ตอนที่ 12
ทันทีที่วาริทรู้เรื่องราวและได้รับหลอดไวรัสรวมทั้งตัวอย่างเลือดของชาลจากอัคนิ ศูนย์วิจัยที่เหล่าแวมไพร์เป็นผู้ก่อตั้งถูกสั่งเปิดอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อคืน นักวิจัยทั้งหมดในสังกัดถูกเรียกตัวมาประจำหน้าที่ การรักษาความปลอดภัยของแวมไพร์กลุ่มต่างๆ ยกระดับถึงเกณฑ์สูงมาก
หญิงสาวหน้าคมร่างระหงสวมเสื้อกาวน์สีขาวติดบัตรประจำตัวก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินที่สว่างจ้าภายในอาคารเข้าสู่ส่วนลึกของศูนย์วิจัย เธอกำลังคุยโทรศัพท์ไปพลาง สวนกับเจ้าหน้าที่ศูนย์หลายคนซึ่งรีบเดินไปมาในส่วนที่รับผิดชอบ
“ค่ะบอส ทราบแล้วค่ะ ฉันจะดูแลที่นี่เอง จะรายงานผลให้ทราบเป็นระยะค่ะ”
เรเนียวางสาย เธอหยุดเดินเมื่อถึงจุดหมาย หญิงสาวสแกนม่านตาตรงหน้าประตูห้องควบคุมการวิจัยแล้วก้าวเข้าไปทันทีที่ประตูเปิด ภายในห้องสีขาวมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พร้อมจอรายงานผลเครื่องใหญ่กินเนื้อที่ห้องไปสามแถบ บนผนังมีจอภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องแล็บทั้งสามห้อง เจ้าหน้าที่ในชุดกาวน์สีขาวหกคนนั่งประจำหน้าจอ มีเสียงพูดคุยติดต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมกับนักวิจัยในห้องแล็บผ่านลำโพงเป็นระยะ
ชายโหนกแก้มสูงสวมแว่นตาในห้องควบคุมละสายตาจากข้อมูลบนหน้าจอ เขาดูภายนอกอายุราวสามสิบ เมื่อหันมาเห็นหญิงสาว เขาลุกจากเก้าอี้เดินมาหา แทบจะกางแขนต้อนรับเธอพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“คุณเรเนีย ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยของเรา ขอโทษที่ไม่ได้ออกไปรับนะ คุณมาคนเดียวเหรอ หัวหน้าวาริทล่ะ” เขาถามถึงหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ที่ตนสังกัดอยู่
“บอสกำลังประชุมด่วนกับหัวหน้ากลุ่มท่านอื่นค่ะ จากนั้นเห็นว่ามีที่ต้องไปต่อด้วย” เรเนียติดเรียกหัวหน้ากลุ่มของเธอว่า ‘บอส’ เพราะฉากหน้าเธอทำงานเป็นเลขานุการให้เขา
“บอสให้ฉันมาดูแลที่นี่แทน พร้อมรายงานความคืบหน้า บอสฝากเรื่องการวิจัยไวรัสไว้กับคุณนะคะ ดร.อาคัส นอกจากคุณที่เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยกับลูกทีมของเรา บอสก็ไม่วางใจใครอีก”
ดร.อาคัสพยักหน้า “เราทุ่มเทเต็มที่ ผมรับรอง นี่เป็นความเสี่ยงของเผ่าพันธุ์เรา ถ้าผมไม่ทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ล่ะก็...” ดวงตาแพรวพราวมองเรียวขายาวคู่งามในกางเกงหนังสีดำของหญิงสาว เขาพูดเสียงเบาทีเล่นทีจริง
“ผมยอมให้คุณใช้ขาสวยๆ กับรองเท้าบูทส้นสูงคู่นี้เหยียบผมได้เลย”
เรเนียกอดอก ใบหน้าสวยแบบตะวันตกฉายยิ้มจนแลเห็นปลายเขี้ยวคม “ถ้าคุณพลาดนะ ดร.อาคัส คนที่จะเหยียบคุณไม่ได้มีแค่ฉันหรอก บอสจะเหยียบคุณอีกคนค่ะ”
อาคัสยิ้มกว้าง ดวงตาสีเข้มหลังเลนส์แว่นค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม “อา... โดนหัวหน้าวาริทเหยียบก็ไม่เลว แต่ต้องเหยียบด้วยรองเท้าส้นสูงนะ ถ้าเป็นคุณเรเนียกับหัวหน้า ผมยอม” เขาหัวเราะ แล้วบอกว่า “มาดูผลตรงนี้เถอะ นักวิจัยของเราพยายามมาหลายชั่วโมงแล้ว”
อาคัสนำหญิงสาวไปจอมอนิเตอร์หนึ่งพร้อมรายงานผลคืบหน้าที่ได้อย่างจริงจัง ไม่มีวี่แววล้อเล่นอีก
“มันเป็นไวรัสที่เราไม่เคยเจอมาก่อน น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ตัดต่อขึ้นมาใหม่เพื่อให้ทำลายระบบร่างกายของแวมไพร์โดยเฉพาะ ไอ้หมาป่าบัดซบมันวิจัยอะไรออกมา! คุณดูอัตราความเร็วในการทำลายเซลล์ของมันสิ ผมเห็นแล้วยังขนลุก”
เขาชี้ที่ตัวเลขบนหน้าจอ เมื่อเรเนียเห็นตัวเลขถึงกับสูดหายใจลึก ...ร้ายแรงขนาดที่ทำให้แวมไพร์ซึ่งมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายสูงมากถึงแก่ความตายภายในหนึ่งหรือสองวัน...
อาคัสพูดต่อ “ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่เจอหนทาง จะหายาต้านต้องใช้เวลา ถึงนักวิจัยเราจะทุ่มเต็มที่ แต่ภายในวันหรือสองวันนี้คงยาก ผมอยากลองให้คุณกับหัวหน้าวาริทใช้ส้นสูงเหยียบนะ แต่คงไม่ใช่จากเรื่องนี้”
เรเนียหนักใจด้วยคิดว่าจะรายงานผลให้บอสทราบยังไงดี ...สมัยที่ชาลยังเป็นหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์คนก่อน เรเนียยังเด็กมาก เธอเคยได้ยินชื่อเสียงโดดเด่นของเขาแต่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว หญิงสาวเพิ่งเข้ามาทำงานให้บอสในช่วงที่วาริทรับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มต่อจากชาลแล้ว เธอรู้ว่าวาริทเคารพรักชาลมาก เมื่อชาลเป็นคนแรกที่ได้รับไวรัสมรณะซึ่งยังไร้ยารักษา หัวหน้าวาริทผู้แสนเยือกเย็นของเธอจึงนั่งไม่ติด
หญิงสาวมองหน้าจอซึ่งฉายภาพนักวิจัยกำลังตรวจสอบไวรัสอย่างเคร่งเครียดในห้องแล็บทั้งสามห้อง อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากไวรัสนี้เกิดแพร่กระจายในหมู่แวมไพร์ ผลลัพธ์จะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
-----------------------------
แม้หลังกระจกหน้าต่างมีม่านสีครีมกางกั้นอยู่ แต่แดดที่ร้อนแรงภายนอกยังส่องสว่างเข้ามาถึงภายในห้อง อย่างไรก็ตาม ไอร้อนที่ส่งผ่านเข้ามาด้วยถูกละลายหายไปด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
ศาสวัติขยับตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าภาพตรงหน้าคือฝ้าเพดานสูงสีขาวไม่คุ้นตา เขากำลังนอนอยู่บนเตียงค่อนข้างแข็งและแคบ ร่างกายระบมกล้ามเนื้ออ่อนล้าไปทั้งตัว รู้สึกตึงและเจ็บแผลบนหัวไหล่ซ้าย เสียงผ้าห่มกับที่นอนเสียดสียามพลิกตัวดังไปถึงหูคนในห้อง
“พี่วัติตื่นแล้ว” ศศินิศา น้องสาวของเขาถลามานั่งเก้าอี้ข้างเตียง “ต้องบอกพยาบาลก่อน เขาบอกว่าถ้าพี่ตื่นให้เรียกด้วย” เธอกดปุ่มเรียกพยาบาลข้างหัวเตียง แล้วหันมาคุยต่อ
“พี่ปลอดภัยแล้ว หนูดีใจมากๆ กลัวแทบแย่” หญิงสาวจับกุมมือพี่ชายเขย่าอย่างลืมตัว ศาสวัติร้องโอยเพราะมันสะเทือนถึงแผลที่หัวไหล่ ศศินิศารีบขอโทษพลางวางมือพี่ชายลง เธอยิ้มสดใส
"โทรมจนดูไม่จืดเลยนะคะพี่ ตอนที่หายตัวไปบนภูเขาเนี่ย ไปฟัดกับหมาป่ามารึไง" ศศินิศาพูดหยอกเล่นให้บรรยากาศสดชื่น
ศาสวัติฝืนยิ้ม ...อยากบอกเหลือเกินว่าเขาไปฟัดกับมันมาจริง ด้วยปืนพกเล็กๆ หนึ่งกระบอก ระหว่างนั้นถูกทั้งหมาป่าทั้งแวมไพร์กัดไม่รู้กี่รอบ ซ้ำยังมีอะไรกับแวมไพร์ แถมยังเป็นผู้ชายซะอีก... เมื่อคิดถึงตรงนี้ ศาสวัติพลันตัวเกร็ง ใจสั่นรัว เรื่องที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ประดังเข้ามาในหัวเหมือนภาพยนต์ฉายซ้ำอีกรอบ หญิงสาวหน้าเจื่อนเมื่อเห็นพี่ชายเงียบไป ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปสะกิดใจคนเจ็บเข้าหรือเปล่า
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเหมือนระฆังช่วยชีวิตศศินิศา พยาบาลหน้าตาอารีเดินเข้ามาในห้อง ติดตามด้วยสตรีวัยกลางสี่สิบในชุดเรียบหรูสีหน้ากังวล เธอแต่งหน้าบางๆ และดูเหมือนอ่อนกว่าอายุจริงเกือบสิบปี
"แม่..." ศาสวัติเรียก
อลิชาเข้าไปยืนข้างเตียง เธอยิ้มเมื่อเห็นลูกชายฟื้นคืนสติเสียที ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำตาของเธอก็ไหลกลิ้งลงจากหางตา
ศาสวัติอยากพูดปลอบแม่ว่าเขาไม่เป็นไร แต่ติดที่พยาบาลยังเช็คอาการเขาอยู่ ศศินิศาจึงรับหน้าที่ปลอบใจแทน
ทันทีที่หน่วยกู้ภัยพาตัวศาสวัติลงมาจากภูเขาได้สำเร็จ อลิชาพาลูกชายขึ้นรถพยาบาลเพื่อมารักษาตัวต่อในกรุงเทพทันที ระหว่างทางศาสวัติได้สติเป็นระยะและได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ทุกครั้งที่เขารู้สึกตัว ศศินิศากับพิทักษ์ สามีคนปัจจุบันของอลิชา ต้องเป็นคนคอยปลอบเธอมาตลอดทาง
หลังจากพยาบาลเช็คอาการคนไข้เรียบร้อย อลิชานั่งลงไถ่ถามอาการศาสวัติที่ข้างเตียง เธอเล่าให้ลูกชายฟังหลายเรื่อง ตั้งแต่ที่หน่วยกู้ภัยไปพบตัวเขาบนภูเขา จนกระทั่งถึงเรื่องที่เมื่อเช้าเพื่อนนักศึกษาเกือบสิบคนในคณะแวะมาเยี่ยมแต่เขายังหลับอยู่ ศาสวัติโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินแม่ของตนบอกว่า
“ตอนนี้แม่เลื่อนการหย่าออกไปก่อน ไม่ต้องห่วง คุณพิทักษ์ก็เห็นด้วย เราอยากให้ลูกออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ว่าชีวิตรักของแม่จะเป็นยังไง แม่ก็ยังคิดถึงพวกเขาสองพี่น้องก่อนเสมอ
อยู่ๆ ศาสวัติก็หวนนึกถึงชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองผู้เต็มไปด้วยปริศนาซึ่งได้พบบนภูเขา แค่หนึ่งวัน ความจริงหลายอย่างที่เคยรับรู้และเคยเชื่อมาชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาถามน้องสาวว่า
"นอกจากพี่แล้ว หน่วยกู้ภัยยังเจอใครบนภูเขาอีกมั้ย"
หญิงสาวเอียงคอมองอย่างฉงน "เจอพี่วัติคนเดียวค่ะ ยังมีใครอีกเหรอ"
ศาสวัติปฏิเสธ เขาจำได้ว่าในคืนที่พบไทวินผู้เป็นจ่าฝูงหมาป่า เขาถูกฉีดยาบางอย่างให้ ทั้งยังเห็นไทวินปักเข็มฉีดยาบนมือชาล ก่อนที่ตัวเขาจะถูกไทวินกัดที่ไหล่ซ้ายและจำอะไรไม่ได้อีกเลยหลังจากนั้น บาดแผลที่ไหล่ซ้ายเจ็บแปลบและเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีก เหมือนพยายามกระตุ้นเตือนความทรงจำที่หายไปให้หวนคืน
...ชาลจะเป็นยังไงบ้าง เขายังปลอดภัยดีมั้ย...
ชายหนุ่มภาวนาขอให้ชาลหนีไปได้อย่างปลอดภัย แม้จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วก็ตาม
-----------------------------
แสงตะเกียงที่จุดทิ้งไว้ในห้องริบหรี่เพราะเชื้อเพลิงจวนจะแห้งเหือด ไม่นานนักตะเกียงบางส่วนเริ่มดับวูบลงทีละดวง มองเห็นแสงสว่างยามกลางวันจากภายนอกซึ่งส่องลอดผนังไม้บางจุดเข้ามา กลิ่นหอมจางๆ จากพรมดอกพลับพลึงแดงฉานเบื้องล่างลอยแทรกขึ้นมาถึงชั้นสอง ภายในห้องนอนค่อนข้างอับทึบ ไม่มีอากาศไหลเวียนเพราะหน้าต่างปิดไว้ทุกบาน
ชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลทองนอนหงายหลับตานิ่งบนเตียงโบราณหลังใหญ่ ปื้นเลือดสีม่วงแดงใต้ผิวหนังกระจายทั่วตัวจนผู้มองเห็นรู้สึกหวั่นใจ ...ท่านชาลที่เคยสวยงาม ยามเจ็บหนักกลับเหมือนสัตว์ป่าที่เร้นกายรักษาบาดแผลตามลำพัง ไม่ยอมกลับไปหาเหล่าแวมไพร์ที่จากมา...
เงาร่างของบุคคลนั้นเดินเข้าไปยืนข้างเตียง เรียกชื่ออีกฝ่ายหลายครั้งโดยไม่สัมผัสตัว
"ท่านชาล"
ชาลพยายามลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อซ้ำๆ เขามองผู้มาใหม่กลางแสงสลัว แล้วเอ่ยชื่อผ่านริมฝีปากแห้งผาก
"ซิลรีญา"
...นี่ความฝันหรือเป็นวิญญาณของเธอกันแน่... ชาลถามตัวเอง ในชั่วพริบตา ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลันแปลงรูปกลับกลายเป็นมนุษย์อีกคน ม่านตาชาลเบิกกว้าง
"ศาสวัติ”
ผู้มาใหม่นิ่งงันเพราะชื่อเรียก ก่อนสั่นศีรษะแช่มช้า
"วาริทครับ"
ดวงตาสีทองหรี่ซึมของชาลพยายามจับภาพเงาร่างนั้นในแสงริบหรี่ของตะเกียง ดวงหน้าสวยและขาวจัดที่คุ้นเคยของชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มปรากฏชัดขึ้น ผมสีบลอนด์เงินยาวประบ่า ดวงตาสวยซึ้งสีมรกตโชติช่วงในแสงไฟ ...ไม่ใช่เจ้าของดวงตาสีเทาเงินคู่นั้นที่ชาลเรียกหา...
"วาริทจริงด้วย” น้ำเสียงเรียกชื่อแหบแห้งมีความผิดหวังซุกซ่อนอยู่ “ไม่ได้เจอกันนานนะ ขอโทษทีที่ต้องมาเห็นฉันสภาพนี้"
ชาลพูดถึงผิวหนังทั่วร่างที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงเจือรอยช้ำเลือดสีแดงคล้ำ ริมฝีปากและเล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง รู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายยังร้อนผ่าวปริแตกจนเลือดออกภายในไม่หยุด แต่รับรู้ว่าการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นช้าลงกว่าช่วงที่ได้รับไวรัสใหม่ๆ
"ได้ตัวอย่างไวรัสกับเลือดของฉันจากอัคนิแล้วใช่ไหม"
“ครับ”
“หายาต้านให้ได้ พวกหมาป่าจะใช้มันทำลายพวกเราทุกคนแน่นอน” ชาลกำชับเสียงเบา
วาริทนั่งลงที่ขอบเตียง เปลวไฟในดวงตาสีมรกตสั่นไหวจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา “นักวิจัยของเรากำลังทำเต็มที่ครับ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ผมเป็นห่วงแต่ท่านแค่นั้น”
วาริทปัดปอยผมสีน้ำตาลทองชุ่มเหงื่อออกจากหน้าผากชาลอย่างเบามือ แต่คนเจ็บดันมือข้างนั้นออก ดวงตาสีทองหรี่ซึมมองพร้อมคำเตือน
“อย่าแตะตัวฉัน เธออาจติดเชื้อไปด้วย”
คนผมเงินปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและสีหน้าอ่อนโยน “ไม่เป็นไรครับ ดร.อาคัสเพิ่งบอกว่ามันเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านเลือด ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง”
วาริทประคองมือคนตรงหน้าขึ้นมา แล้วก้มลงจูบหลังมือสีคล้ำของชาล เขาปล่อยปลายจมูกให้คลอเคลียบนหลังมือข้างนั้น เอ่ยเสียงเบา “ท่านต้องหาย ผมจะทำทุกทางเต็มที่ ท่านต้องไม่เป็นอะไร”
ชาลดึงมือตัวเองกลับอย่างนุ่มนวล เขารู้ว่าวาริทเป็นห่วงมากขนาดไหน ภายในหัวของชาลกลับนึกถึงแต่ภาพของศาสวัติซึ่งเคยดูแลเขาที่นี่มาก่อน หัวใจที่อ่อนล้ามีเลือดสูบฉีดแรงขึ้น ชาลชี้ไปยังโต๊ะหัวเตียง
“หยิบให้หน่อยสิ”
วาริทเอื้อมหยิบขวดแก้วเจียระไนสีน้ำเงินบนโต๊ะ เทยาสีแดงสามเม็ดส่งให้ ชายหนุ่มผมเงินมองอดีตหัวหน้าของตนหยิบมันเข้าปาก แววตาวาริทสีเขียวจัดเป็นประกาย
"ท่านจำเป็นต้องได้รับเลือดมนุษย์สดๆ ร่างกายจะสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายได้ดีกว่า ถ้าท่านอนุญาต ผมจะจับมนุษย์มาให้ซักสองสามคน มันได้ผลดีกว่ายาเม็ด"
"ไม่เป็นไร ฉันรู้สภาพตัวเองดี ฉันยังไหว” ชาลห้ามไว้แม้ความจริงรู้สึกอ่อนแรงเต็มที “เธอมีเรื่องควรทำยิ่งกว่านี้อีกเยอะ อันที่จริงไม่ต้องลำบากมาหาฉันหรอก"
"ผมคุยกับหัวหน้าแวมไพร์ทุกกลุ่มแล้ว ผมทำทุกอย่างที่ควรทำเสร็จแล้ว ผมไม่ยอมทิ้งท่านไว้คนเดียวแน่" วาริทยืนกราน ก่อนเอ่ยว่า
“กลับไปกับผมเถอะ ท่านไปรักษาตัวที่ห้องวิจัยของเราจะดีกว่า ผมปล่อยท่านไว้ที่นี่ไม่ได้”
ชาลสบสายตาขณะส่ายศีรษะเชื่องช้าแทนคำตอบ เขาไม่คิดจะกลับไปหากลุ่มแวมไพร์ที่เคยปกครองอีก แต่กระนั้นดวงตาวาริทยังคงแน่วแน่ เขาไม่คิดจะปล่อยมือคู่นี้ และยังยืนยันคำพูดเดิม
“ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ว่ายังไง ผมจะพาท่านกลับไป”
-----------------------------
TBC