LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว  (อ่าน 34764 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง





--------------

_____LOVE  LEADER_____
ํ ํ ํ ํ ํ ํ เชียร์รักให้ลงล็อค ํ ํ ํ ํ ํ ํ

( ลิงค์เพื่อดูรูปหน้าปก : https://www.img.in.th/image/r0sMuj )
( ลิงค์เพื่อดูรูปแนะนำตัวละคร : https://www.img.in.th/image/r0sIRw )

ตอนที่ 1 : เหตุผล





“ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมไม่สะดวกเท่าไหร่ ใกล้ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแล้วน่ะครับ” วางสาย ดูคลิปต่อดีกว่า

“นี่ รายที่เท่าไหร่แล้ววะมึง”   

“กูไม่ได้นับอ่ะ น่าจะห้ามั้ง  หรือหก... ประมาณนี้แหละว่ะ”   

“เห้อ..... กูละเสียดายจริงๆ นี่ถ้ามึงเอาเวลาที่มึงมัวมาศึกษาเรื่องเชียร์ลีดเดอร์ ไปเป็นติวเตอร์คณิตศาสตร์ เลือกมาสักสถาบันนึง  เขาอุตส่าห์โทรมาทาบทามเด็กอายุสิบแปดอย่างมึงเนีย ป่านนี้มึงก็อาจจะกลายเป็นเถ้าแก่น้อยตามโรงงานสาหร่ายไปแล้วก็ได้ ทำไมกูไม่อัจฉริยะเหมือนมึงบ้างวะ ชิบหาย แค่คูณเลขเกินสองหลักกูก็ลำบากละ”   

“นี่ถ้ามึงจะบ่นขนาดนี้ มาเป็นพ่อกูเลยไหม ไอ้เวรต้อม”   

“อ้าว ว่าไงละชาเย็นลูกพ่อ” แม่ง เก๊กเสียงใส่กูอีก “ เรื่องเข้ามหาลัยที่ลูกพูดถึงเนีย สรุปว่าเลือกที่ไหนดีหละ”   

“ไอ้สัด กูประชด.... แล้วมึงยังจะถามอีก มึงก็ติดที่เดียวกับกูมะ”   

“เห้ยยยยย นี่มึงเอาจริงเหรอวะ กูให้มึงติวให้ เพราะกูอยากเรียนที่นี่ ตอนมึงไปสอบด้วย กูก็นึกว่ามึงจะแค่สอบขำๆ มึงมีทางเลือกมากกว่านี้นะเว้ย อาจารย์เกศสิรินทร์เค้าก็เอาทุนเรียนวิชาเลขที่อังกฤษกับญี่ปุ่นมาให้มึงไม่ใช่เหรอวะ กูจำได้ กูก็เข้าใจว่ามึงตอบตกลงเค้าไปแล้ว”   

“ไม่อ่ะมึง กูจะเรียนที่มัณฑนานี่แหละ”   

“อะไรของมึงวะ กูโคตรไม่เข้าใจเลย”   

“ถ้ามึงไม่เข้าใจก็นั่งแดกกาแฟต่อไป กูจะดูคลิปโชว์ลีดเดอร์ในงานสปีริดโชว์ต่อ”   

“อีกแล้วเหรอวะ” ยังจะไม่เลิกอีก ไอ้เพื่อนเวร เสือกเรื่องกูตลอด “นี่มึงดูย้อนหลังกี่ปีแล้วเนีย..... เห้ย! เดี๋ยวก่อนนะ กูขอใช้สมองน้อยๆของกูคิดก่อน มึงเอาแต่ดูคลิปผู้นำเชียร์ แล้วมึงก็สอบเข้ามัณฑนากับกู แล้วมหาลัยมัณฑนาเนี่ยนะ ก็โคตรมีชื่อเสียงเรื่องลีดเลย ใครแม่งได้เป็นลีดของมหาลัยนี้นะ เท่ากับเป็นดาราไปครึ่งตัวแล้ว กูเคยได้ยินฉายาของลีดมหาลัยนี้ด้วยนะ 'ผู้นำเชียร์บนหอคอยแห่งเกียรติยศ'  สุดยอดไปเลย........ หรือว่า?”   

“มึงจะเดาว่ากูอยากเป็นดาราว่างั้น”   

“อ้าว แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอีกวะ”   

....เออ มันมีเหตุผลมากกว่านั้นเว้ย



อือหือออออ บทนำเรื่องของผมยาวใช่ไหมหละครับ จริงๆแล้วเรื่องมันยาวกว่านี้มากครับ แต่เอาเป็นว่า ผมจะบอกเท่าที่ผมบอกได้ก็แล้วกัน

อย่างแรกเลย ผมชื่อ ‘ชา’ ครับ ธชานา ธนกฤษ หรือที่แม่ผมเรียกว่า น้องน้ำชา จั๊กจี้สุดๆ

ผมกล้าพูดเต็มปากนะว่าผมเป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ ก็ไม่รู้ว่าไปถนัดเรื่องนี้ได้ยังไง คงเป็นพรสวรรค์มั้งครับ ผมน่ะ มักจะถูกทาบทามให้ไปเป็นติวเตอร์ในสถาบันกวดวิชาต่างๆตั้งแต่อยู่มอห้าแล้ว ที่ผ่านมาก็มีไปรับงานมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครับ เพราะผมมีอย่างอื่นที่สนใจอยากทำอยู่มาก บางทีผมก็สนใจเล่นบาส บางทีผมก็สนใจเรื่องดนตรีกีต้าร์อะไรพวกนี้ด้วยนะ มีออกไปแข่งนั่นแข่งนี้ก็เคย แต่ช่วงหนึ่งปีมานี้ ผมสนใจแค่สองอย่าง

อย่างแรกคือติวหนังสือให้ไอ้ต้อม นอกจากมันจะเป็นเพื่อนสารเลวของผมแล้ว มันยังมีพรสวรรค์อย่างมากในการเรียนให้ตัวเองโง่ แต่เสือกอยากเรียนต่อสถาปัตย์ ผมถึงได้ต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้มันสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผมให้ได้ ผมไม่อยากไปเรียนคนเดียว แฮ่ๆ แต่ผมสอบติดคณะวิทยาศาสตร์นะ ก็แน่ล่ะ ด้านคณิตศาสตร์ในประเทศเราก็ต้องเป็นคณะวิทย์อยู่แล้ว

แล้วก็อีกเรื่องที่สนใจมากๆก็คือการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ผู้ชายแมนๆอย่างผมนี่แหละที่อยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วก็ต้องเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยมัณฆนาด้วย ก็ในนั้นมันมี.....

พอแล้ว!

เอาเท่าที่บอกได้ก็พอ ขนาดไอ้ต้อมเพื่อนสนิทของผม ผมยังไม่บอกเลย แล้วผมจะบอกคุณทำไม เดี๋ยวพวกคุณก็เลิกติดตามเรื่องของผมกันพอดี

.................





หลังจากรอมานาน ในที่สุดก็ถึงวันก้าวเข้ามหาลัยสักที

มหาวิทยาลัยมัณฑนา

ก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์

ช่วงที่ยากที่สุด





“มึงว่าไงนะไอ้ต้อม” ผมโคตรตกใจที่ได้ยินเพื่อนตัวเองพูดอะไรแปลกๆออกมา   

“เออ มึงฟังไม่ผิดหรอก กูจะเป็นลีดให้ได้เหมือนกัน”   

“นั่นมันความฝันของกู ไม่ใช่ของมึง”

ตอนนี้ผมกับไอ้ต้อมกำลังเปิดประเด็นร้อนหน้าหอพักที่ผมกับมันตัดสินใจมาเช่า ไม่ไกลจากมหาลัย สภาพยอดเยี่ยม และผมใช้เงินตัวเองจ่ายด้วยนะ อ้อ ผมลืมบอกไปอย่างนึงซินะ ผมมีรายได้จากการเขียนวิจารณ์ผลงานวิจัยให้กับนิตสารวิชาการทุกเดือน งานง่ายแต่รายได้ดีโคตร เป็นการใช้ทักษะให้เกิดประโยชน์ด้วย   

“ทำไมวะ กูเห็นมึงศึกษาเรื่องนี้ทุกวันๆ กูก็ต้องซึมซับบ้าง แล้วที่สำคัญนะเว้ย ถ้ากูเป็นลีดมหาลัยได้ กูก็อาจจะมีงานในวงการ(บันเทิง) มีรายได้เยอะๆเหมือนมึงบ้าง ไอ้ห่า บังคับกูอยู่หอเดียวกัน แล้วค่าหอโคตรจะแพง ถ้ากูไม่ทำไรสักอย่าง กูจะเอาปัญญาที่ไหนมาเป็นเพื่อนคนขี้เอาแต่ใจอย่างมึงวะ”   

“กูเอาแต่ใจตรงไหน พูดดีๆ ไอ้เวร”

 เราเถียงกันจนขึ้นมาบนรถไอ้ต้อม และมันก็ขับพาผมเข้ามหาลัย

เอาจริงๆนะ บ้านไอ้ต้อมอ่ะ รวยกว่าผมอีก แต่ที่บ้านมันชอบเลี้ยงลูกแบบฮาร์ดคอร์ ให้ช่วยเหลือตัวเองอะไรอย่างงี้ แล้วหลายๆอย่างผมก็ต้องพึงพามัน เพราะมันเป็นคนที่ดูโตกว่าผมมาก ถึงจะเรียนไม่เก่ง แต่ที่เหลือทั้งหมดก็เก่งมาก เรื่องทักษะชีวิตไม่ต้องพูดถึง เก่งทุกอย่าง ผมว่าบางทีถ้าเอามันไปปล่อยไว้ในป่าเดือนนึง มันอาจจะอยู่รอดสบายๆ เลยก็ได้       

ย้อนกลับมามองตัวเอง อนาถสุดๆ ถึงผมจะทำอะไรได้หลายๆอย่าง แต่เพราะภาพลักษณ์ของผมไม่ได้สูง เข้ม หุ่นดี หน้าตาอบอุ่นเหมือนไอ้ต้อมไง ผมเลยมักจะถูกแกล้งตั้งแต่เด็กๆ เคยโดนโหดสุดๆ ถึงขั้นเกือบจมน้ำตายมาแล้ว ผมก็ไม่ได้อ้อนแอ้นนะ แต่ผมเกิดมาหน้าแบบนี้อ่ะ ขาวจนซีด ปากแดงอย่างกับทาลิปสติก ความสูงก็เกือบจะไม่แตะมาตรฐานชายไทย นี่ถ้าเทรนเกาหลีไม่เข้ามาในบ้านเรานะ ผมคงไม่มีสาวๆมาเหลียวแลเลย





“อ่ะมึง ถึงแล้ว” ไอ้ต้อมจอดรถหน้าอาคารหลังใหญ่ จุดนัดพบแรกของนิสิตใหม่ทุกคน.... โดมรวมใจ         

“แม่ง คนเยอะชิบหาย” ผมบ่นทันทีที่ลงจากรถ ทั้งเด็กปีหนึ่ง ทั้งรุ่นพี่ ทั้งเจ้าหน้าที่มหาลัย จอแจวุ่นวายไปหมด

อาคารทรงกลมสูงตระหง่าตรงหน้า นั่นคือสถานที่แรกที่เหล่าเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องมารวมตัวกัน เพื่อแยกไปตามคณะของตัวเอง และที่นี่ก็มีด่านแรก ด่านสำคัญของผมที่จะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้ได้ อ่อ..... ไอ้ต้อมด้วย       

“กูว่ามึงคงรู้แล้วใช่ไหม” ไอ้ต้อมเอ่ย ขณะที่เราสองคนกำลังเดินเข้าอาคาร       

“รู้ไรวะ?”       

“ภายในวันนี้ ก่อนที่จะแยกตามคณะต่างๆ ถ้าไม่มีรุ่นพี่ลีด มาปั๊มตราลีดมหาลัยให้ที่ป้ายชื่อ คณะของเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเราไปเป็นลีดเหมือนกัน”       

“ก็ใช่อะดิ เรื่องนี้แหละที่กูกังวล” ผมสารภาพตามตรง “กูไม่สูง หุ่นดีเหมือนมึง กูจะทำได้เปล่าวะ”       

“เอาน่ามึง” ไอ้ต้อมตีไหล่ผมเบาๆ “กูอ่านมา เขาบอกว่า เขาเลือกคนที่ ...เสน่ห์... มึงอ่ะ ถึงไม่ได้สูง มาดแมนแฮนซัมบอย แต่ก็ถือว่าหน้าตาจิ้มลิ่ม น่ารัก สายเกาหลี น่าจะได้อยู่นะ เขาคงไม่เข้มงวดขนาดนั้นหรอก”       

“จิ้มลิ่ม พ่องงงง” ผมตบเกรียนไอ้ต้อมทันที “ไอ้เวร มึงดูก่อนไหม แต่ละปี มีแต่คนสูงๆ เข้มๆ กู.... กดดันว่ะมึง”

“ไม่ต้องเครียด นี่ถ้ามึงอยากเป็นดารามากนะ เดี๋ยวกูพามึงไปเคสติ้งก็ได้ ไม่ต้องหรอก ไอ้ล่งไอ้ลีดอะไรเนี่ย”       

ผมถองข้อศอกใส่มันเบาๆ  มึงยังคิดว่ากูอยากเป็นดาราอยู่ใช่ไหม เหตุผลกูยิ่งใหญ่กว่านั้นมากเว้ย.....





“น้องคะๆ ทางนี้ค่ะ” ทันทีที่ถึงหน้าทางเข้าใหญ่ก็มีพี่สาวคนหนึ่งเรียกทันที “คณะอะไรกันคะ”       

“วิทยาศาสตร์ครับ” “สถาปัตย์ครับผม”       

“ขอชื่อเล่นด้วยค่ะ” พี่สาวดูจะวุ่นวายกับการจัดการงานตรงหน้ามากๆ เธอเอาแต่ก้มหน้ามองป้ายชื่อที่จะแจกให้นิสิตใหม่         

“ชาครับ”       

“น้ำชาครับพี่ มันชื่อน้ำชา เขียนเลยครับๆ”       

“ไอ้เชี่ยต้อม กูบอกไม่ให้เรียกกูแบบนี้ไง” ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย ยังไม่ทันเปิดเรียนแม่งเล่นกูซะแล้ว       

“อ่ะนี่ค่ะ น้องน้ำชา ป้ายสีชมพูประจำคณะวิทย์นะคะ” เธอยื่นป้ายสีชมพูที่เธอเขียนชื่อเล่นของผม น้ำชา ด้วยปากกาเคมี หวานไปอีกกก ผมนี่เซ็งเลย บอกให้พี่แกเขียนใหม่ดีไหนนะ “แล้วน้องอีกค.....” จู่ๆสาวเจ้าก็ทำตาโตใส่ไอ้ต้อม แล้วก็ตามมาด้วยการยิ้มกริ่มจนหน้าแดง “น้องชื่อเล่นว่าอะไรคะ สถาปัตย์เน๊าะ สีเทาค่ะ นี่ไง พร้อมเขียนชื่อได้เลย ว่าไงคะ ชื่ออะไร พี่ชื่อหงส์นะคะ” มีบอกชื่อตัวเองก่อนด้วย ผมก็ยืนอยู่นี่นะพี่ เห็นผมไหม       

“ต้อมครับผม” ไอ้ต้อมตอบ มันลืมเรื่องแกล้งผมไปเลย เพราะงงกับท่าทีของพี่สาวตรงหน้า

เธอเขียนคำว่า ต้อม อย่างบรรจงสุดๆ         

“นี่ค่ะน้องต้อม” พี่หงส์ลุกเดินออกมาจากโต๊ะพร้อมเอาเชือกคล้องป้ายห้อยคอให้ไอ้ต้อมเสร็จสับ แหมเจ๊ ถ้าจะชัดขนาดนี้ เจ๊ไม่ให้เบอร์ไปเลยหละ “วันนี้นั่งตรงไหนก็ได้นะคะ ไม่ต้องแยกตามคณะ ฟรีสไตล์เลย ฮ่าๆๆ” เออ มึงหล่อไอ้ต้อม กูยอมก็ได้ แต่ช่วยปฏิเสธเจ๊แกแล้วพากูเข้าข้างในได้แล้วมั้ง แต่ดูท่าจะยากแล้วหละ เหมือนว่าโต๊ะรับลงทะเบียนอื่นๆก็เริ่มให้ความสนใจไอ้ต้อมบางเช่นกัน “เดี๋ยวพี่หงส์เสร็จงานตรงนี้แล้ว จะไปนั่งติดกับโซนทางออกสามนะคะ”       

“อ๋อ ครับพี่” ไอ้ต้อมตอบเจื่อนๆ “ว่าแต่ พวกพี่ลีดมหาลัย เขานั่งตรงไหนกันเหรอครับ” เออ.... ไอ้นี่อยู่เป็น ไม่ได้หล่อเฉยๆ แต่อุตส่าห์รู้จักหาข้อมูล ดีมากๆ       

“อุ๊ย จะเป็นลีดเหรอ แหมมมมม หน้าตาอย่างน้องต้อมเนีย ยังไงก็ผ่าน พี่คอนเฟิร์มเลย นั่งตรงไหนก็ได้ พวกพี่ลีดเขามองเห็นแน่นอน รัศมีเจิดจรัสแบบนี้ แต่ถ้าอยากให้แน่ใจก็นั่งตรงหน้าเวทีด้านขวาก็ได้จ๊ะ หลังโชว์ลีดเสร็จ พวกพี่เขาก็จะยืนสังเกตการณ์ตรงนั้นเป็นส่วนใหญ่ เห็นกันชัดเจนแน่นอน”       

“แล้วเพื่อนผมอ่ะครับ นี่ๆไอ้ชาเย็นอ่ะพี่ ไอ้นี่มันเก่งมากนะพี่” ไอ้ต้อมกอดคอผมกระชับ เป็นการแนะนำตัว จริงๆผมก็อายนะ แต่อีกใจก็ลุ้นเหมือนกันว่าพอจะมีสิทธิ์บ้างไหม       

“น้องน้ำชาเหรอ” นี่เป็นครั้งแรกที่พี่หงส์สนใจผมบ้าง แต่สายตาแตกต่างกับไอ้ต้อมสุดๆ “ขาว ผมดำ ปากบาง ก็... น่ารักดีนะ อาจจะน่าสนใจเพราะทุกปีไม่เคยมีแบบนี้ แต่ถ้าน้องต้อมเนีย ร้อยทั้งร้อยนะคะ พี่คอนเฟิร์ม” เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกวูบมาก

ไอ้ต้อมเขย่าไหล่ให้กำลังใจผม       

“ไปนั่งข้างในกันเหอะมึง” ผมชวนเพื่อนเสียงอ่อน       



เราเลือกนั่งกันตรงหน้าเวทีด้านขวา ใช่ครับ ยังไงผมก็ต้องมีหวัง ผมต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป้าหมายให้ได้

หลังจากรอมาประมาณยี่สิบนาที เด็กปีหนึ่งก็เข้ามาเต็มโดมในชุดไพรเวท การต้อนรับเฟรชชี่ก็เริ่มขึ้น เวทีขนาดใหญ่มีผู้คนวนเวียนขึ้นมาตลอดเวลา เริ่มกันที่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่คณะต่างๆ การโชว์ร้องเพลงประสานเสียงจากชมรมประสานเสียง กฎกติกามากมายและข้อมูลที่ไม่ค่อยมีเด็กคนไหนสนใจฟัง และในที่สุด......



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



เสียงกรีดถล่มถลายทั้งจากนิสิตใหม่และรุ่นพี่ที่อยู่ในโดม ต่างพร้อมใจกู่ร้องออกมาแบบมิได้นัดหมาย เมื่อเหล่าเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาเดินขึ้นสู่เวทีด้วยออร่าที่ยากจะปิดให้มิด ผู้หญิงก็ขาวสวย ผู้ชายก็หล่อเท่ ทุกสายตาที่เคยเพิกเฉยกลับจับจ้องไปที่เวทีอย่างตื่นเต้น       

ผมเองก็เช่นกัน ผมค่อนข้างอยู่ใกล้กับเวทีจึงเห็นทุกอย่างชัดเจน เหล่ารุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ในชุดนิสิตสะอาดเรียบร้อยขึ้นท่าพร้อมเตรียมโชว์การออกลีลา สายตาของผมกวาดไปทีละคนๆ อย่างใจจดใจจ่อ หัวใจเต้นแรงและดังกว่าเสียงเกรียวกราวที่ได้ยิน จนในที่สุดก็เห็นสักที คนที่ผมมองหา.....

ผู้นำเชียร์หนุ่มที่ยืนในตำแหน่งกลางด้านหลัง ตัวสูงโดดเด่นออกมาจากทุกคน และแน่นอนว่าออร่าที่โพยพุ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนนี้นี่แหละ 



“มึงๆๆๆ มึงเห็นอย่างที่กูเห็นเปล่าวะ” ไอ้ต้อมสะกิดผมใหญ่ มันแทบจะร้องเสียงหลง ตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นั่นมัน พี่ตอง ไม่ใช่เหรอวะ คู่แข่งตลอดกาลของมึงไง”       

“ใช่ นั่นคือพี่ตอง” ผมตอบ และนั่นแหละคือเหตุผลที่กูต้องเป็นผู้นำเชียร์ให้ได้






นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ต้องพยายามให้สำเร็จให้ได้......
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-06-2018 20:23:13 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 2 : First Kiss         





​“......”  นิ่มจัง อุ่นๆ อ่อนโยน รู้สึกเหมือนพลังชีวิตฟื้นกลับมา ทำไมรู้สึกดีอย่างนี้นะ....        ​

“นาย นาย เฮ้ยนาย เป็นไงบ้างวะ” อีกแล้ว สัมผัสนี้อีกแล้ว สัมผัสบางเบาเกิดขึ้นที่ริมฝีปากอีกแล้ว รู้สึกอยากจะขอบคุณจังที่เขามอบความรู้สึกแสนอบอุ่นนี้มาให้ “ฟื้นดิวะ”         ​

“อ๊อกๆๆๆ” จู่ๆผมก็สำลักน้ำออกมาอย่างห้ามไม่ได้

ในหัวของผมมึนไปหมด จุกเน้นหน้าอกเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก



.......ผมลืมตาขึ้นมา........



ใครคนหนึ่งกำลังตีหน้าผมแรงๆถี่ๆ

ผมพยายามรวบรวมสติที่อ่อนแรง มองคนที่ก้มหน้าลงมามองผมแทบจะหน้าชิดกัน



       ดวงตาของเขาอบอุ่นจัง ………….

       มีปานสีแดงเล็กๆที่ติ่งหูด้านขวาด้วย................

      เนื้อตัวของเขามีไอความร้อนที่ชวนให้แนบกายเข้าหา..................

       ทำไมเขาถึงเปียกนะ.............

       แล้วทำไมเราก็เปียกไปทั้งตัวแบบนี้..............

       อ๋อ.... เราทะเลาะกับเด็กพวกนั้น แล้วก็ตกน้ำ เราว่ายน้ำไม่เป็น เขาช่วยเราไว้ซินะ



“ฟื้นแล้ว” เด็กชายร้องลั่นเมื่อเห็นว่าผมลืมตาขึ้น

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที รู้สึกเหมือนถูกมือไม้ของคนมากมายพยายามดึงรั้ง อุ้ม แบกตัวผมให้ขยับออกจากตรงนั้น

สายตาของผมยังจับจ้องเด็กชายคนที่เพิ่งช่วยชีวิตผมจากการจมน้ำ

เขาก็จ้องมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยผ่านความวุ่นวาย เหล่าผู้ใหญ่พยายามนำตัวผมขึ้นรถพยาบาล มีเสียงดังเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ผมลืมดวงตาคู่นั้นได้ ไม่อาจลืมรอยประทับริมฝีปากครั้งแรกในชีวิตไปได้

..............

.......

...





“ไอ้ชาเย็น!” เสียงไอ้ต้อมเรียกสติให้ผมกลับมาในปัจจุบันขณะ “เม่ออะไรของมึงวะ เขาจะโชว์ลีดแล้ว”       

“มัวคิดไรนิดหน่อย” ผมบอก       

“นั่นมันพี่ตองนี่หว่า รุ่นพี่ที่อยู่โรงเรียนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับโรงเรียนเรา คู่แข่งของมึง”       

“กูเห็นแล้ว”       

“พี่แกเรียนที่นี่ด้วยเหรอวะ”       

“.......”       

“แถมเป็นลีดมหาลัยด้วย”       

“.......”       

“แบบนี้ มึงแพ้ราบคาบแน่เลยวะ”       

“กูยังไม่แพ้เว้ย”       

“.......นี่อย่าบอกนะว่ามึงลงทุนปฏิเสธทุนเรียนต่อต่างประเทศเพราะอยากมาแข่งกับไอ้พี่ตองที่นี่อีกอ่ะ มึงกับพี่เขาก็แข่งกันจนเป็นตำนานไปแล้วนะ ยังไม่จบอีกเหรอวะ”       

“มึงจะบ้าหรือไงวะ กูไม่ได้บ้าขนาดนั้นหรอก”                 



รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฆนา นำปัญญาพาข้าฯสู่หมาย.....



เพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัยดังขึ้น เพลงที่ผมคุ้นเคย ผมเฝ้าฟังมันมานับปี ท่วงท่าของผู้นำเชียร์ก็เริ่มในพร้อมกัน ผมจำได้แทบจะทุกอิริยาบท ผมซ้อมเต้นเพลงนี้เป็นพันๆครั้ง แต่จุดโฟกัสเดียวของผมก็คือ พี่ตอง เด็กหนุ่มตัวสูง หุ่นดีล่ำสัน ทรงผมสกินเฮดที่เข้ากับใบหน้า ท่าเต้นของพี่เค้าทั้งแข็งแรงและทรงพลัง ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่มองพี่เขาอยู่ คนในนี้ส่วนใหญ่ก็จ้องมองพี่เขาอยู่ทั้งนั้น

“กูเห็นพี่แกครั้งล่าสุดก็ตอนแข่งว่ายน้ำกับมึง” ไอ้ต้อมพูดกับผม ผมได้ยินนะแต่ก็ไม่หลุดสายตาไป “มึงชนะมาฉิวเฉียบเลยนิ แม่ง ตอนนั้นพี่เค้าดูแค้นมึงมากเลยนะ แต่ตอนนี้เท่สัดๆ”       

“.....”       

“สูงกว่าเดิมอีก ตัดผมสกินเฮด หุ่นดี สาวๆเห็น ตายสนิท งานนี้ถ้ามึงจะแข่งเรื่องลีดกับพี่แกอีก กูว่ายิ่งกว่ายากอีกว่ะ”       

“มึงให้กำลังใจกูมากเลยนะ” ผมพูดกัดฟัน

"นั่นไง ไหนมึงบอกว่าไม่คิดจะแข่ง"

ไอ้เพื่อนสารเลว หุบปากไปซะมึงอ่ะ

เหมือนจะมีแวบหนึ่งที่ไอ้พี่ตองมันมองเห็นผมนะ หรือผมคิดไปเอง               

ท่าเต้นโคตรแข็งแรง สง่างาม เท่ หล่อ มีออร่า โดดเด่น กูจะทำได้ไงวะ คิดไม่ตกจริงๆ



       กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด



เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้งเมื่อการแสดงจบลง เหล่าผู้นำเชียร์ลงจากเวทีทันที แต่....

“มึง” ไอ้ต้อมเอาศอกสะกิดผมอีกครั้ง “พี่เขามองมาทางนี้เปล่าวะ”       

“.....” เออ กูเห็นแล้วเหมือนกัน       

“กูว่าสายตาพี่เขาเหมือนไม่ค่อยชอบใจมึงเท่าไหร่นะ”



“จบไปแล้วนะครับ สำหรับการแสดงอันแสนภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยของเรา” พิธีกรกลับมาดำเนินรายการอีกครั้ง จากนั้นก็มีพี่ๆสันทนาการมาสร้างความบันเทิงบนเวทีต่อ



“น้องต้อมคะ” ไม่นานก็มีพี่สาวคนสวยคนหนึ่งเรียกไอ้ต้อม เธอยืนต่อหน้าผมและไอ้ต้อม พร้อมกับพี่นางฟ้าหัวโปกยืนประกบข้างอย่างกับผู้จัดการส่วนตัวของดาราดัง “พี่เป็นตัวแทนของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยนะคะ ช่วยยื่นป้ายชื่อขึ้นมาหน่อยค่ะ”       

“ป... ป้าย อ๋อครับผม” ไอ้ต้อมยังงงๆ

พี่สาวยิ้ม เธอนำตรายางปั๊มสัญลักษณ์เชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาลงบนป้ายชื่อของไอ้ต้อมอย่างไม่ลังเล แล้วไอ้ต้อมก็ยิ้มตอบให้         

สถานการณ์ตอนนี้ผมไม่รู้จะบรรยายยังไง ทำไมพี่เขาไม่คิดจะทันมาหาผมบ้างวะ       

“อยู่สถาปัตย์ใช่ไหมเราอ่ะ” พี่เค้าถาม ส่วนผมกระแอมนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นผลเลย       

“ครับผม” ผมยังคงพยายามเสนอหน้าให้มากที่สุด       

“เจอกันที่คณะนะ พี่ชื่อหนิง คณะเดียวกัน ท่าทางปีนี้เราจะมีกำลังสำคัญแล้วนะ”       

“ขอบคุณครับพี่” แม่งเอ๊ยยยย หมดหวังแล้วกู ไม่คิดจะมองเลยเหรอวะ         

“เจอกันนะ” หมดหวังจริงๆ         

“พี่หนิงครับ” จู่ๆไอ้ต้อมก็เรียกพี่เขา “นี่เพื่อนผมนะครับ ชื่อชา อยู่วิดยา เรียนเก่งสุดๆ มันติวให้ผมเรียนติดที่นี่ด้วยนะครับ”         

“จ.... จ๊ะ” ผมอยากจะขอบคุณไอ้ต้อมนะ แต่ก็ยอมรับนะว่าอายมาก เหมือนผมเป็นขอทานเลย ผมไม่กล้าเงยหน้ามองพี่หนิงเลยตอนนี้ พี่แกคงจะงงว่าไอ้ต้อมจะนำเสนอผมทำไม         

“พี่ว่ามันเป็นยังไงบ้างครับ..... เฮ้ยมึง เงยหน้าดิวะ” ไอ้ต้อมจับหัวผมเงยขึ้น ผมพยายามดิ้น         

“ก็น่ารักดีนะ..... แล้ว.... จะบอกอะไรพี่เหรอ หรือจะบอกว่าเป็นแฟนน้อง”         

“ไม่ใช่” ผมกับไอ้ต้อมแผดเสียงออกมาพร้อมกัน         

“คืองี้ครับ” ไอ้ต้อมพยายามพูดอีกครั้ง “เราจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน แล้วมันก็น่ารักดีนะพี่ แนวเกาหลีๆไงพี่ โอปป้าตัวเล็กไงครับ คือถ้าผมมีเพื่อนเป็นลีดด้วยสักคน มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับพี่”       

พี่หนิงขมวดคิ้วเล็กๆ แล้วพิจารณาหน้าผม อย่างกับจะดูว่าปลาสดหรือไม่สด       

“นี่คัดลีดนะ ไม่มีโควต้าบ้านใกล้หรอก ไม่ใช่ว่าน้อง.... น้องน้ำชาจะขี้หริ้วขี้เหร่อะไรนะ แต่มันก็มีมาตรฐานอยู่ พี่คงปั๊มตราให้ใครซี้ซั้วไม่ได้หรอกจ้ะ ขอโทษนะจ๊ะ”       

ผมสะบัดหน้าออกจากมือของไอ้ต้อมอย่างหงุดหงิด มันก็คงโกรธใครไม่ได้ ผมไม่เจียมตัวเองที่มาสนใจอะไรที่ตัวเองไม่อาจเอื้อม       

“คุณน้องขา” ผู้จัดการส่วนตัวของพี่หนิงพูดขึ้น “เอางี้ไหม น้องก็มาเป็นบัดดี้ของน้องต้อมซิ เหมือนเจ๊นี่ไง ได้เห็น ได้สัมผัสทุกอย่างเหมือนลีดมอเลยนะคะลูก ยิ่งแต่งหน้าเป็นยิ่งรุ่งค่ะ ขอบอก”       

“.....” สัด กูเป็นผู้ชายโว้ย แต่งหน้าอะไรของพี่มึงครับ       

“ไม่ได้เลยเหรอครับ” ไอ้ต้อม มึงเลิกพูดเหอะ กูอายแล้วมึง น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว       

“..... เอางี้แล้วกันนะ ถ้าลีดผู้หญิงขาดพี่จะเรียกน้องน้ำชาอีกทีแล้วกัน. นะ”       

อ้าวววววว คิดว่าตัวเองสวยแล้วจะพูดอะไรก็ได้เหรอวะ       

ไอ้ต้อมตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ พี่หนิงกับผู้จัดการเดินไปหาเป้าหมายต่อไป

“พอเลยมึง” ผมเอ็ดไอ้เพื่อนเลว “มึงยิ่งพูด กูยิ่งอาย”       

“มึงจะอายไรวะ มึงอ่ะสมควรได้รับโอกาสนะเว้ย มึงศึกษาเรื่องนี้มามากกว่าใคร มึงเต้นได้สบายๆด้วยซ้ำ ทำไมตัดสินกันด้วยเรื่องแค่นี้วะ”       

“ช่างแม่งเหอะ” ผมยอมรับว่าน้อยใจนะ       

“ถ้างั้นมึงก็จะแพ้ไอ้พี่ตองนะ”         

“กูก็ไม่ได้ชนะมันทุกครั้งเปล่าวะ”       

“มึงอย่ามาพูด กูรู้ว่ามึงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ยิ่งกับคู่แข่งคนนี้ มึงไม่มีทางยอมแพ้”       

“พูดมากนะมึงอ่ะ”       

“กูพูดมากหรือกูพูดถูกกันแน่..... มึงๆมาอีกคนแล้ว”       

พี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา พี่คนนี้ชื่อ บุ๋น ผมจำได้ จริงๆผมจำพี่ผู้นำเชียร์ได้ทุกคนนั่นแหละ พี่คนนี้อยู่คณะเดียวกับผม อาจจะมีสิทธิ์ก็ได้ ลองเสนอหน้าดูอีกทีก็ได้วะ

“อ้าว น้องโดนปั๊มไปแล้วเหรอ” พี่บุ๋นเพิ่งจะเห็นตราประทับบนป้ายของไอ้ต้อม แต่พี่แกหันมาหาผมด้วย พี่เขามองผมอยู่สักพักแล้วยิ้มออกมา ในใจผมตอนนี้เต้นแรงสุดๆเลย ถูกใจกูทีเถอะ ขอร้องล่ะ “พี่นึกว่าเราเป็นผู้หญิงซะอีก” นี่คือคำพูดจากปากพี่บุ๋น ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมอยากได้ยินโดยสิ้นเชิง “นี่ถ้าไม่มองนานๆ พี่นึกว่าผู้หญิงจริงๆนะ หน้าจะหวานไปไหน” 

“.....”       

“ทำไมทำหน้างั้นวะไอ้น้อง” ผมคงหน้าเจื่อนและผิดหวังให้พี่แกเห็นมากละมั้ง “กูไม่ได้ว่ามึงนะเว้ย แค่บอกว่าหน้าหวานเฉยๆ เสียดาย ถ้าเป็นผู้หญิงกูจะปั๊มตรายางให้เดี๋ยวนี้เลย”       

“พ...” ผมรีบคว้ามือไอ้ต้อมไว้ ก่อนที่มันจะพูดอะไรอีก ผมว่าแค่นี้ก็น่าอายพอแล้ว       

“เออ เด็กวิดยาเหมือนกัน เดี๋ยวเจอกันที่คณะนะมึง เดี๋ยวเลี้ยงหนม กูไปนะ”       

แล้วความหวังก็จากผมไปอีกครั้ง ทำไมมันไม่มีระบบรับสมัครเหมือนมหาลัยอื่นบ้างวะ       

“โอเคเปล่าวะมึง” ไอ้ต้อมเป็นห่วงผม       

“กูก็ต้องโอเคไหมล่ะ กูจะทำไรได้”



ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาในโดมรวมใจ ผ่านไปอย่างยากลำบากสำหรับผม ผู้นำเชียร์คนแล้วคนเล่าเดินผ่านผมไป ทุกคนแทบจะหยุดมองไอ้ต้อม และทุกคนแทบจะไม่มองผมเลย

ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เวลาพักกลางวันมาถึง พิธีกรปล่อยให้ทุกคนพักรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะมารวมตัวกันตอนบ่ายเพื่อปล่อยไปตามแต่ละคณะ       

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะมึง เดี๋ยวมา” ผมอยากไปล้างหน้าให้สดชื่น ไล่ความผิดหวังนี้ทิ้งไป         

“กูรอนี่นะ”

ระหว่างทางที่เดินไปห้องน้ำ ผมเหนป้ายชื่อของหลายคนถูกปั๊มด้วยตราเชียร์ลีดเดอร์ อย่างกับนัดกันมาเย๊าะเย้ยผม เออ กูไม่โดนปั๊ม หน้ากูไม่หล่อเหมือนพวกมึง กูไม่ได้สูง กูไม่เท่ห์ แต่กูหน้าหวาน เกลียดคำนี้ชิบ





“อย่างมึงไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้นะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ด้วยสัญชาตญาณ ผมหันไปมอง ให้ตายเหอะ ไอ้พี่ตองนี่หว่า ผมหันซ้ายหันขวา ดูว่ามันคุยกับใครอื่นหรือเปล่า “กูพูดกับมึงนั่นแหละ ไอ้เผือก”       

ในสมองผมว่างเปล่าไปหมด         

พี่ตองเดินเอื่อยๆเข้ามาหาผม มองหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แม้พี่แกจะทำหน้าดุ แต่ดวงตานั้นก็ยังทอประกายของความอบอุ่นออกมา ใบหน้าคมเข้มในทรงผมสกินเฮด เผยให้เห็นปานสีแดงที่ติ่งหูด้านขวาอย่างชัดเจน       

ใช่ครับทุกคน พี่ตองคนนี้แหละครับ ที่เคยช่วยชีวิตผมตอนจมน้ำเมื่อแปดปีที่แล้ว ผมมองเห็นพี่เขาเป็นไอดอลมาโดยตลอด และก็พยายามที่จะทำตามสิ่งที่พี่เขาทำ แต่เหมือนพี่แกจะตีความผิดคิดว่าผมตั้งตัวเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด พี่เขาจำไม่ได้หรอกครับว่าพี่เขาเคยช่วยชีวิตผมไว้ เพราะตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเป็นเด็กประถม และเรียนกันคนละโรงเรียน ดังนั้น ทางเดียวที่ผมจะได้มีโอกาสเจอกันพี่เขาคือต้องเจอกันในสนามแข่ง สามสี่ปีที่ผ่านมา ผมกับพี่ตองจึงเป็นเหมือนตำนานคู่แข่งของโรงเรียนสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมันหมายถึงว่าผมก็หมดโอกาสที่จะพูดขอบคุณเหมือนกัน       

“ไหนชอบอวดเก่งไม่ใช่เหรอวะ” เสียงของไอ้พี่ตองเรียกสติผมกลับมา “ที่แท้ก็สอบได้ที่เดียวกับกู ไม่สมที่อุตส่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับกูนะ ฮึ”       

“ก็อยากเห็นหน้าคนแพ้อีกไง” นี่แหละครับวิธีพูดของผม คือผมก็ไม่เคยคุยกับพี่เขาหรอก แต่มันเป็นศัตรูทางความคิดกันไปแล้ว ผมก็หมดทางเลือกที่จะหาวิธีพูดแบบอื่น       

“เหรอ ไอ้เผือกอย่างมึง จะมาชนะอะไรกูได้ นี่ไง ป้ายชื่อไม่มีตราปั๊ม มึงเป็นลีดเหมือนกูไม่ได้ก็แล้วกัน”       

“ยังไม่หมดเวลาซะหน่อย” ผมเถียงทำไมวะ       

“เสียใจ ตราประทับถูกเก็บเข้ากล่องหมดแล้ว มึงแพ้” ตอกย้ำกูจัง       

“กลัวใช่ไหมล่ะ” ผมไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงพูดออกมาแบบนี้ รู้แค่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่พี่แกจะหันกลับไปแล้วก็หัวเราะเย๊าะผม       

“มึงว่าไงนะ” ได้ผล หันกลับมาแล้ว       

“กลัวว่าผมจะชนะอีกใช่ไหมล่ะ แน่จริงปั๊มให้ผมดิ ถ้าไม่กลัวว่าผมจะขึ้นไปเป็นลีดมอบ้าง”       

“หึ เสียใจว่ะ ต่อให้กูปั๊มให้มึง มึงได้เป็นลีดคณะ แต่ตอนคัดลีดมอ ถ้ามีลีดมอรุ่นพี่แม้แต่คนเดียวคัดค้าน มึงก็เป็นลีดมอไม่ได้อยู่ดี”       

“งั้นแน่จริงก็ปั๊มดิ ยังไงผมก็ไม่ได้เป็นลีดมออยู่แล้วนิ ยอมรับมาเหอะว่า  กลัว”       

ไอ้พี่ตองมีสีหน้าที่บอกอาการชัดเจนว่ากำลังลังเลสุดๆ         

“เสียใจ มึงแพ้” ไอ้บ้าเอ้ย แม่งใจแข็งชะมัด กูพูดขนาดนี้แล้วนะ

และแม้แต่คนที่ผมไม่คิดว่าเป็นความหวังก็ดับฝันผมอีกครั้ง พี่มันหายเข้าไปในห้องพักเชียร์ลีดเดอร์ ผมถอนหายใจทันทีอย่างช่วยไม่ได้



หลังออกจากห้องน้ำ ผมกำลังจะเดินกลับไปหาไอ้ต้อม แต่เจอเข้ากับช่องเล็กๆที่นำไปยังหลังอาคารส่วนที่ไร้ผู้คน ใจจริงคือผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา ผมอยากได้ที่หลบมุมสักพัก อุตส่าเกลี่ยกล่อมแม่ให้อนุญาตมาเรียนที่นี่แทนที่จะไปมีอนาคตที่ดีในต่างประเทศ อุตส่าซ้อมเต้นลีดเป็นปีๆทั้งๆที่เต้นไม่เป็น ต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดูดีเพราะรู้ว่าการเป็นลีดต้องใช้หน้าตา ที่สำคัญต้องรอมาตั้งแปดปีกว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณแบบจริงจัง

เสียงเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทีมงานคงกะว่าจะเปิดเพลงมหาลัยกล่อมนิสิตใหม่ทั้งวัน แต่รอบนี้ขอเต้นหน่อยเหอะ ไม่มีใครเห็น อย่างน้อยก็ให้กูได้ระบายในสิ่งที่พยายามออกมาหน่อยเหอะ ผมแสดงทั้งท่ามือและท่าเท้าออกมาอย่างง่ายดาย เก็บทุกรายละเอียดที่เค้าว่าดีมาหมด กะเอาไว้ว่าถ้าได้เต้นโชว์เมื่อไหร่ ทุกคนต้องเห็นศักยภาพของผมแน่นอน



“เห้อออออ โล่งอก” ผมพ่นคำปลอบใจตัวเองออกมาหลังจากเต้นตั้งแต่เริ่มจนจบ   

“เจ๋งนี่หว่า” ผมตกใจสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงคนชัดเจนจากข้างหลัง จึงรีบหันไปดู       

“พ.... พี่ ท๊อป ใช่ไหมครับ” ผมพยายามพูดแก้เขิน นี่กูเพิ่งเต้นลีดโดยไม่มีสาเหตุให้พี่เขาดูเหรอวะ แม่ง เข้าใจคำว่าอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย       

“รู้จักพี่ด้วยเหรอ”         

“รู้ดิครับ พี่ท๊อป เภสัช ลีดปีสาม คนที่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีคนแรก พี่ดังจะตาย ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ต้องรู้จักพี่”       

“ต่อให้ไม่ใช่เอ็ง หมายความว่าไง”       

ก็ต่อให้ไม่ใช่คนที่ศึกษาลีดมหาลัยนี้มาเป็นอย่างดีไงครับพี่       

“ต่อให้เป็นคนที่เต้นลีดเก่งขนาดนี้.... พี่พูดถูกไหม” จี้ใจดำสุดๆ       

“แล้วทำไมพี่มาอยู่ตรงนี้ล่ะ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง       

“ก็ถ้าไม่มาอยู่นี่ พี่จะรู้ไหมว่ามีคนที่มีพรสวรรค์จะเป็นลีดมอมาเต้นอยู่ตรงนี้”       

“......” เออ ผมเพิ่งทำอะไรน่าอายออกไป คงเปลี่ยนเรื่องไม่ทันแล้วซินะ       

“พูดเล่น พี่มาอยู่ตรงนี้ก็เพราะอึดอัด พวกลีดชอบแขวะพี่ว่าปั๊มให้ใครไปทั่วไม่มีมาตรฐาน ผู้จัดการก็ตามติดแจ ไม่ให้โอกาสประทับตราให้ใครได้เลย แต่.... ก็ไม่คิดว่าจะมีคนเจ๋งๆ มาให้ปั๊มถึงที่แบบนี้”       

หือออออ เหมือนเสียงสวรรค์เลย แต่.... “ตรายางโดนเก็บไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอพี่”       

“เว้นของพี่ไว้อันนึงละกัน” พี่ท๊อปเดินเข้ามาหาผม หยิบป้ายที่หน้าอกผมขึ้นดู บอกตามตรงนะ ผมไม่เห็นเลยว่าพี่เขาหล่อสมคำล่ำลือหรือเปล่า เพราะสมองผมประมวลผลอยู่เรื่องเดียว และใจจดใจจ่อที่จะเห็นตราประทับบนป้ายชื่อ “อย่าให้ตราปั๊มของพี่ต้องผิดหวังนะน้อง... น้ำชา ชื่อหวานได้อีกนะ ไปพิสูจน์แทนพี่หน่อยว่า ใครๆก็เป็นผู้นำเชียร์ที่มีเสน่ห์น่าหลงไหลได้”

เกร๊ก

เสียงตรายางปั๊มลงบนป้ายชื่อ เสียงมันเบาแต่ดังในใจของผมอย่างมาก



หลังจากการขอบคุณไม่รู้จบของผมที่มีให้กับพี่ท๊อป ผมรีบเดินกลับมาเพื่อไปหาไอ้ต้อม แต่ระหว่างทางกลับ รุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ปีสองกำลังจะออกมาอีกครั้ง เพื่อส่งน้องๆไปยังคณะต่างๆ แน่นอนว่าไอ้พี่ตองก็อยู่ในนั้นด้วย

สายตาของศัตรูมันมักจะสบกันได้ง่ายเสมอ ทันทีที่สบตากัน ผมก็ยกป้ายชื่อขึ้นมา ทำท่าทางว่าร้อนจึงยกขึ้นมาพัด แต่จริงๆแล้ว ผมแค่จะโชว์ตราประทับบนป้ายชื่อให้เขาได้เห็น



สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ผมจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:30:51 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 3 ศักยภาพ





"นี่มันอะไรกันวะเนี่ยยยย" ไอ้ต้อมร้อง มันแทบจะดีใจเกินผมละ "มึงไปห้องน้ำหรือมึงไปปล้นห้องเชียร์ลีดเดอร์มากันแน่"       

"ไอ้เวร กูได้มาเพราะความสามารถเว้ย...."

ผมเล่าทุกอย่างให้ไอ้ต้อมฟัง มันสำรวจป้ายชื่อของผมยกใหญ่



หลังจากการพักกินอาหารเที่ยง ซึ่งผมกับไอ้ต้อมก็เลือกกินที่โรงอาหารรวมของมหาลัยนั่นแหละ

เรากลับมาที่โดมช่วงบ่ายได้ไม่ถึงห้านาที ก็ถูกจับแยกไปเข้าแถวตามคณะตัวเอง

ในขณะที่ออกจากโดม ก็จะมีรุ่นพี่ปีสองปีสามมามอบดอกกุหลาบให้น้องๆ ส่วนใหญ่เด็กปีหนึ่งทุกคนก็ได้กันทั่วหน้าแหละ แต่ที่เป็นที่น่าจับตามอง ก็คงเป็นดอกกุหลาบจากพวกพี่ๆเชียร์ลีดเดอร์นี่แหละ เหมือนว่าทุกคนจะอยากได้เป็นพิเศษ

ส่วนผมอ่ะเหรอ ก็ไม่รู้ว่าอยากได้หรือเปล่าหรอกนะ แต่แค่อยากรู้ว่าไอ้พี่ตองมันจะให้ใคร พวกผู้นำเชียร์มีกันแค่คนละดอก มันคงไม่ให้ใครซี้ซั้วหรอก

เห้ยนั่น ไอ้พี่ตองยื่นดอกกุหลาบแล้ว ใครได้ไปวะ

ผมพยายามจ้องคนที่ได้ดอกกุหลาบจากพี่ตองไม่ให้ละสายตา จนไม่ได้ดูว่ารับดอกกุหลาบจากใครมา แล้วก็ไม่สนใจพี่ตองด้วย มันก็คงไม่ได้สนใจอะไรผมอยู่แล้วล่ะ



นั่นไงอยู่นั่น ไอ้เสื้อขาวนั่น ต้องรีบเดินไปดูหน้ามันก่อนที่จะไปคณะ จะทันไหมเนี่ย         



"มึงจะเดินไปไหนวะ" ผมรู้ทันทีว่าเป็นไอ้ต้อม แต่ผมไม่อยากคลาดกับคนที่ผมพยายามตามอยู่ "รถกูอยู่ทางนี้โว้ย" 

"เดี๋ยวแป๊บนึง" ผมคว้าแขนไอ้ต้อมให้เดินมาด้วยซะเลย       



ทันซะที

ผมเอามือไปคว้าไหล่ของเขาคนนั้นโดยลืมคิดไปว่า กูจะไปคว้าไหล่คนที่กูไม่รู้จักแบบนี้ไม่ด้ายยยย ซวยละกู จะอ้างยังไงดีล่ะ.....



"อ้าว ชา"

เห้ยนี่มัน       

"ขิงเหรอ" ขอบคุณสวรรค์ นี่มันคนรู้จักนี่นา ว่าแต่... "ขิงเรียนที่นี่เหรอ ไม่เห็นบอกอ่ะ"       

"ก็ชาไม่ถามนิ ถามแต่เรื่องพี่ตอง ชาเองก็ไม่ได้บอกนิว่ามาเรียนที่นี่ แล้วเจอพี่ตองหรือยัง"       

เชี่ยล่ะ ไอ้ขิง ไอ้บ้า ควรจะกลั่นกรองก่อนนะว่าตรงนี้มีใครอยู่ไหม ไม่ใช่จะพูดอะไรก็ได้เหมือนอยู่ที่บ้าน         

ไม่ต้องสงสัยเลย ไอ้ต้อมหันมาหาคำตอบจากผมทันที งานเข้ากูแล้ววววว       

"อ๋อ ไอ้ต้อม นี่ขิงนะ เพื่อนกู" ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง       

"เพื่อน? มึงมีเพื่อนคนอื่นนอกจากกูด้วยเหรอ"       

"ก็มีดิ.... เพื่อนต่างโรงเรียนไง"       

"แล้ว...." ไอ้ต้อมหันไปถามขิงโดยตรง "นายอยู่โรงเรียนไรเหรอ"       

"....." ขิงไม่ตอบ เหมือนขิงจะไม่ค่อยชอบใจไอ้ต้อมเท่าไหร่ แต่ก็แค่หันมาขอความเห็นจากผมเท่านั้น ตอบมันไปเหอะขิง ตอบมันไป ก่อนที่มันจะอยากรู้ไปมากกว่านี้ "ลาซาน"       

"ลาซานนนนนน" ไอ้ต้อมลากเสียงยาว หันมาหาผมอีกครั้ง "โรงเรียนฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนเราอะนะ ไม่ยักกะเคยรู้เนอะ"       

"เออ ก็มีบ้าง"       

"เดี๋ยวนะ ทำไมมึงสองคน หน้าตามัน..... เหมือนๆกันจังวะ จริงๆนะ ไหนลองมายืนเทียบกันดิ" ไอ้ต้อมจับขิงมายืนเทียบกับผมเฉยเลย "จริงๆนะ กูไม่ได้คิดไปเอง แต่มึงหน้าหวานกว่าอยู่ดีแหละไอ้ชาเย็น"       

"เออๆๆๆ กูกับขิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน" กูสารภาพก็ได้วะ       

"ถึงว่า.... งั้นแสดงว่า ขิง ชื่อเต็มๆก็ต้อง น้ำขิง อะดิ เพราะว่ามึงชื่อน้ำชา"         

ขิงหน้าแดงขึ้นทันที

ไอ้ต้อมเอ๋ย มึงซวยแล้วววว         

"นี่เราสนิทกันเหรอ" นั่นไง ขิงเริ่มแล้ว "ก็เปล่านะ หรือรู้จักกันมาก่อน ก็เปล่าอีก หรือเป็นญาติกันแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่ ทำไมนายไม่ลองคิดล่ะว่า มันเหมาะสมหรือเปล่า โทษทีนะ พอดีเราอายุเท่ากัน จะให้มาสั่งสอนกันแทนที่บ้านนายก็คงไม่ใช่เรื่อง... ชา ขิงไปก่อนนะ ที่คณะจะหาว่าเสียมารยาท ถ้าขิงไปสาย" พูดแดกไอ้ต้อมเต็มๆ ขิงเดินฉับๆออกไปทันที       

"ก... กู" ไอ้ต้อมอ้าปากค้าง มันคงช็อกที่โดนจัดหนักขนาดนี้         

"ขิงอ่ะ ถึงจะหน้าตาเหมือนกู แต่คนละแนวกันเลยนะ เค้ามันเด็กศึกษาศาสตร์ กติกาในชีวิตเนียบมาก ถูกเลี้ยงมาอย่างดี แต่มีอย่างนึงที่เหมือนกันกับกูนะ"       

"ไรวะ?"       

"ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อเต็ม"       

"กูก็... แซวเล่นเปล่าวะ แล้วเรียนเอกไรวะ"       

"อ้อ  เหมือนกันอีกอย่าง เก่งคณิตเหมือนกัน"       

"มึงทำไมไม่เล่าให้กูฟังบ้างวะ"       

"จะให้กูบอกมึงยังไงวะ มึงไม่ได้ถาม"       

"โอเค งั้นกูถามก็ได้ ทำไมมึงถึงสนใจเรื่องพี่ตอง อะไรคือการที่มึงมีสปายคอยส่งข่าวอยู่อีกโรงเรียน นี่มึงคอยติดตามพี่เขาตลอดเลย ถูกมะ?"       

เอาแล้วไงกู นี่มึงจะไม่ลืมใช่ไหม หาข้ออ้างสิวะ หาข้ออ้าง "ก็ศึกษาข้อมูลคู่แข่งไง กูก็ไม่ได้ถามบ่อยขนาดนั้น ขิงมันก็พูดไป"       

"มึงมีพิรุจนะ" เออ มึงไม่ต้องเสือกทุกอย่างก็ได้มั้ง       

"ไม่พิรุจอะไรทั้งนั้นแหละ กูต้องรีบไปคณะ ไปส่งกูด่วนเลย"               

ในที่สุด.... กว่าจะบ่ายเบี่ยงไอ้ต้อมได้ ผมก็มาถึงคณะวิทยาศาสตร์สักที จะให้ผมพูดได้ไงว่า สาเหตุที่รู้ว่าไอ้พี่ตองมันกำลังทำอะไรอยู่ รู้ทุกครั้งที่มันมีแผนจะลงแข่งอะไร มาจากสปายคนสนิทของผม



ผมเดินเข้ามายังโถงกลางใต้ตึกคณะ มีการเรียกให้นั่งเข้าแถวมาสักพักแล้ว ผมคงจะเป็นคนเกือบท้ายๆ แล้วล่ะ คิดว่านะ

รีบไปนั่งดีกว่า



นั่นไง สิ่งที่ผมมองหา กลุ่มผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ ด่านที่สองของวันนี้ 'สอบสัมภาษณ์'

นี่ช่างเป็นหนึ่งวันที่ยากจริงๆ

ผมศึกษาข้อมูลเรื่องลีดมาเป็นอย่างดี นี่ถ้าขยันเรียนแบบนี้บ้าง ผมคงเป็นอัจฉริยะจริงๆไปแล้ว



การกล่าวต้อนรับเกิดขึ้นที่คณะวิทยาศาสตร์อีกครั้ง หลายๆอย่าง คล้ายกับการต้อนรับที่โดมเมื่อเช้า แต่ที่นี่คนน้อยลงมากและไม่มีไอ้ต้อมอยู่ข้างๆ แล้ว



"หวัดดี เอ่อ... น้ำชา"       

"เรียกชาก็พอนะ" ผมรีบตอบการทักทายของผู้หญิงคนข้างๆ         

"ก็น่ารักดีนี่นา หน้าตาก็น่ารัก ชื่อก็น่ารัก เหมาะสมกันดีออก อุ๊ย มีตราประทับด้วย"       

"ไหนๆๆๆ" จู่ๆผู้ชาย เอ้ย! ผู้หญิงในร่างชายตัวใหญ่ยักษ์ต่างหากล่ะ เธอให้ความสนใจทันที "ว้ายตายแล้ว แซ่บสุดเด้อ ตราลีดมอค่ะ ของแท้ของจริง ขอบอก"       

"เดี๋ยวนะมึง" อ้าว คราวนี้มาอีกคนแล้ว รู้สึกว่าผมจะโดนสนใจนะ "นี่มันตรายางสีแดงนะคะหล่อน คนเดียวที่มีตรายางสีแดงคือใครคะ *พูด!*"         

"พี่ท๊อปเลิศเลอของฉันค่ะ" อิคนเมื่อกี้ตอบ       

"พี่ท๊อปคนที่เป็นลีดมหาลัยเราคนแรกที่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีอะเหรอแก หล่อลืมมมม" เชดดด ผู้หญิงที่ใสซื่อเมื่อกี้ กลายเป็นพวกเดียวกับแก๊งนางฟ้าไปแล้วเหรอ ผู้หญิงสมัยนี้อินเนอร์กะเทยเยอะจังวะ       

"เธอๆ เธอได้มาไงอ่ะ แผ่เมตตาให้พวกเราฟังบ้างซิ" น้องนางร่างยักษ์ถามผม       

"ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก เหมือนคนอื่นๆแหละ" กูนี่ก็ช่างโกหกเนาะ                 

ผมลองหันไปสังเกตจุดอื่นๆบ้าง ดูเหมือนว่าคนที่มีตรายางประทับจะได้รับความสนใจแบบสุดๆ แทบไม่มีใครสนใจฟังที่พี่ๆในคณะมาแนะแนวก่อนเรียนเลย ก่อนมาเรียนก็พอจะรู้นะว่าที่นี่ให้ความสนใจในงานเชียร์ลีดเดอร์มากๆ แต่พอมาสัมผัสจริงๆ นี่มันลัทธิเชียร์ลีดเดอร์ชัดๆ แต่นั่นก็หมายถึง การแข่งขันที่เข้มข้น และความเข้มงวดของการคัดเลือก ชักปอดหน่อยๆแล้วแฮะ



เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นที่ทุกกิจกรรมสิ้นสุดลง เข้าสู่เรื่องประชาสัมพันธ์สุดท้ายที่ผมตั้งตารอ

"ขอเสียงปรบมือให้กับพี่ๆจาก ผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ ค่าาาา"

ก็ดังสนั่นตามเคยแหละครับ บอกแล้วไง นี่มันลัทธิ จะลีดมอ จะลีดคณะ เหมือนดาราไม่มีผิด

พวกพี่ลีดทั้งชายและหญิงยืนยิ้มพร้อมโบกมือทักทายน้องๆที่ด้านหน้า ทั้งที่พวกพี่เค้าไม่ได้ตั้งใจยืนเรียงแถวกัน แต่กลับดูมีระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ซินะผู้นำเชียร์ที่ได้รับการขัดเกลามาแล้ว สวย หล่อ สง่า และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

"สวัสดีน้องๆทุกคนนะคะ" พี่คนนี้ชื่อแอม เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์ของคณะวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ถูกคัดเลือกให้เป็นลีดมหาลัยด้วย แถมยังพ่วงตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่า ออร่าจรัสรองลงมาจากไอ้พี่ตอง เพียบพร้อมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว "พี่ในฐานะตัวแทนของเชียร์ลีดเดอร์คณะวิทยาศาสตร์ มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะได้กล่าวต้อนรับน้องๆทุกคนสู่สวนอะตอมแห่งนี้ พี่ๆหลายๆคนที่ขึ้นมาตรงนี้คงได้ให้ข้อมูลน้องๆในหลายๆด้านไปแล้ว ในส่วนของพี่นั่นก็คงไม่พ้นเรื่องรูปแบบกิจกรรมหลักของเรานะคะ สปีริดโชว์" หืยยยยยยยยยย เสียงฮือฮาด้วยความตื่นเต้นของนิสิตปีหนึ่ง "หกสิบวันหลังจากนี้ คือการแสดงความภาคภูมิของทุกๆคณะ และอีกสามสิบวันถัดไป คือการแสดงพลังของมหาวิทยาลัย และนั่นเราเรียกว่ากิจกรรมห้องเชียร์ค่ะ และจากจุดนี้ จะมีน้องๆบางคนซึ่งได้รับการคัดกรองมาจากโดมรวมใจแล้ว ต้องมาทำหน้าที่ของลีดเดอร์คณะเรา เพื่อเป็นตัวแทนในการเข้ารับคัดเลือกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยต่อไป ไหนมีใครบ้าง ช่วยลุกขึ้นหน่อยค่ะ"        เสียงปรบมือดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย       

มีโชว์ตัวก่อนสัมภาษณ์ด้วยเหรอวะ ผมมองซ้ายมองขวา มีคนค่อยๆลุกขึ้นมา แม่งเอ้ย แต่ละคนทำไมมันหล่อๆสูงๆกันทั้งนั้นเลยว่ะ ใครมันจะไปกล้าลุก       

"ลุกซิชา ลุกเลยๆ สู้ๆ พวกเราเชียร์เธอนะ" นวลนางร่างยักษ์พยายามดันผมขึ้น เอาวะ       

เสียงปรบมือสิ้นสุดลงหลังผมลุกยืนขึ้น ผมพยายามไม่มองหน้าใคร เอาแต่มองพื้น       

"น้องที่ยืนอยู่ในขณะนี้นะคะ" พี่แอมพูดต่อ พร้อมกับทำมือนับจำนวน "น่าจะประมาณสามสิบคน น้องๆต้องอยู่ต่อเพื่อสอบสัมภาษณ์คัดเลือกให้เหลือเพียงสิบสองคนเท่านั้น ชายหก และหญิงอีกหก ปรบมือให้กำลังใจเพื่อนอีกครั้งค่ะ ขอบคุณมากค่ะ แล้วพบกันใหม่นะค๊า"

เอาออกสองในสามเลยเหรอ

และเมื่องานกล่าวต้อนรับที่คณะจบลง ของจริงก็มาถึง  ทุกคนที่มีตราประทับถูกพาตัวขึ้นไปยังห้องประชุมใหญ่ พวกเรานั่งกันต่อหน้าเวที มีโต๊ะกลางห้อง คงเอาไว้ให้กรรมการนั่ง

"ยินดีกับน้องๆทุกคนนะครับที่ได้รับการคัดเลือกในด่านแรก" พี่บุ๋นเป็นคนมากล่าวต้อนรับพวกเรา พี่แกทำหน้างงนิดหน่อยที่เห็นว่าผมขึ้นมาด้วย และยิ่งแปลกใจที่เห็นตราประทับของผมเป็นสีแดง "เอ่อ.... การสัมภาษณ์ก็ไม่ได้มีอะไรมากนะครับ แค่แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ได้ไม่ได้ ไม่ต้องเสียใจนะครับ ยังไงเราทุกคนก็เป็นเลือดวิดยาเหมือนกันเนาะ.... ส่วนกรรมการวันนี้ก็ตามกติกาทุกปีนะครับ ต้องมีพี่ลีดในคณะสามคนและนอกคณะสองคนมาร่วมตัดสินวันนี้ ก็จะประกอบด้วย พี่ พี่แอม พี่พลอย ส่วนนอกคณะ... นั่นไง มาพอดีเลย" ทุกคนหันไปที่ประตู เชรดดดด "พี่ตองจากวิศวะ และพี่ท๊อปจากเภสัชครับ"

งานเข้ากูแล้ว ผมคิดในใจ

ทุกๆคนกำลังวิตกกังวลว่าอะไรคือศักยภาพและจะแสดงศักยภาพอะไรดี ใช่ ผมก็ควรจะกังวลเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ผมกังวลเรื่องการตัดสินไม่เป็นธรรมของไอ้พี่ตองมากกว่า

"การตัดสินก็ไม่ยากนะครับ ถ้ากรรมการให้ผ่านสามคนขึ้นไป ก็ถือว่าผ่านทันทีครับ"

ตอนนี้กรรมการนั่งกันพร้อมแล้ว พี่ๆลีดที่เหลือก็ยืนเฝ้าดูกันอย่างตั้งใจ แอร์ในห้องนี้ดูจะหนาวขึ้นมาหลายเท่าทันที ตื้นเต้น

"คนแรกใครดีคะพี่ตอง" พี่แอมถามความเห็นไอ้พี่ตอง ผมนี่ก้มหน้าสุดชีวิตเลย         

"ผมได้ข่าวว่ามีคนได้ตราประทับสีแดงที่นี่" ไอ้เชี่ยพี่ตอง มันเล่นกูแล้ว "ก็คงต้องมีอะไรดีสิครับ ผมขอเริ่มด้วยคนนั้นก็แล้วกัน"       

"น้ำชา" พี่บุ๋นเรียก ผมเครียดสุดชีวิตเลยครับตอนนี้ แต่ผมต้องลุกขึ้นไปยืนบนเวทีซินะ         

ระหว่างเดินขึ้นเวที ผมมองเห็นว่ามีแฟ้มประวัติที่ผมใช้ยื่นสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัยนี้อยู่กับกรรมการทุกคนด้วย พี่ท๊อปคงเห็นว่าผมหน้าตื่น พี่เขาชูสองนิ้วให้ผม ขอบคุณครับพี่ อย่างน้อยผมก็สบายใจที่มีพี่ ส่วนไอ้พี่ตอง เอาแต่ก้มหน้าอ่านประวัติของผม อย่างกับจะหาคำผิดให้เจอ นี่กูต้องมาทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดเพื่อให้ได้เข้าใกล้ไอ้บ้านี่อะนะ กูคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่วะ

"คำถามครับ" ไอ้พี่ตอง แม่ง ไม่กะให้กูทำใจเลยเหรอวะ ยิงคำถามเร็วมาก "จากที่อ่านประวัติมาทั้งหมด ถึงจะมีทักษะหลายอย่างที่เขียนมาว่า ดี แต่ก็ไม่มีทักษะข้อไหนที่จำเป็นต่อการเป็นผู้นำเชียร์นิครับ แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะจะทำหน้าที่ตรงนี้อีกเหรอ" เสียงแซวจากรุ่นพี่ลีดดังขึ้น คำถามนี้คงไม่ธรรมดาซินะ ไอ้พี่ตอง แกจะมาไม้นี้ใช่ไหม ได้เลย ยิ่งพี่พยายามกีดกันผมเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งทุบกำแพงของพี่ให้หนักขึ้นเท่านั้น

"ก็เหมือนกับผู้นำเชียร์นาวาพล ขัตติยชาติไงครับ" ชื่อไอ้พี่ตอง ผมพูดชัดเน้นๆทุกคำ "ก่อนจะเข้าเป็นนิสิตที่นี่ก็ไม่ได้มีทักษะหรือพื้นฐานเกี่ยวกับผู้นำเชียร์เหมือนกัน แต่ก็ยังเป็นถึงผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยได้ ผมจึงคิดว่า ไม่น่าจะเป็นปัญหาตรงไหนนะครับ"

"น้องมันก็พูดมีเหตุผลนะตอง" พี่ท๊อปพูด ไอ้พี่ตองดูจะเกรงใจพี่ท๊อปไม่น้อยในฐานะรุ่นพี่ แต่มันก็ไม่ลดลาวาศอกง่ายๆหรอก         

"ในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเรา ไม่เคยมีผู้นำเชีย์ชายคนใดมีความสูงต่ำกว่า 175 เซนติเมตรมาก่อน ผมก็แค่ตั้งข้อสังเกต" นั่นไง ไอ้พี่ตอง ไม่ทันขาดคำ       

"งั้นผมก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมหาลัย" น้ำโหผมเริ่มมาแล้วนะ กูสูง 170 แล้วไปหนักหัวใครวะ        "โอเค เอาหล่ะ" พี่แอมคงได้กลิ่นสงคราม พี่เขาพยายามลดความตึงเครียดลง "แล้วเหตุผลล่ะ พี่ขอถามบ้าง ทำไมน้องถึงอยากจะเป็นผู้นำเชียร์ละคะ"   

เพราะผมอยากเอาชนะไอ้บ้าพี่ตองให้ได้ นี่คงใช้เป็นคำตอบไม่ได้ซินะ แล้วจะตอบอะไรหละ ที่ทำมาทั้งหมดก็เพราะมันคนเดียวนี่นา ชอบเต้นก็ไม่ใช่ ชอบทำกิจกรรมก็ไม่ใช่ ชอบความเป็นผู้นำนี่ยิ่งโคตรไม่ใช่เลย จะบ้าตาย ต้องตอบยังไงวะ       

"คือผม..." ไอ้พี่ตอง อย่ามองแบบนั้นดิวะ เหมือนกำลังสนใจคำตอบ "เอ่อ..." ผ่านไปเป็นนาทีแล้วมั้ง กูไม่รู้จะตอบอะไรเว้ยยยยย       

"พี่ว่า..." ขอบคุณพี่ท๊อปครับ ขอบคุณที่ทำลายความเงียบให้ผม "เรื่องของเหตุผลกับบางคนอาจจะต้องใช้เวลาหรือแรงบันดานใจนะ ไหนๆการสัมภาษณ์นี้ก็มีเพื่อทดสอบศักยภาพของน้องๆ พี่ว่าให้เขาแสดงศักยภาพของน้องเขาดีกว่าไหม" และขอบคุณในความอาวุโสของพี่ท๊อปอีกครั้ง นั่นทำให้ทุกคนยอมฟัง "ว่าไง เราจะโชว์อะไรดี"

"ผมขอใช้มือถือนะครับ" ผมรีบใช้โอกาสที่พี่ท๊อปยื่นให้นี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และผมคิดมาตลอดว่าจะต้องทำอะไรเมื่อถึงสถานการณ์นี้ เพลงมหาวิทยาลัยที่โหลดไว้ในมือถือ เอาวะ เต็มที่

นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่ผมเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนา หนึ่งปีเต็มที่เพียรซ้อม วันนี้ผมจะแสดงออกมาให้หมด ต้องยอมรับว่าการยิ้มของพี่ท๊อปทำให้ผมมีกำลังใจมาก แต่ก็ไม่มากเท่าหน้าเหวอของไอ้พี่ตอง นี่แหละ ผมต้องทำให้มันยอมรับในตัวผมให้ได้



เสียงปรบมือเกรียวกราวจากทุกคนในห้อง ยกเว้นไอ้พี่ตองไว้คนนึงละกัน ผมรู้ อย่างน้อยผมก็ต้องสร้างความประทับในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนที่นี่ แต่ออกท่าทางได้ถูกต้องทั้งหมด

"ตัดสินกันดีกว่าไหม" พี่ท๊อปเสนอ "พี่ให้ผ่านอยู่แล้วครับ" ผมขอกระโดดกอดพี่ทีได้ไหม       

คิวต่อไป ไอ้พี่ตอง มันมองหน้าผมด้วยคิ้วขมวด นิ่งและเงียบ ผมใจเต้นตุ๊บๆเป็นครั้งที่ล้านของวันนี้               

"ไม่ผ่าน" .............. นั่นสินะ ยังไงผมก็ไม่ผ่านในสายตาพี่เค้าอยู่แล้ว

"คนต่อไป แอมครับ"

"ไม่ผ่านค่ะ ขอโทษนะ น้องเต้นได้ดีมาก และพี่รู้ว่าน้องฝึกฝนมาด้วยตัวเองอย่างหนัก แต่พี่ก็ยังอยากรักษามาตรฐานของผู้นำเชียร์เอาไว้นะจ๊ะ" หมดหวังแล้วกู เอาวะ อย่างน้อยพี่เขาก็มีเหตุผล

คนต่อไปพี่บุ๋น รายนี้ไม่ต้องเดาเลย เมื่อเช้าเขาปฏิเสธเราไปรอบนึงแล้ว เตรียมลงจากเวทีดีกว่า

"พี่ขอโทษนะน้อง" พี่จะพูดก็พูดเถอะพี่บุ๋น ยิ่งยาวผมยิ่งเจ็บ "เมื่อเช้าพี่พลาดจริงๆว่ะ เอ็งผ่าน"

ห๊ะ

เฮ้ย

เดี๋ยวก่อน.... ใจเย็นๆ ยังเหลือพี่พลอยอีกคน พี่คนนี้ไม่ใช่ลีดมอนี่นา ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพี่เขาเลย ยังไงวะกู แม่ง น้ำตาอย่ามาไหลตอนนี้นะเว้ย

"พี่ถามนิดนึงได้ไหม" พี่พลอยเกือบทำผมหัวใจวาย นึกว่าจะประกาศผล "น้องคิดว่าตัวเองคือพรสวรรค์หรือพรแสวง"

คำตอบมันง่ายมาก ผมหันไปหาไอ้พี่ตองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะหันกลับมาตอบคำถาม

"ผมคือความพยายามครับ"

พี่พลอยยิ้ม

"ผ่านค่ะ"



ในที่สุด ในที่สุด....... กูทำได้แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:31:45 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 4 : พิสูจน์



ผมหุบยิ้มไม่ได้ พยายามจะวางหมาดแล้วนะ แต่ความดีใจมันล้นจริงๆ

ทันทีที่ได้รับการตัดสินให้ 'ผ่าน' ผมก็รีบกลับมานั่งดูการสัมภาษณ์ของคนอื่นต่อ ถึงแม้จะไม่มีใครที่สามารถโชว์เต้นท่ามาตรฐานของมหาลัยได้เหมือนผม แต่หลายคนก็มีศักยภาพที่น่าสนใจ บางคนเต้นแนวอื่นๆได้ดี บางคนมีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยม

แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของที่นี่ เป็นเรื่องจริงจังมาก และเป็นความปรารถนาของหลายๆคน แต่ก็แปลกนะ ไอ้พี่ตองไม่ยักกะถามใครเลย แทบจะไม่มองด้วยซ้ำ

นี่จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้เลยเหรอวะ หรือเราควรทำเป็นลืมไปดี อย่างน้อยไม่อยู่ให้พี่เขาโกรธ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้ เพราะยังไง โอกาสในการที่จะขอบคุณเรื่องในตอนนั้น มันก็หมดไปตั้งนานแล้วนี่นา



"เก่งจังเลยน้ำชา" เพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างผมเอ่ยชม       

เรียกชื่อนี้อีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีตราปั๊มอยู่บนป้ายชื่อ กูจะเผาทิ้งเดี๋ยวนี้เลย

"ขอบใจมากนะ" ผมยิ้มให้ เธอชื่อเกตุ ผมดูที่ป้ายชื่อ         

"ซ้อมนานเลยซิ"       

"....." จะตอบยังไงล่ะ คงบอกไม่ได้ว่า ซ้อมมาทั้งปี       

"เราอ่ะ เคยเป็นลีดมาก่อน ที่โรงเรียนเก่าก็จริงจังเรื่องเชียร์คล้ายๆที่นี่แหละ ท่าเต้นมาตรฐานของที่นี่หน่ะ ไม่ใช่ของง่ายนะ ไม่มีคนธรรมดาที่ไหน ดูปุ๊บแล้วเต้นได้เลยหรอกนะ เราดูออกนะว่าเธอซ้อมมาหนัก"       

"เราก็ไม่ได้เต้นดีขนาดนั้นหรอก" ผมแก้ตัว       

"เป๊ะขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกเหรอ อยากเป็นลีดอะเข้าใจได้นะ เพราะทุกคนที่มาเรียนที่นี่ก็อยากเป็นลีดมหาลัยกันทั้งนั้น แต่จากประสบการณ์นะ น้ำชาดูไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบเรื่องแบบนี้เลย"       

"....." นี่เด็กวิดยาจริงเปล่าวะ อย่างกับเรียนจิตวิทยามา       

"มีเหตุผลอะไรงั้นเหรอ"





สองปีก่อน..............

"เหมือนเดิมนะขิง" ผมส่งสมุดการบ้านที่ผมใช้เวลาทำแค่สิบห้านาที ส่งคืนให้กับลูกพี่ลูกน้องของผม         

"นี่มันจะเป็นปีแล้วนะชา" ขิงรับสมุดยัดใส่กระเป๋าลงไป "เป็นปีแล้วที่ชาอาสาทำการบ้านวิชาเลขให้พี่ตองแบบนี้"   

"ก็มันไม่ได้ยากซะหน่อย จริงๆแล้วขิงเองก็ทำได้"       

ขิงมองหน้าผมประมาณว่า พูดอย่างกับมึงจะยอมให้กูทำแทนให้       

"เอาน่าาาาา ยังไงขิงก็ต้องมาหาชาเกือบทุกวันอยู่แล้วนิ" ผมรีบพูดแก้ให้ตัวเอง "แค่เอาการบ้านที่ตานั่นทำไม่ได้ติดมาด้วย พี่เขาก็ไม่ได้ให้ทำให้ทุกครั้งนี่นา ไม่ลำบากหรอกใช่ไหม เราแลกเปลี่ยนกันไง จำไม่ได้เหรอ"       

"นั่นสินะ ชาสัญญาว่าจะคอยติวเลขให้ขิงจนกว่าขิงจะสอบติดศึกษาศาสตร์เอกคณิต แลกกับการที่ขิงต้องไปตีสนิทกับพี่ตอง แล้วก็บอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับพี่ตองเรื่อยๆ แต่ไอ้การบ้านเนี่ย ขิงว่า มันอยู่นอกสนธิสัญญาของเรานะ"       

"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ตองจะได้คิดว่าขิงเป็นน้องชายแสนดีที่คอยช่วยทำการบ้านยากๆให้ไง"       

"เอ่อ.... คือ...." ขิงทำหน้าเหมือนอยากจะสารภาพความผิดอะไรบางอย่าง       

"มีอะไรอีกหรือเปล่า ไม่เข้าใจที่ติวให้วันนี้เหรอ"       

"เปล่า ชาติวเก่งขนาดนี้ ไม่มีใครไม่เข้าใจหรอก แต่ขิงไม่อยากโกหกอ่ะ โทษทีนะ คือ ขิงอ่ะบอกพี่ตองว่าการบ้านยากๆพวกนี้ ขิงวานให้เพื่อนอีกคนทำให้ แต่ขิงไม่ได้บอกว่าเป็นชานะ"       

กูจะบ้าตาย "ไหงขิงทำงั้นอ่ะ ก็อุตส่าห์ย้ำไปแล้วไงว่าให้พูดว่าขิงทำเอง"       

"ก็... ขิงไม่อยากสวมรอยแทนชาอ่ะ จริงๆขิงไม่เข้าใจว่าทำไมชาถึงจะต้องปิดทองหลังพระแบบนี้ด้วย แล้วยังตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับพี่เค้าอีก จนเด็กสองโรงเรียนเข้าใจว่าชากับพี่ตองเป็นศัตรูกันไปแล้ว ถ้าชาเขินเดี๋ยวขิงบอกให้ก็ได้ เอาไหม"       

"เขินบ้าไรล่ะ" ผมรีบก้มหน้าก้มตาเอาสมุดมาบังหน้าตัวเองเล็กน้อย หวังว่าหูจะไม่แดงจนคนตรงหน้าสังเกตุเห็นนะ "คนทิฐิแรงแบบนั้น ขืนรู้ว่าคู่แข่งแอบทำการบ้านให้ เดี๋ยวก็คิดเอาเองอีกว่า แอบทำเพื่อหวังให้ตัวเองอายถ้ารู้ความจริง เดี๋ยวก็หาว่าชาอยากเอาชนะอีก"       

"ชาเคยคุยกับพี่ตองแล้วเหรอ ทำไมถึงคิดว่าพี่ตองจะเป็นคนแบบนั้น"       

"ก็ไม่เคยหรอก... แต่ก็เดาไม่ยากมะ ไปเลยๆ ขิงกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าที่บ้านชาจะไปเยี่ยมน้องน้ำหวานนะ บอกคุณอาทำแกงเห็ดรอไว้ด้วย บอกว่าชาอยากกิน"       

"โอเค พ่อคนไม่มีทิฐิ กลับแล้วนะ"     





นั่นหน่ะ คือหลายๆเรื่องที่ผมทำเกี่ยวกับไอ้พี่ตอง จริงๆ ผมก็ทำอะไรมากมายแล้วนะ แต่ทำไมผมถึงยังคิดว่าผมตอบแทนเค้าไม่หมดสักที

"ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก" ผมตอบคำถามเกตุที่ค้างไว้



"โอเคค่ะ ในที่สุดเราก็เสร็จการสอบสัมภาษณ์แล้วค่า" พี่แอมกล่าว ทุกคนปรบมือ พี่ท๊อปกับไอ้พี่ตองยังอยู่ ทำไมสองคนนี้มองแต่ผมวะ แต่สายตานี่คนละอารมณ์เลย "ตอนนี้เรามีกันสิบหกคนนะคะ แปลว่า เกินโควต้าที่กำหนดไว้ ถึงยังไงก็ต้องมีการคัดออกอีกสี่คนนะ ชายสอง หญิงสอง"

ซวยแล้วกู จะโดนไหมเนี่ย อุตส่าห์ดีใจไปแล้ว อย่าบอกนะว่า ดีใจเก้อ

"แต่ไม่ต้องห่วงนะ หลังจากนี้รุ่นพี่ผู้นำเชียร์จะไม่มีสิทธิ์คัดใครออกอีกแล้ว หน้าที่นั้นเป็นของนิสิตปีหนึ่งทุกคน หรือก็คือเพื่อนๆของน้องนั่นแหละจ๊ะกับรุ่นพี่อีกนิดหน่อยนะ"               

ทำไมไม่เคยได้ยินว่ามีขั้นตอนนี้วะ ตายห่าแล้วกู               

"ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า จะเป็นวันเปิดปีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเรา และแน่นอนเป็นวันเปิดกิจกรรมห้องเชียร์ด้วยเช่นกัน ในวันนั้นแต่ละคณะจะมีการเปิดตัวผู้นำเชียร์ปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบในเพลง 'มิ่งขวัญมัณฑนา'....."               



แล้วมันคืออะไรวะไอ้เพลงนี้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นท่าเต้น ไม่มีในคลิปทั้งหมดที่ดูย้อนมาเป็นสิบๆปี

"โจทย์ของพวกน้องก็คือ ต้องเต้นโชว์เพลงนี้ในวันเปิดห้องเชียร์ และเพื่อนๆของน้องๆจะทำการโหวตให้คะแนน ชายและหญิงที่ได้คะแนนต่ำสุดสองคนสุดท้าย จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งลีดคณะต่อ ตามนี้นะคะ"

"แล้วใครจะซ้อมให้เราละค่ะ" เกตุยกมือถามตัดหน้าผม         

"บททดสอบนี้คือการพิสูจน์ค่ะ น้องๆต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเหมาะสมกับการเป็นผู้นำเชียร์  นั่นคือการพยายามหาทางเต้นเพลงนี้ให้ได้ด้วยตัวเองหรือต่อให้น้องเต้นไม่ได้ น้องก็ต้องมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เพื่อนๆของน้องโหวตให้กับน้องเอง เพราะงั้นไม่มีใครสอนค่ะ" โห่!!!!! ทุกคนโห่ร้องออกมาพร้อมกัน "เอาเป็นว่าจะด้วยวิธีไหน ก็สู้ๆนะคะ ไว้พบกันในอีกหกวันนะคะ บล็อกกิ้งจุดก่อนโชว์จริงหนึ่งวัน พบกันที่นี่นะ วันนี้ขอบคุณน้องๆทุกคนค่ะ"



"เธอๆ น้ำชา" มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกผมหลังทุกคนเริ่มแยกย้าย ว้าว สวยจัง อ่อ จำได้แล้ว คนนี้คือคนที่แสดงรำไทยเมื่อกี๊นี้       

"ครับ"       

"เธอรู้จักพี่ตองด้วยเหรอ"         

"ห๊ะ" ผมอึ้งเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนถามด้วยคำถามนี้       

"ก็ดูพี่เขาก็รู้จักเธอ แบบว่า ช่วยแนะนำเราให้พี่เขารู้จักหน่อยได้ป่ะ คือ.... เราชอบพี่เขาอ่ะ"       

นี่ถ้าเป็นไอ้ต้อม ผมจะตบหัวให้คว่ำเลย ขนาดกูเค้ายังไม่อยากจะรู้จักเลย ให้กูไปแนะนำเนี่ยนะ "เราไม่รู้จักหรอก พี่เขา..."

ผมหันไปมองไอ้พี่ตอง แม่ง โคตรหล่อ สูงเด่น ออร่าพุ่ง ขนาดรุ่นพี่ลีดปีสองที่ว่าสวยๆ ยังรุมขอถ่ายรูปด้วยเลย

"พี่เขาดังจะตาย นั่นลีดมหาลัยนะ เราจะไปรู้จักได้ไง"       

"นั่นซิเนาะ"

"อ้าวน้องน้ำชา เก่งมากนะน้อง" พี่ท๊อปอีกแล้วครับ ตอนนี้ผมมีโอกาสมองหน้าพี่เขาใกล้ๆแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเกาหลี หน้าตาโอปป้าสุดๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ควง แต่สำหรับผู้ชายอย่างผม รู้สึกอยากมีพี่ชายแท้ๆเป็นคนแบบนี้เลย "ไม่เสียแรงที่พี่ปั๊มตรายางให้นะ"       

"ผมขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับ พี่เหมือนเทวดาลงมาโปรดเลย" ผมเป็นคนพูดนะ แต่เด็กสาวคนเมื่อกี้ที่ยังยืนอยู่ข้างผม ม้วนบิดเขินแบบว่า เสียจริตหนักมาก ใจเย็นแม่เอ๊ยยย จนกระทั่งพี่ท๊อปมองว่าเธอจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม สาวเจ้าก็เลยยอมเดินเขินๆออกไป "แล้วก็เมื่อกี๊อีก ขอบคุณแบบอินฟินิตี้เลยนะครับพี่"       

"สมกับเป็นเด็กเอกเลขจริงๆ"         

"พี่รู้ได้ไงอ่ะว่าผมเรียนแมท ผมยังไม่ได้บอกพี่เลย"       

"แฟ้มประวัติไง"       

"อ้อ"       

"แล้วคิดไว้หรือยังเรื่องเพลงใหม่"       

"ก็.... คิดไม่ออกเลยอ่ะครับ ผมก็ศึกษามาเยอะนะพี่ แต่เพลงนี้เหมือนไม่เคยถูกเผยแพร่เลย ท่าเต้นก็ยิ่งไม่รู้จัก"

"จริงด้วยซินะ" พี่ท๊อปยิ้ม "เราเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อมาเป็นลีดจริงๆด้วย" เออ.... ว่ะ  กูเผลอพูดออกไปจนได้ "ในใบประวัติมีเขียนว่าเราเคยชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิกภาคพื้นแปซิฟิกมาด้วยนิ เอาดีทางวิชาการต่อ จะไม่รุ่งกว่าเหรอ"       

"ก็..." เจอคำถามแบบนี้อีกแล้ว "อยากลองทำอะไรที่แตกต่างดูบ้างอะครับ"       

"งั้นเหรอ งั้นก็สู้ๆละกันนะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลย พี่ถูกชะตาเรา"       

"จริงป่ะพี่ งั้นสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้หน่อยดิ"       

"โห.... เอางี้เลยเหรอ จริงๆพี่ก็อยากช่วยนะ แต่ค่ำนี้พี่ต้องขึ้นเครื่องไปเกาหลีอ่ะ กลับมาอีกทีก็วันเปิดห้องเชียร์โน้นเลย ลองให้ไอ้เจ้าตองสอนให้ดิ" ช็อคเลยกู ให้ยินชื่อนี้         

"ไม่มีคนอื่นแล้วเหรอพี่ พี่ไม่เห็นเหรอว่า พี่เค้าไม่ได้อยากให้ผมเป็นลีดเท่าไหร่ ต่อให้ผมกราบแทบเท้า พี่เขาก็ไม่ช่วยหรอก"       

"งั้นก็มีอีกคน แต่เค้าเป็นอาจารย์คณะแพทย์นะ คนที่คิดท่าเพลงนี้ขึ้นมาเองเลย"       

"ห๊ะ แล้วพี่ๆพวกนี้เต้นไม่ได้เหรอครับ"       

"น้อยมาก ปีๆนึง มีคนเต้นได้ไม่ถึงสามคนหรอก ที่เต้นได้ก็เรียนจบกันไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่มีแค่พี่ เจ้าตอง แล้วก็อาจารย์พิชิตที่บอกไปนั่นแหละ"       

สิ้นหวังสุดๆกู         

"งั้นพี่ขอตัวแล้วนะ เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทัน"       

"เดินทางปลอดภัยครับพี่"



เห้ยๆ ไอ้พี่ตองหายไปไหนแล้ววะ ผมพยายามมองหา เหมือนจะเห็นหลังไวๆว่าเดินออกจากห้องไปแล้ว

"นี่สนิทกับพี่ท๊อปขนาดนี้เลยเหรอ" สาวเจ้าคนเดิมกลับมา ผมลืมดูว่าเธอชื่ออะไร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วตอนนี้ ต้องตามไปดูไอ้บ้าพี่ตองให้ได้ เผื่อรู้ข้อมูลไรดีๆ เพื่อท่าเต้น....       

"นิดหน่อยครับ ผมขอตัวก่อนนะ" กูจะเสียมารยาทเปล่า ช่างมันเถอะ

ผมรีบผลักประตูออกมาจากห้อง

"เห้ย ไอ้น้อง จะรีบไปไหน" เวรกรรม พี่บุ๋นมาเจอพอดี พี่ผมรีบ "เต้นเพลงมหาลัยได้ไงวะ มีของนะมึงเนีย"       

"ไม่หรอกพี่ ถ้ามีของผมคงเต้นเพลงมิ่งขวัญได้ด้วย"       

"กูเต้นไม่เป็นหรอกนะ ปีที่แล้วก็ยืนหล่อเฉยๆเลย แม่งโคตรอาย" เออ ผมรู้แล้วพี่ ผมถึงพยายามจะตามไอ้คนที่มันเต้นเป็นอยู่นี่ไง "แต่ไอ้ตองเต้นได้นะ นั่นไงมันอยู่นั่นพอดี เฮ้ย ไอ้ตอง" เชี่ยละ พี่เรียกทำมายยย ปรึกษากันก่อนไหมพี่ "ผู้จัดการซีซี่ครับ ผมขอยืมตัวดาราดังแป๊บนึงนะ" อ๋อ ไอ้พี่ตองมันกำลังคุยอยู่กับพี่สาวประเภทสองผมยาวคนนึงอยู่หน้าห้องน้ำ คนนี้ซินะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของมัน       

"มีไรวะ" แหม เดินมาคุยกับพี่บุ๋น ไม่มองกูแม้แต่หางตา       

"มึงเต้นเพลงมิ่งขวัญได้นิ" พี่บุ๋นเริ่มแล้ว กูกระโดดออกไปจากตรงนี้ได้ไหมเนี่ย "น้องมันอยากได้ท่าเต้น สอนน้องกูหน่อยดิ"

คราวนี้ไอ้พี่ตองหันมาแล้ว แต่ถ้าจะมองกูแรงขนาดนี้ มึงไม่ต่อยกูเลยหละ

"ไม่ว่ะ" มึงตอบไม่คิดเลยนะ ยิ้มเย๊าะกูอีก       

"อะไรวะมึง นี่น้องคณะกูเอง เพื่อนกัน แค่นี้มึงช่วยไม่ได้เหรอวะ"       

"กูงานเยอะ" ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย พูดเฉยๆก็ได้ ต้องทำหน้าหล่อด้วยเหรอ       

"เออ ไอ้ดาราดัง ไม่ต้องไปสนใจมันน้ำชา ยืนหล่อๆเหมือนกูปีที่แล้วก็ได้"       

"ยืนหล่อๆ เหรอ" มันเหน็บผมครับ ไอ้เชี่ยพี่ตอง มีมองกูตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วย       

"มองไรวะ" หลุดปากจนได้กู พี่บุ๋นอึ้งไปเลย       

"มองคนเตี้ยไง"         

"170 นี่มันเตี้ยตรงไหนวะ สูงเกินมนุษย์มนาคนอื่นไม่ได้แปลว่าตัวเองเจ๋งนะเว้ย"       

"แล้วมึงจะทำไม ไอ้เผือก"       

"โอเค" พี่บุ๋นตะโกนลั่นเพื่อตัดบท "อะไรของพวกมึงวะ นี่ไปโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน นี่มันน้องกูนะไอ้ตอง" พี่บุ๋นรีบกอดไหล่ผมเป็นการปลอบใจ ผมไม่ได้นอยนะ เรียกว่าโกรธดีกว่า "แล้วนี่มึงไม่รู้จักน้องกูคนนี้ใช่ป่ะ เออ กูว่าจะถามมึงพอดีไอ้น้ำชา" ผมงงซิครับ ถามไรวะ "มึงชื่อธชานา ธนกฤษ ใช่ไหม" ผมพยักหน้า "กูว่าแล้วไง เด็กอัจฉริยะที่อาจารย์ในเอกชอบพูดถึง กูก็เอกแมทเหมือนกันเว้ย ชื่อมึงเนียนะ กูได้ยินมาทั้งปี แล้วทำไมมึงมาเรียนที่นี่วะ เก่งๆอย่างมึงไปต่างประเทศก็ได้นิ"               

ผมมองหน้าไอ้พี่ตอง ยังโกรธอยู่นะ แต่มันก็คือเหตุผลที่ผมเลือกมาอยู่ที่นี่

"ใกล้บ้านครับพี่"       

"ลูกแหง่ติดบ้าน" เอาอีกแล้ว ไอ้เชี่ยพี่ตอง มันเปิดประเด็นอีกแล้ว       

"ไอ้ตองครับ มันยังไม่สำนึกอีกเหรอ" ดีนะที่พี่บุ๋นพูดตัดบทขึ้นมาก่อน ไม่งั้นมีสงครามอีกรอบเน่ "มึงอ่ะเด็กวิศวะ วิชาเลข มึงจะไม่เรียนใช่ไหม มึงหล่อหนะกูยอมรับ แต่มึงไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องคณิตนะ ช่วยเหลือน้องกูไว้ เผื่อในอนาคตมึงอยากได้ความช่วยหลือบ้างไง" โอ้มายก็อดดดด ผมยกตำแหน่งอัจฉริยะให้พี่บุ๋นไปเลย คิดกลเม็ดนี้ได้ไง               

ไอ้พี่ตองเหมือนจะคิดได้ มันลังเลอยู่สักพัก               

"ไม่ กูไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากมัน กูมีคนช่วยอยู่แล้ว" หยิ่งนักนะมึง คนที่มึงขอความช่วยเหลือก็คือ ขิง ลูกพี่ลูกน้องกูนี่แหละ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว       

"เออๆ ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย เดี๋ยวกูบอกน้องในเอกเราช่วยโหวตให้ ไม่ต้องห่วงน้อง เอกเรานานๆทีจะหลุดมาเป็นลีด ต้องเป็นป๋าดันซะหน่อย"

"น้องบุ๋น" พี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องพร้อมสมุดจดบันทึกในมือ "เดี๋ยวต้องไปคณะนิเทศต่อนะ ใกล้ถึงเวลาสัมภาษณ์แล้ว"       

"ขอบคุณครับพี่หยก" อ่อ นั่นคงเป็นผู้จัดการของพี่บุ๋น ลีดมหาลัยต้องมีผู้จัดการเกาะติดหมดทุกคนเลยใช่ไหม "เออ แล้วมึงอ่ะไอ้ตอง จะไปไหนต่อ"       

"ไปขี้" อือหือ ขี้เต็มหน้ากูเลย พูดจบ ไอ้บ้านั่นก็เดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป       

"กูไปก่อนนะไอ้น้อง โชคดีๆ"

เห้อออออ เอาไงต่อดีวะกู



#เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

"ไงวะไอ้ต้อม" ไอ้ต้อมโทรมา         

"กูเสร็จแล้วว่ะ มึงเสร็จยัง"       

"เสร็จแล้ว"       

"เออ เดี๋ยวกูไปรับ มารอหน้าคณะนะ"       

"เค"

กลับก็กลับวะ ค่อยไปปรึกษาไอ้ต้อมต่อก็ได้ ผมออกเดินต่อเพื่อลงจากตึก ระหว่างทางก็เจอกับพี่ผู้จัดการของไอ้พี่ตอง ผมยกมือไหว้ตามประสาน้องใหม่ แล้วก็เดินต่อไป

เดี๋ยวนะ.....

"พี่ซีซี่ใช่ไหมครับ" นี่อาจจะเป็นความหวังของกูก็ได้       

"ใช่ค่ะหนู มีอะไรเปล่าคะ"       

"คือ.... พี่ตองอะครับ เขาเต้นเพลงมิ่งขวัญเป็นจริงๆเหรอครับ"       

"ก็เห็นว่าได้นะ แต่พี่อ่ะไม่เคยเห็นหรอก พี่อยู่บริหาร ไม่ได้อยู่วิศวะ ปีที่แล้วไม่ได้มีโอกาสเห็น"       

เอาไงต่อดี       

"แล้วไอ้.... เอ่อ พี่ตองเต้นเป็นได้ไงอะครับ"       

"แหม ทำการบ้านสุดฤทธิ์นะคะลูก อยากเป็นลีดขนาดนั้นเลย ก็มีคนสอนแหละจ๊ะ"       

"ใครเหรอครับ หรือว่าเป็นพี่ท๊อป"       

"พี่ท๊อปเค้าดังตั้งแต่อยู่ปีสองแล้วลูก ไม่มีเวลาสอนหรอก"       

"งั้นก็ต้องเป็น อาจารย์พิชิต ซิครับ"       

"โอ๊ยยยย จะบ้าเหรอลูก อาจารย์หมออายุจะ 60 อยู่แล้ว แถมยังดุด้วย ไม่มีใครกล้าให้แกสอนให้หรอก"       

"แล้ว....."       

"พี่อ่ะไม่แน่ใจหรอก แต่เห็นตองคุยกับพี่ลีดมอคนนึง สนิทสนมกันที่สุดแล้วในบรรดานิสิตต่างคณะ แต่พี่คนนั้นเรียนจบไปแล้วนะ"       

เอาวะ อยู่ส่วนไหนของประเทศกูก็จะไปตามหาให้ได้ มีเวลาตั้งห้าหกวัน "พี่เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ"       

"เรื่องนี้ คงต้องถามตองเองแล้วหละจ้ะ พี่ไม่รู้จักกับพี่เขา รู้แค่ว่าชื่อพี่ลูกแก้ว" ฝันสลายอีกรอบนึงแล้ว       

"แล้วพี่ตองจะไปเป็นกรรมการที่คณะไหนต่อไหมครับ"       

"ไม่มีแล้วจ๊ะ มีแค่คณะนี้คณะเดียว ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน นี่มีงานถ่ายแบบต่อนอกมหาลัยนะ ทำไมยังจะรับมาเป็นกรรมการของที่นี่อีกก็ไม่รู้" ผมรู้ มันจงใจจะมาทำให้ผมไม่ผ่านไง               



เห้ย เสียงคนออกจากห้องน้ำ รีบไปดีกว่า

"ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณมากนะครับ"       

"จ้ะ บ๊าบบาย" วิ่งให้ไวเลยกู เดี๋ยวไอ้พี่ตองออกมาเห็น



"อะไรของมึงวะ กูบอกให้มารอหน้าคณะ ต้องให้กูโทรตามด้วย"       

"เออ กูขอโทษ กูพยายามหาข้อมูลเรื่องเพลงมิ่งขวัญอยู่อะ" ผมรีบสารภาพบาปกับไอ้ต้อม ก่อนที่มันจะหงุดหงิดใส่ผม       

"อ้าว โจทย์เดียวกันทุกคณะเลยเหรอวะเนี่ย"       

"ก็ใช่อะดิ... เดี๋ยวนะ" อย่าบอกนะ "นี่มึงก็สอบสัมภาษณ์ผ่านเหมือนกันเหรอ ไอ้เชี่ยต้อม"       

"เออดิ กูก็งงๆนะเว้ย กูยังไม่ได้ทำไรเลย แค่แนะนำตัวเฉยๆ"       

เออ มึงหล่อ ไอ้เวรเอ้ย วาสนากูกับมึงนี่ทำไมมันต่างกันจังวะ

หึ? นั่นอะไรอยู่เบาะหลัง ผมหันไปดูทันที       

"นี่อะไรวะ กูไม่เห็นนะเมื่อเช้า"       

"มีคนเอามาให้กูอ่ะ ตอนออกจากห้องสัมภาษณ์เมื่อกี๊" ผมลองดูอีกที ดอกไม้ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต มีแต่อะไรที่เป็นรูปหัวใจกองเต็มเบาะเลย       

"เชดดดดดด นี่มาวันแรก มึงมีแฟนคลับแล้วเหรอวะ"         

"....."       

"มึงนี่นะ ไม่ต้องฝึกเต้นเพลงมิ่งขวัญก็ผ่านเห็นๆ แต่กูนี่ ถ้าเต้นไม่ได้ ความหวังที่จะผ่านแทบจะเป็นศูนย์"       

"มึงมั่นใจหน่อยดิวะ มึงก็หน้าตา..... เห้ย นั่นอะไรวะ" ไอ้ต้อมชี้ไปที่โถงคณะผม

บาดใจกูสุดๆ พวกเพื่อนผู้ชายที่ไปสอบสัมภาษณ์ด้วยกันกับผม หลายคนกำลังโดนรุมขอถ่ายรูป มีให้ดอกไม้ของขวัญกันด้วย ตอนกูเดินมา มีแต่รุ่นพี่ผู้ชายแซว ความสิ้นหวังมาเยือนกูรอบที่สิบแปดล้านภายในวันเดียว

"กูนึกว่า กูโดนคนเดียวซะอีก" ไอ้ต้อมพูด ตอกย้ำกูเข้าไป "แต่มึงก็มีสิทธิ์ได้น่าาา เชื่อกูดิ"       

"....."       

"ไปหาไรกระแทกปากมึงก่อนดีกว่า เครียดๆแบบนี้ มึงต้องหิวแน่นอน กูรู้"

ไอ้ต้อมขับรถพาผมมากินข้าวที่ร้านใกล้ๆหอพัก แล้วผมก็อารมณ์ดีขึ้น ยอมรับก็ได้ ผมเป็นพวกอารมณ์ดีง่ายเพราะของกิน 555 ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน อย่างน้อยวันนี้ผ่านมาสองด่านแล้ว ด่านนี้ก็ต้องทำได้เหมือนกัน



คืนนี้..... นอน





"มึงว่าไงนะ" ไอ้ต้อมแทบบจะสำลักน้ำเต้าหู้มื้อเช้าออกมา         

"เออ กูจะไปคณะแพทย์ ไปขอให้อาจารย์พิชิตสอนเพลงมิ่งขวัญให้"



เพราะมันเป็น ทางออกสุดท้ายของกูแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:33:04 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 5 [ผู้ก่อตั้ง]





"เห้ย มึงจะเอาจริงเหรอวะ" ไอ้ต้อมรั้งผมไว้เป็นรอบที่แปดแล้ว เราสองคนงะๆเงิ่นๆอยู่หน้าตึกคณะแพทย์มาสิบนาทีแล้ว "นั่นเขาเป็นอาจารย์หมอไม่ใช่เหรอ มึงบอกเองนิว่าเขาดุ กูไม่ค่อยถูกโรคกับคนดุว่ะ"       

"มาเหอะน่า" ผมเริ่มลากมันแล้ว ถึงมันจะตัวใหญ่ก็เถอะ         

"มึงคุยนะ  กูไม่เอาด้วยนะเว้ย"       

"เออๆ ยืนอยู่กับกูก็พอ" ผมเดินไปเข้าไปในตึกคณะแพทย์ เงียบสุดๆ สะอาด แต่โคตรวังเวงเลย ไปหาไหนดีวะกู ลองเดินไปถามพี่ รปภ. ตรงนั้นดีกว่า "พี่ครับ ผมถามไรหน่อยครับ"       

"ว่าไงน้อง หาห้องเรียนไม่เจอเหรอ"         

"อ่อ เปล่าครับ ผมอยู่คณะวิทย์ มาตามหาอาจารย์พิชิตอ่ะครับ"       

"อาจารย์พิชิต เขาสอนแค่เด็กปีห้าปีหก ไม่ได้อยู่ที่ตึกหรอก อยู่ที่โรงพยาบาลของมหาลัยโน้น ที่นี่มีแต่เด็กปีหนึ่งเค้าเรียนปูพื้นฐานก่อนเปิดเทอมกัน"       

โรงพยาบาลมหาลัย อ๋อ ที่ๆเราตรวจร่างกายก่อนมามอบตัวซินะ       

"ขอบคุณครับพี่" ผมลากไอ้ต้อมไปต่อ       

"มึงๆ เดี๋ยวก่อนไหม" ไอ้ต้อมรั้งผมไว้อีกครั้ง "ความอัจฉริยะของมึงมันหายไปไหนแล้ววะ เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ก็แสดงว่า เขาทำงาน เขาเป็นหมอนะเว้ย ต้องรักษาคนดิ จะไปรบกวนเค้าได้ไง"       

เออว่ะ ผมคงต้องใจเย็นลงหน่อยแล้ว "งั้นก็ไปรออาจารย์เค้าเลิกงาน ไม่ลองก็ไม่รู้"       

"มึงไปขอร้องพี่ตองให้เขาสอนก็ได้เปล่าวะ กูว่านะเว้ย" อือหือ ไอ้เพื่อนสารเลว นี่มึงคิดหรือยังเนี่ยที่พูดออกมาเนีย       

"มึงไปขอดิ"       

"เรื่องไร นั่นคู่แข่งของมึง แล้วกูก็ไม่ได้อยากเต้นเป็นด้วย"       

"เออ.... ถือว่าทำเพื่อเพื่อนละกัน ไปๆๆๆๆ" ผมบังคับให้ไอ้ต้อมไปส่งผมที่โรงพยาบาลจนได้

"ขอโทษนะครับ คือ... ผมจะมาขอพบคุณหมอพิชิตอ่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณหมอสะดวกไหมครับ" หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล ผมก็ลากไอ้ต้อมให้ตรงดิ่งมาที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เลย

ที่นี่มีคนป่วยเต็มไปหมด โรงพยาบาลวุ่นวายน่าดูเลย       

"คุณหมออยู่ห้องตรวจค่ะ จะขอพบคุณหมอเหรอ ป่วยเป็นอะไรมาคะ"         

กรรม กูป่วยซะแล้ว เอ้ย ไม่ใช่ๆ "เปล่าครับ ผมจะขอพบนอกเวลาหนะครับ เรื่อง..... ส่วนตัว"       

พยาบาลที่คุยด้วยมองหน้าผมแปลกๆ "นี่จะมาถามเรื่องเพลงมิ่งขวัญใช่ไหม"       

ชิบหายแล้วกู โดนพยาบาลด่าแหงเลย มาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ "คือ... ใช่ครับ" ตอบตามตรงไปเลยดีกว่า       

"นานๆจะมีน้องปีหนึ่งใจกล้านะเนี่ย ลีดคณะไหนอะเรา นี่เป็นลีดกันทั้งคู่เลยใช่ไหม"       

"ผมคณะวิทย์ครับ ส่วนไอ้นี่อยู่สถาปัตย์"       

"พี่ก็ลีดพยาบาล เมื่อแปดปีที่แล้วนะ"       

"แล้วพี่เต้นเพลงมิ่งขวัญได้ไหมครับตอนนั้น"       

"ไม่ได้" เห้ออออออ มันไม่มีใครในประเทศมัณฑนาที่เต้นเพลงนี้เป็นกันเลยหรือไงวะ "แต่... พี่ก็พยายามนะ แล้วพี่ก็มาหาคุณหมอพิชิตเหมือนกับน้องนี่แหละ คุณหมอดุมาก ตอนนั้นพี่โดนด่าหนักมากๆ เพราะเหตุการณ์นี้นี่แหละ หลังนั้นก็เลยไม่มีใครกล้ามาหาคุณหมออีกเลย"

ไอ้ต้อมมองหน้าผมใหญ่เลย อย่างกับจะร้องว่า กลับเหอะมึง       

"คุณหมอเค้าไม่ยอมให้พบเลยเหรอครับ"       

"ไม่ใช่อย่างนั้น ให้พบซิ อย่าลืมซิว่าคุณหมอเป็นคนคิดกติกานี้ขึ้นมาเองนะ แต่การพบคุณหมอต่างหากที่เป็นปัญหา พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจคุณหมอเค้าเหมือนกัน พี่ก็เลยโดนด่ายับเลย เกือบจะยอมแพ้ไปเหมือนกัน..... ว่าแต่เราเถอะ ได้ยินแบบนี้แล้ว ยังจะพบคุณหมออยู่ไหม"

เอาไงดีวะกู เครียดชะมัด จะยอมโดนด่าหรือจะยอมแพ้ดี ไหนจะไอ้ต้อมอีก ไอ้นี่เป็นโรคขี้กลัวคนด่าอยู่ด้วย

"ยอมแพ้เหอะมึง" ไอ้ต้อมยังไม่หยุดความพยายามที่จะหยุดความมุ่งมั่นของผม "กูไม่โอเคว่ะ"



"ใช่ แพ้ไปเหอะ" เสียงกวนส้นตีนแบบนี้ ผมจำได้ทันที ไอ้เชี่ยพี่ตองยืนอยู่หลังผมกับไอ้ต้อมแน่นอน "ทำอย่างที่เพื่อนมึงบอกนั่นแหละ ยอมแพ้"       

"ไม่เว้ย" ผมเกือบจะตะโกนอยู่แล้ว ไอ้ต้อมมองหน้าผมกับไอ้พี่ตองแบบโคตรลุ้น "แล้วมาโรงบาลทำไม จะตายแล้วหรือไง" กูต้องเอาคืนไอ้บ้านี่ให้ได้       

"เรื่องของกู คนที่จะตายคือมึงต่างหาก ไอ้ขี้แพ้"       

"อ๋อ... จะมาขอร้องอาจารย์หมอไม่ให้สอนเพลงมิ่งขวัญละซิ" ผมรีบหันไปหาพี่พยาบาล "ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะขอพบคุณหมอ"       

"อ... โอเคค่ะ" เธอดูจะช็อกกับการทะเลาะกันของผมกับไอ้บ้านี่ ก่อนจะยื่นโน๊ตใบเล็กๆให้ผม "คุณหมอจะพักเที่ยงที่ห้อง MD1103 ชั้น 3 เอาโน๊ตใบนี้ให้คุณหมอนะ"

ผมรีบรับกระดาษแผ่นเล็กมา แล้วก็รีบโชว์ให้ไอ้พี่ตองดู พร้อมยิ้มเย๊าะ

ไอ้บ้านี่มันไม่พูดอะไร แต่ยิ้มเย๊าะใส่ผมกลับมาแทน

"เสร็จธุระมึงแล้วใช่ไหม" มันพูดกับผม อะไรของมันวะ       

"อืม" จะให้ตอบยังไงหละ       

"ถอย ไอ้เผือก" ผมถูกไอ้พี่ตองผลักออกมาจากหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์ ก็ไม่ได้แรงอะไรหรอก แต่ว่า......



โคตรคิดถึงเลย หลังจากเหตุการณ์จมน้ำตอนนั้น ผมยังจำไออุ่นๆของสัมผัสร่างกายเขาได้ แค่แวบเดียวที่แขนซ้ายถูกมือนั้นสัมผัส ความอบอุ่มกลับยังคงติดค้างอยู่ตรงนั้นไม่หายไป.....



"ไอ้ชาเย็น" ไอ้ต้อมเขย่าตัวผม นี่ผมเม่อไปนานแค่ไหนเนีย "มึงเม่อบ่อยนะช่วงนี้ เป็นไรของมึงวะ"       

"อ.. เออ ไม่มีไร"       

"กูไม่อยู่รอกับมึงนะเว้ย กูไม่พร้อมจะโดนด่าว่ะ อีกอย่างนึง พรุ่งนี้มีสอบหลักคณิตด้วย"



เออ จริงด้วย  การสอบหลักของนิสิตสายวิทย์ทุกคน อยู่ในกำหนดการก่อนเปิดปีการศึกษาสามวัน ถ้าภายในสามวันนี้ สอบไม่ผ่านก็ต้องมาสอบกับน้องในปีต่อไปจนกว่าจะผ่าน ไม่เช่นนั้น หมดสิทธิ์เรียนจบ

เออ เข้าใจ อย่างไอ้ต้อม ถ้าไม่อ่านหนังสือ สอบตกแน่ๆ



"โอเคมึง กูเข้าใจ" ผมก็ต้องเห็นใจมันอะเนาะ       

"แล้วใครจะติวให้กูละ มึงอยู่ที่นี่แล้ว"       

"เดี๋ยวก็คงเสร็จมั้ง แค่เที่ยงนิ"       

"เออ ยังไงมึงโทรหากูละกัน กูไปอ่านหนังสือรอก่อนนะ"       

"เจอกันมึง" ไอ้ต้อมแทบจะวิ่งออกจากโรงพยาบาลไปเลย



"วันนี้มีเคสเยอะหน่อยนะ" ผมแอบยืนฟังพี่พยาบาลคุยกับไอ้พี่ตอง       

"ยินดีครับ" แหม คุยกับผู้หญิงนี่พูดดีจังนะ ทีพูดกับกูนี่แทบจะกินหัวอยู่แล้ว       

"ฝากด้วยนะ มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ แล้วนี่เคลียร์ตารางกับเจ๊ซีซี่หรือยัง"       

"เจ๊แกรู้อยู่แล้วครับ ผมให้บุ๊คกิ้งตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว"



คุยเรื่องไรกันวะ แล้วทำไมต้องลงตารางเวลาข้ามปี มีไรสำคัญที่นี่

คุยจบ ไอ้พี่ตองก็เดินไปโดยไม่แม้แต่จะมองผม จะตามไปดูดีเปล่าวะว่ามันทำไร แต่นี่ก็สิบโมงแล้ว เอาเรื่องลีดก่อนดีกว่า วันหลังคอยตามไปดูใหม่ก็ได้ ไปรออาจารย์หมอก่อนดีกว่า



ผมขึ้นลิฟมาชั้นสาม ทันทีที่มองเห็นห้อง ผมก็รีบเข้าไปนั่งรอ

ห้องพักทั่วไป มีโต๊ะเก้าอี้ แล้วก็โซฟารับแขก ผมตัดสินใจนั่งบนเก้าอี้โซฟาเพื่อรอ

ท่าจะนาน อีกตั้งสองชั่วโมง เอานิตยสารวิชาการขึ้นมาอ่านก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็เปิดมือถือ ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เดือนหน้าจะได้ส่งไวหน่อย.....





เห้อ..... นี่ก็เลยเที่ยงมายี่สิบนาทีแล้วนะ ทำไมอาจารย์พิชิตยังไม่เข้ามาอีกนะ นี่วิจารย์งานวิจัยคณิตศาสต์ของเดือนนี้หมดไปแล้วนะ เอาของเดือนหน้ามาทำรออีกดีไหมน้าาาา ชักหิวข้าวแล้วแฮะ



"เธอเป็นใคร" เชี่ยแหละ มีคนเข้ามา มองที่ป้ายชื่อบนเสื้อกราว นายแพทย์พิชิต เนานคร         

"ผมธชานาครับ" ผมรีบลุกและยื่นโน๊ตส่งให้อาจารย์หมอ "ผ... ผมมาจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ"

อาจารย์หมออ่านโน๊ตจบก็เลิกคิ้วแล้วมองหน้าผม อาจารย์ท่านอายุมากแล้วจริงๆ หน้าตาเหมือนคนทำงานมาหนัก หรือท่านอาจจะเพิ่งทำงานหนักมาเมื่อกี๊นี้เองก็ได้

"แล้วจะเอาอะไรมาแลก"       

"ครับ" ผมไม่เข้าใจ         

"คิดว่าผมคิดกติกานี้ขึ้นมาเพื่ออะไร" คุณหมอยังคงพูดเป็นปริศนา

เดี๋ยวก่อนนะ ใจเย็นๆ พี่พยาบาลบอกว่า ไม่เข้าใจคุณหมอ แสดงว่าในด่านนี้ เราต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่คุณหมอพูดให้ได้       

"ให้พวกเราได้พยายามใช่ไหมครับ"       

"ตอบได้ดี แต่ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ.... หน้าตาเราก็ใช่ได้นิ เป็นดาราได้เลย"       

"ข.. ขอบคุณครับ" คุณหมอเดินไปนั่งที่โต๊ะ เอากล่องอาหารออกมาทานและหันหลังให้ผม

นี่คืออะไร ผมตอบคำถามไม่ถูกใจเหรอ หรือผมต้องออกไป หรือยังไง....

เอาวะ ลองอีกรอบ โดนด่าก็ยอม



"ถ้า..."       

"เด็กรุ่นผมหนะ" อ้าว โดนอาจารย์หมอพูดตัดหน้าเฉยเลย "ไม่มีหรอกนะที่จะมายืนหล่อๆสวยๆอยู่นิ่งๆ แล้วจะมาหวังว่าตัวเองจะได้เป็นลีด พวกสมองกลวงทั้งนั้น เธอหละ สมองกลวงหรือเปล่า?"       

"ไม่แน่นอนครับ" เอาวะ โชว์ความเทพซะหนอย "ผมเคยได้รับรางวัลคณิตศาสตร์โอลิมปิกภาคพื้นแปซิฟิก ผมไม่สมองกลวงแน่นอนครับ ผมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่คุณหมอจะ...."       

"ก็ถ้าเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ไปเป็นครู เป็นอาจารย์โน้น จะมาเป็นทำไมลีดหนะ" เข้าใจซึ้งเลยกู คุณหมอไม่ได้โวยวายนะ แต่ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงธรรมดาเลย นี่ซินะโดนด่าที่เขาลือกัน "เธอคิดว่าลีดเป็นยังไง ต้องเรียนเก่งเหรอ หรือหน้าตาดี มีสาวๆแห่มาให้ดอกไม้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ผ่าน ผมไม่สอนให้หรอก ไอ้พวกหลงตัวเอง โน่น! ไปยืนทำตัวนิ่งๆให้คนเขาลงคะแนนให้ เด็กสมัยนี้มันยังไง คุณสมบัติมีกันบ้างเหรอเปล่า คิดแต่อยากจะเป็นคนดัง"



เหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า ไม่ใช่แค่โดนด่านะ แต่คำว่าไม่ผ่านนี่แหละ ช็อกที่สุด

กูพยายามมาทั้งหมดเพื่ออะไรวะ กูแม่ง ลีดมหาลัยที่หวังไว้....



"คงจริงอย่างที่อาจารย์หมอพูดแหละครับ" ผมเหมือนจะน้ำตาไหลออกมา "ผมไม่มีคุณสมบัติในการเป็นลีดเลย ที่พยายามก็เพื่อแค่อยากจะได้ใกล้ชิดกับคนๆนึง ไล่ดูคลิปลีดมหาลัยเต้นเป็นร้อยๆคลิปเพราะหวังว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้บ้าง มองเห็นแค่ว่าตัวเองอยากได้อะไร แต่ไม่เคยคิดว่า การทำทุกอย่างจำเป็นต้องมีจิตวิญญาณของมันด้วย มันคงเป็นการเห็นแก่ตัวมากที่ผมจะแค่อยากเป็นอยากได้ ในขณะที่มีคนเกิดมาและพร้อมที่จะทำสิ่งนี้..... ขอบคุณอาจารย์หมอมากนะครับที่ให้บทเรียนผมในวันนี้ แต่ผมจะต้องพยายามต่อครับ เพราะผมไม่พร้อมเหมือนคนอื่น ผมต้องทำให้มากกว่า พยายามให้มากกว่า และมุ่งมั่นให้มากกว่า" รีบออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจริงๆดีกว่า       

"แล้วพร้อมจะแลกไหมหละ" คุณหมอพูดขึ้น ก่อนที่ผมจะเปิดประตูออกไป "ก็เธอยังไม่มีไม่ใช่เหรอ ไอ้จิตวิญญาณนั่นหนะ"       

"ครับคุณหมอ" ผมน้ำตาไหลออกมาจริงๆแล้ว พยายามห้ามแล้วนะ แต่ห้ามไม่ได้จริงๆ "สอนจิตวิญญาณของลีดให้ผมด้วยครับ" ผมก้มหัวลงต่ำเป็นทั้งการคาราวะและพยายามไม่ให้คุณหมอเห็นน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู       

"เอาหละ" มืออุ่นๆแตะที่ไหล่ของผม ผมจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นอย่าช่วยไม่ได้ คุณหมอกำลังแตะไหล่และยิ้มให้ผม "เธอผ่าน ผมจะสอนให้"       

"ข... ขอบ.. คุณครับ" ผมปาดน้ำตา       

"แต่เธอต้องทำงานแลกนะ"         

"ผมยินดีทำทุกอย่างครับคุณหมอ"       

"ที่นี่มีผู้ป่วยอยู่มาก งานในโรงพยาบาลก็ล้น เจ้าหน้าที่ที่มีไม่พอต่อปริมาณผู้ป่วย เธอพอจะช่วยงานได้ไหม"       

"ได้ครับ" ผมยิ้ม บอกตามตรงว่าภูมิใจมาก       

"แล้วอยากทำงานอะไรดีหละ ทุกแผนกขาดคนทั้งนั้น"       

ผมคิดอยู่สักพัก "ผมขออยู่แผนกเด็กได้ไหมครับ"       

"ทำไมหละ" คุณหมอมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด       

"ผมเคยเป็นติวเตอร์มาก่อน น่าจะพอคุยกับเด็กๆได้ แล้วที่สำคัญ คุณหมอให้โอกาสเด็กไม่รู้ความอย่างผม ผมเองก็อยากมอบโอกาสนี้ให้เด็กๆคนอื่นเหมือนกัน"

อาจารย์หมอยิ้มในคำตอบของผม "รอสักครู่นะ"

ท่านหันหลังแล้วนั่งลงไปทานข้าวต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาใครบางคน ด้วยมารยาทผมจึงกลับลงไปนั่งรอที่โซฟาเหมือนเดิม





ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ไม่นานก็มีคนอีกคนเข้ามาในห้อง

"ครับ อาจารย์หมอ"

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไอ้พี่ตอง ผมนี่มองตาค้างเลย เหมือนพี่แกก็จะอึ้งเหมือนกันที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้อง       

"อ้าว ตอง นี่ไงผู้ช่วยคนใหม่" ห๊ะ อะไรนะครับคุณหมอ ผู้ช่วยใคร อะไร ยังไง "เราชื่ออะไรนะ"       

"ธชานา ครับ" ผมตอบรับ       

"มีที่เรียกง่ายกว่านี้ไหม นิสิตธชานา"       

"อ๋อ ชาครับ"       

"เอาหละชา พอดีว่าเจ้าตองเขามาช่วยงานในแผนกเด็กพอดี" ว่าไงนะ "ผมฝากดูแลน้องให้หน่อยนะตอง"       

"ครับอาจารย์หมอ"         

"โอเค เอาล่ะ พาน้องไปทำงานได้" นี่เราจะได้ทำงานกับไอ้พี่ตองจริงเหรอวะ "ส่วนเรานะชา ต้องผ่านวันบล็อกกิ้งไปก่อน ผมถึงจะสอนให้ ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะเอาไปสอนคนอื่น ผมไม่อยากให้มันหลุดไปยังคนที่ไม่พยายาม"       

"ด... ได้ครับ"         

"เอาหละ ไปทำงานได้ มาทุกวันนะจนกว่าจะถึงวันบล็อกกิ้ง"       

"ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ"               

ไอ้พี่ตองเปิดประตูออกไปทันที ผมก็ต้องรีบเดินตามซิครับ

โห!!! ไม่คิดว่าจะได้มาเดินตามหลังแบบนี้เลย ตานี่สูงจริงๆด้วยแฮะ ขนาดมองจากข้างหลังยังต้องเงยหน้ามองเลย

"ขาสั้นนะมึง เดินให้ทันกูไม่ได้หรือไง" ไอ้พี่ตองพูด       

จะตอบมันยังไงดีวะ "ก็ไม่อยากให้ทะเลาะกัน ถ้าเห็นหน้าผมเดี๋ยวก็ด่าผมอีก"       

"นี่โรงพยาบาลนะ กูมีมารยาท หรือมึงจะไม่เอาบัตรติดหน้าอก"

ผมรีบซิครับ บัตรติดหน้าอกที่มีคำว่า ฝ่ายเด็ก ผมรีบติดที่หน้าอกเลย พอเงยหน้าขึ้นมา ให้ตายเหอะ อย่างกับฝันไป นี่เราได้เดินข้างพี่ตองจริงเหรอวะ ไอดอลของผม ตัวพี่แกมีไออุ่นๆจริงๆด้วย โคตรรู้สึกดีเลย



เราสองคนเข้ามาในลิฟ ชั้นเจ็ดเลยเหรอ จะได้จำไว้



"มึงไปทำท่าไหนวะ อาจารย์หมอถึงยอมสอนเพลงมิ่งขวัญให้"       

"....." ไม่บอกหรอก       

"กูถามเนีย"       

"แล้วพี่หละทำท่าไหน ผมรู้นะ ถ้าพี่มาทำงานที่นี่ รู้จักหมอพิชิตเป็นการส่วนตัว แล้วก็เต้นเพลงมิ่งขวัญที่คนอื่นเต้นไม่ได้เป็น ก็แสดงว่าสอบผ่านหมอพิชิตมาเหมือนกัน"       

"..... เสือกนะมึง ไอ้เผือก"       

"ไหนบอกว่ามีมารยาทไง"       

"ในลิฟมั้ง ทีมึงยังเรียกกูว่าพี่เลย" อะไรวะ.... เออว่ะ กูเผลอเรียกว่าพี่ไปจริงๆด้วย ไอ้บ้านี่มันจำได้แม้กระทั่งว่าเราไม่เคยเรียกมันว่าพี่เลยเหรอวะ เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ     

"เออ ไม่เรียกก็ได้"       

"กูก็ไม่ได้ว่าอะไร มึงควรเรียกแบบนั้นอะถูกแล้ว มึงยังต้องทำงานกับเด็กๆนะ เป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆเห็น คงไม่ตายหรอกมั้ง"       

มึงไม่รู้หรอกว่ากูอยากเรียกมึงว่าพี่มาตลอด คนที่ทำให้กูหยาบคายคือมึงนั่นแหละ ไอ้เวรเอ้ย



หลังจากลิฟเปิด ก็มีเสียงดังจอแจขึ้นทันที เหมือนมีทั้งเสียงเด็กเล็กและเด็กโตปนๆกัน



"สองห้องแรกจะเป็นเด็กที่นอนชั่วคราวนะ มีพ่อแม่คอยมาดูแลอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ถ้าไม่มีหมอหรือพยาบาลเรียกให้ช่วย ก็ไม่ต้องมาทำอะไร แต่ห้องนี้" ไอ้พี่ตองเอามือจับที่ประตู ไม่ให้ผมเข้าไป "เด็กส่วนใหญ่ในห้องนี้ ป่วยด้วยโรคร้ายแรง ต้องอยู่โรงพยาบาลนาน พ่อแม่เด็กนานๆจะมาเยี่ยมที แต่บางคน..."       

"พ่อแม่ไม่มาเยี่ยมเหรอ" ผมไม่รู้ว่าทำหน้ายังไงไป แต่เหมือนจะร้องไห้เป็นรอบที่สอง       

"ตามนั้น แต่มึงห้ามไปทำหน้าสำออยแบบนี้ต่อหน้าเด็กนะ เด็กห้องนี้ส่วนใหญ่เศร้าอยู่แล้ว กูไม่อยากให้พวกเขาสิ้นหวังไปอีก"       

"ไม่เข้ากับหน้าเลยเนาะ" มาว่ากูสำอ่อยเหรอ "รักเด็กเนี่ย"       

"ทำไม หน้ากูมันมีอะไร" ไอ้บ้าพี่ตอง จะเอาหน้าเข้ามาใกล้ทำไมวะ         

"..... เข้าไปทำงานได้แล้ว" ผมต้องโถมแรงทั้งตัวเพื่อเปิดประตูที่ไอ้พี่ตองกั้นไว้ให้ได้



และในนั้น....

ทำไมบรรยากาศมันเงียบจัง เด็กๆแต่ละคนดูเศร้าหมอง ไม่มีใครหันขึ้นมามองผมเลย ทั้งๆที่อยู่กันเป็นสิบๆคน



"พี่ตองงงงง" หึ อะไรวะ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ทันทีที่ไอ้คนตัวสูงเดินเข้ามา มีเด็กๆวิ่งกรูเข้ามาหาเต็มเลย นี่เค้าเป็นที่รักของเด็กพวกนี้มากขนาดนี้เลยเหรอ

สายตาก็เปลี่ยนไป ทั้งอ่อนโยน อบอุ่น แล้วก็รอยยิ้มนั่น อะไรกันวะ หัวใจเต้นแรงชะมัด



"น้ำชา"         

"ห๊ะ.... ค.. ครับ" ไอ้พี่ตองเรียกชื่อผมด้วย ประวัติศาสตร์โลกเลยนะเนี่ย       

"ได้เวลาของหวานแล้ว ไปหยิบขนมตรงนั้นมาแจกเด็กๆเร็ว"

ผมหันไปด้านหลัง มีกล่องอาหารรูปสี่เหลี่ยมวางเรียงอยู่ โดยมีพี่สาวผู้ช่วยพยาบาลเสื้อสีเหลืองยืนเรียงมันอยู่ "ให้ผมช่วยนะครับ" ผมรีบเข้าไปอาสาช่วยทันที         

"อ้าว จิตอาสาคนใหม่เหรอจ๊ะ" พี่เขากล่าวทักทายยิ้มแย้ม "น้องตองชวนมาเหรอ"



เอิ่ม พี่จะเรียกไอ้บ้านั่นว่า น้องตอง จริงเหรอครับ ทั้งๆที่มัน.... เออ มันดูใจดีก็ได้วะ หันไปเห็นมันอยู่กับเด็กทีไร ใจอ่อนทุกที       



"เปล่าครับ คุณหมอพิชิตชวนมา" ผมตอบ

เธอให้ผมเรียงกล่องโดยแยกตามสี เด็กแต่ละคนทานของหวานในปริมาณน้ำตาลที่แตกต่างกัน   

"งานดูแลเด็กเป็นเรื่องยากนะ ถ้าไม่อดทน ทำไม่ได้หรอก"       

แล้วพี่จะรู้ว่าผมมีความอดทนแค่ไหน อย่างน้อยผมก็อดทนติดตามดูไอ้พี่ตองมาตั้งแปดปี กว่ามันจะเรียกชื่อผมครั้งแรก ผมยังอดทนได้เลย "ผมคิดว่าพอจะทำได้อยู่ครับ"       

"โอเค งั้นลองดูนะ ดูสีที่หัวเตียงของเด็กให้ตรงกับสีของกล่องนะ เราแจกฝั่งของน้องตองนะ พี่จะแจกอีกฝั่งนึง"



ผมทำตามทันที



"ไปกินขนมกันดีกว่านะครับเด็กๆ" เด็กๆร้องดีใจกันใหญ่หลังจากคำเชิญชวนของไอ้พี่ตอง เลิกมองมันดีกว่า ชักจะรู้สึกแปลกๆกับตัวเองแล้ว

เมื่อเด็กๆกลับมากันที่เตียง ผมก็ทำหน้าที่ตัวเองอย่างดี พยายามทักทายน้องๆให้ครบทุกคน

จนกระทั่งถึงมุมห้อง.....



"ขนมหวานครับ" เด็กคนนั้นนั่งนิ่ง น้องเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมากๆ ผิวขาวบริสุทธิ์ อายุไม่น่าจะเกินเก้าขวบ แต่กลับมีสีหน้านิ่งเฉย เศร้ามอง และเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ผมจะทำยังไงดีนะ "วันนี้เป็นเค้กพุดดิ้งด้วยนะครับบบ"

น้องยังนิ่ง ขออีกทีแล้วกัน

"โชคดีจังเลยน้าาา ไม่โดนจำกัดน้ำตาลเหมือนคนอื่น กล่องนี้ต้องอร่อยที่สุดแน่เลย"         

"เพราะผมกำลังจะตายไง" น้องหันมาพูดแบบนั้นกับผม ก่อนที่จะเอาผ้ามาคลุมโปงแล้วนอนลงไป       

"ต... ตายอะไรกัน" ผมไม่รู้จะพูดอะไร มันสะเทือนใจไปหมด

กล่องขนมหลุดมือเสียงดัง แต่โชคยังดีที่มันตกลงบนโต๊ะท้ายเตียง   

"ทำเสียงดังอะไรของ..." ไอ้พี่ตองมันคงกำลังคิดจะด่าผม แต่เพราะผมอยู่ในสภาพช็อกมือสั่น ก็เลยเลือกที่จะไม่ด่าต่อ "นี่เตียงของโชกุน น้องช็อกจากอาการจมน้ำหนะ"       

ห๊ะ "แต่น้องบอกว่าน้องกำลังจะ..."       

"น้องจมน้ำเพราะคิดฆ่าตัวตาย" นั่นไงกู ไม่น่าถามต่อเลย ผมได้แต่ยืนอึ้งมองหน้าพี่ตอง "สามปีก่อนพ่อแม่น้องตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือด"       

"อะไรนะ" ผมไม่แน่ใจว่าพูดไปจริงๆหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง       

"ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พ่อกับแม่ของน้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็มาฝากเฝ้าระวังอาการที่นี่"

นี่ผมควรจะฟังต่อไปไหม

"น้องพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ช็อกไปเพราะการจมน้ำเหมือนกัน เม่อลอย นิ่งเฉย แล้วพ่อแม่ของน้องก็แทบจะไม่มาเยี่ยมเลย ยิ่งซึมเศร้าไปกันใหญ่" พี่แกถอนหายใจ "ปล่อยน้องเถอะ เดี๋ยวหิวก็คงกินเองนั่นแหละ"       

"เดี๋ยวก่อน" ผมยังอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับน้อง "น้องจะหายไหม"       

"หน้ากุ.... เออ หน้าพี่เหมือนหมอตรงไหนครับ" คำตอบนี่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย "ก็... อาจารย์หมอบอกว่า การรักษามันมีอยู่แล้ว แต่กำลังใจของน้องต่างหากที่สำคัญ"

       กำลังใจงั้นเหรอ

​                                                                                     /...,มีต่อ Part 2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-06-2018 21:07:13 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
/..... ต่อจาก Part 1





ผมตัดสินใจหยิบกล่องขนมหวานขึ้นมาอีกครั้ง

"โชกุนครับ" ผมเขย่าตัวน้องตรงๆ ไอ้พี่ตองเหวอกับการกระทำของผม "โชกุนครับ พี่คุยด้วยได้ไหม" ผมพยายามสัมผัสตัวของน้อง       

"ไม่กิน ผมไม่กิน" น้องไม่ยอมเปิดผ้าออกมา       

"งั้นพี่คุยด้วยได้ไหมครับ" เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมวางกล่องเค้กพุดดิ้งลง แล้วโอบกอดน้องทั้งๆที่น้องยังคลุมโปงอยู่อย่างนั้น         

บรรยากาศนิ่งสนิท น้องไม่พูด ไม่ขยับ ไม่ขัดขืน ไม่โวยวาย ไม่มีการตอบรับใดๆทั้งนั้น     

"พี่ทำอะไรอ่ะ" ขอบคุณสวรรค์ น้องเปิดผ้าออกมาคุยแล้ว       

"หนาวไหมครับ อุ่นขึ้นไหม" ขอให้ผมคิดถูกทีเถอะ น้องมองหน้าผมแบบลังเล สายตาของเด็กนี่ดีจริงๆ อ่านออกง่ายดี "อุ่นใช่ไหมล่ะ พี่ตองตัวอุ่นกว่าพี่อีกนะ" น้องมองไปที่ไอ้พี่ตอง "ไม่เชื่อเหรอ ลองดูไหมหละ"

ต้องรีบก่อนที่น้องจะเปลี่ยนใจ ผมรีบคว้าแขนไอ้พี่ตองให้เข้ามานั่งบนเตียงน้องโชกุน

"อุ่นไหม" ไอ้บ้าเอ๊ยยยยย ถามอะไรน้องหนะ แค่นี้มันจะไปอุ่นได้ไงวะ เข้าใจคำว่าความอบอุ่นไหม เสียแรงที่เกิดมาตัวอุ่นนะ       

"พี่ตองลองกอดน้องดูซิ" ผมพยายามชี้แนะ "ไหนลองลุกขึ้นมานั่งซิครับโชกุน ลองดูนะ ถ้าไม่อุ่นอย่างที่พี่บอก พี่จะไม่บังคับอีกเลย"

น้องลังเลอีกครั้ง แต่ก็ยอมลุกนั่งในที่สุด

ผมจัดท่าทางให้ไอ้พี่ตองนั่งซ้อนอยู่หลังน้องและโอบกอดมาจากด้านหลัง ขนาดผมยังรู้สึกอบอุ่นเลย น้องก็น่าจะรู้สึกนะ ขอให้ได้ผลทีเถอะ ขอร้องๆๆๆๆ

"รู้สึกเป็นไงบ้างครับโชกุน" น้องไม่ตอบที่ผมถาม แต่นั่งนิ่งยิ้มเล็กๆบนสายตาอันเศร้าสร้อย แต่ก็สีหน้าดีขึ้นมาหน่อยแล้วนะ

เอาไงดีวะ คิดดิๆ..... เอาวะ ไอ้พี่ตองคงไม่กล้าต่อยผมต่อหน้าน้องหรอก

ผมตัดสินใจโอบกอดน้องจากด้านหน้าครับ ตอนนี้เราสามคนอยู่ในสภาพหยุดเคลื่อนไหวและแนบสนิทต่อกันและกัน

ความอบอุ่นนี่มัน คิดถึงที่สุดเลย แถมยังมีความอบอุ่นใจอันบริสุทธิ์ของเด็กผู้ต้องการกำลังใจอยู่ท่ามกลางเราด้วย

ช่างเป็นความรู้สึกแสนละมุนใจจริงๆ อยู่แบบนี้นานๆได้ไหมนะ

"......" เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นมา ผมค่อยๆผละตัวเองออกมา ไอ้พี่ตองดูหน้าเหวอๆไปนะ แต่ที่มาของเสียงร้องไห้คือโชกุน เด็กน้อยร้องไห้น้ำตาอาบแก้มใส แต่กลับยิ้มออกมาเสียกว้าง

"ไม่เป็นไรนะครับ" ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของน้องอยู่นะ "พี่กับพี่ตองจะอยู่ตรงนี้ด้วยนะ"

จ๊อกกกกก

ชิบหายล่ะ ท้องผมร้อง เสียงดังกว่านี้ก็คงได้ยินทั้งห้องแล้วหละ น่าอายชะมัด

"หิวเหรอ" นั่นคือคำถามจากไอ้พี่ตอง       

"ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยอ่ะ มัวรอหมอพิชิตในห้อง แล้วก็มาที่นี่เลย"       

"พี่ขอไปหยิบข้าวมาให้พี่น้ำชาแป๊บนึงได้ไหมครับ" ไอ้พี่ตองพูดกับโชกุน โชกุนพยักหน้าเขินๆ แต่ผมนี่ช็อกหนักครับ ช็อกกว่าตอนที่รู้ว่าโชกุนเป็นมะเร็งอีก ไอ้พี่ตองจะไปเอาข้าวมาให้ผม สติมันดีอยู่หรือเปล่าวะ "น้ำชา มานั่งแทนพี่ดิ" โอเคๆ เอาไงก็เอา "เดี๋ยวมา"





ในส่วนของนายตอง....................

ทำไมมันคุ้นจังวะ  ผมกำลังคิดอยู่กับตัวเอง เดินไปก็คิดไป

"ขอเบิกข้าวกล่องหน่อยครับ" ผมพูดกับพี่ผู้ช่วยพยาบาลที่อยู่ห้องแรก       

"กี่กล่องคะ"       

"กล่องเดียวครับ"

หลังได้รับข้าวกล่องมาแล้วก็ยังคิดไม่ตก

ไอ้น้ำชา ไอ้เด็กเกรียนที่ชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว โคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย แล้วอย่างกับมันมีพลังจิต สมัยก่อน ทุกครั้งที่ผมสนใจอะไร มันก็มักจะโผล่มาทำเรื่องเดียวกับผม ลงแข่งสู้กับผมมาตลอด แล้วก็ไม่รู้ไปเก่งกาจมาจากไหน เอาชนะผมได้เกือบทุกอย่าง

แต่เมื่อกี๊นี้...... ที่ผมได้สัมผัสร่างกายของมันเป็นครั้งแรก

ทำไมผมรู้สึกคุ้นเคยจัง.....

เนื้อตัวนิ่มๆ ผิวเย็นเนียนใส รู้สึกมีชีวิตชีวาที่ได้สัมผัส ผมว่าผมคุ้นเคยกับสัมผัสนี้นะ ผมเคยรู้สึกชอบมันมากด้วย แต่ทำไมกลับลืมไปแล้ว ผมผ่านการสัมผัสผู้หญิงมาเยอะนะ แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมจดจำความรู้สึกนี้ได้เลย

รู้สึกเหมือนกับ.... คิดถึง

จะบ้าหรือไง นั่นมันศัตรูของมึงนะเว้ย ไอ้เด็กเกรียนนั่นมันอาจจะแค่อยากเอาชนะมึงอีกเรื่องก็ได้ อย่าไปใจอ่อน เอาข้าวไปให้มันแดก แล้วก็ออกไปจากตรงนั้นดีกว่า เดี๋ยวมันจะเย๊าะเย้ยเอาได้

"เห็นไหม พี่บอกแล้วว่ามันอร่อย" นั่นมันอะไรวะ ไอ้เด็กเกรียนกำลังป้อนเค้กน้องโชกุน มันทำให้น้องยิ้มได้ไงวะ แถมกินขนมหวานด้วย สายตาของความเป็นห่วงเป็นใย มันคืออะไรกัน       

"อะนี่ข้าวมึ..... ข้าวของน้ำชา" เราจะหยาบคายต่อหน้าเด็กไม่ได้ จริงๆก็ไม่ได้อยากพูดหยาบคายนะ ถ้าไอ้เด็กนี่ไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมก่อน       

"ข... ขอบคุณครับ" ทำหน้าแบบนั้นใส่กูอีกแล้ว กูก็ใจอ่อนดิวะ "เดี๋ยวผมกินครับ ขอป้อนขนมโชกุนก่อน"       

"เดี๋ยวพี่ทำเอง ไปกินข้าวเถอะ ท้องร้องแล้วไม่ใช่หรือไง" อ้าว ทำไมโชกุนทำหน้าผิดหวังอย่างงั้นล่ะ พี่ขอโทษษษษ

"เอ่อออ เดี๋ยวผมค่อยกินก็ได้พี่" ไอ้น้ำชาก็คงสังเกตุเห็นหน้าผิดหวังของน้องเหมือนกัน "ผมไม่หิวเท่าไหร่หรอก"

สรุปคือกูเป็นตัวร้ายในสถานการณ์นี้ใช่ไหม เออก็ได้วะ กูยอมทำก็ได้               

"อ่ะ อ้าปาก"         

"ห๊ะ อะไรอะพี่" ลองเดาซิครับว่าผมทำอะไร ใช่ครับ ผมป้อนข้าวให้ไอ้เด็กเกรียนน้ำชา ถ้าผมปล่อยให้มันหิว ผมก็คงใจร้าย แต่ถ้าผมแย่งมันมาจากโชกุน ผมยิ่งใจร้ายกว่า จึงจำเป็นต้องเกิดสถานการณ์ป้อนอาหารต่อกันขึ้น "ไม่เป็นไรก็ได้พี่ ผม.."       

"กินๆไปเหอะน่า" มึงรีบแดกๆเข้าไปทีได้ไหม กูเขินจะแย่แล้วเนี่ย แม่งป้อนข้าวผู้ชายครั้งแรกในชีวิตเลย

ดีนะที่ไอ้น้องนี่มันหน้าหวาน ผิวก็สวยใสอย่างกับผู้หญิง เนียนกว่าอีกมั้ง ตาก็หวาน ปากก็เล็กบาง เคยคิดว่าไอ้ขิงหวานแล้วนะ แต่ไอ้นี่หวานกว่าอีก แถมผิวกายยังเย็นสดชื่นตอนสัมผัส....

กูเป็นบ้าไรเนี่ย ป้อนๆมันเอาไป ดีนะที่เป็นข้าวผัด ค่อยป้อนง่ายหน่อย

แล้วมันเป็นไรวะ ทำไมต้องหน้าแดงด้วย "ว่าแต่..." หาเรื่องพูดดีกว่ากู "ทำไมถึงรู้ว่าต้องกอดน้องหละ"       

"คนที่ผ่านการจมน้ำมาหนะ.... ความรู้สึกหนาวเหน็บจะฝังลึกลงในใจ ไออุ่นจากร่างกายของ.... คนอื่น ช่วยได้"

พูดอย่างกับเคยจมน้ำ





กลับมาที่น้ำชา



ให้ตายเหอะ ไอ้พี่ตอง แม่งทำไรวะ ป้อนข้าวกูเฉยเลย บ้าเอ้ย แม่งก็ต้องกิน สถานการณ์บีบบังคับสุดๆ

แต่มุมนี้ทำไมมันดูดีจังวะ อย่างกับหัวหน้าครอบครัวเลย กูอย่าเผลอหน้าแดงนะเว้ย



เห้อออออ จบสถานการณ์วันนี้สักที นี่ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ไอ้พี่ตองยังไม่เลิกดูแลน้องๆเลย ผมนี่เหนื่อยแทบขาลาก ขอนั่งหน่อยเถอะไม่ไหวแล้ว

"ไหนบอกไหวไง" พี่ผู้ช่วยพยาบาลแซวผม "หมดแรงซะแล้วเหรอ"       

"มันก็ไหวอยู่ครับ แต่พลังงานของแต่ละวันมันมีจำกัด"       

"เป็นแบบนี้ทุกคนนั่นแหละช่วงแรกๆ น้องตองเห็นแบบนี้ ยังทนไม่ได้เท่าหนูเลย มาวันแรกอยู่ได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่นี่เค้าทำมาปีกว่าแล้ว สบายเค้าเลย"       

"ผมถามหน่อยซิครับ" ไหนๆพี่มันก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้ว อุตส่าเก็บความสงสัยมาทั้งวัน "พี่ตองมาทำงานที่นี่เพราะอยากให้คุณหมอพิชิตสอนท่าเต้นให้ใช่ไหมครับ"       

"ก็เหมือนหนูนั่นแหละ สำหรับเรื่องลีดแล้ว เด็กๆที่นี่จริงจังทุกคน เค้าก็เป็นคนนึงที่มาทำงานที่นี่เพื่อแลกกับสิ่งนั้น"     

"คือ  ผมเข้าใจว่า คุณหมอขอให้มาทำงานแค่สี่ห้าวันเองไม่ใช่เหรอครับ"       

"ก็อย่างที่หนูเข้าใจนั่นแหละ ถูกแล้ว แต่น้องตองเลือกที่จะมาทำต่อแทบจะวันเว้นวันเลยนะ พี่เคยเห็นคุณหมอสั่งให้เลิกมาด้วย แต่น้องเค้าก็หัวรั้น ขอมาทำจนได้ คุณหมอก็เลยใจอ่อน ยกห้องนี้ให้เค้าดูแลกับพี่สองคน เด็กๆที่นี่มีกำลังใจดีขึ้นเพราะน้องตองเลยนะ ทั้งใจดี กล้าหาญ เป็นตัวอย่างที่ดีด้วย เด็กๆที่นี่ก็เลยรัก"       

"ใช่เลยครับ รัก"       

"ว่าอะไนนะ"

กูพูดไรไปอีกแล้วเนี่ย  "หมายถึงเด็กๆรักไงครับ ก็เป็นคนดีซะขนาดนี้"       

"แล้วนี่ไม่กลับเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ ไม่กลับไปอ่านหนังสือจะดีเหรอ"       

"เลิกงานได้แล้วเหรอครับ" อ้าว ก็ไม่เห็นไอ้พี่ตองมันบอกอะไร       

"ได้ตั้งแต่บ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว พี่ก็นึกว่าเราทำงานเพลิน"         

"ก็แล้ว... พี่ตอง"       

"รายนั้นปล่อยเค้าเถอะ กว่าจะกลับก็ต้องรอเด็กทุกคนนอนโน้นแหละ สองสามทุ่มตลอด" ไอ้บ้าเอ้ยยยย ใจเต้นแรงอีกแล้ว "หนูกลับเถอะลูก เดี๋ยวจะค่ำก่อนนะ"

ยังไงดีล่ะ

"ฮัลโหลไอ้ต้อม เออมึง กูจะกลับดึกหน่อยนะ พอดีอาจารย์พิชิตให้กูทำงานดูแลเด็กที่โรงพยาบาลตอบแทนที่แกจะสอนท่าลีดให้ว่ะ"       

"อ้าว ไอ้เวร แต่พรุ่งนี้กูต้องสอบนะเว้ย กูไม่อยากสอบตกนะมึง มาติวให้กูเลยนะ มึงบังคับกูมาเรียนที่นี่ บอกจะช่วยรับผิดชอบกูไง"       

"โห มึง มันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก มันแค่ตัวพื้นฐาน"       

"มึงอะไม่ยาก กูหละ ไม่รู้อะยังไงมึงก็ต้องมาสอนกู"         

ไอ้เพื่อนเวร ให้เวลากูทำในสิ่งที่อยากทำก็ไม่ได้ แล้วมันไม่มีใครติวแทนได้เลยหรือไงวะ

เดี๋ยวก่อนนะ..... "เออมึง เอางี้เดี๋ยวกูหาคนไปติวให้"       

"มึงจะบ้ารึไง ใครจะไปติวเหมือนมึงได้วะ ถ้าไม่ใช่มึงกูไม่รู้เรื่องหรอก"       

"กูรับรองได้ว่าเหมือนกูแน่นอน"

ผมรีบวางสายทันทีแล้วกดหาอีกคน

"ฮัลโหลขิง ว่างไหม"       

"ก็ไม่ได้ทำไรนะ มีไรหรือเปล่า"       

"รบกวนไรนิดนึงได้ไหม"       

"ขอฟังก่อนได้ไหมว่าเรื่องอะไร อย่าบอกว่าเรื่องพี่ตองอีกแล้วนะ"       

ไม่ต้องแล้วหละเรื่องนั้น "เปล่า คือพอดีว่าชาติดธุระอยู่ที่โรงพยาบาลอ่ะ"       

"เป็นอะไรอ่ะ ให้ขิงไปหาไหม"       

"เปล่าๆ ชาไม่ได้เป็นอะไร มาทำงานจิตอาสา แต่มันคงอีกนานกว่าจะเสร็จ"       

"อ้อ ดีแล้วหละ พรุ่งนี้มีสอบหลักคณิตนะอย่าลืม...... แต่เก่งๆอย่างชา ขึ้นอันดับหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว"       

"ก็เรื่องนี่แหละที่ชาจะรบกวน"       

"....."       

"ขิงจำไอ้ต้อมได้ไหม เพื่อนของชาอ่ะ คือมันจะสอบพรุ่งนี้เหมือนกันเพราะมันเรียนสถาปัตย์ แต่เพื่อนชาคนนี้หัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชาเคยสัญญาว่าจะดูแลเรื่องเรียนให้มัน ถ้าชาทำมันสอบตก ชาคงจะเป็นคนไม่รักษาคำพูดมากๆเลย ขิงช่วยเป็นติวเตอร์แทนชาสักวันนึงได้ไหม"       

"....." เงียบ ชิบหายแล้วกู ใจแป้วเลย "ไม่มีคนอื่นสอนได้แล้วใช่ไหม"       

"ชารู้ว่าขิงไม่ค่อยปลื้มเพื่อนชาคนนี้เท่าไหร่ ถ้ามีคนอื่นที่ชาจะขอร้องได้ ชาจะไม่รบกวนขิงเลย"       

"อย่าพูดแบบนั้นซิ ทุกวันนี้ขิงมายืนอยู่จุดนี้ได้ก็เพราะชานะ ขิงจะช่วยติวให้ก็ได้ แต่ต้องไปติวที่ร้านข้างนอกนะ แล้วก็บอกให้เพื่อนชาจ่ายค่าอาหารให้ขิงด้วย"       

"ไม่มีปัญหาเลย เดี๋ยวชาให้ไอ้ต้อมติดต่อขิงไปนะ ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ เลยนะ"                 

กดวางสายได้ผมพิมพ์ไลน์หาไอ้เพื่อนสารเลวของผมเลย               

'ติดต่อเบอร์ 09XXXXXXXX ด่วน ก่อนที่ติวเตอร์จะเปลี่ยนใจ'       

'ใครวะ มึงแน่ใจนะว่าเขาสอนกูได้' ตอบเร็วชิบ นี่จ้องมือถืออยู่ชัวร์เลย       

'แน่ใจดิวะ มึงอย่าลืมเลี้ยงดูปูเสื่อเขาด้วยหละ'       

'เออๆ ขอบใจมึง'       

'เค ทำงานเสร็จจะติดต่อไป มารับกูด้วย'       

'เออ'

โอเค เคลียร์ กลับไปทำงานต่อได้

"นี่มันเลิกงานแล้ว" ชิบหาย อุตส่าออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้อง ไอ้พี่ตองยังตามมาข้างนอกอีก "ไม่กลับหรือไง"     

"เรื่องของผมป่ะ" กูนี่ก็เนาะ อยู่ดีไม่ว่าดี ไปชวนเค้าทะเลาะอีก       

"มึงจะเอาชนะอะไรกูอีก"

อึ้งเลยดิเจอคำถามนี้เข้าไป จะเปิดประตูเข้าห้องได้อยู่แล้วเชียว "ก็แค่ช่วยกันดูแลเด็กๆ ไม่ได้จะเอาชนะอะไรซะหน่อย"       

"มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้มาเพื่อเอาชนะกู แล้วมึงเลือกมาทำงานแผนกเดียวกับกูทำไม"       

"ใครจะไปรู้หละ หมอพิชิตถาม ก็แค่บอกว่าอยากช่วยที่นี่ ไม่ได้รู้ซะหน่อยว่าจะมีคนทำอยู่แล้ว"       

"อย่างมึงเนี่ยนะไม่รู้เรื่องของกู"

เชี่ยยยยยย

ผมโดนผลักให้ออกห่างจากประตู ไอ้เชี่ยพี่ตอง ของขึ้นอะไรวะ แม่งแรงเยอะชิบ

"อะไรวะ" ผมต้องตอบโตบ้างดิ จะให้เงียบเฉยๆหลังโดนทำร้ายร่างกายได้ไง ถึงมันจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ แต่มันเจ็บใจเว้ย

แม่ง  กูก็ทำดีแล้วเปล่าวะ ที่กูทำทั้งหมดก็เพราะว่ากูอยากใกล้ชิดมึงไง ไอ้ควาย มึงอ่ะปัญญาอ่อน มองโลกในแง่ร้าย เห็นกูเป็นศัตรูโดยไม่ถามกูซักคำ       

"ผลักแค่นี้จะร้องไห้ สำอ่อย"

แม่งยังจะแดกดันกูอีก

"พี่ตองผลักพี่น้ำชาทำไมอ่ะ" เวรละ น้องโชกุนเห็นเหตุการณ์เหรอวะ มาไงวะเนี่ย

กูนี่ก็อ่อนแอเหลือเกิน จะมาน้ำตาไหลอะไรตอนนี้ ปาดน้ำตาให้ไวเลย เดี๋ยวน้องเห็น เราต้องเป็นกำลังใจให้น้องดิ

"พี่ตองไม่ได้ผลักพี่นะ" ผมต้องรีบแก้ตัว น้องโชกุนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เลย "พี่เค้าแค่.... ผลักพี่ออกมา มันมีผึ้งอยู่เมื่อกี๊อะครับ มันจะต่อยพี่" ผมรีบมองแรงไปหาไอ้คนเลือดร้อนเบื้องหลังผม มึงต้องให้ความร่วมมือกูเดี๋ยวนี้       

"ช.... ใช่ครับ" เออ ขอบใจที่มึงยังมีสติมากพอ "พี่ตกใจเห็นผึ้งจะต่อยพี่น้ำชา พี่ก็เลยผลักพี่น้ำชาแรงไปหน่อยครับ พี่... ไม่ได้จะทำไรที่น้ำชานะ"

ไอ้ตอแหล       

"แล้วทำไมพี่น้ำชาร้องไห้"

กูต้องแก้ตัวว่าไรอีกละเนี่ย "ใครบอก พี่หาวต่างหากล่ะ" เอาวะ งานโกหกก็ต้องมา ไปให้มันสุด "เวลาหาวคนเราจะมีน้ำตาไหลออกมา รู้ไหม"               

โชกุนส่ายหัว

โอเค ใช้จังหวะนี้แหละ เปลี่ยนเรื่องซะเลย

"มานี่ เดี๋ยวพี่จะสอนให้ฟังนะ พี่เนี่ยเรียนวิทยาศาสตร์มานะ คนเราถ้าหาวอ่ะ บางทีจะมีน้ำตาไหลออกมา"

ผมก็โม้ของผมต่อไป ปล่อยไอ้บ้านั่นไว้ข้างนอกนั่นแหละ

ครั้นจะโกรธมันก็โกรธไม่ลง ยังไงความรู้สึกของบุญคุณมันก็มากกว่าอยู่ดี ช่างแม่ง

เห้อออออ จบภาระกิจวันนี้จริงๆสักที

โห นี่เกือบสี่ทุ่มเลยเหรอเนี่ย นอกโรงพยาบาลเงียบกริบเลย ไม่มีคนเหลือแล้ว โทรให้ไอ้ต้อมมารับดีกว่า

"ฮัลโหลไอ้ต้อม เสร็จยังวะ"       

"ยังเลยว่ะมึง น้ำขิงดุน่าดูเลย" #บอกว่าไม่ให้เรียกน้ำขิงไง พูดอีกทีกลับจริงๆนะ         

"มึงก็ช่างไปยั่วโมโหเค้าเนาะ"       

"เออมึง อีกนานเลยว่ะ เอาไงดี ให้กูขอน้ำ..... ให้กูขอขิงไปรับมึงก่อนดีไหม"       

"ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง มหาลัยเรามีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ ถ้าลงประตูหลังมอได้ ก็เดินไปหอได้ แปบเดียว มึงต้องคอยรับคอยส่งกูแล้วก็กลับไปติวต่ออีก เสียเวลาแย่"       

"เอางั้นแน่นะ"       

"เออ สบาย กูดูแลตัวเองได้ แค่นี้นะมึง"       

"เคเพื่อน"       

"ตั้งใจเรียนนะมึง ขิงไม่ใจดีเหมือนกูนะ"       

"เออ กูรู้"

โอเค น่าจะต้องเดินออกไปรอที่ป้ายข้างหน้านะ สักพักคงมีรถมา

"หลังสี่ทุ่ม ไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งหรอกนะไอ้เผือก" นั่นไง เสียงนี้กูได้ยินมาทั้งวัน ไอ้พี่ตองแน่นอน สงสัยได้ยินที่เราคุยโทรศัพท์

แต่เมื่อกี๊มันพูดว่าไรนะ ไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งแล้ว งานเข้าข้าพเจ้าแล้ว         

"....." เออ กูไม่มีไรจะพูด กูโง่เอง โทรหาแท๊กซี่ก็ได้วะ น่าจะมีบริการตลอด 24 ชั่วโมงนะ       

"มึงจะโทรหาใครอีก แฟนมึงอีกคนหรือไง"       

"แฟนไหนวะ" มันพูดไรของมัน หมายถึงไอ้ต้อมเหรอ "ไอ้ต้อมอ่ะเหรอ เพื่อนเว้ย" แล้วกูจะไปอธิบายให้มันฟังทำไมวะ       

"ใครจะไปรู้ เห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน เทียวรับเทียวส่ง"       

"...."

ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว โทรหาแท็กซี่ดีกว่า

เห้ยๆๆ อะไรวะ

"นี่จะลากไปไหนเนี่ย"       

"เดี๋ยวกูไปส่ง"

ห๊ะ อะไรวะ เมื่อกี๊ยังจะฆ่ากูอยู่เลย แล้วกูก็ไม่ต่อต้านเขาเล้ยยยยย

เผลอแป๊บเดียว มานั่งบนรถเขาซะแล้ว       

"รู้เหรอว่าอยู่ไหน" นี่คือสิ่งที่ผมพูดเพื่อทำลายความเงียบ       

"ก็บอกกูมาดิ"       

"หอโยเดีย ประตูสาม"       

"เออ กูรู้ละ อยู่หรูนี่หว่ามึงอ่ะ ลูกคุณหนูเหรอมึงอ่ะ"       

"คุณหนูอะไร ทำงานจ่ายค่าหอเองเว้ย ใครจะไปเหมือนลูกชายคนเล็กเจ้าของบริษัทเรือขนส่งสินค้ารายใหญ่ของเอเชียหละ"       

"เรื่องนี้มึงก็รู้เหรอ"       

เชี่ยละกู กูต้องหัดควบคุมสติอารมณ์เวลาอยู่ต่อหน้าไอ้พี่ตองให้เยอะๆนะเนี่ย  เผลอพูดตลอดเลย     

"มึงนี่รู้เรื่องกูเยอะจริงๆเนาะ ถามจริง ไปรู้มาจากไหนวะ"       

"....." กูตอบไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นขิงซวยแน่       

"เออ ช่างมันเหอะ กูควรจะชินได้แล้ว ที่มึงรู้ความเคลื่อนไหวของกูแทบทุกเรื่อง แต่จริงๆแล้ว..... เรื่องเมื่อเย็นอ่ะ กูขอโทษ"       

ห๊ะ เหมือนได้ยินว่ามีเอเลี่ยนมาบุกโลก มันฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่เลย       

"ที่กูผลักมึงอ่ะ กูแค่ระแวงไปหน่อยว่ามึงคิดจะมาเอาชนะกูอีก... แล้วก็.... ขอบใจด้วยที่ไม่ทำให้โชกุนมองกูในแง่ร้าย"       

"มีพี่คนเดียวนั่นแหละที่มองโลกในแง่ร้าย"       

"เออ กูก็ขอโทษแล้วนี่ไง กูต้องทำเป็นแถลงการณ์ด้วยไหม"       

"....."         

"พรุ่งนี้มึงต้องมาอีกใช่ไหม เออ สอบเสร็จเดี๋ยวกูมาอยู่เป็นเพื่อน"

อะไรของวันนี้วะเนี่ยยยยยย เฝ้าติดตามเค้ามาแปดปี พอเริ่มคุยกันได้แค่สองวัน ทำไม....




ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปขนาดนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:36:02 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 6 : ลายมือ





​ขอหยุดวิ่งแป๊บนึง

​ผมกำลังยืนหายใจหอบอยู่หน้าโรงพยาบาลครับ หลังสอบหลักคณิต 200 ข้อเสร็จ ผมก็นั่งรถไฟฟ้า วิ่งตรงดิ่งมาที่นี่เลย เอาจริงๆนะ ตอนทำข้อสอบ ผมแทบจะไม่ได้ทบทวนอะไรเลย ในหัวคิดแต่จะให้หมดเวลาเร็วๆ ก็เพราะเมื่อวานนี้มีคนบอกว่าจะมาทำงานที่นี่..... พี่ตองไง มันบอกว่าหลังสอบเสร็จจะมาอยู่เป็นเพื่อนผม

รีบขึ้นชั้นเจ็ดดีกว่า ผมไม่อยากพลาดแม้แต่วินาทีเดียว



ถึงแม้เมื่อวานจะมาทำงานไปวันนึงแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกเขินๆอยู่ดี โชคดีนะที่ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆตอนน้องๆเห็นหน้าเรา โดยเฉพาะน้องโชกุนที่ยิ้มกว้างจนแก้มใสๆจะฉีกออกจากกัน แค่นี้ก็รู้สึกดีแล้ว นี่ยังไม่ได้นับรวมเรื่องที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณนะ

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเรามาทำงานอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ตองแล้วนี่หว่า ไม่เห็นจะต้องไปพยายามเป็นลีดมหาลัยเลย ไม่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วย..... 

ไม่ได้ๆๆๆๆ สัญญากับหมอพิชิตไว้แล้ว คุณหมอต้องผิดหวังแน่ที่เราคิดแบบนี้ คิดซะว่า ถ้าได้เป็นลีดมอด้วย ก็จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่เขาเป็นสองเท่า ฉลาดนะกูเนีย

"ทานข้าวก่อนดีกว่าไหม" พี่ดวงครับ พี่ผู้ช่วยพยาบาลนเมื่อวานนี้แหละ แกเข้ากะเที่ยงวันยันเที่ยงคืน เดินตามเข้าห้องมาติดๆเลย พร้อมกับยื่นกล่องอาหารให้ผม "เดี๋ยวท้องร้องอีกนะ"

เขินเลยเรา

เอาไงดีน้าาาา จะกินข้าวเลยหรือรอพี่ตองมาก่อนดี เผื่อจะได้กินพร้อมกัน

"หรือจะรอให้น้องตองมาป้อนข้าวให้เหมือนเมื่อวาน"

"จะบ้าเหรอพี่" ผมนี่รีบคว้ากล่องอาหารเลย "ด.. เดี๋ยวผมกินพร้อมน้องๆนี่แหละครับ พี่ก็มากินด้วยกันซิ" หวังว่าพี่ดวงจะไม่เห็นว่าผมเขินนะ

"น่ารักนะเราเนี่ย" นั่นไง แซวผมอีก



ผมก็กินข้าวไปตามระเบียบครับ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องมากอดน้องโชกุน กินไปก็กอดกันไป น้องคงรู้สึกดีที่ได้สัมผัสตัวผม ผมไม่ว่าอะไรนะ เข้าใจ เข้าใจดีเลยแหละ จนน้องๆเตียงอื่นเอาอย่างบ้าง ผมก็เลยได้โอกาส ชวนน้องโชกุนไปสอนให้เด็กๆกอดกัน งานนี้ได้ทั้งมิตรภาพจากเด็กๆ และเป็นการสอนให้น้องๆมอบความอบอุ่นแก่กันและกันด้วย ผมฉลาดอีกแล้ววันนี้ คริคริ

นี่จะบ่ายโมงแล้วนะ ทำไมไอ้พี่ตองยังไม่มาอีกเหรอวะ หรือว่ามันจะโกหก

แต่จะว่าไป มันก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่พี่เค้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเรานี่หว่า หน้าที่ก็หน้าที่เรา จะไปโกรธเขาก็ไม่ได้ ที่สำคัญ ได้ดูแลเด็กๆพวกนี้ก็มีความสุขแล้ว แต่.... มันก็นอยนิดนึงเปล่าวะ



#เสียงโทรศัพท์

"มีไรวะไอ้ต้อม"

"มึง ผลคะแนนออกแล้วว่ะ กูขาดไปหนึ่งคะแนน เวรเอ๊ยยยยย"

"เห้ยมึง กูโทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ติวให้มึงเองอ่ะ มึงไม่น่าตกเลย"

"อ.... เอ่ออออ ไม่เป็นไรหรอกมึง พรุ่งนี้กับวันมะรืนยังสอบได้อีกตั้งสองวัน"

อะไรวะ ปกติมันต้องโวยวายแล้วนะ "เออ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับตรงเวลา กูจะไปติวให้มึงเองเลย รับรองพรุ่งนี้มึงผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องเฉียวฉิวเลย"

"เห้ยมึง ลำบากเปล่าๆ งานที่โรงพยาบาลเยอะแยะ ไม่ต้องหรอก" นี่มันแปลกเกินไปแแล้วนะ ไอ้นี่ไม่เรียกร้องให้กูติวให้ ทั้งๆที่เพิ่งจะสอบตกมา น้ำเสียงก็ฟังดูอารมณ์ดี

"มึงแปลกๆนะวันนี้"

"......" ไม่ตอบโต้ ต้องมีไรแน่เลย

"แล้วมึงจะทำไง อ่านหนังสือเองหรือไง จะผ่านได้เหรอวะ อย่างมึงอ่านเองไม่มีทางทำได้อ่ะ กูรู้จักมึงดี"

"เออ กูจัดการของกูได้... ว่าแต่มึงรู้คะแนนตัวเองหรือยัง"

"เออ ยังว่ะ ดูที่ไหนวะ"

"เดี๋ยวกูส่งลิงค์ประกาศคะแนนให้ มึงค้นหาชื่อตัวเองได้เลย รวดเร็ว แต่มึงคงไม่ต้องค้นหรอกม้างงงง"

"ทำไมวะ"

"มึงดูเอาเองแล้วกัน..... กูไปละ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก"

ไอ้สัด ด่ากูก่อนตัดสาย สารเลวมาก



#มีข้อความส่งมาในไลน์ 1 ข้อความ



อ่อ ลิงค์จากไอ้ต้อมนี่เอง ไหนเปิดดูดิ



เอิ่มมมมมมมม  เข้าใจแล้วว่าทำไมมันบอกว่าไม่ต้องกดค้นหาชื่อ ชื่อของผมโผล่มาเป็นอันดับหนึ่งจากในตาราง ด้วยคะแนน 100% ...... 

จะหาว่าผมขี้อวดละซิ แหมมม คนเรามันก็มีเรื่องที่ถนัดไม่เหมือนกัน แล้วข้อสอบที่ทำวันนี้ จริงๆแล้วมันก็คือพื้นฐานทั้งหมดของมอปลายนั่นแหละ ผมทำบทวิจารณ์ระดับสูงแล้ว แค่นี้ถ้าทำไม่ได้ เขาก็คงไม่จ้างผมหรอก

ว่าแต่..... ไอ้พี่ตองมันบอกว่ามันมีสอบ คิดว่าเดาไม่ผิดนะ น่าจะเป็นการสอบสนามเดียวกันนี่แหละ สงสัยปีที่แล้วสอบไม่ผ่าน ลองค้นหาดูดีกว่า ไม่เสียหาย

​นาวาพล ขัตติยชาติ คะแนน 45% ไม่ผ่าน

​โห!!!! คะแนนน่าเป็นห่วงสุดๆ ต่อให้เป็นนิสิตนอกสายวิทย์ก็ยังถือว่าตกอยู่เลย

ปกติการสอบนี้ นิสิตทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องสอบ ถ้าอยู่นอกสายวิทยาศาสตร์ เช่น สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ คณะพวกนี้ต้องผ่านที่ 50% โหดขึ้นมาหน่อยก็สายแพทย์และพยาบาลที่ต้องผ่านในเกณฑ์ 57% แต่ถ้าสายวิทย์อย่าง คณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ ต้องผ่านที่ 65%

เพราะงั้นคะแนนของพี่ตองตอนนี้........



"ว่าไงเด็กๆ"

ผมหันคอแทบหัก ไอ้พี่ตองยิ้มร่าเข้ามาทำงานเฉยเลย มันยังไม่รู้เรื่องผลสอบเหรอ ผมต้องทำหน้ายังไงวะ

"ให้เด็กๆกินข้าวหรือยัง...." เราควรบอกมันดีเปล่าวะ "ว่าไงน้ำชา ให้เด็กๆกินข้าวหรือยัง"

"กิน... กินแล้วซิ" ผมพยายามมีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน "นี่มันจะบ่ายแล้วนะ พี่มาสายเอง ไหนบอกสอบเสร็จแล้วจะมาไง"

"......." อ้าว ทำหน้าสลดซะงั้น นี่กูเข้าใจถูกไหมว่า พี่แกกำลังเศร้าเพราะสอบตก

"นี่ๆ ผมกำลังสอนน้องๆให้กอดกัน พี่ว่าดีไหม" เปลี่ยนเรื่องด่วน

"ดีๆ" ไอ้พี่ตองบ้าเอ๊ย มึงไม่ต้องมาฝืนยิ้มเลย ผมดูออก รู้สึกผิดเลยกู

"ผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ" ออกไปจากตรงนี้สักพักดีกว่ากู เพื่อสถานการณ์ที่ดีขึ้น



ควายจริงๆกู ทำพี่แกเศร้าเฉยเลย นี่เขาเป็นผู้มีพระคุณของมึงจริงเปล่าวะ ผมกำลังบ่นกับตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำครับ เดี๋ยวหาเรื่องอื่นพูดดีกว่า หรือเราจะไปเสนอตัวติวให้เขาดีวะ.....

ไม่มีทางอ่ะ คราวนี้กูโดนต่อยจริงแน่ ทำให้ไอ้บ้านั่นรู้สึกว่าตัวเองแพ้ มันคงไม่ยอมรับความช่วยเหลืออยู่แล้วหละ



"ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะพ่อ" เห้ย เสียงไอ้พี่ตองนี่หว่า

"นี่แอมโทรไปบอกพ่อเรื่องผมสอบตกอีกแล้วใช่ไหม"

"....." คุยโทรศัพท์อยู่แหงเลย ออกไปตอนนี้คงไม่ได้ น้ำเสียงฟังดูเครียดแฮะ

"อะไรนะ ไม่มีทางพ่อ ผมจะไม่หยุดมาทำงานที่โรงพยาบาลแน่นอน เด็กๆพวกนี้น่าสงสารนะพ่อ"

"....." ว่าไงนะ ไอ้พี่ตองจะไม่มาทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว

"ก็ถ้าพ่อยอมให้ผมลาออกจากลีดมหาลัย..."

ห๊ะ ช็อกเลยคำนี้ พี่ตองมันอยากลาออกจากลีดมอ มีความคิดนี้อยู่ด้วยเหรอ

"ครับ"

"...."

"ครับ ผมเข้าใจครับ"

"....."

"โอเครับ ผมจะแก้ปัญหาให้ได้ สวัสดีครับพ่อ"



คุยเสร็จแล้วเหรอ  ออกไปได้ยังวะ



"ฮัลโหลขิง" เห้ยยยย อีกสายแล้วเหรอ นี่กูต้องหลบอยู่ในห้องน้ำต่อใช่ไหม "ดอกกุหลาบที่พี่ให้ไป ทิ้งไปยัง"

"....." คุยกับขิงซินะ มีหยอดลูกพี่ลูกน้องกูด้วย อะไรยังไงวะ

"ช่วงนี้ขิงพอจะว่างไหมอ่ะ"

"....."

"อ๋อ มีคนมาขอร้องให้ขิงติวคณิตให้เหรอ ไม่ว่างเลยดิแบบนี้" น้ำเสียงพี่แกฟังดูผิดหวังแฮะ แล้วใครมาขอร้องให้ขิงไปติวให้วะ คนที่รู้ว่าขิงติวได้มีไม่กี่คนนี่นา *​ไอ้ตอมแน่นอน ไอ้เพื่อนสารเลว ​เดี๋ยวกูค่อยเคลียร์กับมึงทีหลัง สนใจเรื่องพี่ตองก่อน

"เห้ยเปล่า ไม่มีอะไร พี่ก็โทรหาน้องโรงเรียนพี่ดิ เราเป็นพี่น้องกันนะอย่าลืม พี่ก็ต้องคิดถึงบ้างอะไรบ้าง น้ำเสียงดูดีพี่ก็สบายใจ มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้เลยนะ....  เออๆ แค่นี้แหละ ว่างๆเจอกันน้อง" ไม่เห็นมันคุยกับผมแบบนี้บ้างวะ

จากการประมวลผลของผม ไอ้พี่ตองคิดจะขอให้ขิงช่วยติวให้ซินะ พ่อของพี่แกคงจะวางเงื่อนไขอะไรไว้สักอย่างในการสอบครั้งนี้แน่เลย

เอาไงดีวะกู จะเสือกดีไหม แต่สถานการณ์แบบนี้ ถ้าคิดจะตอบแทนบุญคุณก็ต้องทำ แต่จะทำไงให้พี่แกยอมรับความช่วยหลือจากเราโดยไม่รู้สึกว่าแพ้วะ ......  ทำไมมันซับซ้อนจังวะ



"เออมึงไอ้ต้อม" เอาแผนนี้แหละวะ แกล้งคุยโทรศัพท์เสียงดังๆให้ไอ้พี่ตองได้ยิน ผมเดินแกล้งคุยโทรศัพท์ออกมาจากห้องน้ำ หางตามองเห็นพี่ตองยังอยู่นอกห้อง เข้าทางกูแล้ว "ว่าไงนะมึง กูสอบหลักคณิตได้เต็ม 100% เลยเหรอวะ... เออ กูเจ๋งอยู่แล้วเรื่องคณิตอ่ะ" เชี่ยเอ้ย น่าอายชิบหาย "แล้วเย็นนี้มึงมารับกูด้วย.... อะไรนะ"

เดี๋ยวๆ เว้นจังหวะหน่อย กูเริ่มจะไม่เนียนแล้ว

"อ... อ้าว ไหงงั้นวะ กูต้องทำงานที่นี่กลับดึกอีกตั้งสองสามวันนะเว้ย กูอุตส่าช่วยติวให้มึงผ่านมาตั้ง 81% มึงไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณกูเลยหรือไง"

ดูปฏิกิริยาของไอ้พี่ตองดิ เหมือนมันจะชะงักฟัง เอารางวัลตุ๊กตาทองจากพี่ลูกเกตุไปเลยกูงานนี้

"เออๆ ก็ได้มึง เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง... ก็คงต้องไปขอร้องใครสักคนแหละ โรงพยาบาลกับหอไม่ใช่ใกล้ๆกันนะมึง"

ผมทำทีถอนหายใจแล้วก็วางโทรศัพท์

"อ้าว พี่ตอง" ทำเป็นตกใจต่อด้วย เราจะเนียนเปล่าวะ "มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ"

"ทำไม โดนเพื่อนทิ้งหรือไงมึงอ่ะ" โดนเลยไหมล่ะกู นี่กูควรคิดจะช่วยไอ้ปากเสียนี่ต่อดีไหม

"ก็... ไอ้ต้อมมันมีธุระอ่ะ สองสามวันนี้มารับมาส่งผมไม่ได้ ถ้ามาทำงานไม่ได้ หมอพิชิตตำหนิผมแน่เลย..." ไอ้เชี่ยพี่ตองเอ้ยยยย ทำลอยหน้าลอยตา จะให้กูขอร้องละซิ มึงอ่ะเข้าทางแผนกูโว้ย จะบอกให้ "อ... เออ คือพี่มีรถนิ พี่ช่วยไปรับไปส่งผมหน่อยได้ไหมอ่ะ ขอร้องนะพี่ ผมรู้ว่าพี่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แต่แค่จนกว่าจะถึงวันบล็อกกิ้งนะพี่"

"กูอ่ะ กูไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำอะไรนะ" อะจ้า พ่อขมองอิ่ม อยากพูดไรก็พูดนะ แต่พูดมาให้ตรงตามที่กูคิดแผนไว้ด้วย "แต่มึงจะให้กูไปรับไปส่ง โดยไม่ตอบแทนอะไรกูเลยหรือไง"

"ได้ดิพี่ จะให้ผมตอบแทนยังไง ถ้าทำได้ผมจะทำให้ แต่ผมอ่ะ ก็ทำได้ไม่กี่อย่างนะ ที่พอจะทำได้ดีก็มีแค่ติวหนังสือให้เพื่อนอ่ะ พี่มีอะไรให้ผมติวให้ไหมล่ะหรืออย่างอื่นก็ได้ แล้วแต่พี่จะสั่งเลย"

"อ... เอ่อ อันนั้นแหละ" กูพูดตรงใจมึงละซิ อ่ะๆ รีบสั่งกูมาได้แล้ว "พอดีช่วงนี้กูไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ ไหนจะงานลีด งานถ่ายแบบ แล้วก็ต้องมาดูแลน้องๆที่นี่อีก เอาเป็นว่ามึงติวหลักคณิตให้กูละกัน มึงก็ทำได้แค่ไม่กี่อย่างอยู่แล้วนิ ให้มึงไปแบกไปหามก็คงไม่รอด"

"ก็... ก็ได้ครับ" กูต้องกลั้นหัวเราะอีกนานไหม

"เออ" อะไรของพี่มึงวะ อยู่ดีๆก็เอาหน้ามาใกล้อีกแล้ว ไอ้บ้านี่ เอ่ะอ่ะๆเอาหน้าเข้ามาใกล้ตลอด "มึงแพ้"

ไอ้เชี่ยพี่ตอง

แล้วกูจะยิ้มทำไมเนี่ย มันเดินเข้าห้องไปแล้ว ไปทำงาน!!



"พี่ดวงครับ วันนี้ผมขอกลับเร็วหน่อยได้ไหมครับ" หึ ไอ้พี่ตองขอพี่ดวงกลับเร็วทำไมวะ นี่มันกี่โมงวะ สี่โมงครึ่ง "แล้วก็น้ำชาด้วย พอดีผมสองคนมีธุระต้องไปทำเย็นนี้อ่ะครับ" อ่อ เรื่องติวหลักคณิตซินะ

"ได้ซิน้องตอง" พี่ดวงรีบตอบ "นี่มันหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว ตองกับน้ำชาต่างหากที่เสียสละมา กลับเร็วบ้างก็ดีแล้ว ให้เวลาส่วนตัวกับตัวเองบ้าง"

"เดี๋ยววันหลังผมจะชดใช้คืนให้เป็นสองเท่าเลย"

"พูดอะไรเกินจริง.... แล้วจะไปทำธุระด้วยกันเหรอ"

"ค... ครับ" เขินเป็นกับเค้าด้วยเหรอหนะไอ้พี่ตอง ไปติวหนังสือจะเขินทำไม

"นี่อย่าบอกนะว่าจะไปป้อนข้าวกันอีก"

พี่ดวงงงงง แซวบ้าไรของพี่เนี่ย ไม่ต้องมันหรอก ผมนี่แหละเขิน ไม่ๆๆๆ กูจะไม่ยอมหันหน้าไปทางนั้นเด็ดขาด

"เปล่าพี่ ติวหนังสือกันครับ"

"จ้าๆ พี่แซวเล่น ไปกันเถอะ นี่ก็สี่โมงกว่าแล้ว"

"น้ำชา" ไอ้พี่ตองหันมาเรียกผม "ไปกันได้แล้ว"

โอเค กลับเร็วเลยวันนี้

"พี่น้ำชา" อ้าวเวรกรรม ลืมน้องโชกุนไปได้ไงวะกู ดูหน้าไอ้พี่ตองดิ แกก็ลืมเหมือนกันละซิท่า "จะกลับแล้วเหรอ"

อย่าร้องไห้นะน้องโชกุน

"วันนี้พี่น้ำชามีธุระนะคราบบบ" ผมต้องหว่านล้อมน้องให้ได้ ขั้นแรกกอดน้องก่อนเลย ท่าไม้ตายของผม

"แล้วโชกุนจะกอดใครล่ะ" อย่าพูดแบบนั้นซี ไอ้บ้าพี่ตอง มึงรีบช่วยกูเดี๋ยวนี้เลยนะ

"งั้นเอางี้" โอเค มันคงมีแผนไรสักอย่าง "เดี๋ยวพี่กับพี่น้ำชาจะกอดโชงุนทิ้งไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้มากอดกันเยอะๆนะ"

ห๊ะๆๆๆ อะไร ว่าไงนะ เดี๋ยวๆๆๆๆๆ

เอาแล้วไงกู ให้ตายเหอะ ไอ้บ้าพี่ตอง โถมเข้ามากอดจริงด้วย..........



.............อบอุ่นชะมัด โคตรคิดถึง คิดถึงที่สุดเลยสัมผัสนี้

สัมผัสที่ผู้ชายคนนี้โอบกอดผมกับน้องโชกุนไว้พร้อมๆกัน ครั้งนี้เขากอดผมจากด้านหลัง ไม่เหมือนเมื่อวานที่แค่แขนสัมผัสกัน

เหมือนตอนนั้นเลย ตอนที่ร่างกายของผมเปียกไปหมด เนื้อตัวหนาวสั่น หัวใจเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะไออุ่นนี้ ทำให้ผมมีชีวิตกลับขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าเราโหยหาสัมผัสนี้มากแค่ไหน



"โอเคหรือยังครับ" นี่ผ่านไปนานแค่ไหนวะเนี่ย ผมเคลิ้มไปกับสัมผัสอบอุ่น จนไอ้บ้าพี่ตองคลายกอดออกไป "แบบนี้จะได้มีรอยกอดของพี่กับพี่น้ำชาทิ้งไว้คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้คอยมากอดกันใหม่ ดีไหม"

น้องโชกุนยังทำหน้าผิดหวังอยู่.... เอางี้ "ถ้าสมมติว่าวันนี้โชกุนอดทนนอนหลับโดยไม่ให้พี่กอดได้ พรุ่งนี้พี่จะมานอนด้วยเลย ดีไหม"

"พี่พูดจริงๆนะ" น้องโชกุนตาเบิกกว้าง ตะโกนร้องดีใจลั่่นห้อง ใช่น้องดีใจ แต่พี่ต้องพยายามติวให้ไอ้คนบ้าข้างหลังพี่สอบผ่านภายในวันพรุ่งนี้ให้ได้ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีโอกาสที่สองแล้ว นอนที่นี่ไม่มีทางติวได้แน่ๆ

เอาวะ ติวคนมาตั้งมากมาย จะมาประหม่าอะไรครั้งนี้

"พี่ไปแล้วนะครับโชกุน" ผมกอดน้องอีกครั้งก่อนจะออกมา







ในมุมของนายตอง.............





​ไม่ผิดแน่ๆสัมผัสเมื่อกี๊

​จะมีใครหาว่าผมฉวยโอกาสไหมนะ ก็ผมอยากรู้นี่นา ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วที่ไอ้เด็กเกรียนน้ำชามันทำให้ผมรู้สึก.... รู้สึกเหมือนได้พบกับสิ่งที่หายไปนาน รู้สึกถึงสัมผัสที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมมีชีวิตชีวา เนื้อกายที่นิ่มละมุน เย็นสดชื่น เพราะเหตุการณ์กอดกับน้องโชกุนเมื่อกี๊ ผมถึงได้โอกาสพิสูจน์ ว่าสัมผัสที่เราสงสัย มันจะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม

ใช่.... มันเป็นเหมือนเดิม สัมผัสนี้แน่นอน ที่เราตามหา

ผมควรทำยังไงดีวะ ไอ้เด้กบ้านี่มันต้องหัวเราะเย๊าะผมแน่ที่ผมเป็นแบบนี้



"แล้วเราจะไปติวที่ไหนอะพี่" หลังจากออกรถมาได้แค่นาทีเดียว มันก็ตั้งคำถามกับผมเลย

"ห้องมึงไง" กูพูดไรของกูวะ นี่กูอยากไปห้องมันหรือไง

"พี่จะบ้าเหรอ ไม่ได้ หอผมห้ามคนนอกเข้า"

"ไม่จริงอ่ะ กูเคยเข้าไปส่งแอมในโยเดีย ไม่เห็นจะมีใครมาห้ามเลย"

"พี่แอม... ลีดมหาลัย แล้วก็ดาวมหาลัยคนนั่นอะเหรอ"

"ก็ใช่อะดิ รุ่นพี่คณะมึงนั่นแหละ"

"อ๋อ... ก็ดูเหมาะสมกันดีเน๊าะ" แล้วมันทำหน้าอะไรของมันวะ

"เหมาะสมอะไรของมึง กูไปส่งเค้า ไม่ได้ไปทำไรกับเค้า กูเป็นสุภาพบุรุษพอเว้ย"

"ก็เห็นพี่แอมโทรไปหาพ่อพี่ไม่ใช่เหรอ ผมก็นึกว่าพี่สองคนจะไปถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว"

"มึงพูดดีๆนะไอ้เด็กเกรียน ผู้หญิงเขาเสียหายนะ แอมกับกูไม่ได้เป็นไรกัน คนเค้าเข้าใจผิดมากพออยู่แล้ว"

"สรุปว่าพี่กับพี่แอม..."

"ไม่มีไรทั้งนั้นอ่ะ"

"แต่ลีดมหาลัยอย่างพี่อ่ะ ยังไง...."

"เออ ไอ้ชิบหายนิ กูไม่มีแฟน มึงเข้าใจยัง นี่มึงต้องรู้ทุกเรื่องของกูจนได้ใช่ไหม ไม่เสือกซักเรื่องมึงจะตายไหม"

"....." เอ๊า เงียบเฉยเลย อะไรของมันวะ

"แล้วสรุปไปติวไหน ห้องกูไหมล่ะ แต่กูไม่มาส่งมึงอีกรอบนะ กว่าจะติวเสร็จ ดึกโน้นแหละ"

"อ้าว แล้วผมจะกลับยังไงล่ะ" หึหึหึ แกล้งสำเร็จ

"เออ กูล้อเล่น แต่กูก็ให้มึงเดินกลับอยู่ดีนั่นแหละ"

"ไอ้พี่ตอง" มันชักมีน้ำโห

"มึงจะให้เอารถออกมาส่งทำไม หอห่างกันแค่นาทีเดียว"

"ห๊ะ"

"อยากรู้อีกอะดิ มึงเนี่ยนะ.... เออ กูอยู่หอข้างมึงนั่นแหละ หอจินตนาไง ตึกเขียวๆข้างๆโยเดียวอ่ะ"

"จริงดิ พี่อยู่ชั้นไหนอ่ะ"

"....." ไอ้สัดนี่มันพยายามจะสืบเรื่องของกูอีกแล้ว จะบอกดีเปล่าวะ

"พี่ไม่บอกตอนนี้ ผมก็รู้อยู่ดีป่ะ กำลังจะไปติว สติพี่สติ"

เออ โชว์โง่เลยกู "ชั้นสี่"

"ชั้นเดียวกันเลย บังเอิญเนอะ"

"บังเอิญมาก มึงไม่ได้กำลังตามกูอยู่ใช่ไหม"

"ปัญญาอ่อนเปล่าพี่ ผมจะตามพี่ทำไม"

ไอ้สัด นี่กูพี่มึงนะ ด่ากูไม่ไว้หน้าเลย เออ แต่ยอมมันก่อน เดี๋ยวต้องติวให้กูอีก



โอเค ถึงสักที ห้องของผม

"โล่งดีนะห้องพี่อ่ะ ชอบที่ฟ้ากับสีเทาเหรอ"

"มาถึงก็สำรวจห้องกูเลย" ไอ้นี่ทำไมมันดูสนอกสนใจเรื่องเราจังวะ แปลกๆนะ ช่างมันเหอะ โชคดีแล้วที่จังหวะมันต้องการความช่วยเหลือจากเราพอดี ได้มีคนเก่งๆมาติวให้ ไม่งั้นคงไม่มีหวังสอบผ่านแน่ๆ เป็นเรื่องให้ทะเลาะกับพ่ออีก แต่หลังจากนี้นี่ดิ.... เอาวันนี้ให้รอดก่อนละกัน ทุกอย่างต้องมีทางออกดิวะ

"เห้ยพี่" ไอ้เด็กเกรียนชี้ออกไปนอกระเบียง "พี่อยู่ตรงข้ามห้องผมเลย เห็นไหมนั่นไม้แบดของผมเอง ผมแขวนไว้เมื่อเช้านี้" มึงดูตื่นเต้นเนาะ

"ติวได้ยัง" รีบทวงดีกว่า ก่อนจะเสียเวลา

"โอเคพี่ มาเลย ขอปากกาสองสี ถ้ามีหลายสีก็จะดีมากเลย แล้วก็กระดาษสะอาดๆหลายๆแผ่น" โห เปลี่ยนโหมดเร็วมาก โคตรดูเป็นมืออาชีพเลย

"เออๆ มึงนั่งรอตรงโต๊ะนั่นแหละ แป๊บนึง"



นี่ซินะที่เรียกว่าติวเตอร์อาชีพ หลังจากเริ่มสอนได้สักพักผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลย ไอ้เด็กเกรียน... ไม่ใช่ละ เรียกแบบนี้คงไม่ถูก เด็กคนนี้เก่งคณิตศาสตร์จริงๆ มีพรสวรรค์ ดูยังไงก็อนาคตไกล ผมกับวิชาเลขเป็นอะไรที่เข้ากันไม่ได้มาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ผมยังเข้าใจได้ง่ายๆเลย สายตาตอนสอนนี่คนละเรื่อกับตอนที่เห็นมันทั่วไปเลย ทั้งมั่นคง มั่นใจ และเห็นอกเห็นใจผู้เรียน น้ำเสียงก็อ่อนโยน น่าฟัง มีลูกเล่นให้น่าสนใจ โคตรมีเสน่ห์เลย แล้วทำไมมันมาอยู่มหาลัยนี้วะ สมองระดับนี้ไม่น่าจะอยู่แค่นี้นะ แถมยังจะอยากเป็นลีดมหาลัยอีก ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหนเลย ช่างเหอะ เรียนก่อนๆ



"โอเคนะพี่ อย่างที่บอกนะ ว่าไม่ต้องจำสูตรพวกนี้ หลายคนที่เรียนแบบจำสูตร มันก็ดีครับ แต่มันจะทำให้พี่ไม่เหลือที่ว่างในสมองเอาไปวิเคราะห์ข้อมูลตอนทำข้อสอบจริงๆ นี่เห็นไหม พี่ก็ทำเองได้โดยไม่ได้จำสูตรใช่ไหมล่ะ ถูกทุกข้อเลย.... โอเค ผมว่านี่ก็น่าจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดแล้วนะ ขาดบางหัวข้อที่มันยากจริงๆ ถ้าพี่เจอก็ข้ามไปเลยนะ เพราะเนื้อหาพวกนั้นต้องใช้เวลาเรียนนานๆ ระยะเวลาแค่นี้ต้องเอาหัวข้อที่ชัวร์ๆไว้ก่อน แต่เท่าที่ผมวิเคราะห์จากข้อสอบวันนี้ ถ้าเข้าใจเนื้อหาประมาณนี้ก็ผ่าน 65% ได้แน่ๆ เข้าใจไหมพี่"

"......"

"พี่ เข้าใจไหม"

"โอเคๆๆ เข้าใจ" เสียงน่าฟังชะมัด ฟังเพลินเลยกู

"โห นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วเหรอ"

จริงเหรอวะ นี่กูเพลินไปไหมเนี่ย

"พี่เข้าใจแล้วใช่ไหม" ไอ้น้ำชาถามผมย้ำอีกที ทำไมต้องทำสายตาเป็นห่วงเป็นใยกูขนาดนั้นด้วยวะ "เข้าใจแล้วจริงๆนะ ถ้ายัง ผมสอนต่อได้ ผมนอนดึกได้ ไม่มีปัญหา"

"พอแล้วๆ แค่นี้ก็.... มากพอแล้ว" แค่นี้กูก็คิดกับมึงแปลกๆแล้ว ให้แม่งกลับห้องไปดีกว่า

"โอเคพี่ งั้นเอานี่ไป" สมุดโน๊ตของเรานี่หว่า แต่ไม่ได้เขียนไรไว้ในนั้น เมื่อกี๊เอามาให้ก่อนจะติว เอามาคืนเราทำไมวะ "ผมเขียนสรุปความเข้าใจเบื้องต้นของแต่ละหัวข้อเรื่องไว้ นั่งเขียนตอนพี่ทำแบบฝึกหัดหนะ พี่ไม่ได้อยู่ในฟิวคณิตศาสตร์ตลอดเวลาเหมือนผม พี่ต้องลืมบ้างอยู่แล้วหล่ะ ถ้าจำเรื่องไหนไม่ได้ก็เปิดอ่านดู ผมแยกแยะหัวข้อตามลำดับเรื่องที่สอนวันนี้เป๊ะๆ แล้วก็ควรเปิดอ่านก่อนสอบหนึ่งรอบพรุ่งนี้ จะช่วยพี่ได้มากเลย"

"โอเค" ผมรับมา โอ้โห ทำให้เราขนาดนี้เลยเหรอวะ ใจดีกับกูเกินไปแล้วนะ มึงเป็นศัตรูประเภทไหนกันวะ จะหลอกให้ตายใจก่อนหรือไง

"งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับแล้วนะพี่ พี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก แค่หนึ่งนาทีผมก็ถึงห้องแล้ว"

"ไม่ได้ๆ"

"ผมไม่เถียงกับพี่แล้ว พี่ไปอาบน้ำเถอะ ทำสมองให้โล่งๆ เชื่อผม ผมติวมาเยอะ ผมกลับแล้วนะ...." เอาจริงเหรอวะ มึงอุตส่าเสียเวลาสอนกู ไม่ให้ไปส่งจะเสียมารยาทเปล่าวะ "เอ่อออ พี่" อะไรวะ ไหนบอกจะไปเอง ทำไมไม่ปิดประตู หรือเปลี่ยนใจจะให้กูไปส่ง "ฝันดีนะ"

"...... ฝ.... ฝัน...." อ้าวไม่ทันแล้ว จะรีบปิดประตูไปไหน กูยังช็อกอยู่ ตอบไม่ทันเลย จะเปิดประตูตะโกนตามไปดีเปล่าวะ  อย่าเลย ตลกตาย

สมุดโน๊ตที่แฟนคลับให้มา ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้ประโยชน์แบบนี้ ไหนลองทบทวนอีกสักรอบก่อนอาบน้ำดิ



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ลายมือนี้มัน.............



"ฮัลโหลขิงเหรอ" ผมต้องคลายความสงสัยนี้ให้ได้

"ครับพี่ตอง" #สัญญาแล้วนะว่าถ้าสอบผ่านเกิน 70% จะเรียกแทนตัวเองว่าน้ำขิง "ชู่ววว คุยโทรศัพท์อยู่"

น้องมันทำไรอยู่วะ เออ รีบถามรีบจบดีกว่า "ขิงชื่อจริงว่าอะไรนะ"

"คฑาเทพ ธนกฤษ ครับ ทำไมเหรอพี่"

นั่นไง "ขิงอ่ะ เป็นญาติกับน้ำชาใช่ไหม ธชานา ธนกฤษ"

"......" ไม่ตอบ แสดงว่ากำลังปิดบัง ไอ้เจ้านี้มันไม่ชอบพูดโกหก ผมรู้นิสัยมัน

"แล้วคนที่คอยทำการบ้านให้พี่ตั้งแต่พี่อยู่มอห้าอ่ะ คือ น้ำชา ใช่ไหม"

​ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด

​โห ไอ้ขิง ถึงขั้นยอมเสียมารยาท ตัดสายพี่สุดที่รักของมึงเลยเหรอ แบบนี้ก็ชัดเจนแล้ว



ไอ้น้ำชา งานนี้มึงโดนหนักแน่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:37:17 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 7 : ยืนการ์ด



#เสียงโทรศัพท์

​#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​(โอ๊ยยยยยยยย)



ใครวะ นี่มันกี่โมงกี่ยามวะ ไอ้บ้าเอ๊ยยยย 07.30 น. เบอร์ใครวะ โทรมาไรเช้าขนาดนี้

"ฮัลโหล" เสียงกูง่วงขนาดนี้ หวังว่าไอ้คนปลายสายจะเข้าใจในจุดนี้นะ

"ไอ้เด็กเกรียน" เห้ย ตาสว่างเลยกู มีคนเดียวที่เรียกกูแบบนี้ ​ไอ้พี่ตอง ​มันเอาเบอร์เรามาจากไหนวะ"จะไปหรือยัง"

"ไปบ้าอะไร นี่มันเจ็ดโมงเช้า เข้าโรงบาลตอนเที่ยงโน้น"

"แต่กูสอบเช้า"

"ผมสอบผ่านแล้ว ผมไม่ต้องไป"

"กูไม่ได้กลับมาที่หอแล้ว วันนี้มีถ่ายงานข้างนอก มึงต้องไปกับกูตั้งแต่ตอนนี้แหละ"

"ห๊ะ" นี่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะเว้ย กูง่วงงงงง

"ไม่ต้องมา ห๊ะ กูสอบแปดโมง รีบลงมารอหน้าหอนะ อย่าทำกูเข้าห้องสอบสายนะมึง"

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

​ไอ้เชี่ยพี่ตองงงงง กูอยากจะร้องไห้ นี่กูเอาตัวเองมาลำบากลำบนทำไมวะ





ไหนมันบอกว่ารีบไง นี่ลงมารอนานแล้วนะ เดี๋ยวก็สอบไม่ทันหรอก

"ขึ้นมา" เสียงไอ้พี่ตอง ดังออกมาจากรถคันหรู เพิ่งจะเคยเห็นรถมันจริงๆจังๆนี่แหละ ปกติเห็นแต่ตอนกลางคืน สมกับเป็นลูกคนรวยจริงๆ รถหรูเชียว

"....."

"ไม่คิดจะติวให้กูอีกรอบเหรอ" ดูมันพูด ดูสภาพกูก่อนไหม หน้าง่วงขนาดนี้ จะไปสอนบ้าอะไร

"ไม่ตงไม่ติวอะไรทั้งนั้นอ่ะ ง่วง" ไม่รู้ล่ะ ผมพลิกตัวนอนตะแคงข้างแม่งเลย "ตอนสอบ สตาร์ทรถไว้ให้ด้วยนะ จะนอน"

"ไม่ได้" อะไรของมันวะ บ้านก็ออกจะรวย แค่สตาร์ทรถให้นอนก็ไม่ได้ ที่กูนอนน้อยเนี่ย เพราะติวมึงเมื่อคืนนะ

"ทำไมวะ นี่ติวให้ดึกนะเมื่อคืนอ่ะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว"

"เออ... แต่กูนัดคนๆนึงไว้ให้มึง กูจะไปฝากมึงไว้ที่เค้า สอบเสร็จเดี๋ยวกลับมารับ"

"ห๊ะ....." ก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งคำถามอะไร ความสงสัยก็เพิ่มเข้ามาอีก

นั่นพี่ซีซี่ ผู้จัดการส่วนตัวของไอ้พี่ตองนี่หว่า มันหยุดจอดรับพี่เขาขึ้นมาทำไมวะ ในขณะที่ผมยังช็อกอยู่ พี่ซีซี่ก็เข้ามานั่งบนที่นั่งด้านหลังของรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังนิดหน่อย

"รบกวนหน่อยนะเจ๊" ไอ้พี่ตองทักทาย ผมควรทำหน้ายังไงวะ นี่กูควรจะถามไหม

"รบกงรบกวนอะไร ชั้นเป็นบัดดี๊ของเธอนะ สบายค่ะ" พี่ซีซี่ยิ้มแจ่มใสรับบรรยากาศช่วงเช้า "ว่าไงค่ะน้องน้ำชา พร้อมหรือยัง"

"พ... พร้อม" พร้อมอะไรวะ ผมหันไปสบตาไอ้พี่ตอง ​​อธิบายมาเดี๋ยวนี้

​"แล้วงานช่วงบ่ายอ่ะเจ๊" มันไม่ตอบคำถามผม คุยกับพี่ซีซี่ต่อเฉยเลย "ไม่นานใช่ไหม"

"ใช่ๆ ที่เดียว เดี๋ยวขอเช็คแปบ" ผมหันไปสนใจสิ่งที่เจ๊ซีซี่ทำอย่างเปิดเผย เจ๊แกคงขำในความอยากรู้อยากเห็นของผม เจ๊แกอ่านสมุดจดบันทึก "มีถ่ายแบบเกงเกงยีนส์ Wrangler​ คอเล็คชั่นใหม่ สตูใกล้ๆนี่เอง"

"พี่ครับๆ พี่ได้เงินไหมอ่ะ เป็นผู้จัดการของลีดมออ่ะ" ผมลืมง่วงไปแล้ว มีเรื่องใหม่น่าสนใจกว่าเยอะเลย

"ได้ซิคะลูก จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน แต่ใครเป็นบั๊ดดี้พี่ตองก็โชคดีหน่อย 50 50"

คนละครึ่งเลยเหรอ ป๋าไม่เบาแฮะไอ้พี่ตอง

"พูดมากเจ๊" ไอ้พี่ตองแควะ "งั้นวันนี้ก็ช่วยทำงานให้คุ้มเงินละกัน"

"ค่ะบอส"



แล้วนี่มันที่ไหนอีกเนี่ย หลังขับเข้ามาในเขตมหาลัยแค่แป๊บเดียว รถก็จอดหน้าอาคารหรูอาคารหนึ่ง นี่ผมยังไม่ได้คำตอบในความสงสัยแม้แต่ข้อเดียวเลยนะ ตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมาเนี้ย

"ลงดิ" ไอ้พี่ตองไล่ผม จะบ้าเหรอ เอากูมาทิ้งไว้ไหนก็ไม่รู้ "เร็ว  เดี๋ยวกูสอบไม่ทัน"

ลงก็ได้วะ แล้วมันที่ไหนเนี่ย อ้าว เจ๊ซีซี่ก็ลง ช่วยเจ๊แกถือของดีกว่า

"ไม่ต้องๆ หน้าที่พี่" เจ๊ซีซี่รีบปฏิเสธ

แล้วไอ้หัวสกินเฮดก็ขับรถออกไป ปล่อยผมยืนงง อยู่กับเจ๊ซีซี่ผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส ยังไงต่อละเนี่ย

"ไปซิคะ รอไร ก่อนจะโดนเจ๊ชมพู่เกรี้ยวกราดนะคะ" เจ๊แกเร่งผม

"ไปไหนครับ" นี่ผมต้องได้คำตอบบ้างแล้วนะ ไม่งั้นผมจะโทรเรียกแท๊กซี่นะ อยู่ดีๆก็ให้ผมมาลงหน้าตึกอะไรก็ไม่รู้ ให้มาอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวของไอ้บ้านั่น แล้วต้องไปเจอเจ๊ชมพู่อะไรอีก

"ก็นี่ไง ตึกผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา" เจ๊ซีซี่เผยมืออย่างภาคภูมิใจ ผมนี่ตาค้างเลย เออ ก็ว่าอยู่ ตึกมันดูคุ้นๆตา เหมือนเห็นในเว็บไซต์มหาลัยมาก่อน "ที่นี่ได้ฉาย่ว่า หอคอยเกียรติยศนะค่ะ ครบพร้อมด้วยวิทยาการ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เอื้อต่อการฝึกซ้อม และทำกิจกรรมแบบเอ็กซ์คูซีพ แถมสตูดิโอขนาดมาตรฐาน พร้อมให้ผู้กำกับผู้จัดละครดังๆ มาเคสติ้งดารานักแสดงได้เลย ไงล่ะ รู้หรือยังว่าเราจะไปไหน"

"ผ.... ผม เข้าไปข้างในได้เหรอพี่"

"โดยปกติก็ไม่ได้หรอก แต่ถ้ามีสิ่งนี้ก็ได้อยู่" เจ๊ซีซี่ยื่นบัตรให้ผม เห้ย นี่มันบัตรของไอ้พี่ตองนี่นา ​

​​นายนาวาพล  ขัตติยชาติ

​​ผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา

​​รหัส CHL01

​พร้อมรูปถ่าย ​อย่างหล่อ ​อ่ะ



"ขอดูบัตรด้วยครับ" พี่ รปภ.หน้าตึกขอตรวจบัตร ตึกนี่น่าจะเข้มงวดน่าดู มีตรวจบัตรด้วย

"นี่ค่ะ" เจ๊ซีซี่ยื่นบัตรของเจ๊แกให้พี่ รปภ. ​ผู้จัดการส่วนตัวยังต้องมีบัตรเลย ​เข้มงวดจริงด้วย

"บัตรครับ"

ผมยื่นบัตรของพี่ตองให้ รู้สึกแปลกๆแฮะ มีสมบัติของไอ้คนบ้านั่นอยู่กับตัว

"อ๋อ คุณตองโทรมาบอกแล้วครับว่าจะมีคนใช้บัตร เชิญครับ" พี่ รปภ.เล่าซะละเอียดเลย

"มาเร็วๆ" เจ๊ซีซี่เร่งผม "ตามมาๆ"

"เรามาที่นี่ทำไมเหรอครับเจ๊" ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ

"อ้าว ตองไม่ได้บอกน้องเหรอว่าเรา...."



"จะให้ชั้นรอถึงพรุ่งนี้เลยไหมคาาาา" พี่ผู้ชาย เอิ่มมม ไม่ใช่ผู้ชายหรอก แต่พี่แกหล่อนะ กล้ามก็ล่ำ แต่เดินบิดสุดชีวิตเลย "นัดกี่โมงคะ นัดกี่โมง"

"โอ๊ย เจ๊ชมพู่ขาาาา" พี่ซีซี่รีบเข้าระงับเหตุอย่างเชี่ยวชาญ "น้องเค้ายังไม่ค่อยรู้ระบบค่ะเจ๊ ก็เลยช้านิดนึง"

"ไหน เดินมานี้ซิเรา" ผมกำลังโดนเรียกใช่ไหม ก็คงไม่มีใครแล้วหละ เดินไปก็ได้วะ

เจ๊ชมพู่ เดินวนดูตัวผมช้าๆ มองจากหัวจรดเท้า และหัวจรดเท้าอีกรอบ พี่แกเป็นกระเทยที่ตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่กว่าผมอีก

"นี่แน่ใจนะว่าเป็นน้องของเจ้าตอง" นี่ถามผมหรือถามใครอ่ะ

"น้องงงงง" เจ๊ซีซี่รีบตอบ "เค้าบอกหนูมาอย่างนั้น"

"น้องเหรอ ชั้นว่าเด็กของมันหรือเปล่า" เด็กบ้าไรละเจ๊ แล้วกูจะเขินทำมะเขือยาวไรวะ "หน้าหวานสุด ผิวเนียนสุด อือหืออออ เจ๊มองดูนี่ยังอยากเทิร์นตัวเองเป็นรุกเลยนะ  บ้า นี่ชั้นพูดอะไร บัดศรี"

"น้องมันน่ารักไงเจ๊"

"แล้วคิดยังไงจะมาเป็นลีดเนี่ย บุคลิกแบบเธอเนี่ยนะ"

"ค... คือ..." ผมต้องตอบคำถามใช่ไหม

"ไปๆๆๆ เสียเวลา" อ้าว ไปไหนอีกวะ ยังไม่ทันได้ตอบเลย



"เราจะไปไหนกันอ่ะ" ผมพยายามกระซิบถามเจ๊ซีซี่

"ก็ไปปรับพื้นฐานไง" เจ๊แกก็กระซิบกลับ

"พื้นฐาน..."

"ก็พื้นฐานการเต้นลีดไงล่ะ"

"ท... ทำไมอ่ะ" ผมต้องปรับพื้นฐานด้วยเหรอ



"จะกระซิบกระซาบกันอีกนานไหม เวลาเป็นเงินเป็นทองค่ะ เข้ามาซักที" ผมกับเจ๊ซีซี่ถูกเรียกเข้าไปในห้องๆหนึ่ง

เป็นห้องที่มีไฟบนเพดานเยอะมากๆ มีกระจกทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ใหญ่เต็มผนัง ใสสะอาดเหมือนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

"ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม คนสอนหลักเขายังไม่เข้ามาเต็มเวลา ฉันก็เลยต้องมาสอนเอง" นี่เจ๊ชมพู่แกกำลังเล่าหรือกำลังบ่นกันแน่ "นี่ถ้าไม่ใช่คุณชายตองของฉันขอมา ฉันไม่สอนให้นะย่ะ"

อ่อ..... ไอ้พี่ตองจัดการเรื่องนี้นี่เอง

"ไหนมายืนหน้ากระจกซิ" ผมถูกเรียกอีกครั้ง "ยืนหันหน้าไปทางกระจกซิ จะมองหน้าชั้นทำไม หน้าฉันไม่ได้เหมือนพี่ตองของเธอนะ" พูดไรของเจ๊วะ "เธอ ซีซี่ ไปเอากาแฟมาให้ฉัน โทรตามอิหนุง แล้วก็ไปหยิบชุดนิสิตในห้องลองเสื้อมาด้วยนะ หยิบให้มันถูกไซส์ถูกขนาดล่ะ ดูตัวน้องมันด้วย"

"ค่าาาาาาาเจ๊" เจ๊ซีซี่คงรู้จักวิธีรับมือกับเจ๊คนนี้เป็นอย่างดีแล้วซินะ "จะไม่ให้เสียชื่อบัดดี๊ลีดมหาลัยอันดับหนึ่งแน่นอนค่ะ"

"ย่ะ" เจ๊ซีซี่รีบวิ่งออกจากห้องทันที "เธอนี่โชคดีนะ" อันนี้คือเจ๊พูดกับผมใช่ไหม "ถ้าไม่ใช่ยัยซีซี่ ไม่มีใครมาเป็นผู้จัดการให้เด็กฝึกหัดหรอก บารมีคุณตองนะค่ะ สำนึกไว้เลย ฉันเนี๊ย ถ้ายังไม่ได้เป็นลีดมอ ไม่มาสอนให้หรอกนะ"

"รบกวนด้วยครับ"

"ค่ะ รู้จักพูดดีนิ.... อ้าวไหน ​ยืนการ์ด ​ซิ"

ห๊ะ ยืนการ์ด คือไรวะ เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ เราศึกษามาแล้ว ยืนการ์ดก็คือท่าตั้งแขนขึ้นฟ้าทั้งสองข้าง ทะแยง 45 องศา ทำแบบนี้คงไม่โดนด่านะ

"ปวกเปียกมากค่ะ" อ้าว นี่ผมทำไม่ถูกเหรอ "จะเป็นลีดไหมค่ะ หรือจะไปแหย่ไข่มดแดง แต่ปวกเปียกแบบนี้ก็แหย่ไม่ได้หรอกค่ะ ไข่มดแดงหน่ะ" มีหางเสียงนะ แต่รุนแรงทุกคำ

"แล้ว..."

"นี่ๆ" ผมโดนจับแขนขาให้อยู่ในท่าที่เจ๊แกต้องการ "มือเนี่ยเกร็งไว้ซิ แขนก็ตั้งให้มันตรงๆ ให้ดูแข็งแรง ถ้าจะแค่ยกขึ้นมาเฉยๆ อีแดงอีดำที่ไหนก็เป็นลีดมหาลัยได้ทั้งนั้นแหละ ขาเนี่ย ถ่างขนาดนี้ จะส่องดูผีใต้หว่างขาหรือไงคะ ให้มันชิดกันซิ เกร็งให้มันแนบกัน..."

เจ๊แกเริ่มแล้วครับ มีเดินไปหยิบไม้มาด้วย ไม่ได้เอามาตีนะ เอามาเช็คว่า มีช่องว่างระหว่างขาสองข้างหรือเปล่า

"แบบนี้..."

"เท้าค่ะเท้า" คือผมไม่มีสิทธิ์ถามอะไรเลย ถูกไหม "ยืนเป็นเป็ดเลย ให้มันมีสง่าราศี ในหัวเธอเนี่ยต้องมีจินตนาการนะค่ะ ชั้นหล่อ ชั้นเท่ ชั้นหล่อ ชั้นเท่ คิดไว้ค่ะ คิดดดดด.....  อ้าวๆ มืออย่าหลุดซิ เกร็งไว้เหมือนเดิม"

โอ๊ย เยอะจังวะ เมื่อยแล้วเนี่ย เอาลงได้ยัง

"นับหนึ่งถึงสิบซิ..... ไม่ต้องเอาแขนลง นับทั้งอย่างนี้แหละ"

"หนึ่ง  สอง... "

"หางเสียง มีไหมค่ะ หางเสียงหน่ะ" เจ๊ชมพู่ตัดบท "หนึ่งครับ สองครับ"

"หนึ่งครับ สอง..."

"ฉันชื่ออะไร" อะไรอีกวะ ก็ทำตามแล้วเนี่ย เมื่อยนะ

"ชื่อ ชมพู่ ครับ"

"บอกฉันด้วยซิ ใครสั่งก็บอกชื่อคนนั้นทุกครั้ง จำไว้.... หนึ่งครับพี่ชมพู่ สองครับพี่ชมพู่ แบบนี้"

"หนึ่งครับพี่ชมพู่ สองค..."

"พูดดังๆซิ ทั้งห้องมีกันอยู่แค่สองคน ชั้นยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงเธอเลย จะเป็นลีดมันต้องมั่นใจ"

"หนึ่งครับพี่ชมพู่" ผมนี่ตะโกนเลย "สองครับพี่ชมพู่ สามครับพี่ชมพู่..." ผมก็นับต่อ

"ผมหล่อ ผมเท่ ผมหล่อที่สุด ผมเท่ที่สุด คิดไว้ในหัวด้วย" อิเจ๊ชมพู่ก็ตะโกนแข่งกับผมอีก สอนยังไงของมันวะ

"....สิบครับพี่ชมพู่"

"อ่ะ เอามือลงได้"

ผมนี่แขนห้อยเลย



"กาแฟได้แล้วค่ะเจ๊" เจ๊ซีซี่ถือถ้วยกาแฟหรูหราเข้ามาในห้อง วางที่โต๊ะเสร็จสับ "โทรหาพี่หนุงเรียบร้อย ส่วนชุดไม่มีไซส์ของน้อง ร้านเสื้อกำลังจะเอาเข้ามาส่งให้ค่ะ ติดต่อเรียบร้อยแล้ว" เจ๊แกเป็นมืออาชีพจริงด้วย



"เหนื่อยเหรอ" เจ๊ชมพู่ถามผม

"เหนื่อยดิพี่" ถามได้

"ไม่เป็นไรครับ" ห๊ะ เจ๊แกพูดอะไรของแก "ต้องตอบว่า ไม่เป็นไรครับ อย่าแสดงความอ่อนแอ แล้วก็สุภาพเสมอ ลีดเดอร์ที่ดีเนี่ยนะ เขาต้องไม่แสดงความเหนื่อยล้าอ่อนแรงต่อหน้าสาธาณชน" ผมโดนจัดท่าทางอีกครั้ง "เวลายืนพักก็ให้มันดูดี หลังตรง แต่ไม่ต้องเกร็งจนทำให้ตัวเองเหนื่อยกว่าเดิม อินเนอร์ค่ะ อินเนอร์ เข้าใจนะ"

เห้ออออออ เรื่องเยอะสุดๆ

"พี่ชมพู่ครับ"

"ดีมาก พูดจาให้สุภาพเข้าไว้.... มีอะไรคะ"

"ผมเคยเห็นท่ายืนที่ไม่ใช่แบบนี้อ่ะครับ เหมือนเท้าขวาจะเหลื่อมไปข้างหลังนิดหน่อย แล้วก็แขนไม่ได้กางกว้างขนาดนี้"

"......." เจ๊ชมพู่มองผมแปลกๆเฉยเลย "นั่นมันท่าลีดอ่อน เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจัดอยู่ในประเภทลีดแข็ง ลีดอ่อนเป็นท่าของคณะวิทย์ แพทย์ แล้วก็ศึกษา เดี๋ยวถ้าเธอได้เป็นลีดคณะวิทย์ก็คงได้เรียนรู้..... เธอชื่ออะไรนะ"

"ช... ชาครับ" สอนมาขนาดนี้ เพิ่งจะมาถามชื่อเนี่ยนะ

"ไปพักได้ สามนาทีนะ เสร็จแล้วมายืนการ์ดท่าเดิมอีกห้าสิบ แล้วจะสอนพื้นฐานให้"

ห๊ะ ตายแน่กู งานนี้ โดนจัดหนักเลย



"มาๆน้องน้ำชา" เจ๊ซีซี่รีบเอาน้ำดื่มมาให้ผม มีผ้าขาวสะอาดมาเช็คเหงื่อให้ด้วย "ดีนะเจ๊เอาน้ำมาเผื่อด้วย แรกๆก็งี้แหละ พี่ตองก็โดนมาเหมือนกัน..." ผมได้แค่ยิ้มแห้งๆ "แต่ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย" เจ๊ซีซี่กระซิบกับผม "ทำไงให้เจ๊ชมพู่ถูกใจได้เนีย"

"ถูกใจ" ถูกใจตรงไหนวะ เนี่ยนะถูกใจ

"เจ๊แก ไม่ใช่จะถามชื่อใครง่ายๆนะ ลีดมหาลัยบางคน เจ๊แกยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ แต่นี่ถามชื่อน้ำชาซะแล้ว มีหวังนะเราเนีย"

จริงเหรอพี่ ฟังดูมีความหวังขึ้นมาเยอะเลย



แต่ทันทีที่ผมถูกเรียกกลับไปซ้อมต่อ ก็ไม่ได้ดูเหมือนเจ๊แกจะถูกใจผมเท่าไหร่เลย เหมือนอยากจะทรมานผมให้มากกว่าเดิมซะอีก นี่ถ้าไม่ใช่ผลพวงมาจากการเล่นกีฬาตามไอ้พี่ตอง ผมคงจะยอมแพ้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกไปแล้ว

หลังจบยืนการ์ด เจ๊แกก็สอนพื้นฐานท่าเต้นที่ควรรู้ กว่าจะผ่านแต่ละท่าได้ ไม่ใช่ของง่ายเลย ไอ้ที่คิดว่าศึกษามาดีแล้วหน่ะ ถือว่ารู้แค่ผิวเผินมากๆ



"นี่ชุดใครอ่ะ พูด" บุคคลปริศนาคนต่อไป เดินเข้ามาในห้อง หลังจากผมซ่อมอย่างบ้าคลั่งถึงสองชั่วโมง

"พี่หนุง กราบสวัสดีค่าาาาาา" เจ๊ซีซี่ผู้เป็นงาน

อ่อ.... คนนี้เหรอพี่หนุง กะเทยร่างผอมบาง ไม่ได้แต่งหญิงนะ แต่ผอมยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ตอนนี้ผมถูกพวกพี่แก๊งนางฟ้าล้อมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าจะข่มขืนผมตอนนี้ ก็ทำเลย ผมไม่อาจต่อต้านสามคนนี้ได้แน่นอน ผมคิดขำๆ

"ชุดของน้องน้ำชาค่ะ หนูสั่งที่ร้านให้เอามาส่ง" เจ๊ซีซี่รีบถลาไปรับชุดมา

"ค่ะ สั่งมาแล้วไปรับด้วย ไม่ใช่ให้ชั้นถือเข้ามาให้ ดีนะที่ชั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ ถึงได้ถือมาให้"

"แหม พี่หนุงคะ ไหนๆก็เข้ามาอยู่แล้ว ถือนิดหน่อย เป็นการออกกำลังกาย"

"ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องตอง ชั้นไม่มานะคะ ใช้งานนอกเวลาเปิดเทอมเนี่ย"

ผมเข้าใจถูกไหมนะ เหมือนว่าเจ๊ชมพู่กับเจ๊หนุง จะไม่ได้เป็นนิสิตที่นี่นะ ดูโตเกินไป แต่ดูมีอำนาจในตึกนี้จัง คนพวกนี้เป็นใครกันนะ

"เสียงดัง ไร้สกุลรุนชาติ" นี่คือทักทายของเจ๊ชมพู่ซินะ

"อุ๊ยตาย สวัสดีค่ะบอสสส" เจ๊หนุงท่าทีเปลี่ยนไป ดูท่าแล้ว เจ๊ชมพู่น่าจะถือครองอำนาจที่ใหญ่พอสมควร "บอสเรียกหนุงมามีอะไรให้หนุงรับใช้ค่ะ"

"นี่ไง" ชี้มาที่ผมเหรอ ทำไมอ่ะ

"ว๊ายตายแล้ว" เจ๊หนุงเอามือทาบหน้าอก อย่างกับมีนมเนาะเจ๊ "ใครกันจะให้น้องมาเป็นลีด...." นี่คือด่ากูอยู่ ถูกไหม "เอ.... แต่ดูไปดูมา ก็ใช้ได้อยู่นะ ไม่ได้หล่อพิมพ์นิยม ถึงหน้าจะจืดไปหน่อย แต่เครื่องสำอางน่าจะช่วยได้.... ซีซี่ นั่นชุดนิสิตของน้องใช่ไหม"

"เจ้าค่ะ"

"เอามานี่ซิ" พี่หนุงวางกระเป๋าสตางค์ลงกับพื้น เปิดซิบอย่างคล่องแคล่วแล้วทาบเสื้อกับกางเกงลงบนตัวผม "ผิวขาวเข้ากับชุดนิสิตดีมาก ดีงาม... ไม่ต้องลองชุดหรอก เดี๋ยวไปสั่งให้ช่างแก้ชุดเลย ฉันจะเขียนรายละเอียดให้ โอเคไหม"

"ค่ะ" เจ๊ซีซี่รับคำ

"นี่ผิวน้าหรือก้นเด็กค่ะ เนียนอะไรได้เบอร์นี้" ส่วนนี่น่าจะเป็นคำชม "เดี๋ยวไปล้างหน้า เจอกันห้องฟิตติ้ง"

"เจอไหนนะครับ" ทำไมข้อมูลมันเร็วไปหมดวะ พูดกันช้าๆหน่อย ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้นะ

"ห้องฟิตติ้งไง ฉันเป็นสไตล์ลิส จะให้ไปเจอห้องสตูฯรึไง..."

"โอเคค่ะพี่หนิง เดี๋ยวหนูพาน้องน้ำชาไปเองค่ะ" เจ๊ซีซี่พยายามช่วยผม ทำไมพี่พวกนี้ดูอารมณ์เสียกันง่ายจัง อย่าให้กูดุบ้างนะ จะมีใครกลัวไหมเนี่ย

"อ่ะๆ รีบไป" เจ๊ชมพู่ไล่ผมต่อเลย "เสร็จแล้วก็กลับมา เวลาน้อย ซีซี่ ถ้าน้องทำไรเสร็จแล้วก็โทรหาชั้น ชั้นจะขึ้นไปทำงานที่ห้อง"

"โอเคค่ะเจ๊"

เจ๊ซีซี่รีบคว้าตัวผมให้เดินตามพี่แกไป ขั้นแรกคือห้องน้ำที่หรูสุดๆ เป็นห้องน้ำรวมที่ดูเป็นส่วนตัวและสะอาดมาก อุปกรณ์ ครีมอาบน้ำ สบู่ ครบครัน มีแต่ของแพงๆทั้งนั้น

"เสร็จหรือยัง" ชิบหายแล้ว อย่ามัวดูเพลิน ต้องรีบแล้ว



"อ่ะ มานั่ง" ผมมาถึงอีกห้องบนชั้นสอง ห้องนี้มีสองส่วนคือส่วนลองชุด ที่มีชุดเสื้อผ้าแขวนเต็มไปหมด กับส่วนตรงนี้ที่มีกระจกติดไฟรอบ เรียงกันเป็นสิบบาน "ฟังนะ พี่จะพูดและทำให้ดู จำ แล้วก็เอาไปทำตาม"

"จำอะไรครับ"

"น้องแกนี่คำถามเยอะนะ" พี่หนุงหันไปพูดกับเจ๊ซีซี่

ก็มันจริงนี่หว่า คนที่นี่เป็นบ้าไรกันไปหมด ทำไมถึงพูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายๆไม่ได้วะ พูดอย่างกับว่าทุกคนต้องรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว

"วิธีการแต่งหน้าค่ะ"

"แต่ผมไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนเลยครับ"

"แล้วจะเป็นไหม ลีดมหาลัยอ่ะ อ่ะๆ แค่ลีดคณะก่อนเนีย จะเป็นไหม"

เออ พยักหน้าก็ได้วะ กูยอมแล้ว จะด่าไรก็ด่ามา เอาวะ ซักตั้งนึง มันจะเท่าไหร่กันเชียว

"ถ้าอยากก็ต้องทำ ฝึก แล้วก็พยายาม พี่ตองหน่ะ เค้ามาดเม้นแฮนซัมกว่าเธอเป็นไหนๆ เค้ายังทำได้เลย อันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นลีด ถ้าเธอไม่รู้จักวิธีปรับลุคของตัวเองให้ดูดี เธอก็ปิ๋วค่ะ บอกไว้ตรงนี้เลย..."

"โอเคครับ ผมพร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่างแล้วครับ.... เอ่อ เดี๋ยวแป๊บนึงนะครับ ผมขอถ่ายวิดีโอไว้หน่อย" รีบเลยกู ถ้าไม่ถ่ายไว้ กูลืมแน่นอน

"ดีค่ะ ฉลาด ปรับตัวได้เร็ว เป็นคุณสมบัติของลีดที่ดี" ขอบคุณที่อุตส่าชมผมตั้งหนึ่งประโยค "ไอ้เรื่องเส้นผมทรงผมเนี่ยนะ ไม่ต้องไปทำไรกับมันมาก ดูแลให้สุขภาพดีเป็นพอ บำรงบำรุงอะไรก็ใส่ไปให้หมด แล้ว...."

ผมได้รับการถ่ายทอดวิชาแบบยาวเหยียบ ลักษณะคล้ายๆกับว่าเป็นการมองเห็นจุดเด่นของตัวเอง อะไรแบบนี้ ปรับให้ลุคไม่ดูอ่อนหวานเกินไปในอากาสที่เราต้องการความหล่อ เท่ บลา บลา บลา .... ใจจริงก็อยากจะพูดว่าข้อมูลเต็มหัวนะ แต่ตอนนี้ท้อไม่ได้แล้ว ไอ้พี่ตองมันอุตส่าหาโอกาสมาให้ แล้วทำไมมันต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ด้วยวะ อยู่ดีๆก็ใจดีเกินเหตุ เพราะผมติวให้เหรอ แค่นั้นอะนะ ไม่น่าจะใช่

พูดถึงไอ้พี่ตอง ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วนี่หว่า คะแนนออกยังน้าาาา การสอบใช้ระบบคอมพิวเตอร์ คะแนนน่าจะออกทันทีด้วยซ้ำ เดี๋ยวเรียนเต้นกับเจ๊ชมพู่เสร็จเข้าไปเช็คดีกว่า



"อ่ะ หมดเวลาแล้ว" เสียงสวรรค์ ต้องขอบคุณเจ๊ซีซี่มากเลย มีผู้จัดการส่วนตัวมันดีแบบนี้นี่เอง มีน้ำท่าไม่ขาด แต่เหงื่อที่ท่วมตัวอยู่ตอนนี้ จะไปโรงบาลสภาพนี้ได้ไง

"ขอบคุณนะครับพี่ชมพู่" ผมรีบขอบคุณก่อนเจ๊แกจะออกจากห้องดีกว่า

"ฉันก็สอนให้ได้แค่นี้แหละ ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก"

"แค่นี้ก็มากมายแล้วครับ มีประโยชน์กว่าที่ผมนั่งดูในคลิปมาทั้งปีอีก" ใช่ เหมือนพลิกประวัติศาสตร์ลีดในหัวของผมหมดเลย

"โอเค ไว้.... เจอกันแล้วกันนะ"

"ครับ ขอบคุณครับ"



"โอเคไหมเรา เป็นไง ยากไหม" เจ๊ซีซี่ถาม

"ไม่เป็นไรครับ" ผมพยายามทำตามที่เจ๊ชมพู่สอน

"ไม่ต้องมาตอบตามหลักสูตร เจ๊ถามเนี่ยก็เพราะว่าเจ้าตองให้คอยดูเรา ให้ลองช่วย ให้กำลังใจ ไม่งั้นจะให้เจ๊มาด้วยทำไม ก็ถ้าเผื่อน้ำชาไม่ไหว พี่ก็จะได้จัดการพาน้องกลับได้อะไรได้ไง เข้าออกตึกนี่เองโดยไม่รู้ประสีประสาได้ยังไงล่ะ"

"พี่ตองให้ทำอย่างงั้นเหรอครับ" ทำไมฟังดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใยจังวะ อะไรของพี่มันเนีย

"อ้าว ก็ใช่ซิ แต่ตอนนี้พี่ว่าอาบน้ำก่อนไหม เหงื่อท่วมแล้วนะ"

"ผมไม่ได้เตรียมชุดมาด้วยอ่ะ พี่ตองไม่ได้บอกว่าจะมานี่"

"พี่เป็นใครคะ พี่บัดดี๊ของลีดชื่อดังนะคะ พี่มีดี ไม่งั้นพี่ตองไม่เลือกพี่เป็นบัดดี๊หรอกค่ะ" เจ๊ซีซี่ยกชุดออกมาจากกระเป๋า ชุดคล้ายๆกับเอี๊ยมยีนส์ น่ารักฟุ้งฟิ้งไปเปล่าเจ๊

"พี่!! มันน่ารักไป ผมไม่ใส่หรอก ผมกลับไปอาบน้ำที่หอก็ได้นะ"

"ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพี่ตองก็มาแล้ว แล้วชุดนี่นะพี่ตองซื้อให้" ห๊ะ จริงดิ "พี่หนุงก็บอกว่าดี เหมาะกับน้ำชามาก พี่เค้าย้ำเจ๊มาว่าต้องบังคับให้น้ำชาใส่ให้ได้ เป็นการปรับบุคลิกภาพตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ไปเปลี่ยน ด่วนค่ะ"



บ้าเอ๊ยยยยยยยยยย  นี่กูอยู่ในชุดเอี๊ยมจริงเหรอวะ กูก็กล้าใส่เข้าไปได้นะ ไม่กล้าออกจากห้องน้ำเลย พูดตรงๆ

#เสียงโทรศัพท์

"ไงวะไอ้ต้อม"

"เออมึง คะแนนออกแล้วนะ กูได้ 69.5% ว่ะ" อะไรวะ ก็ผ่านนี่หว่า ทำไมน้ำเสียงมันดูไม่ดีใจ

"ก็ดีนี่หว่า ผ่านแล้ว ผ่านตั้งแต่ปีแรกเลย"

"เออ....  กูว่าพรุ่งนี้กูจะไปสอบอีกรอบว่ะ"

"เพื่อไรวะ อะไรของมึงเนี่ย"

"เค้าก็ไม่ได้ห้ามคนที่สอบผ่านให้ไปสอบใหม่นิ"

"เดี๋ยวๆๆๆ มึงไม่ปกติแล้วตอนนี้ อยู่ดีๆก็อยากจะเก่งเลขขึ้นมา ยังไงวะ... อ่อ เดี๋ยวก่อนๆ กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง เมื่อวานนี้มึงไปขอให้ขิงติวให้อีกแล้วใช่ไหม"

"เห้ย มึงรู้ได้ไงวะ น้ำขิงบอกมึงเหรอ"

"กูรู้ได้ไงไม่สำคัญอ่ะ แต่มึงจะไปรบกวนเค้าทำไมวะ ขิงมันเด็กเรียบร้อยนะ กูไม่อยากให้มึงไปทำให้ขิงเหลวไหล ไอ้เวร กูบอกจะติวให้ มึงก็ไม่เอา อะไรของมึงวะ"

".......โห มึง  กูดูเหลวไหลขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่ทำให้น้ำขิงลำบากหรอกน่า กูก็เลี้ยงดูเค้าอย่างดีนะเว้ย"

"ไม่ต้องเลยมึง ครั้งหน้าเดี๋ยวกูติวให้มึงเอง ไม่ต้องไปรบกวนเค้าแล้วนะ"

"...... อย่างกับมึงมีเวลามาติวให้กูเน๊าะ" พูดไรของมันวะ "เดี๋ยวนี้คือยังไงวะ มีพี่ตองไปรับไปส่ง มึงไปญาติดีกันตอนไหนวะ ไม่เห็นเล่าให้กูฟังเลย"

ชิบหายละ จะตอบว่าไงดี "...."

"มึงลืมไปรึเปล่า ว่ากูอยู่หอเดียวกับมึงนะ เมื่อเช้านี้กูก็มีสอบ ลงมาเห็นมึงข้างล่างแต่เช้าก็ว่าแปลกใจแล้ว นี่เห็นมึงขึ้นรถไอ้พี่ตองไป กูนี่โคตรแปลกใจเลย"

"มันมีเหตุนิดหน่อย มึงไม่ต้องมาแวงกัดกูเลย นี่ถ้าขิงกลายเป็นคนหยาบคายเพราะมึงนะ กูจะตัดหางปล่อยวัดมึง"

"โห.... เออ กูจะทำตัวดีๆ ไปละนะ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก"  ไอ้สัด นี่รอบสองแล้วนะ วางสายใส่กูอีกแล้ว



โอเค ไปข้างนอกดีกว่า เหมือนจะได้ยินเสียงเจ๊ซีซี่รออยู่ข้างนอกนะ  เออ ลืมเช็คคะแนน ไหนดูหน่อยซิ

​นายนาวาพล  ขัตติยชาติ คะแนน 71%  ผ่าน



"เห้ยยยยย เจ๊ซีซี่ ดูดิครับ ดูนี่ๆ พี่ตองสอบผ่านแล้ว" ผมดีใจจัดเลย รีบตะโกนบอกเจ๊ซีซี่ก่อนเลย ตอนซ้อมอุตส่าเก็บความตื่นเต้นมาตลอดช่วงเช้า

อ้าววววว

นี่มัน ไอ้พี่ตอง นี่หว่า ตาค้างเลยกู เผลอจับมือไปแล้วด้วย



"ครับ พี่ผ่านแล้ว ขอบใจนะ"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:38:05 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 8 : ความจริง



"เห้ยยยยยย เจ๊ซีซี่ ดูดิครับ ดูนี่ๆ พี่ตองสอบผ่านแล้ว"

น้ำชา เด็กที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าเป็นไอ้เด็กเกรียนที่ตั้งตัวขึ้นมาเป็นศัตรูกับผม เค้ากำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากห้องน้ำในชุดเอี๊ยมที่ผมเตรียมไว้ให้ บอกตรงๆว่า โคตรรรร น่ารัก เลย  แต่รู้สึกว่าจะเข้าใจผิดนะ คงผิดว่าผมเป็นเจ๊ซีซี่ ผู้จัดการส่วนตัวของผม ก็เอาแต่มองโทรศัพท์อยู่แบบนั้น   นั่นไง....  จับมือผมด้วย สงสัยจะดีใจจนลืมตัว

อ้าว  รู้ตัวซะแล้วเหรอว่ากำลังดีใจอยู่กับเจ้าตัวเขาเองที่ยืนอยู่ตรงนี้

"ครับ พี่ผ่านแล้ว ขอบใจนะ"

ความรู้สึกของผมตอนนี้ พองโตมาก ไม่ใช่เพราะว่าผมสอบผ่านนะ แต่เพราะความจริงต่างหาก ที่ทำให้ความรู้สึกของผมตอนนี้ กับ เมื่อสิบสองชั่วโมงที่แล้ว แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อยากรู้ที่มาไหม ถ้างั้นก็..... ย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้



"ฮัลโหลขิง" ผมตัดสินใจโทรหาขิงอีกรอบ หลังจากที่โดนตัดสายทิ้งไป ยังไงก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้ รู้สึกเหมือนอะไรๆมันดูปะติดปะต่อกันแปลกๆ "ถ้าขิงวางสายใส่พี่อีก ไม่ต้องมาเรียกพี่ว่าพี่แล้วนะ"

"พ... พี่ตองงงง อย่าพูดแบบนั้นซิครับ" ไอ้ขิง เด็กเรียบร้อยๆแบบเอ็ง ไม่มีทางทันเล่เหลี่ยมของพี่หรอก รู้สึกผิดซะ รู้สึกผิดให้มากๆ แล้วคายความลับออกมา

"ขิงใช่ไหมที่เป็นคนเอาเรื่องของพี่ทั้งหมดไปเล่าให้น้ำชาฟัง"

"......" ไม่ตอบๆ งั้นต้องเจอระดับที่โหดกว่านี้

"นี่แสดงว่าตลอดมา ที่ทำเป็นมาสนิทสนมกับพี่ เพราะน้ำชาสั่งมาใช่ไหม โดนสั่งให้มาล้วงความลับของพี่ใช่ไหม"

"ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยพี่ตอง" เสียงน้องเหมือนจะร้องไห้เลย นี่กูไม่ได้เล่นแรงไปใช่ไหม ไอ้เด็กคนนี้มันยิ่งอ่อนไหวง่ายอยู่ "ขิงเป็นพี่น้องกับพี่เพราะว่าขิงอยากรู้จักพี่นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวกับน้ำชาหรอก ขิงไม่เคยลืมหรอกว่าพี่ดีกับขิงแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีพี่อยู่ข้างๆ ขิงก็คงจะยังโดนพวกที่โรงเรียนแกล้ง แต่เรื่องของน้ำชา... คือ... มันก็มีเหตุผลอยู่.... แต่ขิงกับน้ำชา คือ มัน..."

อ้าวไม่พูดต่อ ไม่ยอมพูดใช่ไหม เอาวะ ต่อให้น้องมันร้องไห้ก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมดให้ได้

"อ๋อ พี่เข้าใจแล้ว น้ำชาคงจะเป็นญาติคนสำคัญของขิงซินะ เขาคงจะสำคัญกับขิงมาก พี่มันก็เป็นแค่พี่น้องปลอมๆ ที่ขิงถูกคนสำคัญบังคับให้มารู้จักด้วย แค่คนโง่ที่ถูกหลอก ก็ได้ขิง พี่ก็เพิ่งรู้นี่แหละ ว่าหลายปีที่เราเป็นพี่น้องกันมา มันไม่ได้สำคัญอะไรกับขิงเลย"

"...... พี่ ต.. ตอง" กูว่าน้ำตาไหลอยู่ชัวร์เลย เสียงแบบนี้ #เห้ยขิงเป็นไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม

"พี่ไม่บังคับแล้วกันนะ แต่พี่คงไม่ขอโทรหาขิงอีกนะ พี่ทำใจไม่ได้ว่ะ"

"พี่!!! อย่าทำแบบนี้เลย  นะ ก็ได้ ขิงจะเล่าให้ฟังก็ได้"

เฮ้อออออ สำเร็จสักทีกู ทำน้องมันร้องไห้เลย แต่เอ็งมันสมควรโดนแล้ว มามีความลับกับพี่ ไหนเล่ามาดิ

เสียงขิงกำลังทำใจ คงจะปาดน้ำตาอยู่มั้ง แล้วก็ถอนหายใจออกมาดังๆ

"เมื่อห้าหกปีที่แล้ว พอชารู้ว่าขิงเรียนที่โรงเรียนเดียวกับพี่ตอง ชาก็แนะนำให้ขิงรู้จักกับพี่ตอง ย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าขิงไม่อยากโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งให้พยายามสนิทกับพี่ไว้ เพราะพี่เป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือคนเดือดร้อน ขิงก็ทำตาม แล้วก็เป็นอย่างที่ชาบอกจริงๆ" ไอ้น้ำชา มันมารู้อุปนิสัยส่วนตัวของเราได้ยังไงวะ "ขิงไม่ได้โดนชาบังคับให้มารู้จักกับพี่นะ ชาแค่แนะนำเฉยๆ แต่..."

"แล้วที่เอาเรื่องของพี่ไปบอกน้ำชาหละ"

"คือ น้ำชาอ่ะ พยายามเรียนรู้สิ่งที่พี่ทำทุกอย่าง เค้าขอให้ขิงบอกสถานการ์เกี่ยวกับพี่ตลอดเพื่อแลกกับการติวเลขให้ขิง พี่ก็รู้ว่าขิงใฝ่ฝันอยากเป็นครูสอนเลขแค่ไหน ชาอ่ะ อยากจะเป็นให้ได้เหมือนพี่ พี่สนใจอะไร กำลังทำอะไร กำลังจะแข่งอะไร ชาก็พยายามทำตามหมด แต่ชาเป็นคนเก่ง มีพรสวรรค์ ชาเป็นคนทำอะไรจริงจัง ชอบใครก็ชอบจริงจัง เพราะงั้นก็เลยทำให้เค้าเลียนแบบพี่ตองจริงจังไปหน่อย จนพี่เข้าใจว่า ชาพยายามตั้งตัวเป็นคู่แข่ง ทั้งๆที่สำหรับชาแล้ว พี่เป็นเหมือนไอดอลของเค้า"

ช็อกไปเลยกู นี่ใช่ไหมที่ไอ้น้ำชาพูดว่า เรามองโลกในแง่ร้าย "แล้วเรื่องการบ้านหละ ทำไมขิงไม่บอกพี่"

"ขิงก็เคยเสนอไปแล้วว่าให้บอกพี่ไปตามตรง แต่ชาก็ย้ำอีกว่าให้ขิงบอกพี่ว่าขิงเป็นคนทำเอง ชาเค้ากลัวพี่จะตีความในแง่ร้ายกับเค้าอีก แค่นั้นชาก็เสียใจมากแล้วพี่ตอง จู่ๆคนที่ชามองว่าเป็นเหมือนทุกอย่างของเค้า กลับหันมาเกลียดเค้าแบบนั้น"

นี่กูเ-ี้ยสุดเลยใช่ไหม นานแค่ไหนแล้ววะที่เราเข้าใจแบบนี้ อย่างน้อยก็สามสี่ปีหละ น้ำชามันจะรู้สึกยังไงวะ แล้วพอย้อนกลับมาดูสถานการณ์ตอนนี้ เหตุผลว่าทำไมเด็กเก่งๆของนั้นถึงมาเรียนที่มหาลัยนี้ เหตุผลว่าทำไมเด็กที่ไม่ได้ดูมีพรสวรรค์ทางด้านเชียร์ลีดเดอร์ถึงอยากขึ้นมาทำงานทุกนี้นัก เหตุผลที่ยอมมาทำงานที่โรงพยาบาล เหตุผลที่ยอมโดนอาจารย์หมอด่า ทั้งหมดมีอยู่แค่เหตุผลเดียว คือ เพื่อเข้าถึงตัวเราให้ได้

แต่พอรู้แบบนี้แล้ว ความรู้สึกของการอยากสัมผัสผิวกายที่มีชีวิตชีวานั่น กลับเด่นชัดออกมาอย่างไม่มีข้อกังขา

"อ... โอเคขิง พี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้นะ ไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวใช่ไหม พี่เป็นห่วง"

"เปล่าครับ ขิงอยู่กับ..." #ต้อมเว้ย กูชื่อต้อม มึงเป็นใครวะมาทำให้ขิงร้องไห้ "ต้อมพี่ เพื่อนของชาอ่ะครับ ​จะโวยวายทำไม อายเค้า"

โห ด่ากูเป็นชุดเลย ไอ้คนชื่อต้อมนี่คือคนที่น้ำชาคุยด้วยเมื่อตอนบ่ายหรือเปล่าวะ ตอนที่น้ำชาเดินออกมาจากห้องน้ำในโรงพยาบาล คิดว่าจำชื่อไม่ผิดนะ

"อ๋อ เพื่อนของน้ำชา คนที่สอบหลักคณิตผ่านได้ 81% อะนะ"

"ต้อมยังสอบไม่ผ่านนะพี่ตอง" ห๊ะ นี่จำได้ว่าได้ยินน้ำชาพูดว่า น้ำชาติวให้เพื่อนที่ชื่อต้อมจนสอบผ่านที่คะแนน 81% นะ จำได้ค่อนข้างละเอียดเลยแหละ "ชาไม่ว่างมาติวตั้งแต่แรกแล้ว ชาขอให้ขิงเป็นคนติวให้แทน แต่ก็ยังสอบไปผ่านนะ ขาดไป 1% ชาไม่น่าจะมีเพื่อนเยอะนะ ขิงรู้จักชาดี เค้าไม่ชอบสนิทกับคนเยอะๆ"

เชดดดดดด นี่แสดงว่าน้ำชาแกล้งโทรศัพท์หลอกเราอะดิ ทำไปเพื่ออะไรวะ... เห้อ... ทำไมถึงเป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้องมีแผนการตลอดนะ ช่างวางแผนนักนะ

หรือว่า จงใจจะให้เราได้ยินว่า เค้าสามารถติวหลักคณิตได้ ทำเป็นว่า ไม่มีรถกลับหอ ก็เลยเอามาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน จริงซินะ น้ำชาคงมีความคิดฝังหัวว่าเราจะมองเค้าในแง่ร้ายอีก ถ้ามาทำอะไรตรงๆให้เรา

ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว ไม่ใช่แค่กับเรื่องที่คาใจทั้งหมดนะ แต่กับความรู้สึกของผมนี่แหละ มันชัดเจนที่สุดแล้ว ว่าจะเอายังไงต่อดี

"พี่ตอง พี่ตอง"

"ห๊ะๆ ว่าไงขิง" มัวแต่รวมเรื่องราวเข้าด้วยกัน คิดนานไปหน่อย

"ขิงบอกทั้งหมดแล้วจริงๆนะ ทั้งหมดที่ขิงรู้"

"พี่รู้ว่าขิงไม่โกหกพี่หรอก... ขอบใจมากนะ แล้วก็... เพื่อนของน้ำชาที่ชื่อต้อมหนะ ในฐานะพี่นะ พี่ว่าคนๆนี้จะปกป้องขิงแทนพี่ได้ พี่คงไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลขิงเหมือนสมัยอยู่ที่โรงเรียนนะ เมื่อก่อนน้ำชาเคยแนะนำพี่ให้ขิงมารู้จักใช่ไหม ครั้งนี้พี่ขอทำบ้าง พี่เชื่อว่า เค้าจะทำได้ดีกว่าพี่อีก"

"....."

"แค่นี้นะ"





กลับมาที่ปัจจุบัน

เข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมความรู้สึกของผมตอนนี้ถึงได้พองโตนัก ก็การที่ผมกำลังถูกน้ำชาจับมืออยู่ตอนนี้ไงครับ ได้เห็นความรู้สึกจริงๆของเค้าด้วยสายตาตัวเอง พูดกันตามตรงนะครับ รู้สึกดีชะมัด

หมดเวลาหยาบคายกับน้ำชาแล้ว จากนี้ไป คือบทที่ผมต้องทำดีคืนกลับไปให้เค้าบ้าง

เตรียมตัวรับมือให้ดีหละ

....................................................................







ในมุมของน้ำชา

"กลับมาตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ" สะบัดมือออกให้ไวเลย เขินเลยกู ไปเผลอจับมือไอ้พี่ตอง แถมยังไปแสดงท่าทางดีใจอีก ไม่ดูตาม้ามาเรือเลย กูนะกู

"ก็เพิ่งจะมานี่แหละ"

"อ... อ่าๆ ไปโรงบาลได้แล้ว ต้องรีบไปทำงาน" ยังเขินอยู่เลย รีบหนีไปจากตรงนี้ดีกว่า

"ยังไปไม่ได้ พี่มีถ่ายงานข้างนอก ไปกับพี่ก่อน แล้วข้าวปลาจะไม่กินหรือไงล่ะ"

"แล้วจะไม่ไปโรงบาลได้ไง นี่คำสั่งหมอพิชิตนะ"

"เอาเถอะน่า พี่จัดการไว้ให้หมดแล้ว"

"จัดการอะไร" พูดอะไรของมันวะ "โชกุนรออยู่ พี่จะจัดการอะไรผมไม่สนใจอ่ะ เด็กๆต้องมาก่อน"

"นี่คิดว่าคนอย่างพี่ จะไม่ห่วงเด็กๆเหรอ"

โห่ พูดแบบนี้ กูก็พูดไม่ออกอะดิ

"แต่พี่ต้องห่วงน้ำชาก่อนไหม"

"......." ห๊ะ  ห๊ะ  ห๊ะ  ห๊ะ!!!!!!!

"ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน"

อะไรของมันวะ ทำไมไอ้พี่ตองมันถึงพูดแบบนี้ พูดดีเกินไป เพราะที่ติวให้มันเมื่อคืนอะเหรอ หรือเพราะชุดที่ใส่ จะบ้าหรือไง คิดไรของกูวะ



ผมเดินตามออกมาจากตึกด้วยอาการงงๆ งงสุดๆ เมื่อเช้ายังหยาบคายกับเราอยู่เลย ตั้งแต่สอบผ่านมา รู้สึกว่าจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองไปหมดเลยนะ

"เจ๊จองร้านไว้ให้แล้ว" เจ๊ซีซี่คุยกับ ไอ้..... เอ่อ  กับพี่ตอง หลังจากที่เราทุกคนอยู่บนรถ "ร้านเดิมนะ รีบกินจะได้รีบไป"

"ขอบใจเจ๊"



หลังทานข้าวกลางวันอย่างรวดเร็ว จนผมแทบจะไม่ได้กินอะไร เป็นลีดมหาลัยมันต้องทำอะไรกระฉับกระเฉงตลอดเวลาเลยใช่ไหม ไม่ทันได้ตั้งตัวผมก็ถูกพามาที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนะ นึกว่าสตูดิโอต้องใหญ่ๆ คนเยอะๆ มีทีมงานเดินวุ่นวายซะอีก แต่ที่นี่ก็มีแค่ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า คนถือไฟ แล้วก็อีกสองสามคน

"พี่นิก สวัสดีค่า" เจ๊ซีซี่เข้าประชันกับช่างภาพทันที "เจอกันอีกแล้วนะคะพี่ รบกวนอีกแล้วนะ ฝากดูแลเพื่อนหนูด้วยนะคะ"

"อะไรกันเจ๊ซีซี่" ช่างภาพตอบ "พี่ต่างหากต้องฝากตัวกับเจ๊ ผู้จัดการดาราดัง ช่างภาพโนเนมอย่างพี่นิต้องฝากตัว"

"ก็พูดไปนะพี่...."

คุยกันออกรสออกชาติเชียว

อ้าว พี่ตองหายไปไหนแล้ว



"น้ำชา" หือ? เสียงพี่ตองนี่หว่า มาจากไหนวะ "น้ำชา" อ่ออยู่หลังม่านแดง

นี่มันคือห้องไรวะ อยู่ในนี้เหรอ



เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย

ไอ้พี่ตอง ทำไมมันแก้ผ้าหมดแบบนี้วะ เหลือแค่กางเกงในตัวเดียว ดีนะที่เป็นกางเกงในแบบเต็มตัว

"ทำบ้าไรของพี่วะ" กูไม่เข้าไปหรอกนะ ปิดม่านเลย ไม่มองๆ

"อ้าว พี่มาถ่ายแบบกางเกงยีนส์นะ จะให้ใส่กางเกงนิสิตถ่ายหรือไง" ไอ้พี่ตองบ้ามันตอบมาจากหลังม่าน "หยิบกางเกงยีนส์สี่ห้าตัวที่วางอยู่บนเก้าอี้ให้หน่อย"

"เรื่องไรหละ ออกมาเอาเองดิ"

"ในสภาพนี้อะนะ ไม่กลัวคนอื่นเห็นพี่เหรอ"

กลัวทำไมวะ "เห็นก็เห็นไปดิ"

"แน่นะ" ไอ้นี่จะเอาจริงเหรอวะ

"เออๆ" ผมหยิบกางเกงขึ้นมา ยื่นส่งให้ผ่านม่านนะ ไม่เข้าไปหรอก นี่ยังไม่กล้าดูด้วยซ้ำ

"เอาเข้ามาดิ"

"จะให้เข้าไปทำไมหละ รับไปซิ หนักนะ"

"มันไม่มีกระจก ไม่มีคนดูให้ จะรู้ไหมว่ามันดีไม่ดี"

"ก็ดูเอาเองซี" อะไรของพี่แกวะ

"นี่จะเรื่องเยอะอะไรเนีย เจ๊ซีซี่ก็ช่วยพี่ดูออกจะบ่อย แค่นี้เอง ทำไมไม่กล้ามองพี่งะ เขินเหรอ หรือกลัวจะอดใจไม่ไหว"

"ปัญญาอ่อน" ไอ้พี่ตองบ้า พูดไรวะ แล้วเจ๊ซีซี่ทำไมไม่มาทำหน้าที่วะ มัวแต่เซ็นเอกสารอะไรก็ไม่รู้

"เร็วดิ จะกลับไปโรงบาลไหม เดี๋ยวช้านะ"

กูเอ๊ยยยยยย  ห้ามใจไว้นะมึง ห้ามหน้าแดง ห้ามเขิน ห้ามทุกอย่างเลย.....



ตึ่กตึ่ก  ตึ่กตึ่ก  ตึ่กตึ่ก .......

ชิบหายละกู แบบนี้มันห้ามใจไม่ได้ชัดๆ

แล้วห้องนี้มันจะเล็กไปไหนวะ ทำให้ผมแทบจะยืนติดกับไอ้คนแก้ผ้าไม่อายฟ้าดินอยู่เนี่ย

ให้ตายเหอะ ทำไมหน้ามันร้อนผ่าวๆล่ะ แต่ก่อนจะเคยเห็นไอ้พี่ตองมันถอดเสื้อผ้าแล้วนะ ก็เคยแข่งว่ายน้ำกันมาก่อน ก็รู้อยู่หรอกว่าหุ่นดี

แต่ว่า.... ตอนนี้ มันทำไมมันควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ นี่พยายามไม่มองกล้ามเนื้อกำยำนั่นแล้วนะ พยายามไม่มองสายตาอบอุ่นนั่น พยายามไม่รู้สึกคลั่งไคล้ในไออุ่นที่ส่งออกมาจากร่างกายหนาของคนเบื้องหน้า แล้วไอ้พี่บ้านี่มันจะส่งสายตาเจ้าชู้มาใส่กูทำไมวะ แค่นี้กูก็ทำใจยากพออยู่แล้ว

"ส... ใส่เข้าไปซะทีซิ" ผมก็ยังพยายามไม่มอง พยายามมองสูงแล้วนะ แต่ไอ้พี่ตองมันก็ตัวสูง เห็นหน้าอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมองต่ำนะ มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

"อ่ะ.... ดูเป็นไงบ้าง" ไอ้พี่ตองเรียกให้ผมดูกางเกงที่มันใส่

"แล้วไม่มีเสื้อใส่หรือไงล่ะ" ไอ้บ้า ใส่แค่กางเกงเนี่ยนะ

"ถ่ายแบบกางเกง ใครเขาใส่เสื้อกันหละ.... แล้วสรุปเป็นไง"

นี่กูต้องมองจริงๆใช่ไหมเนี่ย

"อืม ก็ดูดีนิ" รีบตอบรีบออกไปดีกว่า

"เดี๋ยว ตั้งใจดูดิน้ำชา นี่พี่ต้องใช้ทำงานนะ ถ้ามันออกมาไม่ดี พี่โดนตำหนินะ"

กูเอ๊ย ทำไมต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ด้วยวะ

ใช่ พี่ดูดี ดูดีมากด้วย หุ่นก็ดี ตัวก็สูง ผิวก็น่าสัมผัส กางเกงที่ใส่อ่ะ มันไม่ได้สวยอะไรมากหรอก แต่เพราะพี่ใส่มันถึงได้ดูดี  กูจะพูดแบบนี้ได้ยังไงวะ ไอ้บ้าาาาาาาา

"โอเค ดูดีแล้ว ไม่โดนว่าหรอก" สุดท้ายกูก็เลือกใช้คำนี้ ออกไปดีกว่า ไม่ไหวแล้ว



"หืออออ" เจ๊ซีซี่ตาค้างเลย ที่เห็นผมกับพี่ตองเดินออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับ ไอ้พี่ตองบ้านี่ก็ไม่สนใจอะไร เดินไปหาช่างแต่งหน้าต่อเฉยเลย

"ช... ช่วยพี่เขาดูชุด แทนเจ๊อะครับ เห็นเจ๊ไม่ว่าง" ผมต้องรีบอธิบาย

"แทนเจ๊" เจ๊ซีซี่ถามย้ำ "ตองไม่อนุญาตให้พี่เข้าไปดูในห้องลองชุดเลยนะ ไม่เคยสักครั้ง"

"....." ช็อกไปเลยกู ไอ้พี่ตองบ้า มันแกล้งเราเหรอ

"อ่ะๆ ไม่เป็นไร มานี่ๆ ไปดูหน้าเซ็ตกัน" ผมโดนลากไปที่ที่ไอ้พี่ตองถ่ายแบบกางเกงที่ต้องถอดเสื้อของมันนั่นแหละ





ท่าทางคงทำมาบ่อยแล้วซินะ เชี่ยวชาญมาก รู้หมดว่าต้องโพสยังไงให้น่าสนใจ รู้มุมกล้อง เป็นคนที่รู้ว่าทำยังไงให้คนที่มองดูอยู่ 'ใจสั่น'

"โอเคตอง เปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย เจ๋งมากน้อง" ช่างภาพให้สัญญาณเปลี่ยนชุด

"ไปช่วยพี่ดูชุดอีกไหม" ไอ้พี่ตอง มันไม่วายจะเดินมายิ้มเย๊าะล้อเลียนผม กวนตีนนะไอ้บ้าพี่ตอง ซักวันนึงเถอะ



หลังจากเปลี่ยนชุด ก็มาถ่ายภาพต่อ แล้วก็เปลี่ยนอีก แล้วก็ถ่ายอีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกอยู่ชั่วโมงกว่า ก็จบภารกิจสักที



"ขอบใจมากเลยซีซี่ ได้นายแบบเจ๋งๆแบบนี้ ลูกค้าถูกใจชัวร์เลย" ช่างภาพพูดคุยกับเจ๊ซีซี่หลังจบงาน

ส่วนไอ้พี่ตอง มันเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วนี่นา  อ้อ โน่นไง มันยืนคุยอยู่กับสาวที่ไหนวะ รู้สึกว่าจะเป็นคนดูแลโปรเจ็คนะ เห็นเจ๊ซีซี่บอก แหม เห็นสาวสวยๆไม่ได้ สัญชาตญาณนักล่ามันเก็บไว้ไม่ได้เลยใช่ไหม

หุ๊! ไปรอข้างนอกดีกว่า บรรยากาศข้างในชักไม่ดีแล้ว



"น้องน้ำชา" ห๊ะ อะไรวะ สาวคนที่คุยกับไอ้พี่ตอง เดินมาดักหน้าไว้ทำไม หลบไป หงุดหงิด

"ครับ" กูต้องตอบตามมารยาทใช่ไหม แล้วรู้ชื่อเราได้ไงเนีย

"พี่รบกวนหน่อยซิ" ห๊ะ รบกวนไร "ชุดนี้ที่น้องใส่อ่ะ พอดีมันเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ที่ Wrangler เพิ่งวางขาย เรากำลังหานายแบบมาโปรโมทพอดี แต่มันค่อนข้างจะหายากหนะค่ะ แต่ว่า.... เท่าที่พี่ดูน้องใส่มาวันนี้ คิดน่าจะถูกใจเจ้าของแบรนด์นะ"

"ค...ครับ" แล้วมาชมผมทำไมอ่ะ อยากจะบอกนะว่าชุดนี้ ไอ้บ้าพี่ตองมันบังคับผมใส่ ถึงจะไม่ได้บังคับตรงๆก็เถอะ

"พี่รบกวนหน่อยได้ไหม ถ่ายแบบชุดนี้ให้พี่ซักเซ็ตนึง พี่สัญญาว่าถ้าเจ้าของแบรนด์โอเค พี่จะขอค่าตอบแทนให้คุ้มค่าเลย"

"ไม่เอา" ผมต้องปฏิเสธให้เร็วที่สุด ให้ไปทำท่านั้นท่านี้หน้ากล้อง ไม่เอาด้วยหรอก

"เอาครับ" ไอ้พี่ตอง ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ "น้องไม่เคยถ่ายหนะครับ คงจะตื่นเต้น เดี๋ยวเราไปคุยคอนเซ็บกับพี่นิกที่หน้าเซ็ตดีกว่านะ"

อะไรของพี่มันวะ พูดตกลงแทนเราเฉยเลย แล้วจะไปคุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่เอาด้วยหรอกนะ บังคับยังไงก็ไม่ทำ เราไม่ทำซะอย่าง ใครจะมาบังคับเราได้

"น้ำชา" เจ๊ซีซี่ "จะได้ถ่ายแบบเหรอ อุ๊ยตายแล้ว โชคดีจัง"

"ไม่ถ่ายเจ๊ ผมไม่ถ่ายหรอก ผมยังไม่ได้ตอบตกลงด้วยซ้ำ" ไม่รู้หละ ปฏิเสธเสียงแข็งไว้ก่อน

"ทำไมล่ะ ตองอุตส่าไปคุยให้นะ นี่เป็นโอกาสดีนะ"

"ผมไม่ได้อยากได้เงินนะพี่ แล้วผมก็ทำไม่เป็นด้วย ถ่ายแบบอะไรเนีย"

"ก็ถึงต้องฝึกไง นี่ พี่นิกคนนี้อะนะ เป็นช่างภาพคนเดียวกับพี่มหาลัยเราจ้าง ตอนคัดเลือกลีดมหาลัย เค้ามีส่วนในการตัดสินและให้คะแนนด้วยนะ เรียนรู้วิธีการทำงานให้ถูกใจพี่เค้าไว้ เป็นประโยชน์นะคะ....." ลังเลเลยกู  "แล้วแต่น้ำชาละกัน พี่อาสาเป็นบัดดี๊ให้ทั้งวันแล้ว พี่เนียเป็นใคร ถ้างานไม่ดีพี่ไม่แนะนำหรอกค่ะ"

เอาแล้วไงกู นี่มันอีกหนทางหนึ่งของการเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนานี่นา โอกาสที่จะได้เพิ่มเปอร์เซ็นผ่านการคัดเลือก นี่หรือเปล่านะ ที่พี่ตองไปคุยกับเจ้าของโปรเจ็คเมื่อกี๊



"ต้องทำยังไงบ้างอ่ะ" ผมเดินไปถามไอ้พี่ตองอย่างจำยอม "ผมไม่เคยถ่ายมาก่อน" แล้วพี่จะยิ้มทำไม นี่กังวลอยู่นะเนี่ย

"ก็ถ่ายเหมือนถ่ายรูปทั่วไปนั่นแหละ แค่ถ่ายเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก" นี่มันเป็นคำแนะนำตรงไหน

อ้าวๆ เดี๋ยวซิ ยังไม่พร้อมเลย ไอ้พี่ตองบ้า จะผลักเข้ามาในฉากทำไมเนี่ย

"โอเค ชื่อน้ำชาใช่ไหมเราอ่ะ พร้อมถ่ายนะ" ไม่พร้อมมมมมม "สาม สอง หนึ่ง"

แสงแฟลชกระแทกตาเต็มๆ ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย

"ไม่ต้องเกร็งๆ สบายๆ"

ไม่สบายอ่ะ แล้วต้องยืนยังไง

"โอเค ขยับมาทางซ้ายนิดนึง"

ห๊ะ ขยับซ้าย อ่ะๆ ขยับแล้ว

"โอเค คราวนี้ยิ้มหน่อย"

ยิ้มมมม

"เกร็งไปหน่อยนะน้ำชา คิดถึงเรื่องดีๆมีความสุขเข้าไว้"

คิดไรไม่ออกทั้งนั้นแหละ

"จอนๆ เพิ่มแสงขึ้นหน่อย ปรับบรรยากาศให้สดใสหน่อย น้องเป็นคนหน้าตาน่ารัก ขอให้มันสดใสกว่านี้.... ส่วนน้ำชานะ ไม่ต้องโพสไรมาก แต่พี่ขอยิ้มที่สดใสๆหน่อย พร้อมนะ"

แสงแฟรชสาดเข้ามาอีกเรื่อยๆ บอกตามตรงว่าเกร็งไปหมดแล้ว

"ยังๆ ยังไม่ได้" พี่นิกไม่ได้ดุนะ แต่ผมชักเริ่มเกรงใจแล้ว "ไม่ต้องเครียด น้ำชา พี่ขอแค่ฉ็อตเดียวพอเลย ขออีกทีนะ"

แล้วก็ผ่านไปอีกรอบ

"..... ยังไม่ได้วะ"

ชิบหายละกู

"พี่นิกๆ" ไอ้พี่ตองแทรกเข้ามา "ผมขอให้น้องกินน้ำแปบนึงได้ไหมครับ"

"อ่ะๆ โอเค" พี่นิกตอบ "นี่ๆ เดี๋ยวเอ็งสอนคน ไปเอาโต๊ะออกนะ แล้วลองใส่ดอกไม้หรือลูกโป่งอะไรก็ได้เข้าไปแทน"



ไอ้พี่ตองเอาหลอดดูดน้ำยัดใส่ปากผม ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเพราะตื่นเต้นอยู่

"พี่นิกอะนะ เขาชอบคนที่แสดงสีหน้าเก่งๆ" พี่ตองกระซิบกับผม หน้าประชิดกันแทบจะติดอยู่แล้ว "จินตนาการถึงเรื่องดีๆเข้าไว้"

"ผมตื่นเต้นอ่ะ" สารภาพตามตรงเลย

"เพราะพี่ยืนดูอยู่หรือเปล่า ถ้าเห็นพี่แล้วทำให้เกร็ง พี่ออกไปก่อนก็ได้นะ"

"ไม่เอาๆ" ยิ่งไม่มีคนรู้จัก ยิ่งเกร็งไปกันใหญ่ซิ "พี่อยู่นี่แหละ ผมอุ่นใจกว่า"



"โอเคตอง พี่ขอถ่ายต่อนะ" พี่นิกตะโกนเตรียมถ่ายอีกครั้ง งานเข้าแล้วกู ยังไม่ได้ทำใจเลย



"อุ่นใจจริงอ่ะ" ไม่ต้องมาทำตาเจ้าชู้ใส่ตอนนี้เลย เครียดจะตายอยู่แล้ว "ถ้าอุ่นใจก็มองหน้าพี่ดิ ถ้ารู้สึกว่าเห็นพี่แล้วอุ่นใจก็ไม่ต้องไปมองกล้อง มองที่หน้าพี่แทน พี่จะยืนอยู่หลังกล้อง โอเคนะ"

พี่ตองวิ่งออกไปยืนหลังกล้องจริงด้วย

เพราะเมื่อกี๊ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ก็เลยเกร็ง แต่พอเห็นหน้าพี่ตองแล้ว ก็อุ่นใจขึ้นเยอะเลย แสงไฟที่เคยส่องเข้าตาไม่มีผลแล้ว ตอนนี้ผมมองเห็นชัดเจนแล้ว ใบหน้าของคนที่ผมเฝ้าติดตามเขามาตลอด มันชัดเจนขึ้นมากเลย ความพยายามแปดปีไม่สูญเปล่าซินะ ขอบคุณที่ส่งยิ้มมาให้ผมนะครับ

"โอเค ผ่านนนน" ห๊ะ เสร็จแล้วเหรอ "สุดยอดไปเลยน้ำชา นี่ถ่ายครั้งแรกจริงเหรอ อินเนอร์ดีมากน้อง เจ้าตองบอกว่าอยากเป็นลีดมหาลัยนิ ถ้าแบบนี้ทำภาพโปรโมทแจ่มๆได้แน่นอนน้อง"

นี่มันผลงานของพี่ตองต่างหากล่ะ

"โอเค เสร็จงานได้ทุกคน"



"เป็นไงบ้าง ทำได้ดีนิเรา" เจ๊ซีซี่ให้คำชมผม หลังจากที่เราขึ้นรถเดินทางกลับ

"ไม่หรอกครับเจ๊ ผมยังเกร็งๆอยู่เลย" ที่ออกมาดีก็เพราะผมได้กำลังใจดีต่างหากหละ

"เดี๋ยวก็ดีขึ้น ฝึกบ่อยๆ" เจ๊แกแนะนำ

หลังจากจบตารางงานของพี่ตองวันนี้ เจ๊ซีซี่ก็ถูกส่งกลับ ผมกับพี่ตองก็ต้องรีบตรงดิ่งมายังโรงพยาบาลทันที ป่านนี้เด็กๆจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ โดยเฉพาะโชกุน ต้องหาว่าเราผิดสัญญาแน่เลย



"เร็วดิพี่" เข้าโรงพยาบาลได้ก็ไปรีบไปรับบัตรติดหน้าอกที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ แล้วทำไมไอ้คนตัวสูงนี่มันสบายใจจังวะ เด็กๆรออยู่นะ

"ก็ถึงแล้วเนี่ย จะรีบไปไหน"

"เด็กๆ รอ...."

"ระวัง!" ผมถูกกระชากกลับมาอย่างแรง พี่ตองกอดผมไว้แน่นเลย เกิดไรขึ้นวะ

มีช่างสองคนถือกระจกแผ่นใหญ่เดินผ่านมา ไม่รู้จะเอาไปติดที่ไหน แต่ถ้าพี่ตองไม่เห็นเมื่อกี๊ มีตาบอดแน่ๆแหละ

"เป็นไรไหมครับ" ช่างคนหนึ่งรีบถาม

"เป็นไรไหมน้ำชา" ไอ้คนที่โอบกอดผมไว้ถามผมอีกที ก็กอดไว้ซะแน่นขนาดนี้ จะเป็นอะไรได้ล่ะ

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ" รีบออกจากอ้อมกอดนี้ก่อนดีกว่า รู้สึกว่าตอนนี้ความรู้สึกจะถลำลึกเกินไปแล้ว ถ้ารู้สึกอะไรแปลกๆกับพี่ตองในทางนั้น แล้วโดนจับได้ คงจะเป็นเรื่องอีกแน่ กว่าจะได้โอกาสได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ กว่าจะพูดจากันดีๆ รอมาตั้งแปดปี ถ้าต้องโดนเกลียดอีกที คราวนี้ทำใจไม่ได้แน่นอน

"น้องไม่เป็นไรครับพี่" พี่ตองตอบ "ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเรารีบไปหน่อย"

"งั้นผมขอทำงานต่อนะครับ" ช่างแบกกระจกเดินต่อไป

"เป็นไรน้ำชา" พี่จะถามย้ำผมทำไมเนี่ย แล้วก็ไม่ต้องพูดดีกับผมมากได้ไหม พี่รู้ไหมว่ามันทำให้ผมห้ามใจตัวเองยากขึ้น

"เปล่าครับ ไปกันเถอะ" โอเค คิดถึงเรื่องเด็กๆก่อนดีกว่า แค่นี้ก็สายพอแล้ว

ผมพยายามไม่วิ่งนะ แต่ก็ร้อนใจ ถึงชั้นเจ็ดได้ ก็ถลาเข้าห้องสามทันที



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

"ไอ้ต้อม ขิง" ไอ้ต้อมกับขิงกำลังนั่งเล่นกับเด็กๆในห้อง เหมือนสองคนนี้จะโดนลุมล้อมด้วยเด็กๆ "มาไงกันอ่ะ"

"พี่ตองขอให้ขิงมาดูเด็กๆแทนชาอ่ะ ตอนชาไปทำธุระกับพี่ตอง"

นี่ใช่ไหมไอ้พี่ตอง ที่บอกว่าจัดการแล้ว โดยไปรบกวนคนอื่นเนี่ยนะ

"แล้วไอ้ต้อม ใส่ชุดไรของมึ..... ของเอ็งหนะ" เกือบจะหลุดหยาบคายต่อหน้าเด็กๆซะแล้ว แต่มันก็น่าถามไหมล่ะ ชุดหมีเหรอหรืออะไร

"ชุดพี่หมีไงเพื่อน" ไอ้ต้อมตอบอย่างภาคภูมิใจ "นี่กำลังแสดงนิทานให้เด็กๆอยู่ ดูด้วยกันไหม น้ำขิงกำลังจะเล่าต่อแล้ว"

น้ำขิงเหรอ ทำไมกล้าเรียกชื่อเต็มของขิงเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น แล้วไอ้นี่ก็อะไรหนะ หน้าแดงใส่เค้าเฉยเลย สองคนนี้นี่มันยังไงกันวะ ไปติวกันท่าไหน

"ไม่เล่าแล้ว" นั่นไง ขิงมีงอนด้วย ไม่ชอบมาพากลอย่างแรง "เด็กๆเราไปเล่นต่อจิ๊กซอกันดีกว่า พี่มีมาให้ทุกคนเลย"

โห จัดเต็มกันน่าดู นี่จะมาแย่งความรักของเด็กๆไปจากูใช่ไหม

"ก็บอกแล้วไงว่าพี่จัดการให้แล้ว" เจ้าของเรื่องโอ้อวดผลงานตัวเองใหญ่ แล้วเอามือมาโอบไหล่ผมเฉยเลย "พี่อ่ะ.....



จะไม่ทำให้น้ำชาต้องลำบาก สัญญา"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:38:59 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
แปะกฎเล้าด้วยนะครับ :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 9 : ค้างคืน



หลังจากที่พบว่าการดูแลเด็กๆในโรงพยาบาลของผมได้รับความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนคนสนิทของผม ก็ต้องมารู้สึกแปลกใจต่อ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของไอ้พี่ตอง ท่าทางพี่แกจะลืมไปว่า ผมคือคู่แข่งตลอดกาลของเค้านะ อย่างน้อยก็ที่อิตานั่นคิดอะนะ

ช่างมันเถอะ เลิกคิดดีกว่า ทำหน้าที่ตรงหน้าก่อน


ผมกลับมานั่งที่เตียงน้องโชกุนเหมือนเดิมหลังจากเพื่อนสนิทและลูกพี่ลูกน้องของผมขอตัวไปทำธุระต่อ

"ทำอะไรของพี่เนีย"

ไอ้พี่ตองมันเอาเก้าอี้โซฟาสั้นสำหรับให้ญาติที่มาเฝ้าเด็กแต่ละเตียงมาต่อกันที่ข้างเตียงโชกุน "เตียงของพี่ไง"

"จะบ้าเหรอพี่ ห้องพักสำหรับเจ้าหน้าที่ก็มี ไปนอนโน้นเลย จะมาลำบากลำบนทำไม"

"ไม่เห็นลำบากเลย ทีน้ำชายังเฝ้าโชกุนได้เลย"

"ผมนอนบนเตียงกับน้อง"

"พี่ก็เฝ้าน้ำชาอีกทีไง"

สายตานี้อีกแล้ว



"พี่ตอง พี่น้ำชา" โชกุนเดินเข้ามาที่เตียงพอดี

"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอโชกุน" ผมหยุดต่อล้อต่อเถียงกับไอ้พี่ตองทันที

"ทำไมพี่สองคนทะเลาะกันอีกแล้ว" เอาแล้วไง โชกุนนี่เห็นผมกับไอ้ตัวสูงนี่เสียงดังใส่กันไม่ได้เลย

"ใครบอกครับโชกุน พี่อ่ะ..." จะทำอะไรของแกอีกไอ้พี่ตอง "รักพี่น้ำชาจะตายไป" นี่มึงต้องลงทุนกอดกูโชว์น้องขนาดนี้เลยเหรอ รอบที่สองแล้วนะวันนี้

"ปล่อย" ถึงเวลาที่กูต้องเสียงแข็งบ้างแล้ว ไอ้บ้านี่ชักจะลวนลามมากไปแล้วนะ

"อ้าว พี่น้ำชาไม่รักพี่อ่ะโชกุน"

มึงกล้าใช้มุกนี้กับกูเหรอ ไอ้...... หมดคำจะเถียง เออ ก็ได้ จะกอดก็กอด ถ้าไม่เห็นแกโชกุน ก็จะต่อยไม่สนใจเรื่องความสูงเลย

เกลียดความอบอุ่นจากเนื้อกายของไอ้บ้านี่ชะมัด ผมชักเริ่มจะถอนตัวไม่ได้แล้วนะ

"กินยาดีกว่าเนาะ" ผมต้องละออกจากสัมผัสนี้เดี๋ยวนี้ "มาครับ โชกุน อ่ะนี่ยา"

"ครับพี่น้ำชา"



หลังจากผมหลุดออกมาจากอ้อมกอดนั้นได้ ผมคิดว่า การไม่พยายามมองหน้าหรือสบตากับพี่ตองคงจะดีกับผมมากกว่า อย่าเปิดประเด็น คุยเท่าที่จำเป็น มันกวนประสาทแค่ไหนก็ไม่ต้องต่อความ

พี่ตองคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้แล้ว เค้าก็เลยเงียบไปเหมือนกัน แบบนี้อ่ะ ดีแล้ว เดี๋ยวจะเลยเถิดไปกันใหญ่

ในที่สุดก็ถึงเวลาสามทุ่ม

ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้านี่ไอ้พี่ตองก็เตรียมมาให้อีกแล้ว ใจจริงอยากจะถามนะว่าเตรียมตัวอย่างดีขนาดนี้ได้ยังไง แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงเคอฟิว รับเสื้อผ้ามาแต่โดยดีแล้วก็ไม่ต้องพูดไรมากดีกว่า 

บรรยากาศในโรงพยาบาลตอนกลางคืนวังเวงชะมัด ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ออกมาข้างนอกเด็ดขาด รีบเข้านอนดีกว่า

แหม ไอ้พี่ตอง ไหนบอกจะมาเฝ้าเรา หลับเร็วขนาดนี้ ใครจะเฝ้าใครกันแน่

โชกุนเองก็เข้าสู่นิทราแล้วเหมือนกัน ผมขึ้นเตียงได้ น้องก็ขยับเข้ามาหาผมทันที คงเป็นปฏิกิริยาเหนือจิตสำนึกของน้อง ที่ถวิลหาความอบอุ่น

ผมเองก็ควรนอนหลับได้แล้ว........





"น้ำชาๆๆ ตื่นเร็ว น้ำชา"

เสียงใครปลุกวะ รู้สึกเหมือนเพิ่งจะหลับตาเมื่อกี๊เอง หนักเปลือกตาชะมัด

"น้ำชา" อ้าว พี่ดวงนี่นา ผมหันไปดูข้างเตียง พี่ตองหายไปแล้ว เกิดไรขึ้นเนีย "น้องอิ๋มช็อก พี่ตองพาไปห้องฉุกเฉินแล้ว"

น้องอิ๋มที่เป็นโรคหัวใจในเด็ก น้องผู้หญิงคนที่น่ารักๆ ยิ้มเก่งๆ แล้วก็เป็นเด็กที่เป็นต้นเหตุของหลักสูตร กอดที่อบอุ่นในห้องนี้ 

"น้องเป็นอะไรมากไหมครับ" ตาสว่างเลยกู

"พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่กำลังจะลงไปช่วยที่ห้องฉุกเฉิน ดึกแบบนี้ผู้ช่วยมีน้อย พี่ฝากชาตรงนี้หน่อยนะ"

"ได้ครับพี่ พี่รีบไปเถอะครับ"

"เดี๋ยวตอนเที่ยงคืน น้ำชาลงไปเอากลูโคสที่ห้องยาข้างล่างนะ เจ้าหน้าที่เค้ารู้อยู่แล้ว เอามาให้น้องชะเอมที่เตียงฝั่งโน้น ปลุกน้องขึ้นมากินนะ พี่ต้องรีบไปแล้ว ไปละนะ"

ผมมองตามพี่ดวงวิ่งจากไป

เด็กๆคนอื่นยังหลับโดยไม่รู้เรื่อง โชกุนก็เหมือนกัน ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้ว

23.47 น.

ใกล้เที่ยงคืนแล้วนี่นา ลงไปเอากลูโคสตามที่พี่ดวงบอกดีกว่า

ผมค่อยๆออกมาจากน้องโชกุนเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป



ให้ตายเหอะ

ลืมไปเลยว่าโรงพยาบาลตอนนี้มันวังเวงนี่หว่า อุตส่าคิดว่าจะไม่ออกมาแล้วเชียว ไอ้พี่ตองก็ไม่อยู่ด้วย ตายแน่กูงานนี้

นี่แหละ หนึ่งในเรื่องที่ผมไม่มีทางทำได้ เผชิญกับความมืด ผมเคยคิดนะ ถ้าตอนมัธยมผมกับพี่ตองต้องแข่งกันอยู่ในความมืด ผมจะขอยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกจากโรงเรียนเลย

ทำไมทางเดินมันไกลจังวะ เดินอยู่ตั้งหลายวัน ไม่เคยคิดว่าจะไกลขนาดนี้ แล้วทำไมโรงพยาบบาลต้องมีกระจกเยอะแยะเต็มไปหมดด้วย รู้ไหมว่ากูไม่กล้ามอง

ถึงลิฟสักที ลงไปชั้นหนึ่งซินะ ขอบคุณสวรรค์ที่มีแสงสว่างจากลิฟ

แต่ก็ไม่นาน ชั้นหนึ่งมืดยิ่งกว่าชั้นเจ็ดเสียอีก ห้องยา อยู่ตรงไหนวะ

ผมทำเป็นใจดีสู้เสือ เดินออกมาจากลิฟ มองหาป้ายหรืออะไรสักอย่างที่สามารถนำทางไปที่ห้องยาได้

แกร็ก แกร๊กกกกก

เสียงเ-ี้ยไรวะ

แล้วกูมาหลบอยู่หลังรถเข็ญตอนไหนเนีย อาการหนักนะกู

หึ๊ย นั่นป้ายบอกทางไปห้องยานี่หว่า เลี้ยวซ้าย

ทำไมไม่บอกให้กูเลี้ยวซ้ายลงลงนรกไปเลยหล่ะ เลี้ยวซ้ายเนี่ยคือมืดสนิทเลยนะ

งือออออ อยากจะร้องไห้กู ทำยังไงดี ไม่ไปก็ไม่ได้ น้องต้องได้รับการรักษา เอาวะ ทำเพื่อน้อง มันไม่มีไรในความมืดหรอก อย่าคิดไปเอง แต่ขอเกาะผนังเดินละกันนะ

มืด เย็น เงียบ ทางเดินก็เหมือนจะทอดไกลออกไปเรื่อยๆ ทำไมกูถึงมาอยู่ตรงนี้ กลัวโว๊ยยยยยยยย



เพล้ง

เชี่ยยยยยยย!!!!!! ไม่อยู่แล้ว

"โอ๊ย" ชนไรวะ เห้ย พี่ตองนี่นา "พี่ตอง พี่ตอง" ไม่รู้อ่ะ กูขอเกาะไว้ก่อนละกัน กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว เหมือนรู้สึกว่าหน้าจะเปียกๆด้วย

"เป็นไรน้ำชา" เสียงพี่ตองถาม ขอบคุณสวรรค์ ด้วยความกลัวนี้ทำให้เสียงของพี่ตองดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคย ผิวกายก็อบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัส "กอดซะแน่นเลย"

ห๊ะ กูกอดอยู่เหรอ นึกว่าแค่เกาะแขนเฉยๆ ปล่อยให้ไวเลย แต่... ไม่เอาดีกว่า เกาะแขนพี่มันไว้ ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี เมื่อกี๊เสียงอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะอยู่ใกล้ๆนี่เอง

"นี่ร้องไห้ด้วยเหรอ" นี่กูทำสองอย่างที่ไม่รู้ตัวในเวลาอันสั้นได้เลยเหรอ ความกลัวนี่มันมีพลังอำนาจกับกูจริงๆ "กลัวผีเหรอ เด็กน้อย"

"กลัวบ้าไรหละ" กูนี่ก็หน้าด่านเนาะ กลัวขนาดนี้ก็เสือกจะมีฟอร์ม

"เอ่อ...." เห้ย!! เสียงใครมาจากข้างหลังวะ

"ไหนบอกไม่กลัวไง" ไอ้พี่ตองเรียกสติผมอีกครั้ง นี่ก็เผลอกอดเป็นครั้งที่สอง ฟอร์มของกูเนี่ย ไม่เหลือแล้ว "นั่นพี่เจ้าหน้าที่ ดูดีๆ"

หา! ใครนะ ผมรีบหันไปมอง

"โทษทีน้อง" พี่เจ้าหน้าที่ชุดขาว ยืนมองผมหน้าเสียเลย "พี่เผลอทำกลูโคสล่วง พอดีจะเอากลูโคสขึ้นไปชั้นเจ็ด ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มารับซะที กลัวจะรีบใช้" อ้าว ความผิดกูซินะ มัวแต่กลัว จนมาสายเลย

"ผ.. ผมเองครับ ผมนี่แหละครับที่จะมารับ" เขินเลย

"อ้าวเหรอ งั้นรอแป๊บนึงนะ พี่เข้าไปหยิบหลอดใหม่ให้" ที่แท้ก็มาถึงห้องยาแล้ว พี่เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปห้องตรงหน้านี้เอง

"จะปล่อยพี่ได้ยัง" อ้าว ผมยังเกาะแขนไอ้พี่ตองอยู่นี่หว่า รีบปล่อยก่อนดีกว่า "พี่ไปละนะ"

"เดี๋ยว!! จะไปไหนอ่ะ" จะมาทิ้งกันได้ยังไง ต้องให้กูยอมรับว่ากลัวหรือไงถึงจะรอ

"ก็ขึ้นไปข้างบนไง"

"รอก่อนดิ รอแป๊บเดียว เดี๋ยวพี่เค้าก็เอากลูโคสมาให้แล้ว"

"ไม่อ่ะ พี่ไม่อยากให้น้ำชาอึดอัด" อึดอัดบ้าไร จะมาอยากโล่งสบายอะไรตอนนี้ "เดี๋ยวถ้าเห็นหน้าพี่นานๆ น้ำชาจะอึดอัด"

กรรม ซึ้งเลยกู นึกออกแล้ว เมื่อตอนเย็นเราทำเย็นชากับพี่เค้าไปนี่หว่า

"พี่ไปนะ" หือออออ ไปจริงเหรอ

"พี่ตอง" ขอร้องหละ ผมทำผิดไปแล้ว "รอก่อนได้ไหม ชากลัว" เออ ยอมรับก็ได้ว่าจะร้องไห้

"....."

"นะ"

"แล้วจะเมินพี่อีกไหม"

"ไม่ครับ" อะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละตอนนี้

"จะเงียบกับพี่อีกไหม"

"ไม่แล้ว"

"งั้นก็เลิกกลัวได้แล้ว" พี่ตองหันมายิ้มกว้างให้ซะที เห้อออออ ไม่ต้องเดินกลับคนเดียวแล้ว "โห เด็กน้อย กลัวถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ"

พี่ตองปาดน้ำตาให้ รู้สึกดีชะมัด รู้สึกเหมือน.....



"ได้แล้วน้อง" เสียงพี่เจ้าหน้าที่ หลอดแก้วกลูโคสถูกยื่นมาให้ หลอดแค่นี้ สร้างปัญหาจังนะ

รับมาเก็บไว้ดีๆเลย จะไม่มีใครทำมันแตกเป็นรอบที่สองเด็ดขาด

"ไปเถอะ" พี่ตองบอก ผมนี่เกาะแขนเลย แต่จับที่แขนเสื้อนะ โดนตัวมากไป กลัวจะเคลิ้ม

"แล้วน้องอิ๋มเป็นไงบ้างอ่ะ" ผมชวนคุยระหว่างเดินกลับ

"ดูดีขึ้นมากแล้ว ดูดีกว่าน้ำชาเยอะ" แหม แซวเหรอ

"จะบ้าเหรอ ชาไม่ได้เป็นโรคหัวใจซะหน่อย" ยังจะมาหัวเราะอีก เอาวะ จะทำอะไรก็ทำเถอะ อย่างน้อยมีพี่อยู่ตรงนี้ก็อุ่นใจ "แล้วต่อไปอ่ะ เลิกเรียกผมว่าน้ำชาได้แล้ว เรียกแค่ชาก็พอ"

"ทำไมอ่ะ ทีป้ายชื่อยังเขียนว่าน้ำชาเลย"

"นั่นผมโดนไอ้ต้อมแกล้ง"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ชื่อ น้ำชา ก็น่ารักดีออก เหมาะกับน้ำชาด้วย"

ไอ้บ้าพี่ตอง อุตส่าชวนคุยทำลายความเงียบ คราวนี้ใครจะไปกล้าพูดต่อหละ





เช้าวันรุ่งขึ้น ผมจบภาระกิจของค่ำคืนมหัศจรรย์เรียบร้อย ผมถูกพามาส่งที่หอ ส่วนพี่ตองเมื่อไม่มีสอบก็ถึงเวลาประชุมของลีดมหาลัยพอดี ช่วงใกล้จะเปิดเทอมงานของลีดมหาลัยคงจะยุ่งน่าดู

ผมทำภารกิจช่วงเช้าเรียบร้อยก็เตรียมโทรหาไอ้ต้อมเพื่อนรัก



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาเคาะประตูหว่า

"อยู่ติดห้องซะทีนะมึงอ่ะ" ไอ้ต้อมนี่เอง ตายยากนะมึง

"เออกูกำลังจะโทรหาพอดี เข้ามาดิ"

"มึงก็ได้ตารางเรียนแล้วอะดิ"

"ตารางไรวะ"

"อ้าว ก็นี่ไง เค้าประกาศตารางเรียนออกมาแล้ว ในเว็บมอ หัดสนใจเรื่องเรียนซะบ้างมึงอ่ะ ไม่ใช่อะไรๆก็พี่ตอง"

"พี่ตองบ้านมึงซิ"

"แหม เขินๆ"

"ไอ้ต้อม" เดี๋ยวเหอะมึง

"กูก็แซวเล่น ว่าแต่มึงรู้เปล่าวะ ตารางเรียนสามเดือนแรกอ่ะ มีเรียนถึงแค่เที่ยงเองนะ วิชาเรียนอัดแน่นมาก"

"ทำไมวะ แล้วตอนบ่ายจะทำไรอ่ะ"

"ก็กิจกรรมห้องเชียร์ไง มหาลัยนี้มันจริงจังเรื่องเชียร์กันตั้งแต่อธิการบดีเลยเหรอไงวะ แบบนี้กูจะนิ่งเฉยไม่ได้แล้ว"

คงจริงอย่างที่มันว่า ถึงขั้นจัดเวลาห้องเชียร์มาอยู่ในเวลาเรียน แบบนี้ไม่จริงจังก็ไม่รู้จะเรียกว่าไงแล้ว

"แล้วมึงอ่ะ ฝึกท่าไปถึงไหนแล้ว สอนกูบ้างดิ"

"เสียใจว่ะ อาจารย์หมอบอกว่า ถ้ายังไม่ถึงวันบล็อกกิ้งจะไม่สอนให้"

"เป็นความลับอะไรขนาดนั้น"

"ก็มันเป็นกติกานี่หว่า ระหว่างนี้กูก็ทบทวนท่าเต้นพื้นฐานไปก่อน"

"ไปฝึกมาจากไหนวะ"

"พี่ที่สอนลีดมอ เค้าฝึกให้อ่ะ"

"ห๊ะ มึงไปฝึกได้ยังไง"

"พี่ตองเค้าจัดการให้อ่ะ กูก็งงๆเหมือนกัน"

"เห้ย นี่กูแซวเล่นนะ แต่นี่ไม่ธรรมดาแล้ว อะไรยังไวะมึง พี่เค้า... จีบมึงอยู่เหรอ"

"จีบบ้าจีบบออะไรหละ เค้าคงตอบแทนที่กูติวให้ละมั้ง"

"ติว! นี่กูเป็นเพื่อนมึงจริงเปล่าวะ กูแทบจะไม่รู้เรื่องไรที่เกิดขึ้นกับมึงเลยนะเนี่ย... เออ ช่างเหอะ แต่ก็จริงแหละ พี่เค้าจะมาจีบมึงได้ยังไง น้ำขิงเคยเล่าให้กูฟังว่าไอ้พี่ตองแม่งสาวเพียบ กูว่ากูเยอะแล้วนะ แต่คงสู้พี่แกไม่ได้ สมัยอยู่มัธยมอ่ะ พี่แกเคยถูกเรียกให้ออกมาเรียนแยกจากเพื่อนๆเป็นเดือนๆด้วยนะ เพราะอะไรมึงรู้ไหม"

"ทำไมวะ"

"ก็สาวๆตบกันแย่งพี่แกไง ใช่ ตอนกูฟังกูยังอึ้งเลย แต่ก็ไม่แปลกหรอก มึงดูดิ หล่อซะขนาดนั้น แต่ตอนนี้ก็เบาลงไปมากแล้วหละ"

"ยังไงวะ" นี่ไอ้ต้อมมันรู้เรื่องพี่ตองเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

"ก็พี่แกมีคู่หมั้นแล้วไงวะ"

หาาาาาาา!!! ไหนไอ้พี่ตองมันเคยบอกว่าไม่มีแฟนไง

"ก็ไม่ใช่คู่หมั้นจริงจังหรอก แต่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ พี่แอมไง ลีดมหาลัยปีสอง พี่คณะมึงอ่ะ หล่อสุด กับสวยสุด เหมาะสมกันจริงๆ แต่เรื่องของเรื่องอ่ะ มันมาจากที่บ้านเค้าเว้ย พ่อพี่ตองกับพ่อพี่แอมอ่ะ เค้าเป็นคู่ค้าธุรกิจกัน เจ้าของธุรกิจเรือขนส่งสินค้ากับกรมเจ้าท่า เป็นไงล่ะ โคตรจะเอื้อกันเลย ข่าวเรื่องสองคนนี้โดนจับคู่กันไว้ก็เลยหนาหู นี่กูรู้แค่เผินๆนะ รายละเอียดจริงคงมากกว่านี้เยอะ"

"....."

"มึงเป็นไรวะไอ้ชาเย็น"

"เปล่าๆ" กูจะเป็นไรได้หละ "แล้ว... เย็นนี้มึงต้องไปส่งขิงอีกไหม"

"เออ ไป" อ้าว อยู่ดีๆทำไมอารมณ์เสีย

"แค่ไปส่ง จะอารมณ์เสียทำไมวะ หรือขี้เกียจแล้ว"

"ก็เปล่าหรอก.... เออๆ ช่างเหอะมึง ไปหาไรกินดีกว่า กูหิวแล้ว" ดีเหมือนกัน ยังไม่ได้กินไรตั้งแต่เช้า จะได้เลิกคิดเรื่องไอ้พี่ตองด้วย





แล้วตอนบ่ายก็มาถึง ไอ้พี่ตองก็มารับผมไปที่โรงพยาบาลปกติ แต่วันนี้พี่แกไม่ได้อยู่ช่วยงานที่โรงพยาบาล เพราะมีประชุมผู้นำเชียร์ รู้สึกว่า หอคอยเกียรติยศจะเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว เหล่าเจ้าชายและเจ้าหญิงคงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมความพร้อมในกิจกรรมห้องเชียร์

ตกเย็น นายตัวสูงคนเดิมก็มารับกลับ วันนี้มารับตั้งแต่ห้าโมงเย็นเลย เห็นบอกว่า คืนนี้ก็มีเตรียมงานอีก ถ้าจะยุ่งขนาดนี้ ไม่ต้องมาส่งก็ได้ แท็กซี่ก็มี จะยอมลำบากอะไรขนาดนั้น ส่วนน้องโชกุนก็ไม่งอแงแล้ว กลายเป็นเด็กร่าเริงขึ้นมากเลย เข้ากับเพื่อนๆในห้องได้ดี ผมก็สบายใจ แต่จะไม่สบายใจกับไอ้คนขับรถนี้มากกว่า

ถึงจะเจอหน้ากันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ผมก็สัมผัสได้นะว่าพี่เค้ากำลังเครียดๆอยู่ งานลีดนี่มันต้องเครียดขนาดนี้เลยเหรอ

"มีอะไรให้ช่วยไหมพี่" ผมตัดสินใจถามก่อนจะลงรถ

"ทำไมอ่ะ" ยังจะมาถามอีก หน้าเครียดซะขนาดนี้

"เหมือนพี่จะกลุ้มใจอะไรซักอย่าง"

"แอบดูพี่ด้วยเหรอ" แอบบ้าไรหละ ก็เห็นอยู่ชัดๆ "ไม่มีอะไรหรอกครับ งานเยอะ ช่วงนี้มีงานทั้งข้างในข้างนอกมหาลัย พี่ก็เลยวุ่นๆนิดหน่อย"

"ถ้าลำบากไม่ต้องมารับมาส่งก็ได้นะ ผมไปเองได้ ประตูทางเข้าอยู่แค่นี้เอง เดินไปก็ได้ รถไฟฟ้าในมหาลัยก็วิ่งตลอด"

"ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่สัญญาไว้แล้วนิ แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปโรงบาลนะ วันบล็อกกิ้งแล้ว"

เออใช่ ลืมไปเลย ทำงานจนลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ยังไง

"พรุ่งนี้พี่มารับตอนเช้านะ คณะชานัดตอนเช้านิ" ผมยังจำเวลานัดไม่ได้เลย พี่ก็อุตส่าจำได้เนาะ

"ไม่ต้องหรอก ไอ้ต้อมก็ต้องเข้ามหาลัยอยู่แล้ว ผมไปกับมันก็ได้"

"เหรอ ต้อมจะมีเวลามาดูแลชาเหรอ รายนั้นเค้าต้องคอยรับส่งขิงหรือเปล่า"

"หมายความว่าไงอ่ะ" ไอ้พี่ตองไปรู้อะไรที่เราไม่รู้มาเนีย

"เปล่าหรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารับนะ"

"ก็ได้ครับ" ผมลงจากรถ มองตามจนรถพี่ตองจนหายไปจากสายตา



เย็นนี้ว่าง ไอ้ต้อมก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ทบทวนท่าเต้นหน่อยพื้นฐานหน่อยดีกว่า เดี๋ยวถ้าเจ๊ชมพู่รู้ว่าละเลยการซ้อมอันยิ่งใหญ่ของเจ๊แกแล้ว คงโดนบ่นยับ

เห้ออออออ เหนื่อยชะมัด ยังไงการเป็นผู้นำเชียร์ก็ยังห่างไกลจากความเป็นตัวเองมาก นี่แค่ชั่วโมงเดียวเองนะ ไม่ไหวแล้ว ขอสูดอาการข้างนอกแป๊บ ระเบียงจ้า จงเปิดออกกกก



"....." หึ!!!!!

นั่นมัน พี่แอมนี่นา ทำไม....

ถึงมาอยู่ในห้องไอ้พี่ตองได้หละ นั่นไง พี่ตอง กำลังคุยกันอยู่ ในห้อง สองคนด้วย

ไม่รู้ซิ ในใจตอนนี้บอกความรู้สึกไม่ถูกเลย มันก็ไม่แปลกนี่นา เค้าเป็นคู่หมั้นกัน นั่นก็หล่อ นี่ก็สวย ยังไงก็มนุษย์ขี้เหม็นกันทั้งนั้น เรื่องที่เค้าสองคนจะ.... ทำอะไรกันสองคน มันก็คงไม่แปลก แต่ทำไมกูต้อง....

กรรม

ไอ้พี่ตองมองเห็นผมแล้ว เวรละกู เข้าห้องดีกว่า

แล้วทำไมกูถึงต้องหลบด้วยวะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย แต่ถ้าให้มองเค้าสองคนทำอะไรกัน แบบนั้นคง... ทำใจไม่ได้

แต่ไหนไอ้พี่ตองบอกจะไปเตรียมงานไง นี่เหรอวะเตรียมงาน เตรียมคลอดชัดๆ

พอ! เลิกคิดอะไรทั้งนั้น ไปซ้อมต่อ ไปนอน ไปทำอะไรก็ได้



#เสียงโทรศัพท์

พี่ตอง



ไม่รับหรอก ไม่ว่าง ซ้อมเต้นอยู่

และก็อีกเป็นสิบสาย ไม่รับเว้ย



เช้าวันใหม่มาถึง วันบล็อกกิ้ง วันสำคัญที่หมอพิชิตจะต้องสอนท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา

ผมรีบโทรหาไอ้ต้อมให้มันพาผมมาที่คณะ แต่เช้า เช้ากว่าปกติด้วย ไอ้นี่ก็ตอบตกลงง่ายดายเชียว แต่น้ำเสียงหงุดหงิดน่าดู อย่างกับอยากมารับผมเพื่อประชดใคร

ตอนออกมาเหมือนจะเห็นรถไอ้พี่ตองกำลังออกมาเหมือนกัน แต่ไม่ทันแล้วผมออกมาก่อน ไม่อยากเห็นหน้า พูดตามตรงเลย

หลังจากมาถึงคณะ ก็ได้เห็นว่ามีคนมากมายมาเช่นกัน นี่ไม่ใช่แค่วันบล็อกกิ้งของลีดเท่านั้น แต่นิสิตปีหนึ่งทุกคนต้องซ้อมพิธีเปิดด้วย แล้วนี่ก็เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นหน้าค่าตาของเพื่อนๆในเอกเดียวกัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สามคนที่ตื่นเต้นกับตราปั๊มลีดมหาลัยบนป้ายชื่อของผมในวันแรกที่เข้ามาคณะ จะเป็นเพื่อนในเอกเดียวกันกับผมเอง อิช้างร่างใหญ่นั่นคือ เจ แต่นางขอให้เรียกนางว่า เจสซี่ แล้วก็กะเทยหัวโปกอีกคนที่ตัวเล็กกว่าชื่อ เล็ก ส่วนหญิงสาวเพียงคนเดียวชื่อ วาวา

ผมก็กลายเป็นผู้ชายคนเดียวที่แมนที่สุดในกลุ่ม แต่คงโดนเข้าใจผิดไปแล้วหละ ก็อยู่ในแก็งนี้นี่นา แต่เอาเถอะ ถ้าผมเลือกที่จะจริงจังในด้านผู้นำเชียร์ ผมคงไม่มีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆเท่าไหร่ มีเพื่อนไว้ก่อนอ่ะดีแล้ว โชคดีที่กลุ่มนี้สนอกสนใจเรื่องลีดของผมเป็นพิเศษ แบบว่า แทบจะไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ได้เลย ผมเลยยิ่งสะดวกใจที่จะคุยกับพวกนาง

"แกๆ นั่นพี่ตองนี่หว่า" ห๊ะ ใครนะ "ลีดมหาลัยสุดแซ่บ มาคณะเราด้วย" ผมหันไปมองทันที นี่เป็นช่วงพักเที่ยงในโรงอาหารที่วุ่นวาย แต่ทันทีที่ผมหันไป ก็สบตากันเต็มๆ ผมรีบหันกลับทันทีเลย "แก!!!! เหมือนพี่เค้าจะเดินมาทางนี้ด้วย อิเล็กหน้ากูเป็นไงบ้าง ดีไหม"

"อุบาศเหมือนเดิมค่ะ" พวกมึงจะมาทะเลาะไรกันตอนนี้ ไอ้คนที่กูหลบหน้ามันทั้งวันกำลังจะมาทางนี้แล้ว เอาไงดีวะกู

"หือออ สวยตายแหละมึง"

"ขอโทษค่ะ พี่เค้าเป็นผู้ชาย สนใจคนที่มีจิ๊มิอย่างชั้น อดแซบค่ะกะเทย" วาวา ไม่ต้องไปเล่นกับพวกมันก็ได้นะ

"ชะนี ตบนะคะ ปาดหน้าเค้กเพื่อนอ่ะ" อิช้างมึงช่วยหยุดเสียงดังและเลิกทำตัวโด่ดเด่นสักทีได้ไหม แต่ไม่ใช่แค่อิสามตัวนี้นะที่ตื้นเต้น ฮือฮากันทั้งโรงอาหารแล้วตอนนี้

"ของแบบนี้ใครดีใครได้ค่ะ"



"น้ำชา" นั่นไงมึง ไอ้พี่ตอง มาหยุดอยู่ที่โต๊ะกูไม่พอ ยังเรียกชื่อกูอีก อิสามตัวนี้ก็อะไร อ้าปากค้างกันเป็นแถบ "เราต้องคุยกันนะ"

"......" ไม่ตอบ ไม่มองด้วย

"ชา"

"ตอง" นั่นมันพี่แอมนี่นา พี่แกเข้ามาทันเวลาพอดีเลย แต่ทำไมกูไม่รู้สึกดีเลยซักนิด "มาทำอะไรที่คณะแอม"

"มาหาน้ำชา" โห ตอบหน้าตาเฉย อิสามตัวนี้ก็อะไรไม่รู้ พวกมึงจะช็อกกันไปถึงเบอร์ไหน

"มาหาทำไม... แต่มาก็ดีแล้ว แอมมีเรื่องจะคุยกับตอง"

"เดี๋ยวก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับน้อง"

"ตองจะคุยกับน้อง หรือจะคุยกับแอม ต้องให้แอมทบทวนความจำให้ไหม"

ลังเลๆกันอยู่สักพัก ในที่สุดไอ้พี่ตองก็เลือกพี่แอม ทั้งสองคนเดินจากไปในที่สุด

เออ..... เค้าก็ต้องเลือกพี่แอมซิ จะมาเลือกกูทำไม



"มึงรู้จักพี่ตองของกูได้ยังไงคะ พูดค่ะ ไม่พูดกูตบ" อ้าวอิช้าง เดี๋ยวกูก็ต่อยซะหรอก

"ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ" ตอบดื้อๆแม่งเลย

"ไม่รู้จักอะไรคะ เห็นพี่เค้ามาง้อมึงอยู่" ง้อเชี่ยไรของมึง อิเล็ก

"แหมมมม อินี่ก็มารยา ทำเป็นงอนเค้า ดัดจริต" อิช้าง มึงชักจะมากไปแล้วนะ

"ถ้าพวกมึงไม่หยุดพูดนะ กูจะไม่ช่วยพวกมึงเรื่องเรียน พวกมึงขออะไรกูไว้จำได้ไหม" ต้องขู่ซะบ้าง ทีตอนเจอกัน พอรู้ว่ากูเป็นใคร แทบจะกราบเท้าขอให้กูติวให้ ตอนนี้พวกมึงจะมาทำตัวข่มขู่กูเหรอ

"แหมมมม อิเจสซี่มันก็พูดเล่นไป" รีบช่วยเพื่อนเชียวนะวาวา "มึงก็ไปหยอกเพื่อนนะอิช้าง"

"เออใช่ กูนิปากเสียเนาะ" เจ็บสีข้างกันไหมพวกมึงอ่ะ งานแถนี่ถนัดนัก

"เราต้องเข้าข้างเพื่อนเราซิเนาะ" อิเล็ก มึงก็ด้วย "อิพี่แอมต่างหาก บังอาจมาปาดหน้าเค้กเพื่อนเราได้ แหมมมม เห็นผู้ชายไม่ได้ สั่นระริกๆเชียวนะ เดี๋ยววันหลังกูช่วยมึงเองอิชา กูจะไม่ให้พี่ตองของพวกเราทุกคน ตกไปอยู่ในมือใคร"

"อีเล็ก!" มึงไม่ได้หลุดออกไปจากเรื่องนี้เลยนะ

"เอ่อ.... กูว่าปีนี้มึงมีสิทธิ์ได้ลีดคณะนะอิชา" เปลี่ยนเรื่องเชียวนะ แต่ถ้ามึงไม่เปลี่ยนเรื่อง กูจะลงทัณฑ์พวกมึงเดี๋ยวนี้แหละ "แต่ถ้ามึงได้เป็นลีดมออ่ะ กูจองตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวมึงนะ"

"โนค่ะ กูค่ะ กูมีความรู้ด้านลีดดีกว่ามึง" อิช้างของขึ้นเลย

"วัดกันได้นะคะ ตัวใหญ่ไม่ใช่จะสมองใหญ่นะ"

"อ้าว อินี่ มึงด่ากูเหรอ"

"หยุดค่ะกะเทย ไม่ต้องเถียงกัน อิชาไม่ชอบกะเทยเสียงดังอย่างพวกมึงสองตัวหรอก ต้องกูค่ะ สาวน้อยอ่อนหวานอย่างกูเนี่ยแหละ คอนแท็กกับลูกค้าง่าย งานเข้าตรึม กูคิดค่าแรงไม่แพงด้วย"

"โห อิมโน งานนี้จิ๊มิไม่เกี่ยวนะคะ ใครแย่งกู กูจะฆ่าให้เรียบเลย เพื่อนอะไรไม่มีทั้งนั้นแหละ" อิเจสซี่ มึงจริงจังไปไหมเนี่ย "นะๆ อิชา ครั้งหนึ่งในชีวิต กูอยากเข้าไปหอคอยแห่งเกียรติยศบ้าง เผื่ออนาคตกูรุ่งเรือง ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนเจ๊ชมพู่บ้าง"

"มึงรู้จักเจ๊ชมพู่ด้วยเหรอ" อ้าว ข้อมูลใหม่ จะพลาดได้ไง

"ใครไม่รู้จักบ้างมึง" อิเล็กแทรกทันควัน "นั่นหนะ ผู้บริหารกิจการผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยเลยนะ นอกจากจะมีอำนาจในการบริหารงานในตึกลีดมอแล้ว ยังมีคอนแท็กกับเซเลบคนดังเพียบ ผู้กำกับผู้จัดไม่ต้องพูดถึง นางชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้นะคะ อิพี่แอมที่ว่าแน่ เจ๊แกมองจิ๊กทีเดียวคือจบค่ะ"

"จริงเหรอมึง" วาวากูเพิ่งรู้เหมือนกัน "เจ๋งวะ"

"มึงจะเป็นผู้จัดการยังไง ไม่รู้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้คะ" อิเจสซี่ด่า

ทั้งสามยังคงถกเถียงกันต่อไป จนกระทั่งช่วงบ่ายมาถึง



ผมและผู้เข้ารอบสิบหกคน ถูกแยกออกการซ้อมบนเวที ซ้อมเกี่ยวกับตำแหน่งที่ยืนและลำดับการขึ้นลงเวที

ผมในฐานะลีดผู้ชายที่ตัวเล็กที่สุดของคณะ ได้อยู่ริมสุดแน่นอน เห้ออออ ส่วนคนข้างหน้าของผมคือเกตุครับ

เราซ้อมเกี่ยวกับลำดับการขึ้นลงเวที ตั้งแต่แรก ช่วงไหนต้องเต้น ช่วงไหนให้โหวต แต่เรื่องเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา ก็ยังเป็นความลับอยู่ดี ไม่มีการเปิดให้ฟังเลย จะมุบมิบกันไปถึงไหน



เห้อออออ จบสักที

เป็นเวลาบ่ายสาม การซ้อมสิ้นสุดลง ผมก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่โรงพยาบาล โชคดีหน่อยที่หมอพิชิตกำลังจะว่าง พี่พยาบาลหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์คนเดิมก็เลยให้ผมมารอที่ห้องเดิม รอแค่ไม่นาน คุณหมอก็เข้ามา

"บล็อกกิ้งเรียบร้อยแล้วใช่ไหมชา" คุณหมอถามผมทันที วันนี้คุณหมอก็ยังดูเหนื่อยๆอยู่ดี เป็นหมอนี่มันลำบากจังเลยนะ แล้วแกยังจะมาสอนลีดให้อีก นี่เราทรมานคนแก่หรือเปล่าเนี่ย

"ครับคุณหมอ"

"ดีแล้วๆ คือหมอมีเคสผ่าตัดนะบ่ายวันนี้ คงมาอยู่สอนเราไม่ได้ ขอโทษที"

อ้าว แล้วผมจะทำไงละครับ

หึ มีคนเข้ามาอีกแล้ว

"ผมรบกวนให้เจ้าตองสอนแทนนะ ทำงานด้วยกันอยู่แล้ว คงไม่ติดนะ"

เวรกรรมมมมมมมมมมมมม

ติดซิครับหมอ แต่ผมจะพูดอย่างงั้นได้ยังไง  สรุปว่าที่กูหลบหน้ามันมาทั้งวัน สุดท้ายก็ไม่พ้นใช่ไหม เงียบไว้ก่อนละกัน

"งั้นหมอขอตัวนะ ฝากด้วยนะตอง"

"ครับอาจารย์หมอ"



อาจารย์หมอออกไป ผมจะรออะไรหละ ไม่อยู่หรอก ไม่ตงไม่เต้นมันแล้ว ไม่ปงไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ

"เดี๋ยวซิชา" ไม่ต้องมาคว้ากูไว้เลยนะ

"ปล่อย"

"เราต้องคุยกันนะ เรื่องเมื่อคืนนี้อ่ะ...."

"มันไม่ได้เกี่ยวไรกับผมนิ พี่จะทำอะไรก็ทำ ผมไม่อยากเต้นแล้ว ไม่อยากเป็นลีดแล้วด้วย ผมจะกลับหอ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว" ไอ้นี่ก็แรงเยอะชะมัด สลัดไม่หลุดเลย

"หึงพี่เหรอ" หึงบ้านมึงซิ

"ถ้าไม่ปล่อย ผมจะตะโกนให้คนช่วยนะ"

"ถ้าตะโกน พี่จูบ"

ห๊ะ มึงจะทำอะไรนะ กล้าพูดกับกูแบบนี้เหรอ "ถ้าพี่กล้าทำ เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไป"

"....." ไม่ต้องมาทำหน้าสำนึกผิดใส่กูเลย "พี่ขอโทษ งั้นพี่ขอชาอย่างนึงได้ไหม"

"....." สถานการณ์ตอนนี้ มึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาขออะไรกูได้เลยนะ รู้ตัวบ้างไหม

"ช่วยติวเลขให้พี่อีกได้ไหม...." ห๊ะ มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ "ไม่งั้น.....



พ่อพี่จะให้ลาออกจากมหาลัย"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:43:38 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
แปะกฎเล้าด้วยนะครับ :hao5:

แล้วแปะยังไงอะครับ ผมทำไม่เป็น  :heaven

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 10 : ห้องเชียร์





บรรยากาศในห้องซ้อมเต้นคณะวิศวกรรมศาสตร์ กว้างใหญ่ สว่าง เงียบสนิท และตึงเครียด

ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอะไร ผม​ยังโกรธอยู่ไหม หรือผมกำลังใจหาย

หรือเราจะปล่อยให้ห้องซ้อมมันเงียบสนิทแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ผมกับพี่ตองนั่งกันอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องพูดอะไร



"เรื่องลาออกหนะ" สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง จะบ้าหรือไง พักเรื่องหงุดหงิดใจไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าตานี่ออกจากมหาลัยจริงๆ ก็เท่ากับผมล้มเหลวเหมือนกัน

"ครับ เรื่องนั้น" พี่ตองมีสีหน้ากลุ้มใจ เหมือนกับที่กลุ้มใจมาตลอดก่อนหน้านี้เลย "ชารู้ไหม.... การเป็นลูกชายคนเล็กของนักธุรกิจใหญ่ มัน.... ไม่ง่ายเลย"

"....." เดี๋ยวนะ เรื่องมันไปถึงตรงนั้นได้ยังไง แล้วนี่จะน้ำเสียงแย่ขนาดนั้นทำไมหละ เศร้าไปด้วยเลย

"คณะวิศวะ มันดูเท่ใช่ไหม รู้ไหม แต่พี่ไม่เคยมีสิทธิ์เลือกเองเลย" นี่พี่ตองกำลังระบายความทุกข์ใช่ไหม "สาขาคอมพิวเตอร์ที่ต้องเรียน ก็เพราะพี่ชายคนโตจบบรรจุภัณฑ์ และพี่สาวคนกลางจบบริหาร ภาระในงานเทคโนโลยีก็เลยตกมาอยู่ที่ลูกชายคนสุดท้ายอย่างพี่"

"พี่ตอง" ให้ตายเหอะ พี่แบกรับอะไรไว้กันแน่ เห็นพี่เป็นแบบนี้แล้ว รู้สึกผิดชะมัดที่ไปเมินใส่

ผมตัดสินใจลุกมานั่งกับพื้นข้างๆพี่ตอง ขอแก้ตัวที่ทำเรื่องไม่ดีกับพี่ลงไปละกัน

"ชาก็รู้ พี่เรียนเลขได้แย่แค่ไหน พี่พยายามมาตลอด แต่ก็ไม่ดีพอซะที"

ผมเข้าใจเลย เหมือนลีดนี่ไง พยายามสุดชีวิต แต่ก็ไม่รู้สึกว่าดีพอสักที

พี่ตองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูด "พ่อพี่ยื่นคำขาด ถ้าคณิตพี่ยังไม่ดีขึ้น พ่อจะบังคับให้พี่ลาออก และแต่งงานกับแอม"

ห๊ะ!

"....." เหมือนอยากจะพูด นะแต่พูดยังไงดีหละ "ท.. ทำไม"

"เพราะอย่างน้อย มันก็เป็นประโยชน์อย่างเดียวที่พี่จะทำเพื่อธุรกิจได้ อย่างน้อยๆ พี่ก็ทำให้กรมเจ้าท่ากับธุรกิจของที่บ้าน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แล้วอีกอย่าง ต้องยอมรับว่าพ่อพี่ถูกใจแอมไม่ใช่น้อย สวย เก่ง เชิดหน้าชูตาได้ เห็นแบบนั้น แอมเก่งด้านการควบคุมจัดการคนมาก นั่นคงเป็นหมากสำคัญที่พ่อพี่ต้องการในธุรกิจ"

"แล้วพี่ไม่อยาก... เอ่อ แต...."

"ไม่ ชา พี่ยังอายุแค่ 20 พี่ยังเด็กเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตแต่งงาน และมันยิ่งแย่ที่พี่ต้องแต่งงานกับคนที่พี่ไม่ได้รัก"

เฮ้ออออออ

ได้ยินคำนี้แล้ว รู้สึกเหมือนถอนเสี้ยนออกจากเท้าได้สำเร็จ แต่..."แล้วทำไมพี่กับพี่แอมถึงไปอยู่ในห้องด้วยกัน... สองคน"

"ก็คนที่ควบคุมพี่แทนพ่ออยู่ ก็คือแอมไง เพราะพี่ไม่ยอมหยุดไปช่วยงานที่โรงพยาบาล พ่อก็เลยจะส่งครูมาทดสอบพี่ทุกๆสองอาทิตย์ ถ้าพี่ตกแม้แต่ครั้งเดียว เงื่อนไขการแต่งงานก็จะสมบูรณ์"

"แล้วเรื่องที่ว่าจะให้ลาออกจากลีดมหาลัยละครับ" ไหนๆก็มาถึงตรงนี้แล้ว ถามให้หมดเลยก็แล้วกัน

"นั่นเป็นความคิดของพี่เอง เพราะงานลีดทำให้พี่มีเวลาพัฒนาวิชาเลขเลย แต่พ่อพี่ไม่มีทางยอมให้พี่ลาออกแน่นอน ภาพลักษณ์ของลีดมหาลัยมัณฑนา ไม่ได้มีผลแค่ในรั้วมหาลัยนะ แต่ส่งผลถึงภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจด้วย"

อะไรวะ อะไรๆก็ธุรกิจไปหมดเลย อยากให้ลูกเก่งคณิต แต่ไม่ให้โอกาสลูกได้เรียน แล้วยังบังคับให้แต่งงานอีก นี่พ่อพี่ตองเป็นคนแบบไหนกันแน่

แต่พอฟังมาถึงตรงนี้ เข้าใจคำว่า เข้าใจผิด และไม่ฟังเหตุผล ที่สุดเลย

ไม่ได้แล้วแบบนี้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

"งั้นผมจะช่วยพี่เอง ผมจะติวคณิตศาสตร์ให้พี่เองครับ"

"...." อ้าวทำไมไม่พูดอะไรเลย ก็ไหนตอนอยู่โรงพยาบาลยังขอร้องเราอยู่เลย "ถึงพี่จะออกปากขอชาเอง แต่ชาก็มีภาระที่ต้องทำอยู่แล้ว พี่ดูออกนะ เชียร์ลีดเดอร์ไม่ใช่ทางของชาเลย"

เฮ้ออออออ  ใครๆก็ดูออกทั้งนั้นแหละ นี่ยิ่งตอกย้ำว่าเราไม่มีพรสวรรค์จริงๆด้วย

"ช่างเรื่องของชาเถอะน่า เรื่องของพี่ตองสำคัญกว่า นี่มันอนาคตเลยนะ พี่สอบตกผมก็แย่ซิ"

"ชาจะแย่ได้ไงครับ ไม่มีพี่ ชาก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาติวให้"

"ก็...." พี่เป็นเหตุผลใช้ชามาเรียนที่นี่ไง "ถ้าไม่มีพี่ ใครจะสอนชาให้เป็นลีดมหาลัยหละ"

"ชาอยากเป็นลีดมหาลัยจริงๆเหรอ พี่นึกว่าชาแค่.... อยากอยู่ใกล้ๆพี่ซะอีก"

"....." ช็อกเลยกู เปลี่ยนอารมณ์ไวจัง ตอนนี้ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้ายังไงออกไป แต่ทำไมพี่เค้า... พูดได้ถูกต้องขนาดนี้ แล้วนั่นยิ้มทำไม "ใกล้บ้าใกล้บอไรหละ ไอ้พี่ตอง นี่อุตส่าหายโกรธแล้วนะ" กูต้องเปลี่ยนเรื่องให้เร็วเหนือแสงให้ได้

"แล้วโกรธพี่เรื่องไรหละ เรื่องที่พี่แอมมาอยู่ในห้องพี่อะเหรอ"

ฟาวด์เลยกู ผลการเปลี่ยนเรื่องคือกับดักฆ่าตัวเอง "ใครบอก ชาโกรธเรื่อง.... ร... เรื่องพี่โกหกชาว่าจะไปประชุมต่างหากหละ นี่ถ้าชาไม่ออกไประเบียง ก็คงไม่เห็นหรอกว่าพี่โกหก" ทำไมการโกหกมันยากจังวะ

"จริงอ่ะ"

"ใช่ นี่ชายังโกรธอยู่เลยนะ" เอาวะ โกหกแล้วนิ ยังไงกูก็ต้องไม่แพ้ในเกมส์นี้

"แล้วพี่จะง้อยังไงดีน่าาาาา" อะไรของพี่แกวะ ดูมีความสุขแปลกๆ "พาไปกินแกงเห็ดดีไหมน่าาาาา"

เห้ยยยยยยยยย

ไอ้บ้าพี่ตอง มันรู้ได้ไง ไปเอาข้อมูลลับสุดยอดนี้มาจากไหม

"ร้านอาหารไทยอร่อยๆอยู่ไกลซะด้วย พาไปดีไหมน่าาาาา" ทำเป็นมาถือไพ่เหนือกว่า ไอ้บ้าเอ๊ย พูดถึงทำไมเนี่ย น้ำลายไหลเลย ไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้ว

"ไม่เห็นจะอยากกินเลย" ทำไมกูพูดแบบน้านนนน จะร้องไห้

"อ่ะๆ ไม่แกล้งแล้วๆ เอาเป็นว่า เข้าใจพี่แล้วนะ ไม่ต้องหายโกรธก็ได้ แค่เข้าใจพี่ก็พอ ได้ไหม"

นี่มันใช่มุกที่มันใช่จีบสาวของไอ้พี่ตองเปล่าวะ ทำไมมันฟังดูแล้ว ชวนให้ใจอ่อนจัง

"ชาาาา ได้ไหม"

อือหืออออ มีรอคำตอบด้วย "ซ้อมเต้นเถอะน่า เวลามีน้อย ไหนจะต้องไปกิน.... เอ้ย ไปติวต่อให้พี่อีก"

"นั่นแน่... งั้นถ้าพาไปกินแกงเห็ดแล้วต้องหายโกรธพี่นะ ไม่งั้นพี่ไม่ติวจริงๆด้วย"

"โอ๊ะ หน้าด้านเนอะ ผลประโยชน์ของตัวเองชัดๆ มาใช้เป็นข้อต่อรองได้ไง"

"หรือชาอยากให้พี่สอบตก"

โอ๊ยยยย ไอ้บ้าพี่ตอง "เออๆๆ มาซ่อมได้แล้ว ชารีบ"

"ครับบบบบบ.... ว่าแต่ เรียกแทนตัวเองว่า ชา แบบนี้ ก็น่ารักดีนะ"

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย

เออ 

กูเขิน

กูยอมรับก็ได้





กว่าจะเริ่มซ้อมได้ ต้องผ่านช่วงดราม่าตั้งนาน

แต่พูดก็พูดนะ ไอ้พี่ตองมันก็สมกับคำล่ำลือจริงๆ ไม่ใช่แค่หล่อ เท่ แต่การเต้นสมบูรณ์แบบและทรงพลังมาก อย่างกับเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ๊ชมพู่เลย

ตลอดสามชั่วโมง พี่ตองสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฆนา ตั้งแต่แรกจนจบ แต่ความคืบหน้าไปเป็นอย่างเชื่องช้า ใช่ครับ เป็นความผิดของผมเองที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย ดีหน่อยที่ได้ฝึกพื้นฐานมาก่อน

พี่ตองยังคงสอนอย่างใจเย็น แต่เข้มงวด พี่เขาไม่ยอมให้ผมผ่านแต่ละท่าได้ง่ายๆ จนกระทั่งหกโมงเย็นมาเยือน

ผมถูกพาตัวไปที่ร้านอาหารไทยอย่างที่พี่ตองสัญญาไว้ แน่นอนซิ ผมก็ต้องอารมณ์ดีขึ้นมาอยู่แล้ว ถ้าได้ของกิน ยิ่งเมนูโปรดหายากแบบนี้ด้วยแล้ว เรื่องโกรธเรื่องงอนอะไรนั่น เลิกพูดไปได้เลย

หลังทานข้าวเสร็จ แทนที่จะเป็นคิวที่ผมต้องเป็นคนสอนบ้าง ผมกลับถูกพาตัวกลับมาที่ห้องซ้อมของคณะวิศวะอีกครั้ง พี่ตองบอกว่าการเต้นของผมยังหากไกลกับคำว่า ผ่าน อยู่มาก จึงยังไม่มีการติววิชาเลขในวันนี้ โชคดีที่ไม่มีใครมาจองห้องซ้อมต่อเลย พี่ตองก็เลยขอยืมห้องยาวจนถึงดึก



"ทำไรหนะ" ไอ้พี่ตอง ถอดเสื้อครับ ผมเข้าใจนะว่ามันเหงื่อเต็มตัวแล้ว แต่พี่จะเอ๊ะอะถอดเสื้อแบบนี้ไม่ได้นะ

"เสื้อมีแต่เหงื่อเต็มไปหมดเลย"

เออ กูรู้แล้ว แต่จะมาสอนทั้งที่ถอดเสื้อได้ไงหละ วันทั้งวันนี่ก็โดนจับเนื้อต้องตัวมาตลอด แต่ถ้าจะมาจับเหมือนเดิมในขณะที่ถอดเสื้อด้วย ใครจะไป.... ไม่เอาอ่ะ

"ไม่ได้ ใส่เสื้อเลยนะ แล้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนหรือไงเล่า"

"ก็ไม่มีนะซิครับ ทำไมอ่ะ เขินเหรอ จะถอดกับพี่ด้วยก็ได้นะ"

"ไอ้บ้า ไม่ถอดเว้ย"

"แต่เสื้อพี่เปียกหมดแล้วอะ ใส่ซ้อมต่อไม่ไหวหรอก"

ไอ้พี่ตอง ไอ้บ้า กูนี่ก็โง่จริง เมื่อไหร่จะเต้นได้สักที สี่ทุ่มแล้วนะ

"อีกแค่นิดเดียวก็จะจบเพลงแล้ว นี่ไงท่อนสุดท้ายแล้วด้วย"

ก็ได้วะ แค่สนใจท่าเต้น อย่าไปสนใจอย่างอื่น "งั้นก็รีบเลย ดึกแล้ว"

"ท่าสุดท้าย ทำแบบนี้นะ วาดแขนสองข้างมาเหมือนกับว่าจะกอดตัวเอง แล้ว...."

ทำไมกล้ามเนื้อไอ้พี่ตองมันถึงได้สวยงามขนาดนี้วะ ต้องออกกำลังกายยังไง ความสูงนี่ก็ได้เชื้อใครมา พ่อหรือแม่ ทำไมถึงเป็นคนที่เหงื่อออกแล้วดูเท่แบบนี้

"ชา!"

"ครับ" นี่กูเม่อเหรอ นี่เพิ่งจะเตือนตัวเองไปแท้ๆ อยากจะตบเกรียนตัวเองสักที

"ถ้าพี่ทำให้ชาไม่มีสมาธิ พี่ใส่เสื้อก็ได้นะ"

"....เกี่ยวไรเล่า ไม่เสียสมาธิซะหน่อย"

"อ่ะ ไม่เสียก็ไม่เสีย งั้นเต้นตามที่พี่บอกเมื่อกี๊ซิ"

"บอกไหนอ่ะ"

"ก็ทีบอกเมื่อกี๊ไง"

มันบอกไปแล้วเหรอวะ ทำไมไม่เห็นจำได้เลย

นั่นไงโดนถอนหายใจใส่เลย "อ่ะ เอามือเข้ามาแบบนี้" นี่ไงที่กลัวที่สุด โดนจับมือให้ทำจนได้ แล้วแบบนี้จะมีสมาธิได้ไง

ไม่ได้ๆ ตั้งใจๆ

"สุดท้ายก็จบแบบนี้"

แล้วทำไมท่าจบต้องเป็นท่ากอดด้วยหละ

ให้ตายเหอะ......

อบอุ่นชะมัด

"จำได้ยังครับ" ผมถูกปลุกจากพะวังอีกครั้ง

การกอดเมื่อกี๊ ทำไมมันดูจริงจังจังหละ หัวใจเต้นแรงไม่หยุดเลย

"ก็พอจำได้แล้ว... ครับ"

"งั้นก็ดีแล้วครับ คราวนี้ก็ซ้อมเต้นยาวไปกับเพลงเลย จนกว่าจะไม่ผิดและจำได้ อย่างน้อยติดกันสามรอบ ก็ถือว่าผ่านครับ"

ห๊ะ  กูหายเคลิ้มเลย "เอาจริงเหรอ"

"ชาทำได้ พี่มั่นใจ" ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ "ยิ้มแบบนี้ด้วยนะตอนเต้นอ่ะ ยิ้มตลอดทั้งเพลงเลย"

หึ๊!!! นี่กูยิ้มอยู่เหรอ "ทีพี่ยังไม่เห็นยิ้มทั้งเพลงเลย"

"ก็พี่ไม่ได้เหมาะกับการยิ้มตลอดเวลานิครับ ชาเหมาะกว่า"

"เหมาะยังไง" ผมลองสังเกตตัวเองยิ้มในกระจก ดูแปลกๆยังไงไม่รู้ ยิ่งยิ้มยิ่งดูแต๊ว ไม่เอาหรอก

"ก็มันทำให้พี่รู้สึกดี คนอื่นเห็นก็ต้องรู้สึกดีเหมือนกันซิครับ"

"...." นี่ก็ขยันหยอดจริง กูไม่ใช่สาวในคอเล็คชั่นนะ "เปิดเพลงได้แล้ว"



เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

ถอนหายใจยาวกว่านี้ได้อีกไหม

ในที่สุดผมก็ทำได้ สามรอบติดที่ไม่ผิดเลย แต่ไม่นับรวมสามสิบรอบก่อนหน้านี้นะ

อยากจะขอบคุณพี่ตองนะที่คอยเต้นด้วยทุกรอบเลย

ขอบคุณความใจสู้ของตัวเอง ขอบคุณที่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สำเร็จจนได้

นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

ผมนั่งรอไอ้พี่ตองเก็บข้าวของในห้องซ้อม คิดถึงเตียงนอนจังเลย จะนอนให้เต็มที่ไปเลย.......

.............................

................

......



"ไอ้ชา" เสียงใครวะ

"ไอ้ชาเย็น" อยากเพิ่งกวนได้ไหม ขอนอนก่อน

"ไอ้สัด"

สะดุ้งเลยกู

"อะไรวะ จะนอน"

"อาบน้ำก่อนไหม มึงดูสภาพตัวเองก่อน" ไอ้ต้อมพยายามเรียกสติผม

นี่กูมาอยู่นี่ไงได้วะ โซฟาคุ้นๆแฮะ อ้าว ห้องกูนี่หว่า ชุดเดิมที่เปียกไปด้วยเหงื่อ

"กูมาได้ไงวะ" ผมถามเพื่อนทันที

"โน่นไง" ไอ้ต้อมชี้ไปที่โต๊ะกินข้าวในห้องผม นั่นพี่ตองนี่หว่า หลับฟุ้บไปกับโต๊ะแล้ว แล้วใส่ชุดอะไรหนะ ดูคุ้นๆ "พี่เค้าอุ้มมึงมาส่งเนี่ย ดีนะที่กูเห็น มึงซ้อมหนักกันจริงเปล่าวะ หรือไปทำไรกันมากันแน่ ทำไมหมดเรี่ยวแรงกันขนาดนี้... ไอ้พี่ตองนี่ก็เหลือเกิน กูไล่ให้กลับก็ไม่กลับ บอกว่าจะรอมึงตื่นก่อน กูก็เลยให้ไปอาบน้ำ แต่กูมีแค่ชุดหมีนั่นแหละที่พี่แกจะใส่ได้ แล้วดูดิ เหนื่อยจนหลับไปอีกคน"

นี่ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นด้วยวะ ปลุกก็ได้นี่นา จะอุ้มมาทำไม

"มึงไม่ต้องไปห่วงเค้าหรอก มึงไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวกูปลุกพี่แกให้ บอกว่ามึงตื่นแล้ว ไม่ได้เป็นลมอย่างที่พี่แกกังวล"

"ไม่ต้องมึง" ผมรีบห้ามไอ้ต้อมเลย "ให้พี่เค้านอนเถอะ เค้าคงเหนื่อยเพราะสอนคนโง่อย่างกูนี่แหละ"

"นอนท่านั้นอะนะ กูว่าเหนื่อยกว่าเดิมอีก"

เออ จริงด้วย "งั้นช่วยกูแบกพี่เค้ามานอนที่เตียงหน่อย"

"อะไรของมึงวะ" ไอ้ต้อมมองหน้าผม สงสัยอย่างแรง "เออๆ มึงไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวกูจัดการเอง ดึกแล้ว จะได้นอนซะที  ไปๆ วุ่นวายจริงเลยพวกมึงนิ"

มันก็บ่นนะ แต่ก็ช่วยเหลือเต็มที่

ผมโดนไล่ให้มาอาบน้ำ ก็รีบอาบซิครับ รู้สึกยังเหนื่อยๆอยู่เลย เข้าใจแล้วว่าเผลอหลับไปได้ยังไง แล้วคนสอนจะไม่เหนื่อยยิ่งกว่านี้อีกเหรอ

ทำไมต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ด้วย



หลังอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกจากห้องน้ำ พี่ตองถูกพามานอนบนเตียงเป็นที่เรียบร้อย ไอ้ต้อมก็ไม่อยู่แล้ว มันคงจะอยากนอนจริงๆ

ให้ตายเหอะ เป็นคนบอกให้พาพี่ตองมานอนที่เตียงนะ แต่ทำไมกูต้องเก้ๆกังๆตอนจะนอนใกล้พี่เค้าด้วยละเนีย

เนื้อตัวอุ่นจัง ขนาดไม่ได้โดนตัวนะ แต่ภายใต้ผ้าหุ่มผืนเดียวกัน ความอบอุ่นมันแผ่ครอบคลุมออกมาได้กว้างขวางจริงๆ



"น้ำชา" หึ ไอ้พี่ตอง ยังไม่หลับเหรอ

อ้าว ละเมอเหรอ นี่ถึงขั้นละเม่อชื่อกูเลยเหรอวะ สงสัยเหนื่อยเพราะเราจริงๆ

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ นี่จะทำไรหน่ะ

จู่ๆไอ้พี่ตองมันก็ดึงผมเข้าไปกอด กอดไว้แบบเต็มตัวเลย อย่างกับผมเป็นหมอนข้าง

ปล่อยยยย

​ผมดิ้นอยู่สักพัก.....

 ลิกต่อสู้ละ ก็ถ้าไอ้คนกอดจะตัวใหญ่แรงเยอะขนาดนี้ ดิ้นยังไงก็ไม่รอดหรอก

เอาเถอะ นอนดีกว่า โดนกอดไว้แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกันแฮะ ทั้งอุ่น ทั้งรู้สึกปลอดภัย

พรุ่งนี้ค่อยโวยวายด่ามันทีเดียวก็ได้........



"ตื่นแล้วเหรอครับ"

เสียงทักทายแรก หลังจากผมลืมตาตื่น

เห้ย!! ลืมไปเลยว่าไอ้พี่ตองนอนอยู่บนเตียงด้วย แล้วมานั่งมองหน้าทำไม

"ยังไม่กลับอีกหรือไง" ทำไมคำพูดแรกตอนเช้า มันพูดลำบากจัง

"ก็รอชาตื่นอยู่ไง"

"รอทำไม"

"น้ำเต้าหู้ตอนเช้า" หา! ไอ้พี่ตองชี้ไปที่โต๊ะอาหาร มีน้ำเต้าหู้ปาท่องโกวางอยู่บนโต๊ะ

แล้วนี่รู้ได้ไงว่าชอบกินน้ำเต้าหู้ตอนเช้า ทำไมหลังจากเข้ามหาลัย ถึงได้รู้สึกเหมือนโดนล่วงความลับแทนวะ ผมดิต้องเป็นคนรู้เรื่องของไอ้พี่ตอง

"เห็นแล้ว งั้นก็กลับไปซิ"

"จะไม่ให้พี่กินด้วยเลยเหรอ พี่อุตส่าลงไปซื้อร้านที่ชากินประจำให้เลยนะ ใส่ชุดหมีไปซื้อด้วย อายจะตายชัก"

นั่นไง ผมกำลังโดนเอาคืนจริงด้วย

"เมื่อคืนพี่ซ้อมให้เหนื่อยนะ แค่ขอกินด้วยแค่นี้เอง..."

"อ่ะๆๆๆ ก็ไปกินซิ ไม่รีบเข้ามหาลัยหรือไง วันนี้เปิดเรียนแล้วนะ"

"อีกตั้งเป็นชั่วโมง หอพี่อยู่แค่นี้เอง"

ไม่คุยด้วยแล้ว ไปกินดีกว่า

พี่ตองเดินยิ้มมากินที่โต๊ะเหมือนกัน อารมณ์ดีอะไรนักหนา

แล้วเป็นอะไรหน่ะ ทำไมทำท่าแบบนั้น

"ปวดไหล่เหรอ" ผมถาม

"ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ไม่ได้ซ้อมเต้นนานๆแบบนี้มานานแล้ว ร่างกายคงต้องการเวลาปรับตัวนิดหน่อย"

ความผิดกูเต็มๆเลย แล้วก็ไม่ต้องมายิ้มกบเกลือนเลยนะ

"จะไปไหนเหรอครับ" เดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องถาม

ผมต้องรับผิดชอบซิ

คือ สมัยก่อนอ่ะ ตอนที่ผมพยายามเล่นกีฬาตามไอ้คนตัวสูงนี่ ผมก็มีช่วงยากลำบากเหมือนกัน ทั้งบาส ว่ายน้ำ แต่ก็มีสิ่งที่ช่วยให้ผ่านมาได้ การนวดไง ตอนนั้นผมไปหาหนังสือมาอ่านแล้วก็สอนให้แม่นวดให้ ความรู้นั้นยังติดตัวอยู่ นวดไหล่แค่นี้ ทำได้สบายมาก

"ช...ชา" ไอ้พี่ตอง นิ่งไปเลย

ผมนวดโดนจุดเจ็บหรือเปล่าหว่า แต่นี่ก็ทำตามหลักสูตรแล้วนะ

อ้าว  อะไรวะ อยู่ดีๆก็ลุกออกไป

"พี่กลับก่อนนะ"

ห๊ะ อะไรวะ เดินออกไปเลย ยังไม่ได้พูดไรเลย เพิ่งกินไม่ใช่เหรอ หรือว่าบ้าจี้ ไม่ชอบโดนนวดเหรอ ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจอะไรเลย



มื้อเช้าที่งงงวยผ่านไป ไอ้ต้อมพาผมมาส่งเข้าคลาสเรียนแรกแต่เช้า ก็ไม่มีอะไรครับ อาจารย์ส่วนใหญ่รู้จักผมอยู่แล้ว ก็เขินนะครับ ผมหนะ ถึงจะมั่นใจในทักษะด้านคณิตศาสตร์ของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองถึงขั้นว่าเป็นอัจฉริยะอะไร มันคือความถนัดมากกว่า

การเรียนวันแรกของผมจึงไม่มีอะไรน่าห่วงนัก แต่อิสามตัวเพื่อนผมเนี่ย รู้สึกว่ามันจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ผมอธิบายคำตอบในชั้นเรียนเลยนะ อันนี้พวกมึงไม่ต้องมาตื่นเต้นหรอก ตอนบ่ายโน่น ตื่นเต้นของจริง



"สวัสดีครับ"

"สวัสดีค่ะ"

นี่มหาลัยเรามีจอแสดงภาพเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เคยสังเกตมาก่อน

จู่ๆ ทีวีเครื่องเล็ก เครื่องใหญ่ จอโฆษณา และแม้กระทั่งจอยักษ์ทรงกลมกลางมหาวิทยาลัยที่ผมเข้าใจว่าเป็นแท้งน้ำ ก็ถูกฉายภาพพร้อมเสียงของผู้ดำเนินรายการอย่างพร้อมเพรียงกัน

"ในที่สุดก็ถึงเวลานับถอยหลังการเปิดกิจกรรมห้องเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาของเราแล้วนะครับ"

"ใช่แล้วค่ะ พี่ปืน"

พิธีกรทั้งสอง น่าจะเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยจากสักคณะนึงนี่แหละ

"น้องหญิงรู้ไหมครับว่า การถ่ายทอดสดบรรยากาศงานเปิดห้องเชียร์มหาวิทยาลัยของเราเนี่ย เป็นที่จับตามองจากทั่วทั้งประเทศเลยนะครับ เพราะเรามีการส่งสัญญาณถ่ายทอดสดในช่องเคเบิ้ลหลักของมหาวิทยาลัยและหลากหลายช่อง ไหนจะบนแฟนเพจเชียร์ลีดเดอร์ไทยแลนด์ รวมถึงวันนี้เราก็ได้รับเกียรติจากผู้กำกับ ผู้จัดละครมากมาย รวมถึงพระเอกนางเอกแถวหน้าของประเทศหลายท่าน ซึ่งบางท่านเนียก็เป็นอดีตผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยของเราด้วยครับ"

"จริงเหรอคะพี่ปืน แล้วเค้าอยู่ที่ไหนเอ่ย หญิงอยากไปขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ"

"ไม่ได้แน่นอนครับ ยกเว้นว่าน้องหญิงจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนา เพราะตอนนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านกำลังนั่งชมการถ่ายทอดสดจากในอาคารผู้นำเชียร์หรือที่เราเรียกกันว่า หอคอยแห่งเกียรติยศ นั่นแหละครับ และร่วมชมบรรยากาศสดๆไปพร้อมกับเราและคุณผู้ชมทุกท่านครับ"

"เรียกได้ว่าความยิ่งใหญ่ของปีนี้ จะไม่ยิ่งหย่อนไปจากทุกๆปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอนใช่ไหมคะพี่ปืน ดูกันไปยาวๆตลอดการจัดกิจกรรมห้องเชียร์กว่า 90 วัน แบบนี้อดใจรอแทบไม่ไหวแล้วค่ะ อยากจะให้ถึงเวลาเปิดห้องเชียร์เร็วๆจังเลย"

"แล้วน้องหญิงตั้งตาคอยอะไรมากที่สุดสำหรับกิจกรรมห้องเชียร์ปีนี้ครับ"

"แน่นอนซิค่ะ เพลงมิ่งขวัญมัณฑนา จะมีนิสิตที่ผ่านเข้ารอบคนใดหรือไม่ที่สามารถเต้นเพลงสุดยอดความลับนี้ได้"

"ปีที่แล้ว ก็มีแค่นิสิตนาวาพลจากคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือเจ้าชายตอง ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ แล้วปีนี้จะมีใครทำได้อีกหรือเปล่าน้า น่าติดตามจริงๆเลยครับ"

"แล้วก็ที่น่าติดตามกว่านั้นค่ะพี่ปืน เหล่าแขกผู้มีเกียรติ หลังชมการโชว์เพลงมิ่งขวัญเรียบร้อยแล้ว จะมีการเดินทางไปร่วมโหวตให้น้องคนไหนบ้างหรือเปล่า ถึงแม้จะมีคะแนนแค่คะแนนเดียวเท่าๆกับทุกๆคน แต่หนึ่งคะแนนจากบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดาแน่นอนค่ะ"

"ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นนะครับ แบบนี้ เราไปเรียกน้ำย่อยด้วยการชมรีรันไฮไลท์บรรยากาศการเปิดห้องเชียร์เมื่อปีที่แล้วกันก่อนดีกว่าครับ"



นี่มันวันโลกแตกชัดๆ จริงจังเบอร์นี้เลยเหรอ ซวยแล้วกู

"พี่ตองของฉ้านนนนน" อิช้างร้องทันทีที่หน้าพี่ตองโผล่ขึ้นมาบนจอ

"นั่นก็พี่ท๊อปนี่นา ดีอะแก" อิเล็กก็เอาด้วย

"นั่นๆแก พี่แอมนี่นา ถึงจะมายุ่งกับพี่ตองของพวกเรา แต่นางก็สวยจริงไรจริง" วาวา เอาเข้าไป ท่าทางฟินกันเนาะพวกแกเนีย

"อิชา มึงจะทำหน้าอย่างงั้นทำไมวะ นี่ๆ กินเข้าไป จะได้มีแรง"

"กูกินไม่ลงว่ะ" ตื่นเต้นสุดๆ

"โอ๊ยมึง มึงไม่ต้องตื่นเต้นหรอก พวกกูไปเที่ยวหาเสียงให้มึงมาแล้ว รับรองมึงได้ชัวร์ พวกกูเป็นกำลังใจให้ เต็มที่มึง"

"แต่กูว่า.... มึงคงไม่อยากได้กำลังใจจากพวกกูหรอก ดูโน่นซิ" วาวาชี้ไปไหน



เห้ยยยยยยยย

พี่ตอง  เจ๊ซีซี่



"ไม่เจอกันนานนะน้ำชา" เจ๊ซีซี่กล่าวทัก

แต่ผมเนี่ย มองอยู่คนเดียวเลย พี่ตอง วันนี้มาให้ชุดนิสิต เสริมหล่อมาแล้วเรียบร้อย ก็หล่ออย่างเคยนั่นแหละ หล่อเหมือนวันแรกที่เข้ามหาลัย หรืออาจจะหล่อเหมือนวันแรกที่ได้พบกันในเหตุการณ์จมน้ำ เมื่อแปดปีที่แล้ว

พี่ตองยื่นไม้แขวนถุงผ้าสีเงินให้ผม ​อะไรอ่ะ

​"เสื้อที่พี่หนุงสั่งตัดไว้ให้" พี่ตองบอก "พี่เอามาให้" นี่ใส่ใจเราขนาดนี้เลยเหรอ

"จริงๆใช้เจ๊ก็ได้ค่ะตอง จะต้องวุ่นวายออกมาจากตึกลีดทำไมก็ไม่รู้.... อะนี่น้องน้ำชา นี่เป็นชุดเสริมหล่อของพี่ตองเค้า พี่ตองไม่ต้องใช้แล้ว เสร็จแล้วค่อยเอามาคืน รีบไปเตรียมตัวไป"

"หนูช่วยเองค่ะ" อิเจสซี่คว้ากล่องเครื่องสำอางอย่างรวดเร็ว และแน่นอน อีกสองคนที่เหลือก็อยากได้เหมือนกัน

"ระวังค่ะลูก แต่ละอย่างมันแพงนะคะ"

"โทษทีค่ะคุณแม่" อิเล็กเขิน

"ตื่นเต้นไหม" พี่ตองถามผม ก็รู้สึกดีนะ แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี

"ค... ครับ"

"ไม่ต้องกังวลนะ ทำให้เต็มที่ก็พอ ยิ้มไว้"

"ขอบคุณครับ" ขอบคุณที่อุตส่ามาให้กำลังใจนะครับ

"พวกพี่ต้องกลับเข้าตึกลีดแล้วนะ ขอออกมาได้แค่แป๊บเดียว สู้ๆนะน้ำชา ฝากพวกเธอช่วยดูน้ำชาหน่อยนะ" เจ๊ซีซี่เร่งให้พี่ตองกลับ

ถึงจะไม่อยากให้ไปก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ละสายตากันไปจนได้

"รีบกินมึง เดี๋ยวบ่ายโมงห้องเชียร์ก็จะเริ่มแล้ว"



ผมและเพื่อนทั้งสาม เร่งทานอาหารกลางวัน เพราะต้องรีบเตรียมตัวต่อ

ผมเปิดคลิปที่พี่หนุงเคยแนะนำการปรับลุคให้พวกนั้นดู ก็สมกับที่ชอบเรื่องความสวยความงามกันอยู่แล้ว ดูรอบเดียวก็เข้าใจและลงมือทำได้เลย เสื้อผ้าที่ได้มาถูกสวมใส่ หน้าตาที่จืดชืดก็ถูกลงงานศิลปะ ทรงผม มือ เล็บ ถุงเท้า รองเท้า ทุกอย่างพร้อม คงเหลือแค่ผมคนเดียวนี่แหละที่ไม่พร้อม



#มี 1 ข้อความ



​พี่ตอง : สู้ๆนะครับ พี่มองชาอยู่เสมอนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:44:41 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 11 : เปิดโหวต





ห้องพักของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ วุ่นวายจอแจไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เจ้าหน้าที่ ช่างภาพ รุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ เดินขวักไขว่ไปพร้อมเสียงประชาสัมพันธ์ทางโทรศัพท์ ดนตรีรื่นเริงอันเป็นสัญญาณของพิธีเปิดห้องเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาอย่างเป็นทางการ

แต่.....

ไม่อาจมีสิ่งใดทำลายช่วงเวลาอันวิเศษนี้ของผมไปได้

หลังได้รับข้อความจากพี่ตอง ​สู้ๆนะครับ พี่มองชาอยู่เสมอนะครับ

​ก็คล้ายกับว่าห้องทั้งห้องนั้นไม่เหลือใคร

เหมือนว่าพี่เค้านั่งอยู่ตรงนี้ข้างๆผม เหมือนเสียงของพี่ตองกระซิบอยู่ข้างๆหู



"น้ำชา"

ห๊ะ  ใครเรียกหว่า

"ยิ้มอะไรจ๊ะ ไม่ตื่นเต้นเหรอ" อ๋อ เกตุนี่เอง

"ตื่นเต้นซิ" ผมรีบเก็บมือถือและกลับมาอยู่ในบรรยากาศวุ่นวายเช่นเดียวกับคนอื่น

"วันนี้หล่อเป็นพิเศษนะ"

ว้าวววว  มีคนชมว่าหล่อสักที "ขอบใจนะ พวกแก๊งนางฟ้าที่เอกแต่งตัวให้หนะ เกตุก็สวยนะ สวยมากเลย อาจจะมีสิทธิ์ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยด้วยนะเนี่ย"

"บ้า ก็พูดไป เราไม่ได้สวยเป็นนางฟ้าเหมือนพี่แอมนะ"

"....." ชื่อนี้อีกแล้ว

"ได้ข่าวว่าสนิทกับพี่ตองเหรอ เห็นคนพูดกันให้แซดเลยว่า พี่ตองมาให้กำลังใจเมื่อกลางวัน เราก็นึกว่า น้ำชากับพี่ตองไม่ถูกกันซะอีก ก็วันสัมภาษณ์..."

"บังเอิญเรากับพี่เค้าจำเป็นต้องร่วมงานกันหนะ ก็เลยได้คุยกันมากขึ้น" รีบแก้ข่าวๆ

"แบบนี้พี่แอมไม่หึงแย่เหรอ"

เอาแล้วไงกู เห้ออออออ

"ไม่หรอก ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย"

"นั่นซิเนาะ เราควรจะคิดเรื่องของวันนี้ก่อน.... ดูนั่นซิ พี่ท๊อปนี่นา" เกตุเรียกให้ผมดูพี่ท๊อปซึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องอันวุ่นวาย



โห ไม่เจอกันนานเลย พี่แกดูมีออร่ามากๆ ขาวหล่อ สว่างวาบ

"ไงน้ำชา เด็กในสังกัดพี่" พี่ท๊อปมาถึงก็แซวเลย

"เชิญนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ" เกตุยอมสละที่นั่งด้านข้างของผม แล้วเดินไปพูดคุยกับผู้เข้ารอบคนอื่นๆต่อ

"ไม่เจอกันนานเลยนะพี่"

"ไม่เจอกันไม่กี่วันนี่หล่อขึ้นเยอะเลยนะ ราศีผู้นำเชียร์ก็จับ ดูแปลกๆนะ ไม่ทำอะไรมาหรือเปล่า"

เยอะแยะเลยแหละ "ก็นิดหน่อยอะพี่"

"ไม่ได้แล้ว แบบนี้ถ้าได้เป็นลีดคณะต้องมีไรตอบแทนพี่บ้างนะ"

"โห พี่ อย่างผมเนีย จะได้เหรอ"

"ก็.... น่าจะได้นะ เสริมหล่อมาขนาดนี้แล้ว อื้มมมม แต่พี่ว่าทีแรกน้ำชาก็น่ารักอยู่แล้วนะ ไม่เห็นต้องทำไรพวกนี้เลย"

อือหืออออ กู โดนซุปตาร์ชม เขินเลย

แล้วพวกผู้หญิงในห้อง เป็นไรกันไปหมด มองมาทางนี้เป็นตาเดียวเลย

"พี่ไม่ไปอยู่ตึกลีดเหรอครับ เดี๋ยวสาวๆคณะผมก็ใจละลายหมดหรอก"

"ฮ่าๆๆๆ พี่จะลืมมาให้กำลังใจน้องได้ไงหละ แต่พี่อยู่ปีสามแล้ว ไม่ต้องไปอยู่คอยต้อนรับแขกที่ตึกโน้นหรอก"

กำลังใจอะพอแล้วพี่ เมื่อกี๊ก็รับมาแล้วเต็มๆ "ขอบคุณมากนะพี่ โห เขินเลย"

"เขินจริงดิ"

อะไรของพี่แกวะ นี่ว่างจริงๆใช่ไหมเนี่ย แล้วก็ถามไรแปลกๆ ".... งานเปิดห้องเชียร์ที่นี่ยิ่งใหญ่เนาะ ผมทำตัวไม่ถูกเลย จะมีใครมาโหวตให้หรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ก็พี่นี่ไง ต่อให้น้ำชาเต้นไม่ได้ พี่ก็จะโหวตให้ โอเคไหม"

"อ.... เอ่ออออ.... ก็... โอเคดิพี่ ขอบคุณครับ คงมีแต่พี่นี่แหละมั้งที่จะโหวตให้ผม ดูดิ คณะผมแต่ละคน สวยๆหล่อๆทั้งนั้น ผมนี่กากไปเลย"

"แต่พี่ถูกใจชาคนเดียว"

เห้ย  นี่กูว่ากูไม่ได้คิดไปเองนะ พี่แกพูดแปลกจริงๆด้วย อย่างกับ.....

"เห้ยนั่นเจ๊ชมพู่นี่นา" เปลี่ยนเรื่องดีกว่ากู ดีนะที่เจ๊ชมพู่โผล่มาในจอทีวีพอดี "แต่งตัวจัดเต้นน่าดูเลย"

"รู้จักเจ๊ชมพู่ด้วยเหรอ"

"รู้ดิครับ เจ๊แกสอนลีดให้ผม"

"หา?  เจ๊ชมพู่เนี่ยนะ สอนลีด"

"อ๋อ ใช่ครับ ผมลืมไป แกไม่ค่อยสอนให้ใคร แกบอกอยู่ แต่พี่ตองไปขอร้องให้อะครับ"

"ตอง  เจ้าตองลีดมอหนะเหรอ"

"ก็... ใช่ซิพี่ จะตองไหนได้อีกหละ ที่จะขอเจ๊ชมพู่ได้"

"....." พี่แกเงียบเฉยเลย คิดอะไรละนั่น "เรื่องตราปั๊มของพี่อ่ะ สรุปว่าไม่คิดจะตอบแทนอะไรจริงเหรอ"

นี่พี่แกทวงจริงจังเลยใช่ไหมเนี่ย แล้วใครจะกล้าปฏิเสธหละ "ต้องตอบแทนดิพี่ จะกินไร บอกผมมาได้เลย"

"โห ป๋าน่าดูเลยนะ อืม.... เอางี้แล้วกัน จบกิจกรรมเปิดห้องเชียร์เมื่อไหร่ พี่จะบอกแล้วกันว่าอยากกินอะไร พูดแล้วนะว่าจะเลี้ยงพี่"

"ไม่มีปัญหาครับผม"



"ถึงคิวแนะนำตัวแล้วค่า"

เสียงเรียกของทีมงาน

"ไปแล้วนะพี่"

"สู้ๆนะน้อง"

หาาาา!!! นี่คือท่ารอให้ผมเข้าไปกอดใช่ไหม เอ่อ.... โอเค กอดก็กอดวะ พี่เค้าก็ดีกับกูขนาดนี้ แค่กอดกันแค่นี้ สบายมาก

"ไปนะครับ"



ผมรีบเดินออกมาเข้าแถวกับเพื่อนตามที่ได้ซ้อมไว้

แถวของผู้เข้ารอบ ถูกนำลงมายังโถงกลางของคณะ ซึ่งตอนนี้ถูกล้อมไปด้วยผ้ายางพลาสติกใส และติดตั้งแอร์นอกอาคารจากทุกทิศทาง มีนิสิตที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทำอยู่ด้วย พร้อมกับปีหนึ่งที่นั่งเรียงแถวเป็นร้อยๆคน

หางตาของผมเห็นหน้าตัวเองในจอฉายภาพขนาดใหญ่และภาพก็ตัดไปที่ผู้เข้ารอบจากคณะอื่นๆบ้าง

นี่คงเป็นการถ่ายทอดสด



"สวัสดีครับ ผมต้อม ศิรภพ อาจแผ่นดิน จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์"

โอ้โห เสียงกรี๊ดถล่มถลายเลย นี่ขนาดได้ยินจากทีวีนะ

ตอนนี้ผมกำลังรอการแนะนำตัว เพราะคณะของผมคิวต่อจากสถาปัตย์

ตัวผมตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรในหัวเลย เหมือนกับแขนขาไม่มีความรู้สึก มีเสียง วิ้งๆ ในหู นี่ซินะที่เขาเรียกกันว่า ความตื่นเต้น

แล้วยิ่งเห็นภาพในทีวียิ่งตื่นเต้นหนักกว่าเดิม

ไอ้ต้อมกำลังได้รับดอกไม้ ตุ๊กตา และของขวัญมากมายจากเหล่าแฟนคลับ มันย่อมสะท้อนความอนาถในตัวผม.. จะได้กับอะไรเค้าบ้างไหม ถ้าไม่ได้ต้องอายแน่เลย อย่างน้อย จะมีใครปรบมือให้ไหมนะ ยิ่งคิดยิ่งเครียด



"เอาหละครับ จบไปแล้วนะครับสำหรับผู้เข้ารอบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์" พิธีกรชายกล่าวหลังจบการแนะนำตัว "ต่อไปถึงคิวของคณะวิทยาศาสตร์ครับ ขอสัญญาณภาพด้วยครับ"

"น้องคะเชิญค่ะ" พี่สตาฟให้สัญญาณผู้หญิงคนแรก ส่วนผมคือผู้ชายคนแรก ต้องรอให้ผู้หญิงหมดก่อน

การแนะนำตัวเป็นไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง ต้องยอมรับว่าคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เป็นคณะที่ใหญ่พอสมควร มีนิสิตจำนวนมาก และค่อนข้างสนใจในงานประเภทนี้ เพราะมีรุ่นพี่หลายคนเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและมีดาวประจำมหาวิทยาลัยด้วย

ผู้หญิงบางคนได้รับดอกไม้ มากน้อยก็ตามความนิยม บ้างก็ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากรุ่นพี่หนุ่มๆ



"น้องคะ น้องคะ เดินค่ะ"

ผมถูกกระตุ้นให้ก้าวเดินออกไป เชื่อไหม ขาหนักอย่างกับมีเหล็กด่ามอยู่ข้างใน



​ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ แค่พูดให้จบ ตามที่ซ้อม ชื่อเล่น ชื่อจริง คณะ แค่นี้เอง



​ในตอนที่ขาของผม ยืนอยู่ต่อหน้าไมโครโฟน ผมยืนในท่าที่ลีดเดอร์ทุกคนควรจะยืน เสียงทั้งหมดเงียบสนิท

เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นหน้าของตัวเองในทีวีซึ่งแขวนอยู่ตรงข้ามกับตัวผม มันคล้ายว่าได้มองเห็นตัวเองในกระจก

       นั่นคือตัวผมเองที่พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้

       นั่นคือใบหน้าของคนที่ได้พยายามแล้ว

       นั่นคือภาพลักษณ์ของผมที่ทุกคนช่วยกันขัดเกลาให้ดีที่สุด

       นั่นคือชุดที่พี่ตองอุตส่าถือมาให้



"น้ำชา  ธชานา  ธนกฤษ  จากคณะวิทยาศาสตร์"



ผมพูดไปแล้ว ผมพูดไปแล้ว ผมพูดมันออกไปแล้ววว



กรี๊ดดดดดดดดดด

​มีคนส่งเสียงให้ผมด้วย ถึงจะไม่มากก็เถอะ แต่เท่านี้ก็โล่งอกมากแล้ว แก๊งนางฟ้าเพื่อนผมกรีดกราดอย่างออกหน้าออกตา ถ้าพวกมันถือป้ายไฟได้ ก็คงทำกันไปแล้ว

เมื่อเสร็จหน้าที่ผมก็เตรียมตัวเดินกลับที่เดิม

"น้องน้ำชา รับดอกไม้ก่อนค่ะ" เจ้าหน้าที่เวทีบอกผม

ห๊ะ อะไรนะ พี่ให้ผมเหาะเหรอ ผมว่าพี่เพิ่งจะพูดอะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงนะ

"น้ำชา" มีคนเรียกผมจากข้างล่างเวที

เห้ยยยยยย

พี่ท๊อป พี่ท๊อปกำลังยืนอยู่ข้างล่างเวที พร้อมดอกกุหลาบหนึ่งดอกในมือ

ผมมองเห็นตากล้องวิ่งเข้ามาถ่ายทำอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนผู้คนมากมายในคณะวิทย์ต่างพากันตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น

"จะไม่รับดอกไม้จากพี่เหรอ" พี่ท๊อปทำให้ผมสะดุ้งจากอาการช็อกที่คล้ายกับทุกคนในที่นี้

"ข... ขอบคุณมากครับพี่ท๊อป" นี่กูควรดีใจไม่ใช่เหรอ แต่ความตกตะลึงมันก็มากกว่าอยู่ดี

พี่ท๊อปยิ้มให้ผมอย่างที่สาวๆคนไหนเห็นคงจะพร้อมนอนลงไปกองที่พื้น แล้วพี่เค้าก็เดินจากไป

ผมเดินกลับมาประจำที่ของตัวเองอย่างงงที่สุด เอาแต่มองดอกกุหลายในมือจนลืมไปว่าควรยืนในท่าทางที่ฝึกมา



การแนะนำตัวจบลง ผมและผู้เข้ารอบถูกพาตัวขึ้นมาที่ห้องเดิมอีกครั้ง เพื่อรอการเต้น การเต้นที่เป็นการพิสูจน์ของวันนี้ ผมเสียบดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวของผมใส่ในกระเป๋าสะพายหลังของผม แล้วกลับมามีสมาธิกับตัวเองอีกครั้ง

ในทีวีกำลังเป็นการแนะนำตัวของผู้เข้ารอบจากคณะนิเทศศาสตร์



"น่าอิจฉาจัง ได้ดอกกุหลาบจากพี่ท๊อปด้วย" จำได้ไหมครับ หญิงสาวคนนึงที่คุยกับผมเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ คนที่พยายามให้ผมแนะนำเธอให้พี่ตองรู้จัก ตอนนี้ผมรู้จักเธอแล้ว เธอชื่อโอปอ "ดอกสีชมพูซะด้วย"

"ก็แค่ดอกเดียวเอง" ผมก็ตอบไปงั้นแหละ "คงไม่ทำให้คณะเรารวยขึ้นมาหรอก ดอกกุหลาบที่ขายไม่ออกยังมีอีกเยอะแยะ"

"นี่ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ" สังเกตไรวะ "ดอกกุหลาบที่ขายในงานวันนี้หนะ ไม่ว่าจะคณะไหนก็มีแต่สีแดงเท่านั้นแหละ แบบเนี่ย พี่ท๊อปเค้าเตรียมมาเอง"

พูดจริงดิ ผมหันไปมองดอกกุหลาบสีชมพูอีกที

"เป็นไงหละ รู้ยังว่าพิเศษกว่าคนอื่น.... เราก็อยากได้บ้างนะ แต่ถ้าเป็นพี่ตองเราคงจะฟินน่าดู จริงๆพี่ท๊อปก็หล่อนะ โอปป้าเกาหลียังต้องยอม แต่เราชอบแบบว่าผู้ชายตัวสูงเท่ๆมากกว่า"

นี่จะมาเล่าให้ฟังทำไมเนีย ไม่ได้อยากฟัง จะซ้อมเต้น



"น้องๆคะ น้ำค่ะ" พี่สตาฟเรียกให้ไปหยิบน้ำมาดื่มครับ ดีเหมือนกัน ปากคอแห้งหมดแล้ว "อีกสามสิบนาที เตรียมโชว์ได้แล้วนะคะ" นั่นไง ปากแห้งกว่าเดิมอีกกู



ผมเดินไปที่มุมห้องหลังกำแพงบอร์ดเตี้ยๆ ในส่วนที่ไม่ค่อยมีคน ทบทวนท่าเต้นที่จะต้องเต้น ก็ไม่ได้จะหวงห้ามหรือเป็นความลับอะไรหรอก แต่ให้เต้นต่อหน้าคนอื่นผมคงเขิน สมาธิกระเจิงหมด

ผมเหลือบไปเห็นเกต เธอนั่งอยู่มุมห้องอีกฝั่งนึง เธอมองผมแปลกๆ คงจะงงว่าผมกำลังเต้นอะไร แต่ผมไม่สนใจหรอก ต้องรีบทบทวน



และในที่สุด วินาทีที่(ไม่)รอคอยก็มาถึง



"และต่อไปจะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดนะคะพี่ปืน ตอนนี้หญิงตื่นเต้นมากเลยค่ะ" พิธีกรเริ่มเกริน ซึ่งตัวผมและผู้เข้ารอบทุกคนขึ้นมาอยู่บนเวทีในตำแหน่งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

"แน่นอนครับน้องหญิง" พิธีก่อนชายก็เสริมต่อ "กับการพิสูจน์เลือดความเป็นผู้นำเชียร์ของว่าที่เจ้าชายและเจ้าหญิงคนใหม่ของมหาวิทยาลัยเรา เอาละครับก่อนที่จะไปถึงนาทีสำคัญนั้น เราต้องไม่ลืมขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งเช่นกันครับ"

"ค่ะ ในช่วงต่อไปจะเป็นการแสดงเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนาจากผู้นำเชียร์ ปีสอง ประจำมหาวิทยาลัยมัณฑนา ขอให้ทุกคนร่วมยืนแสดงความเคารพและรับชมไปพร้อมๆกันค่ะ"



​รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯสู่หมาย.....

นั่นพี่ตองนี่นา

ผมไม่ได้สนใจเลยว่าใครกำลังยืนทำความเคารพอะไรยังไง เพราะมัวแต่ปลื้มปริมที่ได้เห็นหน้าพี่ตอง

เพราะพี่ตองอยู่ตำแหน่งกลางของกลุ่มจึงทำให้มองเห็นแทบจะตลอด

รู้สึกอุ่นใจจังที่ได้มองเห็น รู้สึกเหมือนพี่เค้ายิ้มมาให้เราเลย รู้สึกเหมือนเพิ่งซ้อมเต้นกับพี่เค้ามาเมื่อกี๊นี้เอง รู้สึกถึง... ไออุ่นนั่น



"เอาหละครับ" พิธีกรกล่าวทันทีหลังจบการแสดงของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัย "และนาทีต่อไปนี้ นาทีที่สำคัญก็มาถึง พร้อมหรือยังครับน้องหญิง"

"พร้อมแล้วค่ะพี่ปืน อยากชมแล้วค่ะ"

"ผมก็เชื่อว่าทุกคนอยากชมเช่นเดียวกัน ดังนั้น เรามานับถอยหลังไปพร้อมๆกันครับ"

"ห้า"

เอาแล้วกู

"สี่"

ทำให้เต็มที่

"สาม"

หายใจเข้าลึกๆ

"สอง"

.........

"หนึ่ง"

เริ่มได้



ร่มนี้งามพริ้ง มิ่งขวัญมัณฑนา.... ปกคลุมปัญญา ด้วยพระคุณเผ่า

ให้บัณฑิตน้อยทุกคน อยู่ในคุ้มครองเรา....

ให้พลัง  ของเขา ถูกเลี้ยงดูแล.....



อนาคต  ศาสตร์ศิลป์  ถิ่นของปวงเรา

ไม่ให้เขา อยู่สู้ลำพัง.....

จะเป็นมิ่งขวัญครอง เป็นดังท้องฟ้าเทา

เป็นดั่งเงา หลบงุ้มในมุมฤหัย.....

จะเป็นท้องนภา คู่ภูผายิ่งใหญ่

ให้รวมใจ ในมิ่งขวัญมัณฑนา

โอบอุ้มรักสายใย กอดเอาไว้ด้วยกัน

*ในร่มนั้น....*  *มิ่งขวัญ.....*  มัณฑนา........



และนี่คือท่าสุดท้าย ท่ากอด....



ขอบคุณ ขอบคุณ ผมทำได้ มันจบลงแล้ว มันจบลงแล้ว ยิ้มซิ ยิ้มได้เต็มที่แล้ว

ทำได้แล้วโว๊ยยยยยยยยยย



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



นี่เป็นเสียงกรีดและเสียงปรบมือที่ดังและยาวนานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา

ผมมองลงไปด้านล่างเวที ทุกคนกำลังมองมาที่ผม ยืนขึ้นและยังคงปรบมือไปหยุด แม้กระทั่งเพื่อนๆที่อยู่บนเวทีด้วยกัน ทุกคนต่างปรบมือให้ผม

       ขอบคุณความพยายาม

       ขอบคุณโอกาส

       ขอบคุณตราปั๊มอันแรกจากพี่ท๊อป

       ขอบคุณอาจารบ์หมอพิชิต

       ขอบคุณเจ๊ชมพู่สำหรับการสอน

       ขอบคุณพี่หนุงสำหรับเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม

       และขอบคุณพี่ตอง ผู้เป็น........ แรงบันดาลใจ



"โห เจ๋งมากน้ำชา"

"สุดยอดว่ะเพื่อน ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย"

ทันทีที่ขึ้นมาบนห้องพัก เพื่อนผู้ชายที่เข้ารอบมาด้วยกันต่างก็เข้ามาชื่นชมผม บางคนขอจับมือแสดงความนับถือ

ส่วนเพื่อนผู้หญิงเองก็ยิ้มให้อย่างชัดเจน

เราทุกคนมานั่งรวมกันที่โซฟาหน้าจอทีวี เพราะทุกคนอยากฟังเรื่องการซ้อมของผม

ผมก็เล่าแค่ว่าไปขอร้องให้หมอพิชิตสอนให้ แต่เรื่องว่าใครสอนให้จริงๆ อันนี้ขอเก็บเป็นความลับละกัน



"สวัสดีครับพี่ดีเจเจ๊ไก่" พิธีกรชายกำลังคุยกับดีเจชื่อดังอยู่ตอนนี้ โห มีคนดังมาสัมภาษณ์ด้วย "ขอบคุณที่พี่ให้เกียรติมาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์คัดเลือกผู้นำเชียร์ของเราในปีนี้ด้วยนะครับ"

"แหมมมม ก็ถ้ามหาลัยเธอยอมถ่ายทอดสดเพลงมิ่งขงมิ่งขวัญอะไรของเธอ ฉันก็คงจะไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก" ดีเจเจ๊ไก่จีบปากจีบคอประชดประชันพิธีกร

"โถ เจ๊ครับ ก็มันเป็นกติกาของมหาวิยาลัยนิครับ ผมว่าเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ... ในฐานะที่เจ๊มาชมการเปิดห้องเชียร์ถึงสามปีแล้ว เป็นยังไงบ้างครับปีนี้ มีใครอะไรยังไงน่าจับตามองเป็นพิเศษไหม"

"ก็สมกับเป็นการคัดเจ้าชายเจ้าหญิงเข้าหอคอยอะนะ จัดไฟจัดอะไรก็ดีตามมาตรฐานของมหาลัย"

"แล้วคนละครับ อันนี้ผมอยากฟังเจ๊วิเคราะห์มากเลย"

"ก็น่าสนใจหลายคน ก็น่าสนใจไปหมด ผู้ชายหลายคนดี น่าเก็บมาเลี้ยงในกรงทองของชั้น"

"แหม เจ๊ครับ ผู้ผ่านเข้ารอบก็มีผู้หญิงเหมือนกันนะครับ.... ว่าแต่อยากฟังคนนี้มากเลย น้องน้ำชาจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ"

เฮ้ยยยย นั่นกูนี่หว่า

"เซอร์ไพส์นะ พูดตามตรงเลย เห็นเมื่อกี๊ทีมงานบอกว่าเหลือคนเต้นเพลงนี้เป็นแค่สามคนเองในมหาวิทยาลัย แถมคนนึงเป็นถึงหมอด้วย นี่ถ้าไม่พยายามจริง ทำไม่ได้นะ เจ๊ปลื้มนะคนนี้เจ๊บอกตามตรง แต่พูดก็พูดนะ เจ๊ว่าโอกาสก็...ห้าสิบห้าสิบ" อ้าว "คือถ้าวิเคราะห์กันจริงๆ คณะวิทย์ก็ถือว่าใหญ่สุดในมหาลัยแล้ว มาตรฐานเค้าก็ต้องมากกว่าคนอื่น เด็กคนนี้ถือว่าแทบจะไม่เข้าเกณฑ์การเป็นลีดผู้ชายได้เลย อันนี้เราก็ต้องมาคอยลุ้นคอยเชียร์กันว่า ผลโหวตจะออกมายังไง คณะวิทย์จะพลิกประวัติศาสตร์ไหมหรือจะยังรักษามาตรฐานเอาไว้อยู่ แล้วมองข้ามเรื่องนี้ไป"

"จะว่าน่าเสียดายก็พูดยากนะครับเจ๊ อันนี้ผมเห็นด้วย เพราะการเป็นลีดเดอร์ที่ดี ผมว่าน้องมีพร้อม แต่ความพร้อมในการเป็นลีดของน้อง ผมว่ายังเสี่ยงไปหน่อย"

กำลังใจกูตกวูบเลย

"อีกคนนึงครับเจ๊ คนที่เกือบจะเต้นได้ น้องเกต จากคณะวิทยาศาสตร์อีกแล้ว"

"คนนี้เสียดายเนาะ เจ๊พูดตามตรงนะ นางเป็นชะนี! อุย ขอโทษค่ะคุณผู้ชม นางเป็นเด็กสาวที่หน้าตาเป๊ะมาก หุ่นเป๊ะ ทักษะการเป็นลีดก็มี แต่ถ้าซ้อมมาดีๆ เกิดแน่นอน แต่แค่นี้ก็คงไม่หลุดโผแล้วหละ เจ๊เอาหัวเป็นประกันเลยว่าคนนี้ได้ไปต่อแน่นอน"

"ขอโทษนะชา" เกตุกระซิบ เธอนั่งติดกันกับผม "เราแอบจำตอนชาซ้อมเมื่อกี๊ ว่าแล้วต้องใช่ ดูชาเต้นแล้วมันมีแพทเทิล เหมือนเป็นเพลงเลย"

เห้ยยยย จริงดิ  เก่งเกินไปแล้ว นี่ที่บอกว่ามีประสบการณ์ก็ของจริงเลยอะดิ ดูแค่ที่เราซ้อมไม่นานก็ทำได้เลย ตอนกูซ้อมทำไมเกือบจะค่อนคืน "ไม่เป็นไร"

กลับไปดูการวิเคราะห์ต่อดีกว่า

"แล้วนอกจากคนที่สามารถเต้นได้ในปีนี้ละครับ พี่มองใครเป็นพิเศษอีกไหม"

"ยังจะถามชั้นอีกเหรอ แน่นอน น้องต้อมซิคะ"

"ต้อม สถาปัตย์ใช่ไหมครับ ไม่แปลกเลยนะครับ สาวๆในห้องส่งเราก็เชียร์กันจนเสียอาการหมดแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจเนีย ไม่ใช่แค่ความหล่อนะครับ แต่กลับมีการเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาโดยใช่ท่าเต้นจากเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัย"

"บอกเลยว่า สร้างสรรค์ คือบางทีคนเรานะ ถ้ามันเดินทางตรงไม่ได้ การอ้อมแต่ไปถึงจุดหมายเหมือนกันก็ไม่ใช่ว่าผิด ได้มุมมองใหม่ๆด้วย"

"ออกหน้าออกตาจริงๆนะครับดีเจเจ๊ไก่"

"แน่นอนซิ นี่ถ้าไม่มีเจ้าชายตองนะ ชั้นก็จะเป็นแฟนหมายเลขหนึ่งของน้องต้อมนี่แหละ"

"งั้นเดี๋ยวเรามาวิเคราะห์กันต่อดีกว่าครับ เพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี้การโหวตก็จะเริ่มแล้ว อย่าลืมนะครับ ตอนนี้ทุกท่านที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าคุณจะเป็นนิสิตปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม หรือไม่ใช่นิสิต ทุกคนมีสิทธิโหวตได้คนละหนึ่งคะแนนเท่ากัน โดยสามารถไปรับสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่ผู้นำเชียร์ของแต่ละคณะได้เลยนะครับ...."

 การวิเคราะห์ยังคงมีต่อไป ส่วนผมตอนนี้ก็รอลุ้นต่อ

วันนี้คือวันแห่งความตื่นเต้นซินะ

"ชาได้อยู่แล้ว" เกตุให้กำลังใจผม แต่เท่าที่มองดูเพื่อนผู้ชายที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยกัน ผมเริ่มหมดความมั่นใจอีกครั้ง ​จะหล่อกันไปไหน





"ในที่สุดก็ถึงเวลาของการโหวตแล้วนะคะ"

เผลอแปบเดียว ตอนนี้ผมมายืนหัวใจเต้นตุบๆอยู่ที่บอร์ดประจำตัวของตัวเองบนเวทีแล้ว

สำหรับการโหวต ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมัณฑนา จะมีสติ๊กเกอร์ของทางผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยคนละหนึ่งดวง สามารถไปติดที่บอร์ดของผู้เข้ารอบคนใดก็ได้ เพื่อให้คะแนน อาจจะไม่ใช่ผู้เข้ารอบในคณะของตัวเองก็ได้ แต่ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง

"เอาหละค่ะ พร้อมนะคะ"

ห๊ะ เอาแล้วเหรอ

"อย่าลืมนะคะ เรามีเวลาโหวตแค่ห้านาทีเท่านั้น....  ห้า"

การนับถอยหลังจากในทีวีเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

"สี่ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!"

ผมยืนยิ้มอย่างตื่นเต้นบนเวที

กลุ่มแรกที่วิ่งเข้ามาติดสติ๊กเกอร์ให้ผมคือ แก๊งนางฟ้าเพื่อนของผมเอง

"กูติดคนแรก อิชามึงให้กูเป็นบัดดี๊นะ" "กูติดก่อนชัดๆ" "พวกมึงอย่ามัวเถียงกัน คนอื่นจะติดบ้าง.. สู้ๆนะชา"

มีคนมาติดให้ผมจริงด้วย ไม่ใช่แค่แก๊งนางฟ้าเท่านั้น แต่มีเพื่อนๆและพี่ๆก็มาติดให้มากมาย

แต่.... เท่าที่ดู ก็คงไม่มากเท่าเพื่อนๆอีกหลายคนข้างๆผม หรืออาจจะพอๆกัน หรือยังไงกันแน่

ในขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงการมาของสิ่งพิเศษ



พี่ท๊อป

พี่ท๊อปอีกแล้ว พี่ท๊อปเดินมาติดสติ๊กเกอร์บนบอร์ดของผม ทุกคนที่เห็นหลีกทางให้หมดเลย

"พี่บอกแล้วไง ยังไงพี่ก็จะเลือกเรา"



นั่นมัน....

เจ๊ชมพู่

เจ๊ก็มาติดให้ผมด้วยเหรอ อยากขอบคุณมากๆครับ อยากพูดแต่ผมพูดไม่ได้

"ไม่เสียชื่อเจ๊นะคะ เก่งค่ะลูก"



เห้ยยยยยยยยย

อาจารย์หมอ 

หมอพิชิตเดินมาในชุดแพทย์เลยครับ

"คุณพิสูจน์แล้วว่าคุณมีจิตวิญญาณ"



ทุกคนในโถงคณะวิทย์ตอนนี้เหมือนถูกสะกดนิ่งโดยเหล่าบุคคลสำคัญ เสียงพูดคุยจอแจในการปรากฎตัวของบุคคลเหล่านี้ สร้างผลกระทบอย่างไม่น่าเชื่อ

และนั่นก็เป็นสาเหตให้หลายคนวิ่งมาติดสติ๊กเกอร์ให้ผมบ้าง คงด้วยเป็นกระแส หรืออาจเพราะเชื่อในสายตาของคนเหล่านี้

ผมไม่ได้ดีใจที่มีคนโหวตให้ผมมากขึ้นนะ แต่ผมดีใจที่สุดที่ผมทำให้ครูทุกคนของผมทุกคน ภูมิใจ

ผ่านไปสักพัก การโหวตใกล้สิ้นสุดลงแล้ว แต่จู่ๆห้องเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ก็ตกอยู่ในสภาวะแช่แข็งอีกครั้ง เพราะการปรากฎตัวของบุคคลสำคัญอีกคน



พี่ตอง

"นี่สำหรับน้ำชาครับ"

พี่ตองยื่นช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่มาให้ผม โดยยื่นมืออีกข้างไปติดสติ๊กเกอร์ด้วย แต่ไม่มองที่บอร์ดเลย พี่เค้าเอาแต่มองมาที่ผมคนเดียว

เหมือนกับถูกสายตานั้นดึงดูดไว้

ดอกกุหลาบสีขาว ที่ไม่มีขายในมหาวิทยาลัย นี่คงออกไปซื้อมาซินะ

เหงื่อที่เต็มตัว คงจะรีบวิ่งมาละซิ

ไอ้บ้าเอ๊ยยยย อย่าน้ำตาไหลซิวะ นี่ต้องดีใจขนาดไหนเนี่ย ถึงจะน้ำตาซึมออกมาได้

"ข...ขอบคุณครับ...... พี่ตอง"

และพี่ตองก็ยื่นอีกอย่างมาให้กับผม

อะไรหว่า

มันคือหน้าข่าวจากกระดาษหนังสือพิมพ์ครับ แต่ไม่ใช่ฉบับจริงนะ เหมือนจะคัดลอกมาจากในเน็ต



​เด็กชายใจกล้า โผกระโดดน้ำช่วยคน เด็กน้อยหวิดตายฉิวเฉียด



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่มัน ข่าวของเรา.... เหตุการณ์จมน้ำ....  เมื่อแปดปีที่แล้ว.... หรือว่า.....



พี่ตองมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น





"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ น้องน้ำชา"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 07:45:40 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

​- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  -

_____LOVE TUTOR_____

สอนรักให้ลงล็อค



​- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  -​ ​

ตอนที่ 1 : ติวเตอร์ [เรื่องซ้อนเรื่อง]





"ฮัลโหล สวัสดีครับ" นี่ให้กูโทรหาใครวะ เดี๋ยวนะไอ้ชาเย็น ถ้าทำให้กูสอบตกนะ กูจะโทรฟ้องแม่มึงแน่

"....."

อ้าว ไม่มีใครพูดเลย นี่ไอ้ชามันให้เบอร์ใครมาวะ กูต้องการคนติวคณิตด่วนนะเฟ้ย "สวัสดีครับ ได้ยินไหมครับ"

"...." ยังไม่มีการตอบตามเคย แต่ได้ยินเหมือนเสียงถอนหายใจ

"คือ ไอ้ชาเย... เอ่อ ชาอะครับ ธชานา ให้เบอร์ของคุณมา บอกว่าสามารถติวเลขให้ผมได้ ไม่ทราบผมโทรมาถูกคนหรือเปล่าครับ"

"...." อะไรวะ ไม่ตอบอีก ไอ้ชาเย็น มึงให้เบอร์มั่วมาเหรอ มึงโดนๆ

"ผมคงโทรผิด แค่นี้นะครับ"

"ผมเองครับ"

ห๊ะๆ อะไรนะ ตอบมาแล้ว "ครับ"

"ผมเองครับที่จะติวให้คุณ" ทำไมฟังเสียงแล้วรู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนเคยโดนเสียงแบบนี้ด่ามาก่อน

"อ๋อ ครับ ผมชื่อต้อมนะครับ อยู่สถาปัตย์ ปี 1"

"ครับ" ตอบแค่เนี่ย แล้วนี่กูจะรู้ไหมเนียว่าคุยกับใครอยู่

"แล้วจะติวที่ไหนยังไงดีครับ ค... คือเอ่อ ผมพูดตามตรงนะครับ ผมอ่านมาทั้งวันแล้ว ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่เลย"

"ที่ข้างๆมหาลัย ประตูหก จะมีร้านกาแฟที่ใช้สำหรับติวได้ เจอกันที่นั่นแล้วกัน ในอีกสิบห้านาที"

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

​เอ้า! ว่างสายเฉยเลย

อะไรวะ ฟังเสียงเหมือนไปหงุดหงิดใครมา แล้วนี่จะสอนยังไงวะ

เออๆๆๆ ช่างมันละกัน ไปลองดูก่อน อ่านเองก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี



"ขออเมริกาโน่ทีนึงครับ" ทันทีที่มาถึงร้านกาแฟ ผมก็สั่งก่อนเลย ดื่มกาแฟเป็นทางของผมอยู่แล้ว

ว่าแต่.... คนไหนวะที่จะมาติวให้ แทบจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย

คงไม่ใช่สาวๆพวกนี้นะ มองอย่างกับจะกินกูอยู่แล้ว เห้ย! แต่เสียงผู้ชายนี่หว่า ไม่ใช่อยู่แล้ว

หึ

​นั่นไอ้ชาเย็นไม่ใช่เหรอ มานั่งอยู่ในร้านได้ไง ไหนบอกทำงานที่โรงพยาบาล

เพี๊ยะ

"ไอ้สัด"  เจอตบเกรียนไปหนึ่งที ไหนมึงบอกอยู่โรงบาลไง

เชี่ยละ

​ไม่ใช่ไอ้ชาเย็นเพื่อนรักนี่หว่า  นี่มัน

"น้ำขิง"

"อะไรของนายเนี่ย" น้ำขิงโกรธหน้าแดงเลยครับ

ผมจำได้ไอ้ชาเคยบอกว่า น้ำขิงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่หน้าตาคล้ายกันกับมัน แต่ต่างกันสุดขั้ว ไอ้ชาคือเพื่อนโคตรเกรียนของผม งั้นคนนี้ก็ต้องเรียบร้อยสุดชีวิต แล้วเมื่อกี๊.... ทั้งตบกะโหลก ทั้งด่า ​ซวยแล้วกู

​"เห้ยๆ เราขอโทษ เราขอโทษ" เดี๋ยวๆดิ น้ำขิงกำลังจากลุกออกจากโต๊ะ "เรานึกว่าเป็นไอ้ชาเย็น"

"นี่ปกติทักทายชาแบบนี้เหรอ" ยังโกรธจัดอยู่เลย แต่ทำไมเป็นคนที่ด่าได้น่าฟังจัง สุภาพโคตรๆ นี่ซินะที่ไอ้ชาบอก "ไม่แปลกใจเลยที่ชามีนิสัยหยาบคายขึ้น เพราะนายนี่เอง" เออ ด่าไรก็ด่า กูผิดนิ "ขอโทษนะ แต่เราติวให้ไม่ได้แล้ว"

ชิบหายละกู "เดี๋ยวดิๆ" ไม่รู้อ่ะคว้ามือไว้ก่อนแล้วกัน

โห ผิวนิ่มจัง ตระกูลไอ้ชานี่ผิวแบบนี้กันทุกคนเลยรึไง

"เราขอโทษ เราขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ อ่ะๆๆ ให้ต่อยคืนเลยก็ได้"

"อะไรนะ! เป็นปัญญาชนหรือเปล่าเนี่ย"

อ้าว พูดแบบนี้ก็ไม่ได้

เห้ย เดี๋ยวดิ ผมโดนสบัดมือออก นี่จะไปจริงใช่ไหมเนี่ย

งานนี้กูซวยเลย ติวก็ไม่ได้ติว แถมถ้าน้ำขิงเอาเรื่องนี่ไปฟ้องไอ้ชา กูโดนเฉ่งแน่

"ให้อภัยผมนะครับ"

เอามุกนี้แล้วกันวะ เคยใช้กับสาวๆได้ผล ไม่รู้อะ นึกไรไม่ออกแล้ว คุกเข่าขอร้องซะเลย

"น.... นี่ทำอะไรของนายเนีย คุกเข่าทำไม ค....คนมองกันทั้งร้านแล้ว"

"ก็น้ำขิงไม่ให้อภัยผมอ่ะ" ตะโกนด้วยเลย แบบนี้ขั้นต่อไป เค้าต้องรีบเข้ามาใกล้ชิดเรา

"จะตะโกนทำไมเล่า" นั่นไง ได้ผลจริงด้วย โดนมือเล็กๆนิ่มๆปิดปากไว้ ตัวหอมแหะ

"ไว่วะวัยว้มวายวัง"

"ห๊ะ" เพิ่งจะรู้ตัวว่าปิดปากผมไว้หรือไงครับคุณน้ำขิง

"ให้อภัยผมได้ยัง"

"ไม่"

"ให้อภัยผมได้ยัง"

"ก็ได้" โดนปิดปากอีกรอบ คนมองผมรอบร้านเลย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอะ ทำผิดต้องรีบขอโทษก่อน นี่คือคติของผม ไม่ให้อภัยกูตื๊อไม่เลิกแน่นอน

น้ำขิงค่อยๆเอามือออกจากปากของผม กลิ่นหอมของมือยังติดอยู่บนหน้าอยู่เลย

"ห้ามตะโกนอีกนะ ถ้าตะโกนอีก เราออกจากร้านจริงด้วย" น้ำขิงยังคงระแวง เป็นคนที่ขู่ได้น่ารักมากเลย ไม่ได้มีความน่ากลัวซักนิด

"โอเคครับ"



"มีอะไรกันหรือเปล่าคะ" พี่พนักงานร้านเดินเข้ามาถามสถานการณ์ ก็แน่ละ ผมทำวีรกรรมขนาดนี้

"ไม่มีอะไรครับ" น้ำขิงรีบตอบเลย "พี่สาวครับ ห้องติวเตอร์รูมว่าไหมครับ ผมจะขอเช่า"

"อ๋อ ว่างค่ะ เดี๋ยวเชิญทางนี้เลยค่ะ"

คือไรวะ พาไปไหน

อ๋อ..... ร้านกาแฟร้านนี้มีห้องส่วนตัวให้เช่าด้วย อารมณ์คล้ายๆวีไอพี แต่เป็นห้องที่มีกำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกใส สามารถมองทะลุเห็นรถราที่วิ่งบนถนนด้านนอกร้านได้ พร้อมกับโซฟายาวสองตัวกับโต๊ะ แถมกระดานไวท์บอร์ดด้วย รู้แล้วทำไมเรียกติวเตอร์รูท

"เสร็จแล้วไปเช็คบิลที่เค้าเตอร์นะคะ ถ้าจะสั่งอะไรรบกวนที่เค้าเตอร์เหมือนกันค่ะ" พนักงานเดินออกไป

น้ำขิงนั่งบนโซฟา ผมก็นั่งด้วยดิ

"นี่โซฟาของเรา นายไปนั่งฝั่งโน้น" อ้าวโดนไล่เลยกู

"แล้วน้ำขิงจะเขียนยังไงอ่ะ นั่งกันคนละฝั่ง"

"อย่างแรกนะ เราเขียนกลับหัวได้ และอย่างที่สองห้ามเรียกเราว่า น้ำขิง เด็ดขาด"

"ก็น่า...." โอเค มองแรงขนาดนี้ ผมยอมก็ได้ครับ ลุกขึ้นไปนั่งที่ตัวเองอย่างสงบดีกว่ากู

"แล้วน้ำ... เอ่อ ขิงเก่งคณิตเหมือนไอ้ชาเย็นเลยเหรอ"

"ชา ลูกพี่ลูกน้องของเราชื่อ ชา" นี่ก็ดุตลอดเลย นี่มาติวหรือมาเข้าคอสฝึกมารยาทกันแน่ "เราเก่งไม่ได้เท่าชาหรอก หรือไม่คิดว่าเราสอนได้ เราโทรเรียกให้ชามาสอนให้ก็ได้นะ"

"ไม่ใช่อย่างง้านนน เราก็แค่อยากรู้ ทำไมดุจัง ขิงไม่ชอบเราขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เพื่อนไอ้ชานะ"

"....." ไม่ตอบ

"แล้ว..."

"ลองทำนี่ซิ" ห๊ะ อะไรวะ "โจทย์ 10 ข้อ"

"เรามาติวไม่ใช่เหรอ ต้อมยังไม่ได้เรียนเลยนะ จะทำได้ไงกันอ่ะ"

"บอกให้ทำก็ทำซิ" ดุอีกแล้ว ตอนไอ้ชาเย็นสอน ถึงมันจะเกรียนแต่มันก็ไม่เคยดุเลยนะ

โห...แล้วถ้าเก่งจะให้มาติวให้ไหมเนีย จะทำยังไงวะ ตัวเลข แค่เห็นก็จะอ้วกแล้ว

"อันนี้เค้าเรียกว่าทดสอบก่อนเรียน" หึ เปลี่ยนน้ำเสียง สงสัยเห็นกูหน้าโง่มั้ง "ไม่ได้จะบังคับให้ทำขนาดนั้น แต่อยากรู้ว่าพื้นฐานอยู่ที่ระดับไหน เราจะได้เริ่มสอนได้ถูก ที่สำคัญ เราจะได้รู้ด้วยว่ากระบวนการคิดกับวิเคราะห์ของนายเป็นแบบไหน เราไม่ใช่ชานะ ไม่ได้รู้จักหรือเคยสัมผัสนายมาก่อนหน้านี้"

ก็สอนดีนี่หว่า น่าฟังกว่าไอ้ชาเย็นอีก

"เอาซิ ลองทำดู เราไม่มีไม้เรียวอยู่แล้ว ตีใครไม่ได้"

พูดซะน่ารักเชียว

พอเริ่มปรับความเข้าใจกันได้ น้ำขิงก็เริ่มติวให้ผมจริงจัง แต่เค้าก็ยังไม่ทิ้งลายดุนะ อาจจะเป็นเพราะผมคอยกวนเค้าอยู่เรื่อยๆก็ได้ 5555 ก็เค้าน่าแกล้งนี่นา

เอาจริงๆนะ สาเหตุที่ผมสนิทกับไอ้ชาเย็นเพื่อนรักเนีย มีอยู่สองประเด็นด้วยกัน

อย่างแรก มันเก่งเลขมาก ในขณะที่ผมหวยสุดชีวิต ถ้าไม่มีมันช่วย ผมคงต้องไปพับถุงกล้วยแขกขาย แล้วผมก็ดันใฝ่สูงอยากเรียนสถาปัตย์ ก็ผมอยากเรียนอ่ะ เพราะงั้น ไม่คบมันแล้วผมจะไปคบใคร

อีกประเด็นนึง จริงๆก็ไม่ค่อยอยากยอมรับนะ ผมว่าผมแอบชอบไอ้เพื่อนคนนี้นิดๆนะ ก็รู้แหละว่ามันเป็นผู้ชาย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆ ผิวนี่ใสเนียนละเอียด น่าทะนุถนอม

แต่.... ผมชอบมันไม่ลงจริงๆ ร้ายก็เท่านั้น เกรียนก็เท่านั้น คอยแต่จะตบหัวผมแล้วก็ทำตัวเป็นนายใหญ่ มันก็รู้ทั้งรู้นะว่าผมกลัวโดนคนด่า แล้วเวลาไอ้นี่ด่าผมที อย่างกับรู้จุดอ่อน ยังๆ ยังไม่หมด วันๆมันก็สนใจแต่เรื่องจะแข่งกับพี่ตอง รุ่นพี่ต่างสถาบัน ลำบากผมตลอด แล้วแบบนี้ผมจะไปชอบมันลงได้ยังไง สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเพื่อนรักสุดเกรียนของผมไป

ฮั่นแน่.... ผมรู้นะว่าพวกคุณรู้กันแล้ว ใช่แล้วครับ เหมือนผมเจอไอ้ชาเย็นในอีกมิตินึง

รูปร่าง หน้าตา ก็คล้ายๆกัน ผิวเนียนใสเหมือนกัน เนื้อตัวนิ่มๆเย็นๆ รู้สึกสดชื่นที่ได้สัมผัสเหมือนกัน แต่นิสัยคนละขั้วเลย สุภาพ เรียบร้อย สายตาไม่เอาเรื่องเหมือนไอ้เพื่อนเกรียน ที่สำคัญ ทำไมผมชอบฟังเวลาเค้าดุผมจัง



#เสียงโทรศัพท์

ใครโทรหาขิงวะ ขัดจังหวะเวลาติวชะมัด กำลังจะโดนด่าเลย อดฟินเลยกู



"ครับผม" ผมไม่ได้แอบฟังนะ แต่น้ำขิงพูดดังเอง "อ๋อ จำได้ซิครับ..... วันมะรืนเลยใช่ไหมครับ.... ได้ซิครับ..... ครับๆ ขอบคุณครับ แล้วพบกันครับ"

จะไปพบใครวันมะรืนวะ

"ใครเหรอ"

อ้าว กรรม มองว่าผมเสียมารยาทอะดิ ขอโทษคราบบบ ผมลืมตัว

"เรียนต่อครับเรียนต่อ" ผมรีบแก้ตัวเลย

"อีกข้อหนึ่งนิ ทำให้เสร็จก่อน ค่อยพูดถึงหัวข้อต่อไป"

โอเค ทำก็ทำ

เวลาปกติก็ดุนะ แต่เวลาสอนเนียจริงจังน่าดูเลย เหมือนจะคาดหวังกับการสอนแฮะ สอนคนละแบบกับไอ้ชาเย็น ถึงจะสอนไม่เก่งเท่ามัน แต่ก็ถือได้ว่าน้ำขิงเป็นครูที่ดีในอนาคตได้เลย

"ขิงครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมสอบตกขึ้นมา ขิงจะโกรธผมไหม" เริ่มซึมซับมารยาทมาแล้ว

"จะโกรธได้ไง เราต้องโกรธตัวเองต่างหาก การสอบผ่านไม่ผ่านของผู้เรียนก็เป็นตัวชี้วัดของผู้สอนนะ ถ้าทำเต็มที่แล้วยังตกอีก เราก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไข"

โอ้โหจริงจังน่าดู นี่ถ้าพูดกับไอ้ชาเย็นแบบนี้ ผมโดนตบเกรียนแตกไปแล้ว

"แต่เราโง่คณิตมากเลยนะ"

"อย่าพูดแบบนี้นะ"

เห้ยอะไรวะ อยู่ดีๆก็ดุ แต่ดุแบบเป็นห่วงนะะ ผมทำไรผิดวะ

"อย่าพูดแบบนี้เด็ดขาด ไม่มีใครโง่ คนเราแค่ถนัดไม่เหมือนกัน เราอาจจะสอบคณิตได้คะแนนน้อย แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราเป็นคนโง่นะ"

"ก็ผม.... เห็นขิงจริงจังเวลาสอน แล้วผมก็ชอบกวนเวลาขิงสอนด้วย คือ... บางที ผมก็รู้ตัวนะ แต่ผมอยู่ในบรรยากาศเครียดนานๆไม่ได้ สมองมันจะตื้อ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ขิงดูจริงจังมากเวลาที่สอน ผมหัวไม่ดี ถ้าตกขึ้นมา แล้วจะทำให้คนสอนเสียความรู้สึกหรือเปล่า"

หึ น้ำขิงเอื้อมมือมาจับข้อมือของผมที่กำลังเขียนอยู่

"ไม่ต้องกังวล ถ้าต้อมไม่ผ่าน พรุ่งนี้เราสัญญาว่าจะติวให้อีก เรายังมีเวลาตั้งสามวันในการสอบ เพราะฉะนั้น ห้ามดูถูกตัวเองอีก โอเคไหม"

"ค... ครับ"

แม่เจ้าาาาาา  อย่างกับนางฟ้าลงมาโปรด ไอ้ชาเย็น มึงมีญาติแสนดีขนาดนี้เลยเหรอวะ กูอุตส่าแอบชอบมึงนิดๆแต่มึงดันมาเกรียนใส่กู ตอนนี้กูมีของจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว



ไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่







ผลการสอบ

​นายสิรภพ  อาจแผ่นดิน 64.5%  ไม่ผ่าน

​กูไม่ผ่าน  อ้าว แล้วกูจะดีใจทำไมวะ ไม่ผ่านต้องรู้สึกแย่ดิ

55555 จะรู้สึกแย่ได้ไง ในเมื่อจะได้มีเหตุผลไปเจอน้ำขิงอีก

จะว่าไป ลองค้นหาชื่อน้ำขิงดูดีกว่า  เอ๊ะ นี่ชื่อไอ้ชาเย็นนี่หว่า ขึ้นมาหัวตารางเลย

​นายธชานา  ธนกฤษ  100%  ผ่าน

​ไอ้เพื่อนเวร เก่งเหมือนเดิมนะมึงอะ นี่ขนาดไม่มีเวลาอ่านหนังสือนะ โทรไปบอกมันก่อนดีกว่า



"มีไรวะไอ้ต้อม" ดูมัน ทักทายกูได้สถุนมาก ไม่มีมารยาทเหมือนน้ำขิงเลยไอ้เพื่อนเวร

"มึง ผลคะแนนออกแล้วว่ะ กูขาดไปหนึ่งคะแนน เวรเอ๊ยยยยย"

"เห้ยมึง กูโทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ติวให้มึงเองอ่ะ มึงไม่น่าตกเลย" กูตั้งใจให้ตกเฟ้ยยยย

"อ.... เอ่ออออ ไม่เป็นไรหรอกมึง พรุ่งนี้กับวันมะรืนยังสอบได้อีกตั้งสองวัน" อย่าซีเรียสเพื่อน อย่าซีเรียส

"เออ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับตรงเวลา กูจะไปติวให้มึงเองเลย รับรองพรุ่งนี้มึงผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องเฉียวฉิวเลย" ไอ้เพื่อนเวร จังหวะเป็นห่วงของมึงแย่มาก เอาไงดีวะกู

"เห้ยมึง ลำบากเปล่าๆ งานที่โรงพยาบาลเยอะแยะ ไม่ต้องหรอก" เอาเรื่องงานมันมาอ้างละกัน

"มึงแปลกๆนะวันนี้" แปลกเ-ี้ยไรละ

"......" ตอบไม่ถูกเลยกู

"แล้วมึงจะทำไง อ่านหนังสือเองหรือไง จะผ่านได้เหรอวะ อย่างมึงอ่านเองไม่มีทางทำได้อ่ะ กูรู้จักมึงดี"

"เออ กูจัดการของกูได้... ว่าแต่มึงรู้คะแนนตัวเองหรือยัง" เปลี่ยนเรื่องๆ

"เออ ยังว่ะ ดูที่ไหนวะ"

"เดี๋ยวกูส่งลิงค์ประกาศคะแนนให้ มึงค้นหาชื่อตัวเองได้เลย รวดเร็ว แต่มึงคงไม่ต้องค้นหรอกม้างงงง"

"ทำไมวะ"

"มึงดูเอาเองแล้วกัน..... กูไปละ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก" จัดไปหนึ่งดอกก่อนวางสายนะเพื่อน แล้วก็เอาลิงค์สำหรับเช็คคะแนนไป



โอเค เสร็จแล้ว ไหนลองค้นหาชื่อน้ำขิงดิ ชื่อจริงอะไรหว่า ไม่ได้ถามมานี่นา ลองค้นหาเป็นนามสกุลละกัน ธนกฤษ นี่ไงเจอแล้ว

​นายคฑาเทพ  ธนกฤษ 99% ผ่าน

​ตระกูลนี้ มันกินไอสไตร์เข้าไปกันหรือไงวะ



"ฮัลโหลขิง" รีบโทรรายงานเลยดีกว่ากู ต้องทำเสียงเศร้าๆหน่อย "ผมสอบตกอ่ะ ได้แค่ 64.5% เอง"

"จริงเหรอ" อ้าว ชิบหายแล้วกู น้ำเสียงแบบนี้ เศร้าจริงนี่หว่า รู้สึกผิดเลยกู "ทำตรงไหนไม่ได้บ้าง จำได้ไหม" น้ำเสียงยิ่งแย่ไปใหญ่ กูชั่วชิบหายเลยที่ไม่ตั้งใจทำข้อสอบ ทั้งๆที่ก็เรียนรู้เรื่องนะ แต่ดันเอาเหตุผลควายๆมาทำให้คนสอนต้องเสียใจ

"ผมขอโทษ" สำนึกผิดให้ไวเลยกู

"ขอโทษทำไมเล่า มันเป็นความผิดของเราเอง" ความผิดของผมเองงงงงง อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลย แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว "เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนบ่ายโมงไปเจอกันที่เดิมนะ เราขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว"

"โอเคครับ"

โคตรรรรรรรรรร รู้สึกผิดเลยกู

ทำให้น้ำขิงทั้งผิดหวัง เสียใจ แถมยังทำท่าเป็นห่วงเป็นไยกูอีก

ไม่ได้แล้ว วันนี้ต้องตั้งใจใหม่ ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ต้องไม่ทำให้เค้ามาเสียใจเพราะเราอีก



"สรุปว่ารู้ไหมว่าไม่ได้เนื้อหาไหนที่สุด" เปิดประเด็นมาก็ทำเอาผมเศร้าเลย "ไม่ต้องเศร้าน่า พรุ่งนี้สอบใหม่นะ เอางี้ไหม เดี๋ยววันนี้เราจ่ายค่ากาแฟให้"

โอ๊ยยยย ใจดีเกินไปแล้วนะ รู้สึกผิดจะแย่แล้วเนี่ย

"ไม่เป็นไรครับ ขิงมาติวให้ผมแล้วอ่ะ ยังต้องมาจ่ายตังให้อีก แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว"

เลิกทำหน้ากุ้มใจใส่ผมได้แล้วคราบบบ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำข้อสอบ เอาให้ทะลุ 70% ไปเลย

"แบบนี้ดีกว่า อืม.... นายจะว่าเราหลอกเด็กไหมอ่ะ ถ้าสมมติเราทำเหมือนตอนเด็ก ถ้าสมมตินายสอบผ่านเราจะให้ของที่นายอยากได้หนึ่งอย่าง เอาไหม"

เห้ยยยยยยยย

นี่มันโอกาสชัดๆ ตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดน้อยลงแล้ว ความชั่วเข้ามาแทนที่

"งั้น.... ไม่เอาสอบผ่านดีกว่า" ผมเริ่มคิดแผน "ถ้าผมผ่าน 70% ผมขอให้ขิงเรียกแทนตัวเองว่า น้ำขิง ได้เปล่า"

"......" มองตาปริบๆ นี่กูชั่วไปไหมวะ

"แค่ใช้กับผมคนเดียวก็ได้"

"เอาจริงเหรอ" เหมือนจะได้ผล



#เสียงโทรศัพท์

ใครแม่งขัดจังหวะอีกแล้ววะ  นี่ก็ลุกออกไปคุยโทรศัพท์เร็วเหลือเกิน

"ฮัลโหลครับพี่ตอง"

อ่อ พี่ตอง รุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน คุยไรกันวะ ได้ยินไม่ค่อยถนัด ช่างมันเหอะ สนใจเรื่องของกูก่อน

คุยเสร็จ ขิงก็กลับมานั่งที่เดิม



"ว่าไงครับ" ผมทวงข้อเรียกร้อง "ถ้าผมได้ 70%"

"แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยละ ขออย่างอื่นก็ได้นิ"

"ก็ผมอยากได้อันนี้อ่ะ มันช่วยให้ผมมีกำลังใจ"  เห้ย กูหยอดได้ผล หน้าแดงซะด้วย

"ไม่รู้ ขอคิดก่อน"

โอเค เร่งรัดไปอาจจะผิดหวังได้ ช้าๆได้พล้าเล่มงาม



เหมือนเคยครับ น้ำขิงยังคงจริงจังกับการสอน แต่วันนี้ผมนี่แหละที่แปลกไป กวนเค้าน้อยลง ตั้งใจมากขึ้น ถ้าต้องทำให้คนตรงหน้าเสียใจอีก ผมไม่โอเคแน่นอน



"เห้อออออ เหนื่อยจังเลย" เป็นเวลาดึกมากครับที่ผมเรียน โชคดีนะที่ร้านนี้มีอาหารทั่วไปขายด้วย แล้วก็เปิดทั้งคืน อยู่กับบทเรียนเกือบสิบชั่วโมง ถ้าไอ้ชาเย็นรู้ มันคงตกใจ แต่กำลังใจผมดีไงวันนี้ ไม่เคยเรียนเลขแล้วรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนนะ เออ อย่าลืมทวงสัญญา "แบบนี้จะสอบผ่านไหมน้าาาา"

"....." เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ตัว

"ถ้ามีอะไรมาช่วยให้มีกำลังใจในการสอบก็คง..."

"อืมมมม ก็ได้"

เห้ย จริงดิ



#เสียงโทรศัพท์

อีกแล้ว นี่น้ำขิงธุระเยอะไปไหม จังหวะการโทรเข้านี่ก็นรกสัดๆ แผนกำลังจะสำเร็จแล้วเชียว



"สัญญาแล้วนะว่าถ้าสอบผ่านเกิน 70% จะเรียกแทนตัวเองว่าน้ำขิง" กูตะโกนดื้อๆแม่งเลย อยากคุยโทรศัพท์ตอนช่วงสำคัญดีนัก

"ชูวววววว คุยโทรศัพท์อยู่"  ก็ยังเป็นคนที่ดุได้น่าดูเหมือนเดิม



อ้าว แล้วนี่ไปคุยศัพท์มายังไงเนีย ทำไมดูเครียดๆ ตาแดง จมูกแดง อย่างกับจะร้องไห้

"ขิง เป็นไรครับ"

"เปล่า...."



#เสียงโทรศัพท์

อีกแล้วเหรอว่ะ นี่เกิดไรขึ้นเนีย ไอ้คนปลายสายมันเป็นใครวะ

ขิงมองโทรศัพท์กล้าๆกลัวๆอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจลุกไปคุยโทรศัพท์อีกรอบ



ตอนนี้คุยเบากว่าปกติอีก มีอะไรวะ

แล้วไม่นานน้ำขิงก็ตัวสั่นเลย ร้องไห้แหงเลยสภาพนี้

"เห้ยขิงเป็นไรอ่ะ  ร้องไห้ทำไม"

ผมโดนส่งสัญญาณว่าห้ามรบกวนการสนทนาครับ จะบ้าหรือไงวะ นี่มันเป็นใครวะ ถึงขั้นทำน้ำขิงร้องไห้

ผมเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา

ร้อนใจจริๆ ค่อยๆเดินไปข้างหลังดีกว่า ชักเป็นห่วงแล้วดิ ดูดิว่าคุยอยู่กับใคร



"....ไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวใช่ไหม พี่เป็นห่วง" ผมเดินมาอยู่หลังน้ำขิงแล้ว แต่เค้าคงไม่รู้ตัว และมีเสียงใครคนหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์จนผมได้ยิน

"เปล่าครับ ขิงอยู่กับ..."

"ต้อมเว้ย กูชื่อต้อม มึงเป็นใครวะมาทำให้ขิงร้องไห้" ผมไม่สนอ่ะว่าจะโดนด่าว่าเสียมารยาทหรือเปล่า แต่มาทำน้ำขิงร้องไห้ ผมไม่ยอมแน่

"จะโวยวายทำไม อายเค้า" น้ำขิงหันมาดุผม ไม่รู้หละ หัวร้อน

"ต้อมยังสอบไม่ผ่านนะพี่ตอง " ห๊ะ พี่ตองเหรอ แล้วก็ถามถึงเราด้วย อะไรวะ เรื่องไรกัน "ชาไม่ว่างมาติวตั้งแต่แรกแล้ว...."

ผมเลิกสนใจฟังแล้ว รู้สึกว่ายิ่งฟังยิ่งเป็นห่วงแฮะ สงบสติอารมณ์ตัวเองก่อน ดูๆแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไร

ในที่สุดน้ำขิงก็คุยโทรศัพท์เสร็จ

ดูหน้าเศร้าๆ อย่างกับรู้สึกผิดอะไรสักอย่าง



"วันนี้พอแค่นี้แล้วกันนะ" อ้าว ยังไม่หายเศร้านี่หว่า

น้ำขิงเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ

เอาไงดีวะกู เป็นห่วงก็เป็นห่วง

น้ำขิงยังน้ำตาไหลอยู่เลย "พรุ่งนี้ก็ทำให้เต็มที่นะ"

ไม่รู้เว้ย ใครจะว่ากูฉวยโอกาสก็ช่าง

ก่อนน้ำขิงจะเดินออกจากห้อง ผมตัดสินใจคว้าตัวเค้ามากอด คนเศร้าขนาดนี้จะให้ผมปล่อยกลับไปได้ไงละ กอดให้แน่นเลย โดนต่อยก็ค่อยว่ากันทีหลัง

"......." น้ำขิงไม่ดุไม่ด่าอะไรผมเลย แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก คล้ายว่าเค้าสามารถร้องไห้ได้อย่างปลอดภัยในอ้อมอกของผมแล้ว

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมอยากปกป้องเค้าได้ยังไงกัน



"ไม่เป็นไรนะ  ผมจะปกป้องขิงเอง"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:27:57 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 2 : ตอง vs ต้อม





เอ๊ะ นั่นมันไอ้ชาเย็นเพื่อนเกรียนนี่หว่า ยืนรอใครอยู่หน้าหอวะ



นี่คือวันที่สองของการสอบหลักคณิตศาสตร์ แก้ตัวจากเมื่อวานที่ผมไม่ค่อยตั้งใจทำข้อสอบเท่าไหร่ ผมลงมาใต้หอกับพบกับเพื่อนรักของผมซะก่อน

เมื่อวานหลังจากปลอบใจจนน้ำขิงดีขึ้น ผมจะไปส่งเค้าที่หอ ก็ไม่ยอม คะยั้นคะยอ​ยังไงก็ไม่ยอม สงสัยกลัวว่าผมจะรู้ว่าหออยู่ไหน

แต่ยังไงสักวันก็ต้องรู้



เห้ยยยยย

​นั่นรถไอ้พี่ตองนี่หว่า.....

รับไอ้ชาขึ้นรถไปด้วย เห้ย ยังไงวะ

เดี๋ยวค่อยถามมันวันหลังละกัน ตอนนี้รีบไปสอบก่อน

อ่อ

ส่งข้อความหาน้ำขิงหน่อยดีกว่า

'อย่าลืมนะ ถ้าผมทำสอบได้ 70% ต้องทำตามสัญญานะ"

'ควรจะมีสมาธิกับการสอบนะ'

สบายใจแล้วเช้านี้ ได้กวนคนเป็นมื้อเช้า



เมื่อเข้ามาห้องสอบได้ ผมก็รีบลงมือทำข้อสอบทันที อ่านทุกตัว วิเคราะห์ทุกข้อ พยายามทวนสูตรบางสูตรที่อาจจะสับสน ถึงแม้ระบบการสอบจะใช้แท็บเล็ต แต่ผมก็ใช้กระดาษทดไปเยอะมาก ต้องจริงจังหน่อยดิ เป้าหมายผมมีอยู่



มื้อเที่ยงวันนี้ของผมช่างตื่นเต้นจริงๆ ปกติคะแนนจะออกหลังสอบเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง

อาหารโรงอาหารคณะสถาปัตย์ ทำไมมันไม่มีรสชาติเลยวะ หรือกูจะตื่นเต้นเกินไป



"เธอคะ" ใครเรียกหว่า "ชื่อต้อมใช่ไหม"

โอ้โหสาวสวยคนนี้ คุ้นๆ อ๋อ คนนี้เด็กปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบพร้อมเราปีนี้นี่นา "ใช่ครับ"

"เราชื่อแตงโมนะ" มาแนะนำตัวกับเราทำไมหว่า "เรา..... ขอเบอร์หน่อยดิ"

อือหือ ผู้หญิงสวยขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ต้องมาขอเบอร์ผู้ชายแล้วเหรอวะ



#คุณมี 1 ข้อความ

'ผลสอบออกหรือยัง'

ข้อความจากน้ำขิง 

ยิ้มดิกู งานนี้

"โทษทีครับ แฟนหวง" ก็รู้นะว่าผู้หญิงเค้าคงหน้าแตก ผมก็เลยเลือกที่จะลุกออกมาจากตรงนั้น ทำทีเอาจานไปเก็บ

ครึ่งชั่วโมงแล้วเข้าไปเช็คคะแนนดีกว่า

ตื่นเต้นสุดๆไปเลยกู

.........

......

...

​นายศิรภพ  อาจแผ่นดิน 69.5% ผ่าน



เข่าอ่อนเลยกู 

เห้ออออออออออออ

ไม่กล้าตอบไลน์เลย เอาไงดีวะ โทรไประบายกับไอ้เพื่อนรักก่อนละกัน



"ไงวะไอ้ต้อม"

"เออมึง คะแนนออกแล้วนะ กูได้ 69.5% ว่ะ"

"ก็ดีนี่หว่า ผ่านแล้ว ผ่านตั้งแต่ปีแรกเลย"

"เออ....  กูว่าพรุ่งนี้กูจะไปสอบอีกรอบว่ะ" ต้องทำให้คะแนนถึง 70% ให้ได้ แบบนี้ก็ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อะดิ

"เพื่อไรวะ อะไรของมึงเนี่ย" ไม่ต้องอยากรู้หรอกมึงอ่ะ

"เค้าก็ไม่ได้ห้ามคนที่สอบผ่านให้ไปสอบใหม่นิ"

"เดี๋ยวๆๆๆ มึงไม่ปกติแล้วตอนนี้ อยู่ดีๆก็อยากจะเก่งเลขขึ้นมา ยังไงวะ... อ่อ เดี๋ยวก่อนๆ กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง เมื่อวานนี้มึงไปขอให้ขิงติวให้อีกแล้วใช่ไหม"

"เห้ย มึงรู้ได้ไงวะ น้ำขิงบอกมึงเหรอ"

"กูรู้ได้ไงไม่สำคัญอ่ะ แต่มึงจะไปรบกวนเค้าทำไมวะ ขิงมันเด็กเรียบร้อยนะ กูไม่อยากให้มึงไปทำให้ขิงเหลวไหล ไอ้เวร กูบอกจะติวให้ มึงก็ไม่เอา อะไรของมึงวะ"

แม่ง ไอ้เพื่อนเวร ไม่สนับสนุน ยังจะมาทำให้กูเสียกำลังใจอีก  ".......โห มึง  กูดูเหลวไหลขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่ทำให้น้ำขิงลำบากหรอกน่า กูก็เลี้ยงดูเค้าอย่างดีนะเว้ย"

"ไม่ต้องเลยมึง ครั้งหน้าเดี๋ยวกูติวให้มึงเอง ไม่ต้องไปรบกวนเค้าแล้วนะ"

ไอ้สัด ทำเป็นพูดดี "...... อย่างกับมึงมีเวลามาติวให้กูเน๊าะ เดี๋ยวนี้คือยังไงวะ มีพี่ตองไปรับไปส่ง มึงไปญาติดีกันตอนไหนวะ ไม่เห็นเล่าให้กูฟังเลย"

"...." นั่นไงไม่ตอบ เค้าเรียกว่ามีพิรุจ

"มึงลืมไปรึเปล่า ว่ากูอยู่หอเดียวกับมึงนะ เมื่อเช้านี้กูก็มีสอบ ลงมาเห็นมึงข้างล่างแต่เช้าก็ว่าแปลกใจแล้ว นี่เห็นมึงขึ้นรถไอ้พี่ตองไป กูนี่โคตรแปลกใจเลย"

"มันมีเหตุนิดหน่อย มึงไม่ต้องมาแวงกัดกูเลย นี่ถ้าขิงกลายเป็นคนหยาบคายเพราะมึงนะ กูจะตัดหางปล่อยวัดมึง"

ใช้มุกนี้กับกูเหรอ "โห.... เออ กูจะทำตัวดีๆ ไปละนะ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก" กูจะไปไหนได้หละ





"สวัสดีค่ะ วันนี้มาอีกแล้วนะคะ" พนักงานร้านกาแฟจำผมได้ วันนี้ผมมาที่ร้านเดิม แต่ไม่กล้าชวนน้ำขิงมาด้วย แค่บอกคะแนนยังไม่กล้าเลย "วันนี้เปิดติวเตอร์รูทไหมค่ะ"

"ไม่คร... เปิดครับ" เปิดดีกว่า อย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่ามีน้ำขิงอยู่ใกล้ๆ

ผมหอบเอกสารทั้งหมดที่ติวในสองวันที่ผ่านมามาด้วย อ่านทบทวนทั้งหมดอีกครั้ง สูตรที่ยังจำสับสนก็ต้องให้แม่นกว่าเดิม

เหงาสุดๆ ติวหนังสือคนเดียว ไม่มีคนคอยปลอบใจตอนอ่านหนังสือไม่เข้าใจ ไม่มีคนให้กวนประสาทตอนเบื่อๆ

ไม่ได้ๆ

​กูต้องเก่งขึ้น 70% ท่องเอาไว้



นี่ค่ำแล้วเหรอวะ  มัวแต่อ่านหนังสือ หันออกไปที่กระจกอีกที มืดซะแล้ว

ชักหิวแล้วแฮะ กินไรก่อนดีกว่า คืนนี้คงอีกนาน



หึ

ใครเข้ามาในห้อง นี่มันห้องส่วนตัวนะ

"....."

ตาค้างไปเลยกู

น้ำขิง

​น้ำขิงเดินเข้ามาในห้องพร้อมข้าวผัดไข่หนึ่งจาน

"น้ำ.. เอ่อ ขิง" จะถามเรื่องคะแนนกูเปล่าวะ "มาไงอ่ะ"

"ก็นั่งแท๊กซี่มาไง" เหมือนจะแอบนอยนิดนึงแฮะ แต่ก็ยื่นจานอาหารมาให้ "อ่านมานานแล้วใช่ไหมเหรอ ไม่หิวหรือไง"

"คือ... เรื่องผลสอบวันนี้..."

"ก็ผ่านแล้วนิ ไม่เห็นจะต้องมาลำบากอีกเลย" อ้าว เหมือนน้ำขิงจะโกรธจริงแฮะ เพิ่งเคยเห็น รู้สึกผิดอีกแล้วกู

"ก็ผมอยากให้คะแนนมันถึง 70% นี่นา อุตส่า..."

"เนี่ยนะเหตุผล แทนที่จะทำเพื่อเรา ทำไมไม่คิดว่าทำเพื่อตัวเองเล่า.... แค่นี้ก็ต้องมาทำให้ตัวเองลำบากด้วย จะเรียกอะไรก็เรียกไปซิ ไม่ได้ว่าซะหน่อย"

หึ!

เมื่อกี๊คือประชดใช่ไหม หรือพูดจริง

"ไม่ได้หรอก ก็... ต้อมสัญญาไว้แล้ว อยากทำให้ได้"

"ก็ถึงมานี่ไง รู้ไหมว่าวันนี้ขิงมีติวในเมืองวันแรกด้วย ต้องยกเลิกคลาสเรียนเลย ไม่งั้นก็คงไม่เห็นว่าต้อมมาอ่านหนังสือที่นี่คนเดียว แล้วก็ไม่ยอมตอบไลน์ ไม่โทรไปบอกด้วย เพราะงั้นหลังจากนี้ไปรับไปส่งขิงสอนพิเศษด้วย"

โห จัดเต็ม แต่นี่มัน..... เหมือนเปิดทางให้เลยนี่หว่า

นางฟ้าของผม ทำไมถึงเป็นคนดีกับผมขนาดนี้ ไอ้ชาเย็น มึงนี่มันไม่ได้ครึ่งนึงของลูกพี่ลูกน้องมึงเลย

"ค.. คราบบบบ"

"กินข้าวไป ไหนดูซิ อ่านไปถึงไหนแล้ว แล้วรู้เรื่องเหรอหนะที่อ่าน"

คราบบบ จะบ่นอะไรก็บ่นเถอะ แค่นี้ก็ปลื้มจะแย่อยู่แล้ว

น้ำขิงติวให้ผมจนถึงดึกอีกเช่นเคย แต่วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก เพราะผมเรียนหนักไปแล้วเมื่อวาน และวันนี้ไม่มีใครร้องไห้

หลังจากติวจนคิดว่าโอเคแล้ว ผมก็ถูกปฏิเสธให้ไปส่งที่หอตามเคย แต่พรุ่งนี้น้ำขิงจะไปเฝ้าผมที่ห้องสอบด้วย เค้ากลัวว่าผมจะเฟวล์อีกถ้าคะแนนไม่ถึงเป้า

กำลังใจดีขนาดนี้ มันต้องทะลุเป้าซิวะ





​นายสิรภพ  อาจแผ่นดิน  79% ผ่าน

​"น้ำขิง" ผมเรียกน้ำขิงดูคะแนนในโทรศัพท์มือถือของผม หลังจากประกาศคะแนนสอบในวันที่สาม มือนี่สั่นไปหมดเลย "79% นี่มัน... เยอะที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยสอบมาเลย"

อยากจะตะโกนในลั่นมหาลัย

"ยินดีด้วยนะ" น้ำขิงยิ้มให้

ขอกอดทีได้ไหมเนี่ย อ๊ากกก อยากกอด แต่ไม่กล้า วันนั้นมันมีเหตุผล แต่วันนี้ไม่มี



#เสียงโทรศัพท์

ใครช่วยเอามือถือของน้ำขิงไปทิ้งทีได้ไหม โทรศัพท์เข้าบ่อยเกิ๊น

"ครับพี่ตอง" พี่ตองอีกแล้ว ไอ้พี่ตองนี่ยังไง นึกว่าจะวอแวกับเพื่อนผมคนเดียว นี่จะมายุ่งอะไรกันน้ำขิงอีก

"....."

"ได้ซิครับพี่ ยินดีเลย"

"....."

"โอเคครับ เดี๋ยวขิงกินข้าวเสร็จจะเข้าไปเลย" ไปไหนวะ



"จะไปไหนเหรอ" ถามเลยดิ รอไร

"พี่ตองให้ขิงไปช่วยดูแลเด็กๆที่โรงพยาบาลของมหาลัยหนะ พอดีพี่ตองไม่ว่าง จะพาชาไปซ่อมถ่ายภาพข้างนอก"

พี่ตอง ไอ้ชาเย็น มันชักจะน่าสงสัยเกินไปแล้ว

"ต้อมไปด้วยดิ ต้อมรักเด็กนะ" ผมรีบเสนอตัว

"ไม่ต้องอะ พี่ตองใช้ขิงคนเดียว"

"ก็ไอ้ชาไปด้วยไม่ใช่เหรอ ต้อมจำได้นะว่ามันก็ทำงานที่โรงบาล เกี่ยวกับ ดูแลเด็กนี่แหละ ขิงไปแทนพี่ตอง ต้อมไปแทนไอ้ชาไง"

"จะไปให้ได้ใช่ไหม"

"ก็ถ้ามีน้ำขิงอ่ะ"

"แหวะ เดี๋ยวอีกหน่อยต้อมก็ได้เป็นลีดคณะสถาปัตย์แล้ว ตอนนั้นก็คงไปไหนตามใจไม่ได้หรอก"

"งั้นน้ำขิงก็มาเป็นแฟน... เอ้ย บัดดี๊ให้ต้อมดิ"

5555 ได้ผลอีกตามเคย น้ำขิงเดินเขินไปโรงอาหารเลยทีเดียว อ่านออกง่ายดีแฮะ ​น่ารักตลอด



ผมลงทุนแวะออกไปซื้อชุดหมีมาใส่ เพื่อจะได้ช่วยสร้างบรรยากาศในการดูแลเด็ก ซึ่งก็ได้ผลซิครับ จริงๆน้องๆพวกนี้น่าสงสารมากเลย ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้ชาเย็นจะยอมมาทำงานดึกๆตลอด ถ้าไม่นับรวมเรื่องพี่ตองของมันอะนะ

พอถึงบ่ายสาม ไอ้ชาเย็นเพื่อนรักก็กลับมาทำงานในโรงพยาบาลพร้อมกับพี่ตอง ก็แซวกันไปแซวกันมาตามประสาแหละครับ จนกระทั่งมานึกขึ้นไป วันนี้ต้องไปส่งน้ำขิงสอนพิเศษในเมืองนี่หว่า



"ขอบใจมากนะขิง มึงด้วยต้อม เกรงใจมากเลย" ไอ้ชาเย็นขอบอกขอบใจเราสองคน

"เล็กน้อยน่า" ขิงตอบยิ้มแย้ม "สนุกดีด้วย วันหลังมีเรื่องดีๆแบบนี้ก็บอกได้นะ" น่ารักแถมยังแม่พระอีกต่างหาก ไม่เกรียนเหมือนมึงหรอกไอ้ชาเย็น

"มันก็เป็นเรื่องจำเป็นหนะ ชามาทำงานที่นี่เพื่อแลกกับท่าลีดเพลงในวันเปิดห้องเชียร์"

"มึงแน่ใจนะ" ผมต้องเหน็บซะหน่อย "ที่มาทำเนี่ยเพราะอยากได้ท่าเต้น หรืออยากอยู่ใกล้ชิดกับพี่ตอง เนี่ยดูดิ เห็นบอกจะอยู่นอนที่นี่กับมึงด้วย เค้าทำดีขนาดนี้กับมึงเพราะอะไรวะ กูสงสัย"

"กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ะ" อ้าว คือยังไงวะ

"เออมึง กูไปละนะ ต้องรีบไปส่งน้ำขิงที่ในเมืองอีก" ขอทำหน้าที่สารถีหน่อย ไม่อยากทำหน้าที่ผิดพลาดตั้งแต่วันแรก

"ไปทำไมวะ"

"มีสอนพิเศษหนะ" น้ำขิงตอบเอง "ลูกชายเจ้าของห้างที่ในเมือง จะสอบไปต่างประเทศ พ่อเค้าก็เลยจ้างขิงไปติวให้"

"มึงก็เลยอาสาไปส่ง ใจดีผิดปกตินะมึงอ่ะ แท๊กซี่ก็มีมั้ง" ไม่ต้องมาแซวกูเลย

"อ่าว ก็นี่มันอนาคตบัดดี๊กู ต้องดูแลหน่อย" หยอดไปอีกหนึ่งดอก

"แล้วมึงจะกลับชุดนี้จริงเหรอ.... ไหนๆก็ไปห้างแล้ว ก็เอาลูกโป่งไปแจกเด็กๆต่อเลยละกันนะ"

"เออ เรื่องของกู ไปเหอะน้ำขิง"

"ไปนะชา เจอกันๆ" น้ำขิงลาครั้งสุดท้าย





"น่าจะที่นี่นะ คุณพ่อของน้องส่งพิกัดมาให้ว่าเป็นที่นี่" น้ำขิงพยายามเช็คในโทรศัพท์ว่าเราสองคนเดินทางมาถูกที่หมายหรือไม่

ผมกับน้ำขิงอยู่ที่ห้างดังในย่านเมือง ที่นี่คนเยอะมาก แต่ส่วนที่ผมมาตอนนี้คือห้องรับรองพิเศษไม่ค่อยมีคน ตรงนี้มีอยู่หลายห้อง จึงได้พยายามหาว่าเป็นพิกัดตรงไหนกันแน่



"ผมบอกว่าไม่ต้องเรียนไงป๊า ผมสอบได้อยู่แล้วน่า"

"ก็เรียนให้มันชัวร์ๆไว้มันจะเป็นอะไรไปห๊ะ" เสียงพ่อลูกที่ไหนทะเลาะกันวะ



"คุณพ่อกับน้องกั้งใช่ไหมครับ" อ้าวน้ำขิงเข้าไปคุยด้วยเฉยเลย นี่เหรอที่จะสอน

คนนี้ซินะเจ้าของห้าง ส่วนนี่ก็....

โอ้โห ลูกชาย เด็กมอปลายตัวใหญ่ หล่อเหมือนกันนะเนี่ย แล้วทำไมมันมองน้ำขิงแบบนั้นวะ ส่งสายตาแปลกๆ ไม่ถูกชะตาไอ้เด็กปีนเกรียวนี่เลย

"อ้าว ขิงใช่ไหมครับ อ่อๆนี่ลูกชายของอานะ ชื่อกั้ง"

คุณลุงเจ้าของห้างแนะนำตัวลูกชายตัวเองให้น้ำขิงรู้จัก ไอ้เด็กนี่ก็มองตาไม่กระพริบเลย

"แล้วนั่นใครครับ" หมายถึงผมเหรอ

"เพื่อนของผมเองครับ พอดีผมไม่มีรถ ก็เลยวานให้เค้าช่วยมารับมาส่งหนะครับ" น้ำขิงบอก "อ่อ คือเราเพิ่งไปเลี้ยงเด็กมาหนะครับ ก็เลยมาในชุดนี้" ชุดหมีมันทำไม ก็น่ารักดีออก

"อ้าว ทำไมไม่บอกอา เดี๋ยววันหลังอาให้เจ้ากั้งเอารถไปรับที่มหาลัยก็ได้" โหลุง จะมาช่วงชิงหน้าที่ของผมไปให้ไอ้ลูกชายปีนเกรียวของลุงได้ไง

"ไม่เป็นไรครับ ผมมารับมาส่งได้ อีกอย่าง ลูกชายของคุณลุงยังอายุไม่ถึงนะครับ ผมไม่สนับสนุนการไม่เคารพกฎจราจรครับ"

น้ำขิงมองผมอย่างตำหนิ ไม่รู้อ่ะ ใครมาแย่งหน้าที่ จะรวยมาจากไหนก็ไม่สน

"เอ่อ... หมายถึงมีคนขับรถให้"

"ผม..."

"ไม่เป็นไรดีกว่าครับคุณพ่อ" น้ำขิงรีบห้าม สงสัยเห็นผมเริ่มของขึ้น "ผมสะดวกให้เค้ามารับมาส่งมากกว่า"

"อ่าๆ เอาที่ขิงสะดวกก็แล้วกันนะ แต่เจ้าลูกชายตัวดีของอานี่ซิ บอกจะไม่เรียนอีกแล้ว"

"โห่ ป๊า  ผมก็พูดไปอย่างงั้นแหละ ผมยังต้องการความรู้อีกมาก" ไอ้เด็กปีนเกรียวเอ๊ย มึงอ้าปากกูก็เห็นลิ้นไก่แล้ว เห็นน้ำขิงกูน่ารักอะดิ "ผมชื่อกั้งครับ ฝากตัวด้วยนะครับพี่ขิง"

ชิบหายยย ถ้าไม่เห็นว่านี่เป็นงานของน้ำขิงนะ กูจะตันหน้ามันตรงนี้แหละ ช่วยเก็บสายตามึงหน่อยได้ไหม

"อ้าว... อะๆ ดีแล้ว งั้นเชิญขิงตามสบายเลยนะ ถ้าไอ้ลูกชายของอาทำอะไรให้ไม่สบายใจก็บอกได้เลยนะ"

"ไม่หรอกครับคุณพ่อ" นี่ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นจังเลย

หงุดหงิดโว๊ย

ลุงเจ้าของห้างเดินออกจากห้องไป

"ต้อมไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ ข้างล่างมีร้านกาแฟด้วย ขิงต้องสอนสองชั่วโมง" ห๊ะอะไรนะ จะให้ทิ้งน้ำขิงผู้น่ารักไว้กับเสืออย่างมันเนี่ยนะ ไม่มีทาง

"ไม่อ่ะ ต้อมจะนั่งรอในห้องนี้แหละ ห้องออกจะใหญ่"

"ก็ได้... งั้นต้อมนั่งตรงนี้แล้วกันนะ จะได้ไม่รบกวนการสอน" เออ เดี๋ยวกูจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ชอบมาพากล กูพากลับอย่างเดียว คอยดูนะ



ไอ้เด็กส้นตีน แม่งทำลอยหน้าลอยตา นี่ถ้าไม่ใช่ว่าน้ำขิงมาสอน กูว่ามึงก็คงยังทะเลาะกับพ่อว่าจะไม่เรียนเหมือนเดิมนั่นแหละ

น้ำขิงก็ชอบยิ้มให้มันจังวะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นงาน แต่ดูไม่ออกหรือไงว่ามันหม้ออยู่

สองชั่วโมงนี่ทำไมมันนานจังวะ



"ยังไม่เสร็จอีกเหรอ" นี่สองชั่วโมงแล้วนะ ไม่รู้อ่ะ ครบกำหนดเวลาแล้ว จะมาใช้แรงงานเกินกำหนดไม่ได้

"อ...เอ่อ เหลืออีกข้อนึง" ขิงตอบอึ้ง

"....." รู้เลยว่าตอนนี้ตัวผมเองมีสีหน้าไม่พอใจ

"พี่ขิงครับ สอนต่ออีกชั่วโมงได้ไหมครับ เดี๋ยวผมให้ป๊าเพิ่มเงินให้สองเท่าเลย" อ้าวไอ้เด็กนี่ มึงจะลองดีกับกูเหรอ

"ต้อมต้องซ้อมเต้นนะ ใกล้ถึงวันเปิดห้องเชียร์แล้ว" อ้างแม่งเลย เอาวะ เรื่องกูก็สำคัญเหมือนกัน

"นะ... น้าาา นะครับพี่ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลย"

"พี่ขอเวลาแป๊บนึงนะ" ผมโดนน้ำขิงลากออกมาจากที่สอนพิเศษ แต่บอกตามตรงนะ ถ้าไม่ออกมา อีกนิดผมกระโดดถีบไอ้เด็กส้นตีนนั่นแน่ๆ



"ต้อม ขิงขอสอนอีกชั่วโมงนึงได้ไหม"

อะไรนะ นี่ไม่เห็นความสำคัญของคนที่เป็นห่วงเลยใช่ไหม ดูไม่ออกหรือไงว่าไอ้นั่นมันคิดไม่ซื่อ "ทำไมอ่ะน้ำขิง นี่ดูไม่ออกหรือไงว่าไอ้เด็กนั่นมันหม้อน้ำขิงอยู่"

"ไอ้เด็กนั่นที่พูดคือลูกศิษย์ของขิงนะ"

"นี่ ต้อมดูออกจริงๆนะ ดูสายตามันดิ มันไม่ได้อยากเรียนกับน้ำขิงจริงๆหรอก"

"ต้อม มีเหตุผลหน่อยซิ หน้าที่ของขิงคือสอน เด็กจะคิดยังไงขิงห้ามไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าเรียกร้องให้ขิงสอน ขิงคือคนที่จะเป็นครูนะ มันเป็นความรับผิดชอบ"

"อะไรกันวะน้ำขิง มันจะจ้างขิงซักเท่าไหร่กันเชียว มา เดี๋ยวต้อมจ้างเอง ต้อมให้มากกว่าสองเท่าด้วย"

"....." น้ำขิงนิ่งไป แต่ผมยังเคืองอยู่มาก "ต้อมพูดแบบนี้ได้ยังไงอ่ะ ตอนที่ขิงสอนต้อม ขิงเคยเรียกร้องเงินซักบาทไหม คิดว่าขิงสอนเพื่อเงินเหรอ มันเป็นความฝันของขิงนะ ถ้าต้อมลำบากใจที่จะรอ ขิงกลับเองก็ได้"

"ขิง..." นี่กูผิดเหรอ

"หยุด" ผมโดนห้ามไม่ให้เดินตาม "กลับไป ขิงจะสอน แล้วก็ห้ามตามเข้าไปในห้องด้วย ไม่งั้นขิงจะบอกให้น้องกั้งเรียก รปภ."

เล่นแบบนี้เลยเหรอ

น้ำขิงเดินจากเข้าไปในห้องจริงๆ

อะไรของวันนี้วะ อุตส่าไปได้ดีแล้วเชียว เพราะไอ้เด็กปีนเกรียวนั่นแท้ๆ

แม่งเอ๊ย

กลับก็ได้วะ กูอุตส่าเป็นห่วง ไม่เห็นค่ากูเลย







​​แม่ง จะไปตามหาที่ไหนวะ นี่ขับรอบมหาลัยแล้วนะ

​หลังจากที่เรื่องเมื่อวานเย็น ตอนนั้นก็ยอมรับนะว่าโกรธ แต่ตอนนี้ดิ จะเป็นจะตายซะเอง โทรไปหารายนั้นไม่รับสายเลย ข้อความในไลน์ ไม่อ่านไม่ตอบ นี่ถึงขั้นต้องขับรถวนหารอบมหาลัยแล้วนะ ไม่เหลือหนทางแล้ว

จะจำไว้เลยว่าวันหลังจะไม่ทะเลาะด้วยแล้ว นี่ก็เย็นแล้วด้วย ไม่รู้ไปสอนในเมืองหรือยัง ไปยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไอ้เด็กส้นตีนนั่นมารับจริงๆละ

หรือว่าจะไปขอให้ไอ้ชาเย็นช่วยดีวะ.... เออจริงด้วย ไอ้ชาน่าจะช่วยได้

ขับรถกลับหอด่วนเลยกู



เห้ย นั่นมันพี่ตองนี่หว่า มายืนจ้องๆมองๆอะไรอยู่หน้าหอเราหว่า

"พี่ตอง หวัดดีพี่" ผมยกมือไหว้พี่ตอง หน้าพี่แกดูกังวลๆนะ "มีไรเปล่าพี่ มองไรอ่ะ"

"คือ... ชาไม่รับโทรศัพท์พี่อ่ะ" ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเลยวะ

"มีไรอะพี่ ทะเลาะกันเหรอ"

"มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยหนะ"

"ไม่ต้องเครียดไปพี่ ไอ้นี่นะ ชอบเก๊กท่าขี้งอน พามันไปหาไรกินก็หายแล้ว ยิ่งถ้าได้แกงเห็ดนะ ง้อง่ายกว่าน้ำขิงเยอะ"

"ห๊ะ อะไรนะ เอ็งงอนอะไรกันกับขิงวะ" อ้าว พลั้งปากซะงั้นกู

"อ๋อ ก็เข้าใจผิดเหมือนกันแหละพี่"

"เอ็งกับขิงนี่ยังไงวะ เห็นช่วงนี้ตัวติดกันจัง"

"ตอนนี้ไม่ติดแล้วหละพี่ หาตัวยังไม่เจอเลย ว่าแต่ผม พี่ไม่ยิ่งกว่าผมอีกเหรอ ไม่ถูกกันมาเป็นชาติ ตอนนี้ผมเห็นพี่ลากไอ้ชาเย็นของผมไปนั่นไปนี่ตลอดเลยนิ... พี่อะไรกับเพื่อนผมกันแน่ พี่จีบมันงะ"

"เออ กูยอมรับ" เห้ยยยย โคตรแมน ยอมรับตรงๆเลย "มึงช่วยบอกข้อมูลเกี่ยวกับชาให้กูหน่อยดิ ชอบอะไร มีความลับอะไรที่พอจะบอกได้บ้างไหม เผื่อเป็นประโยชน์ ดูท่าเพื่อนมึงนี่ปากแข็งเหมือนกันนะ"

เห้ย เดี๋ยวนะ บางทีพี่ตองอาจจะเป็นทางออกก็ได้ น้ำขิงก็สนิทกับพี่ตองนี่หว่า ไม่แน่อาจจะสนิทมากกว่าไอ้ชาด้วยซ้ำ

"ได้พี่ ผมให้ได้มากกว่าข้อมูลอีก แต่พี่ต้องบอกผมมาก่อนว่าน้ำขิงพักที่ไหน"

"เห้ย มึงถึงขั้นจะบุกห้องน้องกูเลยเหรอ"

"เปล่าพี่ ผมแค่อยากเจอเค้า น้ำขิงงอนผมอยู่"

"มึงแน่ใจนะ นั่นน้องรักกูนะเว้ย ถ้าทำไรน้องกู มึงโดนแน่ ว่าไง มึงต้องการไรจากน้องกูกันแน่ พวกไม่จริงใจ กูบล็อกหมดอ่ะ"

"จริงใจดิพี่" เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้ว "จริงจังด้วย นี่ก็ขับรถตามหามาทั้งบ่ายแล้วเนีย"

"จีบไม่จีบ" อ้าว กดดันกูเลย

"เออออออ พี่ จีบ..."

"ก็แค่นั้นแหละ" นี่ไอ้พี่ตองมันล้วงความลับผมใช่ไหม "หอขิงอยู่ประตูหก หลังร้านกาแฟสีดำๆอะ"

ห๊ะ ร้านที่เราไปติวเกือบทุกวันอะนะ ถึงว่าดิ

"ขอบคุณมากพี่ ผมไปก่อนนะ ผมรีบ"

"เออๆ มึงอย่าลืมเรื่องข้อมูลของกูนะ"

"ไม่ลืมดิพี่ เอางี้ พี่ลองไปหาข่าวเด็กจมน้ำเมื่อแปดปีที่แล้วดิพี่ แถวๆโรงเรียนเราอ่ะ ผมก็ไม่รู้ทำไม แต่ไอ้ชามันเป๊ะข่าวนี้ไว้ในห้องนอนที่บ้าน ดูแลอย่างดี เผื่อพี่ได้ข้อมูลอะไร ไปนะพี่ วันหลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกันใหม่"



ผมนี่รีบเลย ที่ไหนได้ อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง

​นั่นไง น้ำขิงจริงด้วย ขอบคุณพระเจ้า

​"ขิง น้ำขิง" ผมหายใจหอบ แทบจะกระโจนออกมาจากรถ

น้ำขิงตกใจเลยที่เห็นหน้าผม แต่สักพักก็เตรียมเดินหนีไป

"น้ำขิง ต้อมขอโทษ นะนะ ขอโทษคราบบบ" ขว้างไว้ก่อนละกันกู

"ถอยไป เราจะไปสอนแล้ว" นั่นไงเปลี่ยนสรรพนามกับกูด้วย เจ็บจี๊ดเลยกู

"โอเคๆ งั้นให้ต้อมไปส่งนะ"

"ไม่ต้อง เราไปเอง ถอยไปซิ เราสายแล้ว"

"น้ำขิง... ให้ต้อมไปส่งนะ ต้อมขอโทษจริงๆ จะไม่เข้าไปกวนตอนสอนอีกแล้ววว นะนะนะ... ก็ไอ้... เอ่อ เด็กคนนั่นทำสายตาเจ้าชู้ใส่น้ำขิงอ่ะ ต้อมแค่พยายามปกป้องน้ำขิงนะ"

"แล้วทีต้อมทำตาเจ้าชู้ใส่ขิงละ ไม่เห็นมีใครโกรธเลย"

"ก็..." ห๊ะ! นี่คือยังไง เขินเลยกู แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี "โอเค ต้อมจะไม่ยุ่งจริงๆ นะนะ" ไม่รู้หละ จูงมือขึ้นรถเลยดีกว่า โอเค ไม่ต่อต้าน ถือว่าสำเร็จมาครึ่งนึงแล้ว "รีบไปดีกว่านะ เดี๋ยวสาย"

"...." ขิงนั่งนิ่ง แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว ในที่สุดก็ได้คุยกันสักที ได้กลับมาทำหน้าที่ตัวเองแล้ว โล่งอก

"แต่.... ต้อมไม่นั่งในห้องนั่นนะ ยังไงก็ทนดูขิงกับเด็กคนนั้นอยู่ด้วยกันไม่ได้"

"ไม่ได้เห็นนานหรอกน่า" หึ น้ำขิงพูดไรนะ "สอนแค่อาทิตย์เดียวเอง เดี๋ยวน้องก็สอบแล้ว"

เห้ยยยย

ข่าวดีเลยนะเนี่ย ไม่เสียแรงที่ยอมเหนื่อยทั้งวัน

ถ้างั้นก็เตรียมเดินหน้าเต็มกำลังได้เลย และหลังจากนี้....



พี่ตองกับไอ้ต้อมคนนี้ คงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะเลย

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 14 : รถตู้







​นี่มันอะไรกันวะ พี่ตองรู้เรื่องนี้ได้ยังไง



หลังจากปิดโหลต ผมลงจากเวทีด้วยสมองที่ว่างเปล่า ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันว่างเปล่าจริงๆหรือความคิดในหัวมันตีกันจนปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้

ภาพข่าวเมื่อแปดปีที่แล้วยังคงอยู่ในมือที่สั่นเทิ้มของผม ภาพของพี่ตองตอนเด็ก ยืนตัวเปียกอยู่ท้ายรถรถพยาบาลสีขาวกับเด็กอีกคนก็คือตัวผมตอนนั้นซึ่งถูกกำลังนอนอยู่บนเปลฉุกเฉิน เป็นภาพข่าวที่ผมเห็นจนชินตาเพราะมันถูกใส่กรอบติดข้างผนังห้องนอนและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีที่บ้านของผม แต่ทำไมตอนนี้ ภาพนี้ไม่ทำให้ผมรู้สึกชินแม้แต่นิดเดียว

​แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้วะ

พี่ตองเอาข่าวนี้มาให้เราดูทำไม

เค้าจะหาว่าเราเป็นโรคจิตเปล่าวะ



"เข้าไม่ได้นะคะ ช่วงรอนับผลคะแนน คนนอกเข้าไม่ได้"

เสียงเอ๊ะอ่ะอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก

​เชี่ยยยยยยยยย

​นั่นมันไอ้พี่ตองนี่หว่า ทำท่าจะเข้ามาในห้อง ผมหลบซิครับ รอไร ตอนนี้ไม่กล้าสบตาเลยบอกตรงๆ



​"ลงไปหลบอะไรอยู่ตรงนั้นน้ำชา" เกตุถามผมที่ทำตัวแปลกๆ

"....." จะบอกยังไงหละ ทำไมความกังวลมันเต็มหัวไปหมด

"พี่ตองเข้ามาไม่ได้หรอก จนกว่าจะถึงเวลาประกาศคะแนน" ก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้แสดงตัวโต้งๆใครจะไปกล้า "นั่นไง พี่แอมมาพาตัวไปแล้ว"

ห๊ะ

ใครนะ  พี่แอมอีกแล้วเหรอ 

อ้าว เศร้าเลยกู เมื่อกี๊ยังกลัวเค้าเข้ามาอยู่เลย คราวนี้ทำไมรู้สึกแย่ที่เค้าโดนพาตัวไปหละ มึงนี่โลเลนะ

"นี่... มีปัญหาอะไรกับพี่ตองหรือเปล่าน้ำชา" เกตุคงเห็นสีหน้าของผมตอนกลับมานั่งที่เดิม

"ก็เปล่าหรอก"

"ถ้าเปล่าแล้วหลบหน้าะพี่เค้าทำไม พี่เค้าดูเป็นห่วงชานะ"

"เกตุคิดงั้นเหรอ" ก็มันอายนี่หว่า ไม่ได้ดูหรอกว่าสีหน้าใครเป็นไง

"เกตุไม่ได้คิดคนเดียวหรอก เกตุว่าในห้องนี้เค้าก็คิดแบบเดียวกันหมดนั่นแหละ"

"แต่พี่เค้าก็ไปแล้วนิ"

"อย่างเต็มใจอะเหรอ...."

"ก็..."

"ชาเนี่ยนะ มีเหตุผลตลอด แต่ทุกๆเหตุผลของชา ไม่ช่วยให้ชีวิตชาดีขึ้นเลย" เกตุ สาวนักจิตวิทยากลับมาอีกแล้ว "เราอ่ะเรียนวิทยาศาสตร์กันนะชา เอางี้ ตัวเกตุเองนี่แหละ เชื่อในวิทยาศาสตร์ เกตุไม่เชื่อในชาติหน้า ถ้าวันนี้ตอนนี้ สิ่งที่เกตุคิดหรือทำ มันไม่ทำให้เกตุมีความสุข เกตุก็จะไม่ทำสิ่งนั้น เพราะเกตุคงเสียดายที่เกตุยอมให้ตัวเองใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทั้งๆที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแล้ว ชาติหน้ามีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วยิ่งกับคนที่เค้าให้สิ่งดีๆกับเกตุนะ เกตุจะไม่มีทางปล่อยให้คนๆนั่นต้องมาเป็นทุกข์เพราะเกตุเลย"

ทำไมกูรู้สึกเหมือนโดนครูเทศเลยวะ แต่เกตุแม่งก็พูดถูก ความคิดโคตรเจ๋งเลย "แต่บางเรื่อง มันก็ยากนะเกตุ ถ้าการมีเราทำให้ชีวิตของเค้าแย่ลงหละ"

"งั้นชาก็ปล่อยไป ถ้าชาไม่คิดที่จะทำให้มันตรงใจตัวเอง แต่ให้ตรงใจคนอื่น ชาก็ปล่อยไม่ไป ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องสนอะไร แล้วเดี๋ยวเราทุกๆคนก็ต้องตายจากไปกันไปอยู่ดี แต่อย่ามาเสียใจทีหลังนะ ตอนที่ตายจากกันไปแล้วอ่ะ"

โอ้โห... พูดซะกูสำนึกเลย "แต่เกตุไม่เข้าใจ..."

"เข้าใจซิ.... ชากับพี่ตองอะนะ ทำไมเกตุจะไม่เข้าใจ นี่เกตุสติดีอยู่นะ พี่เค้าวิ่งเอาดอกกุหลาบพี่ขาวมาให้ เห็นชัดๆว่าไปหามาจากข้างนอก ทั้งๆที่พี่เค้าอยู่ที่ตึกลีดก็ได้ แล้วก็เมื่อกี๊ พี่เค้าแสดงความห่วงใยไม่พออีกเหรอ สรุปทั้งหมดนี้ พี่เค้าทำอะไรผิดเหรอ"

"เอ่อ..." นี่กูจะหาอะไรไปเถียงให้ได้ใช่ไหม โรคไม่ยอมแพ้เนีย

"หยุดหาเหตุผลเถอะชา เอาจริงๆนะ ชากอดดอกกุหลายช่อนี้แน่นมานานแล้วนะ"

ห๊ะๆๆ

จริงด้วย ผมกอดดอกกุหลาบมาตลอดตั้งแต่ได้มาเลยนี่นา ไม่อยากวางเลย ไม่คิดจะวางด้วย

​เอาวะ ยังไงก็พยายามมาตั้งแปดปีแล้วนิ ยังจะมากลัวอะไรอีก

​วิ่งซิกู จะรออะไร ไปตามพี่เค้าให้ได้ จะเป็นใครที่มาพาตัวพี่ตองไป กูก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละ



"น้องคะๆ ออกไปไม่ได้นะคะ" อ้าวพี่ จะมาขว้างผมทำไมเนี่ย "ขั้นตอนการนับคะแนนโหวต สำคัญมาก ถ้าน้องออกไป น้องจะถูกตัดสิทธิ์ทันทีนะ เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะตอนซ้อม"

กูไม่สนโว๊ยยย "งั้นก็ตัดสิทธิ์ของผมไปเลยพี่" เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว ผมต้องทำเพื่อพี่ตองบ้าง นี่คือวินาทีที่กูรอมาตั้งแปดปี

อยากพูดขอบคุณเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วใช่ไหม นี่แหละโอกาส

อยากบอกพี่เค้าว่ามึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พี่เค้าให้ได้ใช่ไหม นี่แหละโอกาส

อยากให้ไอ้คนตัวสูงนั่นรู้ใช่ไหมว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้ๆเค้า นี่แหละโอกาส

ผู้นำเชียร์บ้าไร ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว



"....."

เห้ยทำไมประตูดันไม่ได้วะ

​นี่มัน

​พี่ตอง

พี่ตองกำลังใช้มือดันประตูไว้จากด้านนอก ไม่รู้โผล่มาตอนไหน แต่พี่ตองดูไม่ดีเลย ใบหน้าดูเครียดกังวล มีเหงื่อออกมาผิดปกติ

กระจกประตูกั้นผมกับพี่ตองไว้ เราห่างกันแค่เซนติเมตรเดียวเท่านั้น แต่สัมผัสตัวกันไม่ได้

​อย่า ออก มา

​นั่นคือที่ผมอ่านปากพี่ตองได้

ไม่รู้ดิ ทำไมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ผมกอดช่อกุหลาบแน่นกว่าเดิมอีก นี่คงเป็นสื่อสัมผัสเดียวที่ผมรู้สึกจากพี่ตองได้



#คุณมี 1 ข้อความ

'อย่าออกมานะครับ อย่าทิ้งโอกาสตัวเอง' พี่ตองเลือกที่จะส่งข้อความมาแทน

'แต่ชามีเรื่องจะคุยกับพี่'

'เดี๋ยวค่อยคุยครับ รอให้ประกาศผลก่อน ไม่นานหรอกนะ'

ผมไม่ตอบกลับ แต่ขอมองหน้าพี่ตองแทน ทำไมรู้สึกเหมือนนี่เป็นเวลาเดียวที่ผมจะได้พูดกับพี่ตองเลย เหมือนกับว่า ถ้าผมไม่พูดตอนนี้ จะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว

'พี่จะรออยู่ข้างล่าง รอยินดีกับชานะ'

'ครับ'

พี่ตองเอามือออกจากการดันประตู แล้วเดินหันหลังลงบันไดไป

ทำไมรู้สึกไม่ดีเลย

นี่ซินะที่เรียกว่าร้อนใจ

ทำไมนับคะแนนกันนานจังวะ

"ใจเย็นๆชา" เกตุเห็นท่าทีของผมอีกแล้ว "เดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้ว"

"ขอบใจนะเกตุ สำหรับคำแนะนำทั้งหมดเลย"

"ถือว่าเกตุตอนแทนเรื่องท่าเต้นเรื่องมิ่งขวัญก็แล้วกัน"



"ได้เวลาลงไปข้างล่างแล้วคะน้องๆ"

ผมแทบจะกระโดดตัวลอยเลย

ผู้เข้ารอบถูกนำตัวลงไปที่เวทีหน้าห้องเชียร์อีกครั้ง ส่วนตัวผมก็แน่นอนหละ มองหาพี่ตองก่อนเลย

อยู่ไหนนะ 

นั่นพี่ท๊อป ยังยืนอยู่ที่เดิมเลย

นั่นเจ๊ชมพู่กับเจ๊ซีซี่นั่งอยู่ที่นั่งแขกพิเศษ

หมอพิชิตไม่เห็น คงจะกลับไปโรงพยาบาลแล้ว

นั่นไง  พี่ตอง  พี่เค้ายืนอยู่หลังสุดของห้องเชียร์ ถึงจะไกลแต่ก็มองเห็น ค่อยใจชื้นหน่อย



"ต่อไปก็เป็นการประกาศคะแนนของคณะวิทยาศาสตร์แล้วนะครับน้องหญิง"

"เอาหละคะ มาเริ่มกันเลยนะคะ"

เสียงประกาศจากส่วนกลางดังออกมาจากการถ่ายทอดสดอีกครั้ง ตอนนี้ผมกลับเข้ามาในอารมณ์ของกิจกรรมในวันนี้แล้ว ก็เห็นพี่ตองแล้วนี่นา สบายใจขึ้นมาเยอะเลย

"สำหรับผู้ที่ได้รับการโหวตอันดับหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ด้วยคะแนน 132 คะแนน ได้แก่..................

นายธชานา ธนกฤษ หรือน้องน้ำชา นั่นเองค่าาาา"

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นั่นชื่อกูนี่หว่า เห้ยชื่อกู ชื่อกู

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงปรบมือโหร้องดังลั่นเลยครับ แก๊งนางฟ้าเพื่อนผมดีใจออกหน้าออกตาสุดๆ คงลุ้นกันหน้าดู เพื่อนๆที่เข้ารอบก็เหมือนกัน เข้ามากอดแสดงความยินดีกับผมยกใหญ่ แล้วพี่ตองหละ

กำลังยืนยิ้มให้ผมจากท้ายสุดของห้องเชียร์

ชาทำได้แล้วนะ

ที่พยายามมาให้เสียเปล่าซินะ ให้ตายเหอะ โล่งชะมัดเลย ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้สักที

ผมยังคงยืนรอการประกาศผลของคนอื่นๆต่อไป เกตุเข้ามาเป็นที่สองต่อจากผม ส่วนคนที่ไม่ได้ไปต่อคือโอปอกับผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จัก โอปอร้องไห้โหเลย คงจะคาดหวังจริงๆ ส่วนผู้ชายสองคนที่ตกรอบ ก็แสดงอาการผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก



"อิชา กูยินดีด้วยเมิงงงง" แก๊งนางฟ้ารีบเข้ามาหาผมหลังจากการประกาศผู้เข้ารอบ ซึ่งก็หมายถึงการจบงานวันนี้ด้วย "เก่งมากเลยมึง กูนี่ลุ้นเหยี่ยวเหนียวเลยนะ"

"อินี่ เหยี่ยวหนงเหยี่ยวเหนียวอะไรของมึง"

"มันคืออะไรเหรอมึง กูไม่เข้าใจ"

"โอ๊ย อีวาวา โลกสวยไปไหมมึงอ่ะ..."

"พวกมึงเห็นพี่ตองไหม" ผมมองไปที่ที่พี่ตองเคยยืนอยู่ แต่พอลงมาจากเวที พี่เค้าก็หายไปแล้ว

"นี่อิชา พวกกูมายินดีด้วยเนีย เห็นพวกกูในสายตาไหมคะ" อิเจสซี่เหน็บผม "ลงมาก็ถามหาผู้ก่อนเลย"

"เออ มึง ขอบใจมาก" ผมก็ต้องแก้ตัวก่อน อิพวกนี้นิ "ถ้าไม่ได้พวกมึงช่วยแต่งตัวให้ กูคงไม่ได้เข้ารอบมาหรอก"

"แน่ซิคะ นี่ทีมงานมืออาชีพนะคะ ขอบอก" อิเล็กเอาบ้าง เชิดหน้าใหญ่เชียว

"เออๆ พวกมึงเก่ง แล้วสรุปว่า... พวกมึงเห็นพี่ตองไหม"

อิช้าง มึงไม่ต้องมากรอกตาใส่กูเลย

"น่าจะอยู่ตรงหน้าคณะนะ เมื่อกี๊กูเห็นพี่เค้าเดินไปทางนั้น" ขอบคุณนะวาวา ไม่เสียแรงที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม เกี่ยวไรวะ

"ขอบใจนะวาวา อ... เอ่อ ขอบใจพวกมึงทุกคนเลย เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าว โอเคไหม"

"มึงพูดแล้วนะ"

"เออ... แต่ตอนนี้กูไปหาพี่ตองก่อน" อ้าว กูนี่ก็พูดชัดเกิ๊น "กูจะ... ไปขอบคุณพี่เค้าเรื่องดอกไม้อ่ะ"

"ค่ะ ขอบคุณกันหลายๆดอกเลยนะคะ"

เออ มึงจะพูดไรก็พูดเหอะ กูรีบ



"ยินดีด้วยนะชา" "ยินดีด้วยนะ" "เก่งมากเลย" "เต้นสวยจัง"

จะอะไรกันตลอดทางเลยวะ นี่ยิ่งรีบๆอยู่ ไว้ยินดีกันวันหลังได้ไหม เหมือนจะเห็นพี่ท๊อปเข้ามายินดีเปล่าหว่า เออ ช่างก่อน ตอนนี้สนใจอยู่แค่คนเดียว



นั่นไง เห็นพี่ตองแล้ว ยืนหล่ออยู่หน้าป้ายคณะเลย

"พี่ตอง" ผมตะโกนเรียก พี่ตองก็หันมายิ้มให้

วิ่งซิกู งานนี้ต้องพูดให้หมด

พี่เค้ายิ้มให้แสดงว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ความจริงเมื่อแปดปีที่แล้วพี่เค้าก็รู้แล้ว แสดงว่าเรื่องที่เรามาเรียนที่นี่เพื่อพี่เค้าก็คงจะรู้แล้วเหมือนกัน งั้นก็เหลือระยะทางแค่ไม่ถึงยี่สิบเมตรแล้ว ที่ทุกความรู้สึกจะออกมาจากปากกูซะที หมดเวลาปากแข็งแล้ว



เห้ยยยยยยยยยยยย

เกิดบ้าไรขึ้นวะ ใครก็ไม่รู้ลงมาจากรถตู้ ฉุดกระชากลากถูพี่ตองไป เอาถุงดำมาคลุมหัวด้วย

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย" ผมตะโกนสุดเสียงให้คนช่วย แล้วก็วิ่งสุดชีวิตเหมือนกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากพี่ตองขึ้นรถไปแล้ว ผมวิ่งมาไม่ทัน ไอ้บ้าเอ๊ย จะทันอยู่แล้วเชียว

รถตู้เหยียบคันเร่งออกไปสุดแรง ท่านกลางความตกตะลึงของคนแถวนั้น

นี่มันอะไรกัน ผมยังไม่หยุดที่จะวิ่งตาม จะบ้าหรือไงใครจะไปยอมให้พาตัวพี่ตองไปกัน อุตส่าจะได้ปรับความเข้าใจกันแล้วแท้ๆ มึงจะทำอะไรพี่ตองวะ ทำไมต้องมาพาตัวไปด้วย

รถตู้อยู่ไกลออกไปข้างหน้าแต่ผมก็ไม่หยุดวิ่งตาม ชุดนิสิตและรองเท้าที่ถูกจัดแต่งอย่างดีไม่อยู่ในสภาพที่ผมจะสนใจทั้งสิ้น

มันขับไปทางหน้าประตูมหาลัยแน่นอน

ในหัวผมคิดอยู่แค่เรื่องเดียว คือวิ่งตามไปให้ได้ แต่รถตู้กับแรงคน จะให้สู้ยังไงก็คงไม่ไหว ผมไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว แต่สุดจะก้าวเท้าต่อไปได้อีกแล้ว

ไม่ได้ๆ ต้องวิ่งต่อ พี่ตองจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

แปดปีก่อนพี่เค้าเคยช่วยชีวิตกูไว้ แต่พอมาวันนี้กูกลับช่วยชีวิตเค้าไว้ไม่ได้ วิ่งแค่นี้มันไม่ตายหรอกน้า วิ่งดิ

ไอ้ตีนบ้านี่ก็อ่อนแอจริงๆ ทำไมไม่วิ่งวะ

น้ำตาแห่งความเสียใจอาบสองแอบโดยไร้ยางอาย ผมพยายามวิ่งไปข้างหน้าแต่ก็ทำได้แค่เดิน คงมีคนที่เดินสวนกับผมบนทางเท้าที่สงสัยว่าทำไมผมถึงร้องไห้ในสภาพกะเซอะกะเซิงแบบนี้

แม้จะรู้ว่าเดินต่อไปก็ไร้หนทางจะทันแล้ว แต่จะให้ผมหยุดเดินได้ยังไง คนที่ผมแคร์ที่สุดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ ถูกคนที่ไหนก็ไม่รู้มาทำร้าย

เหมือนวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างอย่างแรง น้ำตาที่ไม่หยุดไหล ช่วงเวลาทั้งหมดที่เคยดีกลับดับวูบลงไป

ทำไมกูไม่ทำดีกับพี่ตองให้มากกว่านี้

ทำไมกูถึงยอมเลือกลีดแทนที่จะเลือกพี่เค้า

ทำไมกูถึงทำอะไรไม่ได้ความเลย

นั่นมันประตูหน้ามหาลัยซินะ กูเดินมาถึงนี่ได้ไงวะ เริ่มจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกเต็มที เหมือนความรู้สึกทั้งหมดของกูนี่แหละที่ตกลงไปกับความสิ้นหวัง

พี่ตอง พี่อยู่ไหน พี่ถูกใครพาไปไหน

"น้ำชา"

ใครเรียกวะ เสียงแว่วๆมาจากข้างหน้า

นั่นใครวะ กำลังวิ่งเข้ามาจากประตูหน้ามหาลัย ตากูพล่าเพราะร้องไห้สินะ

"น้ำชา"

เสียงคุ้นจัง

".................................."

พี่ตอง

นั่นพี่ตองนี่นา

ผมไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงกลับมาตอนไหน ผมวิ่งสุดชีวิตเพื่อตรงดิ่งไปหาคนข้างหน้า

ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ให้ไปไหนอีกแล้ว อย่าไปไหนอีกนะ

ทำไมทางมันไกลจังวะ เมื่อไหร่จะวิ่งไปถึงสักที



"พี่ตอง" ผมโผเข้ากอดพี่ตองโดยไม่ลังเล ไม่สนใจสายตาใครหน้าไหนถึงนั่น "พี่ตอง" น้ำตาผมไหลอีกครั้ง ทั้งเสียใจ ทั้งดีใจ ทุกความรู้สึกกองอยู่ที่ตรงนี้ทั้งหมดเลย

"ไม่เป็นไรนะครับน้ำชา" เสียงของพี่ตอง อบอุ่นจัง ร่างกายนี้ก็ด้วย อบอุ่นเหมือนเคย นี่แหละพี่ตองตัวจริงแน่นอน "พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องร้องนะ"

"ก...เกิดอะไรขึ้นกันอ่ะ เกิดอะไรขึ้น" ผมยังซุกหน้าร้องไห้ในอกของพี่ตอง รู้สึกไม่อยากจะปล่อยกอดนี้เลย กลัวพี่เค้าจะถูกพาไปอีกครั้ง

"นั่นคนของพ่อพี่เอง"

ห๊ะ อะไรนะ

ผมค่อยๆคลายกอดจากพี่ตอง

"คนของพ่อพี่ตอง... เหรอ" พอได้เห็นพี่ตองตอนนี้จริงๆจังๆแล้ว ใบหน้าพี่เค้ามีรอยฟกช้ำนิดหน่อย เนื้อตัวก็ด้วย แถวเสื้อนิสิตยุ่งเหยิงขาดหวิ่นมากองอยู่ที่เอว นี่โดนทำร้ายมานิ

"ใช่ครับ" พี่ตองเอามือมาปาดน้ำตาของผม "ร้องไห้ทำไมครับ กลัวพี่จะเป็นไรไปหรือไง"

"ก็ใช่ดิถามได้ โดนคนมาฉุดไปแบบนั้น เป็นใครใครก็ต้องห่วง"

"โอเคครับๆ ใจเย็นๆ พี่ไม่เป็นไรแล้วนะ"

"พี่นี่แม่ง" ผมผลักหน้าอกคนตรงหน้าเพราะความหงุดหงิด ยังจะมาแกล้งถามอีก

"โอ๊ย" เห้ย ชิบหายละกู พี่เค้าเจ็บอยู่นี่หว่า ตบเกรียนตัวเองซะทีดิ

"ข... ขอโทษครับ ขอโทษ ชาขอโทษ"

"พี่ยังโดนทำร้ายไม่พออีกใช่ไหม"

"ชาขอโทษษษษษ เจ็บไหม"

"ไม่เป็นไร พี่ล้อเล่น" ล้อเล่นบ้าไรหละ สภาพขนาดนี้ไม่ต้องมาทำปากเก่งเลย

ว่าแต่... "แล้วทำไมคนของพ่อพี่ถึงมาทำร้ายพี่หละ"

"เป็นคำสั่งของพ่อพี่หนะ"

"....." ช็อกซิงานนี้ พ่อสั่งให้คนมาทำร้ายลูกตัวเองเนี่ยนะ

"จริงๆพ่อพี่สั่งให้มาพาตัวพี่ไปที่บ้านหนะ แต่ไอ้พวกนี้มันก็คุ้นเคยกับพี่ดี ถ้าคิดจะมาพาพี่ไปคงจะแค่มาจูงมือพี่ไปไม่ได้ ก็เลยออกมาสภาพนี้"

"แล้ว... พี่ออกมาจากรถได้ไง"

"ก็... ออกแรงนิดหน่อย โชคดีที่ไอ้พวกนั้นไม่กล้าทำไรพี่มาก" ไม่ใช่แล้วมั้ง ทำสีหน้าภูมิใจขนาดนี้ กูว่าไอ้พวกนั้นสภาพเละแน่นอนเลย

"พี่ก็หนีออกมาได้เลยเหรอ"

"ก็ใช่ แต่พี่เคลียร์กับพ่อแล้วหละ"

"ยังไงอ่ะ แล้วพ่อพี่จะให้คนมาลากพี่กับบ้านทำไม พี่ทำไรผิด หรือพี่สอบตก พี่สอบไปแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกชา"

"ไม่ใช่อย่างง้านนน พี่สอบโดยไม่บอกชาได้ไงเล่า คือ... เพราะแอมหนะ"

"พี่แอม?" ไม่เข้าใจสักอย่างเลยกู จากเสียใจตอนนี้กลายเป็นงงแทนแล้ว"พี่แอมทำไมอ่ะ"

"พี่แอมโทรไปบอกพ่อพี่หนะ ว่า.... เอ่ออออ"

นี่จะพูดก็พูด เรื่องสำคัญถึงชีวิตนะ อ้ำอึ้งอยู่ได้ "ว่าอะไรหละ พูดมาซิ"

"ว่าพี่กำลังจีบชาอยู่"

"..."

"พ่อคงจะโกรธมากที่พี่จีบรุ่นน้องผู้ชายพี่มหาลัย แถมยังเมิงแอม ก็เลยให้คนมาลากตัวพี่กลับบ้านด่วน"

"..."

"จะ.... ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ หรือ.....พี่จีบไม่ได้"

"จีบบ้าไรหละ" ไอ้บ้า ไอ้พี่ตองบ้า แม่งพูดไรของมันวะ มีใครแถวนี้ได้ยินเปล่าวะเนีย ดีนะ ตรงนี้เป็นถนนยาวติดประตูทางเข้า ไม่มีคน

"อ้าว ก็จีบชาไง พี่ก็แสดงออกชัดเจนจะตาย ไม่รู้ตัวเหรอว่าโดนจีบ"

"เลิกพูดได้แล้ว อะไรก็ไม่รู้" นี่กูกำลังเขินใช่ไหม บ้าเอ๊ย สุดท้ายก็ปากแข็ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กะจะมาสารภาพความรู้สึกกับพี่เค้าแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ จะบ้าเหรอ มันเขินนะเว้ย

"นี่พี่พูดจริงๆนะ"

"บอกว่าเลิกพูดไง.... กลับได้แล้ว ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว นี่มันหน้าหมาลัยนะ"

"นี่วิ่งมาตั้งไกล ยังจะเดินกลับอีกเหรอ ไม่เหนื่อยหรือไง"

เออว่ะ พูดปุ๊บก็ปวดต้นขาตุบๆเลย นี่กูฝืนพลังชีวิตของมนุษย์วิ่งและเดินมาถึงนี่ได้ไงวะ ให้เดินกลับอีก ตายแน่ โทรให้ไอ้ต้อมมารับดีกว่า หวังว่ามันจะไม่ติดกลุ่มแฟนคลับอยู่นะ

"จะโทรหาใครหนะ"

"ไอ้ต้อมอะดิ ไม่ไปทำแผลหรือไงเล่า"

"ไม่ต้องหรอก แค่รอยฟกซ้ำ แล้วคืนนี้เราก็จะไม่ได้กลับไปที่หอด้วย"

ห๊ะ อะไรนะ "ไม่กลับ แล้วจะไปไหน"

"บ้านพี่"

หาาาาาาาาาา?!?!?!?!?!?

"พี่บอกว่าเคลียร์ก็พ่อหมายถึง พี่โทรคุยกับพี่ว่า พี่จะกลับไปคุยกับพ่อที่บ้าน... พร้อมกับชา"

"อะไรนะ!" เกี่ยวไรกับกูวะ

"พี่บอกพ่อว่าจะไปอธิบายทุกอย่างกับพ่อ พร้อมกับคนที่พี่เลือกแล้ว" กูจะเขินดีไหมวะ "เพื่อพิสูจน์ความจริงจัง พี่ต้องทำให้พ่อยอมรับในตัวชาให้ได้ เพราะงั้น..... ไปกับพี่ได้ไหมครับ"

"....." ห๊ะ กู ยังไงหละที่นี่ นี่กูตกลงเป็นแฟนพี่เค้าไปแล้วเหรอถึงต้องไปพิสูจน์ตัวเอง แต่พี่แกก็จริงจังสุดๆเลย ที่สำคัญ นี่ก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราต่อจากนี้ด้วย แต่นี่มันเร็วไปไหม เพิ่งผ่านเรื่องอะไรมากมายมาแท้ๆ ยังไม่ได้คุยกันจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเลย เรื่องก็มาเกิดซะแล้ว ยังไงดีวะ

"ว่าไงครับ ชาจะไปกับพี่ได้ไหม พี่สัญญาว่าพี่จะจีบชาจริงจัง และจะไม่ทำให้เสียใจด้วย" ความจริงจังนี้ กูต้องตัดสินใจใช่ไหมเนีย ห้านาทีที่แล้วยังร้องไห้วิ่งตามมาอยู่เลย ไม่ได้เตรียมใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะ เอาไงดีวะ

"จะบ้าเหรอ จะให้ไปบ้านพี่ได้ไงเล่า"

อือหือ หน้าเจื่อนเลย ไอ้พี่ตองบ้า แสดงออกชัดเจนเกินไปแล้วนะเดี๋ยวนี้

"ก็ดูสภาพก่อนดิ เสื้อผ้าแต่ละคน จะไปพบผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไงละ ยังไงก็ต้องกลับหอก่อนอยู่ดีนั่นแหละ" เอออออ ไม่ต้องมาทำหน้าดีใจใส่เลย งานเข้ากูเต็มๆซินะ บ้าเอ๊ย กูไม่น่าไป.... รู้สึกดีกับไอ้บ้านี่เลย

"งั้นเรารีบกลับกันไหม เดี๋ยวพี่อุ้มไปก็ได้"

"บ้าละ" พูดบ้าไร เว้อ ดีใจจนเสียสติหรือไง "ไอ้ต้อมก็มีรถมั้ง"



ผมรีบจัดการโทรหาไอ้ต้อมให้มารับ มันก็โชคดีที่ปลีกตัวออกมาได้ แล้วก็มีขิงนั่งรถมาด้วย บอกว่าจะไปส่งขิงสอนพิเศษพอดี โถ ไอ้สารพี

แต่ก็แน่นอนหละ สภาพไอ้พี่ตองและผมตอนนี้ คงทำให้ทั้งสองคนสงสัยไม่ใช่น้อย พี่ตองเค้าอาสาเล่าเอง แต่ก็เท่าที่เล่าได้อะนะ พวกนั้นรีบไปทำธุระต่อด้วย เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรกันมาก

ผมนั่งรถกลับหอกับพี่ตอง หลังจากที่ไอ้ต้อมมาส่งที่รถพี่ตองในคณะวิศวะ เราไม่ค่อยมีเวลากันมากนัก ผมรีบแต่งตัวให้สุภาพแล้วก็ลงมารอไอ้คนตัวสูงข้างล่าง เกือบสองทุ่มกว่าเราจะได้เดินทาง



"รอยที่หน้าพี่ มันช้ำขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าอ่ะ" ผมสังเกตเห็นรอยเขียวที่โหนกแก้มซ้ายว่ามันชัดขึ้น หลังจากออกรถมาได้สักพัก

"ก็งี้แหละ เดี๋ยวก็หาย" ทำเป็นเก่ง เดี๋ยวก็ต่อยซ้ำซะเลย "แต่ถ้าชาหอมแก้มพี่ พี่ว่ามันจะหายเร็วขึ้นนะ"

"หอมแก้มเหรอ" นี่ ต้องโดนซักที ก็ไม่ได้ต่อยจริงจังหรอกนะ

"โอ๊ย! อันนี้เจ็บจริงๆนะ"

"สมน้ำหน้า"

"โห่ ใจร้าย จะให้พี่เจอพ่อในสภาพหน้าบวมรึไง"

"ไม่ต้องอ้างอ่ะ พ่อพี่ส่งคนมาเอง คงไม่กะจะเจอพี่ในสภาพหล่อๆอยู่แล้วหละ"

"พี่หล่อเหรอ" มันมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ

"...." ไม่ตอบ เดี๋ยวมันเหลิง

"ชมแค่นี้ก็ไม่ได้"

"คนอื่นเค้าก็ชมเยอะแยะแล้วมั้ง ทั้งมหาลัยอ่ะ ไม่ชินกับฉายา เจ้าชายตอง อีกเหรอ"

"ก็คนอื่นไม่ใชาชานิ มันไม่เหมือนกัน"

"ไม่ต้องมาจีบตอนนี้เลย" ไอ้บ้านี่ก็ขยันหยอดจัง เดี๋ยวก็ให้ไปขายขนมครกซะเลย "ใช่เวลาไหมเนีย"

"ฮันแน่... แปลว่าอนุญาตให้จีบแล้วใช่ป่ะ"

ไอ้พี่ตอง ไอ้บ้า เดี๋ยวจะต่อยจริงซะเลย

"โอเคๆ ไม่แกล้งละคราบบบ"

"ขับรถไปเลย" ดี ถ้าไม่หยุดมึงโดนแน่ "มืดแล้วเนีย กว่าจะไปถึงบ้านพี่อีก ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานได้ไงละ"

"ไม่ไกลหรอกคราบบบ บ้านพี่ก็อยู่ใกล้ๆมหาลัยนี่แหละ บ้านชาก็อยู่ใกล้ไม่ใช่เหรอ เห็นชาเคยบอก"

"ชาบอกพี่ที่ไหน ชาบอกพี่บุ๋นต่างหาก ตอนนั้นพี่ยังว่าชาเป็นลูกแหง่ติดบ้านอยู่เลย"

"โห ชา.....  ก็ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้จีบชานิ"

"ไอ้พี่ตอง" นี่มึงหยอดอีกแล้วนะ

"พี่ไม่ได้เริ่มก่อนนะ ก็ชาเริ่มก่อนเองอ่ะ พี่แค่... พูดความจริง"

"ไม่พูดแล้ว" กูยอมอะ

"โอเคๆ ไม่หยอดก็ได้... แต่ขอบใจนะที่มากับพี่ ขอบใจตั้งแต่ที่อุตส่าวิ่งตามพี่มาเมื่อตอนเย็น ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระของชาแท้ๆ" บ่นจะดราม่าก็ดราม่านะมึงเนีย จูนอารมณ์ไม่ทันเลยกู "ชาต้องมาลำบากกับพี่ไปด้วยเลย พี่เองยังไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไร เพราะพี่เองก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมามีปัญหาเรื่องแบบนี้"

"...." หมายถึงเรื่องที่มาชอบผู้ชายด้วยกันซินะ ก็แหงดิ แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็ยอมรับนะว่าปฏิเสธความรู้สึกนี้มาก่อนหลายครั้งหลายหน คิดเข้าข้างตัวเองตลอดว่าทำเพราะพี่เค้ามีบุญคุณ ทั้งที่จริงๆแล้วเราก็รู้สึกดีกับพี่เค้า แต่เพราะความรู้สึกเรื่องเพศนี่แหละ ที่เป็นตัวสกัดกั้นไว้ตลอด พี่เค้าคงหนักใจแน่ๆ หรือการที่เราเข้ามาในชีวิตพี่เค้า จะทำให้พี่เค้าคงเจอแต่ปัญหาไม่รู้จบวะ

"อย่าทำหน้างั้นดิ พี่ไม่ได้หมายถึงว่าชาเป็นปัญหาของพี่นะ พี่แค่หมายถึง ชีวิตนี้พี่ไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายมาก่อน แต่เพราะเป็นชา ต้องเป็นชาคนเดียวเท่านั้น พี่ถึงจะยอมเสียสละทุกอย่างได้ มันก็เลยเป็นปัญหาครั้งแรกในชีวิตที่เป็นแบบนี้ จริงๆมันก็ดีนะ อย่างน้อยพ่อก็จะได้เลิกจับคู่ให้พี่ซะที ห่วงก็แต่ชานี่แหละ ต้องมาเดือดร้อนไปกับพี่ด้วย"

"ไม่หรอกครับ เพราะเป็นพี่นี่แหละ ชาถึงมาด้วยไง"



แค่หนึ่งชั่วโมงหลังจากออกจากมหาวิทยาลัยมัณฑนา ตอนนี้ผมและพี่ตอง เราจอดรถอยู่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่แล้ว เป้าหมายของคืนนี้



บ้านขัตติยชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:33:42 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 15 : คืนนี้







ประตูรั้วยักษ์ เปิดอ้าออก เผยให้เห็นถนนทางเข้าบ้านที่ถอดยาวต้องแสงไฟระดับยามค่ำคืน



​นี่ซินะ บ้านคนรวย

​​บ้านหลังใหญ่ ถูกจัดตกแต่งสวนอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิด แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าที่นี่ได้รับการดูแลออกแบบมาเป็นอย่างนี้ ลักษณะตัวบ้านไม่ใช่แบบตะวันตกอย่างที่เคยเห็นในละครไทย แต่ที่นี่เป็นลักษณะบ้านคนจีน มีการใช้สีสันและฮวงจุยแบบชาวมังกรเข้ามาร่วมด้วยอย่างเห็นได้ชัด



"พร้อมนะครับ" อ้าว พี่ตองมาเปิดประตูรถให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มัวแต่ดูบ้านเพลินเลย "ไม่ต้องกลัวนะ"

"ครับ" ไม่กลัวได้ไงละ แค่เห็นบ้านก็กลัวไปครึ่งตัวแล้ว

เราสองคนเดินออกจากที่จอดรถข้างบ้าน ไปยังประตูหน้า ที่หน้าประตูบ้านมีคนยืนรออยู่สามคน

หึ

​นี่ทำไมมีแผลฟกช้ำกันเต็มไปหมดเลยหละ

ชายฉกรรจ์สามคนยืนเอามือกุมเป้า สายตากล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นพี่ตอง บ้างมีผ้าพันแผล บ้างมีเผือกออ่อนดามแขน



"สวัสดีครับคุณหนูเล็ก" ทั้งสามผู้ต้อนรับเอ่ยพร้อมกัน

"ผมบอกพวกพี่แล้วไงว่าให้ขยันออกกำลังกายกันด้วย" นี่คือคำกล่าวทักทายจากไอ้พี่ตอง ดูยิ้มแย้มนะ ถ้าเดาไม่ผิด สามคนนี้น่าจะเป็นคนที่ไปฉุดพี่ตองมา สภาพเละแบบนี้ ไม่ผิดแน่ๆ

"ลุงมันแก่แล้วคุณหนู จะไปสู้วัยหนุ่มอย่างคุณหนูไหวได้ยังไงละ" ไม่จริงเลย ลุงอะดูเป็นคนน่ากลัวและแข็งแรงมาก  อีกสองคนยิ่งน่ากลัวกว่าอีก ถ้าเป็นผม คงไม่รอดตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถตู้แล้วหละ ไอ้พี่ตองมันเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันเป็นนักมวยอาชีพเปล่าวะ ที่เราทำเก่งใส่ เกิดวันนึงมันของขึ้น กูซวยแน่

​"ผมต้องขอโทษทั้งสามคนด้วยนะครับ ลุงหาร พี่เท่ พี่เกรียง" พี่ตองยกมือไหว้คนงานที่บ้านเฉยเลย ทั้งสามก็ไหว้กลับเหมือนเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ผมได้แค่ยืนนิ่งเป็นภาพถ่ายอยู่ข้างๆ "แล้วพ่อต่อว่าอะไรพวกลุงไหมอ่ะที่พาผมมาไม่ได้"

"คุณท่านไม่ว่าหรอกครับ เพราะคุณหนูโทรมาเคลียร์ให้ก่อน แต่ก็โดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนกัน"

"ไม่ถูกลงโทษก็ดีแล้วหละครับ" นี่ก็ช่างเป็นห่วงเป็นใยเนาะ นั่นเค้าเพิ่งจะทำร้ายตัวเองมาแท้ๆ ชอบทำตัวให้เราประทับใจเรื่อยเลย ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย "งั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ"

"คุณท่านให้รอที่ห้องทำงานนะครับคุณหนู"

"ครับลุง"



ประตูบ้านถูกเปิดออก

เอาละกู งานนี้ นรกชัดๆ

​"พี่จะไม่ทำให้ชาเดือดร้อนนะ พี่สัญญาแล้วไง"

พี่ตองเอื้อมมือมาจับผมไว้แน่นก่อนเดินเข้าบ้าน ผมก็ไม่สะบัดออกหรอก ความอุ่นใจหนึ่งเดียวที่มีตอนนี้



เราสองคนเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน บันไดไม้ขนาดใหญ่ขัดเงาใสวับ นำพาขึ้นชั้นสองของบ้าน จากโถงใหญ่ด้านล่าง ตอนนี้กลายเป็นทางเดินยาวที่มีห้องมากมาย พี่ตองพาเข้าไปที่ห้องแรกชิดบันได

ใจเต้นตุบๆเลย

แต่ในห้องนี้ไม่มีใคร เมื่อเทียบกับความเรียบร้อยด้านนอกแล้ว ห้องนี้ถือว่ารกนิดหน่อย มีเอกสาร ม้วนกระดาษเขียนแบบ โต๊ะทำงานหลัก โซฟารับแขกที่อยู่ไกลคนละด้าน ชั้นวางแฟ้มเต็มผนัง แล้วก็ป้ายแผนที่ขนาดยักษ์

​นี่คงเป็นแผนที่เดินเรือซินะ

​บ้านพี่ตองทำธุรกิจเรือขนส่งสินค้า คงจะต้องมีการวางแผนการเดินเรือตลอด จุดและเส้นเชือกพวกนี้ คงเป็นเส้นทางเดินเรือ โห ส่งออกไปไกลมากเลย กี่ประเทศกันเนีย เอเชียทั้งหมด ยุโรปก็พอมี อเมริกาก็ยังมี แต่ทำไมรู้สึกว่าเส้นพวกนี้มันแปลกๆนะ

เป็นบ้าไรของกูวะ มันใช่เวลามาสนใจเรื่องขีดเส้นต่อจุดไหมเนีย นั่งอยู่เฉยๆได้แล้ว สักพักสิ่งที่ต้องรับมือของจริงก็มาแล้ว

"ไหวนะ" พี่ตองถาม

"ค..."



"ไอ้ลูกทรพี ลื้อทำอย่างงี้กับครอบครัวกับตระกูลอั๊วได้ไงห๊ะ"

ชิบหายแล้ววววว ดุขนาดนี้เลยเหรอวะ

ทันทีที่พ่อพี่ตองปรากฎตัวเข้ามาในห้อง ความวินาศสันตะโรก็บังเกิดทันที กูจะเอาชีวิตมีทิ้งที่นี่หรือเปล่าเนี่ย

​"อาเฮีย อาเฮีย อย่าไปว่าอาตี๋เล็กเลยนะ อั๊วขอหละ" นี่คงเป็นแม่พี่ตองซินะ สีหน้ากังวลสุดๆ พยายามคว้าไม้คว้ามือกันใหญ่ นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว

"อาซ้อ ลื้อออกไปเลยนะ นี่มันเรื่องของผู้ชายเค้าคุยกัน" พ่อพี่ตองโกรธหน้าดำหน้าแดงมาก ตัวอ้วนใหญ่ อย่างกับเทพจีน นี่ผมกลัวจริงแล้วนะ ไม่ต้องเสียงดังก็ได้ ​"ลื้อออกไปข้างนอกเลยนะ ถ้าลื้อไม่อยากโดนไล่ออกจากบ้านไปอีกคน"

"...." แม่พี่ตองไม่กล้าพูดต่อ แต่กลับน้ำตาซึม วิ่งออกจากห้องไป เอาแล้วไงกู ต่อไปจัดหนักต่อแน่ๆ

"อาตี๋เล็ก นี่มันอะไรกันห๊ะ แล้วนี่ใช่ไหมไอ้เด็กที่หนูแอมส่งคลิปมาให้อั๊วดู" ห๊ะ คลิปไรวะ กูไปมีคลิปเมื่อไหร่ "เอาดอกกุหลาบไปให้กันบนเวที เค้าเห็นกันทั้งมหาลัย ลื้อจะแก้ตัวว่ายังไง"

"ผมไม่ได้มาแก้ตัวครับพ่อ" พี่ตองเริ่มพูดแล้ว ตอนนี้มีแค่ลูกตาเท่านั้นที่ผมกล้าขยับ

"นี่ลื้อบ้าไปแล้วรึไง ไอ้นี่มันเด็กผู้ชาย ลื้อจะให้อั๊วเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บ้านอั๊ว ตระกูลอั๊ว บรรพบุรุษอั๊วอีก ธุรกิจอั๊ว... เอ็งใช่ไหม ทำอะไรลูกอั๊วห๊ะ" อ้าว มาถึงเรื่องของกูจนได้ เอาไงดีวะ โดนชี้หน้าแล้วกู "เอ็งเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร"

"พ่อ" พี่ตองลุกขึ้นพร้อมเอาร่างหนาใหญ่นั้นบังตัวผมไว้ "น้ำชาเค้าเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะครับ จะมาพูดจากับเค้าแบบนี้ได้ยังไง"

​นี่ซินะความรู้สึกของการถูกปกป้อง

​"ลื้อไม่ต้องมาออกรับแทนกันเลยนะ"

ผมต้องทำอะไรสักอย่าง นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมลุกออกจากโซฟา ออกจากเบื้องหลังของพี่ตองแล้วเผชิญหน้ากับความจริง

"สวัสดีครับคุณพ่อ" ผมยกมือไหว้

"อั๊วไม่ใช่พ่อลื้อ" กูว่าแล้วเชียว อย่างกับในละคร

"เอ่อ.... สวัสดีครับคุณอา" แก้ตัวใหม่

"ลื้อไม่ใช่ญาติอั๊ว อั๊วไม่นับญาติกับลื้อ"

แล้วต้องเรียกว่าอะไรวะ.... "ค... คุณท่าน"

เงียบ แปลกว่าเรียกแบบนี้ได้ เป็นคนมีอัตราเยอะเหมือนกันแฮะ คงต้องระวังคำพูดให้มากๆ

"เนี่ยนะ คนที่ลื้อบอกว่า.... หื่อ! อย่าให้อั๊วต้องพูดนะ เสนียดจะเข้าบ้านอั๊ว"

โอ้โห แต่ละคำ แรงกว่าเรยาก็นี่แหละ

"ทำไมห๊ะ อาตี๋เล็ก ผู้หญิงดีๆสวยๆมีเยอะแยะ ถ้าลื้อไม่อยากแต่งงานกับอาหนูแอม อั๊วหาคนอื่นให้ก็ได้ ทำไมต้องประชดประชันแบบนี้ มันเสียหายถึงธุรกิจนะ ลื้อโตแล้วนะ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังห๊ะ"

"ผมไม่ได้ประชดครับพ่อ นี่คือแฟนของผมจริงๆ"

อ้าว ไอ้พี่ตอง ไปตกลงกันตอนไหนวะ นี่ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์นี้ โดนแน่

"ลื้อยังจะพูดอีกเหรอ" เสียงพ่อพี่ตองเริ่มดังขึ้นแล้ว คงกะว่า การพูดคุยกันพี่ตองครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงให้เรื่องกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมซินะ ก็พอเข้าใจได้ละนะ คนเป็นพ่อนิ "แล้วลื้อดูซิ ไอ้เด็กนี่มันไม่เห็นจะมีสีหน้าว่ารักว่าชอบลื้อตรงไหนเลย.... ใช่ไหม ห๊ะ ไอ้หน้าจืด เอ็งรักอาตี๋เล็กลูกอั๊วรึไง"

"อ..." ช็อกเลยกู ไอ้พี่ตอง อย่ามาจ้องหน้าแบบนี้ดิ

"เห็นไหม ลื้อดู คนแบบนี้เหรอที่ลื้อจะเอามาทำเมีย" เดี๋ยวๆคุณท่านครับ ไม่แรงไปใช่ไหม "ดูยังไงมันก็ไม่ได้รักลื้อ ขนาดลื้อพามาประกาศตัวต่อหน้าอั๊ว ยังอ้ำๆอึ้งๆไม่กล้าพูดเลย มันหวังจะมาหลอกลื้อชัดๆ"

"แปดปีแล้วครับ" มาหาว่ากูหลอกพี่ตองเนี่ยนะ ไม่ได้แล้ว เห็นผมยอมมานาน คิดว่าจะพูดอะไรก็พูดได้เหรอ ครั้งนี้ผมไม่เงียบนะ "แปดปีที่พี่ตองเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต แปดปีที่ผมเฝ้าดูเค้ามาตลอด ทุกๆกิจกรรมในชีวิตผมมีพี่ตองเป็นต้นแบบ ทุกๆเส้นทางที่ผมเลือกก็เพื่อเป้าหมายเดียวคือเป็นให้ได้อย่างพี่เค้า ถ้าจะหาว่าผมมาหลอก งั้นผมก็คงจะหลอกตัวเองด้วย แล้วก็หลอกมานานถึงแปดปี พี่ตองหนะ ไม่ใช่แค่ต้นแบบในชีวิตของผมนะครับคุณท่าน แต่พี่เค้ายังเป็นคนสอนให้ผมรู้จักที่จะมีน้ำใจ เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น จากเด็กที่เอาแต่เรียนอย่างผม ถ้าไม่มีโอกาสได้มองเห็นตัวอย่างของคนที่ดีๆ ก็คงเป็นได้แค่เด็กทั่วๆไปคนนึง" ผมแทบจะลืมหายใจไปเลย

"......." พ่อพี่ตองเงียบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ บอกอารมณ์ไม่ถูกเลย "ตัวอย่างในโลกมันก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นลูกอั๊ว แล้วที่พูด จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครก็พูดได้ ลื้ออย่ามาทำเล่นลิ้นกับอั๊วนะ เห็นบ้านอั๊วมีสมบัติมีเงิน คิดจะมาหลอกอาตี๋เล็กหวังเงินทองซิไม่ว่า"

ห๊ะ! นี่มันเกินไปแล้วนะ กูมีศักดิ์ศรีนะเว้ย



"คุณท่านครับ"

จู่ๆก็มีชายใส่สูทสวมแว่นคนนึงเดินเข้ามาในห้อง

ตัวผมที่กำลังจะระเบิดลงก็รีบหุบความเกรี้ยวกราดไว้อย่างเร็ว

"อะไรของลื้อวะอาวินัย อั๊วกำลังมีเรื่องสำคัญคุยกับที่บ้านอั๊วอยู่ อั๊วไม่รับแขก"

"แต่นี่เรื่องงานนะครับคุณท่าน"

"ลื้อเป็นผู้จัดการ ลื้อก็ไปจัดการซี อั๊วบอกว่ามีเรื่องสำคัญ นี่มันลูกชายอั๊วทั้งคนนะ"

"ครั้งนี้ผมขอขัดใจคุณท่านจริงๆนะครับ เรื่องนี้เสียหายระดับร้อยล้านเลยนะครับ"

อ้าว พ่อพี่ตองเปลี่ยนท่าทีแบบกดสวิทเลย นี่ซินะ ชายผู้เป็นห่วงธุรกิจ



สองนักธุรกิจเดินไปคุยกันที่โต๊ะ เหมือนจะกระซิบกันนะ แต่ธรรมชาติของคนพูดจาเสียงดัง กระซิบซะได้ยินกันหมดเลย

"เรือสินค้าโดนปล้นตอนขากลับมาครับท่าน"

"อะไรวะ ตำรวจรู้เรื่องรึยัง"

"รู้แล้วครับท่าน ไม่มีสินค้าอะไรบนเรือ แต่เครื่องยนต์เสียหายหนัก ต้องเข้าอู่ซ่อม แล้วก็เรือที่ไปส่งของในยุโรปห้าลำใหญ่ ติดพายุอย่างน้อยก็หนึ่งอาทิตย์"

"แล้วเรือสำรองหละ"

"อาทิตย์ก่อนท่านเพิ่งส่งเรือสำรองเข้าซ่อมแซมเตรียมความพร้อม ถ้าไม่ผ่านสองอาทิตย์นี้ไปก่อน ทางตำรวจไม่ยอมให้เอาเรือออกมาใช้ครับ ผมก็พยายามขอผ่อนผันไปแล้ว แต่ช่วงนี้การเมืองกำลังร้อน ไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำอะไรเลยครับ"

"อัยหยา... ของที่ต้องส่งมีเยอะแค่ไหน เอาเฉพาะไอ้ที่กำลังจะหมดสัญญานะ"

"57 รายงานครับท่านที่ต้องส่งให้หมดในเดือนนี้ มีสินค้าที่ต้องใช้เรือใหญ่ 21 รายการ แล้วก็เรือเล็ก 36 รายการ แต่มีสองรายการที่พอจะใช้ขนส่งทางบกช่วยได้"

"เรือหละมีกี่ลำ"

"28 ครับนายท่าน เรือใหญ่แค่ 12 ลำ เรือเล็ก 16 ผมให้ทีมวางแผนช่วยกันดูแล้ว ยังไงก็มีกว่าสิบรายการที่ส่งไม่ทันในเดือนนี้"

"อะไรกันวะ แล้วเสียหายเท่าไหร่"

"โชคดีที่เป็นแค่ในเอเชียอย่างเดียว ก็เลยอยู่ที่สี่สิบกว่าล้านครับท่าน นี่คือมูลค่าน้อยที่สุดแล้ว"

หาาาาาา! สี่สิบกว่าล้าน ใช้คำว่าแค่​ได้ไงวะ

"ลื้อคิดกันมาดีแล้วใช่ไหม"

"ก็อาจจะเร่งคนงานได้นิดหน่อยนะครับท่าน...."



"ท่านครับ" นี่มันเหมือนวิชาทฤษฎีกราฟเลย ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้จุดและเส้นเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างรูปแบบ ภายใต้เงื่อนไข... เอ่อ เดี๋ยวคนอ่านจะงง เอาเป็นว่า มันน่าจะใช้แก้ปัญหานี้ได้ก็แล้วกัน

"....." พ่อพี่ตองไม่ตอบ แต่กลับมองแรงมาใส่ผมแทน แล้วก็หันไปคุยงานต่อ "แล้วคนงานตอนนี้มีพอใช่ไหม"

"พอครับท่าน ผมบอกไปแล้วว่าต้องการโอทีจำนวนม..."

"ท่านครับ" ครั้งนี้ผมลุกขึ้นเลย นี่อยากจะเสียหายสี่สิบล้านกันจริงๆหรือไง ไม่รู้ละ ต้องเสือกแล้วงานนี้ ผมตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงานใหญ่ พี่ตองเหวอเลย แต่ก็รีบเดินตามมา

"นี่อั๊วกำลังคุยงานอยู่ เรื่องของลื้อได้เคลียร์กับอั๊วแน่ แต่ตอนนี้อั๊วมีงานด่วนต้องจัดการ"

"ผมช่วยได้ครับ" นี่ตอบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะ

"เด็กอย่างลื้อเนี่ยนะ นี่มันธุรกิจระดับร้อยล้านพันล้าน จะมา..."

"พ่อครับ" พี่ตองแทรก "น้ำชาเป็นติวเตอร์วิชาเลขของผมเองครับ"

"แล้ว..." พ่อพี่ตองยังไม่หยุดที่จะพยายามไล่ผมให้ออกห่างจากงาน

"แล้วเค้าก็เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ของประเทศเรา ความรู้ระดับเค้า ไม่ใช่เล่นๆนะครับพ่อ ถ้าเค้าพูดว่าแก้ปัญหาได้ ทำไมไม่ลองฟังดูก่อนละครับ"

"....." พ่อพี่ตองลังเล "ถ้าลื้อทำให้อั๊วเสียเว..."

หยุดพูด

​ผมยกมือห้ามพ่อพี่ตองให้หยุดพูด จะเป็นใครหน้าไหนผมไม่สนอ่ะ ถ้ามากวนตอนผมกำลังคิด วิเคราะห์ แยกแยะอยู่ กูด่าหมด

"พี่ตองยกแผนที่เดินเรือลงมาให้ชาหน่อย วางตรงนี้เลยนะ... คุณอาผู้จัดการครับ รบกวนเคลียร์โต๊ะให้ผมหน่อย เอาเอกสารออกให้หมดเลย แล้วก็... ผมขอข้อมูลนี้นะครับ"

พี่ตองยกแผนที่ออกมาจากผนัง นำวางบนโต๊ะทำงานเรียบร้อย

"ขอกระดาษสะอาดๆสามแผ่นครับ" ผมสั่งไปโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นยังไงตอนนี้ ผมหันไปหาผู้จัดการ เค้าคือคนที่ถือโจทย์ปัญหาของเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด ผมต้องการข้อมูลจำเป็นทุกอย่าง "เรือใหญ่กับเรือเล็กมีอัตราการเดินเรือเฉลี่ยเท่าไหร่ครับ"

"ก..ก็... เอ่อ ลำใหญ่ประมาณ 240 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง ลำเล็ก 160"

"นี่หมุดสีแดงแทนสินค้าขนาดใหญ่นะครับ ส่วนนี่สีเขียวแทนสินค้าขนาดเล็ก ช่วยปักหมุดตามท่าเรือที่ต้องไปส่งให้หน่อยครับ"

ผู้จัดการรีบทำตาม เปิดดูข้อมูลไปด้วยปักหมุดไปด้วย

"แผนที่นี้ของจริงใช่ไหมครับ" ผมหันไปถามพ่อพี่ตองบ้าง

"นี่ลื้อคิดว่าอั๊วจะเอา..."

สัญลักษณ์ห้ามพูดปรากฏขึ้นอีกครั้ง จะพูดไรนักหนาวะ ให้ตอบก็ตอบซิ "ของจริงหรือไม่จริงครับ"

"จริง" มีขึ้นเสียงนิดนึง แต่ผมไม่มีเวลาสนใจหรอกตอนนี้

ผมหันไปถามผู้จัดการต่อ "แล้วถ้าเรือลำใหญ่ใส่สินค้าของเรือลำเล็กละครับ จะออกมาเป็นยังไง"

"ลำใหญ่เหรอ ก็น่าจะใส่เข้าไปได้ประมาณสี่ลำเล็ก"

โอเค เหมือนจะเห็นทางออกแล้ว "นับจากวันนี้มีเวลาถึง 25 วันไหมครับ"

"28 วัน ไม่เกินนี้"

ถ้าวาดจุดหมายทั้งหมดแทนด้วยจุด เส้นทางทั้งหมดแทนด้วยเส้น ต้องพยายามทำให้เรือลำใหญ่ส่งสินค้าของเรือลำเล็กแต่ไม่ผ่านเส้นทางเดิมให้ได้ก่อน

"ถ้าตรงไหนที่เป็นน่านน้ำหวงห้าม รีบบอกผมนะครับ ผมจะลากเส้นไปเรื่อยๆ"

การคำนวณยังคงดำเนินต่อไป หนึ่งในพรสวรรค์ของผมคือความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยคณิตศาสตร์ แต่ความสามารถอีกอย่างที่ผมกล้าตอบอย่างภาคภูมิใจคือ ผมเสือกเรื่องคนอื่นเก่งมาก นี่ก็อีกเรื่อง



"เพราะงั้นจะได้แผนออกมาตามนี้นะครับ แต่ต้องใช้คนคุมงานเพิ่มอีกคน ไม่อย่างนั้น เดินเรือพร้อมกันสองรูปแบบ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ แผนนี้ต้องทำตามเป๊ะๆห้ามผิดพลาด มีคนพอจะช่วยดูเรื่องนี้ได้ไหมครับ" ผมถามผู้จัดการ

"อี๊วเอง อั๊วทำเอง" พ่อพี่ตองเสนอตัว "สมัยก่อนจะมานั่งโต๊ะเซ็นชื่ออย่างเดียว อั๊วก็เดินเรือมาก่อน ไปบอกทีมงานเลยว่าเดือนนี้ทั้งเดือนอั๊วจะลงหน้างานเอง"

"ด... ได้ครับท่าน"

"เมื่อกี๊ผมเห็นในเอกสารรายละเอียด" ผมยังคงสนุกกับการคำนวณ "ถ้าแผนนี้สำเร็จ เราจะมีเวลาเหลือสามวัน หากเกิดเหตุการณ์นอกแผน ยังมีสามวันนี้ที่แก้ปัญหาได้นะครับ แล้วก็... มูลค่าความเสียหาย...." ไหนลองคิดดูดิ "ไม่มีครับ แถมยังประหยัดขึ้นตั้ง สิบจุดห้าล้าน โห ประหยัดขึ้นเยอะเลย ไม่คิดว่าจะมีผลพลอยได้ด้วย"

เสร็จสักที วางปากกาได้



".................."

เกิดไรขึ้นอ่ะ เงียบกันทั้งห้องเลย



"ชาเก่งจัง" พี่ตองกระซิบข้างๆหูผม เก่งอะไรก็แค่คำนวณทั่วๆไป เด็กที่เอกก็ทำกันได้ ​หรือเปล่า

"ขอบคุณคุณหนูมากเลยนะครับ" ผู้จัดการจับมือขอบอกขอบใจผมใหญ่เลย "โอ้โห มือนิ่มจัง"

"ปล่อยเลยคุณอาวินัย" โห ไอ้พี่ตอง ไม่ต้องมาทำหวงเลย นี่ต่อหน้าพ่อพี่นะ

"ว่าแต่ คุณหนูชื่ออะไรครับ" ผู้จัดการถาม พร้อมควานหาบางอย่างในตัว

"ชาครับ"

"อ๋อ คุณหนูชา นี่นามบัตรของอานะ มีอะไรให้อาช่วยบอกได้เลยนะ"

"ข... ขอบคุณครับ"

พ่อพี่ตองกระแอม "ไปได้แล้วอาวินัย รีบไปจัดทำแผนให้เป็นรูปเป็นร่างนะ อั๊วเข้าไปพรุ่งนี้ต้องดูรู้เรื่องนะ"

"ครับคุณท่าน ผมของตัวนะครับ" ผู้จัดการเดินออกจากห้องไป ก่อนจะส่งยิ้มมาครั้งสุดท้าย



"เอาหละ..." พ่อพี่ตองกำลังจะกลับเข้าเรื่องเดิมอีกแล้วซินะ

"แผนการเดินเรือนี่มันแปลกๆนะครับ" ผมฉวยโอกาสนี้ก่อน ดูออกชัดๆเลย พ่อพี่ตองเป็นพวกธุรกิจเป็นใหญ่ บางที นี่อาจจะเป็นทางออกไม่ให้พี่ตองกับพ่อทะเลาะกันก็ได้ "ใช้แผนนี้มาตลอดเลยเหรอครับ"

"ก็ใช้มาจนอั๊วเป็นใหญ่เป็นโตได้นี่แหละ" ได้ผล อ่านง่ายแฮะพ่อพี่ตอง

"ท่านอยากโตอีกไหมหละครับ ผมดูแล้ว เส้นทางเดินเรือใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย แถมยังจะทำให้เรือพังเร็วขึ้นด้วยเพราะใช้งานหนักเกิน ถ้ามีเวลาซักคืนนึง ผมวางระบบเดินเรือใหม่ให้ได้หมดเลย ประหยัดทั้งเงิน เวลา แล้วก็อาจจะลดการจ้างพนักงานลงได้ด้วย"

"ลื้อทำได้เหรอ" แหม ตาโตเชียวนะ

"ก็ได้ครับ แต่ต้องให้พี่ตองช่วย"

"อาตี๋เล็กเนี่ยนะ เอาซิๆ ต้องทำไง"

"พี่ตองเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์มา เดี๋ยวผมจะช่วยกันสร้างโปรแกรมสำเร็จรูปในการกำหนดเรือและเส้นทางการเดินเรือให้ครับ แบบนี้ลดงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพงานได้ด้วย"

"เออๆ งั้นทำเลย นะ เดี๋ยวอั๊วให้ลูกน้องยกโต๊ะยกคอมขึ้นมาให้"

ถอนหายใจยาวเลยกู ขอบคุณสวรรค์ที่ได้ผล ถึงจะยังไม่เกี่ยวกับเรื่องพี่ตอง แต่ก็มาถูกทางแล้ว



จ๊อกกกกกกกกกกกก

​เอาอีกแล้วกู ท้องร้องต่อหน้าคนอื่นอีกแล้ว แต่ก็พอเข้าใจได้แหละ หลังคำนวณเลขเยอะๆทีไร หิวทุกที

"เอา นี่ยังไม่ได้กินไรกันมารึไง"

"ก็ถ้าพ่อไม่ใส่คนไปลากผมมา ก็คงได้กินอยู่แหละครับ"

"......."  พ่อพี่ตองอึ้งไปเลย หน้าเหวอคล้ายไอ้พี่ตองมาก "อ้าว เดี๋ยวไปบอกซ้อก่อน ให้หาคนมาเตรียมอาหารให้ ไปๆๆๆ ไปหาไรกินกันก่อน ค่อยมาทำ"

เราเดินออกจากห้องกัน

"พรุ่งนี้ชามีเรียนนะ เขียนโปรแกรมต้องใช้เวลานะ" พี่ตองรีบมากระซิบกับผมเลย

"ไม่เป็นไร ช่วยกัน แค่คืนนี้ก็เสร็จ" ก็ต้องทำอ่ะ ไม่งั้นเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ไม่ได้หรอก

"อาซ้อ อาซ้อเอ้ย" พ่อพี่ตองเรียกหาภรรยาตน แต่ภาพที่เห็นตอนนี้คือ "อาซ้อ ลื้อจะเก็บข้าวของไปไหน"

แม่พี่ตองยืนร้องไห้อยู่ที่ประตูพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

พ่อพี่ตองวิ่งหน้าตั้งไปที่ประตูเลยครับ ให้ตายเหอะ อย่างกับดูหนังจีน พี่ตองก็พาผมเดินลงไปด้วย



"อัยหยา อาซ้อ นี่ลื้อเก็บข้าวเก็บของทำมายยย จะไปไหน" พ่อพี่ตองเสียอ่อนลง 50 ริกเตอร์

"อั๊วอ่ะมันเมียชั่ว โดนผัวตัวเองเฉดหัวออกจากบ้าน จะให้อั๊วทนอยู่ให้อายบรรพบุรุษได้ยังไง" แม่พี่ตองดราม่าเบอร์สุดเลย ผมขอมอบรางวัลตุ๊กตาทองของพี่ลูกเกตุให้คุณแม่ไปเลยครับ

"โถ่... อาซ้อ อั๊วก็พูดไป อั๊วแค่อยากให้อาตี๋เล็กมันสำนึก ใครจะไปกล้าไล่ลื้อได้ลงคอหละ"

"ไม่รู้หละ อั๊วจะกลับไปอยู่ไหหลำบ้านเกิดอั๊ว ที่นั่นคงจะยินดีต้อนรับอั๊ว ถึงป๊ากับม้าจะตายไปหมด อั๊วก็จะนอนข้างถนนนั่นแหละ"

"อาซ้ออออ บ้านเราก็มี จะไปนอนข้างถนนทำไมล่าาาาา"

นี่มันบทพ่อแง่แม่งอนในตำนานนี่นา กูทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

"ใช่ครับแม่ เดี๋ยวผมพาแม่ไปขึ้นเครื่องบินกลับไหหลำเอง ให้ผมไปอยู่ด้วยนะครับ เราไปปลูกผักปลูกหญ้าที่บ้านแม่กัน" ไอ้พี่ตอง นี่แกก็เอากับเค้าด้วยเหรอ

"อาตี๋เล็ก ลื้อหยุดเลยนะ" พ่อพี่ตองขึ้น

"จะด่าอะไรลูกอั๊วอีก" แต่แม่พี่ตองขึ้นกว่าวะ เอาหละ สงครามนี้ใครจะชนะ

"ไม่ได้ด่าเลย อาซ้อออ" เหมือนว่าฝ่ายหญิงจะกำชัยเหนือกว่านะงานนี้ "อาตี๋เล็กมันหิวข้าว ก็เลยมาตามหาซ้อให้ช่วยเตรียมข้าวให้หน่อย"

"อ้าว อาตี๋เล็ก ลื้อหิวข้าวเหรอ" คุณแม่ครับ ห่วงลูกชายจนลืมบทดราม่าเลย เปลี่ยนอารมณ์กันไวจริงๆบ้านนี้

"ผมไม่ค่อยหิวหรอกครับ คนโน้นต่างหากครับ" ชี้มาทางนี้ทำไม "น้องน้ำชาช่วยงานพ่อไปเยอะ ตอนนี้หิวแย่แล้ว"

"ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ ใช้งานจนเด็กไม่ได้กินข้าวกินปลา คุมคนงานเป็นร้อยเป็นพันซะเปล่า" เห็นคุณแม่โดนไล่ตะเพิดทีแรกนึกว่าจะเป็นรองในบ้าน แต่ดูตอนนี้แล้ว นี่มันนายใหญ่ของนายใหญ่อีกทีนี่หว่า "ลากกระเป๋าอั๊วเข้าไปเก็บเลยนะ อั๊วจะไปเตรียมข้าวให้เด็กๆ วันนี้ยังไม่จบนะลื้ออ่ะ... ไปๆเด็กๆไปหาข้าวปลากินกันก่อนนะ"



สงครามทั้งสองเหตุการณ์จบลงในที่สุด โคตรโล่งอกเลย ผมขอให้คนเอาอาหารขึ้นมาให้ที่ห้องทำงานเพราะกลัวจะทำงานเสร็จไม่ทัน ก็อย่างที่พี่ตองบอกแหละครับ เขียนโปรแกรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก วิชาคอมพิวเตอร์ผมก็ไม่เป็นรองใคร ก็เพราะไอ้พี่ตองเรียนทางนี้ไง ผมก็ต้องหาเรื่องไปเรียนตามมันอยู่แล้ว

"พี่ตองเขียนโค๊ดตามรูปแบบนี้นะ เดี๋ยวชามาดูเออเลอร์ให้"

"ครับ ชานอนพักก่อนเถอะ เสร็จแล้วพี่จะปลุก"

นั่นคือบทสนทนาของผมและพี่ตองตอนเที่ยงคืน เราผลัดกันทำโปรแกรมทั้งคืน เขียนบ้าง แก้บ้าง คำนวณใหม่ บ้าง นึกถึงจุดสำคัญอะไรได้ก็รีบใส่เข้าไป

จนกระทั่งตีสี่ ผมถูกปลุกให้มาแก้ครั้งสุดท้าย ส่วนพี่ตองหลับไม่รู้ตัวไปบนโซฟา พี่เค้าพยายามตื่นอยู่กับผมตลอด แต่ครั้งนี้คงไม่ไหวจริงๆ ปล่อยให้นอนไปนั่นแหละดีแล้ว

ผมนั่งแก้โค๊ดอีกเป็นชั่วโมง กว่างานจะเสร็จ ตาพล่าไปหมดเลย ง่วงด้วย กาแฟก็กินไม่ไหวแล้ว

มีเสียงลมหายใจเบาๆมาจากพี่ตอง ผมเดินไปดู

ขนาดนอนก็ยังหล่อเหมือนเดิม แต่ที่ประทับใจเสมอมาก็คือออร่าความอบอุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆของพี่เค้า

ปล่อยให้นอนอีกหน่อยดีกว่า ผมมองเห็นผ้าหุ่มที่ข้างๆโต๊ะทำงาน จึงหยิบมาห่มให้ ห้องนี้เปิดแอร์ทั้งคืน ความเย็นสะสมจำนวนมาก



"เสร็จแล้วเหรอถึงมาห่มผ้าให้อาตี๋เล็ก"

สะดุ้งโหยงเลยกู

อ้าว พ่อพี่ตอง เข้ามาเมื่อไหร่เนีย คนแก่นี่ตื่นเช้ากันทุกคนไหมเนีย นี่เพิ่งจะตีห้าเอง

"ส.. เสร็จแล้วครับ แต่ตัวโปรแกรมที่ทำเป็นแค่ต้นฉบับ ผมก็เลยส่งโปรแกรมร่างตัวนี้ไปที่บริษัทที่ทำโปรแกรมสำเร็จรูปให้ครับ คงไม่เกินสามวัน โปรแกรมก็จะพร้อมใช้งานเลย ผมบอกรายละเอียดจัดส่งไปเรียบร้อยแล้ว คิดว่าน่าจะมีทีมงานเข้าไปสอนพนักงานที่บริษัทของคุณท่านนะครับ"

"หืยยย คุณทงคุณท่านอะไรกัน เรียกตามอาตี๋เล็กมันนั่นแหละ"

หา?

"ยังไงก็ขอบใจลื้อมากนะอาน้ำชา" เรียกชื่อผมด้วย ก้มหน้าด่วนเลยกู ไม่งั้นได้ร้องไห้ต่อหน้าผู้ใหญ่แน่ๆ "แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อคืนด้วย"

"ผมเข้าใจครับท่าน"

"บอกให้เรียกอั๊วว่าพ่อไง"

"ครับ ค... คุณพ่อ"

"สำหรับอั๊วเนี่ยนะ อาตี๊เล็กเป็นลูกที่อั๊วห่วงที่สุด ก็อย่างที่ลื้อเห็น เค้าเป็นคนดี มีน้ำใจ มันก็เลยยิ่งทำให้อั๊วห่วงว่าเค้าจะต่อสู้กับโลกความเป็นจริงได้ไหม ลื้อสองคนจะรักกัน อั๊วคงไปห้ามไม่ได้ แต่ว่า ยังไงอาตี๋ก็เป็นลูกชายอั๊ว อั๊วอยากให้เค้าเจอสิ่งที่ดีที่ถูกสำหรับเค้าเอง หวังว่าลื้อจะเข้าใจนะ"

น้ำตาไหลจริงเลยกู นึกว่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ที่พูดเนีย มันคือการขอให้เราออกไปจากชีวิตพี่ตองไม่ใช่เหรอ

ก็แหงหละ พ่อแม่ที่ไหนจะอยากให้ลูกชายตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายหละ

"ผ...ผมเข้าใจครับ"

"อ่าๆ เข้าใจก็ดีแล้วหละ งั้นอั๊วก็ฝากอาตี๋เล็กด้วยนะ มีแฟนเป็นคนเก่งๆอย่างลื้อ อั๊วก็สบายใจได้"

ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ

อะไรนะ ยังไงวะ ไม่ใช่จะขอให้เราเลิกยุ่งกับพี่ตองเหรอ

"ค..ครับ" ยังไงกันแน่วะ

"นี่ก็จะเช้าแล้ว รีบกลับไปมหาลัยได้แล้ว เดี๋ยวเข้าเรียนกันไม่ทัน"

"ค...ครับ" นี่คือหมดปัญหาแล้วใช่ไหม

"เอ่อ ไอ้เรื่องส่งคนไปสอบ อั๊วยังไม่ลืมนะ ถ้าอาตี๋เล็กสอบตก อั๊วจะส่งคนไปเอาคืนจริงๆด้วย คราวนี้จะส่งไปสิบคนเลย เก่งดีนัก เล่นลูกน้องอั๊วซะอ่วมเลย"

"ได้ครับคุณพ่อ"

"เออ ขอบใจอีกทีนะ เดี๋ยวอั๊วไปเดินเล่นที่สวนก่อน"

"ครับ"

ให้ตายเหอะ จบสักที ด่านครอบครัวพี่ตอง เล่นเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย

ปลุกไอ้ตัวปัญหาดีกว่า นี่จะเช้าแล้ว เดี๋ยวต้องไปเรียนอีก จะไหวไหมเนียกู

"พี่ตอง พี่ตอง" ปลุกยากเหมือนกันแฮะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเพิ่งจะนอน "พี่ตอง กลับได้แล้ว เดี๋ยวไปเรียนสายนะ"

"หือออ" ไอ้พี่ตองขี้เซา ค่อยๆลืมตามอง "เสร็จแล้วเหรอ"

"เสร็จแล้ว พ่อพี่ก็มาดูแล้วด้วย จะเช้าแล้ว กลับได้แล้ว"

พี่ตองถอรหายใจยาวเลย คงจะโล่งอกซินะ ก็เข้าใจอยู่หรอก

"แต่พี่ยังง่วงอยู่เลย"

"ไม่ได้ ชาต้องไปเรียนนะ พี่ก็ต้องเรียน"

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ อะไรอีกเนีย

ดึงเข้าไปกอดทำไม ตีลังกาเป็นลูกขนุนเลยกู โซฟานี่ก็แคบ ดิ้นไปไหนไม่ได้เลย

"ทำบ้าไรเนีย ไอ้บ้านิ ปล่อย"

"พี่ขอนอนกอดแป๊บนึงน้าาาา"

"ไม่ด้ายยย ปล่อยดิ" เออ กูเขิน จะบ้างะ มากอดกันง่ายๆได้ไง กูนี่ก็ตัวเล็กจังเลย ไม่เคยสู้แรงมันได้เลย

"แป๊บเดียวววว ห้านาที นะนะ พี่เครียดจะแย่อยู่แล้ว ผ่านเรื่องนี้ไปได้ ขอกำลังใจแค่นี้เอง"

"......" เออๆ อะ จะกอดก็กอด จริงๆก็รู้สึกดีนั่นแหละ ครั้งนี้เจอศึกหนักจริงๆ นอนพักให้กำลังใจกันและกันก็คงเป็นการพักสงครามที่ดี เพราะไม่แน่....



เช้าของวันใหม่อาจจะมีปัญหาใหม่ตามมาอีกก็ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2018 12:48:02 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 16 : ตำแหน่ง







ตั้งแต่เรียนมาหนึ่งปีเต็ม นี่เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้มาเรียนตึกภาควิชาคณิตศาสตร์ของคณะวิทย์ ทั้งๆที่ปีที่แล้วผมขยาดมันเข้าใส้

"เห้ยเติ้ล เดี๋ยวใกล้พักเบรกแล้ว มึงไปเดินเล่นในตึกเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ" ผมหันไปช่วยเพื่อนสนิทของผมที่กำลังนั่งหาวอยู่ในระหว่างชั่วโมงเรียนวิชาแคลคูลัส 2

"อะไรของมึงไอ้ตอง อารมณ์ไหนวะ" เพื่อนผมมันคงจะงงว่าตึกนี้มีอะไรให้เดินเล่นได้ "มึงคิดว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์หรือไงวะ... อ่อ กูรู้หละ มึงจะไปตามหาน้องน้ำชาคณะวิทย์ใช่ไหม"

"....." หือ ไอ้นี่มันทำไมรู้วะ กูยังไม่ได้ประกาศตัวนี่หว่า

"มึงจะทำหน้างงอะไรวะ มึงวิ่งเอาดอกไม้ไปให้น้องวันเปิดห้องเชียร์ ถ่ายทอดสดเห็นกันทั้งมหาลัย กล้านะมึงอ่ะ"

อ่อ เออ จริงด้วย

ตอนทำกไม่ได้กะว่าจะให้ใครเห็นหรอก แค่อย่าซื้อไปให้ ก็ดันเห็นพี่ท๊อปเอาดอกกุหลาบขาวไปให้ กูก็ของขึ้นดิ นั่่นมันแฟนกูในอนาคตนะ จะให้คนอื่นทำดีกว่าได้ไง

"แล้วยังไงมึงเนีย อยู่ดีๆก็จะมาชอบผู้ชายเฉยเลย"

"ไม่รู้วะ แต่น้องมันก็ดีกับกูมากนะ ดีกับกูมาตั้งแต่ก่อนที่กูจะรู้ตัวด้วยซ้ำ"

"อะไรวะ ไม่เข้าใจ แต่เอาเหอะ น้องมันก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ.... นี่มึงจริงจังปะ ถ้าไม่ กูขอลองต่อนะเว้ย"

"ลองเ-ี้ยไรมึง" พูดส้นตีนแบบนี้กับที่รักของกูเหรอ ไอ้สัด ล้อเล่นกูก็ไม่ให้อภัย

"เอ๊อะๆๆๆ กูล้อเล่นเพื่อนนน โห่.... เออ กูเข้าใจแล้วว่ามึงจริงจัง แค่ลองใจมึงดู"

"ไอ้สัด ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นห้องเรียนกูจะต่อยมึงให้คว่ำเลย"

"เอ่เอ๊ๆ ใจเย็นๆนะเพื่อนนะ เจ้าชายตองสุดหล่อ ใจเย็นนะคราบบ... แต่เห็นงี้แล้ว มึงก็คลั่งน้องน้ำชาน่าดูเลยเนาะ กูเห็นปีก่อน มึงไม่เห็นจะแคร์ผู้หญิงคนไหนเท่าไหร่เลย มาๆไปๆ เปลี่ยนบ่อยอย่างกะเปลี่ยนเสื้อ"

"ไม่รู้เหมือนกันหวะ ตั้งแต่กูคิดจะจีบน้อง กูก็เลิกคิดถึงเรื่องผู้หญิงไปเลย"

"ถ้ามีมาแก้ผ้าตรงหน้าอ่ะ เอามะ"

"อือ.... ไม่น่านะ กูไม่รู้สึกว่าอยากเลยว่ะ"

"อือหือ.... พ่อพระ แล้วถ้าน้องน้ำชามาแก้ผ้าต่อหน้ามึงอ่ะ"

"ไอ้สัดเติ้ล"

"ผมล้อเล่นคร๊าบบบ  โห่ ใจเย็นไหมเพื่อน เอ๊ะอะขึ้น เอ๊ะอะขึ้นอย่างเดียวเลย เดี๋ยวกูก็ไม่พามึงไปหาน้องซะเลยนิ"

"กูไปเองก็ได้เว้ย"

"โห เพื่อน ได้เมียแล้วลืมเพื่อนเลย เลวจริงๆนะมึงเนีย"

"มึง..."



"นิสิตคะ จะคุยกันอีกนานไหมคะ นี่ห้องเรียนนะ จำได้ไหม" อาจารย์ประจำวิชาดุครับ ผมลืมไปเลยว่าเรียนอยู่



หลังได้รับอนุญาตให้พักประจำชั่วโมง ผมกับไอ้เติ้ลก็เดินทั่วตึกเลย คณะนี้มันใหญ่จริงๆ ขนาดตึกภาควิชาเดียวยังมีตั้งหกชั้น แล้วเรียนห้องไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าวันนี้น้ำชาเรียนที่ตึกภาคตลอดช่วงเช้า เพราะผมแอบขอตารางเรียนมาจากไอ้ต้อมเพื่อนสนิทของเจ้าตัวเล็กมาแล้ว

"นั่นเปล่าวะมึง กำลังยืนพูดเลย" ไอ้เติ้ลเรียกให้ผมดูห้องเรียนห้องหนึ่ง

ผมก็เรียบๆเคียงๆช่องกระจกหน้าประตูห้อง

น้ำชาจริงด้วย น่ารักเหมือนเดิม แต่หน้าตายังง่วงๆอยู่เลย แล้วเรียนไหวเปล่าวะ เมื่อคืนทำงานให้พ่อเราทั้งคืน สงสารจัง เข้าไปขออนุญาตอาจารย์พาน้องไปนอนดีไหมน้า

"เห้ย มึงจะสิงประตูอยู่แล้ว" ไอ้เติ้ลเรียกสติผม "ไปเรียนก่อน ได้เวลาแล้ว"

เชี่ยเอ๊ย เวลาแห่งความสุขทำไมมันหมดเร็วจัง

ผมกลับไปนั่งเรียนแบบกระวนกระวายใจอีกรอบ นั่งฟังอาจารย์แบบไม่ได้คิดตามเลย จดอะไรลงสมุดไปก็ไม่รู้



"เจอกันวันศุกร์นะคะนิสิต"

นั่นคือสัญญาณที่ผมรอคอย ผมแทบจะวิ่งออกจากห้องเรียน แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปที่ห้องเรียนของน้ำชาเลย

​เลิกเรียนกันพอดีเลย



"พี่ตอง" น้ำชาดูจะแปลกใจที่เห็นผมวิ่งหน้าตั้งมาหา "มาไงเนีย"

"มารับไปกินข้าว" ผมตอบทันที แทบจะไม่ได้คิดเลย

"พี่ตองงงง" นี่คือกะเทยร่างใหญ่ เพื่อนกลุ่มเดียวกับชาซินะ เคยเห็นนั่งด้วยกัน "มาหาอิ... มาหาน้ำชาเหรอ"

"ครับผม"

"หวานเว้อ" เพื่อนของน้ำชาอีกคน

"หวานเชี่ยไรมึง" น้ำชารีบสะกัดเพื่อน ไอ้ตัวเล็กเอ๊ย ปากแข็งตลอด อ้าว มองผมตาเขียวเลย "ว่างมากรึไง วิ่งมาถึงตึกแมทเนีย"

"พี่เรียนแคลสอง วันอังคารกับวันศุกร์ ต้องมาเรียนนี่อยู่แล้ว"

หึ อะไร น้ำชาแบมือทำไม จะเอาอะไรหว่า

"สมุดแล็คเชอร์"

เชี่ยละกู จะขอดูสมุดเหรอ จดไรไป จะอ่านรู้เรื่องเปล่าวะ ไม่ดิ ระดับน้ำชา ดูแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่ากูไม่ตั้งใจเรียน "วันนี้ยังไม่ค่อยได้เรียนไรเลย เพิ่งเรียนวันแรก"

"ชาก็เรียนแคลวันแรกเหมือนกัน มีเรียนเยอะแยะ เอาสมุดมาดู"

งานเข้าละกู อย่างกับโดนเมียทวงเงินเดือนเลย เห้อออ ซวยแล้ว ต้องจำยอมส่งให้ซินะ

"แหมอิชา มึงก็กล้าขอดูสมุดพี่เค้าเนาะ มึงหลับแทบจะทั้งคาบ" หึ จริงดิ

"มึงคะ แซวอิชาเรื่องเรียน มึงคิดดีๆนะคะ มันหลับ แต่นางทำได้ทุกข้อ ขนาดเมื่อกี๊โจทย์ผิด นางยังบอกอาจารย์ได้เลย"

"เออจริงมึง" น้องผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม "กูนะ ยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนทฤษฎีบท อันไหนโจทย์"

"นี่ไม่ได้สนใจเรียนเลยนิ" อ้าว น้ำชาดูเสร็จแล้วเหรอ "เรียนแบบนี้จะเข้าใจได้ยังไง"

"ก็พี่.... มัวแต่คิดถึงชาไง" นี่ไง เสือมันต้องไม่ทิ้งลาย ยิงนกนัดเดียวได้ปืนสองกระบอก เอ่อ ถูกไหมวะ เออ เอาเป็นว่า เปลี่ยนเรื่องได้ด้วยแล้วก็ได้หยอดน้ำชาได้ด้วย เจ๋งปะละ เพื่อนน้ำชาสามคนเขินใหญ่เลย

"งั้นชาไม่ไปกินข้าวด้วย" หา? "ถ้าชาทำให้พี่ไม่ตั้งใจเรียนแบบนี้ ชาก็จะไม่ไปกินข้าวด้วย.... ไปเหอะพวกมึง"

เห้ย เดี๋ยวๆๆๆ นี่เอาจริงเหรอ

"เดี๋ยวก่อนชา..."



"พี่ตองคะ พี่ตอง หนูขอถ่ายรูปด้วยซิ" "พี่ตอง" "แกๆพี่ตองนี่นา พี่ตองลีดมออ่ะ"

เวรกรรม น้องผู้หญิงกลุ่มนึงวิ่งเข้ามาหา

ผมหันไปหาน้ำชา น้องยืนมองผมอยู่สักพัก สุดท้ายก็เดินต่อไป

จังหวะนรกจริงๆกู

"โอเคครับทุกคน ถ่ายพร้อมกันทีเดียวได้ไหม พี่รีบครับ" เอาวะ พื้นฐานของการเป็นลีดมหาลัยที่ดี ต้องไม่หยิ่งเมื่อพบปะผู้คน



หลังถ่ายรูปเสร็จ ผมก็วิ่งตามน้ำชาลงมาข้างล่าง น่าจะอยู่โรงอาหารนะ เพราะตอนบ่ายมีห้องเชียร์ คงไม่ออกไปข้างนอกหรอก

นั่นกลุ่มของน้ำชานี่นา แต่น้ำชาไม่อยู่ หายไปไหนหว่า หรือไปซื้อข้าวอยู่



"สาวๆครับ เห็นน้ำชาไหม"

"อุ๊ย พี่ตองของหนู... เอ่อ อิชาไปกินข้าวกับพี่ท๊อปอะคะ เห็นบอกมาทวงบุญคุณอะไรกันก็ไม่รู้"

ห๊ะ พี่ท๊อป "พี่ท๊อป เภสัช อะนะ"

"ใช่ค่ะๆ พี่ท๊อปโอปป้าเกาหลีนั่นแหละ"

นี่มันอะไรกันวะ เราชวนกินข้าวไม่กิน แต่กลับไปกินข้าวกับพี่ท๊อป



"ฮัลโหลชา ชาอยู่ไหนอ่ะ" ใครจะไปทนวะ แฟนตัวเองไปกับคนอื่น เออ ยังไม่ใช่แฟนหรอก แต่กูก็หวงอยู่ดีนั่นแหละ

"เอ่อ...."

"พี่มาชวนกินข้าวไม่กิน แต่ชาไปกับพี่ท๊อปเนี่ยนะ"

"ก็พี่ไม่ตั้งใจเรียนอะ"

"แล้วมันเกี่ยวไรกับที่ต้องไปกับพี่ท๊อป"

"คือ.... ชาสัญญากับพี่ท๊อปไว้ว่าจะเลี้ยงข้าว ตอบแทนเรื่องที่..."

"เรื่องไร" ถ้าเหตุผลไม่ดีพอนะ งานนี้เคลียร์กันยาว

"เรื่องตราปั๊ม ตราลีดมอ ตอนที่อยู่โดมไง"

ตราประทับผู้นำเชียร์ ตราที่ทำให้น้ำชาได้เข้ามาคัดเลือกเป็นลีดคณะ จะเถียงก็ไม่ได้งานนี้ เพราะวันนั้นเราเองที่ไม่ปั๊มให้น้อง

"ไม่รู้หละ พี่จะรออยู่ที่นี่แหละ"

"จะรอทำไมเล่า ไม่เป็นสอนลีดคณะตัวเองรึไง"

"ไม่" วางสายซะเลย หงุดหงิด



ผมเดินกลับไปโต๊ะเพื่อนน้ำชา "พี่กินข้าวด้วยนะ"

"ห๊ะ อุ๊ย เชิญค่ะๆๆๆ น..นั่งตรงนี้เลยนะคะ" น้องไม่ต้องตื่นเต้นหรอก พี่ยังต้องจีบเพื่อนน้องอีกนาน ดูจากสถานการณ์แล้ว พี่คงต้องใช้เวลานานน่าดู

"พี่กินจานนี้ไหมคะ น้ำชาซื้อไว้ให้" น้องผู้หญิงส่งจานข้าวราดแกงมาให้ผม หมูหวานกับแกงเขียวหวาน ของโปรดเราทั้งนั้น นี่คงรู้อยู่แล้วอะดิว่าชอบกิน

ว่าแต่.... ซื้อไว้ให้ได้ไง "ชาซื้อไว้ให้พี่ทำไมอ่ะ"

"มันก็รอกินข้าวกับพี่นี่แหละ แต่พี่ท๊อปโผล่มาไงไม่รู้ บอกว่ามาทวงสัญญา มันก็เลยจำใจต้องไป ดูเนีย จานข้าวของมันที่ซื้อไว้ก็ยังไม่ได้กินเลย... พี่จะกินอีกจานก็ได้นะ นี่ค่ะ"

ที่แท้ น้ำชาก็แคร์เรานี่หว่า อุตส่าจะได้กินข้าวด้วยกันแท้ๆ

ทำไมวะ ทำไมไม่ใช่กูที่ปั๊มตราให้ ทั้งๆที่น้ำชาก็ยื่นโอกาสมาให้แล้วแ เซ็ง แดกแม่งให้หมดทุกจานเลยกู



ในที่สุดก็กลับกันมาซะที รถของพี่ท๊อป ผมจำได้ ผมนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในโรงอาหารกับเพื่อนๆของน้ำชา

ในระหว่างที่รออยู่ ผมก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่า พยายามถามข้อมูลของน้ำชาในเวลาเรียนกับเพื่อนๆน้องเค้า



"มึง ข้าวหมดยัง กูหิว" น้ำชามาถึงก็โวยวายทันที

"อ้าว ไรวะ มึงไปกินข้าวมาไม่ใช่เหรอ"

ผมยังนั่งสังเกตุการณ์อยู่ ยังไม่อยากพูดด้วย เคืองอยู่

"เออ ไปซื้อมาเหอะน้า ก่อนที่กูจะแดกโต๊ะแทน"

"เออๆ ปะ วาวา ไปซื้อข้าวกับกู อิเล็กมึงไปซื้อน้ำ เดี๋ยวอิชาจะพิโรจน์" เพื่อนน้ำชาลุกออกจากโต๊ะรีบไปทำตามคำสั่ง

"อ้าว แล้วพี่มานั่งนี่ทำไม ไปคณะได้แล้ว"

เอ้า นี่พี่งอนอยู่นะ "มาถึงก็ไล่พี่เลยเหรอ น่าน้อยใจเนาะ พี่ไม่ได้สำคัญเหมือนพี่ท๊อปนี่เนาะ"

"ก็ใช่ซิ พี่ท๊อปทำให้ชาได้มีโอกาสใกล้ชิดพี่ไง ต้องให้ย้ำอีกไหม" ดูท่าจะหงุดหงิดจริงแฮะ ปกติปากแข็งจะตาย พูดซะเราเขินเลย "ถ้าพี่ปั๊มให้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก"

นั่นไง โดนจนได้ "ขอโทษคราบบบบ แล้วทำไมถึงหิวข้าวละ ไปกินข้าวมาไม่ใช่เหรอ"

"ซูชิอะเหรอ"

"....."  หลุดขำเลยกู หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ผมได้มาจากต้อมก็คือ ชาไม่กินอาหารดิบ เด็ดขาด

"น่าขำตรงไหน ชาต้องทำเป็นเขิน พูดว่าไม่หิว ทั้งที่หิวจะตายอยู่แล้ว เก๊กหน้าตั้งนาน"

น่ารักจริงๆ คนไรหงุดหงิดก็ยังน่ากอด

"แล้วไม่ไปที่คณะจริงเหรอ ไม่ต้องสอนรุ่นน้องหรือไง"

"ลีดมหาลัยได้รับสิทธิพิเศษ สามารถเข้าห้องซ้อมของคณะไหนก็ได้ วันนี้วันแรก ไม่มีไรหรอก แค่แนะนำตัว วางตำแหน่ง คนรู้จักพี่กันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปก็ได้"

"หราาาา ไอ้คนดัง ตั้งใจเรียนให้เท่ากับที่ดังจะดีกว่านี้มากเลย"

ผ่านไปตั้งนานยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก ต่อไปจะทำไรต้องระวังแล้วกู จำเก่งขนาดนี้ "ขอโทษคราบบบ แต่พี่คิดถึงชาจริงๆนะ"

"นี่ชาซีเรียสนะ ถ้าพี่ไม่ตั้งใจเรียนแล้วเอาชาไปเป็นข้ออ้างแบบนี้ ชาจะสบายใจได้ยังไง ไหนจะเรื่องสอบอีก พ่อพี่ขู่ชาไว้แล้วนะ ถ้าพี่สอบตก ยังไงพ่อพี่ก็ยืนยันที่จะมาพาตัวที่ไป"

"กลัวพี่จะไปอะดี๊" ลูกเล่นหน่อยเดียว ทำตาเขียวเลย "โอเคๆครับ พี่จะตั้งใจเรียนสัญญา"

"ไม่ต้องอ่ะ ชาไม่รับคำสัญญา วันอังคารกับศุกร์พี่เรียนแคลใช่ไหม ชาก็มีเรียนแคลที่ตึกสองวันนี้เหมือนกัน ถ้าชาดูสมุดแล็กเชอร์แล้วไม่โอเค ชาไม่ให้มากินข้าวด้วยจริงๆนะ"

นี่กูคิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่จะจีบน้ำชา โหดตัวจริงเลย "โอเคๆ พี่จะตั้งใจเรียน เพราะงั้นอย่าไล่พี่ไปไหนนะ.... ว่าแต่เด็กแมทปีหนึ่งต้องเรียนแคลสองแล้วเหรอ แล้วแคลหนึ่งอ่ะ"

"จะบ้าหรือไง เอกแมทไม่มีแคลหนึ่งถึงสี่แบบวิศวะนะ เราเรียนทีเดียวทั้งสี่ตัวพร้อมกัน เรียกว่า แคลคูลัส เฉยๆ"

"ไม่จริง ไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนเรียนแคลหนึ่งถึงสี่พร้อมกันได้หรอก"

"เด็กเอกเลขไงที่ทำได้"

พระเจ้าาาาา ฆ่าลูกที



"มาแล้วค่ะองค์แม่สูงสุด ข้าวค่ะ" ในที่สุดข้าวก็มาเสิร์ฟ

ดูท่าจะหิวมาก กินไม่พูดเลย

นี่แหละครับ ความคลั่งน้องน้ำชาของผม วันแรกที่ได้มาตึกคณิตก็เจอคู่แข่งซะแล้ว การที่พี่ท๊อปทำแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องปกติซินะ แต่อย่าเพิ่งตื่นตูมไป ยังไงน้ำชาก็ยังมีสายตาที่มั่นคง ผมมั่นใจ







ในมุมของน้ำชา





"ตอนนี้ทั้งพี่ๆแล้วก็น้องๆก็รู้จักกันครบหมดแล้วนะ ต่อไปจะเป็นเรื่องการวางตำแหน่งนะคะ"

พี่แอมกล่าวหน้ากระจกในห้องซ้อมเต้นของคณะวิทย์ หลังมีการแนะนำตัวระหว่างผู้นำเชียร์รุ่นพี่และรุ่นน้องทุกคน

เมื่อเวลาบ่ายโมงมาถึง กิจกรรมห้องเชียร์อันแสนจริงจังก็เริ่มขึ้น การถ่ายทอดสดบรรยากาศการฝึกซ้อมก็กลับมาเช่นกัน

ตอนนี้ผมนั่งรวมกับเพื่อนๆและแหงนหน้ามองพี่ๆลีดคณะวิทยาศาสตร์ในการซ้อมวันแรก ทุกอย่างก็ปกติ มีที่ไม่ปกติอยู่อย่างเดียวก็คือ ​พี่ตอง

​ไอ้พี่ตองนั่งมองผมอยู่สุดมุมห้อง ไล่ยังไงก็ไม่ไป บอกว่าเป็นห่วง เห็นว่าผมแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน

ใครกันแน่ที่ไม่ได้นอน ผมอ่ะ นอนเกือบจะทั้งเช้าเลย (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ) แต่ก็มีตื่นมาตอบคำถามอาจารย์บ้างนิดหน่อย

"ตำแหน่งเซ็นเตอร์จะมีน้องเกตุแล้วก็น้องสุ่ยนะคะ" ที่แอมเริ่มไล่ลำดับให้ฟัง

"เดี๋ยวก่อนแอม" จู่ๆพี่พลอยก็แทรกขึ้น พี่คนที่ตัดสินให้ผมผ่านเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ "ตำแหน่งกลางต้องเป็นของคนที่ได้คะแนนโหวตสูงสุดทั้งหญิงแล้วก็ชายไม่ใช่เหรอ แต่น้องสุ่ยได้ที่สองนะ ต้องเป็นน้องน้ำชาซิ"

ห๊ะ จริงปะเนีย ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ตรงกลางด้วย เพราะถ้าตามหลักทั่วๆไป คนที่อยู่ตำแหน่งกลางควรจะเป็นคนที่สูงๆแล้วก็หน้าตาโดดเด่น ซึ่งสุ่ยก็เหมาะนะ

"แอมคิดมาแล้วพลอย" เหมือนว่าพี่แอมจะเถียง แต่ก็วางท่าอยู่มาก "คณะเราเป็นคณะใหญ่นะ ภาพลักษณ์มันก็สำคัญ พลอยก็รู้ว่าสุ่ยมีคุณสมบัติในการยืนตำแหน่งนี้มากกว่า"

"แต่นี้มันเป็นกฎจากลีดมหาลัยนะแอม" พี่พลอยยังคงมีประเด็น

"ก็แอมนี่ไงลีดมหาลัย และแอมก็เป็นประธานลีดด้วย อำนาจสิทธิขาดในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ต้องให้แอมตัดสินอยู่ดี.... พอเถอะพลอย แอมไม่อยากมีปัญหากับพลอยนะ นี่มันแค่ยืนตำแหน่งเองนะ จริงจังอะไรนักหนา"

"แค่เหรอแอม...."

อะไรกันวะ ทำไมเรื่องมันดูยุ่งยากจัง

แต่สุดท้ายพี่พลอยก็เงียบ คนอื่นๆก็เหมือนจะไม่ได้พอใจนัก แต่ก็เลือกที่จะเงียบเช่นกัน ส่วนคนที่ดูจะมีปัญหา คือคนที่ไม่ได้อยู่ในคณะวิทย์

ไอ้พี่ตองเหมือนจะไม่พอใจสิ่งที่เกิดขึ้นเอามากๆ ถึงจะอยู่ไกล แต่ห้องซ้อมก็เป็นห้องแบบปิด ทุกอย่างที่คุยกันจึงได้ยินกันหมด

"เอาหละทุกคน ไปยืนในตำแหน่งตามที่พี่บอกได้ เราจะเริ่มฝึกกันที่ท่ายืนการ์ดของลีดอ่อนกันก่อนนะ เป็นรูปแบบของคณะเรา ไม่เหมือนลีดแข็งที่เราเคยเห็นลีดมอเต้นกันนะคะ"

การสอนเริ่มขึ้น

นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ พี่แอมไม่มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่าหลบหน้าหรือตีสีหน้ารังเกียจใส่นะ แต่ทำเหมือนผมเป็นอากาศ มองมาทางนี้ทุกครั้งก็จะเหมือนมองทะลุตัวผมไป

ก็แหงหละ ไปแย่งแฟนเค้ามานิ เฮ้ย กูไม่ได้แย่งซะหน่อย

การซ้อมดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น โชคดีที่ผมเคยมีพื้นฐานการจัดระเบียบร่างกายมาก่อนจึงเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก ท่าพื้นฐานบางท่าก็เคยทำมาแล้วจึงผ่านการทดสอบได้ง่ายๆ ในแต่ละท่าที่สอนจะมีการทดสอบหลังให้ฝึกฝนด้วยตัวเอง หากไม่ผ่านก็จะมีรุ่นพี่เข้ามาสอนแบบประชิดตัว แต่ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็จะกลายเป็นการลงโทษแบบกลุ่ม คือ ให้ยืนการ์ดนับหนึ่งร้อยต่อหนึ่งคนที่ไม่ผ่าน

เพราะแบบนี้นี่เอง พวกลีดถึงได้เต้นเป๊ะกันนัก

ด้วยความที่ผมเต้นได้มากกว่าคนอื่น จึงเป็นเหมือนคนสอนกรายๆ เพื่อนๆลีดมักจะชมว่าผมเก่ง แต่นี่มันผลงานของไอ้พี่ตองทั้งนั้นแหละ

พูดถึงไอ้คนตัวสูง ไม่เบื่อหรือไงก็ไม่รู้ นั่งเฝ้าอยู่ได้ ไม่ขยับออกไปไหนเลย มีเล่นโทรศัพท์บ้าง บางทีพี่บุ๋นก็เข้าไปคุยด้วย แต่ที่ไม่คุยเลยคือ พี่แอม จากที่เคยเข้าหาพี่ตองตลอด ตอนนี้เหมือนทั้งสองคนมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน



"ขอเข้าไปหน่อยนะค้าาา" หลังจากซ้อมกันมากว่าสองชั่วโมง จู่ๆก็มีคนเข้ามาสองสามคน พร้อมกล้องและไฟส่องขนาดพกพา "จะขออนุญาตถ่ายทำค่ะ"

"อ๋อ ได้ แต่ขอให้น้องๆเตรียมตัวสักครู่นะ" พี่แอมยังคงเป็นผู้บริหารที่ดี ดูเหมือนอำนาจของพี่แกจะไม่ใช่น้อยๆเลย การเขี่ยเราให้ออกจากเซ็นเตอร์นี่ก็คงเป็นความต้องการของเธอด้วย "น้องๆเดี๋ยวเปลี่ยนใส่เสื้อตัวนี้นะ ทุกครั้งที่ถ่ายทำให้เปลี่ยนใส่ชุดนี้เสมอ เพื่อแสดงถึงความสามัคคีนะ"

มันเป็นเสื้อสีชมพูอ่อนๆ มีคำว่า Science Leader อยู่ข้างหลัง

เราทุกคนรีบไปเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำของห้องซ้อม แล้วก็กลับมายืนตำแหน่งตัวเอง



"สวัสดีครับคุณผู้ชม แล้วตอนนี้เราก็เข้ามาอยู่ในห้องซ้อมของคณะวิทยาศาสตร์แล้วนะครับ และผม นาวาพล ขัตติยชาติ รับหน้าที่พิธีกรชั่วคราวครับ"

เห้ยยยยยยยยยยยยยย

ยังไงละเนีย ทำไมอยู่ดีๆไอ้พี่ตองมาเป็นพิธีกรได้ ที่เห็นไปคุยกับทีมงานแว๊บๆ นั่นคือ ไปขอเค้าเป็นพิธีกรเหรอ คิดจะทำบ้าไรของมันวะ หรือมันคิดจะหยอดเรากลางรายการ บ้าเกินไปแล้วไอ้บ้าพี่ตอง

"เรามาเริ่มพูดคุยกับประธานเชียร์ลีดเดอร์ของคณะวิทยาศาสตร์กันก่อนนะครับ สวัสดีครับพี่แอม" เชี่ยแล้วไง เชี่ยแล้วจริงๆ จู่ๆก็ไปขอสัมภาษณ์คนที่ไม่คุยกัน คืออะไรวะ

"ส..สวัสดีค่ะคุณผู้ชม" พี่แอมก็งงอะดิ รู้เลย

"ในฐานะของประธานเชียร์ลีดเดอร์คณะใหญ่ มีความรู้สึกอย่างไรและหนักใจในการฝึกซ้อมน้องๆไหมครับ"

"ก็ไม่นะคะ เรื่องแค่นี้ สบายมากคะ" นี่พี่แอมตอบสอนเรื่องลีดหรือเรื่องพี่ตองกันแน่วะ สงสัยในคำพูดแฮะ

"มีน้องๆคนไหนหน้าจับตามองเป็นพิเศษไหมครับแบบนี้"

"ก็พอมีนะคะ เพราะถึงยังไงแล้วคณะวิทยาศาสตร์เราเองก็มีการจัดการอย่างมีมาตรฐาน เพราะงั้นคนที่เข้าตาของแอมก็ต้องมีมาตรฐานเช่นกันค่ะ"

"เป็นประธานลีดเดอร์ที่แข็งแกร่งสมคำล่ำลือจริงๆนะครับ ผมอยากให้กล้องแผลนไปที่น้องๆที่กำลังยืนการ์ดกันอยู่ในขณะนี้นะครับ แข็งขันกันมากๆเลย.... แต่เดี๋ยวนะครับ นั่นน้องน้ำชานิครับ ผมจำได้ว่าน้องได้รับการโหวตสูงสุดจากคณะวิทย์ไม่ใช่เหรอครับ" นั่นไง เห็นจุดประสงค์ของไอ้พี่ตองแล้ว คิดจะมาเรียกร้องความยุติธรรมให้หรือไง อย่าทำไรบ้าๆนะ "เอ... แต่ปกติตามกฎของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยเรา ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดต้องอยู่ตำแหน่งกลางไม่ใช่เหรอครับ"

ไมค์ถูกยื่นไปที่พี่แอม ถึงผมจะมองเห็นไม่ถนัด แต่ก็รู้ในทันทีว่าพี่แอมปิดสีหน้าของความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด

"ก็ใช่ค่ะ แต่..."

"อ๋อ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผู้ชมทุกท่าน ผมเชื่อว่าทีมบริหารของคณะวิทยาศาสตร์จะได้ทำการพูดคุยตกลงกันมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะเรามีผุู้บริหารคนเก่งคนนี้อยู่ทั้งคน... เอาหละครับเดี๋ยวเราไปสัมภาษณ์น้องๆกันบ้าง สวัสดีครับน้องๆปีหนึ่งทุกคน"

"สวัสดีครับ/ค่ะ" นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมยกมือไหว้พี่ตอง รู้สึกแปลกๆเหมือนกันแฮะ

เราทุกคนเลิกยืนตามตำแหน่งและมารวมกันที่หน้ากล้องตามสัญญาณของทีมงาน

"เป็นไงกันบ้างครับ วันแรกของการซ้อม ยากไหม"

ทุกคนตอบว่ายากกันหมด

"แล้วแบบนี้ เพื่อนคนไหนที่เป็นแกนนำเรื่องการเต้นของเราในวันนี้ครับ"

เห้ย อะไร ชี้มาที่กูกันหมดเลย

"น้องน้ำชาของเรานี่เองนะครับ วันนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ เพื่อนๆบอกว่าเราเต้นได้ดีที่สุดเลย"

ไมค์ถูกยื่มมาที่ปากผม ไอ้พี่ตองบ้า นี่แกวางแผนไว้หมดแล้วใช่ไหม ตอบยังไงดีละกู "ก... ก็ไม่หรอกครับ แค่เต้นตามที่พี่ๆสอน พี่ๆที่คณะวิทย์สอนเก่งกันทุกคนเลย"

"มีชมพี่ๆด้วย แต่ทำได้ดีแบบนี้แสดงว่ากำลังใจดี มีกำลังใจจากไหนเป็นพิเศษไหมครับ"

พี่ไอ้พี่ตองงงงง มันหยอดผมกลางรายการจริงด้วย เพื่อนลีดโห่แซวกันใหญ่เลย "ไม่มีหรอกครับ"

"ตอบแบบนี้ คนให้กำลังใจก็เสียใจแย่เลยนะครับ"

มองตากูเลยนะไอ้พี่ตอง ถ้าไม่เลิกกูโกรธมึงแน่

"โอเคครับผม แล้วนี่ก็คือบรรยากาศวันแรกของการซ้อมที่คณะวิทยาศาสตร์นะครับ พรุ่งนี้จะเอาบรรยากาศของที่คณะไหนมาฝากกัน อย่าลืมคิดตามด้วยนะครับ นาวาพล รายงานจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ"



"ขอบใจมากนะตอง" พี่ทีมงานผู้หญิงเข้ามาขอบอกขอบใจไอ้พี่ตองยกใหญ่ แต่กูนี่ อยากจะลงทัณฑ์มันให้สาสม "เทปแรกได้ตองมาเป็นพิธีกรให้แบบนี้ ต้องน่าสนใจแน่เลย"

"ขอบใจทีมงานทุกคนเหมือนกันนะ"

"จาาาา....  ไม่รบกวนการซ้อมแล้วนะคะ ขอบคุณพี่ลีดน้องลีดทุกคนค่า"

ทีมงานกลับออกไป ไอ้พี่ตองก็กลับไปนั่งที่เดิมเหมือนเดิม และพวกปีหนึ่งทุกคนก็กลับมาซ้อมต่อเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน



ไม่ถึงสิบนาทีหลังถ่ายทอดสด มีคนมากมายเดินเข้ามาคุยกันพี่แอม คุยในห้องบ้าง นอกห้องบ้าง ดูจะเป็นเรื่องจริงจังน่าดู มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันเป็นชั่วโมงเชียวเหรอ

"พี่แอมตกที่นั่งลำบากชัวร์เลยกูว่า" ไอ้สุ่ยครับ เรากำลังนั่งคุยกับผมระหว่างพักประจำชั่วโมง

"เรื่องไรวะ" ผมถาม

"ก็เรื่องตำแหน่งไง พี่แอมคิดไรอยู่วะให้กูมายืนตำแหน่งกลาง ผิดกฎชัดๆ"

"ทำไมต้องซีเรียสเรื่องตำแหน่งกันจังวะ เอาจริงๆนะ กูยืนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ"

"มันต่างกันนะเว้ย ตำแหน่งกลางคือจุดสนใจของผู้คน อย่างน้อยๆยืนตำแหน่งนี้ก็ทำให้คนจำได้"

"แล้วมึงไม่อยากยืนตำแหน่งกลางเหรอ มึงก็ออกจะเหมาะ กูตัวเล็ก ไปยืนตรงกลางก็ไม่เด่นอยู่ดี"

"ให้ยืนมันก็ยืนได้ แต่มันไม่มีศักดิ์ศรีว่ะ มันเป็นที่ของมึงนะเว้ย แล้วมึงก็เต้นเก่งกว่าทุกคนในนี้ คู่กับเกตุที่เก่งพอๆกัน กูว่ามันก็เหมาะเปล่าวะ อีกอย่าง เห็นพี่ตองช่วยมึงขนาดนั้นแล้วกูก็อดละลายใจไม่ได้"

"คิดมากหนะมึง ไอ้พี่ตองแม่งก็ไม่น่าเลย กูไม่อยากทำตัวมีปัญหา"

"เออมึง พี่เค้าช่วยอะดีแล้ว สิทธิของมึง มึงควรได้"

"....." แต่สิทธินี้มันแลกมาด้วยศัตรูนี่ซิ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ดีอยู่แล้ว



"น้องครับ ที่รบกวนมารวมกันตรงนี้หน่อยนะ" พี่บุ๋นเรียก "ตอนนี้พี่แอมติดไปห้องซ้อมคณะอื่นนะครับ ก็เลยฝากพี่มาบอกน้องๆเรื่องตำแหน่งที่เปลี่ยนไป น้องน้ำชาจะมายืนแทนตำแหน่งของสุ่ยนะ แล้วก็สุ่ยไปยืนแทนที่น้ำชา มัน... มันมีปัญหานิดหน่อยนะ แต่อย่ากังวลนะน้องๆ เราเลือดวิดยาเหมือนกัน"

นั่นไง แผนของไอ้พี่ตอง สำเร็จจนได้

"เอาหละครับ เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะเรียนการแสดงกันนะครับ การซ้อมต่อวันจะมีแค่สามชั่วโมงนะ อีกหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายจะเป็นการเรียนเสริม วันนี้เรียนการแสดงกันก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมีพี่จากข้างนอกมาสอน ไงก็นั่งรอพี่เค้ามา แป๊บเดียว โอเคนะน้องๆ"



"สุ่ย" ผมรีบเดินไปหาสุ่ยเลย "กูไม่ได้อยากให้เป็นงี้นะ"

"เห้ย กูนึกว่ามึงจะเข้าใจกูแล้วนะ กูยินดีด้วยซ้ำที่มึงได้สิทธิของมึงคืน เราเป็นทีมเดียวกันแล้ว อย่ามาคิดมากกับเรื่องแค่นี้เลย"

"เออๆ โอเคมึง ไม่คิดมากก็ไม่คิดมาก"



คลาสการแสดงหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายวันนี้เหมือนการพักผ่อน ส่วนใหญ่เราก็แค่หลบตา นึกภาพตาม พูดคำเดียวกันแต่สื่อความหมายที่แตกต่างให้ได้ ก็ยังไม่ใช่บทเรียนที่หนักอะไร

จนกระทั่งหมดชั่วโมง ไอ้พี่ตองดี๊ด๊าเป็นพิเศษเลย นี่ไม่ง่วงเลยรึไง ได้ข่าวว่ายังไม่ได้นอนเลยนะ

ก่อนออกจากห้องซ้อม พี่ๆมีการมอบขนมเล็กๆน้อยๆให้น้องๆทุกคนด้วย เพราะใส่ใจแบบนี้ซินะ พวกผู้นำเชียร์ถึงได้รักกัน



"ไปกินข้าวกันเลยไหมครับ ชาจะได้รีบนอน" นั่นคือคำแนะนำจากไอ้ตัวสูง

"บ้าเหรอ รีบกินข้าวจะได้รีบไปติวต่างหากหละ"

"ไว้ติวพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้ชาเหนื่อยมากแล้ว เมื่อคืนก็แทบจะไม่ได้นอน ต้องลำบากทำงานให้พ่อพี่แบบนั้น พี่รู้สึกผิดนะ"

"ชาก็รู้สึกผิดเหมือนกันถ้าพี่สอบตก"

"...... ชา  ไหวแน่นะ"

"ไหวซิ แต่ที่ไม่ไหวคือเรื่องเมื่อกี๊ต่างหาก" ตอนนี้เราออกมาไกลจากห้องซ้อมมากแล้ว "เรื่องที่พี่พยายามเปลี่ยนตำแหน่งให้ชา แบบนี้พี่แอมมีแต่จะไม่พอใจชามากขึ้น"

"ก็มันเป็นสิ่งที่ชาควรได้นะครับ"

"ไม่เห็นจำเป็นเลย ชายืนตรงไหนก็ได้"

"มันไม่เหมือนกันนะชา ตำแหน่งกลางจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นลีดมหาลัยให้ชา ตัวพี่ ไอ้บุ๋น ก็ยืนตำแหน่งนี้กันมาก่อน มันทำให้คนชินตากับเรามากกว่าคนอื่นๆ หรือชาไม่อยากเป็นลีดมอแล้ว ไม่อยากใกล้ชิดพี่แล้วเหรอ"

ไอ้พี่ตอง หยอดกูอีกแล้ว "นี่ก็ใกล้เกินพอแล้วมั้ง ยังต้องเป็นลีดมออีกเหรอ"

"ต้องเป็นซิครับ" ส่งสายตาอีกแล้ว "ก็เพราะว่า....





พี่ไม่อยากเป็นเจ้าชายที่รอคอยความรักอย่างโด่ดเดียวบนหอคอยไง"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:41:20 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
หยอดน้องแบบนี้คนอ่านเขิลนักมากกก :-[ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 17 : เกาหลี Part 1


​ในที่สุดชีวิตของผมก็เข้าสู่โหมดปกติสักที

หลังจากความพยายามย้ายตำแหน่งที่่ยืนของผมตอนนั้น พี่แอมก็เลิกยุ่งกับผมไปแล้ว เธอหันมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมืออาชีพเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงทำเหมือนผมเป็นอากาศเหมือนเดิมด้วยนะ

ส่วนไอ้พี่ตองก็ยังพยายาม... จีบ ผมต่อไป เอาจริงๆนะ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะอะไรกับผมมากมาย ยังไงตัวผมเองก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เค้าอยู่แล้ว แต่เพราะผมไม่อยากให้กิจวัตรหลักเปลี่ยนไป ผมจึงอนุญาตให้มาเฝ้าผมซ้อมได้แค่วันอังคารกับวันศุกร์เท่านั้น เพราะว่าพี่แกมีเรียนที่ตึกแมทอยู่แล้ว

ตอนนี้ภาระกิจหลักของผมและพี่ตองในแต่ละวันจึงมีแค่ เช้าเรียน บ่ายซ้อม เย็นไปช่วยงานที่โรงพยาบาลบ้าง ค่ำติว แล้วก็แยกย้ายไปนอน ทุกอย่างมันก็กำลังจะปกติดีอยู่แล้วนะ ถ้าไม่ต้องมาเจอกับ....



"สวัสดีครับอาจารย์จักรกฤษ" ผมถูกเรียกในเที่ยงของวันศุกร์โดยอาจารย์ประจำภาควิชาท่านหนึ่ง และแน่นอนไอ้พี่ตองก็ต้องมาเฝ้าผม ซึ่งตอนนี้ก็รออยู่หน้าห้องแล้ว "อาจารย์เรียกผมเหรอครับ"

"ใช่ๆ นั่งก่อนซิ" อาจารย์ท่านตอบ "เป็นไงบ้าง พอจะเรียนได้ไหม มหาวิทยาลัยเล็กๆแบบนี้"

"เล็กอะไรกันละครับอาจารย์"

"ครูนิแปลกใจมากเลยนะ วันที่เห็นชื่อเธอมาโผล่ที่นี่ อาจารย์ในภาคแทบจะกระโดดโลดเต้นกันใหญ่ มีเด็กอัจฉริยะภาพทางคณิตศาสตร์มากเรียนที่นี่ แต่ก็ทำเอาเครียดเหมือนกันว่าจะสอนเธอรวมกับเพื่อนๆได้ยังไง"

"มีตั้งหลายอย่างหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เรียนรู้ได้ช้าหรือเร็วก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ผมไม่มีปัญหากับที่นี่นะครับ ทุกอย่างของที่นี่ดีอยู่แล้ว"

"ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ... คือที่เรียกมาวันนี้อะนะ... อ้าว นั่น มาพอดีเลย นั่งก่อนซิ คฑาเทพ"

ห๊ะ

ขิง  โดนเรียกเหมือนกันเหรอ

"สวัสดีครับอาจารย์จักรกฤษ อ้าว ชา" ขิงก็สงสัยที่เห็นผม

"พอดีเลย นั่งก่อนๆ" อาจารย์หนุ่มกำลังจะอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด "คืออย่างนี้นะ พอดีว่าพรุ่งนี้จะมีสัมนาทางวิชาการด่วน โดย ดร.คิมจอนชู รู้จักใช่ไหม"

"รู้ครับ" ขิงตอบพร้อมผมเลย ก็คนดังด้านคณิตศาสตร์ คนในวงการก็ต้องรู้อยู่แล้ว

"แล้วในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเกาหลีก็ถูกเชิญไปที่นั่นเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นตัวแทนนักศึกษานั่นแหละ ครูเห็นว่าเธอสองคนเป็นเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองของที่นี่ ถ้าไม่ส่งไปก็คงเสียดายโอกาสแย่ ว่าไงอยากไปไหม"

"ไปเกาหลีเหรอครับ" ผมรีบถามเลย จู่ๆก็จะให้ไปที่ไกลๆ "พรุ่งนี้ด้วย"

"ใช่ ค่อยข้างด่วนหนะ เป็นสัมนาส่วนตัวนะ ไม่ใช่งานใหญ่ ได้เจอ ดร.คิม แบบใกล้ชิดเลยหละ"

"ผมคงไม่สะดวกครับอาจารย์" ก็นี่มันยังเป็นช่วงอาทิตย์แรกของการเรียน ไหนจะต้องซ้อมอีก ติวให้พี่ตองอีก อาทิตย์หน้าก็จะมีคนมาทดสอบพี่ตองแล้ว ถึงงานจะน่าไป แต่เอาทางนี้ให้รอดก่อนดีกว่า "ผมติดภารกิจเยอะหนะครับ"

"น่าเสียดายเนาะ แต่ครูก็พอเข้าใจ มันด่วนมากจริงๆ... แล้วเธอหละ คฑาเทพ"

กรรม ลืมไปเลยว่าขิงเองก็ได้รับเชิญนี่นา ถึงไม่หันหน้ามาก็รู้ว่ากำลังผิดหวัง ขิงรักทุกอย่างที่เป็นคณิตศาสตร์ โอกาสเจอคนดังแบบนี้ สำหรับคนในวงการอย่างขิงคงไม่อยากพลาด แต่ถ้าให้ไปต่างประเทศคนเดียว ขิงคงจะ....

"งั้นผมก็..."

"ผมเปลี่ยนใจแล้วครับอาจารย์ ผมว่าผมไปดีกว่า" รีบตัดบทดีกว่า งานนี้ทำเพื่อขิงบ้าง ตอบแทนบุญคุณที่ผ่านมาทั้งหมดที่ขิงทำให้เรา "อย่างที่บอกแหละครับ โอกาสแบบนี้หายาก"

"ชา ไปได้เหรอ ไม่ต้องซ้อมลีดเหรอ" ขิงหันมาถามผม

"อ๋อ ไม่ต้องห่วง ครูเตรียมหนังสือลาไว้ให้แล้ว ของทั้งสองคนเลย เดี๋ยวจะส่งไปให้ห้องเชียร์คณะวิทย์กับศึกษา ถ้าเธอทั้งคู่ ตกลงว่าจะไปนะ แต่ก็ลาแค่บ่ายวันนี้เท่านั้นนะ"

"ครับ ผมตกลงครับ" แค่วันเดียว คงไม่มีปัญหานะ

"ผมก็ตกลงครับ" ยิ้มแป้นเลยนะขิง แต่แบบนี้ก็ดีแล้วหละ ขิงเป็นคนขยัน ควรได้รับสิ่งดีๆแบบนี้

"แล้วเคยไปเกาหลีกันบ้างหรือยัง"

"ยังครับ" ขิงตอบพร้อมผมเช่นเคย

"ไม่ต้องห่วง ครูเตรียมเรื่องนี้ไว้แล้ว"



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

​มีแขกอีกคนเข้ามาในห้องอีกแล้ว

"สวัสดีครับ"

หืออออออออออ  พี่ท๊อป

พี่ท๊อปเดินเข้ามาอีกคน แต่เก้าอี้ไม่เหลือแล้ว พี่เค้ายืนอยู่ด้านหลังของผม

"คงรู้จักพี่ท๊อปกันอยู่แล้วนะ" รู้จักซิครับ "ครูขอให้ท๊อปเค้าช่วยดูแลการเดินทางครั้งนี้ของเธอสองคนให้ เรื่องที่พักอะไรพวกนี้ด้วย พี่เค้าไปเกาหลีบ่อย คงจะช่วยได้มากเลย"

เอาแล้วไงกู งานเข้ากูสิบแปดล้านเปอร์เซ็น

"ไงก็ฝากด้วยนะท๊อป เอาหละเด็กๆ เดี๋ยวครูจัดการเรื่องหนังสือลาให้ แล้วก็รีบไปจัดกระเป๋ากันได้แล้วนะ ท๊อปจองเครื่องไว้กี่โมงนะ"

"ห้าโมงเย็นครับอาจารย์" พี่ท๊อปตอบ ผมแอบเห็นนะ พี่กำลังยิ้มอยู่

"งั้นก็รีบเลย"

ผมรู้เลยว่า ออกไปจากห้องจะเจอกับสีหน้าพี่ตองแบบไหน



"ชา" นั่นไง ขอซื้อหวยงวดนี้ใบนึงดิ เผื่อจะทายถูก เหมือนที่ทายถูกว่าไอ้พี่ตองมันกำลังทำหน้าหงุดหงิดเบอร์ใหญ่ใส่ผม ต่างจากพี่ท๊อปที่เดินยิ้มละลื่นออกมา

"ห้าโมงเย็นเจอกันที่สนามบินนะน้องน้ำชา" พี่ท๊อปเดินจากไปอย่างผู้มีชัย "เจอกันนะน้อง" ไม่ลืมที่จะบอกขิง

"ไปไหนกัน" อ้าวมีใครประสานเสียงด้วยอีกคน

ไอ้เพื่อนต้อมสารเลว ​ก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่มันกับขิงตัวติดกันหรือไงวะ

"พี่ถามว่าจะไปไหนกัน" ไอ้นี่ก็หน้าดุจังเลย

"เกาหลี" กูไม่ได้เลือกสถานที่เองนะ

"ไปทำไม จะไป..."

"สัมนาวิชาการครับพี่ตอง" ขิงรีบตอบให้ ขิงคงจะควันในกองไฟซินะ

"เมื่อไหร่" นี่จะมองหน้ากูอีกนานไหม

"พรุ่งนี้ครับ แต่ขึ้นเครื่องห้าโมงเย็น"

"แล้วเคยไปเหรอ พักยังไง เดินทางยังไง กินอยู่ยังไง" นี่คือจะไม่หันไปมองขิงเลยใช่มะ

"พี่ท๊อปคนเมื่อกี๊จะช่วยดูแลเรื่องที่โน่นให้ครับ" อะๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว บอกข้อมูลไอ้บ้านี่ให้ครบไปเลยขิง

"พี่ท๊อปเหรอ.... จำเป็นต้องไปขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ก็...."

"จำเป็นซิ" พอเลยขิง ไม่ต้องพูดไรแล้ว เดี๋ยวกูจัดการเองงานนี้ "งานวิชาการคณิตศาสตร์ จากคนดังทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้จัดขึ้นห้าวันต่อสัปดาห์เหมือนห้องเชียร์นะ ถ้าไม่คิดว่าชาควรไป ก็คิดไหมว่าขิงควรไปไหมหละ"

จะยอมอ่อนลงไหมห๊ะ นี่กูทำเพื่อน้องมึงนะ

"ขิงอยากไปเหรอ" ไอ้พี่ตองหันไปคุยกับขิง เออ รู้จักมีเหตุผลซะบ้าง คิดว่ากูเป็นคนวางแผนขึ้นมารึไง "แล้วให้ผู้ติดตามไปได้ไหม"

หึ นี่อย่าบอกนะว่าจะตามไป

"ไม่เห็นอาจารย์พูดอะไรเรื่องนี้นะครับ" ขิงตอบ

"งั้นพี่โทรจองตั๋วแป๊บ" เห้ยเอาจริงเหรอ



"ไม่ทันแล้วพี่ ผมโทรแล้ว" อ้าวไอ้ต้อม เห็นแวบออกไป นี่มึงไปจองตั๋วเครื่องบินมาแล้วเหรอ ไวกว่าไอ้พี่ตองอีก "เต็มครับพี่ หลังจากนี้ก็เต็ม เต็มหมดเลย ต้องรอถึงพรุ่งนี้"

"พรุ่งนี้เลยเหรอ" ไอ้พี่ตองหน้าเครียดเลย "ไม่ได้ คืนเดียวก็ไม่ได้" อะไรของพี่แก นี่คิดไรอยู่เนีย

"ชาสัมนาแค่วันเดียว เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว" ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน้า

"...." ไม่ตอบ หยิบมือถือออกมาเฉยเลย "ฮัลโหลครับพ่อ พ่อครับ มีคนจะมาแย่งน้องน้ำชาแฟนผมอ่ะ"

หืออออออ โทรฟ้องพ่อ ทำบ้าไรของแกเนี่ย ช็อกเลยกู

"นี่มึง... เป็นแฟนกับพี่ตองแล้วเหรอ" ไอ้ต้อม ไอ้ขี้เผือก รีบถามเชียวนะมึงอ่ะ

"ยังเว้ย" ก็ยังจริงๆอ่ะ

"กูก็นึกว่ามึงเสร็จพี่ตองไปแล้ว" เสร็จพ่อง ไอ้สัดต้อม "สู้กูกับน้ำขิงก็ไม่ได้" หือ? มึงกับขิง ทำไมนะ

"ใช่ดิครับพ่อ ผมอ่ะต้องรีบไปพาแฟนผมกลับมา แต่อยู่ไกลที่เกาหลีโน่น ตั๋วก็เต็มหมดแล้ว ไม่รู้จะไปยังไงเลยครับตอนนี้"

โอ้โห แต่ละประโยคที่ไอ้บ้าพี่ตองมันพูด กูต้องกลับมาสนใจเรื่องนี้เลย เดี๋ยวเรื่องของขิงเอาไว้ถามทีหลัง

"ไม่ได้ๆ ต้องวันนี้เท่านั้นพ่อ ไม่งั้นผมเสียเค้าไปแน่ พ่อก็จะไม่มีนักวางแผนเก่งๆมาช่วยงานที่บ้านอีกแล้วนะ.... โอเคครับพ่อ ขอบคุณมากครับ"

"ได้เรื่องเปล่าพี่" ไอ้ต้อม มึงสนิทกับพี่ตองขนาดนั้นเลยรึไง ถามไวกว่ากูอีก

"เดี๋ยวพ่อพี่จะพยายามหาทางให้" ไอ้พี่ตองตอบอย่างภาคภูมิใจ

"ไปกินข้าวกันเหอะขิง" เลิกสนใจไอ้บ้านี่ดีกว่า จะทำไรก็ปล่อยมันทำไป "เคยมากินที่ใต้ตึกแมทไหม"



เราสี่คนลงมาโรงอาหารที่ตึกภาควิชาเพื่อทานอาหาร ไอ้พี่ตองหน้ายังไม่คลายกังวลเลย สงสัยกลัวว่าจะไม่ได้ตั๋วทันวันนี้ ไอ้ต้อมยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้จะอยากไปอะไรกันนักกันหนา



"ฮัลโหลครับพ่อ" ข้าวกำลังจะเข้าปากอยู่แล้ว พ่อพี่ตองก็โทรมา "ครับ ครับ โอเคครับ โอเคครับพ่อ ขอบคุณมากนะครับ"

"เฮ้ย ต้อม" พี่ตองหันไปคุยกับไอ้ต้อม ตาเหลือกเลย "ได้ตั๋วแล้วว่ะ"

"รอบไหนพี่" ไอ้ต้อมก็ตื่นเต้น

"อีกสองชั่วโมงเครื่องขึ้น"

ห๊ะ!!! ช็อกกันหมดนี่แหละ

"ไปเดี๋ยวนี้เลยมึง" พี่ตองแทบจะร้องออกมา "ไม่กงไม่กินแล้วข้าวอ่ะ"

"เดี๋ยว... " เรียกไม่ทันเลยกู วิ่งเร็วเกิ๊น

"เดี๋ยวต้อมไปรอที่เกาหลีนะ" ไอ้สัดต้อม มึงไม่ต้องมาอำลาหวานหยดย้อยใส่ขิงต่อหน้ากูเลย "รักน้ำขิงนะครับ จุ๊บ"

เฮือกกกกกกกก

​มันถึงขั้นไหนกันแล้ววะ ทำไมไอ้ต้อมหอมแก้มขิงหละ ขิงก็ดูจะช็อกๆเหมือนกัน นี่มีเรื่องตื่นเต้นรอบตัวกูเยอะเกินไปแล้วนะ

"ไปรับผมที่หอด้วยนะพี่" นั่นคือเสียงสุดท้ายจากไอ้ต้อมเพื่อนสารเลวของผม

ตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไอ้ต้อมมันเป็นเพื่อนสารเลวจริงๆด้วย มันให้พี่ตองไปรับมันที่หอ แสดงว่าไอ้สองคนนี้มันต้องรู้จักมักจี้สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ถึงขั้นรู้จักหอของกันได้ นั่นก็แปลว่าข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดที่ไอ้พี่ตองรู้เกี่ยวกับผม มาจากมันนี่เอง

เดี๋ยวเถอะมึง สักวันหนึ่ง กูจะยุให้ขิงดุมึงโหดๆเลย นี่ก็ช็อกไม่หายซะที เค้าหอมแก้มไปตั้งนานแล้ว





"ใส่เสื้อผ้าหนาหน่อยดีกว่าไหม พี่เกาหลีหิมะกำลังลงนะช่วงนี้" คำแนะนำของพี่ท๊อปหลังจากที่ผมและขิงมาถึงสนามบิน "แล้วไม่มีใครมาส่งเหรอวันนี้"

หมายถึงไอ้พี่ตองละซิ มันไปถึงโน่นแล้ว ฟาดสาวเกาหลีไปทั้งประเทสแล้วมั้งป่านนี้ "ไม่มีครับ"

"แปลกเนอะ.... ไปกันเถอะ เครื่องจะขึ้นแล้ว น้องชื่ออะไรนะครับ"

"ขิงครับ" ขิงแนะนำตัว

การเดินทางไปเกาหลีครั้งแรกของผมและขิง ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่เราไม่ได้ไปเที่ยวกัน ก็คงไม่ใช่ทริปหวือหวาเท่าไหร่นัก แต่พี่ท๊อปนี่ซิคงจะปลื้มเอามากที่เราเดินทางมาด้วย

ความจริงผมก็ดูออกนะว่าพี่ท๊อปมันคิดกับผมเกินน้อง แต่ทำไมต้องเป็นผมวะ ผู้หญิงสวยๆมีเยอะแยะ หน้าตาโอปป้าขนาดนี้ มีแต่คนจะคลานเข่าเข้ามาหา ไอ้เราก็ไม่กล้าปฏิเสธอะไรมาก พี่เค้ามีบุญคุญครั้งสำคัญอยู่ซะด้วย ทำไมชีวิตกูถึงมีผู้มีพระคุณเยอะจังวะ

หลังจากหลับไปเกือบห้าชั่วโมง ถึงซะที

​เกาหลี แดนกิมจิ

​​ทันทีที่ประตูเครื่องบินเปิด อากาศหนาวจับใจก็เข้ามาแทนที่ในเครื่องบินทันที ถึงแม้ประตูเครื่องจะต่อตรงกับอากาศภายในสนามบิน แต่ก็ชัดเจนว่า อากาศที่นี่หนาวมากจริงๆ

เราสามคนยืนรอกระเป๋าสักพัก  แล้วเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย



"นั่นมัน... ตองนิ" พี่ท๊อปชี้ไปที่หนุ่มหล่อสองคนที่สาวๆเกาหลีกลุ่มหนึ่งกำลังยืนเก้อๆเขินๆอยู่ข้างๆ

กูว่าแล้วเชียว ไอ้หัวสกินเฮดเอ๊ย ไปไหนมาไหนสาวๆก็รุม

"น้ำชา มาถึงแล้วเหรอครับ ช้าจังนะ" แหมมมม ไอ้พี่ตอง แล้วก็เดินมาแย่งกระเป๋าของผมไปลากด้วย ของตัวเองก็ไม่ใช่น้อยๆนะ ยังจะมาทำเท่อีก ส่วนไอ้ต้อมไม่ต้องสงสัย เข้าประชิดตัวขิงเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ

"เอ่อ...." พี่ท๊อปคงจะยังช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น "งั้นเรารีบไปที่โรงแรมกันดีกว่านะ พี่ต้องเข้าไปที่บริษัทต่อ"

"โอเคครับ" ผมรีบตอบ รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า

เราทั้งห้าขึ้นรถไฟฟ้ากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อลงยังโรงแรมที่ได้รับการจองไว้



"안녕하세요​"

อือหือ พี่ท๊อปคุยกับพนักงานโรงแรมเป็นภาษาเกาหลีซะด้วย ถ้าสาวๆที่มหาลัยมาเห็นฉ็อตนี้ กรี๊ดลั่นทุ่งแน่นอน

ส่วนไอ้พี่ตองกับไอ้ต้อมก็รีบทำการเข้าจองห้องเหมือนกัน ได้เห็นพี่ตองใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรก ก็เก่งเหมือนกันนี่นา สงสัยโดนพ่อบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเพราะต้องใช้ในธุรกิจแหงเลย

"โอเคครับ ชากับขิง ได้ห้องชั้นบนสุดนะ" พี่ท๊อปส่งกุญแจห้องให้ผม เห็นได้ชัดว่าพี่แกไม่พอใจนักที่สองผู้ติดตามจะพักที่นี่ด้วย แต่นั่นคงอยู่นอกคำสั่งของอาจารย์จักรกฤษ "พรุ่งนี้เช้าจะมีรถมารับไปที่สัมนาตอนแปดโมงนะ ลงมารอที่ล็อบบี้ได้เลย มีอะไรก็ให้พนักงานโทรหาพี่นะ พี่บอกวิธีติดต่อเค้าไว้แล้ว"

"ขอบคุณมากเลยนะครับพี่" ถึงยังไงพี่ท๊อปก็ดีกับเราเสมอจริงๆ

"ยินดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าพี่ต้องไปแล้วนะ เดี๋ยวเข้าบริษัทไม่ทัน อ่อ พรุ่งนี้ตอนเย็น อาจารย์จักรกฤษขอให้พี่พาน้องๆไปเที่ยว งั้นเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะ"

พี่ท๊อปเดินจากไปอย่างกับว่าเป็นบ้านตัวเอง คงจะมาบ่อยจริงๆ

"แค่ไปเที่ยวเอง ใครก็พาไปได้" ไอ้พี่ตองจะมาแควะคนอื่นให้ฟังทำไม

"อะไรของพี่เนีย นั่นพี่ท๊อปนะ ก็รู้จักกันดีไม่ใช่รึไง" จะมาไม่ถูกกันเพราะเราทำไมก็ไม่รู้ ไม่เข้าท่าเลย

"ตอนนี้ไม่อยากรู้จักแล้ว" ดูมันตอบดิ "มันจะแย่งน้ำชาไปจากพี่"

"พูดบ้าไร เดี๋ยวคนก็ได้ยินหมดหรอก" ไอ้บ้าพี่ตอง เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ

"ใครจะฟังรู้เรื่อง นี่มันเกาหลีนะ ไม่ใช่บ้านเรา"

"ผมไงพี่" ไอ้ต้อมเข้ามาแจมพร้อมขิง "ผมฟังรู้เรื่อง ใช่ไหมครับน้ำชาของพี่ตอง"

เพลี๊ยะ

​นี่ไงของขวัญต้อนรับการมาถึงเกาหลีของมึงจากกู ตบเกรียนหนึ่งดอก ขาดรสมือกูไปนานนะมึงเนีย

"โอ้โหเพื่อน ตบหัวกูต่อหน้าแฟนกูเลยเหรอ" โห ไอ้นี่ พูดเต็มปากเต็มคำเลยนะ "เออมึง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มึงมาแลกห้องกับกูปะ ห้องก็ใกล้ๆกันด้วย กูจะได้อยู่กับแฟนกู มึงก็จะได้อยู่กับพี่ตองไง"

"เรื่อง" อย่ามาโมเม "มาด้วยกันก็นอนด้วยกันไปดิ หรือว่า... ขิงอยากนอนกับไอ้ต้อมเหรอ" ขิงแสดงท่าทางปฏิเสธอย่างชัดเจน "งั้นก็ไม่ ไปกันเถอะขิง ที่นี่หนาว ชาง่วงจะแย่แล้ว" ปล่อยไอ้สองคนนี้ไว้ให้เป็นหมามองกระดูกต่อไป

"แต่ชานอนมาตั้งห้าชั่วโมงแล้วนะ" เออ ขิง ไม่ต้องพูดมากหรอกหนะ



คืนและวันในเกาหลีผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้นนัก แต่ไม่ใช่กับขิงนะ ขิงมีประเด็นและคำถามมากมายในวันนี้ ผมเลือกไม่ผิดซินะที่พาขิงมาที่นี่ นานๆทีลูกพี่ลูกน้องที่แสนเรียบร้อยของผมจะได้ออกมาท่องโลกกว้างบ้าง

ส่วนไอ้พี่ตองกับไอ้ต้อมอะเหรอ สงสัยแข็งตายอยู่ข้างนอกแล้วมั้ง เห็นคุยกันว่าจะไปเที่ยวนั่นดูนี่ระหว่างรอ แต่หิมะตกลงมาขนาดนี้ จะทำอะไรได้ ผมว่า ไม่วายก็ยังนั่งรอผมอยู่แถวๆนี้แหละ ริวสัมผัสได้

==มีต่อ Part 2==
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:47:46 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 17 : เกาหลี Part 2



"วันนี้ได้เจอคนสำคัญๆเยอะเลยเนาะ" ขิงปราบปลื้มใหญ่หลังจากงานสัมนาจบลง "ขิงได้คุยกับเพื่อนต่างชาติด้วยนะ หลายๆคนบอกว่ารู้จักชาด้วยนะ แต่เพิ่งรู้ว่าชาหน้าตาเป็นแบบนี้"

"แบบไหนกันขิง" พูดดีๆนะขิง

"ก็... น่ารักไง น่ารักจนพี่ตองตามมาจีบถึงเกาหลีเลย" ขิงชี้ไปที่ประตู ภาพการโบกมือทักทายของพี่ตองกับไอ้ต้อมที่หน้าประตูกระจก แล้วก็.... พี่ท๊อปที่กำลังเดินมา



จะพูดว่าไงดีหละ ตอนนี้ผมอยากเป็นขิงมากๆเลย เพราะมีไอ้ต้อมคนเดียวที่คอยมาวอแวเอาใจใส่ แต่ผมเนียเหมือนอยู่ท่ามกลางสงครามประสาท พี่ท๊อปก็พอพี่ท๊อป ไอ้พี่ตองก็ไม่ยอม เดี๋ยวก็จะซื้อนั่นให้ เดี๋ยวก็จะเอานี่ให้กิน เอาวะ แค่ทำตัวอยู่ตรงกลางไม่ให้สองคนนี้มีเรื่องกันก็พอ

ทำไมการเที่ยวเกาหลีของกูถึงต้องอึดอัดขนาดนี้ด้วยยยยย



จนกระทั่งเรามาถึงตลาดยามค่ำท่ามกลางหิมะของสักทีนึงในเกาหลี

"ซื้อถุงมือใส่อีกอันดีกว่า หนาวมาก ไม่ไหวแล้ว" ผมบ่นกับตัวเองทันทีที่มองเห็นร้านขายถุงมือกันหนาว มีสีสันให้เลือกมากมาย

"เอาอันนี้ไหม สีชมพู ที่เกาหลีกำลังฮิตเลย" พี่ท๊อปแนะนำ ได้ยินที่เราบ่นด้วยเหรอ พี่แกหยิบถุงมือยื่นมาให้ผม ก็น่ารักดีนะ แต่สีหวานไปไหมเนี่ย

"พี่ว่าสีขาวสวยกว่านะ" นั่นไง สงครามเกิดอีกแล้ว ไอ้พี่ตองเข้ามาเสนอถุงมืออีกคู่ให้ผม ขิงกับไอ้ต้อมก็เดินสวีทกันสองคน ไม่คิดจะช่วยกูเลยรึไง

"งั้นเอาทั้งสองอันเลยก็แล้วกันครับ" เออ ตัดสินใจแบบนี้แหละ จะได้ไม่ต้องมาเรื่องยาวต่อ

"ไม่ได้" อ้าว อะไรวะ ไอ้พี่ตอง "มือมีอยู่แค่นี้ จะใส่สองคู่ได้ยังไง ชาจะเลือกอันไหนสีขาวหรือสีชมพู"

นี่มึงถามกูเรื่องถุงมือจริงๆใช่ไหม หน้ามึงเนีย ไม่ใช่เลยนะ หันไปหาพี่ท๊อปก็พอกันเลย นี่จะเล่นสงครามประสาทกันอีกนานไหม

"ไม่เลือกอะไรทั้งนั้นแหละ เอามานี่" ผมคว้าถุงมือจากทั้งสองคนอย่างหงุดหงิด ส่งให้เจ้าของร้านที่มองอย่างลุ้นๆและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น "I want it all, how much?" ผมรีบจ่ายเงินและเดินออกไปจากสองคนนั้น

ไม่เอาแล้ว เบื่อ ทำไมต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยวะ

ผมเลือกที่จะไปเดินกับขิงแทน ช่างไอ้ต้อมมัน กูไม่ทนเรื่องบ้าๆแล้ว อยากกลับประเทศกูแล้วโว้ยยยย



"ชาๆ เดี๋ยวก่อน" ขิงเรียกผม ตอนนี้เป็นเวลาค่ำที่เรามาหยุดกันที่สะพานแห่งหนึ่งใกล้ๆกับตลาด "ขิงลืมซื้อโสมไปให้แม่ แม่บอกว่าอยากได้โสมจากเกาหลี เมื่อกี๊ขิงเห็นอยู่ท้ายตลาด ขอไปซื้อแป๊บนึงนะ"

"เดี๋ยวต้อมไปเป็นเพื่อน"

"ไม่ต้อง กูไปเอง" ไม่ต้องมาทำหน้าสลดใส่กูไอ้ต้อม กูไม่ต้องการอยู่ตรงนี้ แล้วก็มึงสมควรได้รับการลงทัณฑ์จากกูที่เอาความลับกูไปบอกไอ้พี่ตอง



ผมกับขิงข้ามถนนไปซื้อของตามที่ขิงต้องการ ผมก็เห็นหมวกไหมพรมสีฟ้าเทา ซื้ออันนี้ไว้ให้ไอ้พี่ตองดีกว่า แต่เอาไปให้ที่ไทยนะ ขืนให้ตอนนี้ สงครามเกิดอีกแน่ ๆ

ระหว่างทางกลับเหมือนผมจะเห็นทางใต้ดินนะ เหมือนกับว่ามันจะพาไปทางฝั่งโน้นได้เหมือนกัน

"ขิงๆ ไปทางนี้ดีกว่า เค้าคงทำไว้ไม่ให้คนข้ามถนนอ่ะ" คิดว่าเดาไม่ผิดนะ

"นั่นซิ" ขิงเห็นด้วย

เราสองคนก็เดินทำหน้าเหมือนกัน 555 มุกครับมุก เราหน้าเหมือนกันอยู่แล้ว เราเดินกันจนเจอกับบันไดอีกฝั่งหนึ่งซึ่งทำให้ขึ้นไปเจอกับทั้งสามคนที่รออยู่ได้



"ผมว่าพี่สองคนควรจะเคลียร์กันได้แล้วนะ" หึ นั่นเสียงไอ้ต้อมนิ

"เดี๋ยวก่อนๆ" ผมรีบกระซิบกับขิง ขิงเองก็ได้ยินเหมือนกัน

"ผมเห็นนะพี่ ผมนั่งอยู่บนดาวอังคารก็เห็นว่าพี่สองคนกำลังแย่งกันจีบไอ้ชาเพื่อนผมอยู่ แล้วนี่มันยังไงกันอ่ะ"

"ผมเคารพพี่นะพี่ท๊อป" นี่เสียงไอ้พี่ตองซินะ น้ำเสียงเครียดน่าดูเลย "แต่เรื่องน้ำชา ผมกับเค้าก็มีความสัมพันธ์กันมาพอสมควรแล้ว น้องเข้ามามหาลัยนี้ก็เพราะอยากเจอผม ใช่ไหมต้อม"

"ก็....จริง" ไอ้ต้อมสนับสนุน

"แล้วน้องน้ำชา เค้าตกลงปลงใจเป็นแฟนกับตองแล้วเหรอ" พี่ท๊อปพูดบ้าง "พี่ก็ไม่เห็นน้องจะว่าอะไรพี่เลย ถ้าเกิดเป็นแฟนกันจริงๆแล้ว พี่จะกล้ายุ่งเหรอ"

"นั่นดิพี่" อ้าว ไอ้ต้อม มึงเข้าข้างใครกันแน่วะ "นี่สรุปว่าพี่กับไอ้ชาเป็นแฟนกันหรือยัง ผมถามมัน มันก็ปฏิเสธ"

"....." พี่ตองเงียบ

"งั้นพี่ก็มีสิทธิเท่ากับตอง" พี่ท๊อปบอก

ผมเอาถุงมือสองคู่ที่ซื้อออกมาดู มันสะท้อนความเป็นจริงตอนนี้จริงๆ ผมกำลังทำให้พี่ตองเสียใจและกำลังทำให้พี่ท๊อปมีความหวัง ผมควรจะทำยังไงดี

ขิงเอื้อมมือมาวางที่ไหล่ผมและมองหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ

"เราเป็นพี่น้องกันมานานนะตอง แต่เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ยินจากปากของน้องน้ำชาเอง พี่ก็ถือว่าเราเสมอกัน.... พี่ขอไปดูสองคนนั้นก่อนนะ หายไปนานแล้ว"

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขึ้นไปดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นจะเข้าใจว่าเราหายไปไหน



"สรุปว่าพี่จีบไอ้ชาเย็นยังไม่ติดว่างั้น" ไอ้ต้อมเปิดประเด็นอีกครั้ง ผมกับขิงก็ชะงักอีกครั้งเหมือนกัน

"ก็... เออดิ" พี่ตองตอบ มีเสียงถอนหายใจด้วย "พี่ถึงไปห้ามไรพี่ท๊อปไม่ได้ไง"

"กากสัดเลยว่ะพี่"

"มึงก็ไม่ต้องตอกย้ำกูก็ได้มั้ง กูช่วยมึงเรื่องขิงนะ"

"เอาเหอะพี่ ไอ้ชามันก็เป็นแบบนี้แหละ ทั้งเกรียน ทั้งปากแข็ง" อ้าว ไอ้เพื่อนเวร "แต่ผมก็เชื่อว่ามันมีใจให้พี่นะ ไม่งั้นเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้ว มันจะเก็บมาจำขนาดนี้ทำไม"

"นั่นก็อีกเรื่องแหละว่ะ เอาจริงๆนะ หรือว่าจริงแล้วน้ำชาไม่ได้ชอบพี่วะ แต่ทนอยู่เพราะบุญคุณที่พี่เคยช่วยชีวิตเค้าไว้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆที่ผ่านมาแสดงว่าเค้าก็ต้องทำเพราะฝืนใจทำอะดิ หรือสุดท้ายแล้วความรักของพี่มันจะเป็นหมันวะ พี่กำลังทำในสิ่งที่น้ำชาอึดอัดอยู่หรือเปล่า"

"ผมก็เดาไม่ได้เหมือนกันวะพี่ ไอ้ชาเย็นมันอ่านยาก มีปากก็ไม่ค่อยจะพูด ไม่เหมือนขิง"

"เออ มึงอะโชคดี ขิงเป็นเด็กน่ารักเรียบร้อย ไม่พูดโกหก ไม่ปากแข็ง"

"ดีอะไรหละพี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าต้องพิสูจน์ตัวเองไปถึงไหน น้ำขิงอ่ะ ถูกเลี้ยงมาอย่างถูกต้อง ทุกอย่างคือความถูกต้อง ความรักสำหรับเค้าเองก็ต้องเป็นผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้น ที่ยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เพราะผมสัญญาว่าผมจะพิสูจน์ให้เค้าเห็นให้ได้ ว่าความรักมันมีอะไรมากกว่านั้น"

"จริงดิ เห็นพวกเอ็งรักกันดี ก็นึกว่าลงเอยด้วยดีไปแล้ว"

"ยังหรอกพี่ ผมพูดตรงๆนะ น้ำตาตกในไปหลายรอบมากๆ หลายทีผมก็โดนกีดกันจากตัวน้ำขิงเอง เค้ามีกำแพงบางอย่างที่ผมข้ามไปไม่ได้ กำแพงนี้อาจจะสูงมากก็ได้นะพี่ ซักวันนึงผมอาจจะตกลงมาตายโดยที่ยังข้ามไปไม่ได้ด้วยซ้ำ"

"พี่ก็ไม่ต่างกันหรอก กว่าจะผ่านความเกลียดชังแปดปีที่เข้าใจผิดมาได้ ต้องพิสูจน์กับตัวเอง พิสูจน์กับครอบครัว แต่วันนี้เหมือนเจอทางตันเลยว่ะ แบบนี้พี่จะกล้าพูดกับใครอย่างภาคภูมิใจได้ไงวะว่าน้ำชาเป็นแฟนพี่ แต่ถ้ามองย้อนกลับไป น้ำชาอาจจะอายก็ได้นะที่มีพี่เป็นแฟน"

"พอเหอะพี่ ยิ่งพูดยิ่งทำให้ท้อ เราต้องเป็นกำลังใจให้กันและกันดิ คืนนี้นอนด้วยกันอยู่ดี ปรับทุกข์กันอีกยาวพี่"

"เออ"

ตอนนี้ผมนิ่งสนิทเลย ความเอาแต่ใจของเรา ความปากแข็งของเรา มันสร้างความรู้สึกแย่ๆมากมายให้คนอีกคนได้ขนาดนี้เลยเหรอ คนที่เราบอกว่าเราแคร์เค้าที่สุด คนที่เราเฝ้าฝันที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับเค้า คนที่เราทุ่มเทมามากมายเพื่อช่วงเวลานี้ เราทำอะไรอยู่วะ

"ชา" ขิงสะงิดผม นั่นมัน พี่ท๊อปนี่นา พี่ท๊อปเดินลอดทางใต้ดินมาเหมือนกัน พี่เค้ากำลังยืนดูผม และเห็นว่าผมถือถุงมือสองคู่ไว้ในมือ

ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว



"พี่ท๊อปครับ" ผมเดินลงบันไดไปหาพี่ท๊อป และยื่นถุงมือสีชมพูให้พี่เค้า "ผมรับมันไว้ไม่ได้ครับ"

"....." พี่ท๊อปรับถุงมือไปอย่างเงียบๆ "นี่คือสิ่งที่น้องน้ำชาเลือกแล้วใช่ไหมครับ"

"ใช่ครับ" ยอมรับว่าเศร้าและรู้สึกผิดนะ แต่มันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว "ชาเลือกพี่ตองครับ"

การยอมรับครั้งนี้ของผมเหมือนระเบิดโลกทั้งใบออกจากกัน ความกลัวและบางอย่างที่เกาะกุมในใจคล้ายว่าถูกปลดเปลื้องออก

"แบบนี้ก็ดีครับ" แต่คนที่ความเศร้าเกาะกุมอยู่ตอนนี้คงเป็นพี่ท๊อป "พี่จะได้ไม่ต้องหวัง น้ำชาคงอัดอึดที่ปฏิเสธพี่ไม่ได้ พี่ก็รู้ตัวนะ แต่เพื่อเป้าหมายพี่ก็เห็นแก่ตัวไปบ้าง พี่ขอโทษนะ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าการทำอะไรเพื่อเป้าหมายมันเป็นยังไง เพราะผมก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พี่ตองมาตั้งแปดปีเหมือนกัน"

"พูดแบบนี้พี่คงเข้าไปแทรกระหว่างตองกับน้ำชาไม่ได้แล้วซินะ... งั้นพี่ก็ขอตัวเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเห็นภาพช้ำใจ"

"พี่อยู่ได้ซิครับ"

"อย่าเลย พี่ต้องเข้าบริษัทด้วย เรียนร้องเรียนเต้นเหมือนเดิม เผื่อวันนึงได้เดบิวต์ จะได้ทำให้ใครบางคนเสียดายพี่"

"แค่นี้สาวๆทั้งมหาลัยก็เสียดายพี่จะแย่แล้วเนี่ย"

พี่ตองหัวเราะเศร้าๆ "พี่ไปนะครับ เที่ยวต่อให้สนุกนะ"

"โชคดีครับพี่ท๊อป"

ผมมองภาพพี่ท๊อปเดินจากไป



"ไปเถอะชา" ขิงเรียกผมให้เดินขึ้นไปข้างบน



บันไดนี้จะเปลี่ยนทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง



"อ้าว ชา ขิง ทำไมมาโผล่ตรงนี้ละ" พี่ตองตกใจที่เห็นเราสองคน

"มีทางใต้ดินครับ" พี่ตองดูจะสงสัยที่เห็นผมพูดเพราะด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้และหยิบบางอย่างออกมา "อันนี้หมวกกันหนาวนะ ชาซื้อให้" ระหว่างนั้นผมก็พยายามเอื้อมมือไปสวมหมวกให้ไอ้คนตัวสูง ลำบากนิดหน่อยแต่ก็ใส่ได้ พี่ตองหน้าเหวอไปเลย "พี่ตองผมสั้น ไม่ใส่หมวกในที่อากาศหนาวแบบนี้ ระวังป่วยนะ"

"ข... ขอบคุณครับ" พี่ตองทำหน้าระหว่างดีใจกับสงสัย "นี่อยากได้อะไรหรือเปล่า ทำไมทำดีกับพี่จัง"

"ไม่ได้อยากได้อะไร ชาก็ทำดีกับพี่มาตั้งแปดปีแล้วหรือเปล่า" เพื่อให้แน่ใจ ผมเอามือไปคว้าแขนพี่ตองไว้ แนบกันเลย เนื้อตัวของพี่เค้ายังอบอุ่นเหมือนเคย

"ชาไม่ได้ป่วยนะ"

"พี่ตอง" ยังจะมาถามอีก เดี๋ยวก็ดีแตกซะหรอก​ "จะให้ชาเป็นแบบเดิมให้ได้ใช่ไหม"

"อ...  โอเคครับ แบบนี้ดีแล้ว น่ารักครับน่ารัก"



"พี่ตอง" ขิงเรียกพี่ตอง "วันนี้ขิงขอแลกห้องนอนกับพี่ตองนะ"

"ห๊ะ" ไอ้ต้อมกับพี่ตอง เจอเรื่องเซอร์ไพส์อีกเรื่อง

"ได้ไหม"

"ด... ได้ซิครับ" พี่ตองตอบงงๆ คงจะงงสุดๆเลยแหละตอนนี้

"ขอบคุณครับ ขิงจะได้นอนกับแฟนของขิง"

ตายไปเลยมึงไอ้ต้อม เจอคำนี้เข้าไป โอ้โห กระโดดกอดกันใหญ่ ไม่เอาแล้วกูไม่ดู ไปดีกว่า

"แล้วชาจะไปไหน พี่ท๊อปยังไม่กลับมาเลย" พี่ตองยังตกอยู่ในสภาวะประหลาดใจกับทุกอย่างในโลก

"ชาเจอพี่ท๊อปแล้ว พี่ท๊อปบอกว่ามีธุระ ต้องกลับบริษัทด่วน"

"อ้าวเหรอ"

"รีบเดินเถอะ ชาไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค ของสองคนนั้น"

"อ.. โอเคครับ.... เมื่อกี๊เข้าไปตลาดเข้าไปทำไรกันมาอ่ะ... แต่ก็ช่างเถอะ แต่พี่ชอบตลาดนี้จังเลย"

พี่ตองคงจะงงซินะว่าเกิดไรขึ้นกับผม แต่ยังมีเรื่องให้เซอร์ไพส์มากกว่านี้อีก

เอ  เดินมาไกลจากสองคนนั้นหรือยังน้าาา  อืม น่าจะไกลพอแล้วนะ



"พี่ตอง" ผมเรียกคนตัวสูงพร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนอุ่นๆนั่น

"ครับ" พี่ตองรอฟังว่าผมจะพูดอะไร



"​เป็นแฟนกันไหม"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:49:40 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​.......................................................................................

ถึง ผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน

ก่อนที่จะเริ่มอ่านตอนนี้ นักเขียนขออนุญาตออกตัวไว้ก่อนว่า มิได้มีเจตนาในการสนับสนุนหรือยุยงส่งเสริมผู้อ่านในเชิงอนาจารแต่อย่างใด และยังขอยืนยันในเจตนารมณ์แรกเริ่มว่าต้องการที่จะเขียนนิยายความรักที่สวยงาม สร้างสรรค์ อันเป็นการนำเสนอมุมมองความรักที่เป็นไปได้แก่ทุกเพศทุกวัย แต่เนื้อหาในตอนต่อไปนี้ จะมีเนื้อความและภาพพจน์โวหารที่ล้ำลึกในเรื่องเพศและกามรมณ์ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและโปรดเข้าใจนักเขียนมา ณ ที่นี้ด้วย

                                                                                                         K.R.

                                                                                                    ขอบพระคุณ

..........................................................................................



ตอนที่ 18 : บทอัศจรรย์







ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยในค่ำคืนที่แสนจะหนาวเหน็บ คล้ายว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อกายก็ไม่ได้กำลังปกคลุมอยู่

หลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของคนตัวเล็กเบื้องหน้า หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นลงอย่างช้าๆ

​เป็นแฟนกันไหม

คำพูดที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว พัลวันอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่เป็นสิ่งที่รอมานาน แต่ทำไมมันกลับทำให้ตัวผมแทบจะหมดเรี่ยวแรง ไม่ใช่ความอ่อนล้า ไม่ใช่ความอ่อนแรง แต่เป็นความรู้สึกปิติยินดีจนเกินจะต้านทาน



"พี่ตอง"

"ค... ครับ" นี่ผมสติหลุดไปนานแค่ไหนกันเนี่ย

"ได้ยินที่ชาถามไหม ข... เขินจะแย่แล้วเนีย"

"ครับ ว... ว่าไงนะครับ" ผมไม่ได้ถามเพราะจะกวนประสาทหรือแกล้งน้ำชานะ แต่ผมไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินจริงๆ

"เป็น แฟน กัน ไหม"

นี่สรุปว่าผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม มันคือเรื่องจริงนี่นา

"ค... ครับ เป็นซิ.... เห้ย ไม่ใช่ๆ ทำไมถึงเป็นชาละ พี่ต่างหาก พี่ต้องเป็นคนขอชาเป็นแฟนดิ"

"ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ใครเป็นคนกำหนดว่าใครต้องเป็นคนขอใครก่อน"

"ไม่รู้ละ" ผมมองซ้ายมองขวา นี่มันเป็นหน้าที่ของกูนะ จะให้น้ำชามาทำแทนได้ยังไง "รอพี่แป๊บนึงนะ"

ผมละออกจากเจ้าตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้เป็นยอดดวงใจของผม แล้ววิ่งตรงดิ่งไปที่ร้านฝั่งตรงข้าม คว้าสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดในโอกาศเช่นนี้แล้ววิ่งกลับมา ให้เร็วที่สุด



"เอาจริงดิ" น้ำชาถามผมอย่างเก้อเขิน

"จริงที่สุดครับ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันก็ตื่นเต้นไม่น้อยนะ

ผมถอดหมวกที่น้ำชาซื้อให้ออก เพื่อเป็นการให้เกียรติช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

คุกเข่าขวาลงบนพื้นหิมะเบื้องล่าง

ยื่นช่อดอกไม้จากร้านขายดอกไม้เมืองหนาวที่เพิ่งจะซื้อมา

และสบตากับคนตรงหน้าของผม ส่งทุกความปรารถนาดีไปกับสายตาคู่นี้

ให้เค้าได้รู้สึกว่า ผมสามารถรัก ดูแล และปกป้องเค้าได้ และจากนั้น.....

​โลกก็มีเพียงเราสองคน



"น้ำชาครับ ให้เกียรติเป็นแฟนกับพี่ ได้ไหมครับ" นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการจะพูด

มีเสียงฮือฮาอื้ออึงรอบข้างเกิดขึ้น ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าความโรแมนติกของผมมีพยานร่วมรู้เห็นอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แม้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจในความหมายที่ผมพูด แต่ภาษากายของผมก็ชัดเจน





"ได้อยู่แล้ว"

น้ำชารับช่อดอกไม้จากผมไป





เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ร้องดังอึกทึกรอบตัวไปหมด และช่วงเวลานี้ผมรู้ดีว่าควรจะต้องทำยังไง

ผมลุกขึ้นโอบกอดคนตรงหน้า โอบกอดความรัก และโอบกอดความรู้สึกทั้งหมดมาไว้ที่ตัวผม

คนตัวเล็กอยู่ภายใต้อ้อมกอดของผมอย่างสงบนิ่ง

ช่างมีความสุข ช่างสวยงาม ช่างยาวนาน........ นานแสนนาน จนไม่อาจนับเวลา





"เราจะพักที่นี่กันจริงๆเหรอพี่ตอง" น้ำชาถามเขินๆ

"จริงซิครับ วันพิเศษของเรา พี่ก็อยากให้ชาได้เป็นคนพิเศษที่สุดไง" หลังจากที่ความรักของผมสมหวัง ผมก็รีบจัดหาค่ำคืนพิเศษในต่างแดนเท่าที่จะหาได้เพื่อความประทับใจของเจ้าตัวเล็ก ทุ่มสุดตัวเลยครับงานนี้

"แล้วขิงกับไอ้ต้อมอ่ะ"

"อยู่หลังข้างๆนี่แหละครับ"

ที่นี่เป็นบ้านพักสุดหรูบนเชิงเขาเขตชานเมือง เป็นบ้านหลังเล็กที่มีเพียงห้องเดียวกับห้องน้ำแบบอ่างจากุซซี่ มองเห็นทัศนวิสัย 360 องศาได้ชัดเจนจากกระจกบานใหญ่ ความสวยงานจากกรุงโชลจึงสะท้อนเข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศอันสุดแสนโรแมนติก

ส่วนขิงกับต้อม ผมก็ให้อยู่ในบ้านหลังข้างๆกัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง แค่มีสระว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางระหว่างสองหลัง แต่ก็ยังใช้เครื่องทำความร้อนเครื่องเดียวกัน จึงทำให้ส่วนของเตียงทั้งสองหลังอยู่ติดกัน แต่ในระแวงนี้ก็มีบ้านพักอยู่เพียงสองหลังเท่านั้น เรียกว่า มีความเป็นส่วนตัวสุดๆ

"นั่นไง สองคนนั้นกำลังเล่นตุ๊กตาหิมะอยู่" ผมเรียกให้น้ำชาดูเพื่อนบ้านสองคนที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นหิมะขาวรอบบ้าน

"ไหนอ่ะ" น้ำชาสนใจมอง "......."

"เอ่อ....."

ทำไมจังหวะมันพอดีขนาดนี้วะ ดูเหมือนว่า ไม่ใช่แค่คู่ของผมเท่านั้นที่มีเรื่องโรแมนติก ไอ้ต้อมมันกำลังจูบขิงน้องสุดที่รักของผม แต่เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่จูบธรรมดาแล้วนะเนี่ย ทำไมมันดูดดื่มกันจัง ไม่เกรงใจหิมะข้างนอกเลย.....

แล้วภาพนั้นก็หายไป

"เรา... ให้เค้าเป็นส่วนตัวกันดีกว่านะ" ชาเลื่อนผ้าม่ามมาปิดอย่างไว หน้าแดงก่ำเพราะความเขินอายภาพที่เห็น "ช... ชา ไปอาบน้ำก่อนนะ"

"อาบด้วยได้ไหมครับ" ผมก็ไม่วายที่จะหยอด แต่ก็หวังนิดๆนะ ยิ่งเห็นสองคนนั้นดื่มด่ำกับขนาดนั้น ผมยิ่งอิจฉา

"เรื่องไรละ" แล้วเจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งเอาห้องน้ำไป

แอบเปิดม่านดูนิดนึงดีกว่า อ้าว สองคนนั้นหายไปแล้ว ไฟในบ้านก็ดับไปแล้วด้วย

โด่ อดดูหนังกลางแปลงเลยกู



ผมอาบน้ำต่อจากน้ำชา ห้องน้ำที่นี่มีฝ้าเป็นกระจก สามารถมองเห็นบรรยากาศบนท้องฟ้ายามค่ำได้ชัดเจน

ได้แช่น้ำอุ่นๆหลังสัมผัสอากาศเย็นจัดมานาน มีความสุขจัง เหมือนได้ผ่อนคลายเลย



"ชา ง่วงหรือยังครับ" ผมถามที่รักของผมที่นอนมองบรรยากาศด้านกระจกฝั่งกรุงโซลอยู่

"นิดหน่อยครับ" น้องตอบพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง "พี่ตอง ชาถามหน่อยซิครับ"

"ครับ" ผมเดินไปนั่งบนเตียงข้างๆน้อง "จะถามอะไรครับ"

"ทำไมถึงเป็นชาละ เพราะพี่ตองรู้ว่าชาแอบติดตามพี่มานานเหรอ หรือเพราะพี่ชอบชาจริงๆ"

น้ำชาเองก็มีความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความรู้สึกของผมเหมือนกันซินะ

"ต่อให้ตัดทุกเหตุผลทิ้งไป ก็ยังเป็นน้ำชา ต้องเป็นคนนี้อยู่ดีแหละครับ" ผมเคลื่อนตัวไปกอดน้องช้าๆ

"อย่านะ" น้องรีบเตือนผม คงเข้าใจว่าผมจะล่วงเกินมากกว่านี่ละซิ  พี่ก็เป็นสุภาพบุรุษนะคราบบบ

"แล้วถ้าหอมแก้มละครับ" ผมก็ไม่คิดจะทำอะไรหรอก แต่พอเห็นคนน่ารักๆคนนี้ในอ้อมแขนแล้ว ขอสักนิดเถอะ

"....." เงียบแบบนี้ ทำได้เปล่าวะ

ขืนหอมแก้มไปโดยไม่ได้รับอนุญาต กูโดนแน่เลย น้ำชายังไงก็เป็นน้ำชา ไม่ใช่พวกยอมใครง่ายๆ

"ห้ามมากกว่านี้ก็แล้วกัน"

เชรดดดดด

เสียงสวรรค์

เพราะนี่เป็นสัมผัสครั้งแรก ผมจึงไม่อยากรีบร้อน พยายามเคลื่อนช้าๆให้ทั้งผมและเค้าจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้

กลิ่มหอมอ่อนๆจากแก้มใสของคนในอ้อมกอด สัมผัสกับปลายจมูกของผมทันทีที่ริมฝีปากเตะลงไปที่แก้ม

"นานไปแล้ว" น้ำชาเอ็ด

ผมถอนใบหน้าออกอย่างเสียดาย "ให้หอมนานๆก็ไม่ได้"

"พอเลย ดึกแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องนั่งเครื่องกลับอีกนะ"

เห้อออออ แฟนเรา นี่เป็นแฟนกันแล้วนะ ทำไมยังจะทำตัวเก้อเขินอยู่ได้ แต่ผมก็ต้องทำตามแหละ กับคนนี้ไม่รู้ทำไม ยอมทุกอย่าง



"อื้อ...อ อ อ อ"

"น้ำขิงครับ... น้ำขิง"

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่มันเสียงได้ต้อมกับขิงนี่หว่า

เมื่อกี๊เสียงเครื่องทำความร้อนที่มีท่อตรงส่งมายังบ้านสองหลังที่ติดกันมันมีเสียงดังหวือๆจึงไม่ได้ยินเสียงจากบ้านหลังข้างๆ แต่ตอนนี้เครื่องพักการทำงาน ก็เลยได้ยินเสียงจากอีกหลัง ถึงจะแผ่ว แต่ก็....



"หายเจ็บยังครับ"

"ค.... ครับ หายแล้ว ห... หายแล้ว"

"เป็นของต้อมแล้วนะครับ ที่รักของ...ผม อ๊ะ... ซ...อะ"

"ครับ อื้อ อ... อ..."

ชิบหายละกู

​ไอ้สองคนนั้น มันกำลังสร้างสัมพันธ์รักแนบแน่นกันอยู่

นี่กูกะเช่าบ้านให้น้ำชาประทับใจ แต่ไอ้สองคนนั้น ดูจะสร้างความประทับใจมากกว่าคู่กูซะอีก

แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยย

แบบนี้ใครจะไปทนได้วะ อุตส่าอดกลั้นไม่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ทั้งๆที่ก็อยู่ในที่โคตรจะโรแมนติก แต่ขืนเป็นแบบนี้....

ไม่ได้ๆ กูต้องไปเอาความใคร่นี้ออก ไม่งั้นกูได้ข่มขืนแฟนตัวเองแน่ๆ

ดูหน้าน้ำชาดิ เสียงมาชัดขนาดนี้ หน้าแดงเหวอไปเลย



"พ... พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ" ไม่ได้แล้วกู เอาออกด่วน

"พี่ตอง" น้ำชาคว้าแขนผมไว้ อย่าเพิ่งมาคว้าพี่ตอนนี้ได้ไหม ไม่งั้นน้ำชาจะกลายเป็นผู้โชคร้ายแทนนะ ปล่อยพี่ก่อน ไว้ค่อยคุยกันนะ ไอ้บ้านข้างๆก็ชักจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ มึงรู้ไหมว่าคนที่ได้ยินกำลังจะคลั่งตายอยู่แล้ว

"เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ พี่ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ"

"พี่อยากทำกับชาไหม"

หืออออออออออออออออออออออออ?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?

อยากซิครับ แต่หันไปมองหน้าน้ำชาแล้ว น้องดูจะกล้าๆกลัวๆนะ

ยังไม่ทันจะหายสงสัย น้ำชาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับผม

คนตัวเล็กยื่นริมฝีปากขึ้นมา พยายามจูบผมอย่างที่คิดว่าควรจะต้องทำ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถอนออก



"ช..ชา ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อพี่ก็ได้นะครับ" ใช่ แรงปรารถนาของผมมันก็มีมากอยู่ ยิ่งกับบรรยากาศแบบนี้ กับคนที่ผมรัก และสิ่งเร้ารอบข้าง แต่ถ้าชายังไม่พร้อม ผมก็ไม่อยากทำให้เค้าต้องมาเจ็บตัวเพราะความใคร่ของผม

"ม.. ไม่ครับ ชาไม่ได้ทำเพื่อพี่ตองเท่านั้น" ทำไมในสายตาของน้ำชามีความเศร้าปนอยู่หละ "เรื่องเมื่อหัวค่ำ ชาได้ยินนะ ชาได้ยินพี่กับไอ้ต้อมคุยกัน ชาไม่ได้อึดอัดนะที่อยู่กับพี่ แล้วก็ไม่ใช่เพราะบุญคุณด้วยที่ทำให้ชาอยากอยู่ใกล้ๆพี่ ก็ใช่ ที่ตอนแรก ชาคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ชาอยากดูใกล้พี่ เพราะชารู้สึกดีกับพี่ และชาก็... ปรารถนาในตัวพี่เหมือนกัน แล้วชาก็รู้ว่าพี่ตองเองก็..."

"ชาไม่กลัวเหรอครับ" ผมถามน้ำชาให้แน่ใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับเค้าแน่นอน

"ก็กลัวนะ คือ... ชายังไม่เคย.... แต่ ถ้า ขิง ทำได้ งั้นชาก็คงทำได้มั้ง"

ผมอดที่จะขำออกมาไม่ได้ ทำไมเค้าถึงแสนดีกับผมขนาดนี้ ตั้งแต่แปดปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กนี้ยังทำทุกอย่างเพื่อผมเสมอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมปรารถนาในตัวเค้าได้ยังไงกัน

"งั้น... วันนี้ พี่จะบอกความรู้สึกทั้งหมดของพี่ ให้ชาได้รับรู้นะครับ ที่รักของพี่"





ในมุมของน้ำชา



หัวใจของผมเต้นอย่างรุนแรงจนผมคิดว่ามันกำลังจะหลุดออกมาจากทรวงอก เมื่อริมฝีปากของคนตัวสูงเบื้องหน้าเตะสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากของผม

"อือ" นี่ซินะที่เรียกว่าจูบที่แท้จริง แรง​ดึงดูดนี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ไออุ่น รสละมุม และหอมหวาน

ลิ้นที่อ่อนโยนของคนตรงหน้า เที่ยวสาละวนควานหาบางสิ่งจากร่างนี้

กายที่แข็งแกร่งค่อยๆโอบอุ้มร่างกายเรา คล้ายว่าจะพาลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์

ยิ่งถูกสัมผัสมากเท่าไหร่ ยิ่งริมฝีปากถูกขบขยี้มากเท่าไหร่ ยิ่งคล้ายกับว่าร่างกายนี้ ไม่อาจต้านทานต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ไฟของความปรารถนามันลุกไหม้ หัวใจก็เริ่มร่ำร้อง สมองปลดเปลื้องตรรกะและเหตุผลออกจนสิ้น

อยากถูกสัมผัสมากกว่านี้ อยากได้รับความรู้สึกมากกว่านี้อีก ได้โปรด...

อย่างกับว่ากำลังถูกสะกดใจให้คล้อยตามสัญชาตญาณของความต้องการที่พุ่งพล่าน

ริมฝีปากของพี่ตองกำลังย้ายตำแหน่ง เลื่อนไหลไปตามจุดสัมผัสล้ำลึกบนร่างกาย ใต้คาง คอ หน้าอก และถึงจุดสัมผัสเสียวซ่านบนหน้าอกนี้

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เสื้อถูกปลดออกไป ทั้งที่จริงแล้ว เราคงจะรู้สึกไม่ดีหากถูกใครถอดอาภรณ์ที่ห่อกายนี้ออก แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอาย มันกลับอยากให้ผิวกายของทั้งสองให้สัมผัสแนบชิดกันมากขึ้นไปอีก

มือเล็กๆของเรากำลังปลดกระดุมเสื้อคนตรงหน้าอยู่ซินะ เราคงจะอยากสัมผัสกายอันแข็งแกร่งของเค้า ผิวกายอันอบอุ่นของพี่ตองที่เราตกหลุมรักมันมาแสนนาน ช่างเป็นไออุ่นที่ชวนให้หลงไหลเหลือเกิน

มือใหญ่ แกร่งหนา ประคองร่างของผมลงบนที่นอนอย่างอ้อยสร้อย

ชายร่างใหญ่กำลังใช้แก้มสัมผัสเคลียคลอวนเวียนไปมาที่ใบหน้าของเราอย่างหิวกระหาย

จูบสัมผัสเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างมิอาจห้ามใจเราทั้งสองได้

"อื้อออ...." มันเริ่มที่จะรุนแรงขึ้น รสสัมผัสของความขมเล็กๆในช่วงเวลาแสนหวานนี้ กลับยิ่งทำให้ไฟของความรู้สึกโชติช่วงยิ่งกว่าเคย

ริมฝีปากถูกถอนออก เผยให้เห็นดวงตาที่อบอุ่นแต่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย

พี่ตองกำลังต้องการในตัวเรา เราก็ต้องการเช่นกัน

สัมผัสอีกซิ สัมผัสลงมาอีก

ร่างกายของผมถูกกระหน่ำจูบอย่างช้าๆ ทุกสัมผัสมีความรู้สึก ทุกการกระทำมีไอรักอุ่นๆแนบติดอยู่เสมอ

กางเกงนอนตัวยาวกลายเป็นแค่ผ้าชิ้นเล็กเมื่อถูกถอดออกไปด้วยกำลังของชายคนด้านบน

พี่ตองยังคงละเลงรักไปทั่วตัวของเรา อย่างกับมีน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ซ่อนอยู่ตามผิวกายทั้งหมดนี้

ค่อยๆต่ำลง ต่ำลง และต่ำลงไปเรื่อยๆ ทั้งเสียวทั้งรู้สึกดี จนพบกับส่วนแข็งขืนในร่างกายเรา ส่วนที่รวมความรู้สึกทั้งหมดไว้

ริมฝีปากที่กระหายราคะครอบลงไปที่ส่วนนั้นอย่างไม่ลังเล ไม่มีความรังเกียจเดียจฉัน ไม่มีการหยุดคิด มีเพียงแรงปรารถนาที่ส่งออกมาไม่ขาดสาย

"ซ... อ... อึม" เสียงครางเบาๆที่ไม่อาจห้ามไว้ได้ เขาช่างร้อนแรงเหลือเกิน เขาช่างทำให้เรารู้สึกดีเหลือเกิน

ยิ่งเวลาผ่านเลยไปความเสียวซ่านยิ่งทวีขึ้นไม่มีจาง ปลายเท้างุ้มงอเพราะสัมผัสที่ไม่อาจฝืน นิ้วมือกำผ้าห่มแน่นเพราะไม่อาจต้านแรงความรู้สึก

แม้จะไม่รู้จักกับสิ่งนี้มาก่อน แต่สัญชาตญาณก็พาเราไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้

จนเมื่อริมฝีปากของคนเบื้องบนสัมผัสรสชาติจากส่วนนั้นจนสาแก่ใจ ก็ถึงคิวของเราที่อยากจะสัมผัสกายนั้นบ้าง

ผมไม่เขินอายแม้แต่น้อยที่จะลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคลานเข้าไปคร่อมกายสูงใหญ่นั้นไว้

มือที่ลื่นไหลเข้าไปในซุกไซร้ในกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวบางของคนร่างใหญ่ และแล้วก็สัมผัสกับส่วนเร้นลับ

มือเล็กๆของผมกำลังพบกับดุ้นแข็งขืนขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่ามันทำลายความภูมิใจในความเป็นชายของผมไปหมดสิ้น นี่สินะ ส่วนสัมผัสของพี่ตอง ส่วนสัมผัสที่เราเองก็อยากรับรู้รสชาติของมัน

เฉกเช่นเดียวกับพี่เค้า ผมไม่ลังเลแม้สักนิดที่จะเผยส่วนอนุรักษ์ของคนเบื้องล่างออกมาเชยชม ใหญ่โตจนมือกเล็กๆนี้แทบจะจับไว้ไม่หมด และวินาทีเดียวกันนั้นเองที่ลิ้นของผมเตะสัมผัสลงไป มันยากที่จะครอบทั้งหมดนั้นไว้ด้วยปากเล็กๆของเรา แต่ผมก็พยายาม ผมอยากรู้รสชาติของมัน อยากให้พี่เค้า ได้รู้สึกดีเพราะเราบ้าง

แน่นอนว่า ตัวผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมย่อมรู้ดีว่า การกระทำแบบไหนจะเป็นที่พึงใจของชายคนนี้ได้ แม้จะไม่เคยผ่านประสบการณ์ แต่ตัวอย่างในโลกยุคนี้ก็มีให้เห็นมากมาย พี่ตองมีแรงปรารถนาเท่าไหร่ ผมเองในฐานะผู้ชายก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า มันคงเป็นการเห็นแก่ตัวที่ผมจะรับความรู้สึกนั้นมาเพียงฝ่ายเดียว กับพี่ตอง กับคนที่ผมอยากทำดีกับเค้าให้มากๆ เรื่องนี้เองผมก็ไม่ควรจะบกพร่อง

"อ่าาา... น... น้ำชา" พี่ตองคงจะพอใจในสัมผัสที่เรามอบให้ซินะ เพื่อให้พี่เค้ามีความสุข เราต้องทำให้มากขึ้นอีก ผมยิ่งพยายามกดริมฝีปากให้ลึกลงให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ดึงขึ้นลง ตวับลิ้นไปพร้อมในที "น้ำชา พี่รักน้ำชานะครับ พี่รักน้ำชานะ"

"อ็อก" ผมถูกกดศีรษะลงจากความต้องการของชายร่างใหญ่ ปลายของดุ้นที่กำลังแข็งตัวอย่างเต็มรักแนบสนิทกับคอหอย

ไม่เป็นไร แค่นี้ผมทำเพื่อเค้าได้

แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรแล้วความเป็นห่วงเป็นใยของพี่เค้าที่ีมีต่อตัวเรา ก็ไม่อาจฝืนเห็นเราตกอยู่ในภาวะลำบากได้นาน

เมื่อผมถูกผละให้ถอนริมฝีปากออกมา คนทั้งสองก็ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของกันและกันอย่างชัดเจน

ผมถูกทำให้นอนลงอีกครั้ง พร้อมจูบครั้งที่สาม อันเป็นสัญญาณของขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

"ให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำชานะครับ" นั่นคือคำขอบนน้ำเสียงกระเส่าเครือของชายเบื้องบน "ขอพี่นะครับ"

"ครับ" ผมตอบทันที ตอนนี้ในหัว ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น แต่กลับรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ความรู้สึกที่สั่งสมมาถึงแปดปีก็เรียกร้องเช่นกัน

ขาสองข้างของผมถูกเลื่อนยกขึ้นมาและจากความช่วยเหลือของผมด้วย

ผมสัมผัสได้ว่ามีน้ำหล่อเลี้ยงอ่อนๆหลั่งออกมาจากปลายดุ้นแข็งนั่น มันถูกละเลงสาละวนที่ช่องแคบของผมด้วยความพยายามที่จะแทรกตัวเข้ามาสัมผัสภายในกายของผมให้ได้

"อะ..." แต่ถึงแม้จะมีไฟรักและความปรารถนามากเพียงใด แต่การรับท่อนเอ็นขนาดใหญ่แบบนั้นเข้ามาในกายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความเจ็บเริ่มกลืนกินความรู้สึกเสียวซ่านที่เคยแผ่กระจายอยู่ทั่วตัว

"ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะครับ" เสียงแห่งความหวังดีกระซิบเบาๆที่ข้างหูของผม ทำให้กล้ามเนื้อที่เคยเกร็ง ผ่อนคลายลง

ดุ้นจากร่างแกร่งหนาถูกดันเอามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

"อ่าาาา" ผมไม่อาจกลั้นเสียงไว้ได้ เพราะความเจ็บที่คล้ายว่าโลกถูกฉีกออกจากกัน

แต่เพราะอย่างนั้นพี่ตองจึงกดริมฝีปากลงมาแนบกับริมฝีปากของผมอีกครั้ง ส่งความรู้สึกอันร้อนแรงที่ผมเผลอลืมมันไปเพราะความเจ็บปวด จุดให้ไฟของความต้องการโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง และเพื่อให้มันไม่หายไป ลิ้นอ่อนนุ่มนั้นก็เลื่อนลงไปที่หน้าอก สัมผัสจุดเสียวซ่านให้คืนกลับมาเช่นเดิม

เมื่อทั้งสองกายที่เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งมานาน ทั้งความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บจึงมลายสิ้นไปอย่างพิศวง

"พี่รักชานะ" คำหวานถูกโปรยมาอีกครั้งก่อนที่ความเคลื่อนไหวอันเป็นทุกอย่างของความรู้สึกจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

"อือออ... อืออออ..... อ่าๆๆๆๆๆ พ... พีี่ตอง พี่ตอง พี่ตอง" ผมเอาแต่เรียกชื่อของเค้า

มันช่างสุดจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ความรู้สึกแห่งสุข ความรู้สึกแห่งรัก ความสุขงอมของรักที่ออกมาเป็นการกระทำนี้ ช่างทำให้ความคิดในหัวของผมว่างเปล่า มันปลิวลอยไปไกลเหมือนไม่อาจคว้ากลับมาได้

ทุกๆการขยับของกายแกร่งใหญ่เบื้องบนได้มอบความรู้สึกที่แตกต่างจากที่เคยรู้สึกจากการกระทำกิจกรรมใดๆในโลกมาก่อน มันไม่ใช่ความสุขจนดีใจ ไม่ใช่ความทุกข์จนร้องไห้ แต่เป็นความรู้สึกเติมเต็มที่ไม่อาจปฏิเสธการตอบรับนี้ได้เลย

ทำไมเราถึงรู้สึกดีเหลือเกิน ทำไมเราถึงอยากได้จากเค้าอีก โปรดขยับอีก ขยับให้มากกว่านี้ มอบความรู้สึกมาให้กับร่างกายของผมมากกว่านี้อีก

"พ.. พี่ อิ อิ อิ ต.. ต... ตองงงง..งงง" พลังแห่งความปรารถนาของพี่ตองช่างตอบรับกับความต้องการเบื้องลึกของเราเหลือเกิน การขยับร่างกายที่เร็วแรงต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงนี้ ช่างจับจิตใจของเราได้อย่างอยู่หมัด ประหนึ่งว่าอยากจะอยู่แบบนี้ อยู่อย่างนี้ ตลอดไป

เมื่อคนข้างบนหอบเหนื่อยกับการขยับกายไม่รู้หยุด ก็หันเหมาสร้างความรู้สึกผ่านรอยจูบแทน แต่กายเบื้องล่างก็ไม่ถูกถอนออก ยังคงขยับช้าๆเนิบๆเหมือนคนที่ยังหิวกระหายไม่รู้อิ่ม

ขาของผมถูกขยับออกไปด้านข้างเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากนั้นพอใจในรสหวานของอีกคนแล้ว

ด้วยกระบวนท่าที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ท่อนแข็งขืนที่กระหายสัมผัสนั้นยิ่งล้วงลึกลงไปในร่างของผมมากขึ้นอีก

"อ่าาาาาาาาาาาาา" เหมือนกับว่าเสี้ยนที่ตำเท้าถูกถอนออกอย่างหมดจด ประตูแห่งความรู้สึกในด่านที่สองคลายลง ความเสียววูบวาบยิ่งแผ่ซ่านจนเกินจะแบกรับไหว

มือเล็กๆของผมกำแน่นที่แขนของชายผู้อบอุ่นและมอบความรู้สึกนี้ให้

มันเอ่อล้นขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้น มากขึ้นอีก

"พ.. ตองงงง ชาไม่ไหวแล้ว ชาไม่ไหว ล... แล้ว" ผมสารภาพในความสิ้นหวัังที่จะต่อต้านความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นนี้ได้

ได้ยินผมพูดอย่างนั้นพี่ตองจึงใช้มือแกร่งหนาของเค้าคว้าที่จุดกึ่งกลางอันเป็นสัมผัสอ่อนไหวของร่างกายผม

มันช่างง่ายเหลือเกินที่จะตอบสนองต่อสัมผัสนี้ ผมกำลังจะหลั่งความรู้สึกที่ถูกเก็บกดไว้ทั้งหมดออกมา

"ไม่ไหวแล้ว ม.. ไม่ไหวแล้ว" พี่ตองเองก็มาถึงสุดปลายอุโมงแล้วเช่นเดียวกัน

พี่ตองเร่งจังหวะการขยับร่างกายให้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายอีกครั้ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำให้ผมได้ปลดปล่อยมันออกมาพร้อมกัน

"ให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของชานะ ให้พี่ปล่อยข้างในนะ...ค..ครับ" นั่นคือคำขอร้องที่ผมมิอาจปฏิเสธ

"ค..ครับ ครับ" ผมต้องการมัน ผมต้องการให้พี่เป็นส่วนหนึ่งในนั้น

ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ววววววววววว



เหมือนว่าโลกทั้งใบทลายลงต่อหน้า ประหนึ่งได้มองเห็นพลุแตกกระจายยิ่งใหญ่ในงานฉลอง

ความรู้สึกของผมพลั่งพลูออกมาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน และเช่นเดียวกันกับสัมผัสภายในร่างกายของผมที่แบกรับการหลั่งไหลของความรู้สึกคนอีกคนไว้

ช่างเป็นการปลดเปลื้องที่แสนหวานเหลือเกิน........







ในมุมของนายตอง





ผมไม่อาจปฏิเสธความสุขที่เพิ่งจะจบลงไปได้เลย

น้ำชาลุกไปเข้าห้องน้ำแล้ว แต่ผมยังพยายามที่จะมองหาเค้า ทั้งที่ผ่านช่วงเวลาสุดร้อนแรงในชีวิตมา แต่ทำไมผมถึงยังอยากกอดเจ้าตัวเล็ก อยากสัมผัส อยากได้กลิ่น อยากได้ยินเสียงอันชวนให้หลงไหลนั่นอีก

ตัวผมที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงอันไร้ระเบียบ ยังได้กลิ่นเนื้อตัวของคนที่ผมเพิ่งจะรับและมอบความรักให้เค้า มันคละคลุ้งเต็มตัวของผมไปหมด

ผมต้องการอีก

​ในที่สุดผมก็ทนแรงปรารถนาของตัวเองไม่ไหว ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องน้ำที่สุดฝั่งของอีกห้อง

"เข้ามาทำไมอ่ะ" น้ำชาตกใจทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา

"พ..พี่ ทนไม่ไหวแล้ว" ผมสารภาพ และเข้าไปกอดเค้าอีกครั้ง ทั้งๆที่น้องกำลังจะก้าวลงไปในอ่างแล้ว

"ด..เดี๋ยว...."

แต่ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ผมกดริมฝีปากตัวเองอย่างหิวกระหายลงไปที่ริมฝีปากแสนหวานนั้นอีกครั้ง และมันยังหวานไปคลาย หวานจนผมอยากจะกลืนกินไปทั้งหมด

ผมค่อยๆพาร่างเล็กๆของคนที่ต้องมนสะกดของผมลงไปในอ่าง ซึ่งผมเองก็ตกอยู่ในพะวังของเค้าเช่นกัน

ผมจัดท่าให้แผ่นหลังอันเนียนนุ่มแต่มีกล้ามเนื้อน่าสัมผัสนั้น นอนแผ่ไปกับขอบกว้างของอ่างน้ำ และยกขาเล็กๆทั้งสองข้างขึ้น เผยให้เห็นช่องสวาทเนียนละเอียดที่ผมเพิ่งจะถอดกายออกมาจากมัน

ผมลงลิ้นสัมผัสไปที่จุดนั่น ผมไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย แต่กลับอยากรับรู้ทุกรสชาติในตัวของน้ำชา คนที่ทำให้ผมตกอยู่ในห้วงราคะแบบถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้ยินเสียงครางกระเส่าอันแสนดึงดูดจากยอดดวงใจของผมอีกครั้ง ลิ้นของผมยิ่งซุกซนหนักขึ้น เพื่อปลุกแรงเร้านั้น

"พ.... พี่ตอง ทำอีก ทำอีกได้ไหม"

ไม่ต้องบอกพี่ก็จะทำอยู่แล้ว

แต่น้ำเสียงเชิญชวนนี้จะยิ่งปลุกอารมณ์ให้ผมสามารถสร้างรอยรักอันร้อนแรงได้ไม่รู้จบสิ้น

และเมื่อกิจกรรมรักของเราเกิดขึ้นบนอ่างจากุซซีอีกครั้ง มันก็ไม่ยากที่จะเกิดอีกครั้งบนเตียง บนพิ้นห้อง และสักที่หนึ่งที่ผมเลิกสนใจ..........









ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในช่วงสายของวัน ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลับลงไปตอนไหน

สุดท้ายแล้วทั้งผมและน้ำชาก็ไม่ได้สวมใส่อะไรเลย อันเป็นการดูถูกความหนาวเย็นเบื้องนอกอย่างที่สุด

น้ำชาหลับสนิทบนอ้อมแขมของผม เค้าช่างน่ารัก น่าสัมผัส น่าเป็นเจ้าของ

ผมก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาไม่ใช่น้อย สาวๆหลายคน ตกเป็นทาสรักของผมหลังกิจกรรมแบบนี้จบลง และมันก็ทำให้ผมสิ้นความปรารถนาในตัวพวกเธอแทบจะทันทีเช่นกัน แต่ผิดกับเจ้าตัวเล็กคนนี้ ผมไม่รู้สึกสิ้นหวังแรงปรารถนาลงเลยแม้แต่ตอนที่เพิ่งตื่นมาพบเจอหน้าของเค้าอีกครั้งแบบนี้

"พอแล้วนะ" อ้าว น้ำชารู้ตัวแล้ว เจ้าตัวเล็กค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างหมดแรง "ชาไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวขึ้นเครื่องกลับไม่ไหว"

"อีกแค่ครั้งเดียวไม่ได้เหรอ" ก็ผมยังอยากได้ตัวเค้าอีกนิ "นะ นะ นะน้าาาา"

น้ำชาถอนหายใจ



"งั้นรอกลับไปที่มหาลัยก่อนนะ"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:56:07 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 19 :  ลงโทษ





ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ใครวะ

ผมเดินไปเปิดประตูอย่างอ่อนเพลียในเฃ้าอันอ่อนแรง หรือบางทีนี่ผมอาจจะเดินละเมอมาเดินซ้ำ



"เจ็ดโมงแล้วมึง จะไปเรียนไหม"

ไอ้เพื่อนต้อมสารเลวของผมนี่นา "เออ"

"เออ อะไร จะไปเรียนไหม กูจะได้รอไปส่ง หรือจะรอผัวมึงไปส่งครับไอ้น้องน้ำชา"

"ไอ้สัด" แซวแรงไปแล้วนะไอ้เวร "พี่ตองไม่มีเรียนวันนี้ แล้วมึงดูดิ ยังไม่ตื่นเลย" ผมถอยให้ไอ้ต้อมดูสภาพนอนแอ้งแม้งของพี่ตองที่อยู่บนเตียง

"โอ้โห จัดหนักอีกแล้วเหรอวะ ที่เกาหลีกูก็ได้ยินมึงซัดกันทั้งคืนแล้วนะ กลับมายังมีต่ออีกเหรอ"

"พอเลยมึง" เพราะมึงนั่นแหละ ทำให้กูโดนไปด้วยเลย พอๆ เปลี่ยนเรื่องๆ มาแซวกูแต่เช้าเลย "ไปๆๆ อีกครึ่งชั่วโมง"

ผมเดินเข้าไปหาร่างของคนที่นอนหลับสนิท ไม่รู้ว่าไปเหนื่อยมาจากไหน ทั้งๆที่กลับมาก็แถบจะหลับสนิทกันทั้งคู่ แต่ก็ดีแล้วหละ ไม่งั้นผมอาจจะเจองานหนักอีกรอบก็ได้



หึ

ทำไมรู้สึกว่ามีความร้อนแปลกๆแถวๆนี้

เห้ยยยยย

พี่ตองป่วยนี่นา ผมเอามือไปสัมผัสที่หน้าผากทันที



"พี่ไม่เป็นครับ" อ้าว ตื่นอยู่หรอกเหรอ

"ตัวร้อนแบบนี้ไม่เป็นไรได้ไง ไปหาหมอไหม"

"อย่าเลย แค่กินยาก็พอ วันนี้ไม่มีเรียนด้วย บ่ายๆก็ดีขึ้นแล้ว"

"ใช่เรื่องไหมเนีย ต้องมาทนป่วย"

"พี่ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ยังมีแรง ทำ... อะไรๆกับชาได้เยอะเลยนะ"

"ปากดีนักนะ" ผมพยายามจะแกล้งตีปาก แต่ก็โดนรวบให้ไปกอด

แต่จากเรี่ยวแรงก็รู้ได้เลยว่า นี่ท่าจะป่วยเอาเรื่องอยู่

"ไม่ไปหาหมอแน่นะ เดี๋ยวชาบอกให้ไอ้ต้อมพาไปก็ได้ ไม่ลำบากหรอก"

"งั้นพี่ขอทานยาก่อนได้ไหม ถ้าบ่ายยังไม่ดีขึ้น พี่จะไปหาหมอ"

"...." ผมออกจากกอดอ้อมแล้วเดินไปหยิบยาพาราและน้ำ "ถ้าไข้ไม่ลด ต้องไปหาหมอนะ"

"ครับบบบบ"



หลังจากพี่ตองทานยาและหลับต่ออย่างง่ายดาย ผมก็เตรียมตัวเพื่อเข้าเรียนภาคเช้า

การเรียนวันนี้ผมค่อยข้างตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะยาก แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่า ไม่ตั้งใจเรียน ที่สำคัญ อาจจะมีอะไรสำคัญบางอย่างไปใช้สอนพี่ตองด้วย



"อิชาาาาาาาา" อิเจสซี่ลากเสียงเรียกผมหลังเรียนจบภาคเช้า

"อะไรของมึง"

"มึงไปทำอะไรที่เกาหลีมา สารภาพกับพวกกูมาซะดีๆ"

หึ พวกมันรู้อะไรวะ รู้แค่ไหน

"พี่ตองของพวกกูเสร็จมึงไปแล้วใช่ไหม"

เอาแล้วววว พวกมันรู้ได้ไงวะ ไอ้ต้อมไม่น่าจะเป็นคนโพทนาแน่ๆ ไม่ต้องพูดถึงขิงเลย

"อึ้งอะไรค่ะ" อิเล็กเสริม พร้อมโชว์ภาพจากในมือถือให้ผมดู

เห้ยยยยยยยยยย

นี่มันรูปที่พี่ตองนั่งคุกเข่าต่อหน้าผมที่เกาหลีนี่นา

"ไปเอามาจากไหนอ่ะ" ผมพยายามแย่งมือถือของอิเล็กมา

"ไม่ต้องแย่งกูค่ะ เค้ามีกันหมดทั้งมหาลัย นี่ค่ะๆ แหกตาดูนะคะ นี่มันเว็บไซต์ท่องเที่ยวกรุงโซล ไม่ใช่แค่มีในมหาลัยนี้นะ มีกันทั้งโลกค่ะ"

ชิบหายแล้วกู

"มึงๆ แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ พี่ตองเค้าให้ดอกไม้มึงทำไม เค้าขอมึงแต่งงานเหรอ โรแมนติกไหมมึง" วาวา สาวน้อยโลกสวย หยุดความคิดของเธอไว้เพียงเท่านั้น

"เว้อไปแล้ววาวา แค่..." แล้วเรื่องอะไรกูต้องมาเล่าวะ "......"

"หยุดอ้ำอึ้งไหมมึง" อิเจสซี่ด่าผม "นั่นมันสามีแห่งชาติ พวกกูก็เคยสนับสนุนมึงมาก่อน เพราะฉะนั้น แผ่เมตตามาค่ะ"

"อยากรู้ขนาดนั้นเลย... กูขอพี่เค้าเป็นแฟน"

ช็อกอะดิ หึหึหึหึ เอาไปแค่นี้ก่อน

"ไปแดกข้าวได้"

"พี่ตองงงงงงงงงงงง" อะไรอีกกกก ไม่จบหรือไงพวกมึงเนี่ย

"ครับ"

หือ??? เสียงใครข้างหลัง

"พ... พี่ตอง" มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย

"หิวข้าวจัง" ไม่ต้องมาทำยิ้มหวานเลย

"หายป่วยแล้วเหรอ" ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของคนตัวสูงตรงหน้าทันทีโดยลืมไปเลยว่ามีเพื่อนๆอยู่รอบตัว ชักมือกลับทันไหมเนีย

"หายแล้วซิครับ" ไม่ต้องมาโปรยเสน่ห์เลยไอ้พี่ตอง อินังสามตัวนี่ก็เหลือเกิน จะทำหน้าฟินไปไหน "ไปกินข้าวเถอะ พี่หิวสุดๆ จนจะกินน้ำชาได้ทั้งตัวอยู่แล้ว"

"หยุดพูดแบบนี้เดี๋ยวนี้เลยนะ ใช่เรื่องไหม"

"แหมมมม อิชา" อิเจสซี่ผลักผมออกจากสายตาพี่ตอง "เล่นตัวนะมึงอ่ะ พี่ตองงง ถ้าอิชาทำให้พี่ตองต้องขุ่นเคืองพระราชหฤหัย โปรดเอาความเกรี้ยวกราดนั้นมาลงที่เจสซี่ก็ได้นะคะ"

"อี สม เจต" มึงกล้าอ่อยพี่ตองต่อหน้ากูเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้ว

"อ๊ายยย เจสซี่ กูชื่อเจสซี่ ถ้ามึงเรียกกูว่าส.... อ๊ายยย อิชา อิเลว ดูซิพี่ตอง เจสซี่ถูกอิชามันทำร้ายด้วยวาจาร้ายกาจ พี่ตองต้องลงโทษมันให้เจสซี่นะคะ"

ยังจะเกาะแขนอีก คราวนี้จะไม่ใช่ชื่อมึงแล้วนะ ชื่อพ่อมันคืออะไรวะ

"ไม่ต้องห่วงครับน้องเจสซี่" อะไรของไอ้พี่ตองวะ ออกจากการเกาะแกะของอิช้างมากอดคอผมเฉยเลย "พี่จะลงโทษน้ำชาให้สาสมทั้งคืนเลย"

"ขอเล็กร่วมเป็นสักขีพยานการลงทัณฑ์ครั้งนี้ได้ไหม เล็กจะไม่..."

"พอออออออ" ไปกันใหญ่แล้ว หยุดๆๆๆๆๆ "แดกข้าวนะ ไปแดกข้าว ก่อนที่จะเข้าห้องเชียร์สาย ก่อนที่จะโดนหักคะแนนกิจกรรม Go"

"โหดจังแฟนเรา"

ยังจะมาหยอดกูอีก ขอฮุคเข้าซิกแพ็คอันภาคภูมิใจของมันซะทีเถอะ

"อุ๊ค ทำไรอ่ะ พี่เจ็บนะชา"

"ดีไง จะได้จำ เที่ยวพูดไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นได้ไง"

"ก.. ก็พี่พูดจริงนี่นา คืนนี้.... โอ๋ๆๆๆ ยอมแล้วครับคุณแฟนหมัดหนัก"

หมดคำจะพูดแล้ว

อย่าอยู่นานกว่านี้เลย ไม่งั้นได้แพ้สายตาเจ้าชู้นี่แน่ๆ กินข้าวดีกว่า



"เอาหละคะ วันนี้จะเป็นวันทบสอบท่าเต้นเพลงบุษราคัมตามที่เราตกลงกันไว้เมื่อวันศุกร์นะ หวังว่าทุกคนจะซ้อมมาเป็นอย่างดี"

ห๊ะ พี่แอมพูดถึงไรวะ

"วันศุกร์มีท่าเพลงใหม่" สุ่ยรีบกระซิบบอกผม "ใจดีมาจากไหนไม่รู้ สอนจนจบเลย บอกว่าวันนี้จะทดสอบด้วย ใครผิดโดนลงโทษนะ"

นี่กูไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ใช่ๆๆๆ ผมรู้ว่าคุณอ่านอยู่ คุณรู้ดี ผมไปเกาหลีสุดสัปดาห์ มีสอนท่าเต้นในวันที่ผมไม่อยู่ และทดสอบเพื่อลงโทษ

"ก่อนเราจะเริ่มทดสอบกัน พี่มีเรื่องต้องแจ้งนะ สำคัญด้วย การได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำเชียร์ของคณะแล้ว อาจจะแปลว่าได้รับสิทธิในการเข้าคัดเลือกเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย แต่... หากถูกหักคะแนนต่ำกว่าครึ่งในการประเมินของประธานลีดคณะนั้นๆ นอกจากจะถูกลงโทษด้วยการยืนการ์ดแล้ว ผู้นำเชียร์คนนั้นก็จะไม่มีสิทธิในการเข้าคัดเลือกด้วย"

ชัดเจน พี่แอมยังแค้นฝังหุ่นกับผมอยู่

"ผมมีคำถามครับ" แล้วก็อย่าคิดว่าผมจะนิ่งเฉยนะ "ผมยังไม่รับการฝึกสอนเพลงบุษราคัมจากพี่ปีสอง ต้องร่วมทดสอบด้วยไหมครับ ผมถูกส่งไปทำงานของ...."

"การทดสอบมีทั้งสิ้นห้าหัวข้อ" นี่ฟังผมอยู่หรือเปล่า หรือกำลังพูดเฉยๆ เห็นผมอยู่ในสายตานิดนึงก็ได้นะ "บุคลิกภาพ ทัศนคติ ทักษะ วินัย และเสน่ห์ วันนี้เป็นการทดสอบเรื่องทัศนคติ ทักษะ และวินัย​ และถ้าทุกคนยังจำได้ เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาก็เป็นหนึ่งในการประเมินเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ไม่มีรุ่นพี่ปีสองคนไหนสอนให้ ก็ยังมีบางคนที่ทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ มันจึง.... ทำให้... ทุกๆคน ต้องเข้าร่วมการประเมินทุกครั้ง ตามกฎของทุกๆปี ใช่ไหมพี่พลอย"

"ค่ะ" พี่พลอยดูจะกระอักกระอ่วนที่ต้องตอบ เธอคงอยากจะโต้แย้งเช่นกัน แต่พี่แอมกำลังอ้างเรื่องกฎ

ให้ตายเหอะ กูจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง

ครั้งนี้ไม่มีโชคช่วยแล้ว

"แต่เพื่อความโปร่งใส" จากการกระทำของพี่เนีย มันโปร่งใสตรงไหน "เราจะมีตารางคะแนนให้ทุกคนได้ตรวจสอบเสมอ" เธอเดินไปเปิดผ้าคลุมบอร์ดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างๆห้องซ้อมออกมา

อ๋อ ของเล่นใหม่



ธชานา ธนกฤษ

บุคลิกภาพ 6

ทัศนคติ 8

ทักษะ 9

วินัย 10

เสน่ห์  3​

​รวม 36 เต็ม 50



"หวังว่าจะไม่มีใครถูกหักคะแนนในวันนี้นะ ทดสอบเป็นคู่นะคะ" ห๊ะ "และหักคะแนนเป็นคู่ๆไป ตามตำแหน่งที่ยืน"

ซวยแล้ว งานนี้

"สบายใจได้ ดูเราเต้นให้ดีๆก็แล้วกัน"

ไม่ด้ายยยยยย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นลีดเหมือนเกตุนะ ที่จะเห็นปุ๊บเต้นได้ปั๊บ

"อีกห้านาทีนะคะ เริ่มที่คู่กลางก่อน"

คู่กูอะดิ

นี่มันแกล้งกันแบบชัดเจนไปไหม ที่สำคัญ อาจจะทำให้เกตุซวยไปด้วย

เอาไงดีๆ



"แอมกำลังแกล้งชาอยู่" พี่ตองเดินเข้ามาพูดกับผม

"....." ไม่ต้องบอกหรอก "ชาขอไปซ้อมก่อนนะ ห้านาทีก็ยังดี"

"ครับ"

เพราะวันนี้พี่ตองไม่มีเรียนจึงมานั่งเฝ้าผมซ้อมที่คณะวิทย์ได้ แต่ผมก็ให้อ่านหนังสือเลข ม.1 ไปพลางๆ อ่านถูกแล้ว ม.1 นั่นแหละ เพื่อปูพื้นฐานใหม่

ไม่คิดว่าจะมีเรื่องมาทำให้พี่เค้าเสียสมาธิแบบนี่้เลย



"เกตุ ช่วย..."

"คู่แรกมาเลยค่ะ"

ห๊ะ ไหนบอกห้านาทีไง นี่ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ยังไม่ทันออกปากให้เกตุช่วยบอกท่าเต้นให้เลย

"ใจเย็นไว้ ดูเราเต้นให้ดีๆ" เกตุยังคงให้กำลังใจผม

เอาวะ



"พร้อมนะคะ นี่เป็นพี่เชียร์จากห้องเชียร์ของคณะเรา ชื่อ พี่น้อง จะมาช่วยร้องเพลงบุษราคัมที่ถูกต้องให้ฟัง" พี่แอมแนะนำพี่ผู้หญิงร่างท้วมที่มาใหม่

"สวัสดีครับ/ค่ะ" ผมและเกตุกล่าวสวัสดี

"เอาการ์ดขึ้นค่ะ" พี่แอมสั่งและให้สัญญาณเริ่ม "สาม... สี่"



​บุษราคัมสูงค่าเลิศล้ำแพรวพันราย....

​นั่นคือท่อนเดียวของเพลงที่ผมได้ยิน สมาธิที่เหลือใช้ไปกับการจ้องท่าเต้นของเกตุ และพยายามทำตาม

นี่มันไม่ง่ายเลย ท่าเต้นอาจจะดูพื้นๆ แต่การต่อท่าและรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผมประหม่า ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหายใจหรือเปล่าตอนนั้น

.....ในบุษราคัม

​ห๊ะ จบแล้วเหรอ ท่าการ์ดเหมือนเดิมถูกซินะ คงไม่แย่มากนะ



พี่แอมยืนดูต่อหน้าห่างออกไปสองสามก้าวด้วยสายตาว่างเปล่า พี่ๆลีดเดอร์คนอื่นก็ได้แค่ยืนเฉยๆ

"เกียรติของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ คือ เราได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมัณฑนา ไม่คิดว่า ต้องมาถูกทำให้เสื่อมเสียวันนี้" นี่คงเป็นคำพูดที่คิดมาจากบ้านแล้วซินะ ทั้งสวยหรูและถากถางในเวลาเดียวกัน "เป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่จะไม่ให้ความไม่มีวินัยนี้ หลุดรอดออกไปสร้างความเสื่อมเสีย"

"ผมเข้าใจน...."

"คู่ต่อไปมาได้"

นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว ดูเหมือนเธอจะเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี โชคคงไม่เข้าข้างผมอีกครั้งในวันนี้

เกตุเดินออกไปจากห้องด้วยตาอันแดงก่ำ ผมรู้ในทันทีว่าเธอย่อมเสียใจ เกตุเต้นได้ดีและเห็นได้ชัดว่าซ้อมมาเยอะ แต่ผู้หญิงคนที่กุมอำนาจของผู้นำเชียร์คณะวิทนาศาสตร์ไว้ ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรได้ง่ายๆ

ต้องทำยังไงดี



การทดสอบของอีกห้าคู่ที่เหลือเกิดขึ้น ผมได้แต่ยืนมอง ถ้าได้เต้นหลังจากพวกเค้า คงจะพอมีอะไรที่ทำได้บ้าง แต่นี่ก็คงเป็นอีกแผนหนึ่งที่พี่แอมวางเอาไว้

พี่ตองก็ดูจะไม่สบายใจพอๆกัน ซวยจริงๆ



"มารวมกันได้ทุกคน" พี่แอมเรียกอีกครั้ง "ยังมีหลายจุดที่บกพร่อง และบางจุดก็มากกว่าบกพร่อง คงต้องมีการสอนเพิ่มเติมในวันนี้ ยังไงเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ใช้ในการแข่งขัน พี่คงปล่อยผ่านไปไม่ได้ และที่สำคัญ คงต้องมีการแก้ไขคะแนนเล็กน้อย" เธอเดินไปแก้คะแนนต่อหน้าทุกคน

ธนาชา ธนกฤษ

ธชานา ธนกฤษ

บุคลิกภาพ 6

ทัศนคติ 5

ทักษะ 7

วินัย 4

เสน่ห์  3​

​รวม 25 เต็ม 50



​นี่ซินะ เป้าหมายที่แท้จริงของวันนี้ เพื่อหยุดผมไม่ให้เป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยกับพี่ตอง อีกแค่คะแนนเดียวเท่านั้น แต่มันดันเกิดผลกระทบด้วยนี่สิ



เกตุวลี  โพธิ์สุวรรณ

บุคลิกภาพ 8

ทัศนคติ 4

ทักษะ 4

วินัย 2

เสน่ห์  7

​รวม 25 เต็ม 50



เธอร้ายกาจจริงๆ คะแนนทัศนคติ ทักษะ และวินัยของเกตุถูกหักลงด้วย

"กฎก็คือกฎ"

นอกจากไอ้ต้อมที่ผมด่ามันว่าสารเลวแล้ว ก็มีผู้หญิงคนนี้แหละที่ผมอยากจะใช้คำนี้ด้วย แต่ในน้ำเสียงที่จริงจังนะ

"และด้วยเหตุนี้ ทำให้เราต้องมีการลงโทษรวมด้วยการยืนการ์ด" ระหว่างที่หัวหน้าลีดเดอร์จอมโหดกำลังพูด เกตุก็น้ำตาไหลออกมา ผมอยากจะปลอบนะ แต่กำลังอยู่ในระเบียบ "พี่รวมมาให้แล้ว ทั้งหมด 1,500"

​บ้าไปแล้วววววว

​แค่สองสามร้อยก็มากพอแล้วที่ร่างกายมนุษย์จะรับไหว

"ผมขอรับผิดชอบเองครับ" กูจะไม่นิ่งนอนใจ อยากจะลงโทษ มาลงโทษกูนิ อยากพาลคนอื่น "สำหรับของทุกคน"

"เรามีกฎนั่นไหมพี่พลอย" เธอยังคงมีน้ำเสียงสบายใจ แต่สายตาซะใจที่สุด

"มี" พี่พลอยตอบ "แต่ต้องคูณด้วยจำนวนของคนที่จะช่วยรับผิดชอบทั้งหมด"

1,500 x 6 = 9,000

ใช่ เลขมันมาก แต่กูจะไม่ให้ใครต้องมาเดือดร้อนด้วย ต้องทำให้ได้ ต้องไม่ยอมแพ้

"ทั้งหมดคือยืนการ์ดเก้าพัน จะทำใช่ไหม"

"ทำครับ"

"งั้นผมของหารครึ่งด้วยก็แล้วกัน"

"........" พี่ตอง พูดอะไรของพี่เนีย หารครึ่งได้ที่ไหนกันเล่า

"หารสาม ผมขอใช้สิทธิ์ด้วย หารสามครับ" พี่บุ๋นก็ด้วย "ลีดมหาลัยมีสิทธิ์รับโทษแทนน้องลีดปีหนึ่งคณะไหนก็ได้ใช่ไหมเพื่อนตอง และน้ำชาเป็นน้องของบุ๋น คงไม่ขัดข้องที่จะทำตามกฎนะประธานแอม"

"หนูก็จะไม่ให้น้ำชาต้องถูกลงโทษคนเดียวค่ะ พี่ๆสอนเสมอว่าให้ทำงานเป็นทีม หนูเอาด้วย" เกตุผู้แข็งแกร่ง เธอเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำเชียร์ที่แท้จริง

"ผมด้วยครับ" "หนูด้วยค่ะ"

ทุกคน

ให้ตายเหอะ อย่าร้องไห้ออกมานะกู

"พลอยด้วยคน" พี่พลอยว่าไงนะ "ลีดคณะมีสิทธิ์รับโทษแทนน้องลีดคณะตัวเอง ตามกฎเหมือนกัน"

"เราด้วย" "เราด้วย" ....

ตอนนี้พี่ผู้นำเชียร์ปีสองที่อยู่ในห้องซ้อมทุกคนอาสาถูกลงโทษพร้อมน้องๆทั้งหมดเลย ยกเว้นประธานคนเดียวนั่นแหละ

มันเป็นความรู้สึกจุดอกที่อึดอัดแต่กลับรู้สึกดีและอยากขอบคุณทุกคนจริงๆ

"ตอนนี้เรามีกัน 30 คน" พี่ตองบอกพี่แอม "จากคำสั่งลงโทษเดิมของแอม ก็เหลือ 300 ถูกไหม"

"......" พี่แอมกำลังยืนมองทุกคนในสีหน้าของผู้ดี แต่ก็โกรธและเสียหน้า "งั้นก็เอาซิ 300 ทำให้ครบละ"

"หนึ่งครับพี่แอม" พี่ตองเริ่มเป็นหัวเสียงในการนับ

"สองครับพี่แอม" ตามด้วยผม

และคนอื่นๆต่อไป นี่ซินะทีมเวิร์คและความสามัคคี

จริงๆต้องขอบคุณพี่แอมนะที่ทำให้เราทุกคนรู้ว่าความสามัคคีคืออะไร หากเราต้องต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน



"สามร้อยครับพี่แอม"

การนับครั้งสุดท้าย ทุกคนตะโกนพร้อมกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกให้ยืนการ์ดมากถึงสามร้อย เป็นสถิติสูงสุดที่รุ่นพี่ทั้งหมดเคยสั่งมาในรอบหลายปี ถึงแม้ว่าทุกคนจะช่วยกันแต่ก็กินเวลาไปกว่าสี่สิบนาที ตอนเอาแขนลงรู้สึกเหมือนจะยกมันขึ้นไม่ได้อีกนานเลยด้วยซ้ำ

เสียงบ่นงึมงำของผู้รับโทษดังขึ้นทันที



ตุ๊บ

​เห้ยยยย

"พี่ตอง พี่ตอง" ผมแทบจะถลาลงไปคว้าตัวคนตัวสูงข้างๆ

พี่ตองตัวร้อนขึ้นอีกแล้ว ผลจากการฝืนใช้ร่างกายแน่นอน

"พ...พี่ตอง" ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย เพราะเขาไม่ได้สติเลย แถมยังหายใจหอบพ่นไอร้อนออกมาไม่หยุด

"ตองเป็นไรเนีย" พี่บุ๋นถลาเข้ามาเช่นกัน "เห้ย ตัวร้อนนิ มาช่วยยกตองหน่อย รถบุ๋นจอดข้างนอก ต้องพาไปหาหมอด่วนเลย"

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครมาช่วยบ้าง แต่พี่ๆกันผมออกมาหมด

"ผมจะไปด้วยๆ" ผมร้องลั่น

"ไม่ได้ๆ" พี่บุ๋นคว้าตัวผมไว้ ในขณะที่ร่างของพี่ตองถูกพาออกไป "เอ็งต้องซ้อมต่อ ไม่งั้นจะถูกหักคะแนนลงอีก"

"ผมไม่สน"

"เอ็งต้องสนดิ ตองมันทำเพื่อเอ็งนะที่โดนลงโทษเนีย พี่ก็ด้วย ไม่ต้องห่วง พี่ก็เพื่อนมัน อดทนซ้อมแค่ชั่วโมงเดียว เดี๋ยวก็จบแล้ว"

ไม่รู้ซิ จะให้ผมทิ้งพี่ตองเนี่ยนะ ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย

"เชื่อพี่ ขอร้อง"



"รบกวนหน่อยครับ"

อะไรอีกวะ หลังจากที่พี่ตองถูกหามออกไป ก็มีคนใหม่เข้ามาแทน

​พี่ท๊อป

​"ก.น.ช." พี่บุ๋นเอ่ย

ก.ก.น. หรืออะไรนะ แล้วพี่ตองไปยังไงมายังไง

"มาก็ดีแล้ว" พี่บุ๋นแทบจะพุ่งตัวใส่พี่ท๊อปทันที อะไรกันวะ ปรับอารมณ์ไม่ทัน "นี่มันห้องเชียร์นะครับ ไม่ใช่ห้องซ้อมที่เกาหลี หน้าที่ตอนนี้คือ ก.น.ช. ช่วยทำตัวให้สมกับหน้าที่ด้วย หวังว่าคงไม่มีเหตุผลเลี่ยงงานอีกนะ เพราะว่าการทำงานที่บกพร่องของพวกคุณทำให้เพื่อนของผม ต้องเข้าโรงพยาบาล" แล้วพี่บุ๋นไปโกรธพี่ท๊อปมาจากไหน เดินชนไหล่ออกจากห้องซ้อมไปเลย แต่ก็ดีแล้วหละ เพราะพี่เค้าต้องพาพี่ตองไปโรงพยาบาล

"จะไปไหนน้ำชา" ผมยังไม่หยุดความพยายามที่จะตามพี่ตองไป "พี่มีสิทธิหักคะแนนนะ ถ้าโดดกิจกรรมห้องเชียร์"

อะไรอีกวะ นี่มันกำลังเสริมของพี่แอมหรือไง

"วันนี้พี่จะมาทำหน้าที่ของพี่ และแนะนำตัวกับน้องๆทุกคน ช่วยกลับไปรวมตัวกันด้วยครับ"

เรื่องบ้าไรกันวะ โถ่เว้ยยยยยย



"สวัสดีครับน้องๆคณะวิทยาศาสตร์ทุกคน" พี่ท๊อปเริ่มแนะนำตัว "พี่เป็นตัวแทนจาก ก.น.ช.นะครับ หรือ คณะกรรมการควบคุมการรับน้องและการใช้สิทธิโดยมิชอบ เป็นหน้าที่ของพี่ปีสามที่เคยทำงานในตำแหน่งสำคัญเมื่อตอนที่อยู่ปีสอง เช่น ผู้นำเชียร์ พี่วินัย พี่เชียร์ พี่พยาบาล พี่เลือกมาที่นี่วันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีนะครับเพราะได้แนะนำตัวและ..." จู่ๆ พี่ท๊อปก็หันไปหาพี่แอม พี่แอมมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย "มีผู้ร้องเรียนการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมต่อประธานผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ แล้วก็ถ้าพี่เข้าใจไม่ผิด คงต้องนับการลงโทษเกินกว่าเหตุจนมีผู้ต้องเข้าโรงพยาบาล คือ..." พี่ท๊อปหันกลับมาและมองหน้าผม "จริงๆพี่ควรจะมาเร็วกว่านี้ แต่มัวไปหาเอกสารหลักฐานบางอย่าง เช่น การลาไปทำกิจการสำคัญของมหาวิทยาลัยและอื่นๆอีกนิดหน่อย.... ยังไงพี่ก็คงต้องขอเชิญตัวประธานลีดของน้องๆไปที่ห้อง ก.น.ช.หน่อยนะครับ  เชิญครับน้องแอม"

"...." พี่แอมไม่ตอบ แต่สีหน้านี้ของเธอ ทำให้ผมรู้สึกซะใจชะมัด เสียงปึงปังของการเดินของเธอก็ทำให้ผมรู้สึกดีด้วยเช่นกัน

"งั้นเราก็รู้จักกันแล้วนะ" พี่ท๊อปกล่าวอีกครั้ง "หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องการรับน้องเกินกว่าเหตุหรืออะไรที่ไม่เป็นธรรม โทรเข้าส่วนกลางของมหาวิทยาลัยได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ"

"ขอบคุณค่ะพี่ท๊อป" พี่พลอยกล่าวขอบคุณ และหันมาคุยกับพวกผมต่อ "เดี๋ยวพักก่อนนะเด็กๆ วันนี้มีเรียนการปรับบุคลิกภาพนะ รวมกันอีกทีหลังจากครูข้างนอกมาถึงนะคะ"



"พี่ดีใจนะ" อ้าว พี่ท๊อปยังไม่ไปอีกเหรอ พี่เค้ามาคุยกับผมที่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตู "ที่น้ำชามีเจ้าตองคอยดูแล ใช่ แฟนเราโทรไปหาพี่เอง สายตรงเลย เพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงนะ งานนี้จะมีคนถูกลงโทษแน่นอน" พี่ตองตบไหล่ผมเบาๆ แล้วก็จากไป



#เสียงโทรศัพท์

"ฮัลโหลชา ผมพิชิตเองนะ"

"ค...ครับ อาจารย์หมอ"

"ตองปลอดภัยแล้วนะ แค่เพลียเพราะไข้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"

"ขอบคุณครับอาจารย์หมอ"

ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งหน่อย



แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คลาสบุคคลิกภาพวันนี้ของผมมีสมาธิเท่าไหร่ เหมือนว่าตัวของผมตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ

พี่ท๊อปกลับมาพร้อมกับยืนยันอีกครั้งว่าพี่ตองปลอดภัย

เอาเถอะ ยังไงผมก็รอเวลาเลิกห้องเชียร์อยู่ดี



ทันทีที่ห้องเชียร์จบ พี่บุ๋นก็อาสาไปส่งผมที่โรงพยาบาล ระหว่างทางพี่เค้าก็เอาบ่นแต่เรื่องของพี่ท๊อป บอกว่า ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นรุ่นพี่จะด่าพี่แกให้หนักเลย แทนที่จะห่วงรุ่นน้อง กลับเอาแต่ไปเกาหลี

ผมถึงโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยได้ ก็วิ่งหน้าตั้งไปหาพี่ตองทันที



ทันทีที่เจอ คนร่างสูงยาวก็นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ไม่มีสายน้ำเกลือหรืออุปกรณ์พิเศษอะไร มีแต่พยาบาลคนหนึ่งที่สวนผมออกจากห้อง

"ไอ้พี่ตองบ้า" นั่นคือสิ่งที่ผมบ่นกับคนที่นอนหลับไร้สติ

"ก็บอกแล้วไง" หึ นี่จะมีสักครั้งไหมที่ผมจะได้เห็นไอ้บ้านี่หลับจริงๆ "พี่ไม่อยากรอชาอยู่บนหอคอยคนเดียว...



เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:57:34 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 20 : ก.น.ช. ปะทะ ประธานลีด





"ไหวแน่นะ"

"แค่นี้เอง ไม่ฝืนหรอกน่า... นะครับ"

นั่นคือคำแก้ตัวของคนตัวสูงตรงหน้าผม ก็รู้อยู่หรอกว่าหมอบอกว่าพี่ตองไม่เป็นไรมาก แต่ไอ้พี่ตองบ้านี่มันก็เหลือเกินจริงๆ มาออกรับโทษแทนผมซะได้ พอออกจากโรงพยาบาลได้ก็คะยั้นคะยอให้ติวให้อีก

"ถ้าปวดหัวก็บอกเลยนะ" ผมยังไม่วางใจ

"ถ้าไม่ติวตอนนี้พี่อาจจะสอบตกได้นะ แล้วพ่อก็พาพี่กลับไป แบบนั้น ไม่เอาดีกว่า พี่คิดถึงชาแย่เลย"

หยอดอีกแล้ว เดี๋ยวกูฮุคเข้าให้อีกหมัดหรอก

"จะทำร้ายพี่อีกแล้ว นี่มันในห้องส่วนตัวนะ ไม่มีใครได้ยินหรอก"

คือตอนนี้ ผมกับพี่ตองเลือกมาติวกันที่ร้านกาแฟหน้าหอพักของขิง เห็นไอ้ต้อมเคยเล่าให้ฟังว่ามันมาติวที่นี่บ่อยๆ เหมาะกับการติวหนังสือ



"อย่าไปกวนเค้าเลยน่า"

เสียงใครคุยอยู่หน้าห้องหว่า

ผมสงสัยอยู่ไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามา

"อั้นแน่ๆๆ" ไอ้ต้อม เพื่อนสารเลวของผมเอง มาพร้อมกับขิงลูกพี่ลูกน้องของผมที่มันแทบจะตัวผูกติดกันไปแล้วตอนนี้ "มาทำไรกันที่นี่อ่ะ เปลี่ยนบรรยากาศเหรอไอ้ชาเย็นนนนน"

"อยากโดนกูตบเกรียนใช่ไหมมึงอ่ะ" ผมเปิดศึกก่อนเลย

"โหดกับเพื่อนตลอด...  หวัดดีครับพี่ตอง มาทำไรกันอะพี่"

"มาติว" นี่ก็ตอบคำถามมันง่ายจัง ไอ้พี่ตองเอ๊ย

"พี่สอบผ่านแล้วไม่ใช่เหรอพี่"

"คือ.... ที่บ้านกูจะส่งคนมาทดสอบทุกๆสองอาทิตย์อ่ะ ไม่ติวคงตกชัวร์"

"อือหืออออ โหดสัดรัสเซีย... อ๋อ น้องน้ำชาก็เลยต้องมาติวให้พี่ตอง ใช่ไหมจ๊ะ"

"ส่วนมึง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องติวอีก" แซวกูนักใช่ไหม ต้องโดนกูจัดหนักบ้าง "มึงสอบผ่านไปแล้ว ขิงมีภาระการเรียนของเค้าที่ต้องรับผิดชอบ มึงอย่ามาอ้างว่าเป็นแฟนกัน เพราะมันไม่ได้หมายถึงการเอาอิสระไปจากญาติกู เข้าใจความเป็นจริงส่วนนี้ด้วย"

"......"

ไม่ได้เจอคนดุของจริงมากนานใช่ไหมมึงอ่ะ ไอ้เพื่อนต้อมสารเลว กูรู้จุดอ่อนมึงดี

"ไม่เป็นไรหรอกชา" ขิงออกรับให้ ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าขิงเป็นห่วงหน้าถอดสีของไอ้ต้อมมาก "ขิงก็ได้ทบทวนบทเรียนเหมือนกัน เอ่อ... ขิงไปติวดีกว่านะ อยู่ห้องข้างๆนะ"

ไอ้ต้อมเดินหน้าจ๋อยตามลูกพี่ลูกน้องของผมออกไป

"พูดแบบนั้นกับต้อมจะดีเหรอชา" พี่ตองถามทันที

"ก็มันแซวชาก่อนอ่ะ อย่างมันต้องโดนซะบ้าง"

"โอเคครับ ห้ามแซว ห้ามหยอด ไม่งั้นโดน เข้าใจแล้ว มาติวกันดีกว่า"

ดีมากที่เข้าใจ



ผมเริ่มสอนเนื้อหาวิชาเลขให้คนตรงหน้าอย่างจริงจัง ไม่รู้ซิ ถึงเวลาสอนทีไร เหมือนองค์ลง ก็รู้นะว่าเป็นคนมีอีกบุคลิกเวลาสอน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนิ

เราติวกันจนฟ้ามืดไปสักพักใหญ่ๆ



"พอแค่นี้ดีกว่านะ" ผมออกปากในที่สุด "เรียนมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก มันจะมากเกินไป"

"โอเค งั้นเราไปกินแกงเห็ดกันไหม" นี่มันใช่คนเดียวกับคนที่เป็นลมไปเมื่อบ่ายจริงหรือเปล่า ไปเอาพลังงานมาจากไหนนักหนา

"ไม่ได้อ่ะ ชาต้องกลับไปซ้อมเพลงใหม่ ขืนเป็นแบบนี้อีก.... ชาไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนไปด้วย"

"ทุกคนเข้าใจนะชา"

"ยังไงชาก็ต้องซ้อมอยู่ดี"

"โอเค งั้นก็ได้ พี่ไปซื้อแกงเห็ดให้เอง จะเอาไปส่งให้ถึงห้องเลย ชาจะได้มีเวลาซ้อมเยอะๆ"

"อย่ามาเนียน คิดจะมานอนห้องชาอีกอะดิ ฝันไปเหอะ"

"อ้าวววววว แล้วจะให้พี่ไปนอนไหนอ่ะ พี่ก็ต้องนอนกับแฟนพี่ซิ"

"ไม่ด้ายยย พี่ตอง เราต้องมีช่องว่างกันบ้างนะ ชาก็ให้พี่มาเฝ้าชาซ้อมสองวันต่ออาทิตย์ ไหนเราจะติวด้วยกันตอนเย็น ทำงานพิเศษที่โรงพยาบาลด้วยกันอีก" คือ เอาจริงๆนะ ผมกลัวจะโดนเบื่อ บางทีผมอาจจะยอมพี่ตองง่ายเกินไปหน่อย ปล่อยให้เค้าเสพหลายอย่างจากเรามากเกินไป ถ้าเค้าเบื่อขึ้นมาหละ ต้องไม่ทำให้เกมส์นี้จบเร็ว ในหัวผมเริ่มวางแผนอีกครั้ง

"..... ชา อยากได้ช่องว่างเหรอ"

"ก็... ใช่ซิ เห็นหน้าพี่ทุกวัน ชาเบื่ออะแย่แล้วเนีย"

"ก็ได้ครับ แล้วพี่จะได้ไปนอนกับชาอีกเมื่อไหร่อ่ะ"

"ไม่มีกำหนด พี่ตองควรตั้งใจอ่านหนังสือให้มากๆนะ เพราะเรื่องสอบของพ่อพี่ พ่อของพี่เอาจริงนะ ชาไม่อยาก.... ให้พี่เสียอนาคต" เกือบจะพูดว่าไม่อยากเสียพี่ไปซะแล้ว "ไหนจะความรับผิดชอบในฐานะผู้นำเชียร์อีก ที่คณะวิศวะคงอยากเห็นพี่ในห้องซ้อมบ้าง"

พี่ตองนั่งคิด "แบบนั้นก็ดีเหมือนกันครับ โอเค งั้นพี่ไปส่งดีกว่า"

อะไรวะ ง่ายจัง

พี่ตองมาส่งผมที่หน้าหอ ไม่ขึ้นไปส่งด้วย แล้วก็ขับเลยเข้าหอของตัวเองไปเลย

​งอนหรือไง

​อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย แบบนี้แหละดีแล้ว เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ ส่วนตอนนี้รีบขึ้นไปซ้อมดีกว่า เสบี่ยงในตู้เย็นคงช่วยได้สำหรับคืนนี้





"พี่มีเรื่องสำคัญมาแจ้งให้น้องๆทราบนะครับ"

การซ้อมผู้นำเชียร์ในกิจกรรมห้องเชียร์ตอนบ่ายของวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ยักกะเห็นพี่แอม ทำไมถึงเป็นพี่บุ๋นมาพูดนำละ

"พี่แอมไม่สามารถดำรงตำแหน่งในฐานะประธานผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ต่อได้ เนื่องจากติดภาระกิจสำคัญยาวนานต่อเนื่อง พี่ๆจึงลงความเห็นในการเลือกประธานคนใหม่และก็เป็น พี่เอง ที่ต้องทำหน้าที่นั่น สุดยอดไปเลยกู"

​เห้ยยยยยยยยยยย เจ๋ง

​แต่เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่า นี่จะเป็นบทลงโทษที่พี่ท๊อปพูดถึง แบบนี้จะไม่ยิ่งทำให้พี่แอมเกลียดเรามากขึ้นหรือไง

"ดังนั้น พี่ในฐานะประธานลีดคนใหม่นะ ก็มีนโยบายใหม่ให้ทุกๆคน...."

"ขออนุญาตครับ"

เชรดดดดดด พี่ท๊อปโผล่มาอีกแล้ว ตายยากจริงๆ

"ก.น.ช.มีธุระอะไรที่นี่ครับ" นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่เหมือนกับว่าพี่บุ๋นแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจพี่ท๊อป ไปโกรธไรกันมาหว่า "หรือว่ามีถ่ายแบบ ที่นี่ไม่ใช่สตูดิโอนะครับ นี่ห้องซ้อมคณะวิทย์"

"ก็ได้ยินข่าวว่าคณะวิทย์มีประธานลีดคนใหม่ ในฐานะ ก.น.ช.ประจำมหาวิทยาลัยมัณฑนา ก็ต้องมาดูหน่อย เดี๋ยวจะมีคนหาว่าบกพร่องในหน้าที่อีก" พี่ท๊อปตอนปะทะฝีปากนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันแฮะ สมัยมา... เอ่อ ทำความรู้จักกับเรา เห็นเป็นหนุ่มหล่อโอปป้า ไม่คิดว่าจะมีโมเม้นแบบนี้ด้วย "เดี๋ยวนะ... อย่าบอกนะว่า ประธานคนใหม่เป็น... น้องแว่น"

หือ? แว่นไหนวะ ใครใส่แว่น พี่บุ๋นไม่ได้สวมแว่นนี่หว่า พี่ท๊อปหมายถึงใคร ผมรู้ว่าคนอื่นๆในห้องซ้อมก็งงเหมือนกัน

"......." แต่พี่บุ๋นแสดงออกชัดเจนเลยว่า ตัวเองคือบุคคลนั้น และดูหัวเสียกว่าเดิมอีก "แล้วมีปัญหาอะไรไหม"

"ก็ไม่นิ แค่ไม่คิดว่าคนขาดมั่นใจแบบน้อง จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนได้ เน๊อะ น้องแว่น"

"คอยดูแล้วกัน"

นี่พี่สองคนกำลังด่ากันจริงๆใช่ไหมเนีย แต่พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าห้องนี้มีคนกำลังดูมวยอยู่เต็มไปหมดเลยนะ

"เราเลิกสนใจคนไม่ใส่ใจงานดีกว่านะครับน้องๆ" พี่บุ๋นกำลังพูดแดกดันพี่ท๊อป โอเค ชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว "พูดถึงนโยบายของพี่ต่อดีกว่า เพื่อความยุติธรรม พี่จะขอปรับคะแนนทุกด้านของน้องๆทุกคน ให้เต็มห้าสิบทั้งหมดเลย แล้วค่อยเอาการกระทำผิดและการทดสอบหลังจากนี้มาเป็นตัวตัดคะแนน พี่รับรองว่าเราจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการกลั่นแกล้งน้องๆเด็ดขาด"

นี่มัน สุดยอดไปเลย ไม่ใช่แค่ผมนะที่ดีใจ เกตุเองก็ดีใจจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

"ให้คะแนนเต็มทุกคน โดยไม่ใช่การประเมินก่อนหน้านี้ ไม่สมกับเป็นการทำงานของคณะใหญ่เลยนะครับ"

พี่ท๊อปแทรกขึ้นมาอีกแล้ว

"แล้วต้องทำยังไงเหรอครับ พี่ลีดเภสัชปีสาม ช่วยแนะนำน้องๆในคณะวิทย์หน่อย เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะ พี่เคยทำหน้าที่ลีดรุ่นพี่ด้วยเหรอ? ผมสงสัย"

ยกสองนี่มันโหดขึ้นกว่าเดิมอีก

เกิดเรื่องอะไรระหว่างพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นนะ



เมื่อสงครามสงบลง การซ้อมเต้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่พี่ท๊อปก็ไม่ได้กลับ ท่าทางจะกลัวโดนหาว่าไม่ทำงาน

พี่บุ๋นไม่ใช่คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่พี่ท๊อปบอกแม้แต่น้อย พี่เค้าก็ยังเป็นคนขี้เล่นเหมือนเดิม แต่ผมเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่า พี่บุ๋นมีรายละเอียดการเต้นที่สมบูรณ์กว่าพี่คนอื่นๆ เกตุบอกมาอีกที เห็นแบบนี้ก็เก่งเหมือนกันนี่นา

บรรยากาศการซ้อมดูไม่อึดอัดและตึงเครียดเหมือนทุกวัน ดูสบายขึ้นแต่ซ้อมหนักมากกกกกกกกก พี่บุ๋นเป็นคนละเอียดเบอร์สุดเลย การ์ดไม่เท่ากันก็ไม่ได้ นิ้วมือแตกออกจากกันก็ไม่ได้ ขาก้าวผิด แขนไม่ได้องศา หน้าไม่ยก ปากไม่ยิ้ม ตาไม่มั่นใจ ลำตัวไม่มั่นคง เต้นผิด นี่คือทั้งหมดที่ผมได้ยินพี่บุ๋นพูดบ่อยมากในวันนี้ สายตาจะดีไปไหน นึกว่าไม่มีพี่แอมแล้วจะสบายขึ้น เปล่าเลย แค่สบายใจ แต่ลำบากกายสุดๆ



"โอเคครับ" พี่บุ๋นให้สัญญาณหยุดซ้อมในที่สุด "รอบเมื่อกี๊ถือว่าพร้อมกันแล้ว แต่พี่อยากให้น้องๆใส่รายละเอียดลงไปในแต่ละท่ามากกว่านี้นะครับ มันยังสมบูรณ์กว่านี้ได้อีก" ยังมีสมบูรณ์กว่านี้อีกเหรอ "เดี๋ยวไปพักประจำชั่วโมงนะครับ แล้ววันนี้จะมีน้องๆผู้โชคดีจากห้องเชียร์คณะเราห้าคน มาร่วมซ้อมกับเราด้วย มันเป็นเรื่องดีนะที่น้องๆจะได้เต้นพร้อมกับการร้องเพลงเชียร์ของคนจากห้องเชียร์จริงๆ..... ไปพักกันได้ครับ"



ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้



ในนาทีที่ผมไปดื่มน้ำก็ได้เห็นกับเด็กปีหนึ่งห้าคนจากห้องเชียร์ เข้ามาในห้องซ้อม

"อิชาาาาาาาาาา"

เห้ยยยยยยย

อิเจสซี่ อิเล็ก แล้วก็วาวา

"พวกมึงเข้ามาทำไมเนีย"

"พวกกูเป็นผู้โชคดีไง" อิช้างเจสซี่ร้องตาแทบถลน "เนี่ยเหรอห้องซ้อมคณะเรา หรูหรา ใหญโตและมีกลิ่นอายของผู้นำเชียร์หล่อเหลาเต็มไปหมด ห้องซ้อมของว่าที่เจ้าชายและเจ้าหญิงคนใหม่"

"พวกกูนะ วิ่งสู้ฟั๊ดกันขนาดไหนรู้ไหม" อิเล็กเสริม "ดูสภาพดิ" เออ จริงด้วย สภาพพวกมันอย่างกับผ่านสงครามไรมา นี้มันต้องทำยังไงวะถึงเป็นผู้โชคดีได้

"ใช่ๆ มึง กูอะร้องเพลงจนเสียงจะหมดอยู่แล้ว" วาวาไม่ต้องบ้าไปกับพวกมันก็ได้นะ "อุ๊ย นั่นพี่ท๊อปนี่นา ไปขอถ่ายรูปกับพี่เค้าแป๊บนึงนะ" วิ่งไปเร็วเกิ๊น หนูเป็นผู้หญิงนะวาวา

"นี่เพื่อนชาเหรอ" เกตุเดินเข้ามาทักเพื่อนระริกระรี้ของผม

"ใช่ นี่เจสซี่ นี่เล็ก แล้วก็ที่เพิ่งจะวิ่งไปโน่นคือวาวา"

"ดีจังเลยนะ มีเพื่อนมาหาด้วย"

"เกตุใช่ไหม เราชื่อเล็กนะ" อะไรของอิเล็ก ไปแนะนำตัวทำไม "ถ้าเกตุได้เป็นลีดมหาลัยอะ เราขอสมัครเป็นบัดดี๊นะ เรานะ จัดตารางเวลาก็เก่ง คุยงานเก่ง แล้วก็คิดค่าแรงไม่แพงด้วย"

เกตุเหวอไปเลย นี่แหละเกตุ เพื่อนเรา น่าอายชิบ

"ดีค่ะๆ งั้นอิชากูจอง ตกลงกันแล้วนะ" เดี๋ยวๆอิเจสซี่ พวกมึงไม่คิดจะถามกูเลยเหรอ "ไม่ต้องห่วงอิชา กูนิของจริง ศึกษาลีดมหาลัยนี้มาทุกคนทุกคณะ ตื้นลึกหนาบาง วงในวงนอก อิเล็กไม่ได้ขี้เล็บกูหรอก"

"เพื่อนชาน่ารักจังเลยนะ" เกตุจะพูดว่าพวกมันบ้าก็ได้นะ ไม่ว่าหรอก

"เออๆอิเจสซี่ ถามไรหน่อยดิ" ลองถามมันดูดีกว่า "พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอะ เค้า.. ไม่ถูกกันเหรอ กูเห็นพี่เค้าด่ากันโต้งๆเลย ตอนซ้อมอ่ะ พอรู้เรื่องนี้ไหม"

อิเจสซี่กับอิเล็กทำหน้าตกใจใส่กัน

"ข่าวใหม่นะเนีย" อ้าวอิช้าง ไหนบอกรู้หมดไง

"พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเนี่ยนะ เค้าควรจะสนิทสนมกันไม่ใช่เหรอ ตามแหล่งข่าว" อิเล็กเริ่มวิเคราะห์ "มึงรู้หรือเปล่าว่าพี่ท๊อปอ่ะ แต่ละปีจะปั๊มตราลีดให้แค่คนเดียวเองนะ"

"ใช่ค่ะ ซึ่งปีนี้คือมึง" อิเจสซี่เสริมอย่างรู้ใจ "ส่วนปีที่แล้ว นั่นเลยค่ะ ประธานลีดสุดหล่อคนใหม่ของเรา ​พี่บุ๋น​"

".........."  ช็อกไปเลยกู

"นี่ต้องเก็บเป็นข้อมูลใหม่นะ สองคนนี้ไม่ถูกกันซินะ"

"กูเม้มไว้แล้วเรียบร้อย"

จริงเหรอเนีย พี่บุ๋นคือคนที่พี่ท๊อปปั๊มตราสีแดงให้เมื่อปีที่แล้ว แต่ทำไมท่าทีถึงต่างจากเราจัง



ความสงสัยของผมยังไม่ได้รับคำตอบ การซ้อมสุดโหดก็เริ่มอีกครั้ง อิเพื่อนสามตัวของผมกระดี๊กระด๊าร้องเพลงใหญ่ นี่มันเป็นจังหวะช้านะ ทำไมพวกมึงทำอย่างกันเป็นเพลงแดนซ์ในผับ ท่าทางจะปลื้มเอามากๆที่ได้เข้ามาในห้องซ้อม





"ชาถามไรหน่อยซิ" ผมเก็บความสงสัยของตัวเองจนกระทั่งถึงเวลามาช่วยดูแลน้องๆที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ถามใครเป็นพิเศษหรอก พี่ตองนั่นแหละ

"ครับ" ไอ้พี่ตองนี่ก็ชักจะเย็นชาเกินไปแล้วนะ แค่บอกให้มีช่องว่าง ไม่ได้ห้ามให้พูดซะหน่อย

"พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอะ เค้าไม่ถูกกันเหรอ"

"แล้วทำไมชาไม่ถามสองคนนั่นเองหละ"

"พี่ตอง..." ใช่เรื่องไหมที่กูจะไปถาม

"ก็... บุ๋นมันเป็นคนจริงจังในงานลีดมาก ส่วนพี่ท๊อปก็พอได้โอกาสในเกาหลี ก็แทบจะทิ้งงานลีดทั้งหมดของที่นี่ไปเลย"

"แค่นั้นเองเหรอ" คนเราจะโกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้อะนะ

"อาจจะมาจากเพลงมิ่งขวัญก็ได้มั้ง"

"ยังไงอ่ะ"

"รู้หรือเปล่าว่าไอ้บุ๋นโดนใครปั๊มตราลีดให้เมื่อปีที่แล้ว"

"รู้ พี่ท๊อปไง" เออ ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยว่ารู้ได้ไง เล่าต่อเลย

"ก็... บุ๋นมันดีใจมากตอนนั้น แล้วก็มองเห็นพี่ท๊อปเป็นพระเจ้าไปเลย แต่ตอนรอบให้ค้นหาท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญด้วยตัวเอง พี่ท๊อปเหมือนจะสัญญากับมันไว้ว่าจะช่วยสอนให้ แต่ก็เป็นวันเดียวกันกับที่เอเจนซี่เกาหลีมาพาพี่เค้าไปเซ็นสัญญา ที่เกาหลี หายไปเลย ตั้งแต่ตอนนั้น บุ๋นมันก็เลิกเชื่อในพี่ท๊อปไปเลย"

"รู้ละเอียดเหมือนกันนะเราเนีย"

"ก็บุ๋นสนิทกับพี่ เราเรียนพิเศษที่เดียวกัน ไม่รู้เหรอ เรื่องของพี่อ่ะ หรือรู้แต่เรื่องของพี่ท๊อป"

อะไรของมันวะ "อะไรของพี่เนีย"

"เปล่า ทำงานเถอะครับ เดี๋ยวดึก ชาต้องติวให้พี่ต่ออีก"

นี่ไม่ปกติแล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าพี่ตองจะทำตามที่ผมบอกเป๊ะๆ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย

มาเฝ้าที่ห้องซ้อมแค่อังคารกับพฤหัสฯ

ไปช่วยงานที่คณะวิศวะ ถ้าไม่ติดงานอีเว้นข้างนอก

ทบทวนบทเรียนตลอด สังเกตุได้เลยตอนที่ติวให้

ไม่หยอด ไม่มีคำหวาน ไม่ทำท่าทีกวนประสาท

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มันช่าง..... ​ไอ้บ้าพี่ตอง แกเป็นบ้าอะไรเนี่ยยยยยยยยยยย





"พี่ตองงงง พาชาไปกินแกงเห็ดหน่อยดิ" นี่คือคำอ้อนจากผม ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วหละ ไอ้พี่ตองมันคงงอนที่ผมไปขอช่องว่างจากมัน ผมไม่ได้โง่นะ นี่เด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ของประเทศเชียวนะ "นะนะนะ"

"ได้ครับ"

อือหือ ตอบง่ายและเรียบง่ายสุดๆ เป็นคนที่งอนได้น่าอึดอัดมากๆเลย ไม่หนี ไม่หาย ไม่ชวนทะเลาะ ไม่งี่เง่า แถมตามใจอีก แต่แบบนี้ไม่ใช่มันเลย

"แล้วเข้าใจเนื้อหาวันนี้ไหม ให้ชาทวนตรงไหนให้อีกไหม" ลองพยายามอีกทีละกัน

"ไม่นิครับ เข้าใจหมดเลย"

เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออ

"โอเค ชาขอโทษก็ได้"

"ขอโทษ เรื่องไรอ่ะ" ไม่ต้องมาทำไม่รู้เลย จะให้เราพูดอะดิ

"พี่ก็รู้นิ"

"ไม่เห็นจะรู้เลย"

"พี่ตอง" กรรม ลืมไปเลยว่าง้อมันอยู่ จะไปทำเสียงดุใส่ได้ไง "ก็... ที่ชาบอกให้พี่มีช่องว่างระหว่างเราไง"

"อ๋อ เรื่องนั้น" ไอ้พี่ตองตอแหล ทำเป็นไม่รู้นะ "ชาก็พูดถูกแล้วนิครับ เพื่อนๆที่คณะก็ชมว่าพี่มาช่วยงานมากขึ้น เจ๊ซีซี่ก็บอกว่าดี รับงานได้เยอะขึ้น พี่ก็ยังได้ติว ได้เจอชาเหมือนเดิม เหมือนที่แฟนปกติเค้าทำกัน"

"นี่โกรธจริงใช่ไหมเนีย"

"....."

"คือ... ชาแค่ไม่อยากให้เราใกล้กันมากเกินไป"

"ก็ดีแล้วครับ" หน้ามึงเนีย ไม่ได้แสดงว่าดีอย่างที่ปากพูดเลยนะ

"เลิกทำเย็นชาแบบนี้เถอะน่า"

"....."

"จะไม่คุยใช่ไหม" ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ เห็นกูง้อมาก ทำได้ใจนะมึงอ่ะ เก็บของกลับดีกว่า ไม่สนใจละ

"ชาอายเหรอที่เป็นแฟนกับพี่"

หึ เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง "พูดไรอ่ะ ใครจะไปอาย"

"ชาไม่ชอบที่ให้พี่แสดงความรู้สึกดีๆกับชาต่อหน้าคนอื่น ชาไม่ให้พี่พูดจาหวานๆด้วย ชาโกรธทุกครั้งที่คนอื่นมองเห็น"

กูจะบ้าตาย "นั่นมันที่สาธารณะนะ"

"ก็ใช่ไง ก็แปลว่าชาไม่อยากให้ใครรู้"

"ก็มัน...."

"ทำไม"

"มัน..." เฮ้อออออออออ "มันเขินอ่ะ เดี๋ยวไอ้ต้อมมันก็ล้อชาอีก"

"ชาห่วงแต่ความรู้สึกตัวเองอ่ะ แล้วพี่อ่ะ พี่ก็อยากทำเรื่องดีๆให้ชาบ้างนะ ทำไมมันถึงผิดละ"

นั่นไง พูดแบบนี้ใครจะไปเถียงได้ละ "ชาถึงได้ขอโทษไง"

"แล้วช่องว่างนี่อีก" นั่นไง มันงอน เริ่มปล่อยออกมาเรื่อยๆแล้ว "พี่ทำให้ชาอึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอ ขอแค่ได้เห็นชาในสายตาตลอดแค่นั้นเอง"

"คือชา... กลัวว่า ถ้าพี่ต้องเจอชาบ่อยๆ พี่อาจจะเบื่อชาเร็วขึ้นอ่ะ แล้วก็เรื่องสอบนี่อีก ถ้าพี่ตกขึ้นมา พ่อพี่ก็ต้องมาพาตัวพี่ไป ชาพยายามมาตั้งแปดปีนะกว่าจะได้ใกล้ชิดกับพี่อ่ะ ชาก็ต้องกังวลทุกอย่างนั่นแหละ ว่าเราจะ..."

"กลัวพี่เบื่อเนี่ยนะ ถามจริง"

เอาแล้วไง ไอ้พี่ตองมันเปลี่ยนท่าทีแล้ว เดินข้ามโต๊ะมานั่งกอดผมที่โซฟาตรงข้าม ถึงจะเป็นห้องติวส่วนตัวก็เถอะ แต่ก็กลัวใครจะเห็นอยู่ดีนั่นแหละ กระจกบานใหญ่ขนาดนี้

"กลัวคนจะเห็นอีกแล้วอะดิ" นั่นไง ยอมนั่งนิ่งๆก่อนก็ได้วะ "พี่จะเบื่อชาได้ไงละคราบบบ ทั้งน่ารัก ทั้งเก่ง ทั้งดีกับพี่ขนาดนี้"

"ไอ้พี่ตอง ทำไรเนี่ย เกินไปแล้วนะ" มันหอมแก้มผม มีใครเห็นเปล่าวะ

"ก็จะได้รู้ว่าพี่ไม่เบื่อไง"

"ปล่อยได้แล้ว ปล่อยเลยนะ"

"ไม่ปล่อย พี่อุตส่าทนมาตั้งเป็นอาทิตย์ ได้กอดแล้ว ไม่ปล่อยง่ายๆหรอก" นี่ต้องเป็นแผนของมันแน่เลย "กว่าเราจะผ่านด่านพ่อพี่มาได้ มันไม่ง่ายนะ ชาคิดว่าพี่จะยอมเสียชาไปเพื่ออะไร หรือที่พี่ทำมันยังไม่ชัดเจน ต้องให้พี่ไปพิสูจน์กับที่บ้านชาด้วยไหม"

"ไม่ต..."

"นั่นซิ จริงด้วย บ้านพี่เคลียร์แล้ว แต่บ้านชายังไม่รู้เรื่องนี้ซะหน่อย พี่ต้องไปบ้านชา เดี๋ยวพรุ่งนี้วันหยุด เราไปกันเลย ชวนขิงกับต้อมไปเป็นพยานด้วย ชาจะได้วางใจพี่ซะที"

"ไม่ต้องเลย หยุดความคิดไว้ซะ แล้วพรุ่งนี้พี่ก็จะโดนทดสอบครั้งแรกแล้วด้วย"

"ทดสอบแค่ตอนเช้าแป๊บเดียว พี่ผ่านอยู่แล้ว มีติวเตอร์เก่งขนาดนี้ ไม่รู้หละ พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปบ้านชา พี่รู้แล้วด้วยว่าอยู่ไหน"

"ไอ้ต้อมบอกอะดิ"

"แฮ่ๆ ก็ใช่ โอเคแล้วนะ งั้นคืนนี้พี่ไปนอนห้องชานะ"

จะเกินไปแล้วนะไอ้พี่ตอง เดี๋ยวเจอลูกไม้ของกูบ้าง "ไม่ได้ ถ้าพี่ไปนอนห้องชาคืนนี้ ก็ไม่ให้ไปบ้านชา ได้แค่อย่างเดียว"

"ทำไมอ่าาาาา พี่ไม่ได้.... นอนกับชามาตั้งสี่ห้าวันแล้วนะ"

"งั้นก็ห้ามไปบ้านชา"

"...."

หึหึหึหึหึ อย่างพี่ตองนะหรือ จะมาสู้คนที่วางแผนเก่งแบบข้าคนนี้ได้ ก็เรานั่นมันคนละชั้น

"โอเค"

นั่นไง อ่านง่ายจะตาย คนหื่นแบบพี่แก อดทนไม่ได้นานหรอก แต่นั่นก็หมายถึงว่าคืนนี้กูต้องเหนื่อยซินะ นี่กูขุดหลุมฝังตัวเองหรือเปล่าวะ

"งั้นพี่เลือกไปบ้านชา"

"ห๊ะ" ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ

"โอเค งั้นพอแค่นี้ พี่ไปส่งชากลับหอดีกว่า ปะๆๆ ไปกัน เตรียมตัวกลับบ้านด้วยนะ พรุ่งนี้อ่ะ"

เห้ย เดี๋ยวววว เอาจริงดิ

ผมยังช็อกอยู่เลย ไอ้พี่ตองแถบจะฉุดกระชากลากถูให้ผมกลับห้องอย่างจริงจัง

ทำไมมันเลือกที่จะไปบ้านผมหละ



เช้าวันต่อมาผมรอหน้าห้องสอบอย่างตื่นเต้น ผมถูกพามายังร้านกาแฟร้านประจำที่มาติวทุกวัน มีอาจารย์ผู้หญิงสูงวัยท่านหนึ่งมาทดสอบความรู้ของพี่ตองจริงๆด้วย ไอ้บ้าพี่ตองก็หน้าระรื่น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย แถมยังดูจะทำข้อสอบได้ชิวๆ ผมมองไม่เห็นหรอกนะ แต่สัมผัสได้



พี่ตองเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับผู้คุมสอบในที่สุด

"เก่งขึ้นนะเรา ไปทำอะไรมา"

"มีกำลังใจดีครับครู ขอบคุณที่มาเป็นธุระให้พ่อนะครับ ลำบากครูแย่เลย"

"คุณท่านจ้างครูมา ครูก็เกษียณแล้ว ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ได้เห็นลูกศิษย์เก่าๆ เก่งขึ้นก็ดีใจ งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน อีกสองอาทิตย์เจอกันใหม่นะ"

"ครับ ขอบคุณครับครู"

การสนทนาของครูและลูกศิษย์จบลง ไอ้พี่ตองยิ้มร่าพร้อมโชว์คะแนนสอบให้ผมดู

32 เต็ม 40

​"บอกแล้วไงว่าผ่าน ปะ ไปบ้านชากัน"

นี่เอาจริงใช่ไหมเนี่ย แล้วความกระตือรือร้นนี่คืออะไร



"หวัดดีครับพี่" แล้วกำลังเสริมก็เดินตามเข้ามาในร้านอีก ไอ้ต้อมและขิง "ผมพร้อมแล้ว"

"เออๆ ไปกันเลย"

"ผมกับน้ำขิงรอข้างล่างนะพี่"

"โอเคๆ กูเก็บของแป๊บนึง ลงไปรอเลย"



"เดี๋ยว" ผมต้องพักหายใจบ้าง ไอ้คนตัวสูงนี่ทำผมตามไม่ทันเลยตอนนี้ "จะไปจริงเหรอ"

"จริงซิ พี่บอกแล้วไง"

"ทำไมอยากจะไปบ้านชาอะ ทำไมไม่เลือกไปค้างคืนกับชาเมื่อคืนนี้ ชาไม่เปิดโอกาสให้ง่ายๆหรอกนะ รู้ใช่ไหม"

พี่ตองเดินมาประชันหน้ากับผมพร้อมพูดเบาๆผ่านคลื่นความรู้สึกอ่อน

"รู้ซิครับ แต่ถ้าพี่เลือกเมื่อคืน พี่ก็จะได้แค่คืนเดียว แต่ถ้าพี่ไปบ้านชา....



พี่จะคว้าอนาคตของเรามาได้ ตลอดไป"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 21:58:47 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 21 : ความผิดพลาด





หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ผมจะมาทำความรู้จักกับบ้านของแฟนตัวเล็กของผม ผมก็ขับรถยนต์พาเค้าออกมาทันทีหลังการทดสอบที่ร้านกาแฟเสร็จสิ้นลง พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทางอีกสองคน

หลายคนคงคิดว่าผมใจนักเลงสุดๆที่ทำแบบนี้ แต่เชื่อเถอะครับ ถึงจะพูดไปแบบนั้น ผมก็ยังแอบหวั่นใจอยู่ดี จะให้สบายใจได้ไงหละ ถ้าต้องไปบอกครอบครัวของน้ำชาว่า แม่ครับ ผมเป็นแฟนของน้ำชา ลูกชายของแม่ครับ

​มันก็ยังน่าห่วงอยู่ดี

แต่พอเป็นแบบนี้ก็กลับมาคิดได้ ตอนที่น้ำชาต้องไปเจอหน้าพ่อของผมเมื่ออาทิตย์ก่อน เค้าก็คงแบกรับความรู้สึกแบบนี้ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน ก็เพราะคิดได้อย่างนี้ไง ครั้งนี้ ถึงต้องเป็นหน้าที่ของผมบ้าง

ตอนขอเป็นแฟน น้ำชาก็เป็นคนเอ่ยปากก่อน ตอนเข้าหาที่บ้านก็เป็นเจ้าตัวเล็กที่ทำสำเร็จก่อนอีก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงรู้สึกไม่ดีแน่ น้องมันแทบจะแมนกว่าผมอยู่แล้ว



"ผมตกใจหมดเลยตอนพี่โทรมาบอกว่าจะมาบ้านไอ้ชาเย็น" ไอ้ต้อม เพื่อนของน้ำชาคุยกับผมมาจากข้างหลังรถ ส่วนน้ำชาที่นั่งข้างๆ ดูจะยังเขินอายกับการพาผมไปหาที่บ้านอยู่ "เมื่อวานที่คณะซ้อมลีดหนักก็เลยไม่ได้มีเวลาถามพี่ว่า คิดไงถึงจะไปบ้านมัน"

"ก็ต้องไปแนะนำตัวกับบ้านแฟนหน่อยดิวะ" ผมให้เหตุผล "แล้วก็เผื่อว่าต้องปรับความเข้าใจกับที่บ้านของน้ำชาด้วย"

"อือหือ หวานซะ... แต่ไม่ต้องก็ได้หรอกพี่ แม่ไอ้ชาเย็นใจดีจะตาย เข้าใจลูกชายทุกอย่าง ผมสนิทกับแม่ รู้ดี"

"ไอ้ต้อม" น้ำชาแทรกขึ้นมา "นี่มึงเผยความลับของกูต่อหน้ากูเลยเหรอ มึงอยากโดนกูด่าอีกใช่ไหม"

"ชา" ขิงรีบแทรกขึ้นมาอีกคน "อย่าว่าอะไรต้อมเลยนะ คือ... ขิงไม่อยากมานั่งปลอบใจต้อมบ่อยๆ รู้สึกว่าโดนชาต่อว่าทีไร ต้อมจะซึมไปนานทุกที"

"โอ้โห มีออกรับแทนกันด้วย ขิงก็ให้ท้ายมันเกินไป อย่างไอ้ต้อมเนี่ยนะ ต้องเจอชานี่แหละ"

"นี่กูเพื่อนมึงเอง ไอ้ส้นตีน ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึงอ่ะ กูแค่ให้ข้อมูลพื้นฐานแฟนมึงเฉยๆเว้ย"

"เสือก"

"พอๆๆๆ" ผมห้ามความวุ่นวายนี้ไว้ก่อนดีกว่า "พี่ว่าเราคุยเรื่องอื่นดีกว่า... เออ แม่ชาชอบทานไรเป็นพิเศษหรือเปล่า พี่จะได้แวะซื้อเข้าไปฝาก"

"ชาดอกมะลิพี่"

"เสือกอีกแล้วนะไอ้ต้อม" แฟนผมนี่ก็โหดจังเลย

"ชาดอกมะลิ... อ่อ แบบนี้นี่เองถึงตั้งชื่อลูกว่าน้ำชา" ผมลองวิเคราะห์

"ก็เหมือนพี่ตองไง ชาคิดว่า เพราะพี่เป็นลูกคนที่สามใช่ไหม ที่บ้านถึงตั้งชื่อให้ว่าตอง" น้ำชาเก่งสมคำล่ำลือจริงๆ

"ไม่ใช่แค่นั้นนะชา" ขิงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง "ชื่อพี่ตองเชื่อมโยงกับอาหารโปรดของพี่เค้าด้วยนะ พี่ตองอ่ะ ชอบกินขนมไทย โดยเฉพาะขนมห่อใบตอง จะชอบกินเป็นพิเศษ สมัยอยู่โรงเรียน พี่ตองชอบชวนขิงไปซื้อบ่อยๆ"

"....." น้ำชานิ่งไป คิดอะไรของเค้าอยู่กันนะ

"แล้วที่บ้านของน้ำขิงอะ ชอบอะไร ต้อมจะได้ซื้อเข้าไปให้"

"เดี๋ยวๆๆๆ นี่มึงจะไปบ้านขิงด้วยเหรอ" น้ำชาถามทันทีที่ได้ยินเพื่อนตัวเองพูด

"ก็แหงดิ จะให้กูไปอยู่เป็น ก ข ค มึงรึไง แดกข้าวเย็นเสร็จก็แยกย้ายดิ บ้านขิงอยู่ใกล้ๆบ้านมึงไม่ใช่รึไง... ใช่ไหมครับที่รัก"

"ฮือ จะอ้วก" นี่ก็เห็นใครพูดหวานๆใส่กันหน่อยไม่ได้เลย

"ข้างหน้ามีร้านของฝาก เราแวะดูกันหน่อยดีกว่านะ" ผมเสนอ



หลังจากขับรถมาได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไอ้ต้อมก็ชี้จุดหมายปลายทางให้ผมดู

บ้านของน้ำชา

บ้านไม้กึ่งคอนกรีต ยกสูงแบบเรียบง่าย แต่สวยงาม อย่างกับที่พักต่างอากาศในฝัน มีต้นลีลาวดีสูงเด่นเป็นหลักให้กับสวนดอกไม้หน้าบ้าน รั้วบ้านเปิดกว้าง เผยให้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยบางอย่างอยู่ แต่เพราะมันอยู่อีกฝั่งของคลองหน้าบ้าน ผมจึงมองเห็นได้ไม่ชัด

และเมื่อข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งได้ บ้านหลังเล็กสีเขียวอ่อนก็อยู่ในพิกัดจนได้



"แม่ครับ" น้ำชาเรียกแม่ของตัวเองทันทีที่ลงจากรถได้

"แม่จิตรรรรร" แต่น่าขำที่ไอ้ต้อมวิ่งไปกอดผู้ถูกเรียกก่อนหน้าลูกชายของเจ้าตัวเสียอีก ท่าทางจะสนิทจริงๆ

"อาจิตร สวัสดีครับ" ขิงกล่าวทักทายเช่นกัน

"ส... สวัสดีครับ" ผมคือคนสุดท้าย และผมคงเป็นคนที่ทำให้แม่ของน้ำชางงว่า ผมเป็นใคร

"ไปแวะที่ไหนมาตั้งสิบห้านาที" นั่นคือข้อความแรกที่ได้ยินจากคุณแม่ของน้ำชา งงเลย

เธอเป็นคุณแม่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าของคนสูงวัยแม้จะอยู่ในชุดแบบสตรีอนุรักษ์นิยมก็ตาม

"ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย ชาโทรบอกแม่ว่าจะออกมาก็ตรงดิ่งมาบ้านเลย" แฟนผมตอบแม่ตัวเองอย่างมีเล่ห์นัย พร้อมกับดึงหูไอ้ต้อมให้ออกมาจากการเกาะแกะมารดาของตน

"ระยะทางจากมหาลัยถึงบ้าน ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ตอนขับผ่านหน้าบ้านไปเมื่อกี๊แม่ก็เห็นแล้วว่าขับกันมาด้วยความเร็วปกติ แต่นี่ใช้เวลาชั่วโมงสิบห้านาที เพราะงั้นตอบแม่มาดีกว่า ไปแวะไหนกันมา"

พระเจ้าาาาาาาาา

ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าความอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ของน้ำชา มีที่มามาจากไหน

"ผมแวะซื้อนี่มาให้ครับคุณแม่" ผมอาสาสารภาพเอง พร้อมกับยื่นชาดอกมะลิอย่างดีให้กับคุณแม่

"บอกแล้วไงน้องน้ำชา ว่าไม่ต้องซื่้ออะไรมา แต่ก็ขอบใจนะลูก... เธอคนนี้คงเป็น พี่ตอง ใช่ไหม"

"ครับ"

"นาวาพล ขัตติยชาติ"

รู้ชื่อเต็มของผมด้วย นี่ผมควรจะต้องรับมือกับแม่น้ำชายังไงดี

"ครับผม"

"ได้เจอตัวจริงซะที" หมายความว่าไงหว่า "เข้าบ้านกันดีกว่า อากาศตอนเที่ยงมันร้อน ได้เวลากินอาหารกลางวันแล้วด้วย ไปๆทุกคน"



แม่ของน้ำชาดูใจดีอย่างที่ได้ยินมาจริงๆด้วย แถมยังทำอาหารไทยอร่อยสุดๆ แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกดีสุดๆก็คงเป็นการที่ได้เห็นน้ำชาอยู่กับแม่นี่แหละ น่ารักสุดๆไปเลย

นั่นดิ วันนี้เราจะมาสารภาพเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับน้ำชานี่นา กินข้าวเสร็จต้องหาจังหวะพูดให้ได้





​ประพาส ธนกฤษ

​นี่คงเป็นพ่อของน้ำชาที่ล่วงลับไปแล้วซินะ

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็แยกย้ายไปตามส่วนต่างๆของบ้าน น้ำชาเข้าไปคุยกับคุณแม่ในครัว ส่วนไอ้ต้อมกับขิงก็ไปสวีทกันในสวนดอกไม้หน้าบ้าน ผมก็เลยเดินเล่นในบ้านที่อากาศช่างเย็นสบายและสดชื่น จนมาพบกับรูปที่แขวนบนผนังบ้าน

"ขอบใจนะที่ช่วยดูแลน้องน้ำชาให้ที่มหาลัย"

คุณแม่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้ำชา นี่แหละโอกาสดีแล้วรีบสารภาพดีกว่า เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จะได้มีเวลาแก้ปัญหา

"ยินดีครับคุณแม่ คือผมกั..."

"เป็นแฟนน้องน้ำชาต้องอดทนหน่อยนะ"

ห๊ะ

​"ชาบอกไปแล้ว" น้ำชาช่วยคลายความสงสัยให้กับผม

"เด็กคนนี้ต่อหน้าแม่ก็เรียบร้อย แต่พอพ้นสายตาก็ซนทุกที เจ้าต้อมเล่าให้แม่ฟังตลอดนั่นแหละ เพราะงั้นอดทนกับน้องหน่อย ได้ไหมลูก"

ว้าววววววววววววววววว

นี่มันยิ่งกว่านางฟ้าลงมาโปรดซะอีก ช่างเป็นคุณแม่ที่สวยทั้งกาย ใจ และความคิด

"ชาไม่ได้ซนซะหน่อยนะแม่" น้ำชาแก้ตัว

ผมนี่ยิ้มเลย ไม่รู้ว่ายิ้มในความน่ารักของน้ำชาหรือยิ้มดีใจที่เรื่องของผมมันช่างลงตัวง่ายดายเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จิตใจของผมก็พองโตสุดๆ พองจนจะทะลุออกนอกบ้านอยู่แล้ว

"แล้ววันนี้จะนอนที่นี่กันหรือเปล่า"

"แล้วจะให้ชาไปนอนไหนหละ" น้ำชาตอบคุณแม่

"งั้นเดี๋ยวแม่เข้าไปทำความสะอาดห้องให้ น้ำชาไม่ได้มานอนหลายวัน เดี๋ยวฝุ่นในห้องจะทำให้พี่ตองสำลักตายเอา"

วันนี้มีโชคหลายชั้นแฮะ แม่ยายก็ยอมรับ แถมจะได้นอนกับแฟนที่ไม่ได้นอนด้วยตั้งหลายวัน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว มีความสุขโว้ยยยยยยยยยยย

"ยิ้มอะไร" น้ำชาถามผมหลังคุณแม่เดินขึ้นไปบนบ้าน

"ยิ้มให้แฟนไงครับ" แบบนี้ต้องโดนหยอดหวานๆสักหนึ่งซิงเกิ้ล

"แหวะ" เขินอะดี๊

"นี่พ่อชาใช่ไหม" ผมมีความสงสัยเล็กๆติดอยู่ ได้โอกาสถามซะที

"ใช่ พ่อของชาเอง"

"ดูจากวันที่ท่านเสีย เหมือนชาจะยังเล็กอยู่เลยนะ"

"ใช่ ชาจำหน้าพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้จากภาพนี้มากกว่า แล้วก็ในอัลบัมรูปที่อยู่ในห้องพระ แต่ชาจำสัมผัสของพ่อได้นะ ชารู้ว่ายังไงพ่อก็ต้องเคยอุ้มชามาก่อน มันติดอยู่ในส่วนลึกของชา.... อบอุ่น อ่อนโยน แผ่วเบา ปลอดภัย เหมือนไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำอันตรายได้... ทำบ้าไรไอ้พี่ตอง!"

"ก็ทำหน้าที่แทนพ่อของชาไง" ผมสวมกอดน้ำชาไว้แน่น พอได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ผมยิ่งอยากจะรักเค้าให้มากขึ้น อยากมอบความรู้สึกดีๆให้กับคนตัวเล็กนี้ "พี่จะปกป้องชาเอง"

"พอเลย" ยังกอดไม่หนำใจเลย นี่ก็เขินพ่ำเพื่อจริงๆ "ชาไม่ใช่ผู้หญิงนะ ชาดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าอยากทำหน้าที่แทนพ่ออะนะ ไปขุดหลุดหลังบ้านเลย แม่บอกว่าจะปลูกต้นไม้เพิ่ม เดี๋ยวชาตามไป"

"ได้เลย" ถ้าทำเพื่อครอบครัวนี้ จะให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนก็บอกว่า วิญญาณบัวขาวกำลังเข้าสิง "ว่าแต่แม่ชาทำงานอะไรอ่ะ ทำไมเลี้ยงแฟนพี่ให้โตมาน่ารักขนาดนี้"

"จะหยอดอีกนานไหม... แม่เป็นบรรณธิการนิตยสารแฟชั่น รู้จักไหม T-Queen อ่ะ"

"ห๊ะ เป็นผู้ช่วยให้ T-Queen เหรอ"

"เปล่า แม่ชาคือ T-Queen"

"ห๊ะ" อันนี้ช็อกหนักจริง "T-Queen ฉายาเจ้าแม่แฟชั่นพรมแดงแห่งเอเชียอะนะ จริงปะเนีย นั่นคนดังมากนะ"

"ทำไม"

"ก็... แม่ชาดู..."

"ทุกคนก็มีโลกส่วนตัวกันทั้งนั้นแหละ จะให้แม่ใส่ชุดไปเดินพรมแดงทุกวันหรือไง"

"แล้วทำไมบ้านชาถึง..." ผมยังไม่หายจากการอยากตั้งคำถาม

"เก่าเหรอ หรือโบราณ"

"ก็เปล่า แต่มันน่าจะ..."

"หรูกว่านี้ใช่ไหม นี่เป็นบ้านหลังแรก ชากับแม่ก็เลยผูกพัน แล้วมันก็ทำให้แม่สามารถหลบหนีจากความวุ่นวายในการทำงานได้ด้วย ถ้าจะถามหาบ้านที่หรู ก็มี มีอีกสี่หลัง ทั่วทุกภาคของประเทศเลย"

"โอเค พี่ไปขุดหลุมนี่กว่า" ยิ่งถามเหมือนจะยิ่งทำให้ตัวเองดูโง่ขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวผมจะช็อกตายจริงๆซะก่อน



แม่ของน้ำชาคงเป็นคนชอบธรรมชาติมากๆ ถึงหน้าบ้านจะดูเล็กๆ แต่ด้านหลังเป็นสวนผักและสวนไม้ประดับยาว แถมยังมีบ่อเลี้ยงปลาธรรมชาติที่สามารถลงไปแช่เท้าได้

ด้านหลังมีคนสวนคนหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ นั่นคงเป็นคนที่คอยดูแลความสะอาดเรียบร้อยที่นี่

ส่วนผมก็มุ่งไปยังจุดที่มีไม้ปักบนพื้นดินทำสัญลักษณ์ไว้ คงเป็นตรงนี้แหละ มีกล้าของต้นดอกดาวเรืองอยู่หลายสิบต้น

หลังจากจับจอบขุดหลุมได้ไม่นาน ไอ้ต้อมก็เดินเข้ามาช่วย

ที่นี่สดชื่นสุดๆไปเลย ปลอดโปร่งทั้งกายและใจ

ผมใช้เวลาเกือบทั้งบ่ายไปกับการทำการเกษตร แต่น้ำชาที่บอกว่าจะตามมาก็ไม่ได้ตามมา ขิงเองก็หายไปเหมือนกัน คงจะอยู่ในบ้านกันนั่นแหละ แต่ก็ดีแล้วหละ งานแบบนี้ให้ผมกับไอ้ต้อมทำอะดีแล้ว



"น้ำจ้ะ" คุณแม่เดินออกมาจากในบ้านก่อนจะวางแก้วน้ำมากมายลงบนโต๊ะในสวน "แม่เป็นคนชอบน้ำสมุนไพร อันนี้ชาดอกมะลิที่พี่ตองซื้อมาฝากแม่ ส่วนนี้น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบบัวบก"

"น้ำชาครับ" "น้ำขิงครับ" ผมกับไอ้ต้อมตอบแบบแทบจะไม่ได้คิด

"แม่ก็รู้อยู่แล้วหละ" เธอยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าเทพธิดาแฟชั่นจะซ่อนตัวของภายใต้ผู้หญิงแสนใจดีคนนี้

"แล้วทำไมถึงทำหลายอย่างจังละครับ มีกันแค่นี้เอง" ผมสงสัย

"แม่จิตรทำแจกด้วย ตอนนี้คงตั้งหม้อไว้ที่หน้าบ้านแล้ว ใช่ไหมครับแม่" ไอ้ต้อมตอบให้

"ใช่ แม่ชอบทำน้ำสมุนไพรแจกจ่ายชาวบ้านแถวนี้ จริงๆมันก็แค่การแบ่งปันละนะ บางทีบ้านอื่นมีอะไร เค้าก็เอามาฝากแม่เหมือนกัน"

นี่มันแดนสวรรค์หรือไงกัน สุดยอดดดดด

"ใกล้เสร็จหรือยัง"

"ใกล้แล้วครับ" ผมตอบ "จริงๆควรจะเสร็จนานแล้ว แต่ผมสองคนคุยกันเพลินไปหน่อย แฮ่ๆ"

"ทำไปเถอะจ้ะ แม่ขอตัวไปแจกน้ำหน้าบ้านก่อนนะ"

"ครับ"

แล้วเธอก็เดินจากไป

"นี่คือ T-Queen ในตำนานจริงเหรอ" ผมถามไอ้ต้อมทันที

"เบาๆพี่ อย่าพูดไปนะ แม่จิตรไม่อยากให้ใครที่นี่รู้ แม่เค้าอยากได้ชีวิตพื้นๆอย่างที่ต้องการจริงๆ"

"แต่ก็แปลกนะที่คนแถวนี้ไม่รู้เลย"

"ถึงที่นี่จะห่างจากความเจริญไม่มาก แต่คนแถวนี้เป็นผู้อพยพ เชื้อสายมอญโบราณอะ คอยข้างอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยสนโลกภายนอกเท่าไหร่ แต่ก็ดีนะพี่ มาบ้านไอ้ชาเย็นทีไร ผมอย่างกับได้เติมพลังงานให้ชีวิต ไม่รู้บ้านน้ำขิงจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า"

"ก็คล้ายๆกันนะ แต่หลังใหญ่กว่านี้ มีหลังเล็กหลังน้อยด้วย ต้นไม้เยอะพอๆกันนี่แหละ"

"พี่เคยไปเหรอ!?"

"นั่นมันน้องรักกูนะ แค่ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านคงไม่แปลกหรอกมัั้ง"

"นั่นดิ.... ขอดื่มน้ำขิงให้ชื่นใจหน่อยดีกว่า พักแป๊บพี่"

"ต้องน้ำชาเว้ย หอม หวานด้วยธรรมชาติ แถมยังทำให้รู้สึกสดชื่นด้วยคาเฟอีนอ่อนๆ"

"อือหิออออ... ถ้าเป็นน้ำอ่ะผมเชื่อ แต่ถ้าพี่หมายถึงไอ้ชาเย็น ผมนึกภาพตามที่พี่พูดไม่ออกเลย เอาจริงนะพี่ พี่ชอบไรเพื่อนผมวะ เกรียนก็เท่านั้น จอมวางแผน พูดจา... เอ่อ เอาเป็นว่า คนละขั้วกับน้ำขิงเลย แฟนผมนะ ทั้งน่ารัก อ่อนหวาน ช่างเห็นอกเห็นใจ"

"กูก็เคยคิดว่าขิงมันน่ารักนะ เคยแอบหวั่นใจกับมันด้วยซ้ำ"

"เห้ยๆๆๆๆ พี่  นั่นแฟนผมนะ อย่านะ พี่ก็พี่นะงานนี้"

"กูแค่คิด ไอ้ห่า แล้วก็กูบอกมาเคย เรื่องตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว แต่ขิงไม่ใช่แบบที่กูชอบว่ะ ลักษณะภายนอกอาจจะใช่นะ แต่กูชอบคนซนๆอย่างน้ำชามากกว่า ปากแข็ง ไม่ได้หยาบคายแต่ก็ไม่หวานใส พอได้กำหราบคนซนๆแบบนั้นให้อยู่ในมือได้ มันก็เลยภูมิใจ ส่วนไอ้เรื่องความรัก ไม่ต้องพูดถึง กูว่ามันเลยความรู้สึกนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ"

"โอ้โห โรแมนติกตัวพ่อ แต่พูดก็พูดนะพี่ พี่นี่แม่งโคตรเหมือนผมเลย ผมอ่ะก็เคยแอบชอบไอ้ชาเย็นเหมือนกัน.... ใจเย็นดิพี่ ฟังก่อน แต่พี่ดูดิ มันกับผมเนี่ยนะ แค่คิดผมก็เสียวสันหลังแล้ว ไม่เอาอ่ะ... แต่ผมจะบอกให้ พี่คิดผิดไปอย่างนึงเรื่องน้ำขิง เห็นน้ำขิงอ่อนหวานแบบนี้นะ แต่ถ้าเป็นตอน....."

"ตอนไหนวะ"

"พอๆๆๆ พี่ ผมชักพูดเยอะไปแล้ว ทำงานกันต่อดีกว่า"

อะไรของมันวะ พูดให้อยากรู้



หลังเสร็จงานจากหลังบ้าน ผมกับไอ้ต้อมก็อาบน้ำเตรียมตัวสำหรับอาหารเย็น

แม่ของน้ำชายังคงลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเองเช่นเคย

ตอนกลับเข้ามาผมก็เห็นแฟนตัวเองกำลังวุ่นวายเดินเข้าเดินออกในครัว ไม่รู้ทำอะไรอยู่ ส่วนขิงก็เตรียมตัวเดินทางด้วยการตรวจสอบสัมภาระ เพื่อไปที่บ้านตัวเองหลังมื้อค่ำวันนี้



"ฝีมือแม่จิตรยังอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆนะ" ไอ้ต้อมกล่าวชมออกหน้าออกตา เมื่อมื้ออาหารจบลง

"ก็มากินบ่อยๆซิ"

"ก็ถ้าผมไม่ต้องซ้อมลีดหนักๆก็คงได้มาบ่อยๆอยู่หรอกครับ แต่ช่วงนี้ ผมยุ่งนิดหน่อย"

"นั่นซิ น้องน้ำชาเองก็ซ้อมหนักใช่ไหมลูก"

"ไม่หรอกครับแม่" น้ำชารีบตอบ

"ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกครับแม่จิตร มีพี่ตองคอยดูแลทั้งคน พี่ตองนี่ระดับผู้นำเชียร์อันดับหนึ่งของมหาลัยเลยนะแม่"

"แม่ก็พอดูหน่วยก้านออก"

ผมนี่เขินเลย

"งั้นขิงกับต้อมขอตัวไปที่บ้านแล้วนะอาจิตร พ่อกับแม่รออยู่ครับ"

"อ๋อ ใช่ซิ รีบไปเถอะ เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง นั่นไง แท๊กซี่มาพอดี"

"สวัสดีครับอาจิตร" "สวัสดีครับแม่จิตร"

ขิงกับไอ้ต้อมบอกลา แล้วออกจากบ้านไป



"งั้นเดี๋ยวชาขอไปทำธุระในครัวแป๊บนึงนะแม่" จู่ๆน้ำชาก็ขอตัว

"ไปซิ เอ่อ... ตองไม่ต้องไปหรอก ช่วยแม่ทำความสะอาดโต๊ะอาหารตรงนี้ดีกว่า"

"อ... อ๋อ ได้ครับ"

น้ำชาก็เดินออกไป

ผมก็จัดการทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้อย่างที่ถูกไหว้วานทันที



"ได้อยู่ด้วยกันสองคนซะทีนะ" หือ? "ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะเรื่องที่ดูแลน้ำชาให้"

"สบายมากครับแม่ ก็..."

"ฟังชั้นให้จบก่อน"

ชิบหายละ นี่มันอะไรกันวะ ทำไมแม่ของน้ำชาเปลี่ยนไป น้ำเสียงก็เปลี่ยน สรรพนามแทนตัวเองก็เปลี่ยน

"ถึงชั้นจะขอบคุณเธอที่ช่วยดูแลลูกชายแทนให้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าศักยภาพในการดูแลลูกชายคนเดียวของชั้นหายไปด้วย มันแปลว่าอะไร เธอรู้ไหม... ก็แปลว่า ฉันยังดูแลเค้าได้ปกติดีทุกอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องมีเธอด้วยซ้ำ นาวาพล ขัตติยชาติ"

ผมคิดว่าตอนนี้ผมได้เห็น T-Queen ตัวจริงแล้ว แท้ที่จริงแล้วแม่ของน้ำชาเป็นคนที่ดูยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจแบบนี้นี่เอง แล้วไหนจะสิ่งที่กำลังพูดอีก ความเข้าใจทีแรกที่คิดว่าทุกอย่างที่นี่เป็นไปได้สวย คงไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว

"ชื่อของเธอเนีย ชั้นไม่ใช่เพิ่งจะได้ยินวันนี้นะ ไม่ต้องพูดถึงนามสกุลด้วยซ้ำ เจ้าสัวเจ้าของธุรกิจโรจิ๊สติกทางทะเลรายใหญ่ของเอเชีย ถูกไหม... แต่ชื่อของเธอ นาวาพล คู่แข่งของน้ำชา คนที่ทำให้ลูกชายของชั้นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองไปหลายต่อหลายปี"

"เรื่องนั้น..."

"ไม่ ชั้นไม่สน และฉันก็ไม่อยากจะฟังความเห็นอะไรของเธอทั้งนั้น แต่ฉันอยากให้เธอฟังให้ดี...

ชีวิตนี้ของชั้น เหลือลูกชายอยู่แค่คนเดียวหลังจากเสียสามีไป แต่เชื่อเถอะ ชั้นไม่ได้จะเป็นจะตายจนต้องขอพึงใบบุญจากลูกชายคนเล็กของเศรษฐีที่ไหน ชั้นคือ T-Queen สตรีทรงอิทธิทั้งสื่อและแฟชั่นของเอเชีย ที่หวงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันที่สุด.... แต่เธอ! เธอกำลังจะพรากความภูมิใจหนึ่งเดียวของชั้นไป"

"......." ผมพูดตามตรงว่าไม่รู้จะต้องพูดอะไร ในหัวผมเหมือนจะมีแค่เสียงวึ่งๆแล้วก็ได้แค่รอรับรังสีอัมหิตเข้ามาในโสตประสาทเพียงอย่างเดียว

"ชั้นปั้นหน้ายิ้มก็เพื่อลูกชาย ชั้นทำอาหารอร่อยๆ นี่ก็เพื่อเค้า ทุกอย่างที่ชั้นทำก็เพื่อความสุขในชีวิตเค้า และนั่นก็หมายถึงชั้นต้องการให้เค้ามีชีวิตต่อไปในอนาคตข้างหน้าที่ดีและ..... เป็นปกติ.... เธอเข้าใจความหมายนั้น ชั้นรู้  อย่ามาพูดว่าเธอรักน้ำชา เพราะมันเทียบกับชั้นไม่ได้ อย่ามาอ้างมาเธอดูแลเค้ามาตลอด ฉันต่างหากที่ดูแลเค้ามาตั้งแต่ที่เค้าสูญเสียชายผู้เป็นแบบอย่างไปตั้งแต่แบเบาะ เพราะงั้น อย่าคิดจะให้เหตุผลเด็กอนุบาลกับฉัน เห็นหรือยังว่าทุกอย่างที่ชั้นทำก็เพื่อลูกชายของฉัน  ตอบมาซิ!"

"ครับ" ผมตอบได้แค่นั้น

"ถ้าเธอจะคิดว่าฉันเป็นแม่ใจร้ายที่หวงลูกชายโดยไม่มีเหตุผล ก็ขอให้เธอคิดใหม่เดี๋ยวนี้ เพราะจริงๆแล้ว ฉันรู้ดี น้ำชายังคงเป็นเด็กหนุ่มปกติ มีความเป็นลูกผู้ชายอยู่เต็มตัว เค้าแค่... เค้าแค่เจอเข้ากับสิ่งเร้าที่ไม่เคยรับมือ แค่เจอเข้ากับโจทย์ปัญหาแบบใหม่ที่เค้ายังไม่เคยลองแก้ แค่เจอเข้ากับ ความ ผิด พลาดเท่านั้น.... เธอหนะ รักเค้าจริงๆเหรอ ถามใจตัวเองดูอีกทีนึงไหม ว่าถ้าเธอรักเค้าจริง เธอจะเลือกการกระทำที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ไหม คิดเอาแค่ว่าตัวเองรัก ตัวเองชอบ แต่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเธอกำลังพรากอนาคตที่ดีและวิถีชีวิตปกติของน้ำชาไป เธอเคยคิดไหมว่าน้ำชาจะต้องเจอกับปัญหาอะไรหลังจากนี้ หลังจากความภาคภูมิใจที่เธอสามารถแย่งเค้าไปจากชั้นได้"

เหมือนผมจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า ก้อนกลมใหญ่ๆจุกเน้นที่ต้นคอ หน้าอกคล้ายว่าถูกทุบจนไร้ความรู้สึก

"แต่ฉันก็ต้องยอมรับ หลายอย่างที่เธอทำ หลายอย่างที่น้ำชาเล่าให้ชั้นฟัง เธอทำก็เพราะรักและหวังดีต่อเค้า แต่ถ้าเธอรักเค้าจริงๆ ถ้า เธอ รัก ลูก ชาย คน นี้ ของ ฉัน จริงๆ ได้โปรด... ปล่อยเค้าไป ออกไปจากชีวิตเค้า เพราะเธอ....



เป็นความผิดพลาดในชีวิตของน้ำชา"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 22:03:28 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 22 : การตัดสินใจ





นี่ผมกำลังเดินอยู่หรือเปล่า หรือผมแค่นิ่งแล้ววิญญาณมันหลุดออกไป

ผมพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านของคนที่ผมภูมิใจนักหนาว่าเค้าคือแฟนที่ผมรักที่สุด

แต่ตอนนี้....

ในหัวของผม คิดอะไรอยู่กันแน่

ในสมองของผม ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ไหม

สัมผัสของผิวกายได้ทำงานของมันหรือเปล่า

หรือว่าผมอาจจะยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายืนอยู่หน้ารถยนต์ของตัวเองในค่ำคืนฟ้ามืดแล้ว



จริงหรือเปล่าวะ​



​ผมเห็นแก่ตัวจริงเหรอที่ขอน้ำชามาเป็นแฟน

นี่เรากำลังพรากความรักและความภาคภูมิใจของแม่น้ำชาไปเหรอ

หรือต่อให้ตัดทุกเหตุผลไป ผมก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวเพียงคนเดียวของน้ำชาอยู่ดี



ผมควรทำยังไงดี



กลับเข้าไปเพื่อให้แม่ของน้ำชาปั้นหน้ายิ้มทั้งๆที่อยากจะขับไล่เราออกจากบ้าน หรือไม่ก็ได้อาจจะต้องกลับไปทนฟังคำขอร้องจากคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกชายมีชีวิตที่เป็นปกติ

การคบกับเราไม่ใช่เรื่องปกติสินะ ก็ใช่นะสิ...... เราก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอกมาโดยตลอด แต่ทำเป็นว่ามันไม่สำคัญ เราลืมไปหรือเปล่าว่าสำหรับบางคนมันสำคัญแค่ไหน แล้วน้ำชาอาจจะต้องเจอกับคำติฉินนินทาไม่สิ้นสุด น้ำชาอาจจะต้องแบกรับคำสมประมาทที่ไม่จำเป็นในอนาคตก็ได้

เราเอาแต่น้อยใจที่น้ำชา ที่ไม่ยอมให้เราแสดงความรู้สึกดีๆต่อเค้า โดยไม่คำนึงเลยว่า น้ำชาอาจจะต้องรับมือกับความผิดปกตินี้อยู่เพียงลำพัง

กูแม่ง เห็นแก่ตัว

กูแม่ง รักแต่ตัวเอง

กูแม่ง.....

กูรักน้ำชา.... ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่จะให้กูทำยังไงวะ



กูต้องทำยังไง

กลับเข้าไปในบ้านแล้วทนสมเพสตัวเอง

เปิดประตูรถแล้วขับออกไปให้พ้น

หรือยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าแผ่นดินจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างกาย



​ทำไม....



"พี่ตอง"

เสียงน้ำชานี่นา

"มายืนทำไรอยู่หน้าบ้านอ่ะ แล้ว... ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ"

"เปล่าครับ" ผมโกหก

"ชามีอะไรจะให้ด้วย" คนตัวเล็กเบื้องหน้าโชว์สิ่งที่ซ้อนข้างหลังให้ดู "ขนมสอดไส้" พร้อมกับรอยยิ้มสดใส

ตอนนี้ผมทั้งสุขใจและเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ชอบขนมสอดใส้เหรอ ก็ไหน.... ขิงบอกว่าพี่ตองชอบขนมไทยห่อใบตองไง ชาอุตส่าแอบทำทั้งวันเลย ถึงจะไม่แน่ใจเรื่องรสชาติก็เถอะ"

"ชอบซิครับ" เห็นน้ำชาทำเพื่อผมแบบนี้แล้ว ผมต้องกลั้นความขมขื่นทั้งหมดลงไปก่อนให้ได้ "น...ไหนขอพี่ลองชิมหน่อย"

"คือชาเพิ่งจะเคยทำครั้งแรกนะ ให้แม่ช่วยสอน..... เป็นไงอ่ะ รสชาติเป็นไง"

"อร่อยซิครับ อร่อยมากด้วย แฟนพี่ทำเองนี่นา" ผมไม่แน่ใจเรื่องรสชาติเท่าไหร่นัก ความคิดในหัวของผมมันช่วงชิงรายละเอียดของรสสัมผัสออกไป

"จริงดิ งั้นเข้าไปกินในบ้านกัน ยังมีอีกเยอะเลย ชาทำไว้ให้แล้ว เผื่อใส่บาตรพรุ่งนี้ด้วย"

"เดี๋ยวก่อนชา" ผมคว้าแขนของน้ำชาไว้

"อ... อะไรอ่ะ หรือว่าไม่อร่อย"

"เปล่าครับ"

เลิกพูดดีกว่า ผมดึงคนเบื้องหน้าเพื่อให้เราทั้งสองมองหน้ากันชัดๆ ด้วยสายตาของเราทั้งคู่

ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กดปลายจมูกและริมฝีปากลงไปที่แก้มยอดดวงใจของผมช้าๆ

"ทำบ้าไรพี่ตอง.... เดี๋ยวใคร.... พ... พี่เป็นไรปะเนีย" น้ำชาคงสังเกตุเห็นความกังวลบนใบหน้าของผม

ผมจับมือสองข้างของน้ำชาไว้ และขอมองเค้าอีกครั้ง เผื่อว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย

"น้ำชาครับ..."

"ห้ามพูดนะ!!" ผมโดนตัดบท ทั้งๆที่ตัดสินใจกำลังจะทำอะไรบางอย่างแล้ว "ชาไม่ได้โง่นะ ไม่ว่าพี่จะพูดอะไร ห้ามพูดออกมานะ ไม่งั้นชาจะไม่ให้อภัยพี่ไปตลอดชีวิตเลย"

จู่ๆ ดวงตาของคนตรงหน้าผมก็แดงก่ำคล้ายว่าจะมีน้ำใสๆหลั่งรินออกมา

นี่ผมทำอะไรอยู่ นี่ผมกำลังทำให้คนที่ผมรักกำลังเสียใจอยู่เหรอ

กูทำบ้าอะไรอยู่วะ

"ขนมที่ชาทำให้พี่ อร่อยมากครับ"

ไม่สนใจแล้ว ผมเข้าสวมกอดคนตรงหน้าไว้แน่น จะมีใครเห็นหรือเปล่าก็ช่างหัวมัน จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างหัวมัน แค่ไม่ทำให้คนที่ผมสัญญาไว้แล้วว่าจะรักเค้า ไม่เสียใจก็พอ เรื่องหลังจากนี้ ให้มันเกิดขึ้นไป ผมต่อสู้กับมันเอง

"ก... เกิดอะไรขึ้นอ่ะ" น้ำชาผละออกจากอ้อมแขน "แม่พูดอะไรกับพี่ตองหรือเปล่า"

นั่นแหละเหตุผลทั้งหมด

และเพื่อให้น้ำชามีความสุขในฐานะแฟนของพี่ที่สุด ผมต้องตัดสินใจแล้ว

"เข้าไปคุยกับคุณแม่กัน" ผมบอกน้ำชา แต่น้องยังดูงงๆว่าทำไม เค้าคงยังไม่รู้ว่าแม่ของเค้ามีอีกบุคลิกนึงที่เป็นบุคลิกของผู้หญิงที่ห่วงลูกชายที่สุด

ผมจูงมือคนตัวเล็กให้เข้ามาในบ้านอีกครั้ง และขึ้นบันไดต่อไปที่ชั้นสอง ที่ๆผมคาดว่าจะพบคนที่ต้องการหา

ทำไมบันไดมันถึงเหมือนทางขึ้นประตูนรกจังวะ

แล้วผมก็พบกับอุปสรรคของผมในที่สุด

แม่ของน้ำชา

​เธอกำลังเดินออกมาจากห้องพระ

"คุณแม่ครับ" ผมเกือบจะตะโกนออกมา ผมจ้องไปที่ผู้หญิงที่กุมชะตาชีวิตรักของผมอย่างไม่ละสายตา เพราะถ้าบางทีปากของผมไม่ยอมพูด สายตาคู่นี้อาจจะพูดได้แทน "ได้โปรด อย่าไล่ผมไปจากน้ำชาเลยนะครับ"

"....."

จากตอนแรกที่คุณแม่ดูท่าทางจะตื่นๆ ตอนนี้สายตาของเธอนิ่งสงบและมองผมอย่างพิจารณา

"พี่ตอง" น้ำชาพยายามเข้ามาเป็นตัวกลางของเรื่อง

"พี่เองครับชา พี่ขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มีแค่พี่คนเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองได้"

ผมหายใจเข้าลึกๆ

"ผมคือตองครับ นาวาพล ขัตติยชาติ ผมยืนอยู่ต่อหน้าคุณแม่ ไม่ใช่ในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านขัตติยชาติ ไม่ใช่ในฐานะคนที่จะพรากน้ำชาไปจากคุณแม่ และไม่ใช่ในฐานะคนที่เห็นแก่ตัว แต่ผมขอยันยืนที่จะยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะแฟนของน้องน้ำชา ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะคนที่รักและหวังดีต่อน้องน้ำชาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร...

ผมไม่อาจจะสามารถยืนยันอนาคตในวันข้างหน้าได้ ผมไม่อาจจะพูดได้ว่าจะประคองลูกชายของคุณแม้ไว้ไม่ให้มีวันเจ็บไข้ ผมไม่อาจยืนยันว่าผมจะอยู่ค้ำฟ้าเพื่อดูแลกันและกันไปจนชั่วฟ้าดินสลาย แต่คุณแม่ครับ ผมก็มีหัวใจของลูกผู้ชายอยู่เต็มเปี่ยม ผมก็เต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อน้ำชา ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ผมด่าตัวเองทุกวันว่าโง่เหลือเกินที่มองลูกชายของคุณแม่ผิดไป น้ำชาเป็นทั้งคนดี คนเก่ง คนที่หวังดีต่อผม และที่สำคัญ น้ำชาคือคนที่ผมกล้าพูดว่ารักอย่างไม่อายใคร

เพราะงั้น... ผมจะไม่ร้องขอให้โชคชะตาเห็นใจผม หรือขอให้ใครมาเข้าใจความรักของผมในวันนี้ และแน่นอน ผมจะไม่ยอมปล่อยมือคนรักคนนี้ของผมไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม ใช่ครับคุณแม่ ต่อให้อุปสรรคนั้นจะเป็นแม่แท้ๆของน้ำชา ผมก็จะสู้ ผมจะเคาะประตูบ้านนี้จนกว่าแม่จะเปิดรับ ผมจะตะโกนเรียกชื่อน้ำชาเสมอต่อให้ผมมองไม่เห็นเค้า ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าผมดีพอและคู่ควรที่จะรักและหวังดีต่อเค้า ผมจะไม่ให้คุณแม่มาขัดข้องความรักของผมกับน้ำชาเด็ดขาด"



ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศทั้งหมดทันที



แม่ของน้ำชามองดูผมด้วยสายตาสั่นระริกจนเกือบจะปล่อยน้ำตารินไหลออกมา ส่วนผมเองก็ต้องขอบอกว่า แม้จะพูดไปแบบนั้น ก็ยังถือว่า ใจกล้าสู้เสือ อยู่ไม่น้อย



"น้ำชา เดินมาหาแม่ซิ" แม่ของน้ำชาเรียก นี่หมายความว่ายังไงกัน จะเอาน้ำชาไปจากผมจริงๆเหรอ

"ครับแม่"

ทันทีที่น้ำชายืนอยู่ต่อหน้าแม่ เธอก็เอื้อมมือมาแตะใบหน้าเนียนใสของลูกชายเบาๆ พร้อมสายน้ำตาที่ไม่อาจห้ามได้

"ตั้งแต่พ่อจากไป แม่พยายามมาตลอดที่จะเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูก ให้ลูกไม่รู้สึกขาดพ่อ ให้ลูกเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด" น้ำเสียงของแม่น้ำชาช่างสั่นเคลือด้วยอาวร

"ชามีความสุขซิที่ได้เป็นลูกของแม่อ่ะ" น้ำชาเองก็ร้องไห้ออกมาแทบจะทันที

"น้ำชารู้ไหม แม่รู้ดีว่ามันไม่มีทางพอเพียงหรือทดแทนกันได้ แม่รู้ความเป็นจริงข้อดีนี้ แล้วก็หวังไว้เสมอว่า วันนึงน้ำชาจะได้เจออีกครึ่งชีวิตนั้นที่หายไป คนที่จะมาเติมเต็มบางอย่างในจิตใจอันขาดแคลนของลูก.... จนเมื่อวันที่ต้อมเข้ามาในชีวิตของลูก เพื่อนแท้ที่ทั้งรักและคอยช่วยเหลือลูกเสมอ แม่ก็คิดว่า แม่สามารถไว้วางใจให้เค้าเติมเต็มส่วนนั้นให้ได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เต็มสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ทำให้ลูกต้องขาดและช่วยให้มีความสุขอย่างที่ควรมีได้ แต่วันนี้ แม่เจอแล้ว คนที่เป็นส่วนเติมเต็มในจิตใจของน้ำชา พี่ตอง​ คนนี้คือคำตอบในสมการชีวิตของน้ำชานะ"



ผมแทบจะทรุดลงไปกับพื้นบ้านด้วยความโล่งใจ ลมหายใจที่ถูกปิดกลั้นไว้ได้รับการระบายออก



ในที่สุด....



"พี่ตองพิสูจน์ให้แม่เห็นแล้วว่าพี่เค้ารักลูกชายแม่แค่ไหน แล้วน้ำชาละ รักพี่ตองไหม..."

"ร... รักซิครับ รักมากด้วย"

เป็นคำรักเคล้าน้ำตาที่คล้ายว่าสามารถสะกดหัวใจของผมไว้ท่ามกลางจักรวาลอันไม่สิ้นสุด

"ถ้างั้นก็อย่าปล่อยให้พี่เค้าหลุดมือไป โลกนี้ อาจจะมีพี่ตองอยู่แค่คนเดียวก็ได้ รู้ไหม?"

"ค.. ครับ"

แม่ของน้ำชาปาดน้ำตา ก่อนเดินผ่านลูกชายมาหาผม

"พี่ตองรู้ไหม พี่ตองเหมือนกับสามีของแม่ที่สุด ทั้งเด็ดเดี่ยว อบอุ่น กล้าหาญ และรักน้ำชา นั่นคือคุณสมบัติทั้งหมดที่แม่พยายามตามหามาตลอด มันไม่เกี่ยวว่าจะเกิดมาเป็นใคร หรือเกิดในตระกูลไหน หรือเคยมองลูกชายของแม่ว่าเป็นคนยังไง แต่มันสำคัญที่สุด ถ้าในที่สุดแล้ว เค้าคนนั้นจะมองเห็นน้ำชาเป็นสิ่งล้ำค่าในชีวิตเหมือนกันกับแม่"

"ผมคบกับน้ำชาได้ใช่ไหมครับ" ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าพี่ตองอีกแล้ว"

"ข... ขอบคุณครับคุณแม่"

"มากอดกันหน่อยเร็ว"

ผมสวมกอดแม่ของน้ำชาอย่างแผ่วเบา เธอได้มอบสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเธอให้ผมเป็นผู้เก็บรรักษาแล้ว ผมจะไม่ทำให้คุณแม่ต้องผิดหวังเด็ดขาด

"แม่ขอโทษนะที่เล่นบทโหดไปหน่อยเมื่อกี๊นี้" เธอกระซิบเบาๆกับผม ขอบอกว่า คุณแม่ตีบทแตกสุดๆไปเลยครับ ผมเอาผมเกือบแย่เลย "แม่มีสิทธิ์ที่จะลองใจลูกเขยของแม่ไม่ใช่เหรอ" เธอยิ้มเป็นนัย

"ครับแม่"





ขอบคุณการตัดสินใจที่ถูกต้องของผม นี่มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นเจ้าของจักรวาลทั้งหมดเลย โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ แม่ของน้ำชายังเป็นผู้หญิงใจดีอย่างที่คิดตั้งแต่แรกและคุณแม่รักน้ำชามากจริงๆ ผมเองก็ไม่ควรจะบกพร่อง



"ชาคราบบบ" ผมเดินมาอ้อนแฟนที่ยืนจัดเรียงขนมสอดใส้อยู่ในห้องครัว "เมื่อไหร่จะขึ้นไปนอนซะที พี่อาบน้ำเสร็จนานแล้วนะ"

"ชาขอจัดขนมก่อน ว่าจะเอาไปใส่บาตรพระพรุ่งนี้ นานๆได้กลับบ้านที  นี่! ไอ้พี่ตอง ผ่านด่านแม่มาได้ ไม่ใช่จะมาทำไรกับชาก็ได้นะ ปล่อยเลย"

"โห กอดแค่นี้ก็ไม่ได้ แม่ไม่ว่าหรอกน่า"

"อย่าให้ชาต้องทำบาปก่อนทำบุญนะ"

"โหดจังเลยยยย แฟนพี่เนีย" แต่ยังไงก็ต้องหอมแก้มก่อนจะปล่อยกอด

"เดี๋ยวเหอะ"

คิดถึงรสสัมผัสของเจ้าตัวเล็กนี่เหมือนกันแฮะ ลองแซะหน่อยดีกว่า

"คืนนี้เราได้นอนด้วยกันแล้วนา...."

"แล้ว..."

"ก็..."

"หยุดความคิดไปเลย นี่บ้านชานะ หลังแค่นี้เอง ทำอะไรเกรงใจแม่บ้างดิ"

"ก็ตอนอยู่เกาหลีชาบอกว่าถ้ากลับมหาลัยมาแล้วจะ... มาทำต่อนี่นา น้าาาา นะนะนะนะ นะครับ"

ไม่รู้อ่ะ ผมเข้าไปกอดอีกที คนคิดถึงจะตายอยู่แล้ว พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ ถึงจะสามารถทนไม่ให้รักแฟนตัวเองได้นานๆ

"พี่ตองงงง นี่มันครัวนะ เดี๋ยวแม่ก็ได้ยินหรอก"

"แม่ชาหลับไปตั้งนานแล้ว" ผมได้ทีเอาหน้าซุกไซร้กายหอมของเจ้าคนตัวเล็กเป็นการใหญ่ ในสมองตอนนี้ไม่มีเรื่องผิดชอบชั่วดีแล้ว

"พ... พี่ต... ตองงงง"

เหมือนจะได้ผลแฮะ ต้องทำต่อดิ ใครจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

"วันนี้พี่อุตส่าต่อสู้กับการตัดสินใจของตัวเองมาได้ กว่าจะผ่านด่านคุณแม่มาได้ ให้รางวัลพี่หน่อยน้าาาา นะนะ"

"แต่พี่ก็เกือบจะยอมแพ้นิ"

ชิบหายละกู ชะงักเลย

"ถ้าชาไม่ห้ามไว้ ป่านนี้พี่คงทิ้งชาไปแล้วหละ"

ไม่ได้ๆ จะให้แฟนสุดที่รักเข้าใจผมแบบนี้ได้ยังไง ผมจับให้คนตัวเล็กหันตัวเพื่อมองสายตาของผม

"ไม่มีวันที่พี่จะทิ้งชา" ผมบอก "ถ้าพี่ยังมองเห็นชาอยู่ ถ้าหูพี่ยังได้ยินเสียงของชา ถ้าจมูกยังได้กลิ่นหอมหวานจากชา ถ้าร่างกายของชายังจับต้องได้ พี่ไม่เคยคิดที่จะรักชาให้น้อยลงเลย... ไม่มีวัน   พี่รักน้ำชานะครับ"

สิ้นคำสารภาพแสนหวานผมก็ประทับริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากบางเล็กของคนตรงหน้าทันที



-----บทอัศจรรย์------

"อือ...อ...."

คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่สติหลุดไปแล้ว แต่น้ำชาเองก็ถูกจุดประกายไฟของความปรารถนาขึ้นมาเช่นกัน

เมื่ออุณหภูมิของอารมณ์มาถึงจุดเพาะบ่ม ก็ไม่อาจมีอุปสรรคใดขว้างกันท่วงท่ารักของเราทั้งสองได้ แม้ว่านี่จะเป็นห้องครัวก็ตาม

มือไม้ที่ซุกซนกำลังลูบคลำไปตามเลืองร่างเนียนละเอียด ความรู้สึกของผิวเย็นฉ่ำสดชื่นที่ไม่ได้ลิ้มลองมานาน กำลังหลอกล่อให้ผมถวิลหาอย่างยากจะห้ามใจ

มือเล็กๆของคนร่างบางก็กำลังสอดส่ายไปตามร่างกายร้อนผ่าวของผม ยิ่งเหมือนยาปลุกเร้าให้ผมอยากกลืนกินร่างนี้มากขึ้น

ไม่ใช่เพียงเพราะความปรารถนาในตัวผมหรือเพียงแค่รสสัมผัสหอมหวานเท่านั้น แต่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของยอดดวงใจคนนี้ยิ่งทำให้ผมจมดิ่งลงไปในวังวนแห่งราคะอย่างง่ายดายเหลือเกิน

"ซืดดดด อือออออ" เสียงอันเย้ายวนดังขึ้นจากคนเบื้องหน้า นั่นยิ่งทำให้ผมรุกเร้าหนักมากกว่าเดิม ช่างแสนหวานและร้อนแรงอยู่ในที

ผมพยายามประคองกายของน้ำชาไว้ไม่ได้ไหลรื่นลงไปกองที่พื้นด้วยแรงปรารถนาอันบ้าคลั่งของผม มือข้างหนึ่งของผมคว้าขาซ้ายเล็กๆให้โอบเกี่ยวไว้ที่เอวเพื่อเป็นหลักยึด

เสื้อนอนตัวบางเหมือนปลิวออกจากกายของคนตรงหน้าด้วยเวทมนต์ เผยให้เห็นผิวใสชวนสัมผัส พร้อมกลิ่นหอมหวานของร่างกายที่เตะจมูก ผมห้ามมิให้ลงลิ้นชิมรสผิวเนียนละเอียดภายใต้ร่มผ้านั้นไม่ได้เลย

"อ๊า.. อาาา" แฟนตัวเล็กช่างตอบสนองบทรักของผมดีเหลือเกิน ปากเล็กๆปล่อยเสียงของความต้องการแบบไม่มีที่สิ้นสุดออกมาอีกแล้ว ผมจึงตวับรอยลิ้นนั้นลงบนจุดเล็กๆที่หน้าอก อันจะเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ของคนในอ้อมแขนให้รุนแรงยิ่งขึ้น

"งืมมม มมม ม พ... พี่ตอง"

เสียงเรียกนี้มันช่างเร้าอารมณ์เหลือเกิน ผมกดประทับขบกัดเบาๆให้กายนั้นไม่อาจหลุดจากมนต์สะกดนี้ได้

มือเล็กๆเริ่มยีศีรษะของผมอย่างไม่รู้ตัว ความต้องการแห่งราคะของเค้าคงมาถึงจุดที่กายเรียกร้องแล้ว

เมื่อคนในการรุกเร้าของผมช่วยเหลือตัวเองได้น้อยเหลือเกิน ผมจึงทำหน้าที่ปลดอาภรณ์ของตัวเองออกด้วยตัวเอง และยังไม่ทันไม่คิด มือของผมก็ถอดกางเกงพริ้วบางของสุดที่รักผมออกไปด้วยเช่นกัน

แม้ที่นี่จะไม่ใช่โรงแรมสุดหรูในเกาหลี แต่ไฟละมุมอ่อนในครัวที่สลัวกับความมืด และเสียงแผ่วเบาของจิ้งหรีดนอกบ้านก็เข้ากับบทบรรเลงรักของเราไม่น้อย

ผมเลื่อนริมฝีปากและลิ้นขึ้นไปบนใบหน้าหวานใสอย่างอ้อยอิ่งและเชื่องช้า มุ่งเป้าสู่ริมฝีปากหอมหวานอีกครั้ง แต่มือกลับถวิลหาช่องทางยอนแยง เพื่อสร้างสัมพันธ์รักเบื้องล่าง

"อือออ" คล้ายว่าเจ้าตัวเล็กจะเริ่มรู้ตัวว่ามีบางสิ่งชอนไชเข้าไปในเขตหวงห้าม แต่เพราะริมฝีปากไม่ได้ว่างเว้นจากการหาความหวานของผม จึงไม่อาจปล่อยเสียงร้องออกมาได้เป็นปกติ

นิ้วมือที่เชี่ยวชาญของผมในที่สุดก็สามารถทำให้คนในอ้อมรักลดคล้ายความเกร็งฝืนลงได้ และสิ่งที่ตามมาก็คือของขวัญล้ำค่า เพราะคล้ายว่าช่องทางนั้นจะเปิดประตูพร้อมให้เราสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว

ผมค่อยๆจัดแจงให้กายเล็กๆค่อยๆหันหลังอย่างอ่อนโยนและไม่ลืมที่จะประทับสัมผัสตามจุดความรู้สึกเสียวซ่านที่พอจะหาได้ แล้วในที่สุดก็ทำสำเร็จ แผ่นหลังเล็กๆแนบชิดกับอกและหน้าท้องของผม

แม้แต่ในมุมด้านหลัง ผมยังรู้สึกว่าเค้าหอมหวาน น่ารัก น่าสัมผัส และแน่นอนว่าน่าจับจองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

และเพื่อให้กายเราสองรวมเป็นหนึ่ง ผมจึงยกขาซ้ายของคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย และกางขาของตัวเองให้กว้างขึ้น เพื่อที่จุดสัมผัสทั้งสองจะได้ประสานรับกันพอดี ซึ่งคนเบื้องหน้าก็มิได้ขัดเขินใดๆ ซ้ำยังพยายามใช้มือเรียวเล็กคว้าลำคอของผมไว้ เป็นการส่งสัญญาณของความพร้อมและความต้องการอันแรงกล้า

วินาทีที่ความปรารถนาของทั้งสองถึงจุดที่เกินจะฉุดออก มังกรก็เริ่มร้องคำรามเพื่อเปิดปากถ้ำมืดมิด

"อ๊า...ซี๊ด...." ผมรีบประกบปากเข้ากันคนตัวเล็กเพื่อห้ามปรามเสียงกระเซ่ารักที่มากเกินงาม จนอาจปลุกราคะผู้ที่ได้ยินให้ลุกโชนขึ้นมาได้

จุดศูนย์รวมแห่งความรู้สึกของผมล้วงฟัดยัดกายเข้าหาช่องแคบอย่างหื่นหิว มันต้องการแอบอิงแนบชิดด้านในอย่างกับว่าไม่เคยเข้าไปมาก่อน

และเพื่อการนั้น เพื่อให้ความสุขของเราทั้งสองสมบูรณ์ที่สุด มือข้างที่เคยเปิดล้วงประตูสวาทก็หันมาทำหน้าที่อันเชี่ยวชาญอีกอย่างด้วยสร้างสัมผัสเสียวซ่านที่จุดยุทธศาสตร์ของคนๆเดิม ดึงรั้งให้มันรู้ว่า ทุกสัมผัสในร่างกายนี้ เป็นของผมแล้วโดยสมบูรณ์

"ให้พี่นะครับ ให้พี่นะค..ครับ" ผมพูดทั้งที่ยังยังไม่คลายจูบอันดูดดื่ม

"ท.. ทำที ทำให้ชาที" เสียงตอบรับและเชื้อเชิญของยอดดวงใจ

แล้วผมจะรอช้าอยู่ใย ท่วงท่าแห่งราคะถูกปลุกเร้าถึงเพียงนี้ มีหรือที่กายนี้จะขยับอย่างเชื่องช้า

มัดกล้ามเนื้อที่เข้มงวดกวดขันมาเป็นอย่างดีได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผมไม่รู้ว่ามันเคลื่อนไหวไปได้ยังไงด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงว่ามันขยับเข้าออกไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักเหนื่อย ยิ่งขยับยิ่งรู้สึก ยิ่งลึกยิ่งถลำลึกเข้าไปอีก ราวกับว่าอยากสัมผัสประตูแห่งชัยชนะที่อยู่ในนั้นให้ได้

"อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อื...อื....อื....อื....อ....อ....อ....อ...อูว..ว...ว..ว...ว"

น้องน้ำชาแสนน่ารักของผมส่งเสียงออกมาไม่หยุดหย่อน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะปิดมันไว้ด้วยชิวหาอันเร้าร้อน อย่างไรเสียต่อให้ไฟราคะร้อนแรงเพียงใด ก็ควรจะไม่ให้ใครล่วงรู้กิจกรรมล้ำลึกนี้

นานอยู่นับหลายลมหายใจ ผมผ่อนจังหวะลงเพื่อเพลาความรู้สึกที่เกือบจะพุ่งพล่าน นี่เป็นช่วงเวลารักที่ผมใฝ่หา จึงไม่อยากให้จบการโดยไว

แต่รังรักของกายเย็นฉ่ำก็ทำให้ผมต้องการอยู่ดี ผมจึงหยัดการให้หนักขึ้น กระแทกให้แรงขึ้น กระหน่ำรักให้ถึงทรวงที่สุดเท่าที่แรงกระหายจะมี

"อ๋า.... อ๋าาาาา .....  อือ  อ๋า..."

และด้วยเหตุนั้นริมฝีปากของผมจึงไม่อาจประกบอีกริมฝีปากนึงไว้ได้อีกต่อไป เพราะความเสียวซ่านที่ตนเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน มือที่เคยรั้งขาเล็กๆของคนตรงหน้าไว้จึงต้องมาทำหน้าที่ปิดเสียงคนตัวเล็กไว้แทน

การจัดวางท่าประกอบรักของคนเบื้องหน้าไม่ต้องให้ช่วยพยุงอีแล้ว เค้าสามารถสรรสร้างท่วงทำนองนั้นได้ด้วยสัญชาตญาณความหิวโหยของเค้าเอง

"รักพี่ไหมครับ" ผมกระซิบถามที่หูของน้ำชาอย่างแผ่วเบาพร้อมปล่อยมือออกจากริมฝีปาก แต่กายเบื้องล่างก็ไม่หยุดทำงาน และเริ่มจะกลับเข้าสู่ห้วงความปรารถนาที่เร็วแรงอีกครั้ง

"ร... ร....รักซ..ซิ" นั่นคือคำกระตุ้นไฟราคะให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม "ร...รักชา.. รักชาให้มากกว่านี้อีกได้ไหม รักอีกได้ไม"

ไม่ไหวแล้วเว้ยยยยยยยย

​เมื่อหีบความต้องการถูกทุบกระจายอย่างสิ้นเชิง มือของผมก็กลับมาปิดริมฝีปากเล็กบางอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวสู่การจู่โจมที่ไม่อาจคาดเดาความเสียหายได้

ลึกอีก เร็วอีก แรงอีก รัวอีก เอาอีก ทำอีก เข้าไปให้ลึกอีก เจาะเปลือกเส้นชัยให้ได้

​"ฮ..อือ..อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ."

เสียงครางให้น้ำคอของยอดรักช่างเหมือนกับการราดน้ำมันลงกองไฟ

มันลุดโชติช่วง โหมกระหน่ำ จนแทบจะแผดเผากายผมให้สิ้น

ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว ยังไม่หนำใจเลย

ต้องเร่งอีก เร่งให้แรงที่สุดก่อนที่ความรู้สึกที่กักเก็บมาทั้งหมดจะแตกซ่านออกมา

"หึ.หึ.หึ.หึ อูว ว..ว..ว..ว..ว..ว.ว.ว..วว.ว.ว.ว.ว.ว..ว..ว.ว.ว.ว.ว.ว. อุ อุอุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ"

มันมาแล้ว มันมาถึงแล้ว มันกำลังจะหลั่งไหลออกมาแล้ว

มาแล้ว

ออกมาแล้ว

มันออกมาแล้วววววววว

"อ่าาาาาาาาาา" "อาาาาาา" ผมพยายามกดเสียงของตัวเองไว้มากที่สุดทั้งที่ความหื่นกระหายกำลังทะลักออกมาเต็มรัก น้ำชาก็เช่นกัน

ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆในกายของคนตัวเล็กที่ผมยังไม่ถอดกายออก รวมทั้งน้ำรักของเค้าที่หลั่งออกมาจนเคลือบเต็มมือและนิ้วของผมหรืออาจจะหกรินลงไปที่พื้นด้วย

"พี่รักชานะครับ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

นี่มันช่างร้อนแรงและแสนหวานเหลือเกิน ผมไม่รู้ตัวเลยว่าหลั่งความรักและปล่อยความรู้สึกออกไปมากแค่ไหน รู้แต่ว่าช่างน่าหลงไหลเย้ายวนเหลือเกิน

แต่ถึงกระนั้น ผมก็หาได้รู้ไม่ว่า ภายใต้อีกชายคาหนึ่งที่ไม่ไกลนี้.....





ก็ได้มีอีกหนึ่งบทรักที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน......



----------------------------------

เกร็ดความรู้

​       "บทอัศจรรย์" คือ บทร้อยกรองตามธรรมเนียมนิยมในวรรณคดีโบราณของไทย พรรณนาท่วงท่าและความรู้สึกทางเพศสัมพันธ์ของพระนาง มักกล่าวให้เป็นที่เข้าใจโดยใช้โวหารสละสลวย สำนวนเปรียบเทียบ สัญลักษณ์ หรืออุปมาอุปไมย เป็นต้น​
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 22:07:34 โดย Kings Racha »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด