Forensics พิสูจน์ 'รัก' ฐาน - Special I P.3[05/03/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Forensics พิสูจน์ 'รัก' ฐาน - Special I P.3[05/03/2018]  (อ่าน 31067 ครั้ง)

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
สนุกดีค่ะ เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 o13  o13 สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คนชอบเยอะอยู่แล้ว เนื้อเรื่องดีขนาดนี้ มาต่อไวๆนะครับ สนุกมาก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คนรอบตัวดูมีเงื่อนงำไปหมด

แล้วอะไรคือหมูกลับมาก็กอดซะแน่นเชียวคุณตำหนวด? เนียนนะนั่น

ออฟไลน์ win_win

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โหหหหหหหหหหหหหห  :heaven

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
เรื่องนี้สนุกกก

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่9

 
ห้องนอนหลังใหญ่เงียบเชียบ ทั้งๆที่นาฬิกาในห้องตอนนี้บอกว่าว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งแต่สภาพมืดครึ้มจนมองแทบจะไม่เห็นแสงสว่างจนพาลจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเอาซะง่ายๆว่านี่คือเวลากลางคืน แต่คงไม่มีคนอื่นที่ไหนเดินมีโอกาสมาเดินย่ำอยู่ในห้องๆนี้นอกจากเจ้าของห้องที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่บนพื้นห้องที่ข้างเตียง ดวงตาคู่สวยมองผ่านไปในความมืด หน้าปัดนาฬิกาที่เรืองแสงอยู่ในความมืดเป็นเพียงแสงๆเดียวในห้องที่ส่องสะท้อนออกมา

ตุ๊กตาสามตัวเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่บนเตียงกว้าง คนที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่ข้างเตียงเอื้อมมือมาดึงตุ๊กตาหนึ่งในสามที่ตัวเล็กที่สุดเข้ามากอดแน่นก่อนจะฝังหน้าลงกับตุ๊กตาตัวน้อย กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาช่วยให้คนที่กอดมันอยู่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย รฐนนท์เงยหน้าที่ซุกอยู่กับตุ๊กตาตัวน้อยขึ้นก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง วางตุ๊กตาลงแล้วพาตัวเองเดินไปตามทางคุ้นเคยเพื่อไปเผชิญกับชีวิตจริงที่ต้องเจอนอกห้องนอน
 

 
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทร่วมสมัยแบบพอดีตัวทำให้รฐนนท์ดูสง่าจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของคนที่มาร่วมงาน งานกาล่าดินเนอร์ที่ถูกจัดขึ้นโดยบริษัทร่วมทุนที่ช่วยกันก่อตั้งหอสมุดขึ้นมาเพื่อฉลองครบรอบสี่สิบปี จริงๆเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบงานสังคมที่ต้องสวมหน้ากากใส่กันแบบนี้ซักเท่าไหร่หรอกแต่เพราะเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อมันเป็นเรื่องของธุรกิจครอบครัว คนตัวสูงส่งยิ้มทักทายคนทุกคนที่เดินผ่านก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่กับคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอที่่นี่
 
“ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่นะครับคุณตำรวจ” รฐนนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปทักทายนายตำรวจหนุ่มที่วันนี้อยู่ในชุดสูทดูภูมิฐาน

“แต่ผมคิดแล้วครับว่าจะต้องเจอคุณที่นี่คุณรฐนนท์” พิชญุฒม์กระตุกยิ้มพลางยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนยื่นมือมาจับเป็นการทักทายตามมารยาทสากล “จริงๆผมก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของคุณซักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่างซักห้านาที”

“อันที่จริงหนึ่งวินาทีของอาจจะทำเงินได้มากกว่าหนึ่งเดือนของคุณก็ได้นะ แต่จะให้ลองหยุดทำเงินซักห้านาที... ก็น่าจะได้” รฐนนท์ตอบก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชิญให้พิชญุฒม์นำไปเลยว่าอยากจะคุยกับที่ไหน
 
 

คาเฟ่เล็กๆไม่ห่างจากล็อบบี้โรงแรมมากถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับการนั่งคุยกันของทายาทนักธุรกิจคนดังกับนายตำรวจสืบสวนสอบสวนหนุ่ม รฐนนท์นั่งไขว่ห้างหลังพิงไปกับพนักพิงดูสง่า ในขณะที่ตำรวจหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างประสานมือไว้บนหน้าขาก่อนที่รฐนนท์จะเป็นฝ่ายผายมือเชิญให้อีกคนพูดเรื่องที่ต้องการออกมา

“ได้ยินมาว่ามีสุขจิวเวลี่ให้ทุนการศึกษาเด็กคนนึงไว้ ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกหรอครับ”

“คุณคงไม่ได้มาเจอผมเพียงเพื่อถามว่าคุณพ่อใช้เหตุผลอะไรในการให้ทุนหรอกมั้งครับคุณพิชญุฒม์” รอยยิ้มในดวงตาและริมฝีปากอย่างคนรู้ทันของรฐนนท์ทำให้พิชญุฒม์ยกยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

“ผมกลัวว่าถ้าถามคุณออกไปว่าบริษัทคุณหวังอะไรจากอาชวินอยู่ก็กลัวจะตรงเกินไปหน่ะครับ” ทันทีที่พิชญุฒม์พูดจบรฐนนท์ก็หัวเราะออกมาเสียงเบา

“คุณพ่อก็คงแค่หวังบุคคลากรคุณภาพซักคนหล่ะมั้งครับ” บทสนทนาจบลงพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆของรฐนนท์และรอยยิ้มมุมปากของพิชญุฒม์ ไม่มีใครต่อบทสนทนา ให้ความเงียบเป็นตัวบอกลาก่อนที่พิชญุฒม์จะเป็นฝ่ายลุกออกจากเก้าอี้ก่อน และไม่ลืมที่จะหันหลับมาก้มหัวน้อยๆเป็นการบอกลาอีกฝ่าย

รฐนนท์ยังคงนั่งนิ่งๆอยู่กับที่ไม่ไปไหนจนพิชญุฒม์หายออกไปจากประตูโรงแรม ใบหน้าที่เคยส่งยิ้มน้อยๆคลอตลอดการสนทนากลายเป็นเรียบนิ่ง เขารู้ว่าพิชญุฒม์คือใครแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจมากเพราะสำหรับเขากับตำรวจมันไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน แต่ตอนนี้เขากำลังไม่พอใจพิชญุฒม์มากๆเพราะคนที่พิชญุฒม์รับไปอยู่ด้วยต่างหาก

 
เขาใช้เวลาหลายปีเพื่อไล่ตามหาคนๆนั้นและเพียงแค่อีกไม่นานคนๆนั้นก็จะมาอยู่ในมือเขาแล้วแต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังลงตัวกลับเจอเรื่องงี่เง่าไม่คาดฝันจนอาชวินบินหนีไปได้อีกรอบ ซึ่งคราวนี้จะตามกลับมาก็เริ่มจะยากแล้วแหล่ะเพราะดูเหมือนเจ้าของใหม่ของอาชวินดูจะหัวแข็งไม่เบา


ห้องทดลองประจำสำนักงานสืบสวนสอบสวนวุ่นวายอีกครั้งเมื่อได้รับงานชิ้นใหม่ อาชวินนั่งทดลองอยู่หน้าเครื่องมือขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับจอคอมคอยมองกราฟที่ขึ้นๆลงๆเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์สารเคมีที่เขาใส่เข้าไป จนเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์เสร็จก็ทำการสั่งปริ้นท์เอ้าท์ออกมาเพื่อให้อ่านข้อมูลได้ง่ายๆ

มือเรียวขีดๆเขียนๆวงตรงส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นสารประเภทอะไรก่อนจะกวาดสายตามองอีกรอบเพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะหันไปเปิดอ่านล็อคบุ๊คแล้วก็ทำการจดบันทึกผลการทดลองจากที่ได้ เพื่อที่จะเอาไปสรุปให้เอกภพอีกที และเพราะมัวแต่ใส่ใจอยู่กับผลการวิเคราะห์ตรงหน้าเลยไม่ได้รับรู้ว่าใครเดินเข้ามาในห้องทดลอง

 
“เอกภพหายไปไหน?”

“เห้ย!” อาชวินสะดุ้งตัวโยนเพราะเสียงกระซิบที่ข้างหู ด้วยอารามตกใจล็อคบุ๊คเล่มหนาที่อยู่ในมือของอาชวินเลยลอยไปหาคนที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้แสียง แต่เพราะคนมาใหม่มีทักษะป้องกันตัวที่ค่อนข้างดีเลยหลบทันแล้วปล่อยให้ล็อคบุคเล่มนั้นลอยไปกระแทกกับขอบประตูกระจกด้านหลังแทน

“วางแผนจะฆ่าฉันหรือไง?” พิชญุฒม์ถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วยืนกอดอกมองคนที่นั่งเอามือลูบหน้าอกตัวเองอยู่ด้วยสายตาขำๆ

“นายหน่ะซิจะฆ่าฉันหรือไง”

“แล้วตกลงเอกภพไปไหน?”

“จะไปรู้หรอไม่ได้นั่งเฝ้า” อาชวินลุกขึ้นเดินไปหยิบล็อคลุ๊คที่ตัวเองเขวี้ยงออกไป ซึ่งมันไปชนกับประตูกระจกห้องทำงานของเอกภพจนเปิดออก แล้วกลับมานั่งทำงานโดยไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

พิชญุฒม์ยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันไปเปิดประตูกระจกแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของเอกภพ ปกติห้องทำงานของเอกภพจะค่อนข้างถือเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของเจ้าตัวมาก ถ้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามเข้า ซึ่งปกติเขาก็ไม่เคยได้เข้ามาห้องทำงานของเอกภพหรอกเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้ามา อันที่จริงห้องทดลองนี่เขาก็แทบจะไม่เคยมาเหยียบด้วยซ้ำ แต่แค่ช่วงนี้มีเหตุผลให้ต้องมาบ่อยๆก็แค่นั้น

 
พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงานของเอกภพก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้อง จริงๆห้องนี่ก็ออกจะเต็มไปด้วยกองเอกสารแล้วก็กองเอกสารแต่ทำไมความเป็นระเบียบถึงยังมีอยู่ได้ หนังสือเป็นเล่มๆก็แทบจะไม่มี ที่เห็นๆอยู่ก็มีแค่หนังสือเกี่ยวกับพวกการวิเคราะห์แค่ไม่กี่เล่ม

พิชญุฒม์หมุนเก้าอี้มาอีกฝั่งยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะตรงที่ยังพอมีพื้นที่ว่างเพื่อจะแอบนั่งหลับรอเจ้าของห้องกลับมา จะให้กลับไปรอที่ห้องตัวเองก็ขี้เกียจ ถือว่ามานั่งเฝ้าอาชวินกันเจ้าตัวหนีก็แล้วกัน

“เห้ย!” แต่ตอนที่กำลังขยับขาเพื่อให้เป็นท่าที่สบายส้นรองเท้าดันไปเกี่ยวเข้ากับกองเอกสารที่อยู่ตรงใกล้ๆร่วงลงจากโต๊ะจนต้องก้มไปเก็บเพื่อเอากลับมาเรียงที่เดิม ก็แอบกลัวว่าถ้าทำไม่เหมือนเดิมจะโดนเอกภพสวดยับขนาดไหน

มือที่กำลังโกยกองเอกสารอยู่ชะงักเมื่อในกองเอกสารที่ร่วงลงมามีภาพของคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ข้างนอกอยู่ด้วย ภาพที่ดูแล้วมันคือการแอบถ่ายซึ่งคนในรูปกำลังนั่งเหม่ออคิดอะไรซักอย่างอยู่ พิชญุฒม์ยกรูปขึ้นมาเทียบองศากับอาชวินที่นั่งอยู่ข้างนอก ทุกอย่างบ่งบอกว่ารูปนั้นถูกถ่ายจากคนในห้องนี้พอพลิกด้านหลังก็เจอกับข้อความเล็กๆที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเจ้าของห้องทำงานนี้

“เอกภพ..” มือข้างที่ไม่ได้ถือรูปกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเพื่อเป็นการระงับความรู้สึกที่ตีขึ้นมา ก่อนจะเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ที่เดิมรวมถึงรูปๆนั้นด้วยแล้วทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 
ครืด

เสียงประตูห้องเอกภพเปิดทำให้อาชวินละสายตาจากล็อคบุ๊คหันไปมองที่คนที่เดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆเรียบๆ เขาไม่รู้หรอกว่าพิชญุฒม์เข้าไปทำอะไรเพราะห้องของเอกภพติดฟิล์มสีดำจนมองเข้าไปไม่เห็นข้างใน ซึ่งเท่าที่ดูจากสีฟิล์มแล้วเหมือนจะเป็นฟิล์มที่คนข้างนอกมองไม่เห็นคนข้างในแต่คนข้างในสามารถมองออกไปข้างนอกได้
 

“ใกล้เสร็จหรือยัง?”

“ใกล้แล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาทำต่อไม่ได้สนใจพิชญุฒม์ที่ยืนกอดอกพิงประตูห้องเอกภพมองอยู่ข้างหลัง ความเงียบคือสิ่งที่อาชวินได้จากพิชญุฒม์ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจอยู่แล้วเพราะรายนั้นอยากพูดก็พูดเองแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากจะพูด เน้นกวนหน้านิ่งอะไรเทือกๆนั้นมากกว่า

“เสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นก็ไปกันได้แล้ว” ทันทีที่อาชวินปิดสมุดล็อคบุ๊คพิชญุฒม์ก็เอ่ยขึ้นมาจนอาชวินต้องหันไปมองหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ จะรีบไปหนก็ไปดิวะจะมารอเขาทำไม

“ไปไหน” เก็บคำต่อว่าไว้ในใจแล้วเอ่ยถามออกไป

“ฉันมีคดีด่วนที่ภาคใต้” สายตาจริงจังของพิชญุฒม์ทำให้อาชวินต้องรีบเก็บของเพราะคดีนี้อาจจะสำคัญมากจริงๆ และเขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงอีกคนมากนักเพราะกับเรื่องงานพิชญุฒม์จริงจังเสมอ
 

พิชญุฒม์แวะกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนจะตรงไปนั่งหน้าแลปท็อปพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดเครื่องแล้วพับแลปท็อปเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆห้องอีกรอบแล้วพาทั้งตัวเองและอาชวินกลับที่พัก

เมื่อกลับมาถึงบ้านพิชญุฒม์ก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนห้องนอนแล้วเปิดแลปท็อปที่พกกลับมาด้วยขึ้นมา ข้อมูลบุคลากรที่เขาแอบโอนถ่ายมาเมื่อตอนก่อนจะออกจากสำนักงานถูกเปิดขึ้นมา ประวัติเอกภพถูกเปิดขึ้นมาโดยละเอียด ไม่ใช่ว่านี่คือครั้งแรกที่พิชญุฒม์ดูประวัติของเอกภพ ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกันประวัติของแต่ละฝ่ายก็ถูกส่งไปให้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนกัน

พิชญุฒม์กวาดสายตามองประวัติเอกภพแบบคร่าวๆ ทุกอย่างก็เหมือนกับที่เขาเคยเห็นมาแล้วเกือบทั้งนั้นเพียงแต่ประวัติที่เขาดูคราวนี้เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่จะต้องมีการอัพเดทเรื่องๆในระบบกลาง ประวัติของเอกภพใสและไร้รอยด่างพร้อยจนดูเหมือนเป็นคนสมบูรณ์แบบคนนึงถ้าไม่ติดว่าเขาเห็นข้อความที่คนๆนั้นเขียนไว้หลังรูปคงคิดไปแล้วว่าเอกภพมีใจให้นักโทษในการดูแลของเขา… เพราะในวันที่พิชญุฒม์ไปเจออาชวินอยู่กับเอกภพ ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยเพราะเขาไม่ได้บอกเอกภพเรื่องที่อาชวินโดนลักพาตัว แต่เพราะความโล่งใจที่เจออาชวินมีมากกว่า ความสงสัยในประเด็นนั้นเลยโดนปัดตกไป

 
ร้านกาแฟเงียบๆบนถนนย่านสุขุมวิทถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับพบกันในครั้งนี้ของพิชญุฒม์และอดิศร พิชญุฒม์ส่งข้อมูลคร่าวๆในเรื่องที่ตัวเองกำลังสงสัยให้อดิศรเป็นคนสืบค้นแต่กว่าที่อดิศรจะยอมเจาะระบบข้อมูลให้เขาก็ต้องเอาอาชวินมาเป็นตัวประกันอีกรอบอดิศรถึงจะยอมช่วย

“แน่ใจนะว่านายไม่ได้เดาสุ่ม”

“ยอมรับว่าเดาแต่ไม่ได้สุ่ม” พิชญุฒม์พูดขณะที่จิบอเมริโน่ไปด้วยในขณะที่อดิศรก็ทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อเขาซะเต็มประดาจนน่าหมันไส้

“จะบอกว่าที่อาชวินโดนลักพาตัวไปคราวก่อนมันคือฝีมือของคู่หูนาย?”

“อย่าทำมาเป็นใสซื่ออดิศร นายก็คงจะพอมีข้อมูลอยู่แล้วแต่แค่รอดูท่าทีของเอกภพต่อไปมากกว่า” อดิศรยักไหล่แบบไม่มีอะไรจะเถียงเพราะก่อนหน้าที่เขาจะออกมาเจอพิชญุฒม์ อีกฝ่ายเกริ่นๆกับเขาไว้จนเขาต้องไปหาข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่พอหาได้เพื่อเอามายืนยันว่าเรื่องที่พิชญุฒม์เรียกเขาออกมาคุยไม่ได้ไร้สาระจนเสียเวลาออกมาข้างนอก “แต่โปรไฟล์เอกภพถือว่าเป็นคนเพอร์เฟ็คคนหนึ่งเลยนะ”

“นายไม่มีทางรู้หรอกว่าภายใต้น้ำใสๆจะมีโคลนดูดอยู่หรือเปล่าจนกว่านายจะได้ลองเหยียบลงไป”

“หมายความว่ายังไง?”

“พาอาชวินไปที่อื่นซักพัก ขอเวลาให้ฉันอย่างต่ำสามวันแล้วฉันจะให้คำตอบว่าคู่หูนายจะเป็นสระน้ำแบบไหน”

ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พิชญุฒม์กับอาชวินเดินตามผู้คนออกมายังทางออกของสนามบินก่อนจะตรงไปยังบริเวณจุดที่มีบริการแท็กซี่และพิชญุฒม์ก็เป็นคนบอกจุดหมายปลายทางของการมาครั้งนี้ให้กับพนักงานขับรถ

รถแท็กซี่แล่นตามถนนสายหลักผ่านตัวเมืองลงไปทางใต้เรื่อยๆจนมองออกจากหน้าต่างรถแท็กซี่เจอแต่ชายหาด ดวงตากลมโตส่องประกายวิววับเมื่อภาพชายหาดสะท้อนเข้ามาในกรอบสายตา แทบจะจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสกับชายทะเลถึงแม้จะแค่มองจากไกลๆเพราะการมากระบี่ครั้งนี้ของเขาก็คือการมาทำงานของพิชญุฒม์

รถแท็กซี่จดลงตรงหน้าชายหาดกว้าง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ลมทะเลก็พัดเข้าหน้าจนอาชวินอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งแล้ววิ่งลงหาดแต่ก็ทำได้แค่มองใบมะพร้าวรอบๆหาดพัดไหวคลอไปกับเสียงคลื่น อาจจะเพราะสนใจทะเลมากไปเลยไม่รู้ว่าพิชญุฒม์เดินออกไปอีกทางแล้วจนอีกคนต้องหักกลับมาสะกิดเพื่อให้อาชวินเดินตามมา

บ้านพักขนาดเล็กซึ่งหันหน้าเข้าหาชายหาดมิชชั่นเป็นสถานที่ปลายทางที่ทั้งสองคนเดินมาถึง อาชวินแอบแปลกใจเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าการมาแก้คดีของพิชญุฒม์คราวนี้จะสร้างความประหลาดใจได้มากขนาดนี้เพราะถ้าพิชญุฒม์ไม่บอกเขาว่ามาแก้คดีเขาคงคิดว่าพิชญุฒม์มาพักผ่อนเป็นแน่

ภายในบ้านพักถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วนซ้ายมือเป็นเตียงนอนส่วนขวามือเป็นโซนพักผ่อนที่มีชุดโซฟาตัวเล็กๆสำหรับสองที่และทีวี แต่อาจเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดเล็กเลยทำให้ภายในมีเพียงเตียงคิงส์ไซต์หนึ่งหลังที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง อาชวินมองแล้วก็ได้แต่กรอกตา พิชญุฒม์จะให้เขานอนตรงไหน? บนพื้นหรือไง เพราะโซฟาก็ไม่ใช่ขนาดที่คนปกติจะนอนได้

“นายจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกก็ได้นะ แต่ถ้านายหนีไปเมื่อไหร่ฉันก็ตามนายกลับมาได้อยู่ดี”

พิชญุฒม์เอ่ยกับอาชวินก่อนจะเดินไปวางขอลงบนเตียงแล้วงัดเอาแล็ปท็อปในกระเป๋าออกมาแล้วยึดพื้นที่ตรงโซฟาหน้าทีวีไปใช้ทำงาน อาชวินเบะปากใส่น้อยๆก่อนจะวางกระเป๋าของตัวเองลงแล้วเดินออกไปข้างนอกเพราะดูจากประโยคกึ่งไล่เมื่อกี้นี้พิชญุฒม์คงไม่อยากให้เขาอยู่กวนสมาธิแน่ๆ

 
กว่าพิชญุฒม์จะเงยหน้าออกจากแลปท็อปได้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้วพอเหลือบมองนาฬิตรงหน้าจอแลปท็อปก็รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่หน้าจอร่วมห้าชั่วโมง พาลทำให้นึกถึงอาชวินไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กนั่นจะเดินเล่นไปถึงไหนเลยพับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วออกเดินตามหาอาชวิน

พิชญุฒม์เดินเลาะริมชายหาดไปบนพื้นทรายละเอียดเท้า บังกะโลที่เขาเลือกค่อนข้าเป็นส่วนตัวพอสมควรบริเวณหาดโซนนี้เลยไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านแถมยังไม่ไกลจากหาดมากเลยทำให้เขาเลือกจะมาพักที่นี่ ซึ่งอความจริงบังกะโลหลังนี้เป็นหนึ่งในกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่คุณแม่ของเขาจัดการอยู่ด้วยเลยได้มาค่อนข้างง่าย อันที่จริงเขาวางแผนจะพาอาชวินหลบมาทะเลซักสองสามวันอยู่แล้ว ยิ่งพออดิศรเปิดทางให้เขาพาอาชวินหายไปก็ยิ่งเข้าทางเขามากขึ้นไปอีก
 

แสงไฟจากไฟสาธารณะสีส้มยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมาะกับการพักผ่อนแต่คงไม่ใช่ตอนนี้เพราะพิชญุฒม์เดินมาซักพักแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาชวินถึงจะมั่นใจว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะหนีไปไหนแน่นอนแต่ก็มั่นใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นกน้อยต่อให้ปีกหักยังไงก็ต้องหาทางออกจากกรงจนได้

ยิ่งเดินออกมาไกลจากบ้านพักเท่าไหร่พิชญุฒม์ยิ่งออกอาการร้อนรนเท่านั้น ความรู้สึกตอนรู้ว่าอาชวินโดนจับตัวไปครั้งก่อนยังไม่จางได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขาเจอตัวเด็กนั่นที่ไหนซักทีที่ไม่ไกลจากที่นี่ ดวงตาคู่คมมองกวาดไปรอบๆในขณะที่ขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะไม่อยากวิ่งเร็วมากด้วยกลัวว่าอาจจะทำให้มองรอบๆไม่ละเอียดจนทำให้มองไม่เห็นอาชวิน

แต่แล้วช่วงขาเรียวที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินก็ค่อยๆผ่อนความเร็วลงเมื่อสายตามองไปเจออาชวินนั่งนิ่งๆอยู่บนม้านั่งเลยเปลี่ยนเป็นค่อยๆเดินเข้าไปไกลๆ

“หมู...”

“ชู่ว” อาชวินยกมือขึ้นมาทำท่าทางให้พิชญุฒม์เบาเสียงลงก่อนจะชี้ลงไปที่สิ่งที่นอนหลับอยู่บนตักของตัวเอง

“ฉันเจอมันแถวนี้ ขอเล่นกับมันอีกซักพักนะแล้วจะปล่อยไป” อาชวินเอ่ยตอบสายตาของพิชญุฒม์ที่มองมาเหมือนมีคำถามอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา พิชญุฒม์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

 
ลูกหมาวัยไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนสีขาวแซมน้ำตาลที่เขาไม่รู้หรอกว่ามันพันธุ์อะไรกำลังนอนหลับปุ๋ยให้อาชวินลูบขนเบาๆอยู่ คงจะเพลินน่าดูเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวเล็กไม่รับรู้อะไรนอกจากฝ่ามือของอาชวิน แอบลอบมองหน้าเจ้าของตักที่นั่งมองเจ้าลูกหมาตัวน้อยที่กำลังยิ้มเอ็นดูแต่สายตากลับฉายแววเศร้าออกมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะเหงาเลยไม่อยากให้ลูกหมาไร้ครอบครัวตัวนี้เหงาเหมือนตัวเองแน่ๆ

“นายไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้ในตอนนี้หรอกอาชวิน”

“ฉันรู้ ก็บอกแล้วไงว่าขออีกซักพัก”

ปลายเสียงที่แผ่วลงของอาชวินทำให้พิชญุฒม์ใจกระตุก เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่น้ำเสียงเบาๆแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความว้าเหว่และเดียวดายจนเขาจับได้ในกระแสน้ำเสียงนั้น พิชญุฒม์ปล่อยให้อาชวินนั่งลูบขนเจ้าลูกหมาตัวเล็กอยู่อย่างนั้นอีกซักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการบอกกลายๆว่าเวลาอีกซักพักที่อาชวินขอได้หมดลงแล้ว

คนตัวป้อมค่อยๆประคองเจ้าลูกหมาให้เบามือที่สุดเพื่อกันไม่ให้มันตื่น แอบคิดในใจว่าถ้ามันตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองต้องนอนหนาวอยู่คนเดียวบนม้านั่งตัวนี้มันจะรู้สึกเหงาแค่ไหน ลูกหมาตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัวตอนที่อาชวินวางมันลงบนม้านั่งทำให้อาชวินต้องรีบผละออกมา

 บ๊อก!
 
เจ้าลูกหมาตัวน้อยส่งเสียงเห่าออกมา พออาชวินหันไปก็พบว่ามันกระโดดลงมาจากม้านั่งแล้ววิ่งตามตัวเองมา ดวงตากลมโตของมันเหมือนจะสื่อว่าอย่าทิ้งมันไว้ตรงนี้ตัวเดียว แต่อาชวินก็ต้องตัดใจเดินจากมาเมื่อพิชญุฒม์เดินนำไปไกลแล้ว
 
บ๊อกบ๊อก!
 
เจ้าลูกหมาตัวน้อยยังคงวิ่งตามมา อาชวินหันไปมองพิชญุฒม์ที่เดินนำไปไกลก่อนจะหันมามองลูกหมาตัวเดิมอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงไปลูบหัวเจ้าลูกหมา

“ขอโทษทีนฉันเอาแกไปด้วยไม่ได้จริงๆ ลำพังตัวฉันยังเอาตัวไม่รอดเลย” อาชวินเอ่ยกับเจ้าลูกหมาที่มองเขาตาเป็นประกายหางสั้นๆกระดิกไปมาเพราะไม่ได้รับรู้ความหมายของคำพูดที่อาชวินสื่อออกมา อาชวินลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังกลับ คิดกับตัวเองในใจว่าจะไม่ใจอ่อนให้เจ้าลูกหมาตัวนี้อีกแน่นอน
 
บ๊อกบ๊อก
 
อาชวินข่มตาทำเป็นไม่สนใจเสียงเห่าของเจ้าลูกหมาน้อยแล้วพยายามก้าวเร็วๆให้เดิมตามพิชญุฒม์ทัน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาให้เร็วขึ้นแรงดึงที่ขากางเกงก็ทำให้ต้องหันกลับไปมอง เจ้าลูกหมาพยายามงับขากางเกงเขาไว้เพื่อดึงให้อาชวินอยู่กับมัน อาชวินพยายามสะบัดขากางเกงออกเบาๆเพื่อให้เจ้าลูกหมาปล่อยแต่ก็ไม่หลุดเลยพยายามจะออกแรงเพิ่มขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะออกแรงมากเพราะกลัวมันเจ็บเลยปล่อยให้เจ้าลูกหมากัดอยู่อย่างงั้นจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วอุ้มเจ้าลูกหมามาแนบอก
 
“ถึงตอนนี้ฉันอาจจะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่จะพยายามต่อรองให้ฉันได้ดูแลแกแล้วกันนะเจ้าลูกหมา”
 
พิชญุฒม์ที่หันกลับมามองซักพักแล้วได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนมีเค้าลางว่าเขาอาจจะต้องมีภาระที่ต้องดูแลเพิ่มตะหงิดๆเพราะอาชวินคงไม่ยอมแยกจากเจ้าตัวนั้นง่ายๆในตอนนี้แน่ๆ เอาเป็นว่าหลังจากสามวันนี้เขาค่อยคิดอีกทีแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อไปกับเจ้าหมาน้อยทั้งสองตัวตรงหน้าดี
 


tbc.

ยอมรับในความมาช้าครั้งนี้แต่โดยดีค่ะ งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาแตะคอมเลย T__________T เจอกันอาทิตย์หน้าค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ เฉื่อย

  • UNCOMMON AS NORMAL.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
แต่งได้ดีมาก เป็นเรื่องที่แตกต่างจากทั่วๆไป ชอบมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
น้องหมูนี่ ประวัติแลจะลึกลับจัง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
แน๊ มองน้องเป็นหมาน้อยแบบนี้ คิดไรกะน้องป่าวสารวัตร กิ๊วๆๆๆ// โดนปืนจ่อหัว// ขอโทษค่ะ



ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ได้ทั้งเด็กทั้งหมาเลย  ครอบครัวสุขสันต์ อิอิ

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่ 10



บ๊อกๆ

เสียงเล็กๆที่มาพร้อมกับแรงกระแทกเบาๆตรงหน้าอกทำให้พิชญุฒม์ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง ก้อนเล็กๆสีขาวแซมน้ำตาลปรากฎเข้าสู่คลองสายตาชายหนุ่มเกือบจะยกมือมาโยนสิ่งแปลกปลอมออกจากหน้าอกแล้วเขวี้ยงออกไปไกลๆอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าเจ้าลูกหมาตัวน้อยชิงกระโดนลงไปก่อน ขาสั้นๆของมันวิ่งเล่นอยู่บนเตียงที่เขานอนจนทั่ว พอเหลือบสายตาไปบนพื้นข้างเตียงก็เจอลูกหมาตัวโตอีกตัวนอนหลับสนิทอยู่

จริงๆพิชญุฒม์ไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดที่จะไล่อาชวินให้ไปนอนลำบากบนพื้นแข็งๆอย่างนั้น แต่เพราะเจ้าตัวยืนยันว่าจะขอนอนตรงนั้นเพราะไม่อยากให้เจ้าลูกหมาน้อยที่เก็บมาด้วยขึ้นไปนอนบนเตียงให้เตียงสกปรก แต่แล้วยังไงในเมื่อสุดท้ายอาชวินก็หลับอุตุแล้วเจ้าตัวน้อยนั่นก็ตะกายขึ้นมาวิ่งเล่นอยู่บนเตียงอยู่ดี เมื่อคืนนี้สุดท้ายเขาก็ยอมให้อาชวินพาเจ้าลูกหมาตัวน้อยมาจนได้แถมเจ้าตัวยังเรียกเจ้าลูกหมาตัวน้อยนั่นว่า ‘ทะเล’ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปคิดชื่อมาเสร็จสรรพขนาดนั้น

พิชญุฒม์ลุกขึ้นมานั่งหย่อนขาลงข้างเตียงก่อนจะหันไปคว้าเจ้าทะเลด้วยมือข้างเดียวก่อนจะลูบหัวมันสองทีแล้วโยนมันเบาๆลงบนไปบนหน้าคนนอนหลับอยู่ อาชวินสะดุ้งโหยงผุดลุกขึ้นมา พิชญุฒม์ใจหายวาบตอนที่เจ้าทะเลร่วงลงมากระแทกพื้นดังอั่กแล้วแล้วนอนหงอยเพราะความจุก

“เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยคุณตำรวจ” อาชวินตวัดสายตาดุๆมามองเขาก่อนจะช้อนเจ้าลูกหมามาไว้แนบอกลูบหัวลูกหางปลอบประโลมลูกหมาน้อยยกใหญ่ พิชญุฒม์ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้ลูกหมาสองตัวโอ๋กันไป


อาชวินต้องเจอเรื่องประหลาดใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของการมากระบี่ครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจ เพราะหลังจากที่พิชญุฒม์จัดการตัวเองเสร็จเขาก็เขาไปจัดการตัวเองต่อพอออกมาก็ไม่เจอพิชญุฒม์แล้วแถมเจ้าทะเลก็หายไปด้วยพอเปิดประตูมาก็เจอรถเก๋งบุโรทั่งจอดอยู่หน้าบ้านพักพร้อมกับคนที่บอกว่าจะมาแก้ไขคดีกำลังยืนเช็ดกระจกอยู่ ส่วนเจ้าลูกหมาก็วิ่งวนอยู่รอบๆพิชญุฒม์

“ไปเอามาจากไหนหน่ะ” อาชวินหมายถึงเจ้ารถเก๋งบุโรทั่งสีฟ้าซีดๆตรงหน้า

“ยืมคนแถวนี้มา” พิชญุฒม์ตอบหน้าตาก่อนจะย้ายไปเช็ดกระจกอีกฝั่ง อาชวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ใครเชื่อก็บ้าแล้ว เพิ่งจะมาถึงที่นี่เมื่อวานใครจะบ้าให้คนแปลกหน้ายืมรถถึงแม้จะเก่าจนแทบจะปลูกสาระแหน่ะได้แล้วก็เถอะ

อาชวินขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพิชญุฒม์ ก้มลงไปอุ้มเจ้าทะเลขึ้นมาฟัดเจ้าหมาน้อยงับเข้าที่จมูกรั้นๆของอาชวินจนคนตัวป้อมร้องออกมาเสียงดังพอเจ้าหมาน้อยถอนเขี้ยวออกอาชวินก็สวมวัญญาณเป็นหมาน้อยไปงับจมูกเจ้าตัวเล็กแทน พิชญุฒม์ส่ายหน้าเบาๆให้กับภาพตรงหน้า เหมือนลูกหมาน้อยสองตัวไม่มีผิด

มองจากมุมนี้อาชวินก็แค่เด็กธรรมดาๆคนนึงที่สดใสตามวัยและไร้ซึ่งกำแพงหนาๆที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าอาชวินเคยพบเจอกับอะไรมาบ้างเจ้าตัวถึงได้สร้างกำแพงขึ้นมารอบตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าเด็กนั่นดูมีความสุขมากขนาดนี้ เหมือนกำแพงที่อาชวินสร้างขึ้นมาโดนทำลายลงโดยที่เจ้าตัวก็น่าจะไม่รู้ว่าเป็นคนพังมันลงมาเองเพียงเพราะได้เจออะไรที่ให้ความรู้สึกเหมือนเงาสะท้อนของตัวเอง


รถเก๋งบุโรทั่งสีฟ้าซีดๆขับมาตามถนนริมหาดก่อนจะหยุดลงตรงหน้าร้านอาหารเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน โต๊ะนั่งแบบเอ้าท์ดอร์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะในอ้อมแขนของอาชวินมีเจ้าลูกหมาตัวน้อยนั่งมองตาแป๋วอยู่ อาหารเช้าที่ค่อนไปทางสายสำหรับสองคนถูกสั่งพร้อมกับนมจืดหนึ่งแก้วเพื่อเจ้าลูกหมาตัวน้อย

อาชวินเทนมในแก้วใส่จานใบเล็กสำหรับให้เจ้าทะเลกินได้ถนัดก่อนจะนั่งมองเจ้าตัวเล็กจัดการนมตรงหน้าไปพักใหญ่จนท้องกลมๆแข็งปั๋งแล้วนอนนิ่งๆอาชวินถึงหันมาจัดการกับอาหารที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟได้ซักพักแล้ว


พิชญุฒม์ขับรถไปตามทางสายหลักเพื่อมุ่งเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง ก็ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องได้ขับรถออกมาในตัวเมืองกระบี่ ทั้งๆที่แพลนแรกคือมานั่งๆนอนๆอยู่ริมทะเลให้ไอทะเลรัดตัวเล่นแต่เพราะเจ้าลูกหมาน้อยที่นั่งเกยหน้ากับขอบหน้าต่างอยู่ในอุ้งมือขออาชวินนั่นแหล่ะที่ทำให้เขาต้องไปติดต่อหารถเช่าเพื่อพามันออกมาย่านใจกลางเมืองที่คนพลุกพล่านขนาดนี้

รถบุโรทั่งสีฟ้าซีดจอดลงตรงหน้าคลีนิกสัตว์เล็กๆ พิชญุฒม์จำเป็นต้องพามันมาตรวจร่างกายเพื่อฉีดยา ไหนๆก็จะต้องอยู่กับมันขั้นต่ำก็อีกสองวันแล้วแต่อย่างมากก็อาจจะตลอดไปก็เลยต้องพามันมาเช็คร่างกายฉีดวัคซีนซะหน่อยอย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง เจ้าลูกหมาเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรเพราะเจ้าทะเลยังคงฟัดนัวเนียอยู่กับอาชวิน

แต่ทันทีที่คุณหมออุ้มไปวางบนเตียงเจ้าทะเลก็ตาเหลือกร้องหาอาชวินจนพิชญุฒม์หลุดขำออกมาจนโดนเจ้าลูกหมาตัวโตอย่างอาชวินตวัดสายตาไม่พอใจมามอง ซึ่งพิชญุฒม์ก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตากลมๆคู่นั่นแล้วหันไปขำเจ้าทะเลต่อ

หงิงง

เสียงเจ้าทะเลร้องครางหงิงในอ้อมกอดอาชวินที่นั่งลูบหัวลูบหางมันอยู่ในรถ สภาพหงอยๆของลูกหมาแอบทำให้รู้สึกผิดเล็กๆที่พามันมาฉีดวัคซีนแต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเองและพวกเขาอย่างน้อยก็ต้องป้องกันโรคต่างๆที่จะมากับมันก่อน

พิชญุฒม์ไถ่โทษด้วยการพาอาชวินกับเจ้าทะเลมาหยุดที่ สวนน้ำสวนสนุกที่ห่างออกจากตัวเมืองมาอีกนิดที่คนแน่นขนัดอาจเพราะช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นคนเลยค่อรข้างหนาตา และอาจเพราะพวกเขามากันในเวลาเย็นแล้วผู้คนมากมายเลยพากันมารอชมแสงสีจากชิงช้าสวรรค์อันใหญ่และขบวนพาเหรดของสวนน้ำในยามค่ำ อาชวินยิ่งกระชับอ้อมกอดที่อุ้มเจ้าทะเลไว้แนบอกเพราะกลัวว่ามันจะหลุดมือแล้วโดนผู้คนเหยียบเละ

อาชวินมองร้านรวงต่างๆที่เริ่มเปิดไฟประดับร้านด้วยสายตาทึ่งๆ ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปสวนสนุกหรอกนะตอนอยู่กรุงเทพเขาก็เคยแอบหนีไปอยู่ครั้งสองครั้ง แต่การแอบหนีไปสวนสนุกกับการได้มาเดินเล่นแบบไม่ต้องระแวดระวังอะไรหรือกลัวใครจับได้มันให้ความรู้สึกดีกว่ากันเป็นไหนๆ

บ๊อก!

เจ้าทะเลหูตั้งหางกระดิกเมื่อสายตากลมๆของเจ้าลูกหมาไปปะทะเข้ากับตัวตลกจมูกแดงที่ยืนเล่นกายกรรมโยนขวดอยู่ เสียงดนตรีจากลำโพงตัวเล็กข้างๆเรียกสายตาจากคนผ่านไปผ่านมาให้หยุดมองโดยเฉพาะเด็กๆ

บรรยากาศยามย่ำค่ำที่ไม่ได้ร้อนมากเพราะมีลมเย็นๆพัดมาตลอดทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนสามารถเดินเล่นไปทั่วสวนสนุกได้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หนึ่งในนั้นก็คืออาชวินที่มือนึงอุ้มเจ้าทะเลส่วนอีกมือนึงก็ถือถ้วยมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่ราดชีสที่ไม่มีร่องรอยของการกินเลย ไม่ใช่ว่าพิชญุฒม์สั่งห้ามหรืออาชวินหวงของแต่เป็นเพราะไม่มีมือจะหยิบถึงแม้กลิ่นของมันจะหอมยั่วยวนมากก็เถอะ

“คุณตำรวจ.. คือ..” อาชวินอ้ำๆอึ้งๆเพราะใจนึงก็เกรงใจที่จะต้องไหว้วานพิชญุฒม์ให้ถือให้แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะครั้นจะปล่อยให้เจ้าทะเลลงไปเดินกับพื้นก็เกรงว่ามันจะโดนเหยียบไปซะก่อน

“ไม่มีอะไรแล้ว” อาชวินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพิชญุฒม์เลิกคิ้วถามเป็นเชิงว่ามีอะไร พออาชวินบอกว่าไม่มีอะไรก็หันกลับไปกวาดตาดูรอบๆอีกครั้ง

แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งๆของพิชญุฒม์ความจริงแล้วคือเจ้าตัวแทบจะหลุดขำออกมาอยู่หลายรอบ ภาพดวงตากลมโตของอาชวินที่จ้องไปที่ถ้วยของกินตาละห้อยดูก็รู้ว่าอยากกินแต่คงไม่มีมือจะหยิบและเจ้าตัวก็คงจะไม่อยากรบกวนเขาถึงได้ทำหน้าหงอยไม่ต่างกับตอนที่เจ้าทะเลตอนโดนฉีดยาซักนิด พิชญุฒม์เอื้อมมือไปหยิบถ้วยมันฝรั่งทอดมาถือไว้เองก่อนจะหยิบมันฝรั่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉยก่อนจะเหลือบปลายหาตาไปมองอีกคนที่ทำหน้ามู่ทู่ใส่เจ้าทะเล

“หืม?” ชิ้นมันฝรั่งทอดชุ่มชีสถูกยื่นมาตรงหน้าจนอาชวินต้องมองหน้าอีกคนอย่างงๆ พิชญุฒม์พยักเหยิดหน้าเป็นเชิงให้อาชวินรีบๆงับเข้าปากไป ก่อนที่ริมฝีปากจะอ้าออกแล้วงับชิ้นมันฝรั่งเข้าไปทั้งชิ้นจนเต็มปาก

“เดี๋ยวป้อนเอง เล่นกับหมามือเปื้อนไม่ต้องคิดจะหยิบของกินเข้าปากเลยนะนายอ่ะ”

อาชวินพยักหน้าหงึกๆนึกขอบคุณแสงไฟสีส้มๆตามร้านรวงต่างๆเพราะเขารู้สึกว่ามันสามารถกลบความรู้สึกเห่อร้อนเล็กๆบนใบหน้าได้ ถ้านับกันจริงๆแล้วนี่ก็ร่วมเดือนที่สามที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับพิชญุฒม์มันก็ต้องมีบ้างที่บางครั้งพิชญุฒม์จะหลุดแสดงความอบอุ่นออกมาจนทำให้เขารู้สึกสั่นๆข้างใน ก็เด็กที่โตมากับความเหน็บหนาวของการอยู่คนเดียวคงไม่แปลกอะไรที่พอได้รับความอบอุ่นแม้จะน้อยนิดจากใครซักคนมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกสั่นไหวได้เป็นธรรมดา


ช่วงเวลาของขบวนพาเหรดมาพร้อมกับเสียงแห่งความสุขของผู้คน แถวที่เรียงยาวหน้ากระดานไปตามถนมที่เป็นเส้นทางผ่านของขบวนพาเหรดเต็มไปด้วยเสียงเชียร์เมื่อขบวนพาเหรดเดินผ่านหน้าไป สาวสวยในชุดระบำประจำชาติ หนุ่มนักดนตรีที่เดินตามมาเป็นขบวนเพื่อบรรเลงเพลงให้กับนักเต้นรำ ตามด้วยตัวตลกในชุดต่างๆที่เดินโชว์กายกรรม ขบวนรถเทียมม้าที่ข้างในมีเจ้าหญิงเจ้าชาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเหล่านางฟ้าเทวดาในชุดสีขาวที่โปรยริบบิ้นและคอยยื่นอมยิ้มให้เด็กๆ อมยิ้มหนึ่งอันถูกยื่นมาตรงหน้า อาชวินรีบคว้าไว้ก่อนจะยกยิ้มกว้างให้กับนางฟ้าตัวน้อยที่ยื่นให้เขาก่อนจะเดินไปยื่นให้คนอื่นๆต่อ

ขบวนพาเหรดจบลงไปแล้วคนในสวนสนุกบางตาลงไปมากกว่าครึ่งเพราะส่วนใหญ่มาเพื่อดูขบวนพาเหรด แต่พิชญุฒม์และอาชวินยังคงเดินเล่นอยู่ภายในสวนสนุกนี้ ส่วนเวลาเกือบสามทุ่มทำให้เครื่องเล่นที่เคยต่อคิวกันยาวในช่วงกลางวันแทบจะร้างผู้คน อาชวินเดินมาหยุดตรงหน้าชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ เคยวาดฝันว่าการขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วมองลงมามันต้องสวยมากแน่ๆ แต่ก็ไม่เคยที่จะได้ลองขึ้นแม้ซักครั้ง ยิ่งที่นี่ตั้งอยู่บนเนินเขาด้วยยิ่งทำให้เห็นบบรรยารอบๆที่รายล้อมไปด้วยทะเลยิ่งต้องสวยมากแน่ๆ

เพราะการที่ตัวเองหนีออกไปเที่ยวสนุกคือการไปคนเดียวทำให้อาชวินไม่กล้าจะไปต่อคิวเข้าแถวยาวๆเพื่อรอขึ้นแล้วขึ้นไปเพื่อนั่งคนเดียว เขารู้สึกเสียดายที่นั่งว่างที่เหลืออยู่และเขาก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากจะมานั่งชิงช้าสวรรค์ชมวิวกับคนที่ไม่รู้จักแน่นอน

“อยากขึ้นหรอ?” พิชญุฒม์ที่ก้าวมายืนข้างๆมองตามสายตาของอาชวินแล้วเอ่ยขึ้น

“อื้ม”

ชิงช้าสวรรค์ที่กำลังหมุนอยู่หยุดลงพร้อมกับแรงกระตุกที่ข้อมือแบบไม่เบาจนอาชวินเซไปตามแรงดึง พิชญุฒม์ลากเขาขึ้นมาหยุดตรงหน้ากระเช้าหนึ่งของชิงช้าสวรรค์ที่ถูกเปิดประตูไว้รอ หันมามองหน้าอีกคนอึ้งๆก่อนจะโดนดันตัวให้เข้าไปนั่งข้างใน อาชวินรีบกระชับมือที่อุ้มเจ้าทะเลไว้เพราะกลัวมันจะหลุดมือก่อนจะหันหน้ามามองอีกคน ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถาม
“มาขนาดนี้แล้วถ้าไม่นั่งชิงช้าสวรรค์ดูวิวซักหน่อยก็ดูจะแปลกๆเนอะว่าไหม”


ไม่มีเสียงตอบรับอะไรหลังจากนั้นทั้งพิชญุฒม์และอาชวินปล่อยให้ความเงียบและเสียงเพลงเบาๆที่ดังอยู่ในโซนเครื่องเล่นเป็นเชื่อมระหว่างคนทั้งสอง อาชวินหันหน้าออกไปนอกกระเช้าเพื่อซึมซับบรรยากาศที่เคยวาดฝันไว้ว่ามันจะต้องสวยมาก และมันก็สวยมากอย่างที่เคยวาดฝันไว้จริงๆ อาจจะสวยกว่าที่เคยนึกไปด้วยซ้ำ แสงไฟสีส้มตามชายหาดและบ้านเรือนตัดกับสีมือสนิทของตอนกลางคืนยิ่งทำให้บรรยากาศรอบนอกสวยมากขึ้นไปอีกจนเผลอปล่อยมือออกจากเจ้าทะเลจนมันกระโดดลงไปบนพื้นกระเช้า

ด้วยอารามตกใจอาชวินรีบทรุดตัวลงเพื่อจะไปอุ้มเจ้าตัวเล็กจนลืมสังเกตุว่าพิชญุฒม์ที่นั่งฝั่งตกข้ามก็ก้มตัวลงมาเพื่อจะอุ้มเจ้าลูกหมาเหมือนกัน วงแขนป้อมๆรีบอุ้มเจ้าลูกหมามาแนบอกทั้งๆที่แขนของพิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้ละออกจากเจ้าลูกหมาพออาชวินลุกขึนแรงดึงที่เกิดเลยทำให้คนตัวเล็กกว่าเสียหลักล้มใส่คนตรงหน้าและด้วยความที่อาชวินใช้สองแขนกอดเจ้าลูกหมาเลยทำให้กลายเป็นว่าตอนนี้อาชวินล้มไปปอยู่ในอ้อมอกคนตรงหน้าแบบไร้ซึ่งหลักยึดใด

พิชญุฒม์มองคนที่แทบจะจมเข้าไปในอกเขาพร้อมกับเจ้าลูกหมาตัวน้อยแล้วอยากจะขำดังๆ พอขยับแขนข้างที่โดนอาชวินล็อคไว้ก็ปรากฎว่าเจ้าลูกหมาตัวโตดันล็อคไว้ซะแน่นเลยใช้มือข้างที่ว่างอยู่ดันไหล่อีกคนออกเบาๆ ไหล่ขยับแต่ใบหน้ายังคงซุกอยู่ที่อกเขาจนต้องออกแรงดันเพิ่มให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเผื่ออาชวินจะช็อคไปเขาจะได้ปฐมพยาบาลทัน

และเพราะความที่อยู่ใกล้กันจนเกินไปพออาชวินเงยหน้าขึ้นมาเลยทำให้เห็นริ้วแดงๆที่ประดับอยู่บนแก้มกลมๆนั่นเลยพอจะเดาออกว่ามันคงไม่ได้มาจากความช็อคหรือความโกรธ พิชญุฒม์เดาว่ามันน่าจะมาจากความเขินอายของเจ้าตัวมากกว่า อาชวินพยายามพยุงตัวให้ตั้งหลักแต่เพราะแขนของพิชญุฒม์ที่ยังพันอยู่กับเจ้าลูกหมาเลยทำให้อาชวินต้องลงไปกองอยู่กับแผ่นอกกว้างของพิชญุฒม์อีกรอบ

“ฮ่าๆๆ”

พิชญุฒม์หัวเราะออกมาแบบไม่ปิดบังก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างโอบหลังอาชวิน ความแนบชิดทำให้พิชญุฒม์รับรู้ถึงจังหวะหนักๆตรงหน้าอกข้างคนในอ้อมกอด เขาแน่ใจมากว่าถ้าอาชวินเป็นรถไฟตอนนี้คงพ่นควันออกมาพร้อมกับเสียงปู๊นๆแน่ๆ


กว่าอาชวินจะหลุดออกมาจากสภาพนั้นได้ก็ตอนที่พิชญุฒม์เลิกแกล้งแล้วค่อยๆพยุงเขาลุกขึ้นดีๆซึ่งนั่นก็คือเกือบจะหมดรอบของกระเช้าชิงช้าสวรรค์ พอลงจากชิงช้าสวรรค์ได้อาชวินก็เดินดุ่มๆไม่สนใจร้านรวงหรือขนมกินเล่นข้างทางแล้วมุ่งไปที่รถอย่างเดียว ซึ่งพิชญุฒม์ทำก็แค่เดินผิวปากตามแบบสบายอารมณ์เพราะรู้ว่ายังไงเด็กนั่นก็ขับรถกลับหนีเขาไม่ได้หรอกในเมื่อกุญแจอยู่ที่เขา

พิชญุฒม์พาอาชวินและเจ้าทะเลมาหยุดอยู่ที่พัก ช่วงเวลาเกือบสี่ทุ่มแบบนี้สถานที่นี้เลยค่อนข้างเงียบสงบเหมาะกับการนั่งตากลมสบายๆเพื่อคลายเหนื่อย พิชญุฒม์ลงจากรถพร้อมถุงเบียร์เย็นๆที่จอดแวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างทาง เดินไปทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งริมหาดที่ตอนนี้ท้องทะเลสะท้อนสะส้มจากแสงไฟดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ

กระป๋องเบียร์เย็นๆที่ถูกเปิดแล้วถูกยื่นมาข้างหน้า อาชวินมองเจ้าของมือแวบนึงก่อนจะรับเบียร์เย็นๆมาจิบแล้วก็เบ้หน้าให้กับความขมปร่าของมัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแตะของพวกนี้ เขาก็เด็กผู้ชายคนนึงเรื่องสำมะเรเทเมามันก็ต้องมีกันบ้างแต่ก็ไม่ใช่วาเขาจะชื่นชอบในรสชาติมัน เพราะปกติเขาคุ้นเคยกับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในรูปของสารเคมีมากกว่าทีจะอยู่รูปของมึนเมา

ความเงียบที่คลอไปพร้อมกับเสียงคลื่นทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายจนต้องปล่อยความคิดหนักๆทิ้งไว้ มือป้อมลูบขนเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้นอนเคลิ้มหลับอยู่บนม้านั่งตรงที่ว่างระหว่างเขากับพิชญุฒม์ อาชวินหลับตาลงปล่อยให้ลมทะเลและเสียงคลื่นตีหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะพูดอะไร

พิชญุฒม์มองอีกคนที่นั่งหลับตา ใบหน้ากลมๆเริดขึ้นซึมซับบรรยากาศ มือก็ลูบขนเจ้าทะเลเบาๆ อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในเส้นเลือดจากเบียร์สองกระป๋องที่นอนแอ้งแม้งอยู่เลยทำให้เขามองภาพตรงหน้าจนไม่สามารถละสายตาได้ แสงไฟสีส้มที่ตกกระทบยิ่งขับให้อาชวินดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พิชญุฒม์ละสายตาออกจากใบหน้ามนของคนตรงหน้าไม่ได้พอรู้สึกตัวอีกทีพวงแก้มใสก็อยู่ตรงหน้าแล้ว

เพราะลมหายใจร้อนๆเจือกลิ่นแอลกอฮอล์เป่ารดอยู่ใกล้ๆกับแก้มเลยทำให้อาชวินต้องลืมตาเพื่อหันไปมอง คนตัวป้อมสะดุ้งเบาๆเมื่อปลายจมูกรั้นของตัวเองปัดไปโดนปลายจมูกโด่งของอีกคนที่เข้ามาใกล้ขนาดลมหายใจกลั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ แต่เขาแน่ใจว่าระยะห่างระหว่างเขากับพิชญุฒม์คงสั้นมากแน่ๆ มือข้างซ้ายของพิชญุฒม์จับไว้ที่ขอบพนักพิงเพื่อออกแรงส่งตัวเองให้เข้ามาชิดกับตัวเองยิ่งเรียกจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายให้แรงมากขึ้น

“คุณตำรวจ…” น้ำเสียงเรียกที่แผ่วเบากับสองมือที่ยกขึ้นมาดันหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างกันเพิ่มขึ้น กลับกันระยะห่างระหว่างกันกลับลดลงเรื่อยจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน

“พี่พีท เรียกฉันว่าพี่พีท”

ยังไม่ทันที่คนเด็กกว่าจะได้เอ่ย ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ก็ถูกสัมผัสเบาๆจากริมฝีปากของอีกคน ก่อนที่แรงกดจะเพิ่มขึ้น พิชญุฒม์เอียงศรีษะเล็กน้อยเพื่อปรับองศาให้จูบได้ถนัดกว่าเดิม พิชญุฒม์ไม่ได้ลุกล้ำไปมากกว่าการใช้ริมฝีปากบดคลึงริมฝีปากอิ่มของอีกคน กดจูบเบาๆย้ำแล้วก็ผละออกก่อนจะกดจูบใหม่ซ้ำๆ ไม่ได้ชวนให้เกิดอารมณ์หวาบหวามแต่หยอกเย้าให้อีกคนได้เขินอายก่อนจะกดจูบหนักๆอีกรอบจนเกิดเสียงดังจุ๊บแล้วผละออกมามองผลงานของตัวเอง ที่ตอนนี้ใบหน้ามนของอาชวินกำลังแดงแข็งกับแสงไฟ มือทั้งสองข้างจิกลงบนกางเกงขาสั้นที่ตัวเองใส่อยู่ ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ที่ตอนนี้มันทั้งแดงและเจ่อจนพิชญุฒม์ต้องยกนิ้วโป้งมาไล้เบาๆ กำลังจะก้มลงไปบดคลึงริมฝีปากแดงช้ำอีกรอบอย่างย่ามใจถ้าไม่ติดว่า...

บ๊อก!

“โอ๊ย!”

เจ้าลูกหมาตัวน้อยที่ตื่นมาตอนไหนไม่รู้กระโดดงับตรงหน้าท้องของพิชญุฒม์ไม่เบานักแต่ก็เท่าที่แรงของลูกหมาตัวเล็กๆจะมี ดึงสติให้กลับมาทั้งพิชญุฒม์และอาชวิน

“ทะเล” พิชญุฒม์แยกเขี้ยวใส่เจ้าลูกหมาที่แยกเขี้ยวใส่เขาก่อนที่อาชวินจะรีบอุ้มเจ้าทะเลมาแนบอกแล้วลุกพาเดินกลับเข้าไปยังบังกะโลที่พัก ปล่อยให้พิชญุฒม์นั่งคาดโทษเจ้าทะเลต่อไป ขนาดแค่มาอยู่ด้วยวันเดียวยังหวงเจ้าของขนาดนี้ไม่ต้องคิดถึงอนาคตเลยซักวันเขาต้องโดนเจ้าลูกหมานั่นกัดคอเอาแน่ๆ



เช้าวันสุดท้ายของการมาทำคดีพิเศษที่กระบี่ อาชวินตื่นแต่เช้าเพื่อไปสัมผัสกับทะเลพร้อมเจ้าลูกหมาน้อยที่ปล่อยให้มันวิ่งตามเขาดุ๊กดิ๊ก เรื่องเมื่อคืนยังอยู่ในหัวพอนึกถึงทีไรก็รู้สึกร้อนๆที่ผิวแก้มตลอด เมื่อคืนหลังจากที่หนีเข้าบังกะโลมาเขาก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนเลยแล้วปล่อยให้พิชญุฒม์กับทะเลทะเลาะกันต่อไป

อาชวินเดินเท้าเปล่าเหยียบผืนทรายก่อนจะหยุดยืนให้น้ำทะเลเย็นๆพัดมาใส่เท่าตัวเองก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่เอาขาแตะนำแบบกล้าๆกลัวๆแล้วพอน้ำทะเลพัดมาโดนเท้าเล็กๆสีขาวก็ยกขึ้นสะบัดๆก่อนจะหัวเราะออกมา เขาจงใจตั้งชื่อมันว่าทะเลเพราะมันเปรียบเสมือนความสดใสเหมือนกันท้องทะเลเวลาโดนแสงแดดกระทบให้เขาได้คลายความเหงาลงไปได้บ้างในตลอดสองวันที่ผ่านมาและอย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีมันมาร่วมแชร์ความเหงาอยู่ข้างๆจนกว่าจะถึงเวลาจากลานั่นแหละนะ

“หมู” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้อาชวินหันไปมองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเก้อเขินจากเหตุการณ์เมื่อวานแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ

“วันนี้เราต้องไปตรังนะไปเตรียมตัวได้แล้ว” อาชวินขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปก็ในเมื่อไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสงสัยทุกอย่างได้ก็ต้องตามน้ำไปอย่างนี้แหล่ะ ร่างโปร่งทรุดตัวลงไปอุ้มเจ้าลูกหมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพาทั้งลูกหมาและตัวเองเข้าไปในบ้านพักเพื่อเตรียมตัวไปตรังกับพิชญุฒม์


บ้านหลังโตที่ปรากฎตรงหน้าทำเอาอาชวินต้องหันไปมองคนข้างๆอย่างสงสัย พิชญุฒม์ใช้เวลาในการขับรถร่วมสองสามชั่วโมงเพราะต้องจอดแวะข้างทางเป็นพักๆด้วยกลัวว่าเจ้ารถปุโรทั่งคันนั้นจะเดี๋ยงไปซะก่อนจนสุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังโต ซึ่งแน่นอนว่าตลอดทางพวกเขาก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว

“ลงซิ”

อาชวินเปิดประตูลงอย่างงงๆก่อนจะยืนมองพิชญุฒม์ที่เดินไปเปิดประตูรั้วบ้านแบบง่ายดายก่อนจะหันมาส้งสัญญาณมือให้เขาเดินตามเข้าไป

“พ่อแม่คิดถึงจังเลย” พิชญุฒม์โผเข้ากอดหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีเต็มรักก่อนจะหอมแก้มทั้งสองข้างแล้วผละออกมากอดผู้ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ให้มันจริงเถอะนึกว่าคิดถึงแต่งานมากกว่าแม่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของคนเป็นแม่ทำเอาพิชญุฒม์ต้องรีบไปกอดโอ๋เป็นการใหญ่ “แล้วนั่นพาใครมาด้วยไม่คิดจะแนะนำให้พ่อแม่รู้จักเลยหรอ”

คนที่ถูกกล่าวถึงยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อมเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้อาวุโสทั้งสองคนเมื่อพิชญุฒม์กวักมือเรียก
“ผมชื่ออาชวินครับ เรียกผมว่าหมูก็ได้ครับ”

“หมูเป็นคู่หูคนใหม่ของผมครับพ่อแม่” พิชญุฒม์แนะนำตัวต่อให้เพราะรู้ว่าอีกคนอาจจะลำบากใจกับการแนะนำสถานะของตัวเอง

“อ้าวแล้วเอกภพหล่ะ?” คนเป็นแม่เอ่ยถามถึงอีกคนที่มักจะออกงานคู่กับพิชญุฒม์เสมอๆ

“เอกภพมีงานวิจัยเยอะครับผมเลยต้องเปลี่ยนคู่หูใหม่ชั่วคราว” พูดปดคนเป็นผู้ให้กำเนิดออกไปอย่างน้อยก็เพื่อให้พวกท่านสบายใจ พ่อกับแม่ไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องราววุ่นวายของเขามากมายหรอก

“แล้ววันนี้มาทำอะไรหล่ะพีทอยู่กี่วัน ทานข้าวกันมาหรือยัง” คราวนี้คนเป็นพ่อรัวคำถามใส่ลูกชายคนโตที่นานทีปีหนจะแวะเข้ามาที่นี่

“กลับคืนนี้แหล่ะครับพรุ่งนี้ผมมีงานต่อนิดหน่อย”

“อ้าวแล้ว..”

“พอดีจะเอาลูกหมามาฝากเลี้ยงหน่ะครับพอดีเจอมันแล้วรู้สึกเอ็นดูแต่คิดว่าคงเอาไปเลี้ยงที่กรุงเทพไม่ได้” ยังไม่ทันที่คนเป็นพ่อจะเอ่ยจบประโยคพิชญุฒม์ก็ชิงพูดขึ้นพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปที่เจ้าทะเลในอ้อมกอดของอาชวิน

อาชวินหน้าเสียทันทีตอนที่รู้ว่าจะต้องทิ้งเจ้าทะเลไว้ที่นี่ นี่ซินะที่เขาบอกว่าเวลาแห่งความสุชมักจะสั้นเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต่อรองอะไรมากได้อยู่แล้วเลยทำได้แค่เพียงส่งสายตาเป็นเชิงบอกพิชญุฒม์ว่าไม่เอามันไว้ที่นี่ไม่ได้หรอแล้วก็กระชับอ้อมกอดที่กอดเจ้าทะเลอยู่ให้แน่นขึ้นไปอีก

“หมูเอาทะเลไว้ที่นี่เถอะ เชื่อฉัน มันจะไม่มีวันเหงาถ้าอยู่ที่นี่” พิชญุฒม์ยกมือขึ้นลูบบนขนนุ่มของเจ้าลูกหมาเบาๆ “นายเอามันไปด้วยนายอาจจะดูแลมันได้แต่ก็ใช่ว่าจะตลอดเวลา อย่าลืมว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะนะ ถ้านายไม่อยู่ใครจะเป็นดูแลมัน ฉันก็ไม่ได้อยากใจร้ายทิ้งมันไว้หรอกแต่นายมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรอ นายมั่นใจแค่ไหนว่าจะดูแลมันได้ดีกว่านี้?”

อาชวินนิ่งไปกับคำพูดของพิชญุฒม์ ดวงตาคู่กลมหลุบต่ำมองเจ้าลูกหมาในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ พิชญุฒม์พูดถูก พิชญุฒม์ยอมให้เขาอยู่กับมันขนาดนี้ก็ถือว่าใจดีมากขนาดไหนแล้ว

“ถ้านายเอามันไว้ที่นี่ฉํนสัญญาว่าจะพามาหามันบ่อยๆ”

“พูดจริงหรอคุณ.. พี่พีท” ดวงตากลมโตเปล่งประกายดีใจ จนคนมองต้องอมยิ้มตาม พิชญุฒม์พยักหน้าเป็นการตอบรับ

อาชวินก้มลมมองเจ้าลูกหมาที่มองเขามาตาแป๋ว นึกชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยอมยื่มเจ้าทะเลให้พิชญุฒม์ เจ้าลูกหมาเหมือนจะไม่ยอมไปกับพิชญุฒม์ร้องตะกายจะกลับมาหาอาชวินจนข่วนพิชญุฒม์ไปหลายแผลแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหวตกมาอยู่นอ้อมกอดของเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย

พิชญุฒม์เอ่ยลาพ่อกับแม่ก่อนจะขับรถกลับไปยังกระบี่เพื่อจัดการคืนเจ้ารถบุโรทั่งที่เช่ามากับเจ้าของเต๊นท์รถแล้วเรียกแท็กซี่บริการเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน อาชวินมองทะเลตาละห้อย นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสบพบเจอที่นี่ สำหรับเขาที่นี่คือสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำดีๆ ถ้าชาตินี้เขามีโอกาสเขาคงจะได้แวะกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกซักครั้งเป็นแน่




tbc.

ว๊าววว มีฉากหวาน 555555555

ออฟไลน์ win_win

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฉากไหนมีหมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มฉากนั้นก็วายป่วงล่ะ

แหม่ ทำไม๊ทำไมทะเลไม่ไปนอนมองฟ้ามองน้ำไปเรื่อย ๆ เล่า
พี่พีทจะได้มีเวลาจัดการหมูให้หมาดู

ฮึ่ย!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ง่วววววววมีฉากจูบเว่ยเฮ้ย ละก็กลับไปเครียดกับกรุงเทพต่อ

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่11
 

นายตำรวจหนุ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังจากที่หาข้ออ้างหนีไปกระบี่ถึงสามวัน แต่พิชญุฒม์รู้สึกได้ว่าชีวิตปกติของเขามันเหมือนจะไม่ค่อยปกติเท่าที่ควร เพราะทันทีที่เขากลับมาเขาพยายามติดต่ออดิศรเป็นสิบๆครั้งแต่ก็ติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้เลย แล้วพอเขามาถึงสำนักงานในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็พบว่าเอกภพลาพักร้อนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเท่าที่รู้เคยร่วมงานกันมาเอกภพไม่เคยทิ้งงานไว้กลางคันแล้วหายไปแบบนี้ ถึงจะไม่บ้างานเท่าเขาแต่ก็ไม่เคยที่จะไว้ใจผลการทดลองของใครนอกจากการวิเคราะห์ของตัวเอง


“เอกภพจะกลับมาเมื่อไหร่รู้หรือเปล่า” พิชญุฒม์เอ่ยถามกายที่ตอนนี้ต้องดูแลงานทุกอย่างแทนอีกคน

“ผมไม่แน่ใจครับแต่เห็นพี่เอกภพบอกว่าสามสี่วัน” พิชญุฒม์พยักหน้ารับคำตอบนั้นก่อนจะเดินแยกจากอีกฝ่ายมามองอาชวินที่ตอนนี้ยืนเคว้งอยู่กลางห้องเพราะไม่มีอะไรทำ อาชวินต้องได้รับการแจกงานจากเอกภพเท่านั้นนั่นคือข้อตกลงตอนที่ยอมให้อาชวินมาช่วยงานที่นี่ แต่เพราะเอกภพไม่อยู่และไม่ได้สั่งอะไรไว้คนเด็กสุดเลยไม่กล้าที่จะแบ่งงานส่วนของตัวเองให้อาชวิน
 

สุดท้ายพิชญุฒม์เลยเลือกที่จะพาอาชวินกลับมายังห้องทำงานของตัวเองเหมือนเดิม โยนหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งเล่มก่อนที่ตัวเองจะไปนั่งลงตรงหน้าแลปท็อปแล้วจมอยู่กับกองงานที่สะสางยังไงก็ไม่มีวันหมดของตัวเอง ดวงตาคู่คมกวาดไปตามตัวอักษรที่แสดงอยู่บนหน้าจอซักพักคิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปมก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบเชียบตรงโต๊ะกลางห้องแล้วก็วกกลับมามองหน้าจอแลปท็อปต่ออีกรอบ

“หมู” เป็นพิชญุฒม์ที่ทำลายความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงคลิกเม้าส์ของตัวเอง “เคยได้ยินชื่อรฐนนท์ที่เป็นทายาทของมีสุขจิวเวลี่มาก่อนมั่งหรือเปล่า”

พิชญุฒม์ลอบสังเกตุอากัปกิริยาคนตรงหน้าเมื่อเขาเอ่ยชื่อของใครอีกคนออกมา แล้วก็เป็นไปดังคาดว่าอาชวินต้องมีอาการอะไรซักอย่าง คนตรงหน้าชะงักไปอย่างเห็นได้ชัดดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ออกอาการอะไร

“เคยได้ยินมาแค่ผ่านๆหน่ะ” น้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่งที่สุดตอบกลับมาแต่มันช่างไม่เนียนเอาซะเลย ในเมื่อพิชญุฒม์ทำงานอยู่กับการเค้นความลับและจับสังเกตุสิ่งรอบข้างมานานทำไมเรื่องแค่นี้เขาจะดูไม่ออก อาชวินกำลังโกหกอยู่

“พอดีตอนนี้ฉันกำลังทำคดีพิเศษอยู่หน่ะแล้วเย็นนี้ต้องมีไปสอบปากคำกับรฐนนท์นิดหน่อยว่าจะพานายไปด้วยเลยบอกล่วงหน้าหน่ะ”

พิชญุฒม์พูดจบก็แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อแต่สายตายังไม่ละไปจากอาชวิน คนเด็กกว่าพยายามที่จะเปิดอ่านหนังสือแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่หารู้ไม่ว่ามือที่กำลังเปิดหน้าหนังสือนั่นของตัวเองมันสั่นจนคนอื่นสามารถจับสังเกตุได้ อันที่จริงพิชญุฒม์โกหกว่าเย็นนี้จะต้องไปสอบปากคำรฐนนท์ แต่ดูเหมือนว่าถ้าเขาลองทำให้อาชวินกับรฐนนท์เจอหน้ากันจังๆซักรอบถึงจะเสี่ยงแต่ก็น่าจะได้อะไรที่คืบหน้ามากกว่านี้
 

ชั้นสี่สิบแปดของโรงแรมหรูระดับห้าดาวเปิดต้อนรับนายตำรวจหนุ่มและนักโทษในปกครองของเขา บรรยากาศสบายๆและดนตรีที่เปิดคลอเบาๆไม่ได้ช่วยให้อาชวินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาแม้แต่น้อย หลังจากที่พิชญุฒม์เสร็จงานก็ซัดไปเกือบสองทุ่มคนรูปร่างสูงโปร่งลากเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้วพาออกมาที่นี่ทันที แม้ในใจจะตุ๊มๆต่อมๆเพราะต้องมาเจอกับคนที่พยายามหลีกเลี่ยงมานานแต่อีกใจก็คิดว่าพิชญุฒม์คงไม่ปล่อยให้รฐนนท์จับเขากลับไปง่ายๆหรอก มันไม่ใช่ความเชื่อใจแต่มันคือความไว้ใจถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มันก็น่าจะเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“ผมมีนัดกับคุณรฐนนท์ครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกไปเมื่อพนักงานโรงแรมเดินมาอำนวยความสะดวก

“เชิญทางนี้ครับ” พนักงานโรงแรมในชุดสูทผูกหูกระต่ายผายมือให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินนำทั้งสองคนออกมายังส่วนที่เปิดเป็นเอ้าท์ดอร์

พื้นที่ภายนอกถูกจัดขึ้นเพื่อลูกค้าที่ชอบความเป็นส่วนตัว พื้นที่ว่างถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนโดยใช้ธารน้ำเล็กๆที่มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเป็นตัวแบ่ง พื้นที่แต่ละส่วนถูกจัดแต่งด้วยชุดโซฟาขนาดสามถึงสี่ที่นั่ง บรรยากาศภายนอกเงียบสงบมีเพียงเสียงเพลงเบาๆที่เล็ดลอดออกมาจากโซนด้านในกับเสียงน้ำไหลคลอเบาๆที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย พนักงานโรงแรมผายมือเชิญให้ทั้งคู่นั่งลงตรงชุดโซฟาที่อยู่ส่วนกลางของพื้นที่ก่อนจะโค้งให้อย่างนอบน้อมแล้วจากไปปล่อยให้แขกทั้งสองคนพักผ่อนตามอัธยาศัย พิชญุฒม์นั่งมองคนที่ลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะพิงตัวเองจนแทบจะจมหายไปกับโซฟาทรงรังไหมตัวเขื่องแล้วก็แอบอมยิ้มน้อยๆ

อาชวินคนที่เขาเจอวันแรกกับอาชวินในวันนี้แทบจะเหมือนคนละคน อาชวินวันนั้นเหมือนเม็ดทรายที่ดูทั้งหยาบกระด้างและสามารถบาดเท้าใครก็ตามที่เดินมาเหยียบแล้วไม่ระมัดระวังตัวให้เกิดแผลได้ แต่อาชวินในวันนี้เหมือนทรายที่โดนหลอมจนกลายเป็นแก้วใสใบเล็กๆที่สามารถแตกได้ในทุกเมื่อเปราะบางแต่ก็ดูน่าครอบครอง นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจพาอาชวินไปกระบี่พราะมันทำให้กำแพงบางๆที่อาชวินสร้างไว้นั้นทะลายลงมาบ้างแม้จะไม่หมดแต่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ว่ากำแพงอันนั้นมันพังลงมามากแค่ไหน

พิชญุฒม์เอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วเอามือทั้งสองข้างประสานกันรองท้ายทอยเอาไว้ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อรอเวลาให้คนที่เขานัดมาถึง เพราะว่าพิชญุฒม์ด้นสดตอนที่บอกอาชวินว่ามีนัดกับรฐนนท์เลยทำให้เขาต้องใช้เวลาช่วงบ่ายหาทางนัดรฐนนท์ออกมาจนสุดท้ายได้คิวว่างจากเลขาของอีกฝ่ายตอนสองทุ่มครึ่ง เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้พิชญุฒม์เปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับยกนาฬิกาที่ข้อมือมาดู นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่งพอดีกับที่เสียงฝีเท้าหยุดลงไม่ห่างจากเขามาก

“ตรงเวลาเป๊ะเลยนะครับคุณรฐนนท์” พิชญุฒม์ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปทักทายทักทายอีกคน รฐนนท์เอื้อมมือมาจับตามมารยาทก่อนจะส่งยิ้มให้ พิชญุฒม์ผายมือเชิญให้อีกฝ่ายได้นั่งที่ฝั่งตรงข้ามตัวเอง และเหมือนรฐนนท์จะไม่ได้สังเกตุว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เขาสองคน

“หมู!” เป็นไปตามคาดของพิชญุฒม์ รฐนนท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างปิดไม่มิดแต่ที่ไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์คือกระแสเสียงที่แสดงความตกใจนั้นเจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่พิชญุฒม์จับสังเกตุได้ไม่อยากจะคิดไปเองว่าในความตกใจนั้นเจือไปด้วยความยินดีอยู่เล็กๆ

“ผมคงไม่ต้องแนะนำหรอกมั้งครับเพราะคิดว่าคุณน่าจะพอรู้จักเด็กคนนี้อยู่บ้างนิดหน่อย” พิชญุฒม์ย้ำในท้ายประโยคทำให้รฐนนท์ต้องหันกลับมาเอ่ยตอบรับพร้อมยิ้มบางๆ

“แน่นอนครับผมก็พอจะรู้จักคุณหมูอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆแต่ไม่ได้สนิทกันหรอกครับ”รฐนนท์ตอบกลับแบบไม่ลืมที่จะเน้นคำ รอยยิ้มน้อยๆนั่นอาชวินมองดูก็รู้ว่าอีกคนแค่แสร้งทำ

“งั้นคุณคงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะพาเด็กในความปกครองของผมมาร่วมโต๊ะด้วยในครั้งนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น” รอยยิ้มแห่งไมตรีถูกส่งให้แก่กันและกัน ยิ้มที่ปากแต่สายตาไม่ได้ยิ้มตาม สงครามประสาทยุติลงเมื่อบริกรยกถาดค็อกเทลมาเสิร์ฟ French 75 สำหรับรฐนนท์ และ Mojita สำหรับพิชญุฒม์

“ของท่านนี้ขอเป็นพั้นซ์ซักแก้วก็พอแล้วครับ” มือที่กำลังจะหยิบ Margarita ของบริกรชะงักเมื่อได้ยินประโยคร้องขอจากรฐนนท์ก่อนจะโค้งให้ลูกค้าทั้งสามเพื่อไปผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่มาให้ “ดูแล้วคุณหมูน่าจะไม่ถูกโรคกับเครื่องดื่มพวกนี้เท่าไหร่ใช่ไหมครับ?”

อาชวินมองคนตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ก็เบนหน้าหนีพร้อมกับพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับ จากสายตาที่สบกันเมื่อครู่ของรฐนนท์และอาชวิน ข้างในมันร้องเตือนว่ารฐนนท์คนตรงหน้าไม่ใช่รฐนนท์ที่เขารู้จักเหมือนเมื่อหลายปีก่อน อาชวินไม่ได้สนใจบทสนทนาของทั้งคู่เท่าไหร่แต่เท่าที่ได้ยินผ่านหูมาก็มีแค่คำพูดสวยหรูแต่อาบไปด้วยยาพิษของทั้งของทั้งพิชญุฒม์และรฐนนท์ มีบ้างที่นั่งๆอยู่ก็ต้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆเพราะสายตาของรฐนนท์และก็เป็นพิชญุฒม์ที่จับสังเกตุได้จนต้องเอื้อมมือมากุมมือเขาไว้

กว่าจะหลุดพ้นเหตุการณ์อันแสนอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกเวลาก็ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ซึ่งแค่สามสิบนาทีที่ต้องเผชิญเมื่อกี้นี้มันเหมือนสามปีเลยสำหรับอาชวิน คนรูปร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อรฐนนท์ขอตัวกลับเพราะมีงานที่ต้องสะสางต่อปล่อยให้เขากับพิชญุฒม์นั่งอยู่ที่เดิมกันสองคน

“มีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังไหม” พิชญุฒม์เอ่ยออกมาเบาๆเรียกให้ดวงตาคู่กลมหันไปมองหน้าอีกคนอย่างสงสัยซึ่งพิชญุฒม์ไม่ได้มองเขา ดวงตาคู่คมมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดสิ้นสุด อาชวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองทำเป็นลืมไปแล้วว่าเคยเกิดขึ้น

 
“ฉัน นนท์ แล้วก็เมฆพวกเราเป็นพี่น้องกัน”

 
“นี่นนท์อย่าแกล้งหมูซิ” เสียงเล็กๆของเด็กวัยเจ็ดขวบตะโกนดังมาจากอีกฝั่งของสนามเด็กเล่นเล็กๆก่อนจะรีบพุ่งตัวมากอดเด็กชายที่ตัวเล็กกว่าเอาไว้

“นนท์ไม่ได้แกล้งพี่หมูซะหน่อยนนท์แค่จะเล่นกับพี่หมู” เด็กน้อยที่แทนตัวเองว่า ‘นนท์’ ทำหน้าง้ำไม่พอใจที่พี่ชายตัวสูงวิ่งมาแยกตัวเองออก

“เล่นอะไรของนายฉันเห็นนะว่านายเอาทรายเทใส่หัวของหมู” คนมีศักดิ์เป็นพี่ว่าพลางปัดเศษทรายที่อยู่บนหัวคนในอ้อมกอดออกเบาๆ

“ฉันเล่นกับนนท์จริงๆน่าเมฆ นนท์ไม่ได้แกล้งฉันซักหน่อยจะห่วงอะไรนักหนาเนี่ย” เด็กชายตัวน้อยที่ตัวเล็กที่สุดในสามคนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันกระต่ายยืนยันกับอีกคนว่าคนเป็นน้องไม่ได้โกหกจริงๆ อดิศรมองรฐนนท์ที่ทำหน้าหงอๆสลับกับอาชวินที่ยกยิ้มกว้างไปมาแล้วก็ยอมปล่อยอีกคนออกจาก้อมกอด เด็กชายอาชวินเดินเข้าไปลูบหัวปลอบน้องชายตัวโตที่ตอนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังงอนอดิศรอยู่แน่ๆ

“โอ๋ๆนนท์ไม่งอนพี่เมฆนะเดี๋ยวเย็นนี้พี่เมฆแบ่งไข่เจียวให้”

“หมู! ใครบอกจะแบ่งไข่เจียวให้นนท์” อดิศรชักสีหน้าใส่อีกคน

“ฉันบอกอยู่นี่ไง” พูดจบก็หัวเราะร่วนพร้อมกันกับน้องเล็กตัวโต

 
“อ่ะเอาไป”อดิศรตักไข่เจียวในถาดอาหารของตัวเองให้น้องเล็กแต่ตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของตัวเองหน้าบึ้ง นั่นไข่เจียวของโปรดของอดิศรเลยนะทำไมเขาต้องเสียสละให้รฐนนท์ด้วยก็ไม่รู้เพราะอาชวินคนเดียวเลย

อดิศรที่นั่งเคี้ยวข้าวไปหน้าบึ้งไปต้องชะงักเมื่อคนข้างขวาตักไข่เจียวมาวางไว้บนถาดข้าวของตัวเอง พอหันไปก็เจออาชวินที่ยิ้มกว้างตักข้าวเข้าปากแบบไม่รู้ไม่ชี้แต่ไข่เจียวในถาดของตัวเองหายไปครึ่งนึง อดิศรยิ้มบางๆให้อีกคนก่อนจะยกนมกล่องๆเล็กของตัวเองให้อีกฝ่าย

“หมูต้องกินนมเยอะๆนะจะได้สูงๆเหมือนฉันไง”
 

“เมฆฉันไม่อยากไปเลย” เด็กน้อยตัวป้อมนั่งน้ำตาซึมอยู่บนชิงช้าตัวเล็กโดยมีอดิศรคอยลูบหลังปลอบเบาๆ

“ไปซิหมูมีคนมารับหมูไปอยู่ด้วยดีจะตาย หมูจะได้กินขนมอร่อยๆเยอะแยะเลยนะ”

“แล้วเมฆหล่ะเมฆไม่ไปแล้วเราจะอยู่กับใคร” น้ำตาเม็ดโตกลิ้งหยดลงบนแก้มเนียนใสของเด็กตัวป้อม อาชวินปล่อยโฮจนอดิศรต้องดึงอีกคนมากอดปลอบ

“นนท์ไง นนท์ก็ไปกับหมูนะอย่าลืมซิ”

“ไม่เอาฉันจะอยู่กับเมฆ” เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นของคนตัวป้อมในอ้อมกอดทำให้อดิศรกอดอีกคนแน่นขึ้นมือก็คอยลูบหัวลูบหลังให้อาชวินสงบลง

ตั้งแต่จำความได้ข้างกายของอาชวินก็มีแต่อดิศรและข้างกายของอดิศรก็มีแต่อาชวิน เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นใครเขารู้แค่ว่าเขามีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่จำความได้ ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นอดิศรจะเป็นคนแรกที่เขาเห็นและอดิศรก็เป็นคนสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะหลับตาลงในตอนกลางคืน คำว่าพี่น้องคือคำที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ใช้เรียกกันแต่สำหรับอดิศรกับอาชวินมันมากกว่านั้น เพราะความเป็น ‘แฝด’ เลยทำให้ทั้งชีวิตของอาชวินมีแค่อดิศร และทั้งชีวิตของอดิศรมีแค่อาชวิน

 
สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าครึกครื้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีผู้ใจดีมาทั้งเลี้ยงอาหารกลางวันและแจกของเล่นของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กๆ นายทุนยักษ์ใหญ่ของวงการเครื่องเพชรลงทุนมาเลี้ยงอาหารกลางวันด้วยตัวเองและเพื่อมารับตัวเด็กชายสองคนไว้ในไว้ในการดูแล

อดิศรกับอาชวินไม่ได้อยู่ตอนที่นายทุนใหญ่เจ้าของธุรกิจจิวเวรี่กำลังแจกของเล่น และไม่มีใครคิดจะตามหาคนที่ดูแลบ้านหลังนี้อยู่รู้ดีว่าทั้งสองคนผูกพันธ์เกินกว่าจะแยกจากกัน เพราะแต่ละคนก็เปรียบเสมือนครึ่งชีวิตของกันและกัน ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตหลังจากนี้ของอดิศรและอาชวินจะเป็นยังไง

เด็กชายตัวน้อยสองคนยืนเกี่ยวก้อยสัญญากันตรงส่วนหลังบ้านที่ลับตาคน คนตัวเล็กกว่ายืนสะอื้นฮักเพราะต้องจากคนที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของตัวเองไป ส่วนอีกคนได้แต่ลูบหัวลูบหลังปลอบโยน ทั้งคู่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อดิศรจะเป็นคนที่คอยปลอบและคอยดูแลอาชวินมาตลอด

“ไม่ร้องนะหมูเดี๋ยวนายออกไปก็เจอของเล่นสนุกๆ ของกินอร่อยๆแล้วนะ”

“ไม่เอาฉันจะอยู่กับเมฆ” อาชวินยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ตาขยี้จมูกจนมันแดงไปหมด

“ฉันสัญญาว่าวันนึงฉันจะตามออกไปหาหมู ฉันเป็นหนี้บุญคุณหมูอยู่ไม่รู้หรือไง”

“หนี้อะไรหรอ?” คนตัวเล็กช้อนดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองอีกคนอย่างสงสัย

“หนี้ชีวิตไง เพราะถ้าไม่มีหมูฉันก็คงไม่เหลือใครบนโลกนี้แล้ว” อดิศรดึงคนตัวเล็กกว่ามากอดไว้แน่นเมื่ออาชวินเริ่มเบะปากอีกรอบ

เมื่อถึงคราวจากลาอดิศรทำแค่ยืนโบกมือให้ทั้งรฐนนท์และอาชวินที่เดินตามนายทุนเพื่อไปขึ้นรถคันใหญ่แล้วขับไปจนลับตา น้ำตาเม็ดเล็กๆไหลลงมาจากดวงตาคู่เรียวรีของอดิศร ความรู้สึกไม่สู้ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเองทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่เพราะเคยสัญญากับอาชวินตอนเด็กๆว่าจะคอยปกป้องอาชวินและจะไม่ร้องไห้เด็ดขาดเลยทำให้เด็กชายวัยเจ็ดขวบเปลี่ยนจากผ้าสีขาวกลายเป็นผ้าสีอึมครึม
 

เวลาผ่านไปจากเด็กชายก็โตเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป เพราะอาชวินฉายแววเฉลียวฉลาดในเรื่องของการเรียนตั้งแต่เด็ก พออยู่ชั้นมัธยมต้นเลยถูกส่งตัวไปเรียนพิเศษในช่วงสั้นๆที่เยอรมันก่อนจะกลับมาเพื่อรับทุนของบริษัทจิวเวรี่ที่รับมาอุปการะ แตกต่างกับรฐนนท์ที่ถูกเลี้ยงมาแบบเรื่อยๆเอื่อยๆจนออกแนวตามใจ ความต่างของทั้งคู่เริ่มมากขึ้นเมื่อนายทุนมีสุขจดทะเบียนให้รฐนนท์เป็นลูกชายบุญธรรมเพียงคนเดียว

อาชวินที่พูดน้อยลงตั้งแต่ถูกจับแยกกับอดิศรแทบจะกลายเป็นเด็กเก็บกด วันๆใช้เวลาอยู่แต่กับหนังสือเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาลืมที่จะสนใจชีวิตจริงได้ จนอาชวินได้เหรียญทองโอลิมปิควิชาการทางด้านเคมีแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นและรฐนนท์คนที่พอจะคุยได้ด้วยแบบสนิทใจก็โดนจับส่งไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเจอรฐนนท์อีกเลย

 

“นายจะบอกว่ารฐนนท์ไม่ใช่ทายาทแท้ๆของมีสุขจิวเวลรี่งั้นหรอ?”

“ฉันท้าให้ไปตรวจดีเอ็นเอดูได้เลย”

“แล้วยังเรื่องที่นายกับอดิศรเป็นฝาแฝดกันอีก เหลือเชื่อชะมัด”

“ไม่เคยได้ยินคำว่าแฝดคนละฝาหรือไง” อาชวินกรอกตาใส่อีกคนอย่างหน่ายๆก่อนจะทิ้งหลังพิงโซฟานุ่มแล้วถอนหายใจหนัก ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งเล่าปูมหลังที่ตัวเองไม่ค่อยอยากจะจำพวกนี้ให้ใครฟัง เคยฝังมันไว้จนลึกแต่สุดท้ายก็ยอมทนเจ็บขุดมันขึ้นมเล่าให้ใครก็ไม่รู้ฟัง

“ฉันไม่รู้ว่านี่จะใช่สิ่งที่นายอยากฟังจากฉันหรือเปล่า แต่สำหรับฉันคงมีเรื่องที่อยากจะบอกแค่นี้แหล่ะ”

“แค่นี้ก็เยอะพอแล้วแหล่ะ นายไม่เคยได้ยินหรอว่าอดีตคือตัวตัดสินอนาคต อย่างน้อยถ้าฉันรู้ว่าอดีตของคนๆนั้นอย่างไงฉันก็พอจะรู้ว่าต่อไปคนๆนั้นน่าจะทำอะไรต่อไป ป่ะกลับบ้านเรากันเถอะ”

พิชญุฒม์ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนจับ อาชวินลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยอมยกมือไปวางบนฝ่ามือหนาของอีกคน พิชญุฒม์ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา พออาชวินตั้งหลักได้ก็พยายามจะแกะมืออกแต่เหมือนว่าจะไม่ทันแล้วเพราะพิชญุฒม์กระชับฝ่ามืออีกคนแน่นขึ้นแล้วดึงให้อีกฝ่ายเดินตามมา และตลอดระยะทางจนถึงบ้านเรา พิชญุฒม์ก็ไม่คิดจะปล่อยฝ่ามือของอีกฝ่ายออกถึงแม้ว่าอาชวินจะพยายามดึงออกมาแค่ไหนก็ตามจนสุดท้ายก็เป็นอาชวินที่หมดแรงจะขัดขืนปล่อยให้พิชญุฒม์กุมมืออยู่อย่างงั้น


บ้านหลังเล็กซึ่งห่างไกลจากกรุงเทพไปถึงเกือบร้อยกิโลในนครนายกก็ไม่ได้เงียบเหงาแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาผ่านวันใหม่มาร่วมสามชั่วโมงแล้วก็ตาม เอกภพนั่งพิงหลังกับพนักโซฟาเก่าๆกลางห้องนั่งเล่น มือซ้ายคีบมวนบุหรี่ที่มอดไปเล็กน้อย ดวงตาคู่เรียวภายใต้กรอบแว่นกันรังสีจดจ้องไปมาอยู่หน้าจอคอม เอกภพอยู่ในสถาพนี้มาร่วมห้าชั่วโมงแล้วแต่สายตาก็ยังไม่ได้ละจากหน้าจอไปไหน ข้อมูลที่แอบลอบแฮคมาจากโทรศัพท์มือถือของพิชญุฒม์ยังประมวลผลบนหน้าจอ

ทุกคนในสำนักงานรู้ดีว่าเขาคือหัวกะทิทางด้านการทดลองวิทยาศาสตร์แต่ไม่มีใครเลยซักคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจบปริญญาโทอีกใบจากมหาวิทยาแห่งหนึ่งในสก็อตแลนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องแฮคข้อมูลและระบบป้องกัน นึกขอบคุณหลักสูตรของมหาวิทยาลัยที่ตอนทำวิจัยเพื่อจบคือการจับคู่กันสอบแล้วให้แฮคข้อมูลของอีกฝั่ง เลยทำให้เขาเอาความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้กับอะไรแบบนี้ได้

เอกภพดักจับสัญญาณโทรศัพท์ของพิชญุฒม์มาซักพักแล้ว ตั้งแต่เอะใจว่าทำไมพิชญุฒม์ถึงมั่นใจนักหนาว่าจะสามารถตามหาอดิศรแล้วเอามาเป็นตัวช่วยของตัวเองได้และนั่นก็ทำให้เอกภพรู้ว่าพิชญุฒม์ติดต่อกับอดิศรมาซักพักแล้ว แต่แค่เขายังไม่สามารถแกะรอยจากไอพีแอดเดรสของอดิศรได้ หมอนั่นสามารถลบรอยไอพีแอดเดรสตัวเองได้เก่งเกินไปจนเขาไม่สามารถหาตัวจริงของอดิศรได้ แต่ที่เขารู้ตอนนี้ก็คือพิชญุฒม์มีอดิศรหนุนหลังอยู่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปตกลงอะไรกันไว้แฮกเกอร์เงาอย่างอดิศรถึงได้ยอมเผยตัวจริงแล้วคอยช่วยเหลือพิชญุฒม์อยู่ตลอดแบบนี้

เอกภพยันกายลุกขึ้นจากหน้าจอปล่อยให้เครื่องดักจับสัญญาณทำงานของมันต่อไปส่วนตัวเองก็เดินออกมาสูดอากาศยามดึกของนครนายก เพราะเขามีบ้านหลังนี้ที่ไม่ได้อยู่กลางตัวเมืองมันเลยง่ายต่อการหลบมากบดานอยู่ที่นี่ในบางเวลาอย่างเช่นเวลาแบบนี้ เวลาที่ไม่ต้องการให้ใครตามรอยมาจนเจอแล้วพบว่าเขาไม่ใช่นักวิทย์เอกภพที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่เหมือนแมวเชื่องๆ

เอกภพอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะขยี้มวนบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขายังมีภารกิจที่ใหญ่กว่าการนั่งสะกดรอยพิชญุฒม์รออยู่ ภารกิจที่ใหญ่มากๆและควรจะสำเร็จไปแล้วถ้าพิชญุฒม์ไม่กลายมาเป็นตัวจุ้นจ้าน แต่ก็นะคิดจะปลูกต้นไม้ใหญ่จะสนใจอะไรกับพวกวัชพืชเล็กๆถ้ามันน่ารำคาญมากก็แค่ถอนทิ้ง เพราะเมื่อไหร่ที่อาชวินหลุดมาอยู่ในมือเขานั่นก็หมายถึงการทดลองของเขาก็มีโอกาสสำเร็จไปแล้วเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็แค่บังคับให้อาชวินยอมลงมือทำมันก็เท่านั้นเอง



tbc.


อีกไม่ถึงห้าตอนก็จบแล้วนะคะ^^

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สารวัตรไม่น่าเสียรู้คุณลูกน้องง่ายๆแบบนี้หรอก น่าจะซ้อนแผนอะไรสักอย่าง ก็ได้แต่เดา


ปล.งื้อออจะจบแล้วอ่ออออ

ออฟไลน์ win_win

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่12



บ้านหลังน้อยในนครนายกที่มองจากภายนอกดูเงียบสงบเหมือนกับบ้านหลังอื่นๆในละแวกนี้ แต่ใครจะรู้ว่าภายในไม่ได้เงียบเหงาตามใปด้วย เสียง stir bar ขนาดเล็กกระทบกับก้นบีกเกอร์เพราะแรงของคลื่นแม่เหล็กที่ถูกส่งมาจาก magnetic stirrer ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงท่ามกลางห้องใต้ดินเล็กๆแต่เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมายทางวิทยาศาสตร์จนดูเหมือนว่าห้องนี้ถูกย่อส่วนมาจากห้องทดลองในสำนักงานวิจัยซักที

เอกภพในชุดกาวน์และแว่นตากันสารกำลังใช้ไมโครปิเปตเพื่อตวงสารที่อยู่ในขวดสีชาซึ่งตั้งอยู่ในตู้ควันก่อนจะมาหยดลงในบีกเกอร์แล้วเปลี่ยนทิปส์เป็นตัวใหม่เพื่อดูดสารอีกตัว เอกภพผสมนู่นผสมนี่จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารละลายที่อยู่ในบีกเกอร์ จดบันทึกขอมูลลงในล็อคบุคก่อนจะหยิบ stir bar มาใส่ลงในบีกเกอร์แล้วเอาไปตั้งบน magnaric stirrer พร้อมกับกดจับเวลาที่นาฬิกาจับเวลาตัวเล็กๆก่อนจะถอดเสื้อกาวน์แขวนไว้กับที่แขวนเสื้อตรงทางออกแล้วพาร่างของตัวเองออกมาจากห้องทดลองชั้นใต้ดิน

จำได้ว่าตอนที่ได้บ้านหลังนี้ตกทอดมาเป็นของตัวเองสมัยยังเด็กๆก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน ใครกันจะไปอยากอยู่ในย่านชนบทของนครนายก มันสมองระดับเขาถ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนแบบนี้ก็เสียของแย่เพราะอย่างงั้นแหล่ะเอกภพถึงได้พาตัวเองไปอยู่ถึงกรุงเทพ เอกภพพาตัวเองมานั่งอยู่หน้าจอคอมพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กๆอยู่สองสามทีเพื่อเข้ารหัสอะไรซักอย่างก่อนที่หน้าจอจะประมวลอะไรซักอย่างออกมาเป็นโค้ดต่างๆที่ยากจะเข้าใจแต่คนที่นั่งอยู่หน้าคอมกลับอ่านออกอย่างง่ายดาย

มุมปากของเอกภพยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อหน้าจอประมวลผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ตลอดเวลาหลายวันมานี้เขาแทบจะแกะรอยการติดต่อของพิชญุฒม์กับอดิศรไม่ได้เลยถ้าจะให้เดาอดิศรคงรู้ว่าระบบโดยแฮคแน่ๆถึงได้ไม่ได้ติดต่อกับพิชญุฒม์เลย ถือว่าอีกฝ่ายฉลาดแต่ในเมื่อสี่เท้ายังรู้พลาดประสาอะไรกับสองเท้าอย่างอดิศร เอกภพพิมพ์ต็อกแต็กๆเพื่อแกะรอยไอพีแอดเดรสหาที่อยู่ของอดิศร ก่อนที่คอมจะประมวลผลว่าอยู่บนถนนเส้นหนึ่งที่ไม่ห่างจากสำนักงานมาก

เอกภพเสียบยูเอสบีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะทำการถ่ายข้อมูลลงในโทรศัพท์มือถือแล้วจัดการลุกไปยังชั้นใต้ดินเพื่อทำการเก็บผลการทดลองที่ค้างไว้แล้วเก็บของที่เหลือให้เรียบร้อย เพราะเขาคิดว่าเขาคงจะยังไม่ได้กลับมาทำการทดลองต่ออีกซักพักเลย และถ้ากลับมาคราวหน้าก็มั่นใจมากเหมือนกันว่าจะได้ตัวอาชวินมาเป็นคนทำการทดลองให้



กรุงเทพยามเช้ายังคงวุ่นวายเหมือนปกติผู้คนต่างพากันเดินอย่างเร่งรีบ บ้างก็อยู่ในชุดสูททางการถือกระเป๋าทำงานทรงสี่เหลี่ยมบ้างก็อยู่ในชุดสุภาพสะพายกระเป๋าเป้เพื่อความคล่องตัว แต่ทุกคนก็รีบเพื่อจะไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าเพื่อให้พาตัวเองไปทันเวลาเริ่มงานต่างกับใครอีกคนที่อยู่ในเสื้อวอร์มตัวโคร่งที่ดึงฮู๊ดขึ้นมาสวม เดินล้วงกระเป๋าเอื่อยเฉื่อย ดวงตาอยู่ภายใต้กรอบแว่นหนาเพื่ออำพรางตัวเอง อดิศรเดินอย่างไม่เร่งรีบเมื่อเข็มนาฬิกาที่หน้าปัดบอกเวลาว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้ว

อดิศรจับสัญญาณรบกวนจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้เมื่อสามวันก่อนนั่นคือเหตุผลที่เขาพาตัวเองออกมาจากที่พักร่วมสามวันแล้ว แน่นอนว่าเขารู้ว่าใครเป็นคนแทรกแซงสัญญาณของตัวเองที่ไว้ใช้ติดต่อกับพิชญุฒม์เพราะงั้นเขาเลยจงใจติดต่อพิชญุฒม์เพื่อให้อีกคนจับสัญญาณได้ และแน่นอนเพื่อให้อีกฝ่ายตามหาตัวของอาชวินเจอด้วยเหมือนกัน

ห้องเช่าเล็กๆราคาถูกที่อยู่ถัดจากสถานีรถไฟฟ้าไปไม่ไกลมากเป็นสถานที่ที่อดิศรเลือกจะใช้เชื่อมต่อสัญญาณเพื่อติดต่อพิชญุฒม์ และเป็นสถานที่ที่คิดจะล่อให้อีกฝ่ายมาเมื่อจับตัวอาชวินไปด้วย


“รอนานไหม?” เอ่ยถามหลังจากปิดประตูเข้าไปด้านในแล้วเจอน้องชายฝาแฝดของตัวเองนั่งกอดอกอยู่กลางห้อง

“มีอะไรอีกเนี่ยเมฆแล้วทำไมต้องนัดมาที่นี่ด้วยเนี่ย” อาชวินเบ้หน้าใส่อีกคน

“มีเรื่องให้ช่วย” อดิศรเดินผ่านอีกคนไปนั่งบนเตียงหลังเก่าที่ดูแล้วเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ะก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้ที่ตัวเองสะพายมาแล้วเปิดแลปท็อปเครื่องเก่งออก พิมพ์อะไรอยู่ต๊อกแต๊กซักพักถึงได้ละสายตาจากหน้าจอเงยมองคนที่กำลังนั่งหน้าบูด

“วันสองวันนี้ช่วยมานอนที่นี่แทนฉันทีซิ อีกไม่นานคงมีคนมาหานายแน่ๆ”

“ใคร?”

“เดี๋ยวก็รู้” อดิศรไม่ได้ใส่ใจหน้าตางงวยของอาชวินเท่าไหร่ เจ้าตัวก้มหน้าลงเหมือนเข้าอะไรอะไรซักอย่างก่อนจะมีเสียงติ๊ดๆดังออกมาก่อนที่จะยิ้มมุมปากแล้วปิดแลปท็อปของตัวเองลง

“เหมือนจะมาไวกว่าที่คิดแฮะ” อดิศรเก็บแลปท็อปใส่กระเป๋าก่อนจะล้วงเอานาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วถือวิสาสะเอื้อมมือไปถอดนาฬิกาที่ข้อมืออีกคนออกแล้วใส่เรือนใหม่ลงไปแทน

“เดี๋ยวดิเมฆ ไหนพี่พีทบอกว่าคนที่ถอดออกได้ต้องเป็นเขาเพราะมันใช้..”

“ลายนิ้วมือ ใช่มันใช้ลายนิ้วมือแต่เป็นลายนิ้วมือของฉันกับนายต่างหาก” อาชวินหน้าเหวอเมื่อเจอว่าตัวเองโดนพิชญุฒม์หลอกเป็นรอบที่สอบเรื่องของนาฬิกาเรือนนี้ “ส่วนอันนี้ไม่มีแสกนลายนิ้วมือ แต่พนันได้เลยว่านายต้องไม่อยากปลดมันออก เพราะนาฬิกาเรือนนี้มันบันทึกได้ทั้งเสียง ภาพ แล้วก็ระบุจีพีเอส ถึงตอนนี้นายอาจจะบอกว่ามันไร้สาระแต่พนันได้ว่าไม่เกินสามชั่วโมง ไม่ซิฉันให้ชั่วโมงครึ่งนายจะต้องขอบคุณมัน”

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยเมฆ” อาชวินใช้มืออีกข้างขยับหมุนๆนาฬิกาที่ข้อมือให้เข้าล็อค นาฬิกาทรงทรูที่ตีแบรนด์ว่าราคาไม่น่าต่ำกว่าหมื่นบาทแน่ๆสีเงินคล้องอยู่ที่ข้อมือ

“ไม่ต้องห่วงนั่นของปลอมที่ฉันประยุกต์ขึ้นมา” อดิศรยกนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองขึ้นดูก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วเดินออกไปที่ประตู “หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้ทำเหมือนปกติ ไม่ต้องห่วงฉันเฝ้าดูนายอยู่ แค่เชื่อใจแล้วฉันจะไปพานายออกมา”

“เดี๋ยวเมฆ” ยังไม่ทันที่อาชวินจะได้ตะโกนรั้งอีกคนไว้อดิศรก็เปิดประตูออกไปเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงหลังเก่าก่อนจะเขย่าข้อมือให้นาฬิกาดังกร๊อกแกร่กและไม่วายบ่นใส่นาฬิกาเหมือนว่ามันคือตัวแทนของอีกคน ไหนๆอดิศรก็บอกว่ามันบันทึกได้ทั้งภาพทั้งเสียงก็ขอต่อว่าอีกฝ่ายหน่อยเถอะที่เล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้


แกร๊ก


เสียงประตูที่เปิดออกไม่ได้ทำให้คนที่นั่งบ่นงึมงำอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมองเพราะคิดว่ายังไงซะคนๆนั้นก็คงจะเป็นอดิศร

“ลืมอะไรหรอเม.. พี่เอกภพ!” ดวงตากลมโตเบิกว้างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้มใจดีเหมือนที่เคยยิ้มให้อาชวินมาตลอด แต่ทำไมคราวนี้ในรอยยิ้มอบอุ่นนั่นสามารถทำให้คนที่อยู่ในห้องเหงื่อตกอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้

“ไม่เจอกันนานเลยนะหมู”




ตำรวจหนุ่มกำลังรู้สึกว่าตัวเองติ้วกระตุก เมื่อวันนี้เป็นวันที่เขาต้องเขาประชุมเพื่อสรุปเรื่องคดีร่วมกับคนของฝ่ายข่าวกรองกลาง ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่ศุภวิชญ์เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ในหน่วยข่าวกรองกลางได้ไม่เท่าไหร่แต่อีโก้สูงซะจนพิชญุฒม์ต้องกรอกตาใส่เสียทุกครั้ง ปกติแล้วตำรวจกับหน่วยข่าวกรองก็เป็นสองหน่วยงานที่ชิงดีชิงเด่นกันพอตัวอยู่แล้ว ถึงแม้จะต้องทำงานร่วมกันบ่อยๆแต่ก็ใช่ว่าจะลงรอยกันเสียเมื่อไหร่ของแบบนี้มันเป็นมาตั้งแต่เริ่มตั้งหน่วยงานโน้นแล้ว เพราะตำรวจคือฝ่ายบู้แต่หน่วนข่างกรองคือพวกฝ่ายบุ๊นเลยกลายเป็นว่าหน่วยข่าวกรองที่ก่อตั้งทีหลังตำรวจมักจะชอบกล่าวว่าตำรวจดีแต่ใช้กำลังในขณะที่ตำรวจก็มักจะกล่าวว่าหน่วยข่าวกรองคือพวกนกสองหัว ถึงแม้จะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันแต่ก็ไม่เคยจะร่วมมือกันดีๆซักครั้ง

“แน่ใจได้ยังไงหล่ะครับว่าข้อมูลทั้งหมดจะได้ถูกสับขาหลอก” น้ำเสียงกวนๆของหน่วยข่าวกรองหนุ่มแย้งขึ้นมาเมื่อคนของตำรวจรายงานจบ

“ก็ค่อนข่างชัวร์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยหล่ะครับถ้าหน่วยข่าวกรองไม่ได้ทำงานพลาด” เป็นพิชญุฒม์ที่แก้ต่างแทนเพื่อนร่วมทีม ดวงตาคมจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนักถึงอีกฝ่ายจะถือว่าเป็นนิวบลัดของหน่วยข่าวกรองแต่การที่มาผยองจนเกินไปมันก็ดูจะเกินไป จริงอยู่ที่พวกเขาทำงานกันแบบไม่ยึดหลักการอาวุโสแต่ก็ใช่ว่าหน่วยข่าวกรองจะทำงานได้เนียบคมสมกับที่ตัวเองอวดอ้าง

“ใจเย็นน่าสารวัตร เอาเป็นว่าก็สรุปตามนี้นะ” คนที่มีอำนาจตัดสินสูงสุดในห้องเอ่ยยุติการมีปากเสียงเล็กๆของหัวหน้าหน่วยทั้งสองฝั่ง พิชญุฒม์กับศุภวิชญ์ไม่ถูกกันมานานแล้วเรื่องนี้รู้กันดีในทุกฝ่ายแต่เพราะทั้งคู่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยที่ฝีมือดีทั้งคู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีเลยโดนจับมาร่วมงานกันบ่อยๆ มีถกเถียงกันทุกครั้งแต่ก็จบงานได้ตลอด

“เชิญทุกคนแยกย้ายได้ แต่สารวัตรพีทกับวิชญ์อยู่ก่อนนะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณนิดหน่อย”


พิชญุฒม์ออกจากห้องประชุมด้วยอาการที่เรียกได้ว่าเม้งแตกเดินกลับห้องทำงานตัวเองด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเมื่อการเรียกประชุมส่วนตัวของผู้อำนวยการออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ พิชญุฒม์แทบจะเขวี้ยงปากกาทิ้งกลางห้องประชุมเมื่อคนที่มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจให้ศุภวิชญ์มาช่วยเขาดูแลคดีใหญ่ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับห้องสมุดโบราณที่เขาคอยดูแลอยู่กับเอกภพ สาเหตุเพราะเอกภพอยู่ในระหว่างลาพักร้อนแบบไม่แจ้งกำหนดการกลับมา แม้จะอยากแย้งใจจะขาดว่าเขาทำคนเดียวได้ แต่เพราะผู้อำนวยการรู้ดีกว่าพิชญุฒม์เป็นคนใจเย็นแต่ในขณะเดียวกันก็ใจร้อนจนแทบจะไร้สติ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเอาศุภวิชญ์เข้ามาช่วยในเมื่อตัวเลือกก็ตั้งเยอะ

“โถ่เว๊ย!”

ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวพิชญุฒม์ก็เขวี้ยงสมุดบันทึกเล่มเล็กของตัวเองลงไปกับพื้นเพื่อเป็นการระบายอารมณ์หงุดหงิด เขาอยากจะทำคดีนี้เงียบๆเพียงคนเดียวเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าคดีนี้มันจะไปจบที่ตรงไหนเขารู้แค่ว่าอาชวินมีชื่อเป็นหนึ่งในคนที่เกี่ยวข้อง ถึงจะมั่นใจว่าอาชวินไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักอีกฝ่ายมากพอจะตัดสินอะไรได้ แล้วอีกอย่าง สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะให้เกิดขึ้นก็คือมีคนของหน่วยข่าวกรองรู้เรื่องของอาชวินและอดิศร สำหรับเขาหน่วยข่าวกรองก็เหมือนดาบสองคม สามารถทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้นเพราะข้อมูลมากมายที่อยู่ในมือ ในขณะเดียวกันข้อมูลมากมายนั้นก็สามารถย้อนกลับมาทำร้ายเขาได้ง่ายๆถ้ารักษามันได้ไม่ดี

ครืดครืด

เสียงมือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะเรียกให้สายตาคมตวัดมองไปยังหน้าจอที่สว่างวาบเพราะมีข้อความเข้า พิชญุฒม์สบถเบาๆก่อนจะคว้ามือถือมากดดู เบอร์ติดต่อที่ไม่แสดงหมายเลขทำให้เขาพอเดาได้ว่าใครน่าจะเป็นคนส่งข้อความมาแต่พอกดเข้าไปดูเนื้อความกลับทำให้เส้นเลือดตรงขมับของพิชญุฒม์เต้นตุบๆ จุดและเส้นมากมายไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดขมับได้เท่าเนื้อความที่แปลออกมาจากรหัสมอร์สตรงหน้า

  –·–  ··  –··  –·  ·–  ·– –·  ·– –·  ·  –·· 

Kidnapped


พิชญุฒม์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสาทเสียได้ขนาดนี้มาก่อน เขากับอดิศรติดต่อกันด้วยรหัสมอร์สมาซักพักแล้วเพราะอีกฝ่ายกลัวว่าจะมีใครซักคนแกะรอยมาเจอ จริงอยู่ที่รหัสมอร์สคือเรื่องพื้นฐานแต่เพราะคนสมัยนี้เชื่อใจในเทคโนโลยีจนมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆเลยทำให้กลายเป็นหนึ่งลูกไม้ตื่นๆที่อดิศรงัดออกมาใช้ ตำรวจหนุ่มคว้ามือถือคู่กายก่อนจะหันไปคว้าเสื้อโค้ทมาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกจากห้องทำงานสมใจอยากก็ต้องชะงักเพราะประตูห้องทำงานที่เปิดออกพร้อมร่างของหน่วยข่าวกรองหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้ากันในห้องประชุมเมื่อกี้

“ขอโทษทีผมรีบถ้านายมีอะไรเก็บไว้พูดพรุ่งนี้แล้วกันนะ” ยังไม่ทันที่พิชญุฒม์จะได้ขยับก้าวเท้าออก ศุภวิชญ์ก็ยกเอกสารหนึ่งแผ่นขึ้นมาตรงหน้า เขาจะไม่สนเลยถ้าหากว่าบรรทัดบนสุดของกระดาษไม่มีชื่อใครอีกคนที่ถูกลักพาตัวไป

“ถ้ามันไม่สำคัญพอนายจะคุยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็เรื่องของนาย” พิชญุฒม์ได้แต่กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูนก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับเข้ามายังในห้องทำงานอย่างจำใจ


พิชญุฒม์มองเอกสารสามแผ่นที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะกลางห้องทำงานพลางกอดอก ข้อมูลบางอย่างเขาเคยเห็นผ่านตามาแล้วแต่ที่เขายังไม่เคยเห็นคือข้อมูลที่เป็นเหมือนผลการทดลองทางชีวิวทยาที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจนักแต่ก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆตามเท่าที่ได้เรียนมา

“ผลจากทางนิติวิทยารายงานบอกว่าอาชวินเป็นเด็กที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม ไม่ต้องทำหน้าเหลือเชื่อขนาดนั้นหรอกก็แค่คนธรรมดาไม่ใช่เด็กพิเศษอะไร” ศุภวิชญ์เสริมเมื่อเห็นหน้าตาของพิชญุฒม์ที่ดูเหมือนไม่เชื่อในคำพูดตัวเอง “วิทยาศาสตร์ไปไกลแค่ไหนไม่มีใครรู้จนกว่าจะมีใครพบเจอ อะไรที่ไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่มี ของบางอย่างแค่ความกล้าบ้าบิ่นมันไม่พอหรอกสารวัตรไม่อย่างงั้นสวรรค์จะให้เรามีไอ้นี้ไว้ทำไม” ศุภวิชญ์พูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะศรีษะตัวเองเบาๆ

“ฉันรู้ว่านายไม่โง่ ผู้อำนวยการก็ด้วย แต่นายควรจะคิดได้ว่าทำไมท่านถึงส่งฉันมาช่วยงานนาย”   


ศุภวิชญ์เดินออกจากห้องไปแล้วทิ้งให้พิชญุฒม์ยืนอยู่กับเอกสารสารแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ข้อมูลเชิงลึกที่ต้องยอมรับว่าฝั่งของเขาไม่มีทางได้มาง่ายๆแน่ๆกลับกองอยู่ตรงหน้า นี่ซินะเหตุผลที่ส่งศุภวิชญ์ให้มาช่วยงานเขา นึกขอบคุณผู้อำนวยการอยู่ในใจที่มองเห็นในสิ่งที่เขาพลาดไป เพราะฝ่ายข่าวกรองมีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือเพียงแต่เลือกว่าจะเปิดไพ่ออกมาตอนไหนเหมือนคนที่ทำงานอยู่ในที่มืด ต่างกับเขาที่ต้องทำงานอยู่ในที่โล่งจะเปิดไพ่อะไรคนก็เดาทางได้หมด

“แปลก” พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมองข้อมูลที่วางเรียงอยู่ก่อนจะยกแขนแข็นแรงทั้งสองข้างท้าวไปกับขอบโต๊ะพิจารณารายละเอียดที่ถูกเรียบเรียงมาอย่างดี ทั้งๆที่ศุภวิชญ์มีข้อมูลสำคัญขนาดที่รู้ว่าอาชวินถูกดัดแปลงพันธุกรรมตอนที่อยู่ในครรภ์ ทำไมถึงไม่มีรายงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับใครอีกคนที่อาชวินเอ่ยอ้างว่าเป็นฝาแฝดของตัวเองเลยซักนิด

มือหนาหยิบแผ่นกระดาษแผ่นสุดท้ายที่ถูกวางเรียบอยู่ขึ้นมามองอย่างใช้ความคิด รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุรายละเอียดของการตัดต่อทางพันธุกรรม สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามทำเพื่อกำจัดจุดบกพร่องของมนุษย์แต่ก็เสี่ยงกับการที่เด็กคนนั้นเสียชีวิตถ้าทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าสำเร็จเด็กคนนั้นก็เทียบขั้นเด็กอัจฉริยะคนนึงได้เลย ซึ่งถ้าอาชวินคือหนึ่งในเด็กที่รอดชีวิต และเจ้าตัวก็กล้าที่จะยืนยันว่าตัวเองคือฝาแฝดของอดิศรจริงๆ นั่นหมายความว่าข้อมูลนี้ทางหน่วยงานของหน่วยข่าวกรองยังไม่รู้เรื่อง หรือไม่ก็รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นเพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา…


“อดิศร… โถ่โว๊ย! ทำไมไม่คิดให้ออกให้เร็วกว่านี้วะ” พิชญุฒม์ระบายอารมณ์หงุดหงิดด้วยการปัดแผ่นกระดาษที่วางเรียงอยู่จนกระจุย ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด เพราะไม่เคยเอะใจเรื่องเล็กๆน้อยๆจนมองข้ามเรื่องที่ควรจะใส่ใจไป จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองมีไพ่ใหญ่ๆในมืออยู่กลายเป็นว่ามันไร้ค่าไปเลยเมื่อเจอไพ่ที่ใหญ่กว่า อดิศรไม่ใช่หนึ่งในเกมส์นี้แต่อดิศรคือคนที่คอยควบคุมหมากกระดาษนี้ให้เดินไปในทางที่ตัวเองต้องการต่างหาก

“วางแผนไว้หมดแล้วอย่างงั้นซินะแฮกเกอร์เงา”



“ไม่เจอกันนานเลยนะหมู” น้ำเสียงและรอยยิ้มที่ครั้งนึงอาชวินเคยมองว่ามันดูเป็นมิตรไม่ได้ทำให้คนเด็กกว่ารู้สึกอยากยิ้มตอบเลยซักนิด ร่างโปร่งถอยจนแทบจะแทรกร่างเข้าไปกับผนังด้านหลังเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาหา

“พี่เอกภพ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ไหนกายบอกว่าพี่ลาพักร้อน”

“ก็พักร้อนแต่เรื่องบางอย่างมันก็พักไม่ได้แล้วนายทำไมมาอยู่ที่นี่หล่ะหมู”

“คือผม..” อาชวินมองหน้าอีกคนเลิกลั่ก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอกภพโผล่มาในที่ๆเขาไม่คุ้นเคย อาชวินมองรอยยิ้มอบอุ่นของเอกภพก่อนจะส่ายหัวเบาๆให้ตัวเองเพราะคิดว่าคงคิดมากไปเอง บางทีเอกภพอาจจะแอบมาสืบคดีอะไรซักอย่างแบบลับๆและอดิศรก็เป็นหนึ่งในแฮกเกอร์ที่ทางการต้องการตัวเลยทำให้บังเอิญมาเจอกันก็เท่านั้น

“ผมออกมาสำรวจอะไรนิดหน่อยหน่ะครับ กำลังจะกลับงั้นผมขอตัวนะครับ” อาชวินก้มหัวให้อีกคนเบาๆก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง แต่เพราะขนาดห้องที่ไม่ได้ใหญ่ทำให้เอกภพเอื้อมมือไปคว้าเข้าที่แขนของอีกคนทัน

“รอแปปนึงซิอาชวิน พอดีว่าฉันมีเรื่องงานวิจัยตัวนึงจะปรึกษานายหลายวันแล้ว แต่เห็นพิชญุฒม์พานายไปเที่ยวเลยกะว่าจะรอนายกลับมาก่อนแต่พอดีฉันมีธุระแล้ววันนี้เจอนายพอดี ช่วยฉันดูงานวิจัยตัวนี้หน่อยซิ”

อาชวินชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบตกลง ถึงแม้ความรู้สึกจะบอกว่าคนตรงหน้าดูแปลกไปแต่เพราะความสนใจที่มีในคำว่างานวิจัยมันอยู่เหนือกว่าเลยทำให้คนตัวป้อมยอมเดินตามหลังเอกภพออกจากห้องไป



อดิศรยกยิ้มมุมปากเมื่อหน้าจอแลปท็อปของตัวเองแสดงคลื่นเสียงที่ความถี่ต่างๆแล้วแปรผลออกมาเป็นเสียง บทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นตัวบ่งบอกว่าตอนนี้อาชวินได้ยอมเดินตามทางที่เขาวางแผนไว้แล้ว แม้จะแอบรู้สึกผิดกับน้องชายฝาแฝดของตัวเอง แต่เพราะมีอะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องเอาอาชวินเขาไปเสี่ยงแต่เมื่อคำนวนแล้วผลที่ได้มันเป็นผลดีมากกว่าผลเสียเขาก็ยอม แล้วอีกอย่างถ้ามันเสี่ยงมากจนเกินไปเขาก็ไม่มีทางเอาชีวิตของอาชวินไปเสี่ยงแน่ๆ

สิ่งที่เอกภพรู้ตอนนี้คือข้อมูลบางส่วนที่อีกฝ่ายได้จากศุภวิชญ์ ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลส่วนนั้นบางอย่างมันเป็นเขาเองที่ส่งไปให้อีกฝ่าย เขาทำงานลับๆให้กับหน่วยข่าวกรองมาเป็นปีแล้วเพื่อแลกกับการที่อีกฝ่ายต้องปกปิดข้อมูลเขาให้รอดพ้นจากมือตำรวจ แน่นอนว่าต้องวินวินทั้งสองฝ่าย แต่หน่วยข่าวกรองอาจจะไม่รู้ว่าแค่ปกปิดข้อมูลตัวเองจากตำรวจอดิศรทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้อมูลบางอย่างที่เขาต้องการมันต้องเจาะระบบผ่านหน่วยข่าวกรองก็เท่านั้นเขาเลยยอมร่วมมือ

อดิศรมองจีพีเอสที่เคลื่อนที่ไปพร้อมกับบทสนทนาที่เกิดขึ้นนานๆครั้งของคนทั้งคู่ซึ่งไม่ได้สลักสำคัญอะไรเพราะเท่าที่ฟังส่วนใหญ่ก็แค่คำพูดเพื่อสร้างความไว้ใจเพื่อให้อาชวินรู้สึกสนิทสนมกับตัวเองมากขึ้นก็แค่นั้น เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อาชวินไว้ใจเอกภพมากน้อยแค่ไหนแต่ก็คิดว่าคงจะรู้สึกเอะใจอยู่บ้างแต่ที่ยอมไปกับอีกฝ่ายนั่นเพราะความอยากรู้อยากเห็นตามนิสัยของนักวิทยาศาสตร์นั่นแหล่ะ

สิ่งหนึ่งที่หลายคนรู้ก็คืออาชวินเป็นเด็กที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมก่อนจะนำกลับมาฝังตัวอ่อนไว้ในครรภ์ แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือในครั้งนั้นไม่ได้มีแค่อาชวินเท่านั้นที่เป็นผลมาจากการทดลองครั้งนั้น เขาเองก็เป็นหนึ่งในผลการทดลองครั้งนั้น แต่เพราะว่าหลังจากที่ทดลองสำเร็จงานวิจัยชิ้นนั้นก็ถูกลบออกจากบันทึกงานวิจัยทุกอย่างเพราะมันขัดต่อหลักของศีลธรรม เพราะถ้าการทดลองผิดพลาดนั่นหมายความว่าชีวิตของเด็กคนนึงก็จะสูญสลายไปด้วย

แต่แน่นอนว่างานวิจัยสำคัญขนาดนั้นต่อให้ทำลายทิ้งยังไงมันก็ยังทิ้งหลักฐานไว้อยู่ ถึงแม้มันจะขัดกับหลักศีลธรรมแต่ถ้าทำสำเร็จนั่นหมายความถึงรายได้ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแล้วมันจะแปลกตรงไหนหล่ะที่ใครต่อใครก็ต่างแย่งชิงจนถึงขั้นร่วมมือกันเพื่อสร้างห้องสมุดราคาหลายร้อยล้านขึ้นมา เพื่อหวังว่างานวิจัยชิ้นนั้นหรืออะไรซักอย่างที่สามารถสืบสาวไปยังงานวิจัยนั้นอาจจะตกมาอยู่ในห้องสมุดหลังนั้นก็เป็นได้

อดิศรนึกของคุณโชคชะตาที่ทำให้เขากับอาชวินเกิดมาต่างกันจนไม่มีใครคิดว่าเป็นฝาแฝดกัน และเขาก็นึกขอบคุณคนที่ให้กำเนิดเขามาที่เลือกจะตั้งทั้งชื่อและนามกุลของพวกเขาให้ต่างกันจนดูเหมือนไม่มีอะไรจะเชื่อมโยงกันได้ นั่นเลยยิ่งทำให้ไม่มีใครคิดจะสืบเรื่องราวมาถึงเขาได้ แต่อาจจะเป็นโชคร้ายของอาชวินที่เจ้าของบริษัทจิวเวลรี่รายใหญ่ดันถูกชะตาเด็กนั่นจนเลือกที่จะพามาเลี้ยง เลยทำให้อาชวินต้องมาเจอชะตากรรมอะไรแบบนี้

อดิศรมองหน้าจอที่ยังคงแสดงถึงคลื่นความถี่ต่างๆบนหน้าจอทุกครั้งที่ทั้งสองคนมีการสนทนากัน จีพีเอสแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในย่านนครนายก จับใจความคร่าวๆได้ว่าอาชวินจะยอมไปช่วยดูงานวิจัยให้เอกภพในห้องทดลองส่วนตัว เสียงก็อกแก็กที่ดังขึ้นเบาๆทำเอารอยยิ้มบนหน้าของอดิศรเริ่มเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่น เขาลืมสิ่งสำคัญไป อาชวินจะไม่ใส่เครื่องประดับเวลาทำการทดลอง แต่ที่เจ้าตัวต้องใส่นาฬิกาเรือนนั้นตลอดเป็นเพราะว่าคิดไปเองว่านาฬิกาเรือนนั้นถอดไม่ได้ แต่สำหรับเรือนนี้เขาเป็นคนบอกอาชวินเองกับปากว่ามันสามารถถอดได้

“หมู ไม่นะ” อดิศรพึมพำเบาๆเมื่อลางสังหรณ์ตัวเองเริ่มเด่นชัดขึ้น เสียงแกร๊กที่ดังขึ้นก่อนที่สัญญาณที่หน้าจอจะดับลงบ่งบอกว่าเขาได้ตัดขาดการเชื่อมต่อกับอาชวินโดยสมบูรณ์ อดิศรยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองก่อนจะลูบใบหน้าแรงๆเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะพยายามเชื่อมต่อสัญญาณใหม่แต่ก็ไม่ปรากฎการเชื่อมต่อใดๆ จนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับทั้งสองข้าง

“โถ่โว๊ย! หมูฉันขอโทษ”



tbc.

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่13



พิชญุฒม์รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ร่างสูงนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟากุมขมับเท้าศอกไว้บนเข่า เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงอย่างไร้ซึ่งการใส่ใจ สามวันแล้วที่เขายังตามหาร่องรอยของอาชวินไม่เจอ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อาชวินอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะไปลากตัวเอกภพมาจากตรงไหน เขาไม่รู้อะไรซักอย่างไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยงานเขาหายหัวไปไหนเกือบสามวันแล้ว

พิชญุฒม์เอนตัวพิงพนักโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเคร่งเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะยกมือข้างขวาที่หลังมือมีรอยแดงปรากฎชัดตามข้อนิ้วทำให้พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วนึกถึงที่มาของมัน


พลั่ก

กำปั้นหลุนๆซัดเข้าเต็มแก้มซ้ายของคนตรงหน้าจนอีกคนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในปากบ่งบอกว่าหมัดที่ถูกส่งมารุนแรงแค่ไหน อดิศรยกนิ้วโป้งซ้ายขึ้นมาซับที่มุมปากเบาๆ ก่อนจะมองหน้าคนที่ลงมือประทุษร้ายเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง

“พอใจหรือยัง” น้ำเสียงราบเรียบจากอดิศรไม่ได้ทำให้ความโกรธในแววตาของพิชญุฒม์ลดลงเลยซักนิด แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะพุ่งเข้าไปซัดอีกฝ่าย พิชญุฒม์ทิ้งตัวลงทั่งตรงข้ามกับอีกคนก่อนจะสบถออกมาเบาๆแล้วปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่อีกซักพักก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

“เล่าทุกอย่างที่อยู่ในหัวนายออกมาให้หมด” พิชญุฒม์หมายความตามที่พูด เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วอดิศรเป็นคนสารภาพว่าเขาเป็นคนพาอาชวินไปส่งเอกภพเองกับมือก็โดนอีกคนซัดหมัดใส่โครมใหญ่แล้วถึงจะเริ่มบทสนทนา อดิศรยอมรับว่าแปลกใจเล็กๆที่เขาไม่โดนอีกฝ่ายซัดตามมาอีกสองสามหมัดเหมือนที่เตรียมใจมาล่วงหน้าก่อนจะเปิดปากเล่าทุกอย่างตามที่วางแผนไว้รวมไปถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือแผนการด้วย


ใจจริงพิชญุฒม์อยากจะซัดอดิศรเพิ่มอีกซักหมัดสองหมัดให้หายแค้นใจแต่ระบายอารมณ์ออกไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า รังแต่จะทำให้การตามหาตัวอาชวินล่าช้าไปอีกถ้าอดิศรเจ็บหนัก พิชญุฒม์ยันกายลุกขึ้นก่อนจะเดินไปคว้าเสื้อโค้ทที่แขวนไว้มาสวม ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองด้วยการเปิดด้านในเสื้อโค้ทที่เป็นช่องสำหรับเหน็บปืนพกขนาดเก้ามม. หยิบออกมาเช็คลูกกระสุนในแม็กกาซีนก่อนจะใส่กลับเข้าไปที่เดิม กระชับเสื้อโค้ทให้เข้าทีก่อนจะพาตัวเองออกจากบ้าน

พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสำนักงานงานก่อนจะกดโทรศัพท์ไปยังฝ่ายหน่วยข่าวกรองเพื่อต่อสายหาศุภวิชญ์แต่พิชญุฒม์ก็ต้องหัวเสียอีกรอบเมื่อทางฝ่ายนั้นแจ้งกลับมาว่าศุภวิชญ์ออกจากสำนักงานไปซักพักแล้วแต่ไม่ได้แจ้งว่าไปไหน พิชญุฒม์ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทำงานเพื่อสงบสติ ยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองสติแตกมากและบางทีมันก็มากเกินไปจนทำให้เขาคิดไม่ออกว่าวิธีไหนคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้

พิชญุฒม์รู้แค่เอกภพไม่มีทางทำร้ายอาชวินแน่ๆ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตอนนี้อาชวินจะตกอยู่ในสภาพไหน เพราะความรู้สึกที่ว่าต้องตามไปช่วยอีกคนให้เร็วที่สุดมันตีตื้นขึ้นมาพิชญุฒม์เลยขาดสติอยู่แบบนี้ ไม่มีวิธีการไม่มีแผนอยู่ในหัว มีแต่ความคิดที่ว่าต้องตามไปช่วยออกมาเท่านั้น

ประตูห้องทำงานของพิชญุฒม์ถูกเปิดก่อนจะปรากฎร่างของคนที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน ศุภวิชญ์เดินค่อยๆก้าวขาเข้ามานั่งกลางห้องทำงานโดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาไม่พอใจของเจ้าของห้องก่อนจะวางซองเอกสารลงบนโต๊ะตัวยาวแล้วค่อยๆแกะซองออกอย่างไม่เร่งรีบ เอกสารปึกย่อมถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่ศุภวิชญ์จะดันไปไว้กลางโต๊ะแล้วปรายสายตาไปมองคนที่ยังนั่งขมวดคิ้วแน่นทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเอง

“ฉันวางเดิมพันหมื่นนึง ถ้านายไม่สนใจข้อมูลพวกนี้” คนที่นั่งอยู่กลางห้องเอ่ยด้วยท่าทางที่เหนือกว่าก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นมาไขว้ห้างอย่างใจเย็น พนันได้ว่าถ้านับหนึ่งถึงสิบแล้วพิชญุฒม์ก็ยังไม่เดินมาที่โต๊ะแน่ๆ แล้วก็เป็นไปตามคาด ศุภวิชญ์ยกมือขึ้นกอดอกพลางกรอกตาอย่างหน่ายๆในความฐิถิสูงของอีกฝ่าย

“เผื่อว่านายต้องการเวลาตัดสินใจ สามวันกับการเก็บข้อมูลบ้านพักของเอกภพที่นครนายกและที่สุดท้ายที่จีพีเอสในนาฬิกาของอาชวินปรากฎก่อนจะหายไป หลังจากนั้นฉันจะทำลายมันทิ้งซะ”

ศุภวิชญ์ลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยก่อนจะเอื้อมมือไปกวาดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะเก็บ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่ใจนึกเอกสารตรงหน้าก็โดนคว้าไปก่อนโดยคนที่เมื่อครู่นั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานจนศุภวิชญ์ต้องยกยิ้มมุมปาก

“สายของเรารายงานมาว่าเอกภพมีบ้านอีกหลังที่ไม่ใช่ชื่อของตัวเองอยู่แถวนครนายกแต่ตอนแรกยังไม่แน่ชัดมากว่าอยู่ตรงไหน จนกระทั่งวันที่อาชวินหายไปพร้อมกับสัญญาณจีพีเอสที่อดิศรใส่ไว้ในนาฬิกาข้อมือนั่นแหล่ะเลยทำให้ค้นเจอ”

“อดิศร… หมายความว่ายังไง ทำไม..”

“ก็แค่พนักงานพาร์ทไทม์หน่ะ” รอยยิ้มที่ดูเหนือกว่าของศุภวิชญ์ไม่ได้ช่วยให้หัวคิ้วที่ขมวดแน่นของนายตำรวจหนุ่มคลายลงได้เลย “ฉันรู้ว่านายฉลาดพอจะเข้าใจทุกอย่างพิชญุฒม์”

“ที่นครนายกยังไร้ความเคลื่อนไหวใด แน่นอนว่านายไม่ควรวู่วามถึงแม้อยากจะบุกแค่ไหนแต่ควรจะนึกถึงผลที่จะตาม กับตัวนายมันไม่เท่าไหร่ แต่กับอาชวิน… นายควรรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ศุภวิชญ์ยกมือขึ้นตบไหลอีกคนเบาๆสองทีก่อนจะเดินออกไปปล่อยให้พิชญุฒม์ได้อ่านข้อมูลที่ได้จากฝ่ายข่าวกรองเงียบๆ

ศุภวิชญ์ปล่อยให้พิชญุฒม์ได้คิดอะไรคนเดียวเงียบๆก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานอีกฝ่ายไปเพื่อกลับไปสะสางงานที่ค้างอยู่ เด็กหนุ่มกล้าวางเดิมพันว่าหลังจากที่พิชญุฒม์ได้อ่านเอกสารข้อมูลที่เขาเอาไปให้แล้วยังไงซะก็ไม่มีทางที่จะพุ่งดิ่งออกไปหาอดีตคู่หูอย่างเอกภพเป็นแน่ ถึงแม้ว่าเขากับพิชญุฒม์จะเหมือนคนไม่ที่ค่อยลงรอยกันซักเท่าไหร่ แต่กับเรื่องงานวิสัยทัศน์ของพวกเขาไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไหร่ อาจเพราะเหตุนี้ผู้อำนวยการเลยเลือกที่จะจับให้เขามาเป็นคู่หูคนใหม่ของพิชญุฒม์ทั้งๆที่หน่วยข่าวกรองกับตำรวจไม่มีวันญาติดีกันง่ายๆ

ถึงจะรู้ว่าหน่วยข่าวกรองคือมันสมองในขณะที่ตำรวจคือพละกำลัง แต่ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆก็ไม่มีทางที่จะเอาสองหน่วยงานนี้มาทำงานร่วมกันแน่ๆเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคดีให้ตามแก้กันจนกองท่วมหัว แต่เพราะคคีนี้เหมือนจะเป็นคดีธรรมดาๆแต่ไม่เลย มันไม่ธรรมดาตรงที่อาชวินเป็นเด็กที่สืบสายมาจากนักวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานลับๆที่ทางรัฐบาลชุดเก่าเมื่อหลายปีก่อนแอบมอบทุนสนับสนุนอยู่ลับๆจนเกิดการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยการปกครอง รัฐบาลชุดใหม่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของกลุ่มวิจัยนี้จนนักวิจัยแตกกระเจิงเพราะโดนกวาดล้าง บางส่วนหนีไปได้แต่ที่อยู่ใหม่ก็ไม่ใช่ในประเทศนี้ บางส่วนถูกกำจัดรวมไปถึงทายาทที่เกี่ยวข้อง พ่อแม่ของอาชวินกับอดิศรก็เช่นกัน…



บ้านจัดสรรสองชั้นสีขาวย่านใจกลางเมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งภายนอกดูเงียบสงบในยามค่ำคืนแต่ภายในกำลังเกิดความวุ่นวายใหญ่เมื่อเจ้าของบ้านกำลังวิ่งวุ่นเพราะเสียงเด็กร้องกระจองอแง ถ้ามีแค่หนึ่งคงจัดการได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่มีถึงสองเสียงยิ่งทำให้เจ้าของบ้านวิ่งวุ่นคูณสอง

‘ศตวรรษ’ เจ้าของบ้านหลังนี้และพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าแผนกสถาบันวิจัยแห่งประเทศไทยกำลังวิ่งวุ่นเมื่อเด็กน้อยที่ควรจะนอนหลับปุ๋ยในเปลเด็กกำลังส่งเสียงร้องงอแง ซึ่งตอนแรกเด็กน้อยอดิศรควรจะนอนหลับอย่างสงบแต่เพราะฝาแฝดที่เกิดตามหลังกันในเวลาไม่กี่นาทีอย่างหวังอาชวินแผดเสียงร้องขึ้นมาทำให้แฝดผู้พี่สะดุ้งตื่นขึ้นมาประสานเสียงกัน

เด็กชายฝาแฝดทั้งสองคนไร้ซึ่งความเหมือนกันทางหน้าตาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝาแฝดจะหน้าตาไม่เหมือนกันเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาย่อมรู้ดีแต่เพราะความจริงแล้วทั้งคู่ควรจะเหมือนกันมากกว่านี้ถ้าหากไร้ซึ่งการตัดต่อดีเอ็นเอ เด็กทั้งคู่เป็นผลผลิตที่มาจากการทดลองของอรอนงค์กับสามีซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลเช่นกัน แต่เพราะเด็กสองคนนี้เกิดมาจากการตัดต่อดีเอ็นเอขณะที่อยู่ในครรภ์ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไร เพราะเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของการคาดคะเนผลออกมาที่เป็นไปไม่ได้ เด็กสองคนนี้เลยเสมือนของขวัญจากพระเจ้าเพราะนอกจากอรอนงค์จะยังมีชีวิตรอดจนกระทั่งคลอดเด็กสองคนนี้ออกมาได้แล้ว เด็กทั้งคู่ยังมีชีวิตรอดมาจนร่วมหนึ่งเดือนแล้วอีกด้วย

ศตวรรษเหลือบตาไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง อีกสองชั่วโมงฟ้าจะสางแล้วเขาควรทำอะไรกับเด็กสองคนนี้ที่กำลังประสานเสียงร้องไห้จนผิวขาวๆแดงไปหมดแล้ว ศตวรรษเลือกที่จะหยิบขวดนมขวดเล็กๆมาป้อนเด็กน้อยที่กำลังแข่งกันร้องไห้ซึ่งเด็กน้อยอดิศรก็รับเข้าปากแล้วดูดอย่างเต็มใจผิดกับเด็กน้อยอาชวินที่ส่ายหน้าหนีทั้งยังเปล่งเสียงร้องออกมากจนศตวรรษต้องอุ้มขึ้นมาแนบอกซักพักกว่าเสียงร้องจะเงียบหายถึงเอาวางลงไว้ในเปลเด็กเคียงข้างกับพี่ชายตัวน้อยเหมือนเดิม

พอเหลือบตามองนาฬิกาอีกทีก็พบว่ากว่าอาชวินจะสงบก็ใช้เวลาไปร่วมชั่วโมง ชายวัยกลางคนเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่มากก่อนจะเอาลงไปเก็บที่รถก่อนจะเดินขึ้นมามองเปลเด็กขนาดกลางที่มีเด็กสองคนนอนหลับปุ๋ยอยู่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจยกเปลเด็กซึ่งมีเด็กน้อยสองคนหลับสนิทไปไว้ตรงเบาะหลังของรถก่อนจะรัดบริเวณรอบๆเปลเพื่อให้มั่นใจว่าเปลจะไม่ลื่นหลุดไประหว่างทางแล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับก่อนจะออกรถไป

เพราะเด็กสองคนนี้เป็นเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวของผลการทดลองที่สำเร็จเลยทำให้เขาต้องพาทั้งคู่ไปให้ไกลจากที่นี่ที่สุดตามที่เคยรับปากกับพ่อแม่ของเด็กสองคนนี้ ตอนที่รัฐบาลชุดเก่าหมดอำนาจลงแล้วรัฐบาลชุดใหม่ประกาศขึ้นมาทุกคนในสถาบันวิจัยก็เหมือนมดแตกรัง ทุกคนระหกระเหินเพราะการกวาดล้างของรัฐบาลชุดใหม่ แม้หลายๆอย่างที่ทางสถาบันจะใช้เสนอเพื่อต่อรองให้สถาบันวิจัยมีอยู่ต่อไปแต่เพราะความไม่เห็นชอบและความขัดแย้งของรัฐบาลชุดเก่ากับชุดใหม่ ทำให้มีคำสั่งทลายล้างสถาบันวิจัย นักวิทยาศาสตร์บางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้คนของรัฐบาลตามตัวไม่ได้ แต่บางส่วนที่โชคร้ายก็เป็นได้แค่ร่างไร้วิญญาณ พ่อแม่ของเด็กทั้งคู่ก็เช่นกัน

หลังจากทีอรอนงค์คลอดเด็กทั้งคู่พร้อมกับความลับที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่เขาทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับของขวัญจากพระเจ้าแม้ว่าต้องหลบหนีไปไกลแค่ไหนแต่สำหรับคนที่เกิดมาเพื่อทดลองทางวิทยาศาสต์เกือบทั้งชีวิตแบบเขาการที่ผลการทดลองออกมาสำเร็จ มันสำคัญซะยิ่งกว่าการที่ได้รับรางวัลโนเบลเสียอีก และหลังจากที่อรอนงค์และสามีส่งเด็กสองคนนี้พร้อมความลับนั้นเพียงไม่ถึงอาทิตย์ทั้งคู่ก็ต้องจากโลกนี้ไปเพราะมัจจุราชในคราบของลูกกระสุนปืน เขาต้องพาเด็กทั้งสองคนระหกระเหินจากกรุงเทพเพื่อมาตั้งหลักที่ประจวบคีรีขันธ์แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงมีคนตามตัวเขามาจนเจอ ไม่ใช่เพราะรู้ว่าเด็กสองคนนี้คือผลของการทดลอง แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วย ยังไงซะถ้าเด็กสองคนนี้ยังอยู่กับเขาซักวันนึงเรื่องก็ต้องแดงขึ้นมา และจะกลายเป็นเด็กน้อยตาดำๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสองคนนี้ต่างหากที่จะต้องพบเจออะไรที่ทรมาณมากกว่าความตาย

ศตวรรษพาเด็กทั้งคู่มายังบ้านหลักน้อยในชนบทของเชียงรายเพื่อฝากให้ญาติของตัวเองช่วยดูแลจนกว่าเด็กทั้งคู่จะโตกว่านี้ ซึ่งตัวเองก็ใช้เวลาช่วงนั้นอยู่อาศัยให้ห่างจากที่นี่เพื่อไม่ให้ใครตามหาตัวอดิศรกับอาชวินเจอจนเกือบปีพอเด็กทั้งคู่เริ่มรู้ประสาศตวรรษก็ไปรับตัวทั้งสองคนไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์โดยไม่ให้ข้อมูลอะไรไว้กับเจ้าหน้าที่เลยนอกจากชื่อของทั้งคู่และบอกว่าทั้งคู่คือฝาแฝดกัน




เสียงพลิกหน้ากระดาษดังชัดเจนในห้องที่เงียบกริบ พิชญุฒม์อ่านรายงานที่ศุภวิชญ์เป็นคนเอามาให้หน้านิ่วคิ้วขมวด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน เหมือนเอกสารที่ศุภวิชญ์เอามาให้เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ภาพที่เคยเลือนลางเริ่มชัดเจนขึ้นในความนึกคิด เมื่อก่อนชายหนุ่มคิดแค่ว่าอาชวินคือเด็กที่มีความสามารถซึ่งแน่นอนว่าใครๆก็มีได้ถ้าแค่ใส่ใจมันมากพอ แต่ที่ไม่เคยเอะใจเลยก็คือความสามารถที่เหมือนพระเจ้าประทานของอดิศร ถ้าเขาเอะใจซักนิดหลังจากที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นแฝดเขาคงไม่ต้องมานั่งปวดหัวอยู่แบบนี้

“ศุภวิชญ์อยู่ไหมครับ” พิชญุฒม์ต่อสายหาคู่หูคนใหม่ของเขาเพราะเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าทำให้เขาอยากจะปรึกษาหารือกับอีกคนให้มากกว่านี้แต่เพราะไม่มีเบอร์ส่วนตัว ศุภวิชญ์ไม่เสนอที่จะให้เขาไว้และเชาก็ไม่ได้ขออีกฝ่ายไว้เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องติดต่อกัน

“ขอโทษครับศุภวิชญ์ยังไม่กลับเข้าสำนักงาน” คำตอบที่ได้รับทำเอาพิชญุฒม์ต้องหลับตาลงเพื่อสงบสติ

“งั้นผมขอเบอร์ส่วนตัวของศุภวิชญ์ได้ไหมครับ” พิชญุฒม์พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นที่สุด

“ขอโทษครับผมคงให้ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” แม้น้ำเสียงที่ตอบกลับจะนิ่งแต่ภายในใจจริงพิชญุฒม์แทบอยากจะว๊ากใส่โทรศัพท์ เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากทิฐิของตัวเขาเอง ตำรวจหนุ่มพยายามจะระงับสติด้วยการเดินไปชงกาแฟดื่ม ตั้งแต่เกิดเรื่องมาเขาก็แทบจะไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดว่าอาชวินหายไปที่ไหนแต่เพราะอดิศรไม่ได้บอกอะไรและเขาก็ไม่ได้คาดคั้นอีกฝ่ายเพราะไม่คิดว่าอดิศรจะรู้เรื่องมากไปกว่าตัวเอง เลยได้แต่พยายามนั่งนึกและค้นประวัติของอดีตคู่หูที่ร่วมงานกันมาไม่รู้กี่คดี แต่ก็ไม่เจออะไรที่คืบหน้า มีบ้างทีเผลอหลับเพราะความอ่อนเพลียแต่สุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาหาข้อมูลต่อเพราะความกังวล

จนได้มารู้จากศุภวิชญ์ว่าความจริงแล้วอดิศรเป็นหนึ่งในคนของหน่วยข่าวกรอง ความรู้สึกแรกเหมือนกับโดนอีกคนตบหน้าฉาดใหญ่ แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเอกภพไม่รู้เรื่องนี้เพราะไม่งั้นคงไม่มีทางให้ศุภวิชญ์ช่วยสืบเรื่องนี้เป็นแน่ เพราะยังไงซะข้อมูลส่วนใหญ่ก็ต้องมาจากอดิศร นั่นหมายความว่าข้อมูลที่ได้มาอาจจะบิดเบือนหรือไม่ครบก็เป็นได้ตราบใดที่อดิศรเป็นคนป้อนข้อมูลให้

พิชญุฒม์ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้องพักผ่อนหลังจากที่จัดการชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่คนส่วนมาเลิกงานแล้วบริเวณนี้เลยไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่นัก เขาไม่ค่อยได้มานั่งพักที่โซนนี้เท่าไหร่เพราะเวลาส่วนมากหมดไปกับการคุยงานในห้องขอตัวเองหรือห้องประชุมเล็ก บางทีก็มีการออกพื้นที่เพื่อไปเก็บหลักฐานหรือหาหลักฐานเพิ่มเติม ครั้งสุดท้ายที่มาใช้บริการที่นี่รู้สึกจะเป็นก่อนที่เขาจะได้รับมอบหมายให้ตามคดีแหกคุกของอาชวินนั่นแหล่ะมั้ง


ครืด ครืด


เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นจนต้องหยิบมาดู หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยแต่ใจนึงคิดไปว่าเป็นเบอร์ของอดิศรเลยกดรับโดยไม่ลังเล

“ฉันกำลังจะเข้าไปหานายเตรียมตัวให้พร้อมด้วย” ยังไม่ทันที่จะได้กรอกเสียงตอบรับแต่น้ำเสียงไม่คุ้นหูทำให้ต้องขมวดคิ้วฉับ อีกฝ่ายพูดเหมือนออกคำสั่งก่อนจะวางไปยิ่งทำให้พิชญุฒม์นึกแปลกใจก่อนจะเดินเอาแก้วกาแฟที่เพิ่งยกจิบได้สองสามอึกไปวางไว้ที่อ่างล้างจานแล้วกลับไปที่ห้อทำงานของตัวเอง

ประตูห้องทำงานที่เปิดออกพร้อมกับพิชญุฒม์ที่ใส่เสื้อโค้ทเสร็จพอดีทำให้ได้คำตอบว่าสายเรียกเข้าที่คุยกันเมื่อกี้นี้คงเป็นศุภวิชญ์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา หลังจากเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าพิชญุฒม์สวมเสื้อโค้ทรออยู่แล้วศุภวิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากทำสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายออกไปคยกับตัวเองข้างนอก

“ไปรถฉัน” หน่วยข่าวกรองหนุ่มเอ่ยเมื่อเห็นว่าพิชญุฒม์กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางซึ่งเขาคาดการณ์เอาว่าอีกฝ่ายน่าจะไปเอารถของตัวเอง พิชญุฒม์ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก ในสถานการณ์ที่สัญชาตญาณร้องบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแบบนี้การไม่ทะเลาะกันเองภายในย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


“ตกลงว่า” พิชญุฒม์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเมื่อศุภวิชญ์ขับออกมาได้ซักพักแล้วยังไม่ยอมพูดอะไร เจ้าของดวงตาโตและผิวสีแทนอย่างคนไทยแท้ๆไม่ได้เอ่ยออกมาในทันทีแต่กลับบุ้ยใบ้ใบหน้าไปที่คอนโซลรถ ซึ่งพิชญุฒม์มองที่อีกฝ่ายบุ้ยใบบอกมาไม่เห็นอะไรผิดปกติก็ขมวดคิ้วฉับมองอีกคนอย่างไม่ค่อยพอใจ

ศุภวิชญ์เอื้อมมือไปบริเวณช่องแอร์หน้ารถยนต์เมื่อรถติดไฟแดงก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆว่าแอร์ไม่ค่อยเย็นเลยก่อนจะขยับช่องแอร์ก๊อกแก๊กจนมันหลุดออกมา พิชญุฒม์เกือบจะเอ่ยปากแสดงความไม่พอใจออกมาแล้วถ้าสายตาไม่ไปสะดุดกับเครื่องดักฟังขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่บริเวณด้านหลังหน้ากากช่องแอร์

“ก็บอกแล้วว่าแอร์รถฉันมันไม่เย็น” ศุภวิชญ์พูดก่อนจะดันหน้ากากช่องแอร์กลับเข้าที่แล้วออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว


รถซีดานกึ่งเก่ากึ่งใหม่จอดลงบริเวณสวนสาธารณะที่คนค่อนข้างพลุกพล่าน ศุภวิชญ์เลือกสถานที่ที่ไม่ได้ดูส่วนตัวจนเกินไปเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าจากสายตาที่มองไม่เห็นก่อนจะหันไปคว้าขวดเบียร์จากลังโฟมหลังรถออกมาสองขวดแล้วยื่นให้อีกฝ่ายหนึ่งขวด พิชญุฒม์รับไปพร้อมด้วยท่าทางเลิกคิ้วเพื่อถามอีกคนเป็นนัยๆว่าพกของแบบนี้ติดตัวด้วยหรอแต่ศุภวิชญ์ก็แค่ยักไหล่อย่างไม่นี่หร่ะก่อนจะพากันไปนั่งบนพื้นหญ้าบริเวณที่มีคนมานั่งปิกนิกกันพอสมควร

ต่างฝ่ายต่างจิบเบียร์กันอย่างเงียบๆเพราะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาโผงผางจุดประเด็นคุยกันขึ้นมา สัญชาตญาณระวังภัยของทั้งคู่รู้สึกจะทำงานหนักเป็นพิเศษทั้งๆที่เหตุการณ์รอบด้านดูจะปกติทุกอย่าง แต่พิชญุฒม์รู้ เพราะทุกอย่างมันปกติจนเกินไปนี่ไงหล่ะมันถึงไม่ปกติสำหรับเขา พิชญุฒม์รอให้อีกฝ่ายเปิดปากอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าศุภวิชญ์คงไม่ลากเขาออกมาเพื่อนั่งจิบเบียร์ในสวนสาธารณะเพื่อดูนกบินร่อนไปมาหรอก

“เรื่องนั้นหน่ะทำเป็นเงียบๆไปก่อนก็ดีนะ” ศุภวิชญ์ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้าพลางเอาแขนรองตรงบริเวณท้ายทอยไว้ พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองอีกฝ่ายเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดิม แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

“คนๆนั้นมีอะไรมากกว่าที่เราคิด มีใครบางคนหนุนหลังอยู่” พิชญุฒม์ทิ้งตัวนอนลงข้างๆอีกฝ่ายเพราะน้ำเสียงที่เบาลงเรื่อยๆจนเหมือนคนละเมอของอีกฝ่าย “ใหญ่ไม่เบาเลยแหล่ะคนๆนั้น ฉันกำลังให้อดิศรแกะรอยให้อยู่ แต่ก็ยากพอตัวเพราะเอกภพก็ไม่ใช่ย่อยเรื่องปิดรอย ความสามารถระดับนี้เป็นแฮคเกอร์ได้เลยนะ แต่โชคดีที่เรามีอดิศร” แม้ปลายประโยคจะพูดติดตลกแต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้นึกขันกับมุขตลกร้ายนั่นเลยซักนิด

“เอกภพได้เงินสนับสนุนหลักจากรัฐบาลชุดนี้” น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นจริงจังของศุภวิชญ์ทำให้พิชญุฒม์ตั้งใจฟังมากขึ้น “นักเรียนทุนรัฐบาลหัวกระทิระดับหาตัวจับยาก ไม่ใช่แค่เรื่องทางวิชาการ เอกภพเคยใช้เวลาหนึ่งปีในยูเคพื่อศึกษาทางด้านการเจาะข้อมูลและปกปิดข้อมูล จุดประสงค์ที่รัฐบาลส่งไปเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่าเจ้าตัวมีงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่ซักชิ้น แต่เอกภพก็ฉลาดพอที่จะเลือกใช้ความรู้ที่เรียนมาปกปิดและแก้ไขเรื่องราวบางส่วนของตัวเอง”

“แต่ถ้านายกำลังคิดว่าอดีตคู่หูนายคืออัจฉริยะที่สามารถทำได้ดีทั้งทางการทดลองทางวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์นายอาจจะประเมินเอกภพสูงไป ฉันคิดว่าบางทีเรื่องแค่นี้นายอาจจะคิดเองได้ว่าเพราะอะไร อ๋อแล้วอีกอย่าง…” ศุภวิชญ์ลุกขึ้นมานั่งปัดแขนปัดขาเพื่อเอาเศษหญ้าออกก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าอดิศรเป็นใครนอกจากนายและฉัน แน่นอนว่ามันคือผลบวกของเราถ้านายรู้จักใช้นี่” ศุภวิชญ์ๆยกนิ้วเรียวขึ้นมาชี้ที่บริเวณขมับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินกลับไปที่รถโดยไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่าย

เขาเชื่อว่าตอนนี้พิชญุฒม์อาจจะต้องการเวลาเพื่อให้ตัวเองได้คิดอะไรมากขึ้นกว่านี้ จากการที่รู้จักอีกฝ่ายอย่างห่างๆมาซักพัก เขารู้ว่าพิชญุฒม์ฉลาดแค่ไหนและไม่เคยพลาดอะไรง่ายๆเรียกได้ว่าเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดแทบจะเป็นศูนย์แต่แปลกที่คราวนี้เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดของพิชญุฒม์แทบจะเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พิชญุฒม์อาจจะไม่รู้ตัวแต่คนแต่เขาเชื่อว่าคงจะมีผู้ใหญ่บางคนสังเกตุได้ถึงความแปลกนี้ถึงได้ส่งเขามา

แม้จะไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คนสุขุมนุ่มลึกอย่างพิชญุฒม์กลายเป็นคนใจร้อนจนแทบจะพุ่งเข้าใส่ทุกอย่างแบบไม่ยั้งคิดแต่ตอนนี้ตัวแปรที่วิ่งเข้ามาในหัวก็มีอยู่แค่ตัวแปรเดียวนั่นก็คืออาชวิน


tbc.

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่14


พิชญุฒม์พาตัวเองกลับมาที่คอนโดก่อนทิ้งตัวลงนอนเหยียดขายาวไปบนโซฟา ยอมรับว่าคำพูดของศุภวิชญ์เตือนสติเขาได้มากโขอยู่เหมือนกัน ตำรวจหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งๆที่กว่าจะกลับจากข้างนอกนาฬิกาบนข้อมือก็บอกเวลาว่าอีกสองชั่วโมงก็เหยียบเข้าวันใหม่แล้วแต่ความรู้สึกร้องบอกว่ายังไม่อยากพักผ่อนซักเท่าไหร่ทั้งๆที่ร่างกายและสมองแบกความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน

ตัวอักษรจากกระดาษรายงานที่หน่วยข่าวกรองเชื้อชาติไทยเอามาให้อ่านกับคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมายังตีกันรวนอยู่ในหัวสมองจนรู้สึกอยากจะลุกขึ้นมาเปิดแลปท็อปนั่งทำงานต่อให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เพราะมันไม่ใช่เวลาปกติพิชญุฒม์เลยไม่ค่อยมีกะใจอยากจะเปิดเท่าไหร่

เครือข่ายใยแก้วเมื่อถูกเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองจะโดนเจาะข้อมูลเมื่อไหร่ นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ตอนที่เรียนอยู่โรงเรียนตำรวจเห็นเพื่อนร่วมรุ่นบางคนแอบดัดแปลงโทรศัพท์มือถือเพื่อดักฟังก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจเพราะรู้ว่าเมื่อได้มาทำงานในสายงานนี้ยังไงซะเรื่องดักฟังหรืออะไรก็ตามเขาก็ต้องได้ใช้อย่างง่ายดายเพียงแค่ร้องขอไปเท่านั้น


ครืดครืด


เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะแก้วข้างโซฟาทำให้ตำรวจหนุ่มสะดุ้ง พิชญุฒม์ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ชายหนุ่มสะบัดหัวแรงๆเรียกสติก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาดู การแจ้งเตือนของมือถือบอกว่ามีข้อความเข้าจากอดิศรบอกว่าให้เขาออกไปเจอตอนนี้ดึงสติให้กลับมาเต็มที่ พิชญุฒม์ลุกขึ้นคว้าเสื้อโค้ทมาสวมกันอากาศเย็นๆในยามกลางคืนก่อนจะเดินออกไปเพื่อเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังจุดหมาย

สวนสาธารณะไม่ห่างจากคอนโดของนายตำรวจหนุ่มมากถูกเลือกให้เป็นสถานที่นัดพบในคืนนี้ พิชญุฒม์กระชับเสื้อโค้ทให้แน่นกว่าเดิมเมื่อก้าวลงจากรถแท็กซี่แล้วโดนลมที่พัดมาจากตีเข้าใส่หน้า ตำรวจหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาคนที่ส่งข้อความมานัดตัวเองไว้ก่อนจะเจออดิศรยืนพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พออีกฝ่ายหันมาเห็นเขาก็ขยับตัวเหมือนจะเดินเข้ามาหาแต่ก็หยุดอยู่กับที่จนพิชญุฒม์ต้องเป็นฝ่ายเดินไปหาแทน

“ว่าไงอดิศร” ทันทีที่เดินมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำพิชญุฒม์ก็เอ่ยทักอีกฝ่าย และเพราะต้นไม้ต้นนี้ค่อนข้างใหญ่และบริเวณนี้ค่อนข้างมืดเลยทำให้พิชญุฒม์เห็นเห็นใครอีกคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ซึ่งเขาไม่ได้สังเกตุในตอนแรก

“รฐนนท์!” พูดเสร็จก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าไปใส่อีกคนแต่โชคดีที่อดิศรไวกว่าเลยคว้าเข้าที่เอวของพิชญุฒม์ทันก่อนที่ตำรวจหนุ่มจะพุ่งไปถึงตัวคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังเขา

“ใจเย็นคุณตำรวจ” อดิศรเอ่ยขึ้นก่อนจะพยายามรั้งอีกคนด้วยแรงเกือบทั้งหมดที่มี ถึงแม้อดิศรจะไม่ใช่คนที่ตัวหนาเหมือนพวกที่ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพราะความที่ต้องอยู่กับความคล่องตัวตลอดเวลาเลยทำให้อดิศรเลือกที่จะไม่เล่นกล้ามแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

“อดิศรฉันต้องการคำอธิบายเรื่องนี้” พิชญุฒม์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม สายตาจับจ้องอยู่ที่คนที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ ครั้งสุดท้ายที่เขาเจอรฐนนท์ คนๆนี้ส่งรังสีคุกคามใส่อาชวินจนน่ากลัวซึ่งเขายังจำความรู้สึกแรกหลังจากเอื้อมมือไปกุมมือสั่นๆของอีกคนได้แม่น

“ไม่ใช่ที่นี่คุณตำรวจ” น้ำเสียงที่แทบจะเป็นเสียงกระซิบของอดิศรทำให้พิชญุฒม์สงบลงได้เล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอดิศรแล้วเดินแยกออกไปสงบสติอารมณ์ไม่ห่างมาก อดิศรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมามองคนที่มีศักดิ์เป็นน้องซึ่งรฐนนท์ก็แค่ทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก

กว่าพิชญุฒม์จะสงบลงแบบพร้อมพูดคุยกับรฐนนท์ได้แบบคนปกติก็เสียเวลาไปพักใหญ่ ทั้งสามคนพากันมาจนถึงเซฟเฮ้าส์ที่ดูไม่เหมือนเซฟเฮ้าส์ซักเท่าไหร่เพราะเป็นแค่ห้องเล็กๆในห้องแถวโทรมๆแถวๆถนนไม่ไกลจากสวนสาธารณะมาก รถยนต์คันเก่าถูกจอดทิ้งไว้ตรงบริเวณที่จอดรถริมถนนก่อนที่คนทั้งสามจะพากันเปิดประตูเข้าไปด้านใน

แม้ภายนอกจะดูซอมซ่อแต่ภายในนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผนังด้านซ้ายถูกขึงด้วยแผนที่ใหญ่ยักษ์จนเต็มฝาผนัง โซนด้านขวามีทีวีจอยักษ์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้มีไว้เพื่อดูรายการทีวีผ่อนคลายในวันหยุดแน่ๆบริเวณกลางห้องเป็นเตียงขนาดห้าฟุตที่บนเตียงเต็มไปด้วยแผนที่เล็กๆและอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์มากมายทั้งเครื่องดักฟัง แลปท็อป และเครื่องแปลงสัญญาณ

อดิศรเดินตรงเข้าไปนั่งบนเตียงกลางห้องก่อนจะเปิดแลปท็อปเครื่องเก่าที่ถูกวางอยู่บนเตียงแล้วพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กตามประสาแฮคเกอร์ พิชญุฒม์กวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆห้องก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเก่าที่ตั้งอยู่ข้างประตู ปล่อยให้ความเงียบคลอไปกับเสียงพิมพ์อะไรซักอย่างของอดิศรซึ่งพิชญุฒม์เดาว่าอีกคนน่าจะกำลังพยายามหาสัญญาณอะไรที่แสดงถึงที่อยู่ของอาชวิน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนส่งอาชวินเข้าปากเสือแต่เขาก็เชื่อว่าอดิศรคงรู้สึกผิดไม่น้อย ดูจากสภาพที่เจอกันอีกฝ่ายก็ดูค่อนข้างอ่อนเพลีย อาจเพราะกำลังรู้สึกผิดที่ส่งน้องชายฝาแฝดไปสู่อันตรายขนาดนี้ก็ได้


ก๊อกก๊อกก๊อกก๊อก


เสียงเคาะประตูทำเอาพิชญุฒม์ที่กำลังคิดอะไรเพลินๆยกมือขึ้นสัมผัสสีข้างซึ่งเป็นที่เก็บปืนโดยอัตโนมัติก่อนที่อดิศรจะเงยหน้าส่งสัญญาณให้รฐนนท์เป็นคนไปเปิดประตูโดยที่ไม่ดูแม้แต่ตาแมว

ร่างสูงโปร่งของชายวัยกลางคนเดินเข้ามาตามหลังรฐนนท์ ใบหน้าคมสันส่งยิ้มทักทายคนที่นั่งอยู่หน้าจอแลปท็อป อดิศรยักคิ้วทักทายคนมาใหม่ ซึ่งตอนนี้เดินเอากระเป๋าเป้ที่สะพายมาไปวางลงบนริมเตียงที่อดิศรนั่งอยู่ก่อนจะเริ่มรื้อของออกมา

แผนที่ขนาดเล็กที่ถูกเขียนแบบคร่าวๆถูกกางออกบนปลายเตียงพร้อมกับความสนใจของอดิศรที่ละจากหน้าจอเพื่อมามองแผนที่แผ่นเล็กๆนั่น พิชญุฒม์ค่อยๆขยับกายเพื่อมองให้เห็นแผนที่นั่นชัดขึ้นเช่นเดียวกับรฐนนท์ที่ขัยบตัวมาชิดเตียง ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองอดิศรยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยกคิ้วเป็นเชิงถามว่านั่นคือแผนที่อะไร

“ทางลับของบ้านนั้นไง” ชายวัยกลางคนไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านใครแต่จากการที่อดิศรร้องอ๋อในลำคอบวกกับสีหน้าที่แสดงความพอใจก็พอจะทำให้พิชญุฒม์เดาได้ว่าเป็นบ้านของใคร

“เส้นทางทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันเหมือนเขาวงกตแต่ก็วิ่งวนเป็นวงกลม ไม่ได้ทำให้น่างงวงยอะไรขนาดนั้นถ้าจับจุดได้” ชายวัยกลางคนที่ยังดูกระฉับกระเฉงแต่ใบหน้าพราวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนบางทีพิชญุฒม์ก็สงสัยว่าคนพวกนี้ไปซ่อนอยู่ในหลืบไหนของสังคม ทำไมเขาแทบจะหาไม่เจอ คนพวกนี้ดูแล้วทักษะและมันสมองไม่ใช่เล่นๆ และเขาเชื่อว่าทัศนคติในการใช้ชีวิตคงค่อนข้างเป็นของตัวเองอย่างชัดเจนมากด้วย

“เท่าที่ดูจากแผนที่มันมีทางเข้าสองทางนะ แต่น่าแปลกตรงที่ทางเข้าทั้งสองทางแทบไม่มีระบบป้องกันอะไรเลยแม้กระทั่งการแสกนรอยนิ้วมือ”

“ไม่หรอกครับ” ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะพูดจบประโยคก็เป็นอดิศรที่แทรกขึ้นมาก่อนจะหันหน้าไปคลิ๊กเม้าส์ที่หน้าจอแลปท็อปสองสามทีก่อนจะหันหน้าจอมาให้คนที่อยู่ร่วมห้องทั้งหมดเห็น

“ฉันลองแฮ็คข้อมูลระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านนั้นถึงมันจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็คิดว่าเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดบวกลบไม่น่าจะเกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์” หนึ่งเปอร์เซ็นต์ฟังเหมือนจะน้อย แต่ตำรวจอย่างพิชญุฒม์ก็พอจะรู้ว่าตราบใดที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะเกิดการสูญเสียย่อมมี “อินฟราเรดเซ็นเซอร์”

“เชี่ย” เสียงอุทานเบาๆจากในลำคอของชายวัยกลางคนไม่ได้เหนือความคาดหมายของอดิศรที่กำลังอธิบายอยู่เท่าไหร่

“ไม่คิดใช่ไหมว่าอุปกรณ์ง่ายๆจะเป็นสิ่งที่เอกภพจะเอามาใช้ ในเมื่อบริเวณนั้นแทบจะร้างผู้คน แถมห้องใต้ดินที่มีคนรู้แค่คนเดียวคือเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าคลื่นความร้อนที่ตรวจจับได้ต้องเป็นของคนๆเดียว ถ้าเมื่อไหร่มันมีอะไรแปลกปลอมเซ็นเซอร์ตรวจจับจะรายงานเข้าไประบบเพื่อประมวลผลออกมา ก็อย่างที่รู้ถึงจะบอกรายละเอียดไม่ได้แต่คลื่นความร้อนของแต่ละบุคคลมันต่างกัน ฉลาดไม่หยอกเลยนะเอกภพเนี่ย สมแล้วกับที่เป็นคู่หูของตำรวจมือหนึ่ง” ท้ายประโยคไม่วายหันมาแขวะกัดบุคคลที่มีตำแหน่งเพียงหนึ่งเดียวของห้อง แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากมายเพราะคิดว่าตอนนี้อดิศรก็เหมือนหมาขี้หงุดหงิดตัวนึงที่พร้อมจะแว้งกัดทุกคนเพียงแค่ยื่นมือมาโดนพวงหางของตัวเอง

เมื่อศึกษาแผนที่ทางหนีทีไล่รวมถึงเส้นทางลับภายในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสี่คนตกลงกันว่าจะเริ่มเขาไปในบ้านหลังนั้นหลังจากที่อดิศรแก้ระบบสั่งการของอินฟราเรดเสร็จสิ้น หรือถ้าแก้ไม่เสร็จเรียบร้อยอย่างน้อยก็ช่วยชะลอเวลาในการประมวลผลของเซ็นเซอร์ก็ยังดี

ในระหว่างที่อดิศรกำลังนั่งทำอะไรซักอย่างอยู่กับระบบใยแก้วพิชญุฒม์ก็เลือกที่จะเดินออกมานั่งอีกมุมหนึ่งของห้อง เขาไม่สามารถใช้มือถือได้แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับการตรวจจับสัญญาณจีพีเอส จริงอยู่ว่าเขาเป็นตำรวจ แต่ในเวลานี้ตำรวจอย่างเขาก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการโดนสะกดรอย เขาไม่สามารถติดต่อศุภวิชญ์ได้เด็กนั่นฉลาดเกินกว่าจะที่จะยอมให้เขาทำเรื่องงี่เง่าขาดสติ ทั้งๆที่ตอนฝึกสมัยก็ถูกย้ำแทบจะตลอดเวลาเรื่องของการมีสติ แต่สุดท้ายเขาก็พลั้งพลาดจนอะไรต่ออะไรแทบจะหาทางกลับไม่เจอ ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ผู้ใหญ่น่าจะพอเดาสถานการณ์ออกเลยส่งหน่วยข่าวกรองคนนั้นมาเตือนสติเขา

ดวงตาคู่คมปิดลง พิชญุฒม์ไม่ได้หลับแต่เขาเลือกที่จะพักสายตาเพื่อที่จะดึงสติทุกอย่างให้กลับมา เขาเลือกที่จะเป็นตำรวจก็เพราะต้องการที่จะทำให้ตัวเองใจสงบลง ก่อนหน้าที่เขาจะเดินบนเส้นทางนี้เขาเลือดร้อนมากขนาดไหนเขาย่อมรู้ตัวเองดี แต่เพราะไม่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนช่วงเวลาเก่าๆที่เพราะความวู่วามและขาดสติจนทำให้ต้องเสียคนที่ตัวเองรักไปเขาเลยเลือกที่จะเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องซ้ำรอยเดิมแต่สุดท้ายก็เกือบจะพลาดทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนได้

“กาแฟหน่อยไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่มาพร้อมกับเสียงคนน่งลงข้างๆทำให้พิชญุฒม์ลืมตาขึ้นไปมองผู้มาใหม่ รฐนนท์ยื่นกาแฟดำให้อีกฝ่ายซึ่งพิชญุฒม์ก็แค่รับมาถือไว้แต่ไม่ได้จิบ

“ทุกคนเป็นห่วงอาชวินไม่ต่างกับนายหรอก” คำพูดนิ่งๆของรฐนนท์ไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์สนใจจะหันไปมองอีกคนและรฐนนท์ก็ไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะสนใจเสวนากับตัวเองหรือเปล่า เขาก็อยากจะมาเพื่อพูด พูดให้จบจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคา

“อย่างที่นายน่าจะรู้มาบ้างว่าเราสามคนเคยโตมาด้วย แน่นอนว่าสำหรับฉันแล้วคนๆนั้นสำคัญมากกว่าชีวิตอีกนะ แต่ก็น่าตลกที่ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะดึงเขามาใกล้แต่กลายเป็นว่าโดนคนที่ไม่แม้แต่จะพยายามอะไรแถมยังมาทีหลังอย่างนายคว้าไปซะได้ ตลกชะมัด” ท้ายเสียงเหมือนจะเย้ยหยันตัวเองอยู่ในทีจนพิชญุฒม์ต้องปรายหางตาไปมองอีกคนแต่ก็เห็นอีกฝ่ายที่นั่งจ้องน้ำสีดำๆของกาแฟพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก หัวโขนที่ถูกสวมไว้ถูกโยนทิ้งไปหมด รฐนนท์ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็เหมือนแค่เด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆคนนึงมีรักมีโกรธ ไม่ได้แสร้งยิ้มตลอดเวลาเหมือนตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่มีกระจิตกระใจมาปั้นแต่งใบหน้าเพื่อเข้าหากันหรอก

“รักชีวิตของนายให้เท่าที่นายจะรักได้เถอะ เพราะชีวิตของอาชวินหลังจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันคอยดูแลจะดีกว่า”
 


 ห้องทดลองในชั้นใต้ดินของบ้านหลังเล็กในนครนายกวันนี้มีคนร่วมใช้อากาศหายใจอยู่ถึงสองชีวิต เอกภพมองดูคนที่ตัวเองลักลอบพามา ถึงแม้ว่าอาชวินจะไม่ได้ถูกลักพาตัวแต่ก็ใช่ว่าจะเต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มือขาวยกขวดรูปชมพู่ที่ข้างในมีน้ำสีใสขึ้นมาพิจารณาอย่างใคร่รู้ ต้องโทษตัวเองที่เลือกที่จะพาตัวเองมาเสี่ยงแต่เพราะรู้ว่าถ้ามาแล้วอาจจะได้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เลยยอมเสี่ยง เลือดของนักวิทยาศาสตร์มันไหลวนอยู่ในร่างกายจนบางทีอาชวินก็นึกเกลียดตัวเอง

“Cytosine ตัวนั้นฉันสังเคราะห์ขึ้นมาเองเลยนะ” เสียงนุ่มทุ้มจากเอกภพเรียกให้หัวคิ้วของอาชวินขมวดเบาๆ เบสตัวนี้เป็นหนึ่งในคู่เบสที่อยู่ในสายดีเอ็นเอ เอกภพจะสังเคราะไปทำไมกัน?

“อันที่จริงฉันยังมีอีกหลายตัวเลยที่สังเคราะห์ขึ้นมา” เอกภพเริ่มพูดต่อแต่สายตาก็ไม่ละไปจากคนที่ยืนถือขวดรูปชมพู่อยู่ “ฉันเคยคิดว่าฉันน่าจะใช้เวลากับมันไม่เกินสามปี แต่ที่ไหนได้ปีนี้เป็นปีที่ห้าแล้วแต่ฉันก็ยังไม่สามารถสังเคราะห์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แต่รู้ไหมหมูอยู่ๆก็เหมือนพระเจ้าประทานของรางวัลที่มีค่าให้ ต้นแบบของงานวิจัยเดินเข้ามาหาฉันเองทั้งๆที่เมื่อก่อนฉันแทนจะพลิกแผ่นดินหา ต้องขอบคุณอะไรดี โชคชะตา.. หรือความดื้อดึงของนาย?”

“ผม?” ดวงตากลมโตควับไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“เผื่อนายไม่รู้” เอกภพเอ่ยพร้อมกับค่อยๆก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆจนประชิดตัวอีกฝ่าย “ต้นแบบดีเอ็นเอที่สมบูรณ์ที่สุดมันไหลวนอยู่ในร่างกายนายไงหล่ะ”

คำตอบของคำถามที่ว่างานวิจัยของเอกภพคืออะไรทำไมต้องปรึกษาเขากระจ่างในทันที ถ้าเอกภพบอกว่าดีเอ็นเอของเขาคือต้นแบบของงานวิจัย ในหมายความว่าเขามาอยู่ที่นี่ในฐานะของต้นแบบเช่นกัน ต้นแบบที่ไม่ต่างอะไรกับหนูทดลอง เอกภพไม่ได้เอาเขามาเพื่อช่วยทำงานวิจัย แต่เอามาเพื่อเป็นตัวอย่างสารผลิตภัณฑ์ในการวิเคราะห์หาสารตั้งต้นในการทำการทดลองต่างหาก

“มาสเตอร์ของดีเอ็นเอระดับดีเยี่ยมที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมแล้วมีชีวิตรอดมาเป็นสิบปีได้ขนาดนี้ ลองคิดดูซิถ้างานวิจัยนี้ประสบผลสำเร็จบุคลลากรอันไร้ประสิทธิภาพของกองทัพก็จะหมดไป ยังไม่รวมถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะลอยเข้ามาจากองค์กรเอกชน แต่ก็อย่างที่นายน่าจะเดาได้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆทุกอย่างต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ซึ่งโชคร้ายนิดหน่อยที่ของแลกเปลี่ยนสำหรับการทดลองนี้อาจจะหมายถึงชีวิตของนาย”

 
เข็มนาฬิกาในห้องทดลองเดินอย่างเชื่องช้าไปตามหน้าที่ ดวงตาคู่เรียวของเอกภพจ้องมองตัวเลขบนหน้าปัดดิจิตอลของเครื่องมือสมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ สายระโยงระยางเชื่อมต่อไปยังแคปซูลใสที่ภายในบรรจุร่างของคนที่มีดีเอ็นเอต้นแบบของงานวิจัยนี้อยู่ อาชวินในสภาพเปลือยเปล่านอนหลับตานิ่งอย่างคนหมดสติอยู่ภายในแคปซูลใสโดยที่ช่วงปากและจมูกถูกครอบด้วยหน้ากากออกซิเจน

อาชวินอยู่ในสภาพนี้มาเป็นเวลาร่วมสิบชั่วโมงแล้วแต่เพราะยังไม่ครบเจ็ดสิบสองชั่วโมงเอกภพเลยยังไม่สามารถทำอะไรกับร่างนี้ได้ นอกจากนั่งใจเย็นจิบกาแฟพลางมอนิเตอร์เครื่องมือต่างๆให้เป็นไปตามปกติเพื่อรอเวลาให้ครบเจ็ดสิบสองชั่วโมงก่อนที่การทดลองที่แท้จริงจะเริ่ม
 
เซฟเฮ้าส์หลังเล็กในวันนี้กำลังวุ่นวายเมื่ออดิศรเจาะเข้าระบบความปลอดภัยของบ้านหลังเล็กในนครนายกสำเร็จ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่สำหรับพวกเขาเวลาที่มีอยู่เริ่มน้อยลงไปทุกที เพราะทันทีที่อดิศรได้รับข่าวจากสายของตัวเองว่าอาชวินถูกทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทราเป็นเวลาเจ็ดสิบสองชั่วโฒงก่อนการทดลองจะเริ่มก็ทำให้พิชญุฒม์แทบจะนั่งไม่ติดพื้น แต่ประสบการณ์สอนให้รู้ว่ามุทะลุไปก็ไม่ได้ทำให้อาชวินปลอดภัยแถมอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้พังได้

“พร้อมนะ” ใบหน้าเคร่งขรึมของทุกคนพยักหน้าให้กับคำถามของคนที่มีอายุมากที่สุดอย่างหนักแน่นก่อนจะพากันขึ้นรถกะบะเพื่อออกเดินทาง

ระยะทางจากกรุงเทพไปจนถึงนครนายกใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเพราะไม่ได้ไปตามทางสายหลัก รฐนนท์ทำหน้าที่เป็นพลขับโดยมีอดิศรนั่งอยู่ข้างๆเพื่อคอยสำรวจจีพีเอสเส้นทางจากแลปท็อปเครื่องเล็ก ส่วนเจ้าของเซฟเฮ้าส์อย่างกษิดิสและพิชญุฒม์นั่งอยู่เบาะหลัง บนรถแทบจะไร้ซึ่งบทสนทนาในยามท้องฟ้าด้านนอกถูกกลืนกินด้วยความมืด สัญชาตญาณการระวังภัยก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น พิชญุฒม์กระชับเสื้อโค้ทที่ส่คลุมมาก่อนจะเอื้อมมือไปแตะลำปืนที่ถูกเก็บไว้ตรงสีข้างเบาๆเพื่อเป็นการเรียนความอุ่นใจให้กับตัวเอง

รถกะบะคันใหญ่แล่นเข้ามาในเขตหมูบ้านย่านชานเมืองของนครนายกอย่างช้าๆก่อนที่รฐนนท์จะเลือกจอดตรงทางเข้าหมู่บ้านที่เงียบสงบจนดูเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่เท่าไหร่นัก อาจด้วยเพราะย่านนี้ค่อนข้างเงียบถึงจะมีคนอยู่แต่พอเริ่มดึกเมืองที่ห่างไกลแสงสีอย่างนี้จึงไม่ค่อยมีคนออกมาพลุกพล่านภายนอกบ้านซักเท่าไหร่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ทั้งสี่คนลงจากรถอย่างช้าๆพร้อมกับปิดประตูให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าเสียงดังเพียงนิดแล้วจะเป็นตัวทำให้มีคนออกนอกบ้านมาสนใจ ทุกย่างก้าวของพิชญุฒม์เต็มไปด้วยความมั่นคงและใจจดใจจ่อ สิ่งเดียวที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือภาวนาให้อาชวินยังคงปลอดภัยและภาวนาไม่ให้พวกเขามาช้าเกินไปไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีให้อภัยตัวเองเลย

ทั้งสี่คนเดินมาหยุดอยู่ที่รั้วหน้าบ้านหลังเล็กที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน บรรยากาศเงียบเชียบสร้างความรู้สึกกดดันจนทำให้เม็ดเหงื่อไหลร่วงออกมาตามแรงโน้มถ่วงโลกแม้ว่าอากาศจะกำลังสบาย อดิศรกวาดสายตามองเข้าไปในความเงียบสงบของตัวบ้านที่ไร้ซึ่งแสงไฟก่อนจะเปิดแลปท็อปเครื่องเล็กที่พกติดตัวมาด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน กดอะไรซักอย่างลงไปสามสี่ทีก่อนจะเงยหน้ามองไปยังไฟหน้าบ้านดวงเล็กที่ติดอยู่ตรงประตู ดูเผินๆอาจจะเหมือนไฟทั่วไปแต่ใครจะรู้ว่าที่ตรงนั้นคือที่ซ่อนของอินฟาเรดเซ็นเซอร์ก่อนจะหันกลับมาก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมซักพักก่อนจะปิดคอมเก็บใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลังก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูรั้ว

“เดี๋ยวอดิศร” ยังไม่ทันที่อดิศรจะได้เปิดประตูรั้วพิชญุฒม์ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็เอื้อมมือมารั้งแขนอีกคนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ไม่ต้องห่วงฉันระงับการทำงานของเซ็นเซอร์ไว้ชั่วคราวแต่บอกไม่ได้หรอกนะว่ามันจะระงับได้กี่นาที ทางที่ดีฉันว่าเราควรรีบเข้าไปข้างในให้เร็วที่สุดก่อนที่โค้ดที่ฉันใส่ลงไปจะถูกแก้” ทั้งสี่คนพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจก่อนจะพาตัวเองไปยังหน้าประตู แต่สำหรับบ้านทั่วไปแน่นอนว่าประตูหมายถึงทางเข้าแต่สำหรับบ้านหลังนี้แล้วพิชญุฒม์ไม่คิดว่ามันคือทางเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อสังเกตุเห็นความผิดปกติบริเวณลูกบิดรีบเอื้อมมือไปจับแขนของอดิศรซื้อกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิด

“มันง่ายไปอดิศร” น้ำเสียงเคร่งเครียดของพิชญุฒม์เรียกให้คนฟังต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “การที่นายแฮคข้อมูลอินฟาเรดเซ็นเซอร์ได้ไม่ได้หมายความว่ากลไกรักษาความปลอดภัยในบ้านนี้จะถูกเจาะทั้งหมด ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างเอกภพจะรักษาความปลอดภัยแค่ชั้นเดียว” เมื่อไม่มีมัลติมิเตอร์หรือเครื่องมืออื่นที่เป็นเครื่องมือวัดกระแสไฟฟ้าโดยตรงนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งเลยถูกถอดออกวางที่พื้นก่อนที่รองเท้าหนังจะกระทืบลงไปเต็มแรงจนถ่านนาฬิกากระจาย พิชญุฒม์เลือกที่จะหยิบหน้าปัดนาฬิกาที่ตอนนี้หยุดเดินแล้วเพราะถ่านหลุด จักการขยับแผงวงจรข้างในสองสามทีเพื่อดัดแปลงส่วนของแผงวงจรเพื่อต่อเข้ากับลูกบิดประตูโดยระวังไม่ให้มือไปโดน ก่อนที่หน้าปัดนาฬิกาจะขยับอีกครั้งเพราะเกิดการไหลเวียนไฟฟ้าจากลูกบิดประตูสู่นาฬิกาเรือนเก่ง พิชญุฒม์เงยหน้ามามองอดิศรเป็นเชิงว่าบอกแล้วว่าเอกภพไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรแค่ขั้นเดียว

ทางเข้าถูกเปลี่ยนจากหน้าประตูเป็นหลังบ้านแทนตามแผนที่ที่กษิดิสเคยเอามาให้ดูครั้งแรก ถึงแม้ว่าแผนที่จะเข้าประตูหน้าบ้านจะถูกปัดตกไปแต่แผนสองที่เตรียมไว้สำหรับเข้าประตูหลังบ้านก็ถูกดึงขึ้นมาใช้ในทันที ประตูธรรมดาที่ดูไร้กลไกแต่ก็ไม่อาจวางใจได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือเอกภพ อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ต้องทำอะไรที่มั่นใจกับตัวเองได้ว่าถ้าหากมีผู้บุกรุกเข้ามาได้ก็ต้องส่งสัญญาณอะไรซักอย่างให้อีกฝ่ายรู้ เผลอๆบางทีการที่พวกเขามาอยู่กันที่ประตูหลังนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเส้นทางที่เอกภพเตรียมไว้ต้อนรับก็เป็นได้

“เซ็นเซอร์แสกนม่านตา” น้ำเสียงเบาหวิวของพิชญุฒม์ดังขึ้นทันทีที่เดินไปสำรวจบริเวณประตู แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าระบบตรงนี้จะเป็นการแสกนม่านตาเพราะว่าเมื่อวานนี้ที่อดิศรพยายามแฮคระบบรักษาความปลอดภัยที่ตรงนี้ยังไร้ซึ่งระบบรักษาความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น

“โธ่เว้ย” แม้อยากจะสบฎให้ดังกว่านี้แต่เพราะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะทำแบบนั้นได้เลยทำได้แค่สบถเบาๆอยู่ในลำคอ “แฮคระบบได้ไหมอดิศร”

“จะพยายามแล้วกันแต่คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาซักพัก” แลปท็อปเครื่องเล็กถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับพิชญุฒม์ที่เดินไปถามเวลากับรฐนนท์เพราะนาฬิกาตัวเองพังไปแล้ว

ร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าที่อดิศรจะเงยหน้าขึ้นมาจากจอแลปท็อปแล้วเดินไปยังเครื่องแสกนม่านตาแล้วกลับมาพิมพ์โค้ดอะไรซักอย่างลงบนแลปท็อปร่วมสิบหน้าทีที่หัวคิ้วของอดิศรแทบจะขมวดเป็นปมก่อนที่มันจะคลายออกพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่จุดขึ้น อดิศรพับแลปท็อปยัดใส่กระเป๋าก่อนจะเดินไปยังเครื่องแสกนม่านตารอเวลาให้เครื่องทำงานก่อนที่เสียงดังติ๊ดจะดังขึ้นพร้อมกับบ้านประตูที่เคลื่อนตัวเปิดออกช้าๆ

“เยส!” น้ำเสียงดีใจของอดิศรพาให้บุคคลที่เหลือมีรอยยิ้มแรกของหลายๆวันไปด้วย กษิดิสเป็นคนเดินนำโดยที่มีรฐนนท์กับอดิศรเดิมตามและมีพิชญุฒม์เดินรั้งท้ายตามนิสัยของคนที่ถูกฝึกให้มีสัญชาตญาณระวังภัยมาหลายปี ทั้งสี่เดินมาตามทางที่จำได้แม่นยำในหัวสมองตามที่เขียนไว้ในแผนที่ที่ดูก่อนจะออกมา

ประตูลับถูกเปิดออกโดยฝีมือของกษิดิส พิชญุฒม์กรอกตามองสำรวจรอบๆอย่างวิเคราะห์ ถึงแม้ว่าจะเป็นทางลงไปชั้นใต้ดินแต่ก็ไม่ได้ดูลึบลับหรือน่ากลัวอะไร กลับกันด้วยซ้ำ มันดูไฮเทคจนไม่น่าจะเชื่อว่าจะเป็นที่ๆอยู่สำหรับคนธรรมดาคนนึงได้ อันที่จริง... เอกภพก็ไม่ใช่คนธรรมดาๆซะหน่อย

ระยะทางจากประตูห้องลับมาจนถึงโซนที่เหมือนห้องทดลองขนาดย่อมไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่จึงทำให้ตอนนี้ทั้งสี่คนยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องทดลองขนาดกลางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ใต้ดินกลางเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบอย่างนครนายกได้ อุปกรณ์ทดลองแบบครบครันรวมถึงตู้เก็บอุปกรณ์สารเคมีทุกอย่างดูพร้อมจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือห้องใต้ดิน แม้กระทั่งตู้ดูดควัน เท่าที่คาดคะเนผ่านทางสายตาพิชญุฒม์คิดว่างบประมาณสำหรับสร้างห้องทดลองห้องนี้คงไม่ต่ำกว่าล้านบาทแน่ๆ และเขาก็คิดว่าเอกภพคงไม่มีเงินมากขนาดนั้นมาสร้างเพราะไหนจะระบบรักษาความปลอดภัยนั่นอีก เอกภพอาจจะคิดแต่คนที่เนรมิตขึ้นมาคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
 

“มากันเร็วกว่าที่คิดซะอีกนะนึกว่าจะมาช้ากว่านี้ซักสี่หรือห้าชั่วโมง พวกนายมาเวลานี้อาชวินก็ออกมาคุยกับพวกนายไม่ได้หรอก” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับการปรากฎกายของเอกภพในชุดกาวน์สีขาวที่สวมแว่นตากรอบดำเรียกให้สายตาของทุกคนหันไปทางเดียวกัน อดิศรทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แต่รฐนนท์ที่อยู่ใกล้ที่สุดรั้งเอาไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องรีบหรอกอดิศรเอ๊ะหรือฉันควรเรียกนายว่าแฮกเกอร์เงาดี?” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากสามารถทำให้เอกภพดูร้ายขึ้นมาอีกเท่าตัว “อีกแค่ห้าชั่วโมงอาชวินก็จะได้ออกมาข้างนอกแล้ว แต่อาจจะออกมาในสภาพไหนฉันก็ไม่รับประกันนะ”

ติ๊ด

เอกภพยกรีโมทในมือกดเพื่อสั่งการก่อนที่ร่างของอาชวินที่อยู่ในแคปซุลจะปรากฎขึ้นเมื่อผ้าม่านที่ถูกกั้นไว้เปิดออก ผิวที่เคยขาวสว่างคราวนี้กลับดูซีดเซียว จังหวะการขยับขึ้นลงของหน้าอกเป็นสิ่งเดียวที่ยังยืนยันกับทุกคนว่าอาชวินยังคงมีชีวิตอยู่ พิชญุฒม์กำมือแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ เมื่อมาเห็นอาชวินในสถาพนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดหนักขึ้นกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า เขาอยากจะเดินเข้าไปเปิดแคปซูลนั้นออกแล้วกระชากตัวอาชวินให้กลับมาอยู่ในอ้อมออกแต่ก็ทำไม่ได้ในเมื่อไม่รู้ว่าถ้าผลีผลามทำไปตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับอาชวินบ้าง

“อย่าแม้แต่จะคิดเดินเข้าไปพังเครื่องพวกนั้นเด็ดขาด เพราะฉันไม่รับประกันว่าถ้ามีใครไปขัดขวางการเตรียมตัวอย่างแล้วหล่ะก็.... ตัวอย่างของฉันจะยังมีชีวิตอยู่อีกไหม”

พิชญุฒม์ได้แต่กำหมัดแน่นเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับคนตรงหน้าดี ดวงตาคมไม่ละไปจากแคปซูลที่บรรจุร่างของคนที่ตัวเองอยากปกป้อง แต่ตอนนี้เขากลับปกป้องร่างนั้นไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าอาชวินต้องนอนหลับอยู่ในนั้นมานานแค่ไหน เขาไม่รู้ว่าอาชวินต้องนอนแบบนั้นจะทรมาณแค่ไหน เขารู้แค่ตอนนี้เขาเห็นอาชวินกำลังลำบากแต่เขาทำอะไรไม่ได้เลยมันช่างทรมาณจนรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจเต็มแรงจนมันปวดไปหมด



tbc.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2018 16:46:50 โดย tiutatee »

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่ 15



“ไม่มีใครรู้ว่าอดิศรเป็นใครนอกจากนายและฉัน แน่นอนว่ามันคือผลบวกของเราถ้านายรู้จักใช้นี่”


จู่ๆคำพูดของศุภวิชญ์เมื่อเจอกันครั้งล่าสุดวิ่งเข้ามาในหัวของพิชญุฒม์ ทั้งๆที่คิดแทบตายก็คิดไม่ออกว่าจะหาทางช่วยอาชวินอย่างไรดี ในเมื่ออีกไม่ถึงห้าชั่วโมงร่างกายของอาชวินก็จะถูกเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทดลอง แต่ก็เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เมื่ออยู่ๆคำพูดนั้นของศุภวิชญ์ก็วิ่งปราดเข้ามาในห้วงความคิด
   
พิชญุฒม์มองไปที่หน้าตาอันเคร่งเครียดของอดิศรก่อนจะมองไปยังร่างขาวซีดของอาชวิน เขาไม่รู้ว่าหลังจากเตรียมตัวอย่างเสร็จอาชวินจะมีสภาพเป็นอย่างไร แต่ถ้าให้เดาเอกภพก็คงยังไม่ปลิดลมหายใจอีกคนเร็วๆนี้เป็นแน่ เพราะถ้าอาชวินหยุดหายใจนั่นหมายความว่าอวัยวะบางส่วนที่จำเป็นจะต้องใช้ออกซิเจนก็ต้องหยุดทำงานไปด้วย ไม่มีทางที่ก้านสมองจะทำงานได้ และนั่นอาจทำให้เซลล์ตายและการทดลองอาจจะไม่สำเร็จ อย่างเอกภพต้องคิดอะไรได้มากกว่านั้น
   
เจ้าของดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลงพลางถอนหายใจเบาๆหนึ่งทีก่อนจะลืมตาขึ้นมามองอดีตคู่หูประจำสำนักงานที่ตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน

   “ขอกาแฟซักแก้วซิเอกภพ” ทุกสายตาจับจ้องคนพูดเป็นสายตาเดียวกัน ความงงงวยในสายตาเป็นสิ่งที่แสดงออกมาทั้งจากเอกภพ อดิศร รฐนนท์ รวมไปถึงกษิดิส

   “เป็นบ้าหรอวะพิชญุฒม์” อดิศรพุ่งตรงมากระชากคอเสื้อคนที่ทำใจเย็นขอกาแฟจากเอกภพด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งเอกภพที่อยู่ในฐานะคู่หูของพิชญุฒม์มาหลายปีและเดาความคิดพิชญุฒม์ถูกมาตลอดก็ยังไม่สามารถเดาสิ่งที่ซ่อนความคิดอยู่ในความคิดของอีกคนได้

   “เชิญ” เอกภพมองอีกคนด้วยสายตาพิจารณาแต่ก็ยอมผายมือให้อีกคนเดินไปที่โซนที่ถูกแบ่งเอาไว้สำหรับพักผ่อน ถึงโซนพักผ่อนจะเป็นโซนที่แยกจากห้องทดลองแต่เอกภพก็เลือกที่จะออกแบบให้เป็นกระจกใสเพื่อที่ตัวเองจะได้สังเกตุดูการทดลองตลอดเวลาได้

   พิชญุฒม์เดินไปเปิดลิ้นชักเพื่อหาแก้วกาแฟใบเล็กพร้อมช้อนก่อนจะหันไปเปิดตู้เพื่อหากระปุกกาแฟสำเร็จรูปเพื่อชงกาแฟก่อนจะกดน้ำร้อนจากกาต้มน้ำที่เสียบปลั๊กค้างไว้ตลอดเวลาคนเบาๆให้ไอระเหยของกลิ่นคาเฟอีนตีขึ้นจมูก พิชญุฒม์ชอบเวลาที่กลิ่นของกาแฟมันลอยมากระทบใบหน้าเพราะมันให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้สมองปลอดโปร่งมากกว่าการอัดสารประเภทนิโคตินเหมือนที่คนอื่นชอบทำหลายเท่าตัวนัก

ดวงตาคมมองออกไปยังกลุ่มคนที่ยืนนิ่งมองเขาเป็นสายตาเดียวที่ข้างนอกกระจก พิชญุฒม์เบือนสายตาจากคนสี่คนไปเป็นร่างขาวซีดที่นอนนิ่งอยู่ในแคปซูล สายระโยงระยางที่อยู่ตามแอ่งชีพจนของอาชวินไม่ได้ช่วยทำให้พิชญุฒม์รู้สึกวางใจได้ซักเท่าถึงแม้ว่าสัญญาณชีพที่แสดงอยู่บนมอนิเตอร์จะส่งสัญญาณปกติแต่ตัวเลขเวลาที่แสดงอยู่มุมซ้ายของหน้าจอมอนิเตอร์ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าอีกไม่เท่าไหร่สภาพอาชวินก็พร้อมแล้วสำหรับการทดลอง พิชญุฒม์หลับตาลงปิดเปลือกตานิ่งก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ เขาไม่มีทางขัดขวางการเตรียมตัวอย่างได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่รอเวลาให้ครบกำหนดเพราะนั่นคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอาชวิน


เกือบสามชั่วโมงแล้วหลังจากที่พิชญุฒม์เดินออกมาจากโซนสำหรับพักผ่อน กลุ่มคนทั้งห้าจ้องมองไปยังหน้าจอดิจิตอลที่แสดงตัวเลขบนหน้าจอว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงสายระโยงระยางที่อยู่ตามตัวของอาชวินจะถูกปลดออกแล้วความรู้สึกที่หลากหลาย ความรู้สึกวิตกกังวลและเป็นห่วงจากรฐนนท์และกษิดิส ความรู้สึกผิดที่ท้วมท้นจิตใจเพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรน้องชายแท้ๆของตัวเองได้จากอดิศร ความรู้สึกกังวลแต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของพิชญุฒม์ และความรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังเจอของถูกใจของเอกภพ


ติ๊ดติ๊ดติ๊ด


เสียงเวลาที่ดังมาจากหน้าปัดดิจิตอลเหมือนเสียงเตือนที่แทบจะดับลมหายใจให้กับหลายๆคน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของอะไรบ้างอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณภายนอกของบ้านหลังน้อย

เอกภพเอื้อมมือไปปลอดสายระโยงระยางที่อยู่ตามแอ่งชีพจรของอาชวินช้าๆ ดวงตาคู่เรียวที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นเปล่งประกายอย่างคนได้ของถูกใจแต่ในขณะเดียวกันก็เปล่งประกายเด็ดเดี่ยวเมื่อชีพจรของร่างที่กำลังนอนนิ่งอยู่ยังคงเต้นในจังหวะสม่ำเสมอและไม่มีอาการข้างเคียงอย่างที่แอบคิดเผื่อใจไว้ ร่างกายขาวซีดกระตุกเล็กน้อยเมื่อสายที่ต่อกับแอ่งชีพจรสายสุดท้ายถูกปลดออก รอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่บนมุมปากของเจ้าของห้องแลป เอกภพเอื้อมมือไปกดปุ่มสั่งงานที่หน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนที่ฝาแคปซูลจะเปิดออกให้ร่างที่กำลังหลับไหลอยู่ได้ออกมาเจอกับอากาศพร้อมๆกับความรู้สึกเย็นเยียบที่จ่อเข้ากับขมับซ้าย

“หมดเวลาเล่นสนุกแล้วเอกภพ” น้ำเสียงเยียบเย็นที่มาจากคู่หูบ่งบอกให้เอกภพรู้ว่าสิ่งที่สัมผัสขมับตัวเองอยู่นั่นคงเป็นปืนพกที่พิชญุฒม์จะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ท่าทีไม่ทุกร้อนของเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกอารมณ์เสียเลยซักนิดเพราะไม่ต่างจากที่คาดเท่าไหร่

“ทำแบบนี้ไม่ฉลาดน้อยไปหน่อยหรอสารวัตรพิชญุฒม์”

“ฉันยอมรับว่าฉลาดไม่เท่านายเอกภพ” พิชญุฒม์ตอบกลับอีกฝ่ายแต่ปลายกระบอกปืนก็ยังไม่ขัยบไปจากขมับของอีกฝ่าย รอยยิ้มหยันเหมือนคนเหนือกว่าของเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกอยากลั่นไกที่คาอยู่ที่นิ้วชี้ซักเท่าไหร่ ลึกๆก็ยังรู้สึกผูกพันธ์กับอีกฝ่ายมากเกินกว่าจะปลิดลมหายใจ ความรู้สึกที่หลากหลายซ่อนอยู่ลึกภายหลังดวงตาคู่คมเด็ดเดี่ยว แต่แน่นอนว่าสำหรับเอกภพที่อยู่กับพิชญุฒม์มานาน นานพอจะเดาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาเด็ดเดี่ยวดุจราชสีห์ของพิชญุฒม์ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย คนเราเกิดมาก็ต้องตายแต่สำหรับเอกภพเขารู้ว่าพิชญุฒม์ไม่มีวันลั่นไกเพื่อปลิดลมหายใจเขาเป็นแน่

“พิชญุฒม์ หมู!!” น้ำเสียงร้อนรนที่ดังมาจากอดิศรเรียนให้สายตาคนตวัดไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงเปล่าไร้ซึ่งฝาครอบแคปซูล เพียงชั่วแวบเดียเท่านั้นที่สายตาของพิชญุฒม์สบเข้ากับร่างที่กระตุกเกร็งบนเตียงก่อนที่หมัดหนักๆจากคนที่ถูกปืนจ่อหัวอยู่จะซัดเข้าเต็มท้องน้อยจนพิชญุฒม์ตัวงอ พอจะเงยหน้ามาเพื่อปล่อยหมัดใส่ก็ไม่ทันหมัดที่สองของเอกภพที่ซัดเข้าเต็มปลายคางจนรู้สึกถึงรสความคลุ้งในปาก

ความชุลมุนเกิดขึ้นทันทีที่พิชญุฒม์ล้มลงไปกับพื้นโดยมีเท้าของเอกภพเหยียบอยู่บนหน้าท้องเต็มแรง ความจุกแล่นปราดเข้ามาจนหมดแรงไปชั่วขณะ ภาพที่ปรากฎขึ้นข้างหลังเอกภพคืออาชวินที่ร่างกายกำลังกระตุกหนักๆโดยมีอดิศรพยายามจับแขนจับแขนอีกคนไว้แล้วตะโกนเรียนชื่ออาชวินเสียงดัง ใบหน้าแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศตึงเครียดแผ่เข้ามาปกคลุมจนหายใจไม่ออก แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวมเร็วเพียงเสี้ยววินาทีแต่กระชากความรู้สึกพิชญุฒม์ได้อย่างรุนแรง

“หมดเวลาสนุกแล้วหล่ะสารวัตร” เอกภพปรายตาไปมองร่างของอาชวินที่ตอนนี้สงบลงแล้วมีอดิศรประคองอยู่ก่อนจะหันกลับมามองพิชญุฒม์ด้วยสายตาว่างเปล่า พร้อมกับหันปลายกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมที่ครั้งนึงมันเคยอยู่ในมือของพิชญุฒม์มายังเจ้าของของมัน “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างและเสียใจด้วยที่หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก”


ปัง!


หยดเลือดสีแดงกระเด็นใส่ใบหน้าคมของพิชญุฒม์พร้อมกับเสียงปืนพกที่ตกลงมาเฉียดใบหน้าเพียงไม่กี่เซ็นต์ เอกภพยกมือเปื้อนเลือดขึ้นมากุมแน่นด้วยความเจ็บก่อนจะตวัดสายตามองไปยังที่มาของลูกกระสุนที่เจาะเข้าที่หลังมือเขาจนแม่นเหมือนจับวางก่อนที่ดวงตาคู่เรียวจะเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ศุภวิชญ์ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับเล็งปืนมาที่เขาอย่างไม่ไหวติง หลังจากที่เขาปลดตัวเองจากการเป็นคู่หูของพิชญุฒม์ก็พอจะรู้มาบ้างว่าได้ศุภวิชญ์มาเป็นคู่หูคนใหม่แต่เพราะความไม่ค่อยลงรอยและอีโก้ของแต่ละคงทำให้เขาวางใจเกินไปว่าทั้งคู่ไม่น่าจะทำงานด้วยกันได้แต่เหมือนว่าเขาจะคาดเด็กคนนี้ผิดไปหน่อย พิชญุฒม์ขยับตัวลุกขึ้นหยิบปืนขึ้นกระชับมือก่อนที่ศุภวิชญ์จะเดินย่างสามขุมเข้ามาแต่ก็ยังไม่ลดระดับปืนในมือลง

“นายไปดูอาชวินเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” ศุภวิชญ์เอ่ยกับพิชญุฒม์เสียงเรียบแต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเอกภพ พิชญุฒม์พยักหน้าให้อีกฝ่ายเบาๆเพื่อตอบรับแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มองมาก็ตามก่อนจะลุกไปหาคนที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง

เสื้อโค้ทที่ใส่คลุมมาของพิชญุฒม์ถูกถอดออกเพื่อคลุมร่างเปลือยเปล่าขาวซีดของอาชวิน พิชญุฒม์ยกมือขึ้นตรวจชีพจรของอาชวินก็พบว่ามันเต้นเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิดเพราะไม่รู้ว่าร่างกายนี้โดนสารอะไรเข้าไปบ้าง เสียงเรียกชื่ออาชวินอย่างร้อนรนพร้อมกับการพยายามเข้าตัวให้อีกคนรู้สึกตัวของอดิศรทำให้พิชญุฒม์ได้สติออกแรงช้อนร่างที่อ่อนปวกเปียกของอีกคนแนบอกก่อนจะหันไปสั่งสองคนที่ยังยืนละลาละลังอยู่

“รฐนนท์รบกวนไปเตรียมรถกับคุณกษิดิสด่วน หมูต้องไปโรงพยาบาลทันทีส่วนนาย อดิศรทำจิตใจให้สงบเพราะนายคือความหวังเดียวที่จะทำให้อาชวินกลับมามีชีวิตปกติ” พูดจบก็อุ้มอาชวินเดินออกไปทันทีปล่อยให้ศุภวิชญ์และทีมงานอีกสองสามคนเก็บกวาดพื้นที่ก่อนที่อดิศรจะวิ่งตามมา แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนต้องการจะสื่อแต่สำหรับตอนนี้ชีวิตของอาชวินสำคัญเกินกว่าที่เขาจะมามัวห่วงคำตอบ

รถกะบะจอดสนิทที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นแค่โรงพยาบาลเล็กๆแต่สำหรับตอนนี้อย่างน้อยการที่อาชวินถึงมือหมอแล้วก็ถือว่าน่าจะพอรักษาสารอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายได้รับการกระตุ้นมาได้บ้าง ประตูห้องฉุกเฉินปิดกัันความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้อง แน่นอนว่าบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปรบกวนการปฏิบัติงานของแพทย์เวร พิชญุฒม์ยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินข้างๆกันเป็นอดิศรที่มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน ส่วนรฐนนท์กับกษิดิสยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง

พิชญุฒม์ถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาข้างนอกไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะเครื่องเก่าของโรงพยาบาลก่อนจะพยายามควานหาเศษเหรียญที่ปกติจะพกติดกระเป๋ากางเกงไว้เพื่อฉุกเฉินหยอดลงไปในช่องใส่เหรียญแล้งกดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจ

“สวัสดีครับ” รอเพียงไม่นานปลายสายก็ตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“กายหรอ ฉันพิชญุฒม์นะ บอกให้ทางแลปเตรียมหมอไว้ด้วยแล้วนายก็เตรียมตัวให้พร้อมถ้าอยากได้อาชวินกลับไปร่วมงานด้วยนี่คือโอกาสเดียวของนาย” สัญญาณตัดไปแล้วแต่พิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูราวกับว่าอีกฝ่ายยังสามารถสื่อสารกับตัวเองได้ พิชญุฒม์ทิ้งตัวเองไว้ในห้วงแห่งความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเก็บโหรศพท์เข้าที่แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงกับผนังเย็นๆ

เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้บริเวณนี้ยิ่งร้างผู้คน ดวงตาคู่คมปิดลงอย่างใช้ความคิด หนทางเดียวที่จะทำให้อาชวินกลับมาเป็นปกติได้ก็คืออดิศร ด้วยเพราะอดิศรคือคนเดียวที่มีดีเอ็นเอพิเศษเหมือนกับอาชวิน ข้อนี้คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ ไม่ซิอันที่จริงมีศุภวิชญ์ด้วยอีกคน แต่เพราะเอกภพไม่รู้ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้คิดถึงจุดบอดในตรงนี้ของแผนการที่สร้างขึ้นมา เขาเลยได้ใช้จุดบอดตรงนี้เล่นงานได้ แม้จะเสี่ยงเพราะเดิมพันธ์คือชีวิตของอาชวินแต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงเมื่อรู้ว่าอะไรคือผลที่จะตามมา นาฬิกาบนผนังของโรงพยาบาลบ่งบอกว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้วนั่นหมายความว่าอาชวินควรจะต้องย้ายไปยังห้องที่เขาสั่งกายให้เตรียมทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไว้ พิชญุฒม์สะบัดหัวไล่ความรู้สึกต่างๆออกจากหัวก่อนจะลุกกลับไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อแจ้งเรื่องการย้ายผู้ป่วยกับทีมแพทย์ที่ป่านนี้อาจจะกำลังดูอาการอาชวินอยู่


ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำสำนักงานถูกจัดเตรียมขึ้นอย่าเร่งด่วนแต่อุปกรณ์ที่อยู่ในห้องกลับครบครัน ร่างขาวซีดของอาชวินที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยชุดผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายให้มานอนอยู่บนเตียงสีขาว ทีมแพทย์สี่ห้าคนต่อเครื่องมืออันใหญ่เพื่อตรวจวัดชีพจรเข้ากับร่างกายขาวๆของอาชวินกันเป็นพัลวันเมื่อได้อ่านรายงานจากโรงพยาบาลก่อนหน้า โอเวอร์โดส คือสิ่งที่ปรากฎอยู่ในรายงาน ร่างกายของอาชวินได้รับสารบางอย่างมากเกินไปโชคดีที่ถึงมือหมอเร็ว ถึงแม้จะขับออกไม่หมดแต่ก็ถือว่ารักษาอาการไม่ให้ทรุดลงไปได้

แม้ภายในห้องผู้ป่วยจะวุ่นวายเพราะต้องทำงานแข่งกับการแผ่กระจายของสารเคมีบางตัวที่เอกภพนำเข้าไปสู่ร่างกายของอาชวิน แต่คนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่ภายนอกกลับนิ่งเงียบและไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ทิ้งไว้เพียงความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากแต่ละบุคคล พิชญุฒม์ได้แต่นั่งภาวนาให้คนที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงกลับมามีรอยยิ้มเร็วๆถึงจะเป็นแค่รอยยิ้มแห้งแล้งมากแค่ไหนก็ตาม


ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
รวมสิบชั่วโมงกว่าประตูห้องจะเปิดออก แพทย์ที่ทำการรักษาเดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะยกชาร์ตรายงานขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้บุคคลที่ยืนรออยู่ด้านนอก

“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ผมขอคุยกับการส่วนตัวกับคุณพิชญุฒม์นิดหน่อย” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงความสุขุมของคนที่ใหญ่ที่สุดในการรักษาทำให้พิชญุฒม์ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งขรึม “รบกวนห้ามเยี่ยมจนกว่าผมจะคุยกับคุณพิชญุฒม์เสร็จเรียบร้อยนะครับ” พูดจบก็เดินถือชาร์ตรายงานผลการรักษามุ่งตรงไปยังห้องพักส่วนตัวของตัวเองโดยมีพิชญุฒม์เดินตามไปโดยไม่พูดอะไรเพราะรู้ว่าตรงนี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยอะไรออกมาก

“มีอะไรก็ว่ามาเถอะหมอ” คนเป็นตำรวจเอ่ยขึ้นทันทีที่แพทย์เจ้าของไข้ถอดเสื้อกาวน์สีขาวออกยังไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อยดี คนเป็นเจ้าของห้องไม่ได้สนใจคำพูดนั้นแต่ยังบรรจงถอดเสื้อกาวน์สีขาวแขวนไว้บนที่เก็บในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเองก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน

“เหมือนจะเกิดความผิดปกติกับร่างกายของคนไข้ ฉันลองให้ยาไปตัวนึงแล้วร่างกายต่อต้านตอนนี้กำลังให้ทางห้องแลปตรวจสอบดูอยู่ว่าเพราะอะไร ถ้าจากการคาดเดาเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมาจากสารซักตัวนึงที่คนไข้รับเข้ามาแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม ซึ่งถ้าร่างกายต่อต้านยาทุกตัวที่ฉันให้นั่นก็หมายความว่าคงจะหมดหนทางแล้วหล่ะ”

นายแพทย์เจ้าของไข้ที่ดูทั้งนิ่งและน่าเกรงขามในเวลาปกติบัดนี้กลับยิ่งดูน่าเกรงขามยิ่งไปกว่าเดิมเมื่อเรื่องที่ต้องพูดถึงคือปัญหาขอคนไข้ที่ยากจะแก้ไข พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมุ่นตอนนี้เขายังทำอะไรมากไม่ได้สิ่งที่ต้องรอก็คือผลแลปที่นายแพทย์เจ้าของไข้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยมปลายเป็นคนดูแล เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอะไรมันยังไม่สายจนเกินไปเขาก็ยังคงเหลือแสงสว่างดวงสุดท้ายเพื่อยื้อชีวิตของอาชวินให้รอดพ้นจากมือมัจจุราช


ก๊อกก๊อกก๊อก


ความเงียบครอบคลุมห้องพักแพทย์อยู่พักใหญ่จนกระทั่งผู้มาใหม่เคาะประตูห้องพักขึ้นมา เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามาก่อนจะปรากฎร่างของเจ้าหน้าที่ห้องแลปที่เป็นผู้ช่วยแพทย์เดินมาพร้อมกับผลการทดลองที่เขาสั่งให้เอาไปวิจัย แพทย์เจ้าของไข้คว้าแว่นสายตามาใส่ก่อนที่ดวงตาคู่โตภายใต้กรอบแว่นหนากวาดตามองตัวหนังสืออย่างรวดเร็วเพื่อจับใจความจะเงยมาสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ

“ผลแลปว่าไงมั่งหมอ”

“รหัสพันธุกรรมถูกเปลี่ยน” ดวงตาคู่คมของพิชญุฒม์มีแววไหววูบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “เรื่องแบบนี้ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่การที่รหัสพันธุกรรมของคนไข้ถูกเปลี่ยนขนาดนี้มันไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวคนไข้เองแน่ๆ”

“แล้วมันจะแก้ไขอะไรได้มั่งหรือเปล่า” คนเป็นหมอส่ายหัวช้าๆเป็นคำตอบก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ผลแลปบอกว่าดีเอ็นเอบางส่วนของคนไข้ถูกเปลี่ยนแต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่ถูกสารตัวนั้นเข้าไปทำปฏิกิริยา วิธีที่จะทำให้ดีเอ็นเอกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันก็มีแต่ในกรณีนี้มันคงเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเท่าที่ได้ยินมาคนไข้ไม่มีญาติที่ไหนไม่ใช่หรอ โอกาสที่จะให้คนที่ใช้ดีเอ็นเอตัวเดียวกันมาปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดมันก็ไม่มีไม่ใช่หรอ แล้วอีกอย่างฉันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่จะบริจาคแล้วลักษณะทางพันธุกรรมจะเข้ากับคนไข้ได้หรอกในกรณีนี้”

“แล้วถ้ามี นายจะช่วยหมูได้ใช่ไหม?” แนวคิ้วเข้มของแพทย์หนุ่มเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัยในคำพูดของเพื่อน ก็ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าโอกาสที่ลักษณะทางพันธุกรรมของคนไข้จะเข้ากับคนที่มาบริจาคที่ไม่ใช่พี่น้องมันไม่น่าจะมีโอกาสเข้ากันได้อีกฝ่ายก็ยังไม่เชื่อ แต่แล้วดวงตาคู่โตภายใต้กรอบแว่นก็ต้องเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนตัวเอง

“หมูมีพี่ชายฝาแฝดอีกหนึ่งคน ช่วยรักษาเขาให้กลับมาเป็นหมูของฉันเหมือนเดิมทีนะหมอ”


เข้าสู่วันที่สามแล้วหลังจากที่อาชวินได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดร่างกายขาวซีดยังคงนอนซีดเซียวอยู่ในห้องปลอดเชื้อ นับรวมๆเวลาที่อาชวินนอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ร่วมครึ่งเดือนแล้วพิชญุฒม์แทบไม่มีกระจิตกระใจจะไปทำงาน เขาเลือกที่จะไม่ลาแต่เลือกที่จะไปทำงานในตอนกลางวันและมานั่งเฝ้าอาชวินในยามกลางคืนแทนถึงแม้ว่าจะนั่งเฝ้าได้เพียงหน้าห้องปลอดเชื้อ กว่าอาชวินจะได้ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจริงๆก็ปาเข้าไปสัปดาห์ที่สองเพราะหมอต้องรอให้ร่างกายมีความพร้อมในระดับหนึ่งก่อน

หลังจากปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเสร็จอดิศรก็แทบไม่ได้มาให้เขาเห็นหน้า อันที่จริงเขารู้มาว่าอดิศรนอนพักอยู่อีกโซนหนึ่งเพราะร่างกายเกิดทรุดเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอและภาวะเครียดสะสมเขาเลยให้กายเป็นคนไปคอยดูแลเพราะอย่างน้อยตอนนี้กายก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาวางใจได้ พิชญุฒม์นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อแม้ตัวเองจะแทบไม่ได้นอนเลยในแต่ละวัน ร่างสูงได้แต่มองร่างของอาชวินผ่านกระจกเพราะตอนนี้อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอเกินกว่าที่จะต้องออกมาจากห้องปลอดเชื้อ สายน้ำเกลือที่เจาะตรงกับหลังมือยิ่งทำให้พิชญุฒม์รู้สึกเจ็บแปลบๆในใจ และเป็นอีกครั้งที่ฝืนร่างกายต่อไม่ไหวดวงตาคู่คมปิดลงพร้อมกับร่างกายที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงกับผนังโรงพยาบาลที่พิงอยู่

พิชญุฒม์รู้สึกตัวในตอนเช้าตรู่ของอีกวันตอนที่แพทย์เจ้าของไข้เดินมาตรวจอาการของอาชวินที่นอนนิ่งอยู่ในห้อง ก่อนจะกลับแพทย์หนุ่มยังหันมาบอกให้หายห่วงว่าอาการทรงตัวขึ้นอีกซักอาทิตย์น่าจะออกจากห้องปลอดเชื้อได้ พิชญุฒม์ได้แต่พนักหน้ารับ สำหรับเขาแม้คำพูดของหมอจะทำให้วางใจได้แต่ก็ไม่อยากจะวางใจซะทีเดียว ตราบใดที่ไม่เห็นกับตาว่าอาชวินตื่นมาอย่างปลอดภัยเขาก็ไม่อยากจะวางใจอะไรทั้งนั้น

ร่วมอาทิตย์หลังจากที่แพทย์เจ้าของไข้บอก อาชวินก็ได้ย้ายออกจากห้องปลอดเชื้อเพราะร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วจนคุณหมอวางใจแต่ก็ยังเฝ้าดูอาการเป็นระยะ พิชญุฒม์ย้ายตัวเองและงานบางส่วนมานั่งทำในห้องพิเศษที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับอาชวิน อดิศรกับกายแวะมาหาหลังจากที่อาชวินย้ายมาห้องนี้ได้ซักสองชั่วโมงแต่เพียงไม่นานก็กลับเพราะอดิศรบอกว่าจะขอไปจัดการกับอะไรบางอย่างไม่ให้มีอะไรต้องค้างคาอีก ส่วนกายต้องกลับไปทำหน้าที่ตัวเองที่ห้องทดลองในสำนักงาน

เพราะอาชวินนอนนิ่งมาเป็นเวลานานกล้ามเนื้อบางส่วนอาจใช้งานได้ไม่ปกติถ้าไม่ได้รับการทำกายภาพบำบัด พิชญุฒม์ละมือจากงานที่กำลังทำค้างอยู่มาบีบๆนวดๆกล้ามเนื้อให้คนที่ยังนอนหลับอยู่พร้อมทำกายภาพเบื้องต้นให้ตามที่ได้รับคำแนะนำมาจากคนเป็นเพื่อน สองมือกอบกุมมือนุ่มนิ่มขาวซีดที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดฝาดหลวมๆเพื่อส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้อาชวินจะรับรู้ไหมแต่เขาก็เต็มใจที่จะส่งไปถึงแม้จะไปไม่ถึงแต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้ส่งความรู้สึกนี้ไปยังอีกคนก็พอ

ความรู้สึกยุกยักตรงฝ่ามือเรียกให้สายตาคู่คมหันกลับมามอง ปลายนิ้วของคนที่นอนนิ่งมาเป็นเวลานานกระตุกเบาๆ เพียงเท่านี้พิชญุฒม์ก็ลนลานจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเมื่อเปลือกบางที่ปกปิดดวงตากลมๆนั้นเปิดออกความรู้สึกลิงโลดยิ่งพู่งเข้ามากระแทกจิตใจ พิชญุฒม์รีบเอื้อมมือไปกดปุ่มส่งสัญญาณให้แพทย์และพยาบาลเข้ามาดูอาการคนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวหลังจากนอนนิ่งๆมาเกือบเดือน

“คนไข้ยังขยับตัวไม่ค่อยได้นะ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและร่างกายยังไม่เอื้อให้ขยับมากเท่าไหร่ อาจจะลำบากหน่อยนะช่วงนี้แล้วก็อย่าลืมทำกายภาพตามที่ฉันสั่งหล่ะถ้าเป็นไปได้ก็เปิดม่านให้คนไข้เจอแดดข้างนอกบ้างก็ดี” แพทย์เจ้าของไข้เอ่ยเบาๆก่อนจะหันหลังเดินออกไปพร้อมพยาบาลที่เดินตามมาด้วยอีกสองคนทิ้งให้คนป่วยและคนดูแลอยู่กันตามลำพัง

“ขอบคุณมากนะหมูที่ฟื้นขึ้นมา” พิชญุฒม์กอบกุมมือนุ่มนิ่มเบาๆราวกับอีกฝ่ายเป็นแก้วกระเบื้องที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ

“คุณตะ..พี่พีท”

“อย่าเพิ่งฝืนตัวเองอาชวิน นายหลับไปตั้งนานค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ” พิชญุฒม์ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลมไม่ให้อีกคนรู้สึกแย่ สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นตัวกำลังใจย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดข้อนี้เขารู้ดี

พิชญุฒม์ปล่อยให้อาชวินนอนนิ่งๆส่วนตัวเองก็ทำกายภาพให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง สำหรับพิชญุฒม์การกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกลำบากอะไรแต่คนที่ลำบากใจกลับเป็นอาชวินที่นอนหน้าร้อนผ่าวอยู่บนเตียง แม้ร่างกายที่ขาวซีดจะเริ่มมีเลือดฝาดแต่เหมือนว่าเลือดจะพร้อมใจกันไปล่อเลี้ยงที่ใบหน้ามากกว่าปกติ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงที่ตัวเองกำลังหลับไหลเหมือนเจ้าชายนิทรา แต่พิชญุฒม์คนนี้กับพิชญุฒม์คนที่บังคับให้เขามาอยู่ด้วยแทบจะกลายเป็นคนละคน พิชญุฒม์คนนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงระยะเวลาสั้นๆที่กระบี่ ความอบอุ่นที่แฝงออกมาในทุกการกระทำ การกระทำที่ทำให้เขาแปลกใจตลอดเวลา รวมไปถึงทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้อย่างที่เคยมีคนทำได้


กว่าอาชวินจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็อีกเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น คนตัวขาวนั่งอยู่บนวีลแชร์โดยมีพิชญุฒม์เป็นคนเข็นและคอยดูแลทุกอย่างทั้งประคองขึ้นลงรถซึ่งความจริงอาชวินคิดว่าถ้าพิชญุฒม์ทำได้พิชญุฒม์ก็คงจะอุ้มเขาทั้งขึ้นและลงจากรถเป็นแน่ และสิ่งที่แปลกใจเป็นอันดับต่อมาหลังจากที่พิชญุฒม์พาเขาขับรถออกจากโรงพยาบาลมาแล้วเพราะพิชญุฒม์ไม่ได้พาเขาตรงกลับบ้าน แต่เลือกที่จะพามายังสวนสาธารณะที่เป็นจุดเริ่มของทุกๆอย่าง

ลมเย็นๆในช่วงเวลาโพล้เพล้พัดเข้าหน้าทำให้ต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนเบาๆแต่เพียงไม่นานเสื้อโค้ทเนื้อดีก็คลุมลงบนช่วงไหล่ พิชญุฒม์เดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคนก่อนจะทรุดตัวลงนั่งชันเข่าเพื่อให้ระดับสายตาเสมอกับคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น มือเย็นๆของอีกคนเอื้อมมาลูบกลุ่มผมนุ่มขออาชวินก่อนจะคว้าเอามือขาวไปกุมไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง

“จำที่นี่ไดไหม ตรงนั้น” พิชญุฒม์ชี้มือไปยังม้านั่งตัวที่เขาเคยถูกอีกฝ่ายจับได้ก่อนที่ตวงตาคู่คมจะสบเข้ากับดวงตากลมโตของอีกฝ่ายอย่างแฝงความใน ความรู้สึกภายในปั่นป่วนเพียงแค่ได้สบตา อาชวินไม่รู้ว่าพิชญุฒม์ต้องการที่จะสื่ออะไรออกมา แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนให้หัวใจตัวเองเต้นเป็นจังหวะไม่ปกติ

“ที่ตรงนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสองคนมาอยู่ตรงนี้จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะขอให้เรื่องนั้นมันจบลงตรงนี้” ความรู้สึกวูบโหวงผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ฟังน้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ย อาชวินรู้สึกเหมือนใครมาปิดสวิตซ์ตัวเองชั่วครู่ก่อนรอยยิ้มจางๆจะถูกปั้นแต่งขึ้นมาประดับบนใบหน้า

“ฟังให้จบก่อนซิ” พิชญุฒม์อมยิ้มจนแก้มตุ่ยระคนเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือไปยีผมอีกคนเบาๆ “ที่หมายถึงให้เรื่องนั้นมันจบตรงนี้เพราะบางทีนายอาจจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการเป็นนักโทษ ถ้านายจบการเป็นนักโทษของฉันลงตรงนี้แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่นายจะมาเป็นคู่หูคนใหม่ของฉัน” ความหมายที่แฝงมากับประโยคเรียกให้จังหวะการเต้นของหัวใจแรงขึ้นมาอีกครั้งอย่างบังคับไม่ได้

“บางทีคู่หูที่ฉันต้องการคราวนี้คงไม่ใช่แค่คู่หูในเรื่องงานนะนายจะรับพิจารณาคำขอของฉันได้หรือเปล่า ช่วยมาเป็นคู่หูของฉันทั้งเรื่องงานและส่วนตัวจะได้ไหมหมู”

รอยยิ้มอย่างคนใจดีทำเอาอาชวินใจกระตุก คนตัวขาวเม้มปากอย่างใช้ความคิด เพราะเกิดมาไม่ได้มีครอบครัวอย่างสมบูณณ์หลายครั้งที่ความอบอุ่นและใจดีจากคนรอบข้างทำให้ตัวเองต้องผิดหวัง ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อใจแต่เพราะครั้งหนึ่งเคยเชื่อใจในหลายๆคนแต่สุดท้ายก็โดนหลอกใช้โดยเอาความรู้สึกดีๆมาเป็นเครื่องมือจนสุดท้ายกลายมาเป็นเด็กที่แทบจะสิ้นไร้เพื่อน คนที่สนิทด้วยที่สุดก็คือคนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างอดิศรยิ่งทำให้อาชวินไม่ค่อยจะวางใจใครง่ายๆ ดวงตากลมโตปิดลงก่อนจะเปิดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจได้

ใบหน้าขาวที่เจือสีจางๆผินหน้าออกจนทำให้คนที่รอคำตอบอยู่หน้าเสียไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาจนเห็นเขี้ยวเพราะมือขาวอีกข้างที่พิชญุฒม์ไม่ได้กอบกุมยกขึ้นมาทาบทับที่หลังมือเป็นเหมือนคำตอบตกลงของคำขอนั้น พิชญุฒม์โถมตัวกอดคนที่นั่งนิ่งอยู่บนวีลแชร์อย่างไม่แรงมากนักเพราะกลัวกระทบกระเทือนอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากอิ่มของอาชวิน สวนสาธารณะริมแม่น้ำในช่วงพลบค่ำที่เริ่มมีแสงไฟยิ่งเพิ่มอนุภาคความสุขให้ตลบอบอวลขึ้นไปอีกเมื่อคนทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันอย่างเต็มแก้ม


จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้สวยงามไม่ได้หมายความว่าจะมีจุดจบที่แย่ๆไปซะทุกครั้งอยู่ที่ว่าเราเลือกจะให้มันจบแบบไหนต่างหากซึ่งหลังจากนี้พิชญุฒม์คิดว่าเขาคงจะมีธุระไปที่ห้องทดลองในสำนักงานบ่อยๆเป็นแน่ เพราะ ‘คู่หู’ คนใหม่ของเขาคงต้องทำงานอยู่ที่นั่น




END


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด