายามมาหลายชั่วโมงแล้ว”

อาคัสนำหญิงสาวไปจอมอนิเตอร์หนึ่งพร้อมรายงานผลคืบหน้าที่ได้อย่างจริงจัง ไม่มีวี่แววล้อเล่นอีก

“มันเป็นไวรัสที่เราไม่เคยเจอมาก่อน  น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ตัดต่อขึ้นมาใหม่เพื่อให้ทำลายระบบร่างกายของแวมไพร์โดยเฉพาะ  ไอ้หมาป่าบัดซบมันวิจัยอะไรออกมา!  คุณดูอัตราความเร็วในการทำลายเซลล์ของมันสิ  ผมเห็นแล้วยังขนลุก” 

เขาชี้ที่ตัวเลขบนหน้าจอ  เมื่อเรเนียเห็นตัวเลขถึงกับสูดหายใจลึก ...ร้ายแรงขนาดที่ทำให้แวมไพร์ซึ่งมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายสูงมากถึงแก่ความตายภายในหนึ่งหรือสองวัน... 

อาคัสพูดต่อ  “ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่เจอหนทาง จะหายาต้านต้องใช้เวลา ถึงนักวิจัยเราจะทุ่มเต็มที่ แต่ภายในวันหรือสองวันนี้คงยาก  ผมอยากลองให้คุณกับหัวหน้าวาริทใช้ส้นสูงเหยียบนะ แต่คงไม่ใช่จากเรื่องนี้”

เรเนียหนักใจด้วยคิดว่าจะรายงานผลให้บอสทราบยังไงดี  ...สมัยที่ชาลยังเป็นหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์คนก่อน เรเนียยังเด็กมาก เธอเคยได้ยินชื่อเสียงโดดเด่นของเขาแต่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว  หญิงสาวเพิ่งเข้ามาทำงานให้บอสในช่วงที่วาริทรับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มต่อจากชาลแล้ว  เธอรู้ว่าวาริทเคารพรักชาลมาก  เมื่อชาลเป็นคนแรกที่ได้รับไวรัสมรณะซึ่งยังไร้ยารักษา หัวหน้าวาริทผู้แสนเยือกเย็นของเธอจึงนั่งไม่ติด

หญิงสาวมองหน้าจอซึ่งฉายภาพนักวิจัยกำลังตรวจสอบไวรัสอย่างเคร่งเครียดในห้องแล็บทั้งสามห้อง  อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากไวรัสนี้เกิดแพร่กระจายในหมู่แวมไพร์ ผลลัพธ์จะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน

 
 
-----------------------------

 
แม้หลังกระจกหน้าต่างมีม่านสีครีมกางกั้นอยู่ แต่แดดที่ร้อนแรงภายนอกยังส่องสว่างเข้ามาถึงภายในห้อง  อย่างไรก็ตาม ไอร้อนที่ส่งผ่านเข้ามาด้วยถูกละลายหายไปด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศ

ศาสวัติขยับตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าภาพตรงหน้าคือฝ้าเพดานสูงสีขาวไม่คุ้นตา เขากำลังนอนอยู่บนเตียงค่อนข้างแข็งและแคบ  ร่างกายระบมกล้ามเนื้ออ่อนล้าไปทั้งตัว รู้สึกตึงและเจ็บแผลบนหัวไหล่ซ้าย เสียงผ้าห่มกับที่นอนเสียดสียามพลิกตัวดังไปถึงหูคนในห้อง

 “พี่วัติตื่นแล้ว”  ศศินิศา น้องสาวของเขาถลามานั่งเก้าอี้ข้างเตียง  “ต้องบอกพยาบาลก่อน  เขาบอกว่าถ้าพี่ตื่นให้เรียกด้วย”  เธอกดปุ่มเรียกพยาบาลข้างหัวเตียง แล้วหันมาคุยต่อ

“พี่ปลอดภัยแล้ว หนูดีใจมากๆ  กลัวแทบแย่”  หญิงสาวจับกุมมือพี่ชายเขย่าอย่างลืมตัว ศาสวัติร้องโอยเพราะมันสะเทือนถึงแผลที่หัวไหล่  ศศินิศารีบขอโทษพลางวางมือพี่ชายลง เธอยิ้มสดใส

"โทรมจนดูไม่จืดเลยนะคะพี่  ตอนที่หายตัวไปบนภูเขาเนี่ย ไปฟัดกับหมาป่ามารึไง"  ศศินิศาพูดหยอกเล่นให้บรรยากาศสดชื่น

ศาสวัติฝืนยิ้ม ...อยากบอกเหลือเกินว่าเขาไปฟัดกับมันมาจริง ด้วยปืนพกเล็กๆ หนึ่งกระบอก ระหว่างนั้นถูกทั้งหมาป่าทั้งแวมไพร์กัดไม่รู้กี่รอบ ซ้ำยังมีอะไรกับแวมไพร์ แถมยังเป็นผู้ชายซะอีก...  เมื่อคิดถึงตรงนี้ ศาสวัติพลันตัวเกร็ง ใจสั่นรัว เรื่องที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ประดังเข้ามาในหัวเหมือนภาพยนต์ฉายซ้ำอีกรอบ  หญิงสาวหน้าเจื่อนเมื่อเห็นพี่ชายเงียบไป ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปสะกิดใจคนเจ็บเข้าหรือเปล่า

 เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเหมือนระฆังช่วยชีวิตศศินิศา พยาบาลหน้าตาอารีเดินเข้ามาในห้อง ติดตามด้วยสตรีวัยกลางสี่สิบในชุดเรียบหรูสีหน้ากังวล เธอแต่งหน้าบางๆ และดูเหมือนอ่อนกว่าอายุจริงเกือบสิบปี

"แม่..."  ศาสวัติเรียก 

อลิชาเข้าไปยืนข้างเตียง  เธอยิ้มเมื่อเห็นลูกชายฟื้นคืนสติเสียที ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำตาของเธอก็ไหลกลิ้งลงจากหางตา

ศาสวัติอยากพูดปลอบแม่ว่าเขาไม่เป็นไร แต่ติดที่พยาบาลยังเช็คอาการเขาอยู่ ศศินิศาจึงรับหน้าที่ปลอบใจแทน

ทันทีที่หน่วยกู้ภัยพาตัวศาสวัติลงมาจากภูเขาได้สำเร็จ  อลิชาพาลูกชายขึ้นรถพยาบาลเพื่อมารักษาตัวต่อในกรุงเทพทันที  ระหว่างทางศาสวัติได้สติเป็นระยะและได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ทุกครั้งที่เขารู้สึกตัว  ศศินิศากับพิทักษ์ สามีคนปัจจุบันของอลิชา ต้องเป็นคนคอยปลอบเธอมาตลอดทาง

หลังจากพยาบาลเช็คอาการคนไข้เรียบร้อย อลิชานั่งลงไถ่ถามอาการศาสวัติที่ข้างเตียง เธอเล่าให้ลูกชายฟังหลายเรื่อง ตั้งแต่ที่หน่วยกู้ภัยไปพบตัวเขาบนภูเขา จนกระทั่งถึงเรื่องที่เมื่อเช้าเพื่อนนักศึกษาเกือบสิบคนในคณะแวะมาเยี่ยมแต่เขายังหลับอยู่  ศาสวัติโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินแม่ของตนบอกว่า 

“ตอนนี้แม่เลื่อนการหย่าออกไปก่อน ไม่ต้องห่วง คุณพิทักษ์ก็เห็นด้วย เราอยากให้ลูกออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที” 

ชายหนุ่มยิ้ม  ไม่ว่าชีวิตรักของแม่จะเป็นยังไง แม่ก็ยังคิดถึงพวกเขาสองพี่น้องก่อนเสมอ

อยู่ๆ ศาสวัติก็หวนนึกถึงชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองผู้เต็มไปด้วยปริศนาซึ่งได้พบบนภูเขา  แค่หนึ่งวัน ความจริงหลายอย่างที่เคยรับรู้และเคยเชื่อมาชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาถามน้องสาวว่า

"นอกจากพี่แล้ว หน่วยกู้ภัยยังเจอใครบนภูเขาอีกมั้ย"

หญิงสาวเอียงคอมองอย่างฉงน  "เจอพี่วัติคนเดียวค่ะ ยังมีใครอีกเหรอ" 

ศาสวัติปฏิเสธ  เขาจำได้ว่าในคืนที่พบไทวินผู้เป็นจ่าฝูงหมาป่า เขาถูกฉีดยาบางอย่างให้ ทั้งยังเห็นไทวินปักเข็มฉีดยาบนมือชาล ก่อนที่ตัวเขาจะถูกไทวินกัดที่ไหล่ซ้ายและจำอะไรไม่ได้อีกเลยหลังจากนั้น  บาดแผลที่ไหล่ซ้ายเจ็บแปลบและเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีก เหมือนพยายามกระตุ้นเตือนความทรงจำที่หายไปให้หวนคืน

...ชาลจะเป็นยังไงบ้าง เขายังปลอดภัยดีมั้ย...

ชายหนุ่มภาวนาขอให้ชาลหนีไปได้อย่างปลอดภัย แม้จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วก็ตาม
 
 
-----------------------------

 
แสงตะเกียงที่จุดทิ้งไว้ในห้องริบหรี่เพราะเชื้อเพลิงจวนจะแห้งเหือด ไม่นานนักตะเกียงบางส่วนเริ่มดับวูบลงทีละดวง มองเห็นแสงสว่างยามกลางวันจากภายนอกซึ่งส่องลอดผนังไม้บางจุดเข้ามา กลิ่นหอมจางๆ จากพรมดอกพลับพลึงแดงฉานเบื้องล่างลอยแทรกขึ้นมาถึงชั้นสอง ภายในห้องนอนค่อนข้างอับทึบ ไม่มีอากาศไหลเวียนเพราะหน้าต่างปิดไว้ทุกบาน

ชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลทองนอนหงายหลับตานิ่งบนเตียงโบราณหลังใหญ่ ปื้นเลือดสีม่วงแดงใต้ผิวหนังกระจายทั่วตัวจนผู้มองเห็นรู้สึกหวั่นใจ  ...ท่านชาลที่เคยสวยงาม ยามเจ็บหนักกลับเหมือนสัตว์ป่าที่เร้นกายรักษาบาดแผลตามลำพัง ไม่ยอมกลับไปหาเหล่าแวมไพร์ที่จากมา...

เงาร่างของบุคคลนั้นเดินเข้าไปยืนข้างเตียง เรียกชื่ออีกฝ่ายหลายครั้งโดยไม่สัมผัสตัว

"ท่านชาล"

ชาลพยายามลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อซ้ำๆ เขามองผู้มาใหม่กลางแสงสลัว แล้วเอ่ยชื่อผ่านริมฝีปากแห้งผาก

"ซิลรีญา"

...นี่ความฝันหรือเป็นวิญญาณของเธอกันแน่... ชาลถามตัวเอง  ในชั่วพริบตา ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลันแปลงรูปกลับกลายเป็นมนุษย์อีกคน ม่านตาชาลเบิกกว้าง

"ศาสวัติ”

ผู้มาใหม่นิ่งงันเพราะชื่อเรียก ก่อนสั่นศีรษะแช่มช้า 

"วาริทครับ"

ดวงตาสีทองหรี่ซึมของชาลพยายามจับภาพเงาร่างนั้นในแสงริบหรี่ของตะเกียง  ดวงหน้าสวยและขาวจัดที่คุ้นเคยของชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มปรากฏชัดขึ้น ผมสีบลอนด์เงินยาวประบ่า ดวงตาสวยซึ้งสีมรกตโชติช่วงในแสงไฟ  ...ไม่ใช่เจ้าของดวงตาสีเทาเงินคู่นั้นที่ชาลเรียกหา...

"วาริทจริงด้วย”  น้ำเสียงเรียกชื่อแหบแห้งมีความผิดหวังซุกซ่อนอยู่  “ไม่ได้เจอกันนานนะ  ขอโทษทีที่ต้องมาเห็นฉันสภาพนี้" 

ชาลพูดถึงผิวหนังทั่วร่างที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงเจือรอยช้ำเลือดสีแดงคล้ำ   ริมฝีปากและเล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง รู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายยังร้อนผ่าวปริแตกจนเลือดออกภายในไม่หยุด แต่รับรู้ว่าการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นช้าลงกว่าช่วงที่ได้รับไวรัสใหม่ๆ

"ได้ตัวอย่างไวรัสกับเลือดของฉันจากอัคนิแล้วใช่ไหม" 

“ครับ” 

“หายาต้านให้ได้ พวกหมาป่าจะใช้มันทำลายพวกเราทุกคนแน่นอน”  ชาลกำชับเสียงเบา

วาริทนั่งลงที่ขอบเตียง เปลวไฟในดวงตาสีมรกตสั่นไหวจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา  “นักวิจัยของเรากำลังทำเต็มที่ครับ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้  ผมเป็นห่วงแต่ท่านแค่นั้น” 

วาริทปัดปอยผมสีน้ำตาลทองชุ่มเหงื่อออกจากหน้าผากชาลอย่างเบามือ แต่คนเจ็บดันมือข้างนั้นออก ดวงตาสีทองหรี่ซึมมองพร้อมคำเตือน

“อย่าแตะตัวฉัน เธออาจติดเชื้อไปด้วย” 

คนผมเงินปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและสีหน้าอ่อนโยน  “ไม่เป็นไรครับ  ดร.อาคัสเพิ่งบอกว่ามันเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านเลือด ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง”

วาริทประคองมือคนตรงหน้าขึ้นมา แล้วก้มลงจูบหลังมือสีคล้ำของชาล เขาปล่อยปลายจมูกให้คลอเคลียบนหลังมือข้างนั้น เอ่ยเสียงเบา  “ท่านต้องหาย ผมจะทำทุกทางเต็มที่ ท่านต้องไม่เป็นอะไร”

ชาลดึงมือตัวเองกลับอย่างนุ่มนวล  เขารู้ว่าวาริทเป็นห่วงมากขนาดไหน ภายในหัวของชาลกลับนึกถึงแต่ภาพของศาสวัติซึ่งเคยดูแลเขาที่นี่มาก่อน หัวใจที่อ่อนล้ามีเลือดสูบฉีดแรงขึ้น  ชาลชี้ไปยังโต๊ะหัวเตียง 

“หยิบให้หน่อยสิ”

วาริทเอื้อมหยิบขวดแก้วเจียระไนสีน้ำเงินบนโต๊ะ เทยาสีแดงสามเม็ดส่งให้  ชายหนุ่มผมเงินมองอดีตหัวหน้าของตนหยิบมันเข้าปาก แววตาวาริทสีเขียวจัดเป็นประกาย

"ท่านจำเป็นต้องได้รับเลือดมนุษย์สดๆ ร่างกายจะสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายได้ดีกว่า  ถ้าท่านอนุญาต ผมจะจับมนุษย์มาให้ซักสองสามคน มันได้ผลดีกว่ายาเม็ด"   

"ไม่เป็นไร ฉันรู้สภาพตัวเองดี ฉันยังไหว”  ชาลห้ามไว้แม้ความจริงรู้สึกอ่อนแรงเต็มที  “เธอมีเรื่องควรทำยิ่งกว่านี้อีกเยอะ อันที่จริงไม่ต้องลำบากมาหาฉันหรอก"

"ผมคุยกับหัวหน้าแวมไพร์ทุกกลุ่มแล้ว ผมทำทุกอย่างที่ควรทำเสร็จแล้ว ผมไม่ยอมทิ้งท่านไว้คนเดียวแน่"  วาริทยืนกราน ก่อนเอ่ยว่า

“กลับไปกับผมเถอะ  ท่านไปรักษาตัวที่ห้องวิจัยของเราจะดีกว่า  ผมปล่อยท่านไว้ที่นี่ไม่ได้”

ชาลสบสายตาขณะส่ายศีรษะเชื่องช้าแทนคำตอบ เขาไม่คิดจะกลับไปหากลุ่มแวมไพร์ที่เคยปกครองอีก  แต่กระนั้นดวงตาวาริทยังคงแน่วแน่ เขาไม่คิดจะปล่อยมือคู่นี้ และยังยืนยันคำพูดเดิม

“ผมตัดสินใจแล้ว  ไม่ว่ายังไง ผมจะพาท่านกลับไป”
 
 
 
-----------------------------
TBC

 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด