►❈หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย❈◄ Ch.7 One Step Closer [21:2:61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►❈หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย❈◄ Ch.7 One Step Closer [21:2:61]  (อ่าน 13311 ครั้ง)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*************************************************

►❈หลังวันที่ พระจันทร์ แตกสลาย❈◄

ในโลกที่แสนมืดมิดและเฮงซวยใบนี้ ไม่เคยมีแสงสว่างใดส่องมาถึงผม

ผมเคว้งคว้าง โดดเดี่ยว และไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า

"ความรัก"

จนกระทั่งได้พบกับเขา

ผู้ชายที่มักจะยิ้มอย่างอบอุ่นเสมอ

คนที่มีมนต์วิเศษทำให้ความเศร้าหายไป

คนที่บอกว่าผมมีค่ามากพอที่จะใช้ชีวิต

คนที่ประกอบผมขึ้นมาใหม่หลังผมแตกสลายเป็นฝุ่นธุลี

เขา ผู้ซึ่งเป็นแสงที่ส่องสว่างที่สุดในชีวิตของผม

***************************************************

สวัสดีค่า snowrabbit เองค่ะ กลับมาคราวนี้มาในธีมหนุ่มมัธยมล่ะค่ะ 55555
เป็นโทนเรื่องที่ออกจะหม่นๆ หน่อย ตอนแรกกะจะเขียนให้มันฟีลกู๊ดแต่แก้พล๊อตไปมาแล้วคิดว่าเรื่องคงไม่ไปทางนั้น
แม้จะขลุกขลักเล็กน้อยแต่จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดนะคะ
สามารถติชมและแสดงความคิดเห็นได้ตามใจเลยนะคะ
แล้วก็สามารถติดตามข่าวสารของนิยายและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream ค่ะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 19:28:48 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย
บทที่ 1
Unfortunately Events



       เรื่องแย่ๆของผมเริ่มขึ้นช่วงพักเที่ยงของเช้าวันจันทร์ หลังเสียงกริ่งบอกหมดชั่วโมงเรียนคณิตศาสตร์สุดทรมานดังขึ้นนักเรียนทุกคนในห้องก็แทบจะไหลตายไปกับโต๊ะเรียน
   
        “การบ้านหน้ายี่สิบสี่ ข้อหนึ่งใหญ่ สองใหญ่ ส่งพรุ่งนี้ก่อนเข้าแถว ใครมาไม่ทันไม่รับส่งแล้วนะคะ”
   
         ครูเนตร ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์ที่สอนห้องพวกผมดันแว่นตาอันใหญ่ที่ทำให้เธอดูเหมือนนกฮูกขึ้นไปจนชิดดั้งจมูก ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูแย้มรอยยิ้มประหารส่งให้นักเรียนแต่ละคน
   
        “ครูหวังว่าพวกเธอจะส่งงานตรงเวลา”
   
        เหล่านักเรียนผู้แทบจะต้มหนังสือเรียนกินแทนข้าวกลางวันตอบรับเสียงยานคาง หลังได้ยินเสียงอ่อยๆ จนพอใจคุณครูสาวก็หันหลังเดินออกจากห้องตามติดด้วยหัวหน้าห้องที่หอบหิ้วกระเป๋าใส่หนังสือและอุปกรณ์การสอนของครู
   
        “ติ ตายยัง”
   
        เสียงใสดังอยู่เหนือหัวพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดมาแรงๆ ที่หลังจนผมสะดุ้ง รีบกระเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วส่งสายตาฟาดฟันให้คนทำทันที
   
        “ยังไม่ตายแต่กำลังจะตายเพราะโดนคนมือหนักฟาดเนี่ยแหละ”
   
        “เอ้าเหรอ โทษทีไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ฟาดแรงขนาดนั้นนะ เป็นผู้ชายแค่นี้ทำสำออย”
   
        “โธ่ป้า ประมาณแรงควายตัวเองบ้างเถอะ”
   
        เชื่อไหมครับถ้าผมจะบอกว่าเจ้าของแรงโคแรงกระบือที่ฟาดหลังผมแทบหักตะกี้เป็นผู้หญิง แถมยังเป็น ‘สาวสวย’ เสียด้วย
   
       “เรียกป้าอีกคำตบหน้าคว่ำนะจ๊ะติชิลา”
   
        ครับ ตรงหน้าผมคือสาวน้อยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสุกใสรับกับจมูกและปากได้รรูป พวงแก้มซับสีแดงของเลือดฝาดแบบคนสุขภาพดี

        ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ธารทิพย์’ คนนี้สวยสดใสสมวัยและมีเสน่ห์น่าเข้าหา

        ใช่...ทุกคนยกเว้น ‘ผม’

        ทำไมน่ะหรือ? ก็ถ้าคุณเป็นเพื่อนกับสาวสวยคนนี้มาตลอดชีวิต รู้ว่าบ้านเธอเปิดโรงฝึกคาราเต้และเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของหัวหน้าโรงฝึกที่คว้าแชมป์คาราเต้ระดับประเทศได้ตั้งแต่อายุยังน้อย รู้ว่าพี่ชายห้าคนและพ่อของเธอดุอย่างกับร๊อตไวเลอร์ผสมพิตบูล รู้ว่าเธอเคยเตะก้านคอผู้ชายที่ตรงมาจะลวนลามจนสลบไป...

        ถ้าคุณรู้เหมือนที่ผมรู้มาตลอดชีวิตคุณจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าไอ้ภาพลักษณ์นางฟ้านี่น่ะแม่งโคตรหลอกตา!

        “ทำหน้าทำตา...นินทาธารในใจล่ะสิ หน้าโง่ๆ แบบนี้เดาง่าย”

       แถมมันยังปากหมามากด้วย! ให้ตายเหอะ!

       “เป็นสาวเป็นนาง ทำไมพูดไม่เพราะ”

       “เป็นแม่เหรอ ทำไมพูดเหมือนแม่ธารเมื่อเช้าเลย”

       “เราเข้าใจหัวอกแม่ธารต่างหาก หน้าตารึก็ดี เสียของ”

        “เหอะ”
   
        ธารกลอกตา ถ้าเอามือแคะหูตัวเองได้คงทำไปแล้ว “จะพูดล่ะสิว่านิสัยแบบนี้เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้”
   
        “ก็รู้นี่หว่า”
   
        “ไม่เห็นอยากมี ถ้าไม่มีใครมาขอธารอยู่เป็นโสดก็ได้ มีเงินซะอย่าง” มันหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวานให้ผม ร่างโปร่งบางของเพื่อนสนิทรี่เข้ามาคล้องแขนผมไว้ก่อนจะเอนหัวซบไหล่ผมอย่างออดอ้อน “แต่ถ้าแม่บังคับแต่งธารจะบอกแม่ว่าจะแต่งกับติ”
   
        “ถามความเห็นเราก่อนได้หรือเปล่า”
   
        “ยกสินสอดไปขอด้วยก็ได้เอ้า ทำไม แต่งกับสาวสวยแบบเรานี่ไม่ชอบหรือไง อีกอย่างป๊าก็ฝากธารไว้กับติด้วยจำไม่ได้เหรอ”
   
       ผมหัวเราะเหอะๆ ในลำคอระหว่างปลดแขนมันออกแล้วเริ่มต้นเก็บหนังสือกับกล่องดินสอลงใต้โต๊ะ ผมบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าผมกับธารรู้จักกันมาทั้งชีวิต นั่นเพราะบ้านเราอยู่ติดกัน พ่อแม่เราสนิทกัน ช่วงท้องที่ท้องผมแม่ผมกับแม่ธารยังไปร่วมโปรแกรมคนท้องด้วยกันอยู่เลยและผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่พี่ๆ ห้าคนรวมถึงพ่อแม่ธารอนุญาตให้เข้าถึงตัวลูกสาวเขาได้
   
        “หิวแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่า”
   
        ผมเปลี่ยนเรื่องธารก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เธอกลับไปบ่นหงุงหงิงเรื่องอาจารย์สอนคณิตปล่อยช้าและการบ้านมหาโหดที่รุมเร้า
   
        ผมพลิกข้อมือดูนาฬิกา ก็ปล่อยช้าจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว โรงอาหารคนเต็มแล้วแน่ๆ
   
        “โอ๊ยยย ราดหน้าที่อยากกินหมดแล้วแน่ๆ”
   
        “ซื้อขนมปังไปนั่งกินที่อื่นดีไหม”
   
        ผมเสนอความเห็นระหว่างมองไปรอบโรงอาหารที่แน่นขนัด ธารทิพย์กัดริมฝีปาก เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จำใจพยักหน้า พวกเราสองคนเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ร้านสะดวกซื้อในโรงเรียนแทน ธารกับผมหยิบชาเขียวติดมือกันมาคนละขวดก่อนเดินไปที่ร้านขายขนมปัง ธารหยิบโดนัทเรียงใส่กล่องในขณะที่ผมหยิบเอแคลร์กับคุกกี้มาสองสามถุง เราหารครึ่งกันเสมอเวลาซื้อขนมแบบนี้
   
        “ไปกินที่ไหนดี”
   
       หลังได้ขนมเราสองคนเดินวนไปรอบๆ โรงเรียน ตามโต๊ะม้าหินอ่อนและศาลามีคนจับจองอยู่เต็มแล้วและเราไม่อยากหอบขนมขึ้นไปกินบนห้องเรียนเท่าไหร่ หลังเดินวนไปวนมาจนเหงื่อซึมผมก็นึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้ ผมดันแว่นขึ้นก่อนจะเสนอว่า
   
        “ไปกินบนโรงยิมกันไหม ตอนนี้นอกจากพวกที่ขึ้นไปเล่นบาสก็ไม่น่ามีใคร”
   
        “หืม เอาสิ”
   
        ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเข้าเรียนแล้วแต่เหล่าเด็กม.ห้าผู้มีพลังงานเหลือล้นยังคงวิ่งไล่ตามลูกบาสเก็ตบอลอยู่แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากบันไดที่ผมกับธารนั่งอยู่เราได้ยินเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นโรงยิม เสียงลูกบาสกระทบพื้นและเสียงตะโกนโหวกเหวก ผมกับธารไม่ได้เข้าในสนามแต่เรายึดบันไดเป็นที่กินข้าวกลางวัน โชคดีที่ที่นี่ไม่มีคนเดินขึ้นเดินลงบ่อยนัก
   
        “เจอป้าเนตรก่อนกินข้าวนี่หายนะชัดๆ”
   
        ธารถอนหายใจระหว่างที่ส่งโดนัทเข้าปาก ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ได้ข่าวว่าอาจารย์คนนี้ดุแถมยังออกข้อสอบยากสุดๆ
   
        “อยากปิดเทอมแล้ว”
   
        “เพิ่งเปิดเทอมมาสองอาทิตย์เองไหม”
   
        “เป็นเด็กม.หกนี่ยากชะมัด อยากเข้ามหา’ลัยแล้ว”
   
        “ถอนคำพูดเถอะ เดี๋ยวพอเข้ามหา’ลัยแล้วจะเสียใจ”
   
        ธารหัวเราะคิก เธอเป็นคนเดียวที่เข้าใจมุกตลกหน้าตายของผม เพื่อนส่วนใหญ่ในห้องไม่ค่อยมีใครเข้าใจผมนัก พูดไปแล้วเรียกได้ว่าไม่มีใครสนใจจะเข้าใจผมเลยดีกว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่เฉยๆ กับผมก็คือชอบแกล้งผมเอาสนุก ธารเคยบอกว่าเพราะผมดูไม่สู้คน แถมยังเป็นไอ้แว่นเนิร์ดอีกถึงได้เป็นเป้าสังหาร
   
        แต่ผมคิดว่ามีบางคนที่แกล้งผมเพราะไม่ชอบหน้าผมจริงๆ แบบ...เกลียดขี้หน้ากันเลย สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากธาร ผมเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย หาคนสนิทด้วยจริงๆ ยากดังนั้นตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมมาคนที่สนิทกับผมที่สุดก็คือธาร เราตัวติดกันจนโดนเข้าใจผิดบ่อยๆ ว่าเป็นคู่รัก พออยู่กับผมธารเองก็มักเผลอเล่นถึงเนื้อถึงตัวแบบเวลาเราอยู่ที่บ้านทำให้ผู้ชายที่เล็งธารไว้เกลียดขี้หน้าผม และผู้หญิงที่เกลียดธารก็มักนินทาลับหลังว่าธารแรด ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าด่าเราทั้งคู่
   
        แม้หลายคนในโรงเรียนจะพูดกันสนุกปากว่าธารกับผมเป็นคู่ที่ดูเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดแต่เราทั้งคู่รู้ดีว่าไม่ใช่และไม่มีวันเป็นไปได้
   
        ผมชอบธารในฐานะเพื่อนและไม่มีวันมากไปกว่านั้น เพราะว่า...

        ผมไม่สนใจผู้หญิง

        ครับ ผมชอบผู้ชายด้วยกัน

        ผมเริ่มรู้ตัวเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองก็ตอนอยู่ม.1 เพราะเผลอไปชอบรุ่นพี่คนหนึ่งเข้า ตอนนั้นผมกังวลแทบบ้า รู้สึกสับสนและคิดตลอดเวลาว่าตัวเองแปลกแยก

       ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายแล้วทำไมผมถึงชอบผู้ชายด้วยกันได้ล่ะ

      โอเค ผมรู้ว่าตอนนี้เราเปิดกว้างเรื่องนี้มาก โลกพัฒนาจนส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ได้และหลายประเทศคู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมาย แต่พอมาเกิดกับตัวเองจริงๆ ผมก็ไปไม่เป็นอยู่ดี

      ปรึกษาที่บ้าน?

      ตัดทิ้งไปได้เลย

      แม่ผมวุ่นวายอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนพ่อก็วุ่นวายกับการบริหารธุรกิจของเขา ผมกับน้องอีกสองคนถูกเลี้ยงมาโดยพี่เลี้ยงและเมื่อผมโตพอจะดูแลตัวเองได้แม่กับพ่อจึงฝากฝังน้องไว้กับผม

        ติชิลา ลูกเป็นพี่คนโตนะ ดูแลน้องๆ แค่นี้ทำได้ใช่ไหม

        ดูแลบ้านกับน้องด้วยนะพี่ชายคนเก่ง


        ประโยคทำนองนี้ผมได้ยินบ่อยจนเบื่อ สุดท้ายคนที่ดูแลบ้านก็เป็นผม ส่วนพ่อกับแม่ก็ยังคงยุ่งวุ่นวายต่อไป ผมได้คุยกับพวกท่านน้อยมากและจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเรากินข้าวพร้อมหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

        เพราะเหตุนี้ผมถึงสนิทกับครอบครัวของธาร พ่อกับแม่ของธารมีความรักมากล้นให้ลูกๆ ของพวกเขาและแน่นอนว่าเผื่อแผ่มาถึงผมด้วย หลายครั้งที่ผมจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านของเพื่อนสนิทแล้วก็ค้างที่นั่น ทำตัวเหมือนว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพวกเขา

        ไม่ใช่พี่ชายคนโตที่ต้องกลับไปอยู่ในบ้านกว้างๆ มืดๆ และหงอยเหงาพร้อมแบกภาระไว้เต็มบ่า

        “เออติ ธารว่าจะไปลงเรียนพิเศษเพิ่มล่ะ”

        “เราก็ด้วย”

        ผมพยักหน้ารับ นี่แหละชะตากรรมเด็กมัธยมศึกษาปีที่หก วนเวียนอยู่กับบ้าน โรงเรียนและสถาบันกวดวิชา เพิ่งเปิดเทอมมาได้สองอาทิตย์ผมสมัครเรียนพิเศษไว้จนตารางเต็มแน่นทั้งสัปดาห์

       “รู้สึกเหนื่อยยังไงไม่รู้” ผมพึมพำ ธารทิพย์ยิ้มให้ก่อนจะเอนศีรษะมาซบไหล่ผม “ว่าที่คุณหมอก็แบบนี้แหละ” เธอแซว

       ผมแค่นหัวเราะ...คุณหมอ...นั่นสินะ

        “สอบเข้าให้ได้ก่อนเถอะ”

        “สู้ๆ”

        ใจผมมันไม่สู้เลยสักนิด

        การที่มีแม่เป็นคุณหมอในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังทำให้ใครๆ ก็คาดหวังว่าคุณจะเจริญรอยตามแม่ ญาติๆ ทั้งหลายจับตามองผมด้วยสีหน้าคาดหวังปนทึ่งเมื่อแม่กับพ่ออวดเกรดแต่ละภาคเรียนของผมให้พวกเขาดู

       ‘เกรดดีแบบนี้สงสัยจะได้เป็นหมอเหมือนแม่ เอ หรือจะอยากเป็นนักธุรกิจแบบคุณพ่อกันครับน้องติ’

       ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนี้ ไม่ถามความเห็นผมสักคำว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร

       ผมไม่เคยอยากเป็นหมอ

       แต่ถ้าถามผมว่าผมอยากเป็นอะไร...ผมก็ตอบคุณไม่ได้หรอกเพราะผมไม่รู้ ชีวิตผมที่เจอแต่กองตำรามาทั้งชีวิต ถูกผู้ใหญ่ขีดทางในอนาคตไว้ให้ พอคิดจะเดินออกนอกกรอบก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากเป็นอะไรสุดท้ายก็จำต้องกลับไปที่ทางเก่า ชีวิตแบบนี้มันน่าหงุดหงิด ผมเคยคิดจะแหกคอกอยู่สองสามหนแต่พอเห็นสีหน้าของพ่อกับแม่ตอนคุยกันเรื่องอนาคตของผมแล้วก็ทำไม่ลง

       ‘น้องติจะต้องเป็นหมอที่เก่งมากแน่’

       ‘แต่งงานแล้วก็มีหลานให้แม่อุ้มสักสามคน’

       ‘น้องติเป็นความหวังแล้วก็ความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่นะ’

        สุดท้ายผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มให้พวกเขาแล้วก็ตอบรับความคาดหวังหนักอึ้งพวกนั้น

        ผมถูกบีบอยู่ในกรอบ...ไม่ใช่ด้วยคำขู่เข็นหรือการบังคับที่รุนแรง

        ผมถูกบีบอยู่ในกรอบ...ด้วยความภาคภูมิใจของพ่อแม่

        “ติ...ติ...ติชิลา!”
   
        ผมสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อธารทิพย์ตะโกนเสียงดังอยู่ข้างหู “ทำอะไรเนี่ย”
   
        “ได้เวลาเรียนคาบบ่ายแล้ว มัวแต่เหม่ออยู่นั่นเดี๋ยวก็เข้าเรียนสาย”
   
        จริงด้วย เสียงกริ่งดังแล้ว ผมรีบช่วยธารเก็บกวาดเศษขยะใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่จากนั้นก็มัดปากถุงแล้วพูดว่า “เดี๋ยวเราขึ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแล้วจะเอาขยะไปทิ้งให้ด้วยเลย ธารรอนี่”
   
        ผมรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามซึ่งมีห้องน้ำอยู่ทันที
   
        บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบ ด้วยความกลัวว่าธารจะรอนานทำให้ผมรีบผลักประตูเข้าไปข้างในทันที

        “เชี่ยแม่ง!” แต่แล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ผมต้องสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตามปกติแล้วผมไม่ใช่คนพูดจาหยาบคายอะไรนักหรอกนะครับแต่หนนี้มัน...มันห้ามไม่ได้จริงๆ ถุงขยะในมือผมตกลงพื้น แข้งขาพันกันจนล้มก้นจ้ำเบ้า

        “พ..พี่เสือ...มีคนมา”

         เสียงแหบพร่าที่ติดจะเซ็กซี่เล็กน้อยดังมาจากเด็กหนุ่มผิวขาวซึ่งแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของผู้ชายร่างใหญ่นามว่าเสือ เสื้อผ้าของเขายับย่น ชายเสื้อหลุดจากกางเกงแต่ดูทรงแล้วคงยังไม่มีอะไรเกินเลย ตอนผมเข้าไปสองคนนี้กำลังจูบกันอย่างดุเดือดแล้วเสือก็กำลังเลาะกระดุมเสื้อนักเรียนของอีกฝ่ายอยู่พอดี

        แบบนี้แปลว่าผมโผล่เข้ามาขัดจังหวะเขาใช่ไหมนะ

        เวรละ

         ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกไม่ควร แต่ผมก็ดันรู้สึกว่าตัวเองโผล่มาแบบโคตรจะผิดเวลา ไม่รู้ว่าในใจผู้ชายตัวใหญ่ที่ชื่อเสือจะนึกอยากฉีกผมเป็นชิ้นๆ หรือยัง

        “ข..ขอโทษครับ”

         ผมลนลานคว้าถุงขยะขึ้นมา มือไม้สั่นโดยเฉพาะตอนสบดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย

         สายตาของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความตกใจ “นาย...” แค่เขาเผยอปากพูดผมก็รู้ทันทีว่าตัวเองควรทำอะไร

        “ต่อเลยตามสบายครับ!”

        ผมจะทำอะไรได้นอกจากหันหลังแล้วก็วิ่งหนีออกมาแบบโคตรไวไงเล่า!

        สีหน้าของผมคงดูแย่มากและอาจมีอาการประหนึ่งไปเจอผีแปดป่าช้ามาก็เป็นได้ธารถึงได้ถามอย่างเป็นห่วงว่า ‘เจอดีแล้วใช่ไหม เขาบอกห้องน้ำโรงยิมชั้นสามผีดุ’

        เออ เจอเลยแหละ เจอเต็มๆ ทำยังไงก็สลัดออกจากหัวไม่ได้เลยโว้ย

        ใครจะไปรู้ว่าการเจอช็อตคนจูบกันแค่ช็อตเดียวจะทำให้สมองผมลัดวงจรขนาดนี้ ให้ตายๆๆ

        สุดท้ายในเมื่อเรียนไม่รู้เรื่องผมก็ตัดสินใจฟุบมันเสียเลย แต่พอหลับตาภาพคนที่ชื่อเสือกับใครสักคนก็แวบเข้ามาหัวผมอีกครั้ง

        ผมจำหน้าคนที่ชื่อเสือไม่ได้ เด็กอีกคนยิ่งไปกันใหญ่ สิ่งเดียวที่ผมจำได้เกี่ยวกับเขาคือรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูล้ำหน้าเด็กวัยเดียวกันและดวงตาคมกริบคู่นั้น

        ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก

        ตาเขาเป็นสีอะไรนะ...สีดำหรือเปล่า ใช่..สีดำ

        เหมือนกับหลุมดำลึกล้ำในอวกาศที่ดูดสิ่งทุกอย่างหายไปรวมถึงสติและลมหายใจของผม

        เสือ

        ชื่อเรียบง่ายที่ดูเหมาะกับเขา ตัวใหญ่ ตาดุ เหมือนเสือเวลาล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น

        พอคิดถึงตรงนี้มุมปากของผมพลันยกขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเสือร้ายนั่นจับเหยื่อได้แล้วนี่นา แล้วก็กำลังจะ ‘กิน’ ด้วย กระต่ายร่างเล็กเนื้อขาวตัวนั้น...

        ถ้าไม่ใช่เพราะผมเข้าไปขัดจังหวะคู่นั้นคงได้เสียกันในห้องน้ำไปแล้ว นี่ถ้าเจอหน้ากันอีกผมควรเดินไปบอกทั้งคู่ไหมว่าที่แบบนั้นมันไม่ถูกสุขอนามัยน่ะ

         จะว่าไปเด็กอีกคนที่อยู่กับเสือรูปร่างเป็นยังไงนะ

         ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงรายละเอียดที่พลาดไปในตอนแรก ถ้าผมจำไม่ผิดเสือเป็นผู้ชาย ส่วนเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็เป็นผู้ชาย

         ดูเหมือนว่าผมจะเผลอไปรู้ความลับของใครบางคนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้วสิ

         คาบบ่ายที่เหลือผ่านไปโดยที่สติผมไม่จดจ่ออยู่กับเนื้อหาเลยแม้แต่น้อย หลังเลิกเรียนผมบอกให้ธารกลับบ้านไปก่อนเพราะวันนี้ผมเป็นเวรทำความสะอาดห้อง

         “ให้อยู่ช่วยไหม”

         “ไม่เป็นไร”

         ผมถอนหายใจขณะที่มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว น่าทึ่งจริงๆ ที่เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนสามารถเก็บกระเป๋าออกจากห้องเรียนได้ไวขนาดนี้

        แม้แต่เพื่อนผู้ชายคนอื่นที่เป็นเวรทำความสะอาดร่วมกับผมก็สะบัดก้นหายไปแล้วเหมือนกัน

       “ดูเหมือนนายต้องการความช่วยเหลือนะ”

       “เราก็ว่างั้น”

       ผมถอนหายใจ รบกวนธารอีกจนได้

        เด็กสาวที่วิ่งร่าเริงไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาจากหลังห้องยิ้มกว้างให้ผม “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า พอถึงตาฉันทำเวรนายก็แค่อยู่รอไง แบบทุกทีนั่นล่ะ”

        “การตั้งความหวังว่าพอขึ้นม.หกแล้วเพื่อนๆ จะมีน้ำใจช่วยทำเวรนี่มันมากไปสินะ”

        “คราวหลังก็สู้เขาสิ ตะโกนใส่หน้าเลยว่าไอ้พวกเวร รู้จักทำความสะอาดซะบ้าง”

        “หามเราไปส่งโรงพยาบาลด้วยแล้วกันนะ” ขืนพูดแบบนั้นผมคงโดนชกจนปากแตก

         โชคร้ายที่ปีนี้อาจารย์ประจำชั้นจัดเวรทำความสะอาดให้ผมอยู่วันเดียวกับเตโช หัวโจกของพวกเด็กเกเรทั้งหลาย เตโชเป็นคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภทเกลียดขี้หน้าผมอย่างจริงจังเพราะเขาชอบธารทิพย์

         พอได้อยู่เวรทำความสะอาดวันเดียวกันแค่อาทิตย์แรกอีกฝ่ายก็แผลงฤทธิ์ใส่ผม เตโชพูดว่า ‘จะช่วยทำความสะอาด’ แต่จริงๆ คือทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิม เขากวาดพื้นแรงๆ จนฝุ่นกระจายทั้งห้อง ชนโต๊ะจนเบี้ยว ลยกระดานไวท์บอร์ดยังไงไม่รู้แต่หมึกสีน้ำเงินเลอะเป็นคราบ แถมก่อนไปยังแกล้งเดินสะดุดถังขยะจนล้ม สรุปคือผมต้องอยู่เย็นเพื่อเก็บกวาดทั้งหมดนั่นคนเดียว
พอมาอาทิตย์นี้เขาพาเพื่อนคนอื่นหนีกลับก่อน คงคิดว่าการทิ้งให้ผมทำความสะอาดคนเดียวจะทำให้ผมเจ็บใจและหงุดหงิด

        “เขาทำแบบนี้ทำให้งานเราง่ายขึ้นเยอะ” ไม่มีใครถ่วงแข้งขาเวลาทำความสะอาดงานก็เสร็จเร็วจนน่าทึ่ง “เตชน่าจะไสหัวไปเร็วๆ แบบนี้ทุกสัปดาห์”
   
        ดวงตากลมของธารมองผมอย่างอึ้งๆ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
   
        “บางทีเราก็คิดนะว่าติเป็นคนด่าเจ็บ”
   
        “คิดไปเอง เราด่าใครเป็นที่ไหน”
   
        ผมยิ้มให้เธอแล้วลงมือผูกถุงดำใส่ขยะด้วยตัวเอง เอาล่ะ ตอนนี้เหลือแค่เอาเจ้านี่ไปทิ้งก็กลับบ้านได้
   
         ผมให้ธารทิพย์ยืนรออยู่ที่บันไดทางขึ้นตึกระหว่างที่ตัวเองเดินอ้อมไปด้านหลังตึกเรียนเพื่อทิ้งขยะจากนั้นก็แวะเข้าห้องน้ำไปล้างมือ ตอนนั้นเองที่ประตูห้องน้ำบานหนึ่งเปิดออกก่อนที่ร่างของผู้ชายสองคนจะเดินออกมา
   
        ผมชะงัก เขาสองคนก็ชะงัก ผมกระแอมเบาๆ เมื่อเห็นว่าสภาพของคนทั้งคู่ดูยุ่งเหยิงเพียงไร เสื้อผ้ายับย่น ชายเสื้อหลุดจากกางเกง แถมผมเผ้าก็ดูไม่เรียบร้อย
   
        คนตัวเล็กที่เดินนำหน้าเม้มริมฝีปาก แก้มขาวแดงเรื่อ เขาก้าวฉับๆ มาคว้ากระเป๋าที่วางทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาข้างหลังว่า
   
        “พี่เสือ แทนไปก่อนนะ”
   
        เสือ...ชื่อนี้อีกแล้ว...หรือว่า...
   
         ผมถูมือตัวเองจนหนังแทบหลุดขณะที่แอบมองคนชื่อเสือผ่านกระจก หลังเด็กชื่อแทนออกไปเขาก็หันมาหาผมเราประสานสายตากันครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินช้าๆ มาหยุดที่อ่างล้างหน้าข้างๆ ผมแล้วเริ่มล้างมือ
   
         ถ้าเทพเจ้าแห่งความโชคดียังเมตตาผมอยู่ก็ขอให้เขาจำไม่ได้ทีเถอะ
   
         “ดูเหมือนว่าเราสองคนจะชอบเจอกันในสถานการณ์แปลกๆ นะ” ประโยคนั้นทำให้ผมสะดุ้ง หันขวับไปหาเขาทันที “นาย...จำได้เหรอ”
   
       “จำได้สิ คนเมื่อตอนกลางวันใช่ไหมล่ะ”
   
        ท่าทางของเขาดูผ่อนคลาย เสือยิ้มให้ผม รอยยิ้มกว้างอวดเขี้ยวเล็กๆ ทำให้ไหล่ที่เกร็งอยู่ของผมผ่อนแรงลง
   
        “เราไม่ได้ตั้งใจ”
   
        “เรารู้”
   
        น้ำเสียงของเขาห้าวลึกแต่ไม่ได้กระโชกระคายหู กลับกันท่าทีของเขาดูสุภาพมากด้วยซ้ำ
   
       “เอ่อ ขอโทษอีกครั้งที่ขัดจังหวะแล้วก็...คือ...ครั้งหน้าพวกนายอย่าทำที่ห้องน้ำเลย มันไม่ถูกสุขอนามัย”
   
        เงียบ...ระหว่างเราเหลือแค่ความเงียบ เสือทำหน้าแปลกๆ ส่วนผมนึกอยากเอาหัวฟาดขอบอ่างตาย
   
       ไอ้แว่นติชิลา พูดอะไรออกไปวะ!
   
        ผมปิดก๊อกน้ำ เช็ดมือกับกางเกงลวกๆ ตัดสินใจได้ทันใดว่าควรหายตัวไปจากตรงนี้ได้แล้ว “เราไปก่อนนะ อืม สวัสดี”
   
        ผมหัวเราะแห้งๆ แถมท้ายก่อนจะก้าวไวๆ ไปที่ทางออกแต่ยังไม่ทันได้ไปไหนมือใหญ่ของเสือก็คว้าแขนผมไว้แล้วดึงกลับมาอย่างแรง
   
        “เฮ้ย!”
   
        เขาแรงเยอะมากจนผมแทบปลิว แต่ที่ผมร้องเพราะแว่นตาราคาหกพันของผมกระเด็นตกไปที่พื้น
   
        “เฮ้ย ขอโทษ”
   
        น้ำเสียงของเสือดูตกอกตกใจเช่นเดียวกัน เขาจับผมให้ยืนตรงๆ มือใหญ่ลูบรอยแดงตรงต้นแขนผมเบาๆ จากนั้นเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปหยิบแว่นตาของผมมาเช็ดๆ ปัดๆ แล้วสวมคืนให้อย่างนุ่มนวล
   
        สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังโลกกลับมาชัดเจนอีกครั้งคือดวงตาสีนิลสวยซึ้งที่อยู่ในระยะประชิด
   
        ขนตาเขายาวมากเลยแถมดวงตาคู่นั้นก็สวยกว่าที่คิดไว้
   
        “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะจับแรงแบบนั้น คือฉันกะแรงไม่ถูก” เขาถอยออกไปแล้วพึมพำขอโทษด้วยสีหน้าเสียใจ ผมมีโอกาสได้สังเกตเขาชัดๆ ก็ตอนนี้ เขาหล่อมาก เป็นผู้ชายที่รูปร่างดีและหน้าตาดีหาตัวจับยากคนหนึ่ง เขามีผิวสีน้ำตาลอย่างพวกชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง เครื่องหน้าของเขารับกันไปหมด แถมพอยิ้มดวงตาสวยๆ ของเขาก็หยีลงจนเป็นเส้นโค้งอีกด้วย
   
        “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก” ผมถอดแว่นมาสำรวจ จดจ่อกับมันมากเกินความจำเป็นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียสมาธิไปมองผู้ชายตรงหน้า เมื่อเช็คจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหายผมก็สวมแว่นกลับตามเดิม “แว่นเราไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ต้องทำหน้าเหมือนนายเป็นคนเหยียบแว่นเราแหลกคาเท้าแบบนั้น”
   
        เขาหัวเราะ ยิ้มกว้างอีกแล้ว ให้ตาย บทสนทนาพิลึกบ้าบอในห้องน้ำนี่มันอะไรกัน
   
        แต่ก็ดีแล้ว
   
         ผมโล่งอกที่เขาดูไม่ติดใจอะไรกับการที่ผมโผล่มาตอนเขากำลังกินเหยื่อถึงสองครั้งสองครา เอาล่ะ ได้เวลาถอยออกจากถ้ำเสือแล้ว
   
         “งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เอ่อ อย่าลืมนะว่าห้องน้ำมันไม่สะอาด”
   
        เป็นคำบอกลาที่ห่วยแตกที่สุดแต่เชื่อเถอะว่าผมแม่งนึกอะไรไม่ออกจริงๆ ผมรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ ไม่เปิดโอกาสให้เขาคว้าตัวได้อีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะเลี้ยวตรงมุมตึกผมเหมือนได้ยินเสียงของเสือเรียกชื่อผมแว่วๆ แต่คงหูฝาด เขาจะไปรู้ชื่อผมได้ยังไงกัน
   
        ...ไม่ต้องรู้ชื่อ ไม่ต้องจำหน้าได้ ไม่ต้องเจอกันอีกเป็นครั้งที่สองนั่นแหละดีที่สุดแล้ว...
   
        เสือมองตามเด็กหนุ่มสวมแว่นที่วิ่งหัวซุกหัวซุนประหนึ่งกำลังหนีการไล่ฆ่าไปอย่างงุนงง โอเค เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจกลัวที่เขาตัวใหญ่ แถมยังมาเจอกันในสถานการณ์พิลึกๆ ที่ชวนกระอักกระอวนอีกจะรีบหนีหน้าก็ไม่แปลก แต่ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าหวาดผวาเหมือนเห็นผีแบบนั้นเลยนี่นา เขาไม่ได้จะจับหักคอจิ้มน้ำพริกเสียหน่อย
   
       “ยังไม่ทันได้พูดเรื่องสำคัญเลย หนีกันไปเสียแล้ว”
   
        เสือถอนหายใจก่อนจะก้มลงมองบัตรนักเรียนที่อยู่ในมือ ใบหน้าคุ้นตาของคนสวมแว่นจ้องตอบกลับมา เสือเลื่อนสายตาลงมาดูชื่อจริงที่เขียนไว้
   
        ติชิลา
   
        ชื่อเพราะ
   
        นึกชมในใจระหว่างเก็บบัตรนักเรียนลงกระเป๋าแล้วหันไปจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ที่เขาเรียกอีกฝ่ายไว้เมื่อกี้ก็เพราะบัตรนักเรียนนี่แล้วก็มีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดด้วยอีกเรื่อง แต่ในเมื่อหนีกันไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปตามหาที่ห้องของอีกฝ่ายก็แล้วกัน โชคดีที่บนบัตรเขียนชั้นเรียนเอาไว้ด้วย
   
        ในขณะที่ติชิลาคนดวงซวยภาวนาให้ไม่เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง เสือก็หมายมั่นปั้นมือว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเข้าไปคุยกับอีกฝ่ายที่ห้องเรียนให้จงได้

**********************************************

ตอนแรกจบไปแล้วววว โอ๊ยยย รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ ห่างหายจากการเขียนอะไรใสๆ แบบนี้ไปนานมากกก
ได้กลับมาเขียนวัยมัธยมกุ๊กกิ๊กแล้วรู้สึกดีเหมือนกัน ฮ่าๆๆ
ตอนแรกยังไม่มีอะไรมากนอกจากพูดถึงน้องเสือกับน้องติ อยากจะบอกว่าคาร์พระนายคู่นี้เป็นอะไรที่เบลอมาก
เบลอเหมือนสมองคนเขียนช่วงนี้เลยค่ะ 555 น้องติก็ดูป้ำๆ เป๋อๆ หนูลูกกก เขียนไปก็ขำนางไป รู้สึกเอ็นดู
ส่วนน้องเสือ...ถึงจะชื่อเสือเป็นสัตว์กินเนื้อแต่นิสัยน้องจริงๆ น้องกินพืชนะคะ (มีกินเนื้อแค่บางเวลา แค่ก)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งและขอฝากน้องติกับน้องเสือไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2017 18:49:57 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.1 Unfortunately Events [5:11:60]
«ตอบ #2 เมื่อ05-11-2017 19:58:43 »

อยากอ่านต่อแล้วค่า รอติดตามอยู่น้า :pig4:

ออฟไลน์ tensita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.1 Unfortunately Events [5:11:60]
«ตอบ #3 เมื่อ06-11-2017 00:11:53 »

ชอบ 'ติชิลา' ชื่อเพราะ แปลว่าอะไรเหรอออ////

ขอให้เปนนิยายใสๆจริงๆนะ ดรามาหนักไม่ไหวเด้ออออ :ling3:

รอตอนต่อไปนะ :กอด1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.1 Unfortunately Events [5:11:60]
«ตอบ #4 เมื่อ06-11-2017 14:23:05 »

หวังว่าจะใสๆ นะคะ เพราะสองเรื่องที่ผ่านมามันไม่ใสอ่ะ เลยไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะใสจริงหรือเปล่า รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.1 Unfortunately Events [5:11:60]
«ตอบ #5 เมื่อ06-11-2017 17:50:00 »

 :o8: :o8: :o8: น่ารัก

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย
บทที่ 2
Loser

        ผมกลับถึงบ้านอีกทีตอนสามทุ่ม ไฟในบ้านสว่างไสว กลิ่นหอมของอาหารที่แม่บ้านทำไว้ทำให้ท้องของผมส่งเสียงประท้วง
   
        “น้องติกลับมาแล้วหรือลูก” แม่ทักขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น “ทานอะไรมาหรือยังคะ”
   
        “ยังเลยครับ”
   
        ผมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ตอนนี้ในห้องนั่งเล่นของครอบครัว แม่กับพ่อนั่งดูข่าวอยู่ที่โซฟาตัวยาว ส่วนแพรกำลังหวีผมให้คะนิ้งซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง ทุกคนดูสดชื่นกันดียกเว้นผมที่แทบจะกลายร่างเป็นซอมบี้หลังเสร็จจากการเรียนมาราธอนตลอดวัน
   
        "ไปทานข้าวก่อนเถอะครับน้องติ วันนี้มีมัสมั่นที่น้องติชอบด้วย”
   
        “โอ๊ะ ขอบคุณครับ”
   
        “จ้า”
   
        แม่ยิ้ม กางแขนออกเป็นเชิงให้ผมเข้าไปกอด อ้อมแขนของแม่อบอุ่นเหมือนเคย ผมหลับตาลง รู้สึกคล้ายกับตัวเองได้รับการปลอบประโลมหลังจากเผชิญอะไรที่แปลกประหลาดมาตลอดวัน แม่ลูบหลังผมสองสามทีก่อนจะดันตัวผมออกแล้วบอกให้ไปทานข้าว แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องนั่งเล่นเสียงห้าวๆ ของพ่อก็รั้งผมเอาไว้ก่อน
   
        “เรียนพิเศษวันนี้เป็นไงบ้างติ”
   
        “ก็...ดีครับ”
   
        “ดีนี่มันหมายถึงดีแบบไหนล่ะ”
   
        ผมเม้มริมฝีปาก “สถาบันใหม่ที่ไปเรียนอาจารย์สอนเข้าใจง่ายดีครับ”
   
        “งั้นเหรอ ดีแล้ว”
   
        “ครับ”
   
        “งั้นคะแนนเทอมนี้คงดีขึ้นสินะ”
   
        “ครับ”
   
        พ่อพยักหน้ารับรู้แล้วก็หันกลับไปสนใจข่าวต่อ เป็นอันว่าจบการสนทนาประสาพ่อลูกสำหรับวันนี้ พ่อผมเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่เคยถามว่าเหนื่อยไหม กินข้าวมาหรือยังแต่จะถามถึงความเป็นไปในโรงเรียน บทเรียนต่างๆ ที่เรียนมา พ่อยอมเสียเงินเป็นหมื่นส่งผมไปเรียนในสถาบันกวดวิชาชื่อดัง ซื้อหนังสือเตรียมสอบหลายสิบเล่มมาให้ผม ทำทุกทางให้แน่ใจว่าเส้นทางการศึกษาของผมจะราบรื่นและดีที่สุด
   
       พ่อไม่เคยถามถึงเกรดเพราะผมได้สี่ทุกตัว เขาจะถามถึง ‘คะแนน’ ซึ่งมันกดดันให้ผมต้องพยายามประคองไม่ให้คะแนนน้อยลง มีอยู่เทอมนึงที่คะแนนวิชาภาษาอังกฤษของผมลดลงกว่าเดิมประมาณสามคะแนน พ่อไม่ทำอะไร...เขาแค่จ้องหน้าผมแต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมสะท้าน
   
        ทำไมคะแนนลูกถึงตกล่ะ
   
        โรงเรียนสอนไม่ดีหรือตัวเองไม่ขยัน
   
        ทำเต็มที่แล้วหรือยัง

   
         คำถามพวกนี้ส่งผ่านสายตาของเขาและมันทำให้ผมแทบร้องไห้
   
        บางที...บางทีนะ ผมก็อยากจะเทมันให้หมด ทั้งเกรด คะแนน การเรียน การสอบ ทุกอย่าง
   
         ผมอยากโดดเรียนแล้วก็หนีออกไปจากที่นี่ ไปยังที่ที่ไม่มีใครหาผมพบแล้วก็ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ปลดปล่อยร่างกายและหัวใจให้เป็นอิสระ
   
        แต่ในความเป็นจริงคือผมทำไม่ได้
   
        ผมทำได้แค่อยู่ตรงนี้แล้วก็ยิ้มให้เขา
   
        ผมทำได้แค่อยู่ตรงนี้แล้วพูดว่าไม่เป็นไรครับพ่อ ผมจะทำให้ดีขึ้น ผมสัญญา
   
        แต่บางครั้งผมก็เหนื่อย...ผมเหนื่อยมากจริงๆ
   
        “น้องติ...น้องติ...น้องติคะ!”
   
        เสียงของแม่กระชากผมออกจากภวังค์ ผมกะพริบตาแล้วจึงได้รู้ว่าตัวเองยังอยู่ในห้องนั่งเล่นและจ้องแผ่นหลังของพ่ออยู่
   
        “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
   
        แม่ลุกขึ้นแล้วเดินมาหาผม มือบางของเธอสอดเข้ามาในอุ้งมือชื้นเหงื่อที่กำจนแน่นของผม ค่อยๆ แกะนิ้วที่จิกลงไปในฝ่ามือให้อย่างแผ่วเบา
   
        “ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
   
        “ติสบายดี ไม่เป็นไรครับแม่ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
   
        “งั้นเหรอ”
   
        “ครับ พักสักหน่อยก็หาย”
   
        แม่มีสีหน้าไม่สบายใจผมจึงรีบยิ้มปลอบให้เธอคลายกังวลจากนั้นก็รีบขอตัวขึ้นห้องไปอ่านหนังสือ
   
        น่าแปลกที่พอหลบเข้าไปในห้องนอน...ในพื้นที่ของผมเองกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด
   
        ห้องของผมไม่มีโปสเตอร์แปะตามผนังเพราะผมไม่ได้เป็นแฟนคลับนักกีฬาหรือชื่นชอบการเล่นกีฬานัก ไม่มีรูปภาพเพราะผมไม่ถนัดงานศิลปะ ไม่มีเครื่องเล่นเกมเพราะพอเห็นว่ามันไร้สาระและยึดเวลาอันมีค่าที่จะได้อ่านหนังสือไป
   
        ผมไล่สายตาไปตามผนังห้องสีฟ้าอ่อนอันว่างเปล่า ไล้มือไปตามหนังสือวิชาการที่เรียงรายอัดแน่นในตู้ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยชีทเรียน สมุดจด กองหนังสือและแบบฝึกหัด ระเกะระกะไปด้วยปากกาไฮไลท์และปากกาสีสำหรับจด บนผนังบริเวณนั้นแปะตารางวันสอบและปฏิทินการรับสมัครของแต่ละมหาวิทยาลัยเอาไว้
   
        หายใจไม่ออก...ผมอึดอัด...จนหายใจไม่ออก
   
        อยากออกไปจากที่นี่ อยากหนีไป อยากหายไป
   
        แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ไปไหน ไปไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นใครและกำลังแบกรับอะไรอยู่ ผมทำไม่ได้ เพราะถ้าผมทิ้งทุกอย่างผมจะกลายเป็นเด็กอกตัญญู ผมจะ...ผมทำไม่ได้
ดังนั้นผมจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง
   
        ปกติแล้วผมจะหยุดอ่านหนังสือประมาณเที่ยงคืน แต่วันนี้สมองผมดูจะไม่ไหวแล้วจริงๆ พอห้าทุ่มผมเลยโยนชีตกับปากกาไฮไลท์ทิ้ง เมื่อชั่วโมงก่อนแพรยกนมกับแซนด์วิชขึ้นมาให้ผม
   
        “พี่ลืมกินข้าว” เธอบอกแบบนี้ “หนูเลยเอานมกับขนมปังมาให้” ว่าแล้วเด็กสาวก็ยิ้มซื่อตามแบบฉบับของเธอ ปีนี้แพรอายุสิบหกแล้ว เพิ่งขึ้นม.สี่ ส่วนคะนิ้งอยู่ม.หนึ่ง พวกเราสามคนเรียนโรงเรียนเดียวกัน
   
        “ขอบใจนะ”
   
        “ไม่เป็นไรค่ะ”
   
        แพรเป็นเด็กน่ารัก เรียบร้อย รอยยิ้มของเธอมอบความสุขให้คนอื่นเสมอ
   
        “สู้ๆ นะคะพี่ อย่าเครียดมากเกินไปนะ แล้วก็อย่านอนดึกด้วย”
   
        “ครับๆ มัวแต่บ่นพี่เธอเองก็นอนดึกเหมือนกันนั่นแหละ รีบไปนอนเลยนะ”
   
        แพรหัวเราะคิกก่อนจะจุ๊บแก้มผมเร็วๆ หนึ่งทีแล้วจากไป เสียงหัวเราะใสๆ ของน้องทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมา น้องเป็นแบบนี้เสมอ อยู่ข้างผม ให้กำลังใจผม
   
         แม้ว่าผมจะเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดให้พวกเธอไม่ได้ก็ตาม
   
        เมื่อไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือผมจึงลุกไปเปิดโน้ตบุ๊ก ล็อกอินเข้าเฟสบุ๊คเพื่อเช็คอะไรไปเรื่อยเปื่อยจากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเว็บหนึ่งพร้อมกับไฟล์เอกสารหนึ่งไฟล์
   
        ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็จัดการล็อกอินแล้วรีบคลิกเมนูที่เขียนว่า ‘เพิ่มตอนใหม่’ ทันที
   
        ใช่ครับ นี่คืองานอดิเรกและความลับของผม
   
        ผมเป็นนักเขียน
   
       ไม่...ผมไม่ใช่นักเขียนชื่อดังที่มีคนตามเป็นพันเป็นหมื่น มีฐานแฟนคลับแน่นประหนึ่งคอนกรีตเสริมใยเหล็ก ผมเป็นแค่นักเขียนโนเนมที่อาศัยพื้นที่เล็กๆ ในโลกไซเบอร์เป็นที่ระบายจินตนาการ เติมเต็มความสุขและบรรจุตัวตนของผม ก่อนที่มันจะถูกกลืนหายไปจนหมด
   
        ในเว็บไซต์แห่งนี้...ภายใต้นามปากกาธรรมดาอย่าง ‘FullMoon’ ผมสามารถกลับเป็นตัวเองได้ ผมที่มีช่วงเวลาอิสระแม้จะเป็นแค่โลกในจินตนาการ ผมที่ยังคงมีสีสัน ไม่ใช่คนจืดชืดน่าเบื่ออย่างที่เป็นอยู่ในโลกความจริง
   
        ผมเขียนนิยายหลายแนว แฟนตาซี ไซไฟ ย้อนอดีต เกิดใหม่ต่างโลก จีนโบราณ เอาเป็นว่าผมลองมาทุกแนวแล้ว จบบ้างไม่จบบ้างแต่มันก็สนุกดี
   
        แล้วทำไมผมต้องปิดเป็นความลับกับครอบครัวน่ะหรือ?
   
        มันก็มีเหตุผลง่ายๆ สองข้อ ข้อแรกคือนี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม ผมไม่อยากให้พวกเขาเข้ามารุกล้ำแล้วแย่งชิงมันไป ผมจินตนาการหน้าพ่อออกด้วยซ้ำถ้าหากเขารู้เรื่องที่ว่าผมเขียนนิยาย
   
        มันไร้สาระ...เขาคงจะพูดแบบนี้
   
        ลูกควรเอาเวลาไปอ่านหนังสือ
   
         เพราะงั้น ไม่ล่ะ หัวเด็ดตีนขาดพวกเขาก็จะไม่มีวันรู้ว่าผมกำลังทำอะไร ผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดพอๆ กับที่พวกคุณเก็บงำแอคเค้าท์ทวิตเตอร์ของตัวเองนั่นแหละ
   
        เอาล่ะ กลับมาที่สาเหตุข้อที่สองอันเป็นสาเหตุหลักที่ผมต้องปกปิดเรื่องนี้จากครอบครัว สาเหตุนั้นก็คือ...ผมเขียนนิยายชายรักชายเรียกง่ายๆ ก็คือนิยายวายนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเขียนแนวไหนแต่ตัวเอกของผมจะเป็นผู้ชายสองคนเสมอ ผมว่าพวกคุณคงพอจะเดาสาเหตุกันออกแล้ว
   
        ผม พ่อ และการเขียนนิยายชายรักชาย ดูไม่น่าไปด้วยกันได้เลยเนอะว่าไหม
   
        ตอนแรกผมเองก็ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะผันตัวมาเป็นนักเขียนแนวนี้ สาเหตุมันเริ่มมาจากช่วงที่ผมค้นพบตัวเองใหม่ๆ ผมที่ไม่เข้าใจและสับสน ไร้คนปรึกษาจึงเริ่มลงมือค้นหาข้อมูล ทั้งทางอินเทอร์เน็ต หนังเกย์ นิยายชายรักชาย อืม...ผมจะเรียกว่าเอามาใช้ประกอบการศึกษาก็แล้วกัน นั่นแหละ ผม ‘สืบค้น’ เรื่องนี้อยู่นาน หลังอ่านนิยายวายจบไปประมาณยี่สิบเล่ม รู้ตัวอีกทีผมก็เริ่มลงมือเขียนเสียแล้ว เรื่องมันก็ง่ายๆ แบบนี้แหละครับ
   
        นิยายของผมกระแสขึ้นๆ ลงๆ บางเรื่องก็ดีบางเรื่องก็ร่วง แต่ผมแค่เขียนเอาสนุกจึงไม่ได้สนใจหรือเป็นกังวลกับมันมาก บางเรื่องผมฆ่าพระเอกตายตอนจบก็มี โดนนักอ่านดราม่าน้ำตาท่วมเว็บไปสามวันเจ็ดวัน แต่ผมก็แค่ตอบพวกเขาไปว่าเพราะชีวิตคนเราใช่จะสมหวังไปทุกเรื่องอะไรทำนองนี้
   
         เมื่อสองวันก่อนผมตัดสินใจเขียนเรื่องใหม่ หลังตรวจเช็กตอนที่หนึ่งจนแน่ใจว่าไม่มีคำผิดหลุดรอดสายตาแล้วผมก็เตรียมนำมาลงเว็บ เวลานี้ดึกไปหน่อยแต่ช่างเถอะเพราะไม่ลงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ลงอีกทีเมื่อไหร่ การบ้านผมเริ่มมากขึ้นทุกทีแล้วด้วย
   
         เมื่อตัดสินใจได้ผมเลยจัดการลงเนื้อหาและจัดหน้ากระดาษในเว็บให้เรียบร้อย ตอนที่กด ‘เผยแพร่’ เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ของผมเปิดประตูเข้ามาพอดี
   
        “น้องติคะ”
   
        “ค...ครับ!”
   
        ให้หัวจุ่มชักโครกตาย ผมตกใจจริงๆ นะ!
   
        “ทำอะไรอยู่คะน้องติ”
   
        “เอ่อ...ติ...ติเล่นเฟสครับ”
   
        ผมกดปิดหน้าเว็บลงนิยายอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มันโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
   
        แม่นั่งลงข้างผม มองหน้าฟีดข่าวของผมเหมือนเป็นเรื่องปกติ แหงล่ะ แม่ถือคติพ่อแม่มีสิทธิ์รู้ความเป็นไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์กของลูกๆ ผมเป็นเพื่อนกับแม่ในเฟสด้วยนะ เหอะๆ เพราะแบบนี้ไงผมถึงต้องมีแอคเค้าท์สำรองไว้สำหรับบ่นเรื่องส่วนตัว
   
        “นั่นใครน่ะ”
   
         แม่มองรูปภาพที่ผมกำลังจะเลื่อนผ่าน มันเป็นรูปธารทิพย์ยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างเด็กหนุ่มหัวเกรียนคนหนึ่ง
   
        “รุ่นน้อง ชอบธาร”
   
        “อ้อ ดาวโรงเรียน”
   
         “ก็ธารสวย”
   
        “จริง สวยจนแม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องติถึงไม่ชอบ”
   
        ผมพยายามไม่สะดุ้ง ไม่เผยพิรุธให้แม่เห็น “เพื่อนกันนี่นาแม่”
   
        “จ้าๆ” แม่ลูบหัวผมจากนั้นก็พูดว่า “ปิดคอมนอนเถอะครับ ดึกแล้วนะลูก” ผมรู้ว่านั่นเป็นคำสั่ง ถ้าผมไม่อ่านหนังสือแม่จะเข้ามาเตือนให้ผมรีบนอนและเธอจะอยู่จนกว่าผมจะปิดโน้ตบุ๊ก
   
        ผมทำตามอย่างว่าง่าย แม่จูบหน้าผากผมแล้วลุกออกไป เมื่อดูจนแน่ใจว่าผมพร้อมจะนอนแล้วเธอก็ปิดไฟแล้วออกจากห้องไป
   
         ผมถอนหายใจ ผมอายุสิบแปดแล้วแต่ยังถูกพ่อแม่คุมประพฤติด้วยการส่งเข้านอนอยู่เลย ผมพลิกตัวนอนหงาย บนเพดานติดดาวเรืองแสงเอาไว้ พวกมันเปล่งแสงริบหรี่ในความมืด ผมปิดตา จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา
   
        วันนี้ก็รู้สึกดีและแย่ปนกันไปเหมือนเดิม
   
        วันต่อมาผมไปโรงเรียนด้วยสภาพเหมือนคนอดนอนเล็กน้อย ในหัวคิดวนไปเวียนมาถึงบทสนทนากับพ่อเมื่อคืนแล้วมันพาลให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก หัวผมปวดตุบๆ แถมตาขวายังกระตุกไม่หยุดจนเผลอนึกไปว่าวันนี้เทพเจ้าแห่งความซวยอาจจะรักผมเป็นพิเศษแล้วประทานความฉิบหายมาเยือนถึงที่ก็เป็นได้ พอคิดไปแล้วถึงได้รู้ว่าไอ้ที่คิดมันโคตรจะไร้สาระและไม่เป็นมงคลผมถึงได้รีบสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านออกไป

         ผมเผลอหลับไปในวิชาชีวะแต่ยังตื่นขึ้นมาทันตอนท้ายคาบ ได้ยินอาจารย์เรียกเก็บการบ้านพอดี ผมที่กำลังเบลอนึกขึ้นได้อย่างเดียวว่าต้องส่งงานเลยคว้าสมุดในกระเป๋ารวมถึงชีทกองโตที่อาจารย์สั่งไว้สัปดาห์ที่แล้วไปส่ง ผมเดินดุ่มๆ ไปที่โต๊ะอาจารย์โดยไม่ได้ใส่ใจสายตาของเพื่อนร่วมห้องหรือสีหน้าลำบากใจของธารทิพย์เลยแม้แต่น้อย

         ผมวางสมุดกับชีทลงบนโต๊ะก่อนจะสังเกตว่าบนโต๊ะอาจารย์มันว่างเปล่าและเมื่อหันกลับไปมองก็ไม่มีใครลุกออกมาส่งงานเลยแม้แต่คนเดียว สายตาของเพื่อนทั้งห้องทิ่มแทงมาที่ผม
   
        นี่มันหมายความว่ายังไง?
   
       “มีติชิลาส่งงานคนเดียวเหรอคะ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ว่ายังไง การบ้านที่ครูสั่งอาทิตย์ที่แล้วอยู่ไหน”
   
         เวรละ
   
        ผมเดินคอแข็งกลับไปนั่งที่ ธารทิพย์แอบส่งไลน์มาบอกให้ผมเช็กไลน์กลุ่มของห้อง พอผมกดเข้าไปก็พบว่าระหว่างที่ตัวเองหลับอยู่เพื่อนๆ ตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้วว่าวันนี้จะไม่ส่งงาน อันที่จริงมันก็แค่คนกลุ่มหนึ่งบอกว่ายังไม่ได้ทำงาน อย่าเพิ่งส่งกันเลยนะ แล้วเผอิญว่าคนกลุ่มนี้ดันเป็นกลุ่มของ...จะเรียกว่าอะไรดีนะ พวกกลุ่มใหญ่ที่มีปากมีเสียงที่สุดในห้องล่ะมั้งคนอื่นอ่านแต่ไม่ตอบบ้างทำให้ในไลน์มีแต่พวกนี้คุยกันแล้วรวบรัดตกลงเสร็จสรรพ ที่ผมไม่เห็นเป็นเพราะว่าผมปิดการแจ้งเตือนเอาไว้
   
        ผมถอนหายใจออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถามจริงๆ เถอะ ผมผิดเหรอที่ผมตรงต่อเวลา อาจารย์ก็ให้เวลาทั้งสัปดาห์แล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ทำกัน อีกอย่างงานกับชีทนี้มันก็ตั้งสิบคะแนน ถ้าไม่ส่งก็โดนหัก อาจารย์ไม่สนหรอกว่าทั้งห้องจะส่งหรือจะไม่ ถ้าคนสี่สิบคนในห้องนี้ไม่ส่งก็แค่หักคะแนนไปทั้งห้องเท่านั้น อาจารย์ไม่เดือดร้อนแต่พวกเรา...แต่ผมเดือดร้อน
   
        “ทำไมเงียบกันหมด ไหนคะการบ้าน”
   
        น้ำเสียงของอาจารย์เริ่มเข้มขึ้นมาแล้ว ผมถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ในตอนนั้นเองธารทิพย์ก็ลุกขึ้น เธอพยักหน้าให้ผม ในแววตาเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มมั่นใจส่งมาให้เหมือนเคย เด็กสาวเดินไปวางการบ้านของตัวเองลงที่โต๊ะแล้วก็กลับมานั่ง
   
        ผมรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร
   
        ถ้าเราจะโดนคนทั้งห้องรุมด่าหรือนินทา เราก็ต้องโดนด้วยกัน
   
        “มีแค่นี้เหรอคะ”
   
        ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าลุกออกไปส่งอีกแล้ว อาจารย์หยิบไม้บรรทัดที่ถือติดมือมาฟาดลงกับโต๊ะแล้วพูดเสียงเย็น
   
        “แบบนี้หมายความว่ายังไงคะ”
   
        เธอลุกขึ้นยืน ภายในห้องเรียนเงียบจนได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นอย่างชัดเจน พวกเราเหมือนกับกำลังกลั้นหายใจ
   
         “ไหนหัวหน้าห้องยืนขึ้นแล้วตอบครูซิว่าครูสั่งการบ้านนี้ไปตั้งแต่วันไหน”
   
        “อาทิตย์ที่แล้วค่ะ”
   
        “แล้วเราคุยกันชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าต้องส่งงานภายในวันนี้ ครูว่าครูไม่ได้จำผิดนะ”
   
        “ใช่ค่ะ”
   
         หัวหน้าห้องก้มหน้าพลางตอบเสียงแผ่ว
   
        “แล้วเธอตอบครูได้ไหมว่าทำไมคนเอาการบ้านมาส่งถึงมีแค่ติชิลากับธารทิพย์ คนอื่นๆ ว่าไงคะ เกิดอะไรขึ้น”หัวหน้าห้องยืนนิ่ง มือของเธอสั่น ในขณะที่คุณครูเดินย้อนไปยืนหน้าเธอ “ครูใจดีมากเกินไปเหรอ หรือว่ายังไง พวกเธอถึงได้ทำเหมือนงานที่ครูสั่งไม่มีความหมาย แล้วเธอ เป็นหัวหน้าห้องแท้ๆ แม้แต่ตัวเองก็ไม่มีงานมาส่ง ไร้ประสิทธิภาพ! ไม่ตรงต่อเวลา แบบนี้จะเป็นหัวหน้าห้องที่ดีได้ยังไง”

        "คนอื่นก็เหมือนกัน อยู่มอหกแล้วนะคะ ทำไมถึงไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้ นี่เหรอเด็กจะเข้ามหา'ลัย อย่าว่าแต่มหา'ลัยเลย เอาแค่ให้จบมอหกครูว่ายังยาก! เด็กไร้ความรับผิดชอบอย่างพวกเธอ ที่ไหนเขาจะอยากรับ โตไปก็ทำงานไม่ได้หรอก"
   
         ผมตัวเย็นเฉียบ หัวหน้าเหลือบตามามองผมแต่ผมก้มหน้ามองนิ้วมือตัวเอง ท่องย้ำอยู่ในใจว่ามันไม่ใช่ความผิดผม มันไม่ใช่ความผิดผม มันไม่ใช่ความผิดผม
   
        “ดี ในเมื่อพวกเธอทำแบบนี้ก็คงต้องสั่งสอน งานทั้งหมดที่ครูสั่งรวมกับการบ้านวันนี้ให้ส่งพรุ่งนี้ก่อนเข้าแถว ถ้าใครมาไม่ทันครูไม่รับส่งและคะแนนเธอจะหายไปสิบคะแนน ถ้าคิดว่าสิบคะแนนมันเล็กน้อยกับชีวิตเธอก็ตามใจ ตามนี้นะคะ  ส่วนติชิลากับธารทิพย์ พวกเธอสองคนเป็นคนที่ตรงต่อเวลาที่สุดในห้อง ครูจะบวกคะแนนเพิ่มให้อีกห้าคะแนน”
   
         พอเธอพูดจบเสียงกริ่งก็ดังขึ้น ครูไม่พูดอะไรอีก ไม่รอพวกเราทำความเคารพเสร็จด้วยซ้ำ เธอคว้ากระเป๋าแล้วก็ก้าวออกไปเลย
   
         ภายในห้องทุกคนยังนั่งอยู่กับที่ บรรยากาศหนักอึ้งและมาคุ ผมไม่กล้าลุก ไม่กล้าเงยหน้า แต่รับรู้ได้ว่ามีสายตาทิ่มแทงมากมายมองมาที่ผม
   
        “ติ”
   
         มีเสียงเรียกชื่อผมดังมาจากข้างหลังห้อง พอผมหันไป เด็กสาวตัวเล็กดัดฟันคนหนึ่งที่ชื่อแป้งก็พูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่น้ำเสียงแฝงแววเสียดสี
   
        “คราวหลังอ่านไลน์กลุ่มบ้างก็ดีน้า...แล้วก็...แบบว่า ถ้าทำงานเสร็จอ่ะคราวหลังมีน้ำใจส่งลงไลน์กลุ่มบ้างก็ได้เนาะ”
   
         แววตาของเธอเหมือนกำลังประณามผม เหมือนกำลังบอกว่าทุกอย่างเป็นความผิดผม
   
        “คนมันเอาหน้า”
   
        เตโชแค่นหัวเราะแล้วพูดขึ้น ผมขมวดคิ้ว ความโกรธพุ่งปรี๊ดเหมือนลาวา
   
        “มันควรจะเป็นความผิดเราเหรอ” ผมเดินไปหยุดตรงหน้าเตโช เว้นระยะห่างให้แน่ใจว่าเขาจะเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อผมไม่ได้
   
        “อาจารย์ก็สั่งแล้ว มีเวลาตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้วทำอะไรอยู่? มันเป็นเพราะพวกนายไร้ความรับผิดชอบเองหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าเราเห็นแก่ตัวที่เอางานไปส่งทำไมไม่ด่าตัวเองบ้างล่ะว่าไอ้การที่นายบอกไม่ให้คนทั้งห้องส่งการบ้านเพียงเพราะกลุ่มตัวเองยังทำไม่เสร็จมันก็คือการเห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน อย่าพยายามโยนขี้ให้คนอื่นเลย ทั้งหมดมันก็เพราะนายนั่นแหละ!”
   
       “ไอ้เหี้ยติ!”
   
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2017 18:50:32 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #7 เมื่อ18-11-2017 21:30:42 »

เตโชตบโต๊ะแล้วลุกพรวด ผมคิดว่าอีกฝ่ายจะตะบันหน้าผมจนยับแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น
   
       “เอ่อ...ขอโทษนะครับ ที่นี่มีใครชื่อติชิลาหรือเปล่า”
   
         ทุกคนในห้องพร้อมใจกันหันมาที่ผมในขณะที่ผมอ้าปากค้างมองหนุ่มตัวโตที่ยิ้มกว้างอยู่หน้าห้อง นั่น...เสือไม่ใช่เรอะ!
   
         “อ้าวอยู่นี่เอง” รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นไปอีก เสือตรงมาหาผมแล้วก็พูดยิ้มๆ กับเตโชว่า “ขอยืมตัวติแป๊บนะครับ”ว่าจบเขาก็คว้าแขนผมออกไปทันทีโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น!
   
         เสือลากผมลงมาที่ชั้นล่าง พาเดินไปจนเกือบถึงโรงอาหารแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา
   
         “เกือบไปแฮะ” ผมเม้มปาก เหมือนหมอนี่จะมาทันเห็นฉากเด็ด “พวกเราเจอกันในสถานการณ์แปลกๆ อยู่เรื่อยเลยเนอะติ”
   
        “อืม ขอบใจ” ผมตอบห้วนๆ อารมณ์ยังไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก “ว่าแต่นายมีอะไร”
   
        “อ้อ เราจะเอานี่ไปคืนติ” เขาหยิบบัตรนักเรียนของผมออกมา เฮ้ย ไม่ทันสังเกตเลยว่าหายไป เห็นสีหน้าเหวอๆ ของผมเสือก็ยิ้ม ดวงตาพราวระยับ “ไม่ทันรู้ตัวเลยสินะ นายทำตกไว้หน้าห้องน้ำแน่ะ”
   
        “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” พูดถึงห้องน้ำแล้วใบหูของผมก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นึกถึงไอ้ฉากเรตสิบแปดเมื่อวานแล้วแทบกลั้นใจตาย
   
        “เสร็จเรื่องแล้วใช่ไหม เราไปก่อนนะ ขอบใจมากที่เอามาคืน”
   
        “เดี๋ยวๆ เรายังมีเรื่องจะพูดด้วย”
   
        ผมขมวดคิ้ว กำลังจะอ้าปากพูดแต่ทันใดนั้นเองดวงตาของผมก็เหลือบไปเห็นเตโชกับพรรคพวกเดินลงมา ผมสบถในใจจากนั้นก็รีบพูดว่า “โอเคๆ แต่ไว้คุยกันวันหลังนะ ฉันต้องไปแล้ว”
   
        “หา เดี๋ยว”
   
        ผมเผ่นออกจากตรงนั้นทันที รีบมุดหลบเข้าไปในฝูงชนที่เดินกันอยู่ในโรงอาหาร ภาวนาไม่ให้เตชเห็นผมไม่งั้นโดนลากไปกระทืบแน่
   
        ผมถอนหายใจเมื่อแอบมองแล้วเห็นว่าเตชเดินเลี้ยวไปอีกทาง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยผมเลยเดินไปต่อแถวซื้อกับข้าวแล้วหลบไปนั่งกินอย่างโดดเดี่ยวที่มุมหนึ่งของโรงอาหาร พอกินเสร็จก็กลับขึ้นห้อง รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เพื่อนสนิทไม่ยอมส่งข้อความมาหาผมตลอดการกินข้าวพักเที่ยง ไลน์ไปก็ไม่ตอบกลับ ผมคิดว่าเธอคงต้องการเวลาส่วนตัวเช่นกัน
   
       พอมาถึงห้อง ธารทิพย์ไม่อยู่ ผมก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ เพื่อนคนอื่นมองผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พอผมเข้าไปพวกเขาก็รีบหลบตา
   
         แล้วในวินาทีต่อมาผมก็เข้าใจ
   
        โต๊ะเรียนของผม...โต๊ะของผมถูกจับคว่ำลง ขาโต๊ะหงายชี้ฟ้า สมุดเรียน หนังสือและของใต้โต๊ะถูกรื้อกระจายอยู่บนพื้น กระเป๋าเรียนกับเก้าอี้หายสาบสูญ ที่เลวร้ายกว่านั้นคือบนกระดานไวท์บอร์ดมีข้อความตัวใหญ่ปรากฏอยู่ว่า
   
        ไอ้เนิร์ดเอ๋อ
   
        ข้างๆ เป็นรูปภาพหยาบคายที่ผมไม่อยากบรรยายให้เสียอรรถรส มันไม่จรรโลงจิตใจหรอกเชื่อผมสิ
   
        ผมกำหมัดแน่น...เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำ ผมโกรธ...โกรธที่เมื่อมองไปหลังห้องแล้วเห็นบางคนยกยิ้มมุมปาก สะใจมากนักเหรอ เห็นผมไม่ตอบโต้แล้วคิดว่าจะทำอะไรก็ได้งั้นสิ
   
        ผมยืนนิ่งเหมือนถูกสาป ในใจนึกภาพตัวเองยกโต๊ะขึ้นทุ่มใส่พวกนั้น ปาแปรงลบกระดานใส่
   
        แต่ผมไม่ได้ทำ สิ่งเดียวที่ผมทำจริงๆ คือถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
   
        อีกสิบห้านาทีคาบบ่ายจะเริ่ม แต่สิ่งที่ผมทำคือเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ การขยับร่างกายทำให้ความโกรธลดลงเล็กน้อย อันที่จริงผมควรจะชินกับมันได้แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
   
        แต่ผมไม่ชินและคงไม่มีวันชินได้ มุมหนึ่งในหัวใจของผมต่อต้านอย่างรุนแรงว่าทำไมผมถึงต้อง ‘ชิน’ กับมันด้วย ทำไมผมถึงจะต้องปล่อยให้คนอื่นมารังแกผมจนเป็นเรื่องปกติ ผมไม่มีวันชินกับมันหรอก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผมไม่โกรธนั่นหมายถึงผมจะกลายเป็นรองโดยสมบูรณ์
   
         ปึก
   
        เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทำให้ผมไม่ได้มองทางแล้วเผลอไปชนใครบางคนเข้า
   
        “ขอโทษครับ”
   
        ผมรีบพูดแต่พอเงยหน้าขึ้นผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนตรงหน้าที่แท้เป็นเตโชนั่นเอง เขากับพรรคพวกแสยะยิ้มเมื่อเห็นผม
   
        “อ้าวกูนึกว่าใคร ไอ้เนิร์ดนี่เอง”
   
         ผมกำหมัด ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พวกนั้นเห็นก็หัวเราะลั่นพลางสืบเท้าเข้ามาใกล้ ยิ่งได้ใจ
   
        “ว่าไงไอ้ติ ไหน หนีทำไมเล่า ไอ้แว่นอวดเก่งเมื่อพักเที่ยงหายไปไหนแล้ว”
   
        “ถอยไปนะ”
   
         ผมตะคอกแต่พวกมันก็ยิ่งหัวเราะ ลูกหาบคนหนึ่งในกลุ่มของเตชผลักผมจนเซ มันเขยิบมาใกล้ ผลักอกผมแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมล้มก้นจ้ำเบ้า
   
       เสียงหัวเราะสะใจดังขึ้นอีกหน
   
        หัวตาของผมแสบร้อน น้ำตาเหมือนจะเอ่อคลอขึ้นมาแต่ผมรู้ว่าผมร้องไม่ได้ ถ้าร้องไห้พวกมันจะแกล้งผมหนักขึ้น
   
        “มึงนี่นะ เป็นแค่ไอ้ติขี้ประจบครูแท้ๆ ทำเป็นอวดเก่ง”
   
         มันถ่มน้ำลายใส่เท้าผม   
   
        “เพราะมึงทำให้พวกกูโดนกันหมด มึงมันเห็นแก่ตัวไอ้ติ ขี้ขลาด อ่อนแอ แล้วก็เห็นแก่ตัว ใครๆ เขาก็เกลียดมึงกันทั้งนั้น!”
   
        “มึงสิขี้ขลาดแล้วก็เห็นแก่ตัว!”
   
        ผมตวาด ไม่รู้ว่าอาศัยลูกบ้าจากไหนถึงได้ลุกขึ้นแล้วพุ่งไปคว้าคอเสื้อไอ้เตช กำปั้นเล็กๆ ของผมกระแทกโหนกแก้มมัน เจ็บเป็นบ้า แต่ผมหยุดไม่อยู่
   
        “กูไม่ได้ขี้แพ้!”
   
        “มึงมันขี้แพ้ ไอ้คนขี้แพ้ที่ไม่มีเพื่อน ดีแต่ประจบครู ไอ้ตุ๊ด!”
   
        คำสุดท้ายกระแทกลงกลางใจผมอย่างจัง จู่ๆ ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ทั้งกลัวและโกรธผสมกันไป
   
        “กูไม่ใช่ตุ๊ด!”
   
        คราวนี้เตชไม่ปล่อยผมให้ประชิดตัวเขาได้อีกแล้ว อีกฝ่ายกระชากคอเสื้อผมแล้วทุ่มลงกับพื้น จากนั้นกำปั้นหนักๆ ก็กระแทกเข้าที่แก้ม
   
        พลั่ก
   
        “มึงมันตุ๊ด ไอ้เหี้ยตุ๊ด”
   
        แก้มผมชา มุมปากผมแตก คนอื่นๆ เริ่มเข้ามาผสมโรง ผมคู้ตัว สองแขนยกขึ้นปกป้องศีรษะระหว่างที่ยำใหญ่ตีนหลายเบอร์จัดหนักลงมา คนพวกนั้นหัวเราะระหว่างที่กระทืบผม ทำไมถึงหัวเราะกันนะ ทำไมถึงได้น่ารังเกียจแบบนี้  ผมไปทำอะไรให้เหรอ ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้
   
        หนึ่งในพวกนั้นหยิบกระเป๋าเงินผมออกมาแล้วล้วงเอาเงินทั้งหมดไป
   
         “อย่า...”
   
        ผมน้ำตาซึม หยดน้ำเล็กๆ กลิ้งจากหางตาลงไปยังแก้มเปื้อนดิน
   
        ไอ้อ้วนคนนั้นหัวเราะร่าใส่หน้าผมแล้วเขวี้ยงกระเป๋าเงินผมลงถังขยะ
   
        “พอ...แล้ว”
   
        “มึงมันก็แค่ขี้แพ้ไอ้ติ ต่อให้มึงจะทำตัวดีเด่แค่ไหนมึงก็แค่ Loser อยู่ดี”
   
        ผมหอบหายใจ หลับตาเตรียมรับแรงกระแทกของฝ่าเท้าหรืออะไรก็ตามที่จะประเคนมาอีก รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะปัดป้อง แต่ทันใดนั้นหูผมพลันได้ยินเสียงหนักๆ เหมือนเสียงกำปั้นกระแทกหน้าคนขึ้น และไม่ใช่ครั้งเดียวแต่เป็นหลายครั้ง หน้าแปลกที่คราวนี้คนโดนไม่ใช่ผม
   
        “เหี้ยเอ๊ย”
   
       ผมลืมตาแล้วก็พบ...ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แผ่นหลังของเขากว้างแล้วก็ดูแข็งแรงเกินอายุเด็กสิบแปด
   
         “เสือ”
   
        เป็นเสือจริงๆ
   
        ดวงตาคมกริบของเขาเหลืองมามองผม แววตาคู่นั้นดุดันจนผมกลัว เสือหันกลับไปหาพวกเตชแล้วคำราม
   
        “ไสหัวไป”
   
        เขาคว้าแขนเตช จับพลิกไขว้หลัง มือใหญ่ๆ คู่นั้นบีบแน่นจนผมกลัวว่ากระดูกข้อมือเตชจะแตก เสือกระแทกเตชลงกับพื้น มืออีกข้างกดหัวเตชไว้
   
        “ไสหัวไปก่อนที่กูจะหักแขนพวกมึงเรียงตัว ถ้าครั้งหน้ามึงยังกล้ารังแกเขาอีกกูจะหักแขนหักขามึงทีละท่อน”
   
        น้ำเสียงของเขาเย็นชาดุดัน ผมตัวสั่น ส่วนเตชร้องครางเหมือนสุนัขบาดเจ็บ พอเสือปล่อยมือเขาก็วิ่งกระเผลกๆ หายไปพร้อมกับพรรคพวก
   
        “ติ!”
   
        เสือพุ่งเข้ามาหาผม ประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง มือใหญ่ที่เมื่อครู่แทบจะหักคอเด็กอันธพาลพวกนั้นบัดนี้แตะต้องไปตามบาดแผลและรอยช้ำของผมอย่างอ่อนโยน
   
      “เจ็บมากไป มีตรงไหนหักหรือเปล่า”
   
        น้ำเสียงของเขาร้อนรน ผมสังเกตเห็นว่าที่หลังมือของเขาแดงและปรากฏรอยแผลจนเลือดซึม คงเกิดจากการชกต่อยเมื่อครู่
   
       เสือเรียกผมอีกหลายรอบ พอผมไม่ตอบเขาก็ร้อนรน
   
       “ติ...”
   
        “ทำแบบนี้ทำไม”
   
         ผมกระซิบ หัวใจชาหนึบไปหมด เขาบาดเจ็บเพราะผม เพราะไอ้ขี้แพ้แบบผม
   
       “นายเข้ามายุ่งกับเราทำไม! เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก! คนแบบเราน่ะ...ถ้ามายุ่ง...นายจะโดนหางเลขไปด้วยนะ นายจะโดนไปด้วย เพราะงั้น...” ปล่อยคนแบบผมไว้เถอะ
   
       “ช่างแม่งสิ” เสือตะคอก เขาประคองใบหน้าของผม ตรวจสอบรอยช้ำและรอยแผลต่างๆ จากนั้นก็บังคับให้ผมสบตากับเขา ดวงตาสีดำสนิทเหมือนหลุมดำคู่นั้น บัดนี้มันวาววับดุดัน ทำให้ผมนึกถึงเสือที่เป็นสัตว์ป่าขึ้นมาจริงๆ
   
        “โดนกระทืบแล้วไง โดนหางเลขแล้วไง ช่างหัวแม่งสิ ช่างแม่งให้หมดเลย!” ผมสะดุ้งเมื่อเขาตะคอกใส่หน้าผม “เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะให้ยืนเฉยๆ เหรอ บ้าหรือเปล่า! ใครจะปล่อยคนแบบติไปได้วะ!”
   
       ประโยคนั้นของเสือทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแรงๆ เขาดูร้อนรน เขาเป็นห่วงผม เขาเจ็บเพื่อผม เขา...
   
        “เสือ”
   
        ผมประคองฝ่ามือของเขาไว้ ยิ่งมองดูรอยแดงที่หลังมือเขาผมก็ยิ่งเจ็บปวด
   
        หยดน้ำตาของผมร่วงหล่นลงบนผิวของเขา ลงบนรอยแผลของเขา
   
        “เราขอโทษนะ...ฮึก...ขอโทษ...แล้วก็ขอบคุณนะ”
   
         จากนั้นผมก็ร้องโฮออกมา

***************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน เรากลับมาแล้ววว พอเข้าตอนที่สองก็เริ่มหนักแล้วแฮะ 555555
ตอนนี้บทน้องเสือน้อยๆ เพราะลืมจ่ายค่าตัวค่ะ คาดว่าตอนหน้าน่าจะเยอะขึ้น ฮาาาา
พอมาถึงตอนที่สองโครงเรื่องก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เขียนนิยายที่เอาเรื่องการบูลลี่มาเป็นประเด็นหลักค่ะ
แม้จะเป็นครั้งแรกแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ!
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ สามารถติชมได้เต็มที่เลย ขอบคุณมากนะคะ
รักทุกคนน้า พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :L2:

ปล.เขียนชื่อน้องเสือเป็นน้องเสื้อบ่อยมาก ฮาาา
ปล.2 สามารถติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #8 เมื่อ18-11-2017 21:45:53 »

 :L2: :L1: :pig4:

คนเลวๆแบบนี้ก็มีทุกที่ไป ที่ รร ที่ทำงาน
ออนแก่ก็ตายไป เฮ้อออ
มาม่าหนักไหม ปราณีเราด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2017 00:58:05 โดย Billie »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #9 เมื่อ19-11-2017 07:03:01 »

หวังว่าพวกนั้นจะเข็ดแล้วไม่มายุ่งกับติอีก และยังหวังว่ามันจะเป็นนิยายใสๆ แบบที่คนเขียนเคยบอกนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-11-2017 07:03:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #10 เมื่อ19-11-2017 08:02:34 »

กดดันทั้งชีวิต ทั้งครอบครัว ส่วนตัว และเรื่องเรียน
ติจะทนไหวได้แค่ไหนนะ แล้วธารหายไปไหน

ติเป็นเพื่อนธารมาแต่เด็ก ทำไมไม่ให้เรียนฝึกไว้นะ ไม่ทำร้ายใครหรอก เอาไว้ปกป้องตัวเองนี่แหละ

เสือ ชอบติหรอ แล้วเสือดีกับติมาก ช่วยติไว้ด้วย
ก็ขอให้พวกนั้นเข็ดนะ

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #11 เมื่อ19-11-2017 12:34:02 »

สนุกเลยค่ะ :katai2-1:
นี่ปกติไม่ชอบอ่านปมพ่อแม่รังแกฉันกับปมเพื่อนไม่ดีเท่าไร
แต่ชอบวิธีการเล่าของเรื่องนี้ค่ะ o13
คือโดยส่วนตัวเลี้ยงลูกมาแบบไม่บังคับไม่กดดันให้อิสระและพร้อมเข้าใจ
ก็คิดว่าโอเคเลยนะวิธีนี้ แต่พอเขาโตขึ้นเรื่อยๆรู้เลยค่ะว่ามันไม่โอเคเท่าไร
ขออภัยที่อยู่ๆมาเล่าเรื่องตัวเอง :hao4:
 คือมันเกี่ยวกับว่าทำไมถึงชอบวิธีการเล่าของเรื่องนี้
ที่ทำให้คนอ่านรู้สึกแรงๆเลยคือความกดดันที่ติได้รับ :sad11:
ทำให้ติรู้ว่าติเกิดมาเป็นใคร อยากทำอะไร และมีแรงขับที่จะผลักดันตัวเองให้ยังคงสู้ต่อไปได้ไหว
ประมาณว่าเป้าหมายในชีวิตชัดเจนดีจัง ถึงแม้จะได้มาแบบน่าสงสารไปหน่อยก็ตาม
ก็ทำให้พอที่จะมองเห็นแง่งามของความรักของพ่อแม่แบบนี้ได้อยู่บ้าง
ซึ่งต่างกับลูกสาวคนอ่าน ที่ชีวิตขาดpassionมากๆๆ :เฮ้อ: 555ก็ทำใจกันไปเนาะ

ส่วนพี่เสือนั้น ไม่มีไรจะติ รอคอยการโอบกอดดวงใจของติจากเสืออยู่
รออ่านต่อนะคะ ขอบคุณค่า :กอด1:





ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: ►❈My YOUTH is Yours❈◄ Ch.2 Loser [18:11:60]
«ตอบ #12 เมื่อ19-11-2017 13:35:53 »

ชอบเรื่องนี้ เอาใจช่วยตินะ ขอบคุณเสือที่เข้มาช่วย งือออ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย
บทที่ 3
ในห้องแห่งความลับ


         กว่าจะปลอบผมให้หยุดร้องไห้ก็ใช้เวลาอยู่เกือบยี่สิบนาที ผมร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนตัวเองยังตกใจ ไม่ต้องพูดถึงเสือเลย เจ้าตัวทั้งปลอบทั้งโอ๋ หลอกล่อให้ผมหยุดร้องไห้ราวกับผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไปแล้ว ผมแอบคิดว่าถ้าผมร้องนานกว่านี้อีกนิดเสือคงจะวิ่งไปซื้อลูกอมมาให้ผมแล้วพูดว่าโอ๋ๆ เด็กดีหยุดร้องไห้นะครับอะไรทำนองนี้แล้วแน่ๆ
   
        “ติดีขึ้นหรือยัง”
   
        เสือถามเมื่อเห็นผมเช็ดน้ำตาป้อยๆ จมูกกับขอบตาแดงก่ำแลดูน่าขัน
   
        “ดีขึ้นแล้วล่ะ โทษทีนะ พอดีสติแตกไปหน่อย”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นเสือเสือก็คงจะหงุดหงิดจนอยากร้องไห้เหมือนกัน”
   
        เขายิ้มปลอบก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาให้ผม
   
        “เสือเดินไปซื้อมาใหม่ เพิ่งแกะซอง เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาสิ” เสือยื่นมือค้างไว้อยู่สองสามนาทีแต่พอเห็นผมไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าไปสักทีเขาเลยจัดการโปะผ้าผืนนั้นลงบนหน้าผมด้วยตัวเอง
   
        “เฮ้ย!”
   
         “อยู่นิ่งๆ”
   
         เสือเช็ดเอาคราบฝุ่นและคราบน้ำตาออกจากใบหน้าของผมอย่างนุ่มนวล เขาเช็ดมาถึงรอยแผลที่บวมและแตกช้ำอย่างเบามือ
   
        “เจ็บ”
   
         ผมนิ่วหน้า เสือชะงักก่อนจะเช็ดแผลให้เบามือขึ้น “ต้องกลับไปใส่ยา” เขาพูด “เดี๋ยวเราทำแผลให้”
   
        “นายก็ต้องทำแผลด้วยเหมือนกัน”
   
        “ก็จริง”
   
        “ไปห้องพยาบาลกันเถอะ”
   
        “ไม่ได้”
   
        ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ”
   
        “เพราะว่าครูห้องพยาบาลเป็นญาติเรา ถ้าเขาเห็นเราสภาพนี้เรื่องไม่จบง่ายๆ แน่ สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เกิดคือพ่อเรารู้ว่าเรามีเรื่องชกต่อย”
   
        ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าไปซักน้ำเปล่าจากนั้นก็เอาด้านที่ยังไม่ได้ใช้มาเช็ดแผลให้เสือบ้าง ตามข้อนิ้วเขาแดงและแตก ผมมือสั่น ความรู้สึกผิดท่วมท้น ผมมือสั่นจนเช็ดต่อไปไม่ได้เสือจึงพลิกมือกลับมากุมมือผมไว้
   
        “เราขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ”
   
         พวกเราไม่มีทางแบกสภาพยับเยินขนาดนี้ไปเรียนได้แน่ๆ ดังนั้นเราจึงโดดเพื่อรอเวลาเลิกเรียน ผมไม่อยากรอในห้องน้ำเหม็นกลิ่นบุหรี่ดังนั้นจึงพาเสือขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงเรียน แน่นอนล่ะว่ามันเขียนป้ายแปะไว้ตัวเบ้อเริ่มว่าห้ามนักเรียนเข้าแต่ผมเมินมัน ผมมาที่นี่เป็นร้อยครั้งแล้วตั้งแต่อยู่ม.4 มันเป็นสถานที่ที่เงียบที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดแล้วในโรงเรียนนี้
   
        “ไม่ยักรู้ว่าที่นี่ขึ้นมาได้”
   
        “กลอนมันพังน่ะ ภารโรงก็ไม่ได้ใส่ใจซ่อม คงนึกว่าไม่มีใครแอบขึ้นมา”
   
        ผมเปิดประตูที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออก จากนั้นก็ก้าวไปยังดาดฟ้าโล่ง สายลมร้อนพัดปะทะใบหน้าที่ปวดระบมของผม ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแต่ก็ช่วยประคองอารมณ์ไม่ให้แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่
   
        “พวกนักเรียนกลัวดาดฟ้าเพราะมีคนปล่อยข่าวลือเรื่องผีๆสางๆ” ผมอธิบาย จากนั้นก็เดินหลบไปนั่งตรงที่เก็บของซึ่งภารโรงทำหลังคาเอาไว้ “แต่ไม่มีอะไรหรอก”
   
        เสือตามผมมา เขาทิ้งตัวลงนอนกับพื้นโดยไม่กลัวชุดนักเรียนเปื้อน จากนั้นก็เหม่อมองท้องฟ้า วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส เมฆขาวบางพาดผ่านผืนฟ้าครามดูแล้วเหมือนมีศิลปินสักคนระบายสีขาวลงบนพื้นผ้าใบสีฟ้า
   
        “ดีเกินไป” เสือพึมพำขึ้นมา ผมก้มมองเขา
   
        “อะไรดีเกินไป”
   
        “ท้องฟ้า...มันไม่ควรสวยขนาดนี้ในเมื่อเราผ่านวันร้ายๆ มา”
   
        ผมหลับตาลง จริงของเสือ โลกทำให้วันนี้เป็นวันที่อากาศดี สว่างสดใสเหมือนกับว่าชีวิตคุณจะมีเรื่องดีๆ เข้ามาแต่มันก็เปล่า ความจริงคือไม่มีเหี้ยอะไรดีเลยในชีวิตนี้ ท่ามกลางอากาศสดใส คุณร้องไห้ คุณเจ็บปวด และพายุฝนในใจคุณพัดกระหน่ำราวกับจะไม่มีวันหยุด
   
        โลกเล่นตลกร้ายกับคุณ ตอกย้ำให้คุณรู้สึกแย่
   
        ชีวิตก็เฮงซวยแบบนี้แหละ
   
        “ติ”
   
        “หืม”
   
        เสียงของเสือทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิด ผมก้มหน้ามองเขา เขากำลังหลับตา
   
        “คราวหน้าถ้าถูกแกล้งอีก บอกเราได้ไหม”
   
        “ทำไมต้องบอก”
   
        “เราจะได้มาช่วย”
   
         ผมกัดริมฝีปากเอาไว้ มาช่วยทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกัน โอเค มันอาจจะดูโหดร้ายที่ผมคิดแบบนี้กับคนที่ลงทุนเจ็บตัวเพื่อผม แต่ในความจริงแล้วเรารู้จักกันแค่สองวัน และที่รู้จักกันเพราะบังเอิญผมไปเจอเขากับแฟนกำลังมีอะไรกันในห้องน้ำ ผมไม่รู้จักเขา ไม่รู้นิสัยใจคอหรือตัวตนหรืออะไรก็ตามที่เป็นเขาเลย ดังนั้นสำหรับผมเขาคือคนที่อยู่นอกวงโคจร เขาไม่ควรถูกดึงเข้ามาจมอยู่กับเรื่องเฮงซวยนี่
   
        “ไม่จำเป็นหรอก” ผมตอบเสียงเบา “อย่าเจ็บตัวเพราะเราอีกเลย” ผมเห็นเสือขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างผมจึงชิงตัดหน้าเขา
   
        “เอาจริงๆ เราเพิ่งรู้จักกันได้วันเดียวด้วยซ้ำ ยังไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย”
   
        ถ้อยคำพวกนั้นบาดลิ้นผมส่วนสีหน้าเสียใจของเขาบาดหัวใจผม
   
        “งั้นเราจะเป็นเพื่อนกัน”
   
        “เราจะไม่เป็นเพื่อนกัน”
   
        “ติชิลา”
   
        “เราพูดจริง”
   
        ผมผุดลุกขึ้น เดินแยกตัวออกไปตรงรั้วกั้น ผมเกาะซี่ลูกกรงระหว่างเหม่อมองท้องฟ้า เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าอยากเป็นนกจะได้บินไปที่ไหนก็ได้ตามใจต้องการ
   
        ได้ลอยสูงขึ้นไป
   
        เป็นอิสระ
   
        ปราศจากรากยึดและทุกสิ่ง
   
       โลกนี้แม่งเฮงซวย
   
        “ติ”
   
        เสียงทุ้มของเสือดังขึ้นด้านหลัง เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผมก่อนจะค่อยๆ ดึงผมให้ถอยห่างจากรั้วกั้น “ติ” เขาเรียกชื่อผมในขณะที่จิตใจผมยังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
   
        “ติชิลา ถอยออกมา”
   
        เสียงของเขา สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือดึงรั้งผมกลับสู่พื้นดินอีกครั้ง
   
        ผมกะพริบตาแล้วก็พบว่าตอนนี้ตัวเองถูกดึงกลับมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาของผมเคว้งคว้าง สับสนระหว่างโลกในจินตนาการกับความจริง
   
        “ติ!”
   
        เสือเรียกผม เกือบเป็นตะคอกจากนั้นก็ดีดนิ้วตรงหน้าผมเล่นเอาสะดุ้งโหยง สีหน้าของเสือเคร่งเครียด เขามองผมสลับกับรั้วกั้นนั่น มือที่จับแขนผมอยู่เกร็งแน่น
   
        “ปล่อย เราเจ็บ”
   
         เสือผ่อนแรงลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนผม สีหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ผมมองมันด้วยความไม่เข้าใจ
   
         เสือจ้องผมนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนปล่อยมือ เขากลับไปยิ้มร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้เราไม่มีเรื่องบาดหมางกัน
   
        “ง่วงแล้ว” จู่ๆ เด็กหนุ่มตรงหน้าผมก็พูดขึ้น เสืออ้าปากหาว ลากจูงผมไปหาที่ที่มีร่มเงาพอจะให้เอนตัวลงนอนได้ “ไหนๆ ก็ไม่ได้ไปเรียนแล้ว นอนกันเถอะ”
   
        “นอนไปสิ เราไม่ง่วง”
   
        “งั้นมาคุยกัน”
   
        ผมถอนหายใจ เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ ไอ้พลังงานด้านบวกอันล้นเหลือนี่มาจากไหนกัน
   
        “จะคุยอะไร”
   
        “อืม ไม่รู้สิ”
   
        “ไม่มีอะไรคุยก็นั่งเฉยๆ”
   
        แต่เสือไม่ยอมนั่งเฉยๆ เขาพูดมาก พูด พูด และพูดไม่หยุดจนผมสงสัยว่าสมองเขาพังไปแล้วหรือยังไง  เขาถามผมตั้งแต่เรื่องมื้อเที่ยง การบ้าน ขนม งานอดิเรก ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอบไปว่าอะไรบ้าง
   
       “นี่ ชื่อติชิลาแปลว่าอะไร”
   
        “แปลว่าพระจันทร์”
   
        “ชื่อเพราะ” เขายิ้มและผมรู้สึกอบอุ่นในอก มันเป็นแค่คำชมเล็กๆ น้อยๆ แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของเขาแล้วแก้มผมก็ร้อนวาบขึ้นมา
   
        “ขอบคุณ คือ...ชื่อเสือก็ดูแข็งแรงดี”
   
        เขาหรี่ตา ยิ้มเจ้าเล่ห์ และหน้าผมก็แทบไหม้
   
        “เราไม่ได้...ไม่ได้หมายความอะไรแปลกๆ”
   
        ให้ตาย! ผมเกลียดมือไม้เงอะงะของตัวเองเหลือเกิน เสือหัวเราะ ผมเพิ่งสังเกตว่าเวลาเขายิ้มแล้วเขี้ยวของเขาจะโผล่มา
   
        “เป็นเสือก็ต้องแข็งแรงสิ” เขาว่า “แข็งแรงพอจะอุ้มติได้เลยนะ”
   
        “ขี้โม้”
   
        “ลองไหม?”
   
        “ไปไกลๆ เลย”
   
         บรรยากาศอึดอัดละลายหายไปตอนไหนไม่รู้ ผมยิ้มบางๆ ระหว่างที่ทิ้งตัวนอนข้างเขา เราคุยกันสักพักและเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
   
        พอตื่นขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็กลายเป็นสีส้มอ่อนแล้ว พวกเรารีบลงจากดาดฟ้าแล้วกลับไปที่ห้องเรียน ในห้องว่างเปล่าและไม่มีใคร ขยะเกลื่อนพื้นไปหมด เห็นได้ชัดว่าเวรวันนี้ไม่ได้ทำความสะอาด ผมถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เวรผมผมก็ไม่ทำหรอก ไม่ใช่เรื่อง
   
        โต๊ะเรียนของผมหายไปแล้ว ใครบางคนคงเอามันไปตั้งไว้นอกห้อง หนังสือกับสมุดเรียนผมหล่นเกลื่อนพื้น ผมเจอกระเป๋าตัวเองแขวนอยู่หลังห้อง พอหยิบลงมาก็เจอเศษกระดาษเต็มกระเป๋า คลี่แต่ละใบดูก็เจอถ้อยคำประมาณว่า ไอ้เด็กเอ๋อ ไอ้เนิร์ด ไอ้ตุ๊ด กลับไปกินนมแม่ไป
   
       ผมกำสายกระเป๋าแน่น แต่น่าแปลกที่ถ้อยคำในกระดาษพวกนี้ทำอะไรผมไม่ได้ เปล่า ผมไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น ผมแค่ด้านชาขึ้น
   
        พวกเขาทำอะไรผมไม่ได้ มันก็แค่ถ้อยคำในกระดาษ มันก็แค่คำพูดร้ายๆ
   
        นั่นไม่ใช่ตัวผม...นั่นไม่ใช่..
   
        จู่ๆ กระเป๋าในมือก็ถูกแย่งไป ผมสะดุ้ง พอหันไปก็เจอเสือยืนอยู่ สีหน้าของเขาเรียบนิ่งขณะเทกระดาษในกระเป๋าผมทิ้งลงถังขยะจากนั้นก็โยนกระเป๋าคืนให้ผม
   
        “ไม่ต้องแบกกลับบ้านหรอกของพวกนั้นน่ะ หนักเปล่าๆ”
   
        มือใหญ่คว้ามือผมไว้ ฉุดให้เดินไปด้วยกัน
   
        “มาเถอะ กลับบ้านกัน”
   
        ไม่รู้ทำไมผมถึงได้อยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ
   
        ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์อยู่ผมก็หันมองหน้าเสือ วันนี้เขาอยู่กับผมทั้งวัน ยอมเจ็บตัว โดดเรียนเพื่อผม แม้จะไม่ใช่เพื่อนกันแต่ผมคงรู้สึกแย่ถ้าไม่ได้ตอบแทนเขา ดังนั้นตอนที่รถสายที่เสือต้องนั่งกำลังแล่นมาทจอดและเขาเตรียมตัวขึ้นไปผมจึงดึงเสื้อเขาไว้และพูดตะกุกตะกักว่า
   
       “เสือ ไปบ้านเรานะ”
   
        ผมจดไว้ในใจว่าเสือเชื่อคนง่าย บอกให้ทำอะไรก็ทำเพราะทันทีที่ผมชวนเขาเสือไม่แม้แต่จะลังเล เขาตามผมกลับบ้านทันที
   
         บ้านเงียบเชียบอย่างกับป่าช้า น้องสาวผมคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ส่วนพ่อกับแม่ก็ทำงาน พวกเขาทำงานจนดึกดื่นเสมอ
   
        “มาทางนี้” ผมพาเสือขึ้นไปที่ห้องนอนก่อนจะลุกไปหากล่องปฐมพยาบาล เสือสำรวจห้องผมไม่หยุดทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าดู หลังหมุนไปหมุนมาราวสามรอบเขาก็ผิวปากแล้วพูดว่า “ห้องนายสะอาดมาก”
   
         ใช่ ห้องผมสะอาดมาก สะอาดและเป็นระเบียบเกินไปจนบางครั้งผมก็ไม่รับรู้ถึงสัญญาณการใช้ชีวิตของตัวเอง มันเหมือนห้องในบ้านตัวอย่าง เป็นระเบียบ สวยงามและไม่มีคนอยู่
   
        “เขาบอกว่าห้องสะท้อนตัวตนคนอยู่”
   
        “งั้นห้องนี้ก็สมเป็นห้องเด็กเนิร์ด จืดชืด น่าเบื่อแล้วล่ะ”
   
         เสือมุ่นคิ้ว “นายว่าตัวเองทุกห้านาทีเลยนะ” ผมยักไหล่ “นายว่าตัวเองด้วยคำพูดของพวกเขา จริงๆ นะติ นั่นไม่ใช่ตัวนาย คำพูดของคนรอบข้างไม่ได้สร้างตัวตนของนาย”
   
        ผมเม้มปาก ไม่ได้เถียงเขา หลังจ้องตาวัดใจกันอยู่ครู่หนึ่งผมก็เรียกเสือเข้ามา
   
        “มานี่ จะทำแผลให้”
   
         หลังทำแผลให้เสือเสร็จก็เป็นตาเขาทำแผลให้ผมบ้าง แปลกดีเหมือนกัน ปกติผมมักจะแอบทำแผลให้ตัวเองอยู่คนเดียว ระหว่างที่นั่งนิ่งๆ ให้เขาใช้สำลีเช็ดรอบแผลผมก็สำรวจเสือไปด้วย เขาแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ดูตั้งอกตั้งใจและระวังไม่ทำให้ผมเจ็บ
   
        หัวใจที่เต้นแบบเอื่อยๆ มาตลอดของผมพลันผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง
   
        “เป็นอะไร เจ็บเหรอ” เมื่อเห็นผมสะดุ้งเสือจึงหยุดมือ ผมส่ายหน้าพลางยกมือลูบอกตัวเอง
   
        “เสือ...เอ้อ...จริงสิ แล้วแฟนนายล่ะ”
   
        “ไม่ใช่แฟน”
   
         “หืม?”
   
         “คนนั้นน่ะ ไม่ใช่แฟนหรอก จะเรียกอะไรดี...แค่ทดลองอะไรนิดหน่อยล่ะมั้ง”
   
        “ทดลอง?”
   
        “อืม ช่วงอยากรู้อยากเห็นน่ะ”
   
         ผมพอจะเข้าใจเขาดังนั้นเลยไม่ถามต่อ พอเขาทำแผลให้ผมเสร็จพวกเราก็ลงมานั่งกันข้างเตียง เสือไม่ได้รีบร้อนจะขอกลับผมก็ไม่ได้ไล่เขา เราก็แค่...หาอะไรทำไปเงียบๆ ระหว่างอยู่ข้างกัน
   
          ผมหยิบโน้ตบุ๊กออกมาเปิด เขาไปเช็คหน้านิยายแล้วก็ยิ้มออกเมื่อเห็นว่ากระแสตอบรับค่อนข้างดี ผมไล่อ่านความคิดเห็นช้าๆ รับเอามาทั้งข้อดีและข้อเสียพลางจดสิ่งที่ต้องปรับปรุงไว้ในใจ ผมขึ้นไปอ่านทวนนิยายที่เพิ่งลงเว็บไปใหม่อีกรอบ เพลินจนลืมไปว่าไม่ได้อยู่ในห้องตัวคนเดียว
   
        “นิยายนั่นติเขียนเองเหรอ”
   
        “เฮ้ย!?” ผมตกใจ รีบพับโน้ตบุ๊กทันที “แอบดูเหรอ ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือไง!”
   
        “เย็นน่า ไม่ได้ตั้งใจนะ แค่เหลือบไปเห็นแล้วก็อ่านเพลิน เขียนสนุกดีนี่นา”
   
        แก้มผมแดงก่ำด้วยความโกรธและความอาย เสือรู้ตัวว่าล้ำเส้นจึงรีบยกมือขอโทษ
   
        “แต่แบบนี้เราก็เสมอกันแล้วนะ”
   
        “เสมออะไร”
   
         ผมตอบเสียงห้วน เสือยิ้ม
   
        “ติรู้ความลับเรา เรารู้ความลับติ ต่างคนต่างปิดปากเงียบโอเคไหม จะไม่มีใครรู้มันนอกจากพวกเรา” ความลับของพวกเรา คำนี้ทำให้สมองผมลัดวงจรไปชั่วขณะ “แบล็กเมล์เราเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย แค่อยากให้รู้ว่าระหว่างเรามีอะไรพิเศษ” เขาขยิบตาแล้วก็ยิ้ม นั่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ผมกัดริมฝีปากแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่น
   
        “มันไม่มีอะไรพิเศษ”
   
        “มีสิ ความลับถือเป็นเรื่องพิเศษนะ”
   
        “ช่วยอย่าพูดถึงมันได้ไหม”
   
        “โอเคๆ แต่มันจะเป็นความลับของเรานะโอเคไหม มันจะอยู่แค่ในห้องนี้ ในห้องแห่งความลับของเรา” ผมพ่นลมหายใจออกมา เอ่ยกับเขาว่า “ในห้องนอนของฉันต่างหาก ไม่ใช่ของเรา แล้วอีกอย่างนี่ก็เย็นแล้ว นายควรกลับบ้าน”
   
        “นั่นสินะ”
   
        เสือเก็บกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน ไม่มีการอิดออด ผมเดินออกไปส่งเขาถึงรั้ว ก่อนจากกันเสือหันหน้ามามองผมอีกครั้ง
   
        “ติ เราจริงจังนะ เรื่องเป็นเพื่อนกัน”
   
         “เราไม่ควรเป็นเพื่อนกัน” ผมพูดคำนี้เป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง ไม่รู้ทำไมเสือถึงไม่เข้าใจมัน เขาจ้องตาผม ดวงตาคู่นั้นทำให้ผมหายใจไม่ออก  ผมเผยอริมฝีปาก กระซิบเสียงเบา “ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับคนแบบเรานัก”
   
        “เพราะเราปล่อยคนแบบติไปไม่ได้” ผมกัดริมฝีปาก “ทำไม คนแบบเรามันทำไม”
   
        เสือไม่ตอบ เขาหลุบตาลง ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม และผมรู้สึกอบอุ่น เสือเหมือนดวงตะวัน เหมือนฤดูร้อน วันนี้เขาเติมเต็มผม
   
        “ไปนะติ ฝันดี เจอกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้นะ”
   
        แล้วเขาก็ไป
   
         คำพูดของเสือสะท้อนไปมาอยู่ในสมองผม ทำให้ผมรวบรวมสมาธิไม่ได้ หลังกินข้าวเสร็จแบบงงๆ และพยายามกลับมาทบทวนหนังสือผมก็พบว่าตัวเองล้มเหลว ผมอ่านหนังสือซ้ำบรรทัดเดิมมาห้านาทีแล้วแต่ในหัวผมกลับมีแต่ภาพเหตุการณ์วันนี้ เสียงของเสือ คำพูดของเสือ ผมถอนหายใจ ตัดสินใจโยนหนังสือทิ้งทันที
   
        ผมนั่งเหม่อลอยจนกระทั่งพ่อแม่กลับมาบ้าน ผมเดินลงไปรับแต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงบันไดพวกเขาจะได้เห็นหน้าผมไม่ชัด
   
        “กลับมาแล้วหรือครับ”
   
        “กลับมาแล้วค่ะน้องติ”
   
        “วันนี้แม่พ่อเป็นไงบ้าง”
   
        “ก็ดีค่ะ แล้วน้องติล่ะลูก”
   
        ผมเงียบไป สมองพยายามกรองหาเรื่องดีๆในวันนี้มาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเหมือนทุกวัน ผมเริ่มยิ้มแล้วก็เล่าเรื่องที่ผมได้คะแนนดีมากในวิชาภาษาอังกฤษ เล่าถึงเสือ ใช่ ผมเล่าถึงเสือด้วย เล่าว่าผมทำบัตรนักเรียนตกตอนไปเข้าห้องน้ำแล้วเขาเก็บมาคืน แล้วเราก็คุยกัน
   
        “ฟังดูน่าสนุกจังเลยน้า แม่ชักอยากเห็นเพื่อนลูกคนนี้แล้วสิ”
   
        “เรารู้จักกันสองวันเองนะครับ” ผมหัวเราะ แม่วุ่นวายกับการเช็กอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ระหว่างที่ตอบผม “แหมน้องติ เพื่อนที่ดีน่ะเจอกันวันเดียวก็อยู่ยาวถึงสิบปีนะคะ”
   
        ผมไม่ตอบอะไร จะไม่บอกแม่ว่ามันไม่มีสิบปีบ้าบออะไรนั่นทั้งนั้น
   
        “แล้วเรียนพิเศษเป็นยังไงมั่งลูก”
   
        อ่า จริงสิ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย ผมมีการบ้านจากที่เรียนพิเศษที่ต้องทำด้วยนี่นะ
   
        “ก็ดีครับ ผมกำลังทบทวนบทเรียน”
   
         “คนเก่งของแม่ เนี่ยนะ วันนี้แม่เจอป้ารัตน์ ติจำได้ไหมลูก โอ๊ย แกชมป้าใหญ่ว่าแม่มีลูกที่ดีขนาดไหน น้องติของแม่ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง คบแต่คนดีๆ มีแต่คนเอ็นดู”
   
         ผมหลับตา
   
        “น้องติเป็นความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่นะคะ”
   
         ผมยิ้ม
   
        ผมมีเพื่อนที่ดี เรียนดี พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ รายล้อมด้วยครอบครัวที่ดี
   
        ผมควรมีความสุข ผมต้องมีความสุข เพราะหากผมพูดว่าผมทุกข์พวกเขาจะถามว่าทำไม ทำไมผมถึงทุกข์ ผมมีอะไรให้กังวลใจนักหนา
   
        “ผมรักพ่อกับแม่นะ”
   
         “แม่กับพ่อก็รักตินะคะ”
   
          ผมขอตัวขึ้นห้องโดยอ้างว่าจะกลับมาทำการบ้าน ตลอดการสนทนาแม่ไม่เห็นหน้าผม เธอไม่เห็นหรอกเพราะพ่อกับแม่ไม่ได้เงยหน้าจากโทรศัพท์เลย พวกเขาคุยงาน ตอบไลน์ลูกน้องตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน
   
        เมื่อกลับขึ้นมาบนห้องความอบอุ่นจากการได้คุยกับเสือระเหิดหายไปช้าๆ ผมว่างเปล่าอีกครั้ง สองขาพาผมก้าวไปยืนหน้ากระจกเงา
   
         ตอนอยู่ข้างล่าง ผมยิ้ม แม้จะเจ็บแผลที่มุมปากและแก้มมากก็ตาม แต่ตอนนี้ผมอยู่เดียวดาย ปวดระบมไปทั้งหน้า ผมมองตัวเองในกระจกด้วยสายตาว่างเปล่า ที่นี่คือห้องแห่งความลับของผม สถานที่ที่ผมปล่อยวางทุกสิ่งได้ เสือพูดถูก ทุกอย่างที่เป็นตัวตนผมจะอยู่แต่ในห้องนี้เท่านั้น
   
         บาดแผลของผม
   
         ความลับของผม
   
         และใบหน้าบิดเบี้ยวของผมหลังจากที่รอยยิ้มจอมปลอมเลือนหายไป

************************************************

จบไปแล้วอีกหนึ่งตอนหลังจากหยุดเขียนไปเพราะติดสอบ เรากลับมาแล้วค่า
อารมณ์ตอนนี้หม่นๆ เทาๆ มากเลย หลังแก้พล๊อตไปมาก็พบว่าเรื่องนี้น่าจะเอียงไปทางดราม่าแล้วล่ะค่ะ
แงงง แต่เราจะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติชมนะคะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. หลังไมค์มาคุยกับเราหรือว่าติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ก็ว่าอยู่ว่ามันคงจะใสไม่ออกเพราะเริ่มมาก็ดราม่าซะขนาดนี้ หวังว่าเสือจะฉุดพระจันทร์ดวงนี้ให้ลอยสูงไปได้นานๆ ไม่ให้ตกลงมานะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ดีงามมากเลยค่ะ มาเกาะติดตามนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
มันหม่นๆยังไงก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าน้องติจะแตกสลายเหมือนกับชื่อเรื่องด้วยหรือเปล่า :เฮ้อ:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย
บทที่ 4
บาดแผล


          วันต่อมาผมรีบออกไปโรงเรียนแต่เช้า ปลาสเตอร์ยาและผ้าก๊อซบนใบหน้าทำให้ผมตกเป็นเป้าสายตาแต่ผมไม่แคร์ตราบเท่าที่คนมองผมไม่ใช่คนรู้จักของผม เมื่อมาถึงโรงเรียนผมก็พบว่าผมมาเร็วที่สุดในห้อง ไม่สิ ถึงจะมาเร็วแค่ไหนผมก็ยังถึงโรงเรียนช้ากว่าธารอยู่ดี
   
        “หวัดดี” ผมเอ่ยทักเธอก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าตรงโต๊ะของตัวเอง ธารลุกพรวดแล้วตรงเข้ามาหาผมทันที “ติ เมื่อวานไปไหนมา! เราตามหาติซะทั่วไปหมดเลย”
   
        จริงสิ เมื่อวานผมโดดเรียนคาบบ่ายนี่นา
   
        “แล้วแผลบนหน้านั่นมันอะไร! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ยติชิลา!” นัยน์ตาของเธอไหวระริก ผมยิ้มก่อนจะยกมือลูบศีรษะธารทิพย์เบาๆ “ไม่มีอะไรหรอกธาร ก็แค่อุบัติเหตุโง่ๆ”
   
        “โกหก” เธอตอบเสียงแผ่ว “เตชใช่ไหม?”
   
        ผมยักไหล่ แกะเอาปลาสเตอร์ยาออกจากใบหน้าจนหมดแล้วโยนมันลงถังขยะหลังห้อง ผมไม่ได้ตอบคำถามของธารเพราะรู้ดีว่าเธอรู้คำตอบอยู่แล้ว ผมเดินไปเปิดหน้าต่างรวมถึงไฟกับพัดลมในห้อง ธารมาถึงก่อนผมแต่เธอเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวในเงามืด
   
        “ติ” มือบางคว้าไหล่ผม บีบแน่น “เราต้องบอกครูเรื่องนี้ พวกเขาทำเกินไป แค่เราสองคนส่งการบ้านตามหน้าที่แต่พวกเฮงซวยนั่นไม่ทำ แค่นี้ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ แล้วดูหน้าติสิ นี่มันทำร้ายร่างกายกันแล้วนะ แจ้งความยังได้เลย”
   
        ผมถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆ ที่ช่วงเช้าควรเป็นช่วงที่กระฉับกระเฉงที่สุดของวันแท้ๆ
   
        ผมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ หยิบเอาแซนด์วิชกับน้ำส้มที่ซื้อจากเซเว่นข้างโรงเรียนมาแกะกิน ปวดแก้มกับมุมปากชะมัดเลยแฮะ ผมคิดแบบเนือยๆ ระหว่างที่เคี้ยวอาหารเช้าช้าๆ ท่าทางไม่ใส่ใจของผมทำให้ธารทิพย์อดรนทนไม่ได้
   
        “ถ้าติไม่บอกเราจะบอกเอง”
   
        “อย่าให้มันยุ่งยากเลยธาร”
   
         “หมายความว่ายังไง”
   
        “ธารคิดเหรอว่าที่เขาทำกับเราขนาดนี้เพราะแค่เราเอางานไปส่งก่อน ไม่ใช่หรอกธารพวกเขาแค่แกล้งเราเพราะอยากแกล้งเท่านั้นแหละ”
   
        ผมหยิบกระดาษขึ้นมาวาดรูปสามเหลี่ยมลงไปก่อนจะเงยหน้ามองธารทิพย์ ยิ้มให้เธอเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียด “มาฟังบรรยายวิชาทำไมคุณถึงถูกแกล้ง101กันดีกว่า”
   
        “ไม่ตลกนะติ แล้วอีกอย่างพวกนั้นนะมันอันธพาล”
   
        ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เสแสร้งแต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความสุข
   
        “เราเคยคิดนะว่าทำไมเราถึงได้โดนแกล้งบ่อยๆ เราคิดว่าเริ่มแรกมันมาจากการที่เราสนิทกับธารและเตชชอบธาร พอธารไม่ชอบเตชหมอนั่นก็เริ่มพาลแล้วก็หาเรื่องเรา ตอนนั้นเตชทึกทักไปว่าที่ธารไม่คบเขาเพราะธารมีเรา” ช่วงแรกเตชพยายามทุกทางที่จะแสดงอำนาจเหนือกว่าผม เขากลั่นแกล้ง ทำให้ผมเป็นตัวตลก ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่คู่ควรกับธารทิพย์แต่ที่เขาไม่รู้คือผมไม่เคยคิดอะไรกับธารมากไปกว่าเพื่อนสนิทและมิตรภาพของเรามั่นคงเกินกว่าจะสั่นคลอนเพราะแผนแกล้งปัญญานิ่มของเขา
   
         “ต่อจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มกลายเป็นความเคยชิน” ผมเขียนชื่อเตชไปที่ยอดของสามเหลี่ยมและเขียนชื่อผมไว้ที่ธารของสามเหลี่ยม “เราเป็นคนเพื่อนน้อย เก็บตัว ไม่มีปากมีเสียง เตชแกล้งเราจนเขาติดเป็นนิสัยไปแล้ว” ผมคิดว่าการได้แสดงความเหนือกว่าใส่คนด้อยกว่าคงทำให้เขารู้สึกดีล่ะมั้ง
   
        “เราเป็นชนชั้นสามในห้องเรียน” ชนชั้นแรกคือพวกเตช ชนชั้นสองคือพวกเด็กเรียนอื่นๆ ที่ไม่เลือกข้าง และชนชั้นสามคือพวกที่ดันไปกระตุกต่อมหมั่นไส้คนอื่นเช่นผมกับธาร
   
       ธารจ้องสามเหลี่ยมนั้นอย่างขยะแขยงก่อนที่เธอจะกระชากกระดาษไปจากมือผมแล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ
   
       “เรานึกว่าการได้อยู่เด็กเรียนจะไม่มีอะไรแบบนี้ซะอีก”
   
        ผมหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเธอ
   
        “คนไม่ดีมีอยู่ทุกที่แหละธาร จริงๆ นะ”
   
        “คนแบบเตชเข้ามาอยู่ที่แบบนี้ได้ยังไงนะอยากรู้จริงๆ งานก็ไม่ทำ ชวนคนอื่นเหลวไหลแถมยังชอบใช้กำลัง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกครูถึงไม่เอาเรื่อง”
   
        ผมเหยียดยิ้ม เคาะปากกาลงกับโต๊ะเรียน
   
        “ก็...ถ้าไม่มีเงินบริจาคของพ่อแม่เตช โรงเรียนก็คงจะไม่มีตึกใหม่กับอุปกรณ์ใหม่ๆ ใช้ล่ะมั้ง”
   
        บทสนทนาของเราหยุดแค่นั้นเนื่องจากเพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ผมเหลือบตามองธารก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วเมื่อวานตอนเที่ยงหายไปไหนมา”
   
        ธารทิพย์สะดุ้งก่อนยกมือขึ้นเกาปลายจมูก เท่านั้นผมก็รู้แล้วว่าเธอมีอะไรปิดบัง อย่าดูถูกเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันเชียว
   
        “ไม่มีอะไร ไปห้องสมุด”
   
        “โกหก”
   
        เธอหลบตา
   
        “มีคนมาทำอะไรเธอใช่ไหม”
   
        “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เทียบไม่ได้กับเรื่องของติหรอก”
   
        “ไม่เกี่ยวว่าเทียบได้หรือไม่ได้ ประเด็นคือมีคนมาทำอะไรไม่ดีกับเธอ” ผมพูดเสียงดุ “ใครทำอะไร” เมื่อเห็นธารทิพย์ไม่พูดผมก็ถอนหายใจแล้วลองเดาดู “พวกนัทว่าอะไรเธออีกใช่ไหม”
   
        โดนัทเป็นชื่อของเพื่อนร่วมห้อง คนที่แซะผมว่าทำไมทำการบ้านเสร็จแล้วไม่ส่งลงไลน์กลุ่มนั่นแหละ เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าธารทิพย์และเอาแต่จับผิดเพื่อนผมอยู่ตลอดเวลา
   
       “มันก็แค่คำพูดน่ะ” เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “มันไม่ทิ้งบาดแผลอะไรไว้หรอก”
   
        ผมอ้าปากจะพูดแต่ธารทิพย์ขอตัวว่าจะไปเข้าห้องน้ำแล้วก็เดินจากไป เป็นการตัดบทสนทนาที่โหดร้ายชะมัด ผมถอนใจพลางรวบรวมเศษขยะไปทิ้งลงถัง แต่ยังไม่ทันจะได้ปล่อยมือจากถุงพลาสติก ดวงตาของผมพลันไปสะดุดกับเศษกระดาษมากมายที่ถูกทิ้งอยู่ถังขยะ ความทรงจำเมื่อเย็นวานย้อนกลับมา
   
        กระดาษที่เขียนถ้อยคำด่าทอมากมายซึ่งอัดแน่นเต็มกระเป๋า
   
        คำพูด...ไม่ทิ้งบาดแผลใดไว้จริงๆ น่ะหรือ?
   
        วันนี้ทั้งวันของผมหมดไปกับการตอบคำถามของคุณครูแต่ละวิชา พอเข้าห้องมาสิ่งแรกที่พวกเขาถามคือ ‘ติชิลา เธอไปโดนอะไรมา’ มีคุณครูบางคนถึงกับเรียกผมไปคุยหลังเลิกคาบด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่าถ้ามีคนรังแกหรือทำร้ายร่างกายก็ให้บอก พวกเขาจะช่วย ผมได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วตอบด้วยคำตอบเดิมซ้ำๆ ว่า
   
       “มอเตอร์ไซค์วินคันที่ผมนั่งกลับบ้านเมื่อวานล้มน่ะครับ”
   
        มันไม่ใช่คำตอบที่ดูน่าเชื่อถืออะไรแต่ก็ยังพอยอมรับได้
   
        พอได้เวลาพักเที่ยงผมกับธารก็รีบลงไปที่โรงอาหาร   ผมกับเธอเลือกนั่งในมุมเงียบๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจและคาดหวังว่ามื้อเที่ยงของเราจะผ่านไปอย่างสงบสุข
   
       “เฮ้ยติ!”
   
        น้ำเสียงทุ้มที่โคตรคุ้นเคยทำให้ผมแทบอยากจะเอาหน้าจุ่มชามขนมจีน ดูเหมือนว่าเทพเจ้าแห่งความโชคดีจะเกลียดผม
   
        “ติ ใครน่ะ”
   
        ธารทิพย์ดูงุนงง เธอหันมามองผมเพื่อขอคำตอบแต่ผมเลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินต่อ ปล่อยเบลอผู้ชายตัวใหญ่ที่เดินยิ้มอวดเขี้ยวไปซะ
   
       “คนรู้จักเหรอ”
   
        “เปล่า”
   
        “แต่เขาเรียกชื่อติ”
   
        “ผิดคนมั้ง”
   
        “ติ!”
   
        คราวนี้เสียงของเสือดังขึ้นเหนือหัวผม ธารทิพย์เลิกคิ้วสีหน้าประมาณว่าอ้อเหรอ ผมถอนหายใจ
   
        “มีอะไร”
   
        “กินข้าวกับอะไรน่ะ”
   
        “ยุ่ง”
   
       “แกงเขียวหวานเหรอ น่าสนใจแฮะ อร่อยไหม”
   
        “พอใช้ได้”
   
        “ขอชิมหน่อย”
   
        ผมถลึงตาใส่เสือ ไอ้ความสนิทสนมระดับนี้นี่มันยังไง เราเพิ่งรู้จักกันได้สองวันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงทำเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมาสักสามปี
   
        “ไปซื้อกินเอง” ผมตัดรอน “เราจะไปแล้ว”
   
        “ขอกินหน่อยเดียวเอง” เสือยิ้ม “น่านะ”
   
        ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผลักชามขนมจีนไปตรงหน้าเสือที่ถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขาส่งเส้นขนมจีนคำโตเข้าปาก
   
        “อร่อยแฮะ”
   
        “งั้นก็ไปซื้อกินเอง”
   
        “ร้านป้าใหม่หรือเปล่า”
   
        ก็มีขนมจีนอยู่ร้านเดียวในโรงอาหารไม่ใช่เหรอ
   
        “ใช่”
   
        “ร้านนั้นปกติเราก็กิน ทำไมมันไม่อร่อยเหมือนชามของติ”
   
        ตอนนั้นเองที่ธารทิพย์ส่งเสียงไอขึ้นมา เสือหันไปยิ้มให้เธอ เด็กสาวยิ้มตอบแบบแกนๆ “เพื่อนใหม่ติเหรอ” เสือเลิกคิ้วจากนั้นก็พยักหน้า “ครับ ชื่อเสือ”
   
        หมอนี่...กับผู้หญิงแล้วก็สุภาพผิดคาดแฮะ
   
        “เราธารนะ”
   
        “ยินดีที่ได้รู้จัก” เสือยิ้มให้ธารก่อนจะหันกลับมาหาผม “ขอนั่งด้วยได้ไหม โรงอาหารเต็มหมดแล้ว” ตอนแรกผมนึกว่าข้ออ้างแต่พอกวาดตามองรอบๆ ก็พบว่าที่นั่งในโรงอาหารถูกจับจองจนไม่เหลือที่ว่างจริงๆ ผมถอนหายใจก่อนขยับที่ให้เขา
   
        “รอเดี๋ยวนะ”
   
        เสือลุกไปสั่งอาหารส่วนผมก็รวบช้อน รู้สึกอิ่มขึ้นมาดื้อๆ ธารทิพย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะลุกไปเลยไหมแต่ผมยังนั่งเฉย ผมแค่รู้สึกว่าการลุกออกไปเลยทั้งแบบนี้มันน่าเกลียดเกินไป เสือไม่ได้ทำอะไรผิด เขาสุภาพกับผม เขาช่วยเหลือผม ให้กำลังใจผม
   
        สิ่งเดียวที่ทำให้ผมหนีห่างจากเขาคือเขาเข้าหาผมมากเกินไป ผมรู้ว่าเขาพยายามจะทำตัวเป็นเพื่อนแต่กำแพงของผมมันหนาและสูงมาก ยิ่งเขาเข้าหาผมก็ยิ่งถอยหนี ร่างกายและจิตใจสร้างกำแพงปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ
   
        ความรู้สึกหลายอย่างตีกันในหัวผม ใจหนึ่งผมก็อยากจะรู้จักเขาอีกใจผมก็อยากให้เขาไปเสียให้พ้นๆ
   
         เพราะผมกลัว
   
        มันเป็นความกลัวที่ยากจะอธิบาย พูดง่ายๆ คือผมไม่ต้องการเริ่มต้นใหม่ ผมไม่ต้องการความสัมพันธ์ใหม่ๆ ไม่ต้องการให้อาณาเขตอันปลอดภัยต้องสั่นคลอน
   
        เหมือนเมื่อครั้งนั้น
   
        “น่าเสียดายชะมัดแกงเขียวหวานหมด เหลือแต่น้ำยาป่า” เสียงบ่นอุบของเสือเรียกสติผมกลับมา เขาทำสีหน้าลำบากใจแต่ก็ก้มหน้าก้มตากิน ระหว่างนั้นก็ชวนพวกเราคุยไปด้วย เสือเป็นบุคคลที่มนุษย์สัมพันธ์ดีมาก ไม่นานธารทิพย์ก็ผ่อนคลายและเริ่มหัวเราะไปกับมุกตลกของเขา
   
         “จริงสิ พอกินเสร็จแล้วเราไปที่ดาดฟ้ากันดีไหม” จู่ๆ เสือก็โพล่งขึ้นมา ธารทิพย์หันขวับมามองผมส่วนผมจ้องเสือเขม็ง แววตาคู่นั้นของเขาดูสงบนิ่ง รอยยิ้มยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก “ขึ้นไปนั่งคุยกัน”
   
        “ไม่”
   
        ไม่ ไม่ ไม่
   
        ที่นั่นเป็นที่ของผม พื้นที่ส่วนตัวของผม อย่าเข้ามา ออกไป ออกไป ออกไป ได้โปรดอย่าเข้ามา ผมไม่ต้องการ...
   
        ครืด
   
        ผมลุกพรวดขึ้นจนธารทิพย์กับเสือตกใจและโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ผมรีบลุกเอาชามอาหารไปเก็บทันที ผมรู้ว่าการทำแบบนี้มันเสียมารยาทแต่ว่าเสือน่ากลัวเกินไป เขารุกล้ำเข้ามาเร็วเกินไป
   
        ตึก ตึก ตึก
   
        ผมวิ่งขึ้นบันได ยามพักเที่ยงแบบนี้บนตึกเรียนเงียบสงบทำให้ไม่มีใครเจอผมที่ลักลอบขึ้นไปบนดาดฟ้า ตอนที่ขึ้นมาถึง ไอแดดร้อนระอุทำให้ผมตาพร่า หลังจากที่หาร่มเงาให้ตัวเองได้แล้วผมก็ทรุดตัวลงนั่งแล้วส่งข้อความหาธาร เหงื่อไหลซึมลงมาตามขมับเพราะความร้อนและความกังวลใจ
   
        ผมขยุ้มอกเสื้อ นั่งนิ่งเพื่อรอให้ความคิดยุ่งเหยิงเริ่มเข้าที่ แต่มันไม่เข้าที่ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมใส่ผมเหมือนคลื่นยักษ์ มันกระชากผมลงสู่ก้นทะเลลึก
   
        ความเจ็บช้ำ ความทรงจำ ความเสียใจ ความอึดอัดโผล่มาทีละเล็กทีละน้อยและทำให้ผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
   
        ผมเริ่มนึกถึงเรื่องต่างๆ เบี่ยงเบนความคิดออกจากความเศร้าแต่ผมทำไม่ได้เพราะผมนึกถึงความสุขในชีวิตไม่ออกเลย สิ่งที่ผมนึกออกคือคำพูดกดดันจากพ่อแม่ตอนที่เกรดผมตก ตอนที่พวกเขายึดโทรศัพท์และโน้ตบุ๊กผมไป ตอนที่พวกเขาบังคับให้ผมอ่านหนังสือทั้งวัน ทำข้อสอบทุกเย็น นึกถึงการเรียนพิเศษที่ลากยาวไปจนมืดค่ำ นึกถึงเรื่องแย่ๆ ที่พวกเพื่อนๆ ทำกับผม ทั้งการล้อเลียน ปาขนมใส่ เอาของผมไปซ่อน แต่งรูปผมให้เป็นตัวตลกแล้วโพสต์ลงเฟสบุ๊ก
   
        ผมนึกถึงน้องสาวที่มักจะได้รับความรักจากพ่อกับแม่เสมอ เท่าที่ผมรู้พวกเขาไม่เคยบังคับให้เธอเรียนหนังสือหนักๆ หรือเรียนพิเศษจนมืดค่ำ พวกเขาตามใจเธอ และเท่าที่ผมรู้น้องสาวของผมไม่เคยโดนแกล้ง เธอสดใสและรายล้อมด้วยเพื่อนฝูง ต่างกับผม หลายคนแปลกใจด้วยซ้ำที่เราเป็นพี่น้องกัน
   
        ถ้าเรารู้สึกไม่ดีกับที่ไหนเราก็แค่ออกมาจากที่นั่น ธารเคยบอกผมไว้แบบนี้และทุกครั้งผมจะนึกเถียงเธอในใจ
   
        แล้วถ้าผมรู้สึกไม่ดีกับโลกใบนี้ล่ะ?
   
        ผมควรจะทำยังไง หายออกไปจากที่นี่เลยใช่ไหม
   
        “แม่งเอ๊ยมันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ มันต้องไม่เป็นแบบนี้” ผมลูบใบหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่เพราะลงน้ำหนักมือมากไปทำให้ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมา
   
        ผมขมวดคิ้ว หัวใจเต้นตึกตัก
   
        ผมแตะปลายนิ้วเข้าที่มุมปากบริเวณที่โดนชกจนปริแตก ผมกดนิ้วลงไป ย้ำลงไป
   
        “เจ็บ”
   
       ผมพึมพำ กดปลายนิ้วลงไปอีก
   
        “เจ็บ”
   
        แต่มันทำให้ผมรู้สึกตัว ความเจ็บปวดพาผมกลับมา
   
         ผมทิ้งตัวลงนอนกับพื้นซีเมนต์ร้อนๆ ยกแขนขึ้นปิดหน้า หลับตาจินตนาการถึงการเป็นนกอีกครั้ง โผบินไป ปล่อยให้สายลมลูบไล้ร่างกายและส่งผมทะยานไปสู่อิสระ แต่นกมีอิสระจริงๆ หรือ? ผมไม่แน่ใจ ระหว่างที่นอนคิดอยู่เพลินๆ ประตูดาดฟ้าพลันเปิดออก ผมกระเด้งตัวลุก คิดในใจว่าฉิบหายแล้ว
   
         “อยู่นี่เอง”
   
        แต่คนที่โผล่หน้าเข้ามาคือคนที่ผมพยายามหลบหน้า ผมคราง ทำไมหมอนี่ไม่เกลียดผมไปเสียทีนะ
   
        “ธารล่ะ”
   
        “กลับขึ้นห้องไปแล้ว เราไม่ได้บอกว่าจะมาหาติ”
   
        “นายแค่มาเองตามใจชอบ”
   
        “ติก็ขึ้นมาที่นี่เองตามใจชอบเหมือนกัน ดาดฟ้านี่ห้ามนักเรียนเข้าด้วยซ้ำ”
   
        ผมแค่นหัวเราะ
   
        เสือเดินช้าๆ มาหาผม จากนั้นก็ยื่นมือออกมา ผมผงะถอยโดยสัญชาตญาณ เสือชะงักแต่เขาไม่หยุด เด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้จนปลายนิ้วแตะลงที่แก้มผม ผมมองเห็นแผลบนหลังมือของเขาได้ สายตาคมกริบของเสือหยุดอยู่ที่มุมปากผม
   
        “เลือดออก”
   
        “อืม”
   
       “รู้สึกดีเหรอติ...การทำร้ายตัวเองน่ะ”
   
        ผมสะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้าง เขารู้...ได้ยังไง
   
        “เห็นติก็รู้แล้ว คนแบบติ...”
   
        “คนแบบเรามันทำไม”
   
        “ปล่อยไว้ได้ที่ไหนกัน”
   
        “ทำไม มายุ่งนี่ต้องการอะไร อยากเป็นคนดีเหรอ อยากมายุ่งด้วยเพราะจะเอาไปนินทาลับหลังหรือไง”
   
        “ไม่ใช่!”
   
         ผมสะดุ้ง เสือที่เพิ่งตะคอกใส่ผมยกมือบีบดั้งจมูก เขาก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ผมยืนนิ่งหมดแรงจะขืนตัวออก
   
        “เราขอโทษ” จู่ๆ เสือก็พูดออกมา “เราทำให้ติอึดอัดใช่ไหม ขอโทษนะ แต่เราอยากเป็นเพื่อนกับติจริงๆ”
   
        ...เพื่อน...
   
        “กลัวเหรอ”
   
        “อืม”
   
        “กลัวอะไร”
   
        “ทั้งการเริ่มต้นและการจบ” ผมพูด ซุกตัวเข้าหาเขาเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังซุกในที่หลบภัย เสือลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน เขานิ่งและรอฟัง “เรากลัวที่จะมีความสุข”
   
        เพราะทุกครั้งที่ผมมีความสุข ผมมักจะคิดเสมอว่าสิ่งแย่ๆ มักจะตามมาและความสุขของผมมักจะถูกขโมยไปเสมอ
   
        “ดูจากเรื่องที่ติเจอมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะคิดแบบนั้น” เสือคุกเข่าลงมือแต่ละข้างของเขาช้อนจับมือของผมเอาไว้ ที่เขาต้องทำแบบนั้นเพราะผมเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา ถ้าทำแบบนี้เขาจะมองเห็นหน้าของผมได้ สบตากันได้ ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา เงาสะท้อนของผมชัดเจนในดวงตาคู่นั้น
   
        “ตั้งแต่เราเจอกัน ติรู้ไหมว่าติไม่เคยยิ้มเลย”
   
        จริงเหรอ
   
        “ติทำหน้าเศร้าตลอด ปิดกั้นตัวเองตลอดเวลา”
   
         ผมเป็นแบบนั้นมาตลอด
   
        “ทุกครั้งที่มองไปที่ติ เราเห็นเด็กผู้ชาย...ที่เต็มไปด้วยบาดแผล” ฝ่ามือข้างหนึ่งของเสือทาบลงที่กลางอกของผม “ตรงนี้เต็มไปด้วยบาดแผล”
   
       “ดูไม่ใช่คนน่าคบด้วยเท่าไหร่เลยนะ”
   
        “ติบอกว่ากลัวการมีความสุขใช่ไหม กลัวว่ามันจะโดนขโมยไป เราไม่รู้ว่าเพราะอะไรติถึงคิดแบบนั้นแต่เราอยากจะบอกว่าเราจะไม่หายไปหรอกนะ ไม่มีใครขโมยเราไปจากติได้”
   
        ผมมองเสือพลางนึกสงสัยว่าอะไรทำให้ผู้ชายคนนี้พยายามที่จะเป็นเพื่อนกับผมขนาดนี้
   
         นัยน์ตาของเสือดูอบอุ่น จริงใจ เขาไม่ใช่เสือร้ายสักหน่อยแต่เป็นแมวตัวใหญ่ต่างหาก เสือบีบมือผมแล้วช้อนตาขึ้นมอง พยายามใช้ความหนักแน่นมั่นคงละลายกำแพงความกลัวของผม
   
         “เปิดใจให้เราได้ไหมติชิลา”

**********************************************

สวัสดีค่า เรากลับมาแล้วและขอสวัสดีปีใหม่นักอ่านที่น่ารักทุกคนนะคะ
ยิ่งเขียนยิ่งหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
หลายคนอาจจะคิดว่าติชิลานี่มันจะอะไรขนาดนั้น ชีวิตจะไม่มีความสุขเลยหรือไง
เราวางให้ตัวน้องติโตขึ้นมาในครอบครัวที่เข้มงวดค่ะ แน่นอนว่าพ่อแม่รักน้องติแต่ในขณะเดียวกันก็กดดันน้องมาก
ทั้งการเรียนและอื่นๆ ติเองก็รู้สึกเหมือนกับว่า "ตัวเองไม่มีอะไรดีเลยนอกจากเรื่องเรียน" ถ้าขนาดเรียนไม่ดีแล้วจะเหลืออะไร
น้องเลยกดดันตัวเองมากเช่นกันค่ะ ชีวิตน้องถูกวางกรอบไว้แล้ว เขาแบกรับหลายๆ อย่าง

ทีนี้มาถึงเรื่องที่โรงเรียน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมติถึงโดนแกล้งทั้งที่เขามีพร้อมทุกอย่าง
คำตอบก็อย่างที่เราเฉลยไปในตอนนี้ค่ะ น้องติไม่สู้คน ไม่มีปากมีเสียงใดๆ ทั้งสิ้นและ
เพราะเรียนเก่งเกินไปประกอบกับนิสัยไม่เข้าสังคมทำให้เขาถูกหมั่นไส้
การได้แกล้งเขาและได้ล้อเลียนเขารวมไปถึงนินทาเขาเลยกลายเป็นเรื่องบันเทิงสำหรับทุกคน

ที่น้องติไม่บอกครูเพราะน้องไม่อยากยุ่งยาก เขาและบางทีเขาแค่อาจจะรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องนี้
ติคิดว่าการบอกครูไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้เขาโดนแกล้งมากขึ้น สิ่งที่เขาต้องการจะพูดไม่ใช่แค่เรื่องโดนแกล้ง
แต่มันมีหลายอย่างมากกว่านั้น มันมากเกินไปและติคิดว่าครูไม่เข้าใจค่ะ

เสือเป็นคนแรกที่พยายามทลายกำแพงเข้ามาหาติค่ะ ทุกคนมาเอาใจช่วยน้องติและน้องเสือไปด้วยกันนะคะ :hao5:

เราพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุด หากใครมีข้อแนะนำ ข้อเสนอแนะ ข้อติชมสามารถเม้นท์บอกได้เลยนะคะ
หรือจะส่งมาบอกเราได้ที่เพจAzureDream หรือทวิตเตอร์(ค่ะ ในที่สุดก็มีทวิตเตอร์แล้ว 5555) @DreamsAzure นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันตอนต่อไปค่า จุ๊บ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เสือเหมือนดวงอาทิตย์เลย
 :o8:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
เสือคนดี! เสือสู้ๆ เยียวยาติให้ได้น้าาา

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เสือคงเป็นยิ่งกว่าแสงสว่างของติแน่ๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านแล้วอึดอัดแทนเลยค่ะ ชีวิตน้องเต็มไปด้วยกรอบ ชอบเสือมาก ตอนแรกนึกว่าจะมาแบบคุกคามน้อง เป็นนักล่า แต่เสือดีมากเลยยยยยย ติดตามนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เอาใจช่วยทั้งน้องเสือและน้องติเลย ฮืออ

ออฟไลน์ Daryneisfine

  • Read to improve national statistics
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่น้องตกใจแล้ววิ่งขึ้นดาดฟ้า คือบรรยายดีมากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วเหมือนได้ยินใครรัวกลองหนักๆในหัว
เห็นภาพ เสียง แม่ พ่อ เพื่อน วนอยู่รอบๆ
 
แค่โตมาโดยไม่มีความฝัน มันก็มากพอที่จะทำให้คนนึงไม่มีความสุขแล้ว
 
มีเงิน มีครอบครัว แล้วยังไง ความทุกข์ของคนคือเกิดจากสิ่งที่เจอค่ะ
เราไม่มีวันเข้าใจใครได้หรอก เทียบปริมาณความทุกข์กันก็ไม่ได้
คนนี้แย่กว่าต้องเสียใจกว่านี่มันไม่จริงเลย
 
ก็เหมือนความสุขแหละ สุขมาก สุขน้อย ยังรู้สึกแทนกันไม่ได้เลย
จะเอาอะไรมาตัดสินว่า การที่ติ มีความทุกข์ ทั้งๆที่เกิดเพียบพร้อม
เป็นเรื่องที่ จะทุกข์ใจอะไรนักหนา .....
 
ถ้าติเจอเรื่องร้ายแรงกว่านี้น้องอาจจะไม่เสียใจกับเรื่องวันนี้ก็ได้
แต่นี่ทั้งชีวิตน้อง นี่คือพีคสุดละ มันเหมือน ไม่มีความฝัน
ไม่มีอนาคตที่ตัวเองมองหา
 
ไม่มีคนที่เล่าความรู้สึกนี้ให้ฟังได้โดยที่จะไม่โดนตัดสินว่าเป็นคนอ่อนแอ
จะโกรธพ่อแม่ได้อย่างปกติมนุษย์ โดยที่จะไม่โทษตัวเองว่าอกตัญญู
 
มันเป็นสิ่งที่ค่อยๆกัดกินใจนะ เหมือนคนหายใจแต่ไม่มีชีวิต
เกิดมา ทำหน้าที่ แล้วจบลง
 
เราว่าน่าเศร้าที่สุดแล้ว
 
อินมากกก ขอให้พระจันทร์คนดี เจอคนที่จะเข้ามาเป็นแสงให้นะ
 
ชื่อตัวละครก็ดีมากๆ เพราะ พระจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง
ถ้าขาดแสงจากคนรอบข้าง พระจันทร์ก็จะเป็นเดือนมืด
อีพี่เสือ สู้เค้า เดี๋ยวซื้อขนมจีนมาเลี้ยง

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย
แล้วก็ไม่ผิดหวัง เขียนได้น่าติดตาม
หน่วงใจมาก  ชีวิตดูอึดอัดทั้งที่ รร. ที่บ้าน

รอวันที่พระจันทร์แตกสลาย อยากรู้ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
สงสารน้องติ พ่อแม่ก็คิดว่าเลือกสิ่งที่ดีให้ลูกแต่ไม่เคยถามว่าต้องการมั้ย
ส่วนเตโช คนแบบนี้ควรได้รับกรรม คนในห้องเป็นอะไรกะนไปหมด พอไม่ใช่เรื่องตัวเองก็ทำเฉย ซะงั้น

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
สงสารติมากๆเลย มองไปทางไหนก็มืด
สังคมที่โรงเรียนก็แย่ รังแกน้องหนักมากเลย
พ่อน้องก็กดดันน้องมากไปอะ น้องบอกไม่ค่อยดีก็คิดว่าเป็นข้ออ้างอีก
ตรงที่บอกว่าไม่พยายามนี่อ่านเเล้วเจ็บมากเลย ทั้งๆที่น้องติโคตรพยายาม...
กับน้องไม่เคยบังคับ แต่กับติบังคับทุกอย่างไม่เคยถามความต้องการ
ก็เข้าใจนะว่าลูกคนโตเป็นความหวังของครอบครัว แต่นี่มันก็มากไปอะ หนักไปป
เสือเยียวยาพระจันทร์น้อยๆนี้ด้วยยย
 :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด