Love simulator เกมรักทดลองใจ (บทส่งท้าย) P.6 [4/3/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love simulator เกมรักทดลองใจ (บทส่งท้าย) P.6 [4/3/2018]  (อ่าน 64815 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องมิวสู้ๆนะ พี่กชรีบกลับมาปลอบน้องด้วย

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อย่าไปแคร์มากเลยต่อหน้าก้อไม่กล้าหรอกพวกนี

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นักเลงคีย์บอร์ดกันจริงๆเลย :katai1:
/กอดน้องมิว

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 22




“เธอมีปัญหาอะไร ทำไมไม่มาพูดตรงๆ ” กรกชพูดหลังจากยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอึกหนึ่ง เขาแทบจะกระแทกลงบนโต๊ะด้วยซ้ำ หากหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขายังมีสีหน้าสงบอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

“ใจเย็นก่อน ไอ้กช” กลายเป็นบอสที่นั่งข้างๆ เพื่อนเสียอีกที่ยกมือขึ้นมาลูบบ่าอีกฝ่าย ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอดีตคู่รักที่เป็น เพื่อนสนิทของเขาทั้งคู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะห้ามทั้งคู่ไวได้ หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือเขาน่าจะตายก่อนใคร “มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน ว่าแต่ก้อยอยากสั่งอะไรมาเพิ่มไหม นี่เราเล่นล่อเหล้าเพียวๆ กันแบบนี้เดี๋ยวก็เมาเร็ว”

“กับแกล้มอะไรก็ได้ บอส” ก้อยหันไปตอบคนถามยิ้มๆ หันกลับมามองหน้ากชอีกรอบ “เอาเป็นเมนูที่กชชอบดีไหม มาบาร์นี้ทีไรกชชอบสั่งเมนูเดิมทุกที”

บอสถือโอกาสนี้หันไปเรียกพนักงาน บาร์ที่พวกเขานั่งอยู่ตอนนี้ค่อนข้างสงบเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ แสงไฟสลัวๆ ภายในร้านยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ตัวสูงที่สุดในโต๊ะดูน่ากลัวขึ้น หากก้อยที่สนิทกับกชมานานก็ยังยิ้มอยู่ได้ หล่อนรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ไม่ลงมือทำร้ายผู้หญิงจริงๆ จังๆ หรอก หรือต่อให้จะดุหรือด่ายังไงก็ยังให้เกียรติเสมอ แถมยังขี้ใจอ่อนเป็นที่สุด

“แล้วตกลงว่าเธอมีอะไร ก้อย”

“เราเหรอ? ” ก้อยยกนิ้วชี้ตัวเองงงๆ อย่างเสแสร้ง “เราจะไปมีอะไรได้ล่ะกช กชเป็นคนขอให้บอสตามเรามาคุยด้วยวันนี้นะ คนที่มีเรื่องอะไรจะคุยก็ต้องเป็นกชดิ”

กรกชถอนหายใจเฮือก เขาไม่เคยเล่นเกมประสาทกับผู้หญิงตรงหน้าได้ชนะเลย เขาแอบคิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นอาวุธที่น่ากลัวของพวกผู้หญิงที่ผู้ชายอย่างเขาไม่มีทางเข้าถึง

“ทำไมไปโพสท์แบบนั้นในเฟซบุ๊ค”

“โพสท์ไหน” ก้อยทำหน้าเหลอหลาอย่างเสแสร้ง “เราโพสท์อะไรต่อมิอะไรลงโซเชียลมีเดียตั้งเยอะ แล้วนั่นก็ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายสักหน่อย”

“เรื่องที่ก้อยไม่พอใจที่เราไปคบกับผู้ชายน่ะ”

“อ้อ” หล่อนพยักหน้าเนิบๆ ยกแก้วเหล้าเล็กจิ๋วแต่ราคาสูงลิ่วขึ้นมาจิบ “นึกว่าเรื่องอะไร”

“กช หยิบแก้วน้ำให้กูหน่อย” บอสที่หันกลับมาร่วมวงเพราะสั่งกับแกล้มเสร็จแล้วว่า กชเลื่อนแก้วน้ำเปล่าให้เพื่อนโดยที่ยังไม่ละสายตาจากก้อย

“แล้วตกลงว่ายังไง ทำไมถึงไปโพสท์แบบนั้น”

หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะยกยิ้ม “เฮ้ย ใจเย็นดิวะ ทำไมดูหัวเสียจังอ่ะ ว่าแต่บอส มึงสั่งเหล้ามาแต่ดื่มน้ำเปล่าเนี่ยนะ ไม่ใจเลยว่ะเพื่อน ว่าแต่เราควรจะชนแก้วกันสักรอบไหม”

“ถามไอ้กชเหอะ” บอสโยนงานให้เพื่อน “มันโกรธมึงจนควันแทบจะออกหูแล้วน่ะ”

“แล้วจะไม่ให้กูโกรธได้ไงวะ” พอเริ่มพูดล่ะอารมณ์ก็เริ่มมา “ตั้งแต่ตอนที่เรามาร้านนี้ด้วยกันล่าสุดแล้วนะไอ้ก้อย ตอนนั้นไอ้โน้ตกับไอ้เจก็มา แต่แกดันแท็กเราแค่คนเดียว”

“ก็ในรูปมีแค่แกกับเราปะล่ะ” หญิงสาวว่าพร้อมกับยกเหล้าขึ้นจิบอีกรอบ ความร้อนของแอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านคอทำให้หน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง “แล้วอีกอย่างเราก็มาร้านนี้กันออกจะบ่อย จะคิดมากไปทำไม”

“คนอื่นจะเข้าใจผิดเอาน่ะสิ” อย่างเช่นมิวไง ให้ตาย ตอนทะเลาะกันคราวนั้นก็เพราะเรื่องแท็กในเฟซบุ๊คนั่น เอาจริงนะ เขาชักเริ่มขยาดโซเชียลมีเดียแล้ว “อีกอย่างถึงแกจะเลิกกับไอ้เต้ยแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าแกต้องทำตัวลดคุณค่าตัวเองแบบนี้เลยนะ มันไม่ใช่เรื่องเลย”

เต้ยคืออดีตเพื่อนของเขานั่นแหละ คือคนที่ฉกแฟนของเขาไปแบบหน้าด้านๆ ส่วนก้อยเองก็พอกัน หักหลังเขาแล้วตัดสินใจไปคบกับไอ้หมอนั่น ถึงจะเลิกกันในเวลาไม่นานต่อมาก็เถอะ

“เราเหรอลดคุณค่าตัวเอง? ” โดนว่าตรงๆ แบบนั้นก้อยก็ขมวดหัวคิ้วฉับ “แล้วกชมีสิทธิ์อะไรมาว่าเราแบบนั้นวะ จะเอาแต่โทษว่าเราผิดทุกอย่างเลยงั้นสิ”

“ใจเย็นๆ ” บอสพยายามผ่อนบรรยากาศที่ตึงเครียดเรื่อยๆ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบกับแกล้มที่ทางร้านเอามาเสิร์ฟให้ผ่านหน้าเพื่อนอีกสองคนที่จ้องกันตาไม่กะพริบ

“งั้นเราถามก้อยหน่อยเหอะ เราทิ้งก้อยตอนไหนวะ ตอนที่เราจับได้ว่าก้อยแอบคุยกับเต้ย เราก็บอกก้อยแล้วว่าเรายอมยกโทษให้ เราขอร้องก้อยด้วยซ้ำให้กลับมาหาเรา”

“แบบนั้นกชเรียกขอร้องเหรอ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อดึง “โทษทีเถอะ แบบนั้นบ้านเราเรียกบังคับด้วยซ้ำ กชไม่ได้พยายามง้อเราเลย ไม่เรียกว่าขอร้องด้วย แล้วไอ้ที่เราบอกกชทิ้งเราไปมันก็ถูกแล้ว ตอนที่เราคบกันกชไม่เคยสนใจความรู้สึกของเราเลย เอาแต่หายไปทำอะไรก็ไม่รู้ ข้อความก็ไม่ยอมตอบ เวลาเราขอให้กชอยู่กับเรากชก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ แบบนี้มันก็เหมือนกชทิ้งเราไปนั่นแหละ”

“เฮ้ย ไอ้ก้อย ใจเย็น” คราวนี้คนตรงกลางต้องหันมาห้ามเพื่อนอีกคนแทน แถมยังพยายามแก้ต่างให้กรกชที่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอีกด้วย “จริงๆ เราว่าตอนนั้นไอ้กชก็พยายามง้อแกแล้วนะ แต่อย่างมันก็ทำได้แค่นั้น แกก็รู้ว่ากชเป็นคนยังไง”

บอสพูดแบบนั้นเพราะรู้ว่าเวลามีเรื่องอะไรขึ้นมา หมอนี่จะพยายามพูดคุยด้วยเหตุผล ใช้หัวมากกว่าใช้ความรู้สึก ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ก้อยต้องการในตอนนั้น หล่อนต้องการการง้องอน เอาอกเอาใจ ของขวัญสักชิ้นสองชิ้นหรืออะไรแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไง บอสก็คิดว่าเพื่อนเขาทั้งสองคนไม่ควรมาคบกันตั้งแต่แรกแล้ว กชกับก้อยนิสัยต่างกันเกินไป แล้วก็ไม่พยายามจะปรับตัวเข้าหากัน คือตอนเป็นเพื่อน ทั้งคู่สนิทและเข้าอกเข้าใจกันมาก แต่พอเป็นแฟนเท่านั้นแหละ คนนอกอย่างบอสบอกได้เลยว่าพัง

“กชก็น่าจะพยายามมากกว่านั้นรึเปล่าวะ” ยัง เพื่อนเขาคนนี้ก็หัวดื้อพอกัน

“พยายามง้อคนที่แอบไปคุยกับเพื่อนเราลับหลังเนี่ยนะ? ”

“น่ะ ไอ้บอส แกเห็นปะ”

“หยุด” คนกลางยกมือขึ้นมาทั้งสองข้างเพื่อห้ามทั้งสองฝั่ง “พวกมึง พอเลย เป็นแบบนี้คืนนี้ก็คุยกันไม่จบ จะเอาเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดอีกทำไมวะ มันผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป คุยเรื่องที่ต้องคุยวันนี้ให้รู้เรื่องดีกว่า”

“เออ ไอ้บอส มึงพูดถูก” กชว่า หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ตามด้วยกับแกล้มตามหลัง “ยังไงซะตอนนั้นเราสองคนก็ผิดทั้งคู่ อล่วมันก็ผ่านไปแล้ว ทีนี้มาคุยเรื่องเดิมกัน ไอ้ก้อย แกเป็นอะไรวะที่เราไปคบกับมิวอ่ะ เพิ่งรู้นะว่าแกรับพวกเกย์หรืออะไรอย่างนี้ไม่ได้”

“ก็ไม่ใช่ว่าเรารับเกย์ไม่ได้” คนหัวดื้อก็ยังเป็นคนหัวดื้ออยู่วันยังค่ำ “แต่พอเป็นแกแล้วเรารับไม่ได้ แกเป็นแฟนเก่าเรานะเว้ย ไอ้กช คนอื่นเขารู้ว่าแกไปคบกับผู้ชาย เขาจะว่ายังไง”

“ก็ที่คนอื่นเขารู้เพราะเธอไปป่าวประกาศในเฟซบุ๊คเองไม่ใช่เรอะ”

“ต่อให้เราไม่ประกาศ เขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วปะวะ? แกไม่รู้หรอกว่าเราอายแค่ไหนที่ต้องมานั่งตอบคำถามหรือฟังคำสบประมาทเรื่องที่แฟนเก่าตัวเองไปมีแฟนใหม่เป็นผู้ชายอ่ะ”

“แล้วทำไมแกต้องสนด้วยวะ”

น้ำเสียงของทั้งสองคนที่ชักดังขึ้นเรื่อยๆ เริ่มทำคนตรงกลางหัวหมุน

“จะไม่สนได้ไง ในเมื่อเราเองก็รับไม่ได้เหมือนกันที่แกไปคบกับผู้ชาย”

“แล้วทำไมแกจะต้องรับไม่ได้ด้วยวะ” กรกชพูดอย่างสับสนระคนหงุดหงิด “นี่มันชีวิตเรานะเว้ย เราจะคบกับใครก็เรื่องของเราดิ”

“แต่แกจะคบกับคนที่ขอให้แกช่วยเล่นละครไม่ได้! ” พอจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงของกชได้ ก้อยก็ชักหน้าแดงขึ้นด้วยความโมโหตาม “เราเข้าไปย้อนดู ย้อนอ่านมาหมดแล้ว ไอ้เรื่องดราม่าของแกกับน้องมิวสไลม์น่ะ จนแล้วจนรอดแกก็คบกับน้องเขาเพราะน้องเขาขอใช่ไหมล่ะ แกไม่คิดว่ามันทุเรศไปหน่อยเหรอ น้องเขาใช้แกเป็นเครื่องมือแต่แกก็ยังไปคบกับเขา”

“ก้อย กูว่า---” บอสพยายามห้าม แต่เหมือนมันจะสายไปแล้ว

“แล้วทำไมวะ ก็เราชอบมิวมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว พอมิวขอร้องให้เราช่วยเล่นเป็นแฟนให้ เราก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย มีแต่ได้กับได้”

“กับคนเห็นแก่ตัวแบบนั้นแกก็ยังชอบเขาได้อีกเนอะ”

“ก้อย! ”

“โอย พวกมึ๊ง” บอสยกมือยีหัว “แดกเหล้ากันหน่อยไหม มา อุตส่าห์มาถึงนี่ทั้งที มาเพื่อน ชนแก้ว แม่ง จะหัวร้อนอะไรกันนักหนาวะ”

บอสบังคับให้ทั้งคู่ถือแก้วได้ในที่สุด และพอเจ้าตัวทำท่าชนแก้วกับทั้งคู่แล้วทั้งกชกับก้อยก็หันไปจิบแอลกอฮอล์ในแก้วของตัวเองกันคนละอึก ผ่อนให้อารมณ์เย็นลงกันไป

“โอเค ดีขึ้นไหม” คนกลางถามพร้อมกับหันมองซ้ายขวา ได้แต่บ่นในใจไปว่าไม่น่าเลยกู ไม่น่ายอมมาเป็นเพื่อนไอ้กชเลย น่าจะปล่อยให้พวกแม่งตบตีกันเอง

“เออ”

“ก็ดี” ก้อยว่่า หน้าร้อนขึ้นเพราะซดเหล้าของตัวเองจนหมดรวดเดียว “แต่กูอยากได้อะไรแรงๆ กว่านี้ พี่คะ ขอเมนูหน่อยค่ะ”

“ไอ้ห่า เดี๋ยวก็ได้ตบกับไอ้กชจริงๆ หรอก” พูดพร้อมกับส่ายหน้า หลังจากที่อารมณ์กลับมาคงที่กันอีกครั้ง กชก็พยายามลากเข้าบทสรุปของการนัดพบกันคราวนี้

“ก้อย”

“อะไร”

“เราเข้าใจแล้ว”

“เข้าใจว่า? ”

“เข้าใจว่าแกไม่พอใจมากๆ ที่เราไปคบกับมิว แบบคบจริงๆ ”

ก้อยเงียบ หากสีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นตามที่กชพูด

“ที่เราขอให้บอสเรียกก้อยมาคุยกับเราวันนี้ก็เพราะอยากให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เข้าใจผิด แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้ว สำหรับแก… เราไม่รู้ว่าแกไปอ่านเจออะไรมาเกี่ยวกับมิวนะ แล้วเราก็ไม่สนด้วยว่าแกจะมองมิวว่ายังไง แต่เรารักมิว แล้วเราก็จะไม่เลิกกับมิวเพียงเพราะแกไม่ชอบใจด้วย”

“อ้อ” หญิงสาวมีสีหน้าเจ็บปวด “นี่เหรอสิ่งที่นายอยากจะพูด ที่เรียกฉันออกมาคุยนี่ก็เพราะเรื่องนี้เองเหรอ จบเรื่องแล้วจะแยกย้ายกันเลยไหมล่ะ”

“เฮ้ ใจเย็นก่อนดิ” บอสลอบถอนหายใจเงียบๆ หน้าที่กูอีกที่ต้องมาทำให้สองคนนี้ประนีประนอมกัน “ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เราสามคนก็ไม่ได้รวมกันมาตั้งนาน อยู่ดื่มกันอีกหน่อยดิ ว่าไง ไอ้กช มึงเองก็คิดงั้นใช่ไหม”

กชเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นก่อนจะถอนหายใจยาว ใจจริงน่ะอยากจะรีบกลับห้องไปหามิวมากกว่า แต่เขาไม่อยากทำลายความตั้งใจของบอส อีกอย่าง ยังไงเสียพวกเขาสามคนก็เป็นเพื่อนกันมานาน และถึงก้อยจะไม่ชอบเรื่องที่เขาคบกับมิวหรือรสนิยมทางเพศของเขา แต่ถ้าเจ้าหล่อนไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรหรือพูดอะไรถึงมันอีก เขาก็พร้อมจะให้อภัย

“ก็ได้” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา พอจะคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างตัวเองกับก้อยได้บ้าง “ดีเหมือนกัน นี่แก้วเดียวกูยังกินไม่หมดเลยเนี่ย มึงก็เหมือนกันไอ้บอส แดกช้าเป็นเต่าคลาน”

“เออ ใช่” ก้อยผสมโรงไปด้วย “แต่ไอ้บอสแม่งกินเหล้าไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ แม่ง ทั้งที่หน้าตาออกจะเถื่อน”

“หุบปากเลยพวงมึง” แยกเขี้ยวใส่ด้วยความหงุดหงิด แต่ในใจโล่งขึ้นมากที่ทั้งกชและก้อยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตากัดอย่างเอาเป็นเอาตายอีกแล้ว

ต่อให้สองคนนี้จะมีเรื่องผิดใจกัน ไม่เข้าใจกัน หรือไม่เห็นด้วยซึ่งกันและกัน แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ได้งี่เง่าถึงกับต้องแตกหักกันไปข้าง

เรื่องอะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่อย่างน้อยก็รักษามิตรภาพเอาไว้ อย่างน้อยบอสก็ดีใจที่ทั้งกชและเห็นก้อยยังเห็นคุณค่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามคน







มิวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีในความมืดของห้อง

ชายหนุ่มป่ายมือไปที่หัวเตียงเพื่อหยิบแว่นขึ้นมาสวมตามความเคยชิน หากกรอบตาที่ยังปวดอยู่จากการร้องไห้เมื่อช่วงหัวค่ำทำให้เขามองเห็นอะไรไม่ชัดเจนอยู่ดี

ปวดหัวชะมัด… ว่าแต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย

คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างแว่นขึ้นมากดดูเวลา เกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว นี่เขาเผลอหลับไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน ล่าสุดคือเขาคุยค้างเอาไว้กับพี่แบงค์ ร้องไห้ไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็คลานมานอนก่ายหน้าผากบนเตียงจนผล็อยหลับไป

บางทีเขาควรจะหลับต่อ… แต่รู้สึกเน่าตัวเองมากเพราะยังไม่ได้อาบน้ำเลยเมื่อเย็น ข้าวก็ไม่ได้กิน จะว่าหิวท้องมันก็หิว แต่ปากไม่อยากกินอะไรทั้งสิ้น

มิวนอนเหม่ออยู่ท่ามกลางความมืดอีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง โซเซไปบริเวณครัวเล็กๆ ที่ทั้งเขาและพี่กชไม่ค่อยได้เข้ามาใช้บ่อยนักเพราะติดซื้อข้าวกินมากกว่าจะทำกินเอง

มิวเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำใส่แก้ว พอน้ำไหลผ่านคอแล้วค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ในหัวเขายังเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องที่อ่านเจอในเว็บบอร์ด แม้จะรู้ดีว่าช่วยอะไรไม่ได้แต่เขาก็คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ

บางที… เขาคงทำผิดจริงๆ

มันคงเป็นความผิดแบบที่คำขอโทษไม่ช่วยให้คนให้อภัยเขาได้ บางทีถ้าเขายังคิดจะทำช่องต่อไปก็อาจจะโดนด่าด้วยเรื่องซ้ำๆ วนเวียนต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น

แค่คิดก็โคตรเหนื่อย

“อ๊ะ…” อุทานออกมาเบาๆ เมื่อเท้าเผลอไปเตะเข้าที่มุมโต๊ะ มันคงจะไม่เจ็บมากหรอกถ้าไม่ใช่เพราะนิ้วก้อยไปกระแทกเข้ากับขอบเต็มๆ เล่นเอาเจ้าตัวทรุดลงไปกับพื้น บีบนวดบริเวณที่ชา เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลย รู้งี้เปิดไฟสักหน่อยดีกว่า มืดไปหมดแบบนี้มองอะไรไม่เห็น

หากยังไม่ทันที่มิวจะลุกขึ้นมาจากพื้น เสียงไขกุญแจก็ดังขึ้นมาให้ได้ยินจากนั้นก็ตามด้วยเสียงเปิดประตูห้อง คงเป็นพี่กชนั่นแหละที่กลับมา คืนนี้กลับดึกจัง ต้องไปดื่มกับพวกพี่แก๊ปอีกแน่

เสียงพูดคุยแว่วๆ ที่ดังมาให้ได้ยินทำให้มิวต้องชะงักมือที่กำลังบีบนวดนิ้วเท้าของตัวเองอยู่ทันที

“นี่ กช”

“เฮ้ย! ” เสียงของแฟนเขาดูตกใจ แต่เสียงแรกที่ได้ยินทำให้มิวตกใจกว่าอีก นั่นมัน… เสียงพี่ก้อยไม่ผิดแน่ “ก้อย นี่เธอตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วมาทำอะไร”

“เราอยากมาคุยกับกชให้รู้เรื่อง”

มิวแอบชะโงกหน้าออกไปมองรุ่นพี่ทั้งสองคนอย่างสนใจ แสงไฟจากนอกห้องทำให้มองเห็นใบหน้าแดงก่ำของผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูโดยที่กชยืนกันเอาไว้

“คุยอะไร--- เฮ้ย! ก้อย!? ”

วินาทีนั้นมิวเองก็อยากจะร้องโวยวายบ้างเหมือนกัน ก็แฟนเก่าของแฟนเขาถลาเข้ามากอดกชแน่นเลยนี่นา มิวรู้สึกโกรธจนแทบอยากจะปรี่ไปกระชากพี่กชออก หากวินาทีต่อมาความเจ็บปวดที่อกข้างซ้ายก็เข้ามาแทนที่

พี่กชน่ะ… พี่กชน่ะเป็นของเขาต่างหาก! พี่ก้อยเป็นแค่แฟนเก่า ทำไมถึง---

“ก้อย อย่าดิ” กรกชดึงหญิงสาวที่ยืนยังไม่ตรงออกจากตัวอย่างรวดเร็ว “นี่แกเมามากเกินไปแล้วนะ กลับไปนอนพักก่อน แล้วมีสติเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันดีๆ ”

“กชก็รู้ว่าเรารักกช… รักกชมาก”

โอ้โห จะมีอะไรน่าโมโหและน่าเสียใจไปมากกว่านี้ไหม ถามจริง

“ก้อย อย่าร้อง” แต่ไม่ทันแล้วเพราะหญิงสาวปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง แถมเจ้าหล่อนยังดูไม่มีสติแบบสุดๆ เลยด้วย

“เราขอโทษ กช เราเสียใจจริงๆ ฮึก… กลับมาหาเราเถอะ เราชอบกชจริงๆ นะ เราผิดไปแล้ว ยกโทษให้เราเถอะ”

บอกตามตรงว่าแม้แต่มิวเองยังรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่คนนั้น ลองนึกภาพเป็นเขาที่ต้องเลิกกับพี่กชสิ เขาเองก็อาจจะทำแบบเดียวกับที่เจ้าหล่อนกำลังทำอยู่ก็ได้

แต่… แต่… พี่กชจะไม่ใจอ่อนใช่ไหม? ถึงยังไงตอนนี้พี่กชก็คบอยู่กับเขา พี่กชคงไม่ใจอ่อน ทิ้งเขาแล้วกลับไปคบกับพี่ก้อยหรอกใช่ไหม?

ให้ตาย… เขากลัว กลัวจนไม่กล้าขยับตัวแล้ว ไม่อยากคิดถึงอะไรที่เลวร้ายขนาดนั้น

“นี่ ฟังเรานะ” กรกชว่าพร้อมกับบีบบ่าแฟนเก่าของตัวเองแน่น มองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “เราขอโทษ เราขอโทษที่ตอนนั้นเราดูแลก้อยไม่ดี ขอโทษที่ทำให้ก้อยเสียใจ ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้”

มิวยกมือขึ้นมาปิดหูอย่างเผลอตัว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้ยินที่พี่กชพูดทุกคำ

“แต่เรากลับไปคบกับก้อยไม่ได้แล้ว เราไม่ได้ชอบก้อยแล้ว”

คนที่ยังซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้ยินเสียงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้น

“เรารักมิว… เรารักรูมเมทของเราจริงๆ เรารู้ว่าก้อยไม่ชอบใจเรื่องนี้ แต่นี่เป็นเรื่องของเรากับมิว ส่วนเรื่องของเรากับก้อย… ก้อยเลิกคิดเถอะ มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว”

“กช…”

“เราขอโทษ”

มิวไม่รู้ว่าหลังจากนั้นหญิงสาวคนนั้นพูดว่าอะไร เขาไม่ได้รับฟังคำพูดต่อจากนั้น สิ่งที่ค้างอยู่ในหัวเขาคือคำพูดและน้ำเสียงหนักแน่นของพี่กช

พี่กชรักเขา… พี่กชเลือกเขา

แม้ว่ามิวจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่การได้ยินคำพูดที่มั่นคงขนาดนั้นก็ทำให้เขาอดดีใจไม่ได้

“เราจะโทรบอกให้เจนมารับก้อยนะ เมาแบบนี้กลับคนเดียวอันตราย”

แล้วเสียงทั้งหมดก็หายไปครู่หนึ่งเพราะทั้งคู่เดินออกจากห้องไป มิวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากพื้นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กรกชเดินกลับเข้ามาในห้องอีกรอบพอดี ชายหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อกดสวิตช์ไฟปุ๊บก็เห็นร่างของรุ่นน้องปั๊บ เขาปิดประตูห้องแล้วลงกลอนอย่างรวดเร็วก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหามิวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เอ่อ เห็นหมดเลยเหรอ? ”

“ครับ”

กชรีบตรงเข้าไปดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมแน่น เขากำลังกลัวว่ามิวจะคิดมากเรื่องที่ก้อยกอดเขาเมื่อครู่

“พี่ไม่ได้ตั้งใจนะมิว”

“ผมรู้แล้วครับ”

“โกรธพี่รึเปล่า”

คนใส่แว่นคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เป็นคำตอบ

“ผมจะโกรธคนที่บอกว่ารักผมเลือกผมทำไมล่ะ”

กรกชสวมกอดคนตัวเล็กกว่าทันที





--------------------------------------------
Talk: ค่อยๆ แก้กันไปทีละปัญหาเนอะ ^^

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
น้องมิวโอ๋ๆนะลูก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เฮ้อออ ไม่รู้ว่าก้อยจะยอมจบง่ายๆไหม

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ก้อยนี่หน้าด้านเนอะ โทษแต่คนอื่น ไม่ดูความผิดของตัวเอง =_=

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
กอดน้องมิววว

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ก้อยนี่หน้าหนาหน้าทน ไม่ีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือว่าหลอกตัวเองอยู่ว่าตัวไม่ผิด ลอยหน้าลอยตาพูดได้ไงวะนั่น เหอๆ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 23




หลังจากวันที่พี่ก้อยตามพี่กชมาถึงห้องวันนั้น นี่ก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว

พี่กชเล่าให้ฟังว่าพี่ก้อยส่งข้อความมาขอโทษหลังจากนั้น แถมเจ้าตัวยังฝากคำขอโทษมาถึงผมด้วย ผมถามพี่กชกลับไปว่าพี่ก้อยขอโทษเรื่องอะไร พี่กชเลยเล่าให้ฟังว่าพี่ก้อยเอาเรื่องผมกับเขาไปโพสท์ในเฟซบุ๊คในทางที่ไม่ดีเท่าไร แต่เห็นว่าพี่ก้อยจะลบโพสที่ว่าทิ้งไปแล้ว

ฟังเรื่องนั้นผมก็พยักหน้ารับ ไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ก้อยจะเอาไประบายแบบนั้น ก็ขนาดต่อหน้าผมพี่แกยังแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน ถึงตอนนี้ก็อาจจะยังไม่พอใจอยู่ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาไม่ได้ระรานหรือออกตัวแรงอะไรมากกว่านั้น ผมก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองเหมือนกัน

“แต่ก้อยนี่แม่งไม่ไหวจริงๆ ให้ตายเถอะ สนิทกันมาตั้งนาน ไม่คิดเลยจะมาแตกเอาเพราะเรื่องแค่นี้”

“แตกเหรอครับ? ” ผมเอียงคอถามอย่างงงๆ ก็เห็นยังคุยกันดีอยู่นี่ เพื่อนในเฟซบุ๊คอะไรก็ยังเป็นเหมือนเดิม

“อืม ก็อาจจะไม่ถึงกับแตกหัก” พี่กชยอมรับ “แต่ก็ไม่รู้สึกสนิทใจกันเหมือนเดิมแล้วล่ะ ทั้งตัวพี่แล้วก็ก้อยเอง”

อืม… กับพี่กชน่ะอาจจะใช่ แต่กับพี่ก้อยนี่ไม่ค่อยแน่ใจแฮะ เห็นวันก่อนยังเมาจนมาขอคืนดีกับพี่กชอยู่เลย

แต่อย่างที่ผมบอกว่าถ้าตัวเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมก็จะถือว่าไม่ใช่เรื่องของผม อีกอย่างพี่กชเองก็ชัดเจนมากแล้วว่าเลือกผม แล้วผมจะไปกลัวเรื่องเขากับแฟนเก่าเขาทำไมกันล่ะ

เรื่องที่ทำให้ผมคิดหนักแล้วก็กลุ้มใจพอสมควรช่วงนี้คือเรื่องในเว็บบอร์ดนั่นมากกว่า แน่นอนว่าหลังจากที่ในนั้นถกกันเรื่องของผมจนสาแก่ใจแล้วทุกคนก็หันไปพูดกันถึงดราม่าเรื่องอื่นต่อไป แต่สิ่งที่ผมได้อ่านมาด้านในก็ยังติดค้างในใจอยู่ดี และผมเชื่อว่าคงลบออกจากหัวไม่ได้ง่ายๆ แน่

ผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่กชอยู่เหมือนกัน พี่แกเองก็ช่วยปลอบพร้อมกับย้ำมาว่าไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ แต่แน่นอนล่ะว่าพี่กชหรือว่าใครก็ตามก็ช่วยมากกว่านี้ไม่ได้ เว็บบอร์ดนั่นไม่ได้แสดงตัวตนว่าใครเป็นใคร และว่ากันตามตรง ผมเองก็ไม่อยากจะรู้นักหรอก อยากจะลืมๆ ไม่คิดถึงมันตามที่พี่กชแนะนำเหมือนกัน แต่ลองโดนด่าเละขนาดนั้น การจะไม่เก็บเอามาคิดเลยก็ทำไม่ไหว

“มิว” พี่กชเรียกผมที่เดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับไอ้เก่ง ดูเหมือนเขาจะขี่มอเตอร์ไซค์มารอรับผมสินะ ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้แท้ๆ “หลังจากนี้ติดธุระอะไรไหม ไปกินข้าวในห้างด้วยกันเถอะ”

“ทำไมไม่ไลน์มาถามก่อนล่ะครับว่าผมจะติดธุระหรือเปล่า”

“ก็ถ้ามิวติดธุระอะไร พี่ก็รอได้”

“ทำเป็นพูดดี” ผมตอบกลับยิ้ม ส่วนไอ้เก่งที่รู้บทรีบขอตัวไปอีกทางอย่างรวดเร็ว “แล้วพี่ไม่มีเรียนเหรอครับ มาดักรอกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าโดดเรียนมานา”

“มีคาบสุดท้าย” เขาว่าพร้อมกับยื่นกันน็อกให้ “พอมีเวลาไปเที่ยวเล่นกับมิวก่อน มาเถอะครับคุณแฟน พี่อยากไปเดินเล่นห้างเย็นๆ เต็มแก่แล้ว”

อย่างหนึ่งที่ผมชอบมากในตัวพี่กชก็คือความเสมอต้นเสมอปลายของเขา พี่กชมักจะพยายามใช้เวลาว่างที่เราสองคนมีตรงกันทำกิจกรรมอะไรกันสักอย่าง อย่างวันนี้เขาก็พาผมมากินข้าว จบของคาวก็ต่อด้วยของหวานที่ร้านที่ผมขอ และตอนนี้ผมก็กำลังมีความสุขอยู่กับบิงซูราดซอสสตรอว์เบอร์รี่ร้านดังที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ที่เขาว่ากันว่าของหวานทำให้คนมีความสุขนี่เรื่องจริงสินะ

"หน้าบานเชียวนะ มิว" คนตรงหน้าผมว่าพร้อมกับส่งยิ้มที่คงทำให้ผู้หญิงทุกคนละลายได้มาให้ ผมยิ้มตอบเขา ตักน้ำแข็งไสนุ่มเข้าปากอีกคำ

"แน่นอนสิพี่ กินของอร่อยก็ต้องมีความสุขดิ พี่เหอะ ทำไมไม่กินอีกอ่ะ พอแล้วเหรอ ถ้าพี่กชกินช้า ผมกินหมดก่อนไม่รู้ด้วยนะ" ที่พูดงี้เพราะพวกเรากินถ้วยเดียวกันครับ โรแมนติกหวานแหววซะไม่มี แต่ขอโทษเถอะ เล่นมาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ กินคนละถ้วยก็ดูจะกระเพาะหลุมดำเกินไปนิด

"พี่ยังอิ่มจากไก่ทอดเมื่อกี้อยู่เลยอะ อีกอย่างเห็นมิวกินมีความสุขขนาดนี้ ใครจะไปอยากแย่ง"

"อ้าว กลายเป็นผมผิดไปซะงั้น" ผมใช้ช้อนเขี่ยเศษน้ำแข็งที่ทำท่าจะร่วงจากถ้วยเข้าปาก "กินด้วยกันดิพี่ ไม่พอค่อยไปหาอะไรเพิ่มก็ได้ ผมจ่ายเอง"

"ใจดีจังน้า" เขาว่ เลื่อนมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ อย่างที่ชอบทำ ที่แย่กว่าคือผมชักจะชินแล้วนี่สิ

"ใจดีอะไรเล่า ก็ผลัดๆ กันเลี้ยงสิครับ" ผมว่า ไม่อยากบอกว่าคนที่ออกค่าใช้จ่ายของเราสองคนมากกว่าคือพี่กช รายนี้ไม่รู้พ่อแม่ให้เงินมาใช้ยังไง แต่ไม่เห็นเคยมีปัญหาเงินช็อตแบบที่ผมหรือคนอื่นๆ เป็นช่วงสิ้นเดือนให้เห็นเลย

"แต่ยิ้มได้แบบนี้แสดงว่าเริ่มดีขึ้นแล้วใช่ไหม" น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนนั่นทำให้ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง แปลว่าพี่กชคอยสังเกตผมอยู่เหมือนกันสินะ การที่มีใครสักคนเป็นห่วงเรามันให้ความรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

"ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ" ผมยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดเสริมไปว่าจริงๆ แล้วก็ยังอึดอัดอยู่นิดหน่อย แต่มาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มทำใจได้แล้วเพราะสิ่งที่ทุกคนด่าผมกันนั่นเป็นสิ่งที่ผมทำผิดจริงส่วนหนึ่ง ส่วนอะไรที่มันไม่จริงหรืออะไรที่ใส่ไข่เข้าไปเพิ่มเติมผมก็ได้แต่ปลง ผมไม่ได้ลงคลิปถี่เท่าไรช่วงนี้เพราะยังรู้สึกว่าจิตใจไม่พร้อม แต่พอผมลงทีหนึ่งก็ยังมีคนคอยตามดู คอยให้กำลังใจ ผมว่าแค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอให้ผมทำคลิปต่อแล้วนะ

"ดีแล้วล่ะ" พูดพร้อมกับยีหัวผมแรงๆ "อะไรที่คิดแล้วเครียดก็อย่าไปคิดมัน ปล่อยๆ มันไป"

ผมว่านั่นน่าจะเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของพี่แกเลยล่ะ







ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่พี่กชพูดหรอกนะ ถ้าเลือกได้ผมเองก็ไม่อยากเก็บเอาเรื่องไม่สบายใจมานั่งคิดให้ปวดหัวเล่นหรอก แต่บางเรื่องมันก็ยากเกินจะห้ามไหวเหมือนกันนะ

"เฮ้อ..." ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะที่มองรูปถ่ายที่พี่กชไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองเมื่อวาน เขาบอกผมล่วงหน้าตั้งนานแล้วว่ามีนัดกับเพื่อนกลุ่มนี้ ผมเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่การที่มีพี่ก้อยอยู่ด้วยในกลุ่มที่ว่านี่เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงมาก แล้วมันก็ทำให้ผมแอบนึกเสียใจหน่อยๆ ที่ยอมให้เขาไปง่ายๆ

"ขอโทษนะมิว" พี่กชโทรมาสารภาพตั้งแต่เมื่อวานก่อนที่ผมจะเห็นรูปที่ว่านี่แล้ว "ไม่นึกว่าก้อยจะมารอบนี้ด้วย จะถอนตัวก็ไม่ทันแล้ว มิวไม่โกรธพี่นะ"

ความรู้สึกแรกหลังจากที่ผมได้ยินคือใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ภาพที่พี่ก้อยกอดพี่กชโผล่ขึ้นมาเป็นอย่างแรกในหัว แทบอยากจะขอให้พี่กชแยกวงกับเพื่อนๆ เดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็รู้ดีว่าถ้าพูดแบบนั้นไปพี่กชต้องลำบากใจแน่ ก็ก่อนหน้าที่เขาจะไปเขาเล่าให้ผมฟังว่าตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วผมมีสิทธิ์อะไรจะไปทำลายความตั้งใจของเขากันล่ะ

อีกอย่าง ยังไงซะพี่กชเองก็เลือกผม ผมควรจะเชื่อมั่นในตัวเขา มั่นใจในตัวเขา ไม่ใช่มามั่วนั่งระแวงแล้วก็คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้

ที่สำคัญก็คือผมเองก็มีนัดเหมือนกัน ผมกับพวกพี่แอมป์จะไปทานข้าวกันในเมือง ส่วนพี่กชเองบอกจะอยู่ที่บ้าน เห็นว่าจะกลับมาที่หอเย็นๆ เพราะงั้นผมไม่ควรมานั่งใจเสียเรื่องไม่เป็นเรื่องสิ หาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่า

"มิว" เสียงของคนข้างตัวเรียก จากนั้นก็ตามมาด้วยการสะบัดมือหย็อยๆ ที่แทบจะกระแทกหน้าผม "มิวสไลม์ ให้ตายเถอะ นายนี่ชอบเหม่ออยู่เรื่อยเลยนะ"

"พี่แอมป์" ผมกะพริบตาปริบๆ มองรุ่นพี่ข้างตัวที่ส่งยิ้มมาให้ "เอ่อ โทษทีครับพี่ พอดีมีเรื่องคิดนิดหน่อยน่ะ"

ตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง เนื่องจากในกลุ่มที่มากินข้าวด้วยกันมีผู้หญิงอยู่ด้วย และตอนนี้พวกหล่อนก็กำลังเลือกซื้อข้าวของอย่างเมามัน

"คิดมากเรื่องในบอร์ดนั่นรึเปล่า" พี่แบงค์ที่กำลังทาบเสื้อสีส้มลงบนลำตัวเอ่ยถาม "ถ้าใช่ก็ปล่อยพวกแม่งไปเหอะ เอาเวลาไปคิดเรื่องเกมดีกว่า"

"แบงค์ นายคงไม่คิดจะซื้อเสื้อตัวนี้จริงๆ ใช่ไหม" พี่แอมป์ว่าพร้อมกับตีหน้าแหย "มันส้มไปหน่อยนะเพื่อน คือสะท้อนแสบตามาก แต่ถ้าอยากเด่นด้วยวิธีนี้ก็ไม่ว่าอะไรนะ"

"บ้าเหรอ ไอ้แอมป์ ใครจะไปใส่วะ" คนที่ลองเอาเสื้อทาบตัวว่าเสียอย่างนั้น "แค่อยากดูว่าไอ้เสื้อเห่ยๆ แบบนี้มันจะดูดีได้ยังไง บอกตามตรง ขนาดมีหน้าอย่างผมนี่ยังไม่ทำให้เสื้อนี่ดูดีได้"

"โอ้โห ช่างกล้า" พี่แอมป์ว่าพร้อมกับหัวเราะก๊าก จากนั้นก็หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ว่าแต่มิวคิดมากเรื่องนั้นอยู่เหรอ ถ้าใช่พี่ก็เห็นด้วยกับไอ้แบงค์นะ ปล่อยแม่งเหอะ"

"อ้อ ก็ไม่เชิงนะพี่" ผมว่า เริ่มหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมามองๆ พลิกๆ ดู "คือเรื่องนั้นมันก็มีส่วนนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดมากเรื่องอื่นอยู่มากกว่า"

"เรื่องอะไรล่ะ"

ถึงตรงนี้ผมก็ถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง "พี่คิดยังไงถ้าแฟนพี่ยังเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าอยู่"

"หืม" พี่แบงค์ลากเสียงยาว คราวนี้เปลี่ยนมาหยิบหมวกขึ้นลองสวมแทน "เรื่องความสัมพันธ์นี่เอง"

"พี่เฉยๆ นะ" พี่แอมป์แสดงความเห็น "แฟนพี่ก็เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าอยู่ เห็นยังคุยกันอยู่บ้างเหมือนกัน"

"แล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ" ผมถามกลับ บางทีผมอาจจะเป็นคนใจแคบเองจริงๆ ก็ได้ แค่เห็นพี่กชยังเป็นเพื่อนอยู่กับพี่ก้อยก็ไม่ชอบใจแล้ว

"ก็ไม่นะ นอกจากว่าจะสนิทกันเกินความจำเป็น แต่ก็มีหึงนิดหนึ่งแหละ"

"แอมป์ใจกว้างว่ะ" พี่แบงค์เบ้หน้า วางหมวกคืนบนชั้นตามเดิม "เป็นเราคงไม่ยอมแน่ เรื่องอะไรไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า จบแล้วก็ให้มันจบกันไปดิ"

"นี่ก็ใจแคบไปไหม ว่าแต่มิวกังวลเรื่องนี้เหรอ พี่กชของมิวนี่เขาสนิทกับแฟนเก่าหรือยังไง? "

"เอ่อ ก็ไม่เชิงครับ" ผมอ้ำอึ้ง "จะว่าไงดี เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนเขาสองคนเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนน่ะ แต่ตอนนี้ก็อาจจะไม่สนิทกันเหมือนเดิมแล้วมั้ง แต่ผมก็ไม่แน่ใจอยู่ดี"

"แบบนั้นก็ไม่โอเคดิ อันตรายนะนั่น" พี่แบงค์ว่า "เกิดถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาจะทำยังไง"

"ไอ้แบงค์" พี่แอมป์เอ็ดทันทีเมื่อเห็นว่าผมหน้าเสียไป "พูดจาให้เขาแตกหักกันทำไมเนี่ย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะมิว อย่าไปฟังไอ้บ้านี่"

“ของแบบนี้ใครจะไปรู้” พูดพร้อมกับยักไหล่ "แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้รึเปล่า ถ้าคบกันแล้วไม่สบายใจจะไปคบทำไม ถูกไหม"

"ที่แบงค์พูดก็มีส่วนถูกนะ" พี่แอมป์เห็นด้วย "ถ้ามิวไม่สบายใจก็คุยกับแฟนตรงๆ ดีกว่านะ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกตรงๆ แล้วถ้าเขาทำให้มิวสบายใจไม่ได้พี่ว่าทั้งคู่ก็น่าจะปรับความเข้าใจกันนะ"

เราสามคนไม่ได้ถกอะไรกันต่อเพราะเพื่อนของพี่แบงค์กับแฟนของพี่แอมป์กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ผมเก็บเรื่องที่รุ่นพี่ทั้งสองคนแนะนำไว้มาคิดตลอดทาง

ผมอาจจะเป็นคนใจแคบอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้ แต่ถ้าผมไม่พูดอะไรเลยพี่กชก็คงไม่มีทางรู้ว่าผมไม่สบายใจเรื่องเขากับพี่ก้อยเท่าไร ผมเคยโดนพี่ก้อยพูดใส่หน้าตรงๆ ในเรื่องที่ค่อนข้างแย่ ผมไม่ได้เล่าให้พี่กชฟังเพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ แต่มาคิดดูอีกทีถ้าผมไม่เล่าแล้วกลายเป็นตัวเองไม่สบายใจซะแทนมันก็คงไม่มีความหมายอะไร

อีกอย่าง ยังไงพี่กชก็เป็นแฟนผมไม่ใช่เหรอ ถ้าเรามีเรื่องที่ไม่สบายใจก็ควรปรึกษากันใช่ไหม ไม่งั้นเราจะคบกันไปทำไมล่ะ?

วันนี้พี่แอมป์กับแฟนแยกตัวออกจากกลุ่มไปก่อนในช่วงบ่ายตามที่บอกไว้ก่อนล่วงหน้า เห็นเจ้าตัวบอกมีธุระกับที่บ้าน ส่วนผมกับกลุ่มของพี่แบงค์ตั้งใจจะไปทำอย่างอื่นกันต่อ พี่แบงค์ชวนผมไว้ตั้งแต่ตอนนัดแล้วว่าเราน่าจะอัดวิดีโอด้วยกันเพื่อเซอร์วิสแฟนๆ แต่เอาจริงๆ ผมแทบไม่มีสมาธิเลย ยิ่งได้พูดเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาความไม่สบายใจยิ่งแสดงออกให้เห็นชัดเจน สรุปว่าผมไม่โอเคจริงๆ สินะที่พี่กชกับพี่ก้อยยังเป็นเพื่อนสนิทกัน คือบางทีถ้าเขาเป็นแค่เพื่อนห่างๆ ผมคงไม่อาการหนักถึงขนาดนี้

และเพราะเอาแต่กังวลเรื่องตัวเอง หมกมุ่นกับเรื่องอื่นจนใจลอย ตอนที่เพื่อนคนหนึ่งของพี่แบงค์เริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอัดคลิป ใจผมจึงแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย

จนกระทั่งบรรยากาศรอบตัวมันเปลี่ยนไปนั่นแหละ

"นี่ มิวสไลม์ ถามอะไรหน่อยดิ" พี่แบงค์พูดหลังจากที่เปิดคลิปด้วยการชวนผมคุยเล่นสองสามประโยค ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงเพราะพี่แบงค์สาวเท้าเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น "ถ้าเพื่อเรียกคนดูเนี่ย นายจะทำตัวทุเรศได้ถึงขั้นไหนเหรอ"

"หา? " สารภาพตามตรงว่าผมตั้งตัวไม่ทันเลย คือมันงงๆ แต่แค่เห็นเพื่อนพี่แบงค์ล้อมกรอบเข้ามาเหมือนเตรียมกันไม่ให้ผมหนี ผมก็ชักเห็นชะตากรรมของตัวเองรำไร "เดี๋ยวครับ พี่แบงค์ ผมไม่เข้าใจ---"

บ้าฉิบ พอมาลองดูรอบตัวตอนนี้ก็เข้าใจเลยว่าทำไมพี่แบงค์ถึงลากผมมาใต้โถงตึกที่ร้างซึ่งผู้คน ตอนแรกก็คิดว่าจะได้อัดวิดีโอง่ายๆ ไม่มีเสียงรบกวน แต่ตอนนี้เหมือนผมจะเข้าใจผิดไปโข แล้วพวกเขามีกันตั้งสี่คนแบบนี้ผมจะเอาตัวรอดไปได้ยังไงเนี่ย

"ไม่เข้าใจอะไรเหรอ พ่อคนดัง" ชายหนุ่มตรงหน้าแสยะยิ้ม กระชากคอเสื้อผมขึ้นไปอย่างหาเรื่องเต็มที่ "แปลกนะ ทั้งๆ ที่ตอนคิดเพิ่มยอดคนดูออกจะฉลาด สรรหาวิธีนั้นวิธีนี้มาได้ตั้งเยอะ ไหนจะแกล้งคบกับผู้ชายบ้าง เกาะคนดังอย่างไอ้แอมป์บ้าง ไอ้หมอนั่นก็โง่ให้นายหลอกใช้อยู่ได้"

"ผมไม่ได้---" แต่คำพูดผมหายไปแค่นั้นเพราะหมัดหนักๆ ที่กระแทกลงมาบนหน้าท้อง ผมงอตัวลงไปด้วยความเจ็บปวด บริเวณที่โดนต่อยชาไปหมด

"โทษทีว่ะ สไลม์ แต่พอดีกูไม่ได้ใจกว้างแบบไอ้แอมป์" อีกฝ่ายไม่ยอมให้ผมพักหายเจ็บ เขากระชากคอเสื้อผมพร้อมกับตั้งท่าง้างหมัดอีกรอบ "แล้วก็จะบอกอะไรให้... ไอ้คนที่เริ่มด่านายขึ้นมาบนบอร์ดนั่นน่ะ เป็นกูเองแหละ"

จากนั้นแว่นผมก็กระเด็นไปอยู่บนพื้น







แนทขุดตัวออกจากเตียงได้ในที่สุดหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ มาแทบทั้งวัน ชายหนุ่มเดินออกจากหอเพื่อตั้งใจไปซื้อน้ำดื่มแถวร้านที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องตัวเองนัก

"อ้าว ไง" พี่ร้านคนขายเอ่ยทักอย่างคุ้นหน้าคุ้นตา "วันนี้กินอะไรดี สตรอว์เบอร์รี่ปั่นไหม หรือว่าชาเขียว"

"อืม" คนใส่แว่นครางในลำคออย่างครุ่นคิด ตอนแรกก็ว่าจะซื้อโค้กจากร้านสะดวกซื้ออยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็เดินลงมาแล้วก็อยากกินอะไรที่มีสาระกว่าน้ำอัดลม แต่ตัวเลือกมากมายก็ทำให้เขาสับสนอยู่เหมือนกัน

"เอาน้ำมะพร้าวปั่นแล้วกันครับ/น้ำมะพร้าวปั่นแก้วหนึ่งพี่"

เจ้าของเสียงสองเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ทั้งคู่ต่างหันไปมองกันเอง แนทอ้าปากค้างทันทีเมื่อเห็นบอสยืนอยู่ตรงหน้า

"เออดี งั้นเดี๋ยวทำให้พร้อมกันเลย" คนขายน้ำสบายแฮไป ส่วนคู่อริสองคนเริ่มขมวดคิ้วใส่กัน

"ทำไมต้องสั่งเหมือนกันด้วยวะ คิดเองไม่เป็นเหรอ" สุนัขตัวแรกออกจากปากคนอายุมากกว่าก่อน แนทรู้สึกเหมือนนิ้วกลางกระตุก

"นั่นมันคำพูดของทางนี้รึเปล่าพี่ ไม่เห็นรึไงว่าผมมายืนอยู่หน้าร้านก่อน"

"จะไปรู้เหรอ ก็เห็นยืนบื้ออยู่ตั้งนานไม่สั่ง ต้องรอให้คนอื่นมาจุดประกายความคิดให้"

"โห แค่สั่งน้ำเหมือนกันแค่นี้" แนทที่กำลังจะฟาดฝีปากกลับเงียบลงเพราะเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยที่เดินมาจากระยะไกล "อ้าว นั่นมันมิวรึเปล่าน่ะ สงสัยเพิ่งกลับมาจากข้างนอก"

"ไหน" บอสรีบหันกลับไปดูทันที และเมื่อร่างนั้นเดินใกล้เข้ามาทั้งคู่ก็แทบร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกัน แนทที่ได้สติก่อนถลาเข้าไปหาเพื่อนของตัวเองอย่างรวดเร็ว

"ไอ้มิว" แนทเรียกเพื่อนอย่างตกใจ มิวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเพราะต้องเพ่งสายตา เนื่องจากแว่นที่ใส่ประจำหักไปนอนอยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยแล้ว "เหี้ย! มิว ทำไมสภาพเป็นงี้วะ ใครทำแกเนี่ย"

"อ้อ เนี่ยน่ะเหรอ" มิวยกยิ้มนิดๆ อย่างรู้ตัวดีว่าหน้าตัวเองคงเขียวไปข้าง เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ สายตาหลายคู่หันมามองเขาตลอดทางที่เดินทางกลับมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพเหมือนคนโดนรุมยำมามากแค่ไหน

ก็นะ จะทำไงได้ล่ะ ก็เขาโดนรุมยำมาจริงๆ

"พอดีมีเรื่องมานิดหน่อยน่ะ" มิวตอบกลับไปอย่างสงบ หรือพูดให้ถูกคือไม่มีแรงจะตอบได้ดีกว่านี้มากกว่า

"ห่า แบบนี้มันไม่นิดหน่อยแล้ว"

"มิว! " คนตกใจคนต่อมาคือบอส "เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ไปซ่าที่ไหนมา"

มิวไม่ตอบ เพราะขนาดกับแนทที่เขาสนิทด้วยเขายังไม่อยากเล่า นับประสาอะไรกับคนที่เขาไม่สนิทใจด้วย แนทพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"เอาไว้คุยกันทีหลังเหอะ ขึ้นไปทำแผลก่อน มิว ห้องนายมีพวกยาทำแผลไรงี้เปล่า ให้เราไปซื้อมาให้ไหม"

"พี่ไปซื้อเอง" บอสขัดขึ้นพร้อมกับเริ่มออกคำสั่ง "แนท พาเพื่อนไปที่ห้องก่อน ไม่รู้ไอ้กชมันกลับหอรึยัง ฝากมิวด้วย เดี๋ยวรีบตามไป"

"ครับ" แนทรับคำ ท่าทีจริงจังของทั้งสองคนทำให้มิวนึกขำขึ้นมา แต่ความห่วงใยจากคนทั้งคู่ก็ช่วยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

แนทพาเพื่อนขึ้นห้องพร้อมกับเจ้ากี้เจ้าการเอากุญแจมาจากอีกฝ่ายไขประตูเปิดให้ เจ้าของห้องอีกคนที่เหมือนจะเพิ่งกลับมาเหมือนกันหันมามองผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

"มิวมิว กลับมาแล้วเหรอ พี่ซื้อของมาฝาก---" หากเสียงเริงร่าของเจ้าตัวก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นสภาพยับเยินของแฟนตัวเอง นัยน์ตาสีช็อกโกแลตที่ฉายแววยียวนและอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจเย็นวูบขึ้นมาทันที แม้แต่แนทที่ไม่ค่อยสนิทกับกชก็ยังรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปของร่างสูงได้ "ใครทำ? "

"เอ่อ วันนี้ผมนัดกับพวกพี่แอมป์แล้วก็พี่แบงค์" มิวพยายามเรียบเรียงประโยค แนทดันเพื่อนไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม

"พวกนั้นทำมิวเหรอ" เสียงของคนเป็นรุ่นพี่เย็นเยือกจนคนฟังเสียวสันหลังตาม มิวไม่เคยเห็นกชเป็นแบบนี้มาก่อนแต่เขาก็พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายต่อ

"เปล่าครับ คือ... พี่แอมป์ไม่ได้ทำ แต่พวกพี่แบงค์---" เสียงของมิวหายไปเพราะเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น บอสเดินเข้ามาพร้อมกับถุงยาในมือ เขาส่งให้กชอย่างรู้งานทันที

"เล่าต่อสิมิว" กรกชพูดเสียงเรียบ เริ่มหยิบของออกมาจากถุงทีละชิ้น คนที่คบกับกชมานานที่สุดอย่างบอสรู้ทันทีเลยว่าเพื่อนเขากำลังโกรธจัด

"ก็... พูดง่ายๆ ก็พี่แบงค์นั่นแหละครับที่ทำ เขาขอให้เพื่อนเขามาช่วยรุมยำผม เขาไม่พอใจที่ผมทำตัวเด่นดังเท่าไรน่ะ"

"บ้าแล้ว" แนทโวยวายขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก มิวส่งแว่นตาหักๆ ของตัวเองให้เพื่อน นั่นยิ่งทำให้อีกสามคนในห้องอารมณ์ขึ้นกันไปใหญ่ "แกดังแล้วแม่งเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยวะ แบบนี้เขาต้องไปซ้อมดาราหรือนักร้องทุกคนที่ดังกว่าตัวเองหรือไง"

"เขาบอกว่าเราเกาะพี่แอมป์ดังน่ะ" มิวยิ้มฝืนๆ "แล้วก็ไม่พอใจที่เราคบพี่กชสร้างกระแส"

"ก็จริงของเขานะ" บอสที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือเงยหน้าขึ้นมาซ้ำเติมทันที "ตอนนั้นพี่ก็เคยพูดเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย ไอ้แกล้งคบกันเพื่อเรียกคนดูเนี่ย"

"นี่! " แนทตะโกนอย่างหัวเสีย ส่วนกรกชเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนด้วยสายตาเอาเรื่อง

"ไอ้บอส"

"อะไร"

"มานี่ดิ๊"

เพิ่งรู้ตัวว่าทำให้เพื่อนโกรธก็ตอนมันทำเสียงเย็นใส่นี่แหละ บอสวางมือถือลงบนโต๊ะก่อนจะตามกชออกไปนอกห้อง แนทถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะสำรวจหน้าเพื่อน

"เดี๋ยวเราไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเลือดให้ก่อนดีกว่า มิว เราเอาผ้าจากไหนได้บ้าง อยู่ในตู้นี้ไหม"

แนทจัดการเอาผ้าชุบน้ำแล้วส่งให้เพื่อนเพราะมิวยืนยันว่าจะเช็ดเอง เขาได้ยินเสียงแว่วๆ จากด้านนอกที่กรกชกำลังบอกเพื่อนว่าไม่ใช่เวลามาดุมิวตอนนี้ แนทเหลือบมองมิวที่เริ่มกดมือถือด้วยสายตาเหม่อลอย แล้วเขาก็คงไม่สนใจโทรศัพท์ของบอสที่วางอยู่บนโต๊ะหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีข้อความจากใครบางคนเด้งขึ้นมา





SlimeSmileS: งือ ขอบคุณที่ทักมานะ มังกร

SlimeSmileS: วันนี้คงไม่ได้ลงคลิปอะ เพิ่งไปมีเรื่องมา

SlimeSmileS: 55555





แนทชะงักไปด้วยความตกตะลึงทันที เขารู้เรื่องน้องมังกรที่เป็นแฟนคลับของมิวเพราะเจ้าตัวเคยเล่าให้ฟัง เห็นมิวปลื้มนักปลื้มหนากับการติดตามอย่างเหนียวแน่นของแฟนคลับคนนี้

แต่... นี่มันโทรศัพท์ของพี่บอสไม่ใช่หรือไง?

อย่าบอกนะว่า…







-----------------------------------------
Talk: หายหน้าหายตาไปหลายวัน แง ขออภัยด้วยนะคะ สำหรับคนที่ตามเราทางเพจอาจจะรู้ว่าช่วงนี้เราเฟลนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเฟลแล้วค่ะ เดดไลน์จ่อตูดมาแล้ว ต้องกลับมาปั่นนิยายต่ออย่างบ้าคลั่ง (ฮา)

เราได้อ่านคอมเม้นท์ของหลายคน เราอาจจะไม่ได้คอมเม้นท์ตอบกลับแต่เราพูดเลยว่าอ่านทุกเม้นท์จากทุกเว็บเลยล่ะค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นทุกคำติชมที่ส่งกันเข้ามานะคะ เราอาจจะเขียนจุดไหนไม่ถูกใจใครหลายคนไปบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้เพิกเฉยกับความเห็นของทุกคนนะ แต่เราขอโอกาสให้เราเขียนนิยายเรื่องนี้ให้จบสมบูรณ์ก่อน ในส่วนที่เราพลาดหรือขาดตกบกพร่องอะไรเราจะนำไปแก้ไขปรับปรุงตอนรีไรท์นะคะ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันตรงนี้

แล้วเจอกันตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แบงค์กับเพื่อนมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายร่างกายมิวอ่ะ มิวอย่าไปยอมนะ เอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย แจุงตำรวจไปเลย
ความลับน้องมังกรแตกแล้วล่ะสิ

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เป็นกำลังใจให้คนเขียนหายเฟลนะคะ ส่งพลังให้ๆ

ส่วนมิว มิวจะตีเบลอช่างแม่งเรื่องนี้ไม่ได้นะลูกกก หนูต้องสู้นะ ถึงพี่กชเขาจะไฝว้ให้ แต่หนูก็ต้องซัดกลับไปบ้างนะ
ส่วนพี่บอส ปากร้ายแต่ใจดีเนี่ยคนอ่านเข้าใจ แต่น้องยังไม่รู้นะ เพลาๆกับน้องหน่อยนะช่วงนี้

ขอบคุณสำหรับตอนนี้
จะรอตอนต่อไปนะค้าาาา
 :katai2-1:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เกลียดขนาดลงไม้ลงมือนี่ก็ไม่ไหวนะ สงสารมิวมากเลยอ่ะ ฮืออ น้องงง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องมิวลูกกกก
แจ้งความเลยลูก
มันไม่ใช่ละแบบนี้
แค่ไม่พอใจมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายกัน  :katai4:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
แบงค์มากไปละ ทำเกินไปจริงๆ  สงสารน้องมิวมิว ยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย มารอดูกันว่าพี่กชจะล้างแค้น เอ้ย! จัดการเคลียร์ให้น้องยังไง

ตามอ่านอยู่ทั้งในเล้านี้และบ้านน้องใหม่เหลืองๆโน้นนนะคะ เป็นกำลังใจให้เนอะ สู้ๆ  เรื่องนี้น่ารักนะอ่านเพลินดี ชอบค่าาาา

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
มีสิทธิ์อะไรไปทำร้ายร่างกายคนอื่น


ส่วนเรื่องที่บอสเป็นแฟนคลับมิวนี่ หึหึหึ มีคนรู้เรื่องแล้วนะก๊ะ 55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 24




บอสกับกชเดินกลับมาเข้ามาอีกทีโดยมีคนแรกทำสีหน้าสำนึกผิด

"โทษทีนะมิว" บอสว่าอึกอัก "เมื่อกี้พูดแรงไปหน่อย"

"ผมไม่ถือหรอกครับ" มิวว่ายิ้มๆ "แค่พี่ไม่ต่อยผมก็พอแล้ว"

บอสถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง "งั้นยังไงขอกลับก่อนแล้วกันนะ เรื่องทำแผลให้ไอ้กชจัดการเถอะ หมอนี่มันมือเบา แถมทำแผลให้น้องชายบ่อย เพราะงั้นเชื่อมือมันเถอะ"

"งั้นผมกลับด้วยดีกว่า" แนทว่าอย่างสัมผัสถึงบรรยากาศของมิวกับกชได้ "ไปนะ มิว เดี๋ยวเราทักมาหา มีอะไรก็โทรหาได้ตลอดนะ แล้ววันนี้ก็พักเยอะๆ ล่ะ"

"ขอบใจนะ" มิวส่งยิ้มให้เพื่อน และเมื่อทั้งแนทกับบอสจรลีออกมาจากห้องแล้ว คนใส่แว่นก็เหลือบมองคนตัวสูงกว่าก่อนจะถอนหายใจยาว

"อะไร" น้ำเสียงคนพูดเหมือนจะเอาเรื่อง แต่ครั้งนี้แนทสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดของคนข้างตัวปนมาด้วย

"ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจนะที่พี่เองก็ไม่ชอบใจเรื่องที่มิวแกล้งคบกับพี่กชก่อนหน้านี้น่ะ"

บอสเงียบ

"แต่บางทีพี่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดในสถานการณ์แบบนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ รอให้สถานการณ์มันปกติก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ยังได้ พี่ไปพูดกับเพื่อนผมแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากซ้ำเติม"

"จะทำตัวเป็นกชสองเหรอ" บอสยกยิ้ม "เมื่อกี้ไอ้บ้านั่นก็เพิ่งเทศน์มา"

"ผมก็แค่ห่วงเพื่อนผมเหอะ จริงอยู่ว่าไอ้มิวอาจจะทำไม่ถูก แต่มันก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดต้องโดนซ้อมขนาดนั้น"

บอสยังคงเงียบ แนทเองก็ฉลาดพอที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายคิดสะระตะเอาเอง ในที่สุดคนเป็นรุ่นพี่ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

"นายพูดถูก"

น้ำเสียงเหมือนจำยอมทำให้แนทคลี่ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ บอสเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงสะดุดไปเล็กน้อยกับรอยยิ้มนั่น







[Koch]

ผมแตะสำลีลงบนบริเวณแผลของร่างบนเตียงอย่างเบามือ มิวครางออกมาแผ่วเบาเพราะแสบบาดแผล แค่ได้ยินผมก็รู้สึกทั้งสงสารแล้วก็เดือดพล่านกับคนที่ทำแบบนี้ไปหมดแล้ว มิวบอกว่าคนที่ชื่อแบงค์ทำใช่ไหม…

"พี่กช" เสียงเรียกจากมิวทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิดตัวเอง ผมเงยหน้าไปส่งยิ้มให้เขา

"ว่าไงครับ มิวมิว"

"ไม่มีอะไรหรอกครับ" มิวยิ้มตอบ แต่มันฝืดฝืนจนผมจุกในอกอย่างบอกไม่ถูก "แค่เห็นพี่กชเงียบไป แถมยังทำหน้าน่ากลัวอีก ผมแอบกลัวเหมือนกันนะพี่"

"บ้าน่า ไม่จริงหรอก พี่น่ะเหรอน่ากลัว" ผมตอบกลับเขาพร้อมกับลงมือทำแผลให้ต่อ ผมถกเสื้ออีกฝ่ายขึ้นก่อนจะแอบขบฟันเงียบๆ ด้วยความเจ็บใจอีกรอบ

"พี่กชโกรธอยู่เหรอ"

"เรียกว่าหัวเสียดีกว่า" ผมยอมรับตรงๆ "ถ้าพวกมันอยู่แถวนี้มิวคงได้เห็นพี่อาละวาดแน่"

"อยากเห็นนิดๆ เหมือนกันแฮะ" มิวว่าติดตลก ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ

"อย่าเลย เดี๋ยวมิวจะกลัวพี่ขึ้นมาจริงๆ "

มิวเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "พี่โกรธคนที่ต่อยผมเหรอครับ"

"ก็ใช่น่ะสิ" โอ้โห ยังจะถามมาได้ "แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะนะ พี่อยากทำแผลให้มิวให้เสร็จก่อน เจ็บมากรึเปล่ามิว เดี๋ยวกินยาดักเลยนะ ไม่งั้นพรุ่งนี้คงระบม"

"พี่แบงค์บอกว่าเขาเป็นคนที่เริ่มโพสท์โจมตีผมในเว็บบอร์ดนั่น"

"ก็ไม่น่าแปลกใจนะ" ผมแค่นเสียงอย่างหงุดหงิด "ลงมันทำมิวได้ถึงขนาดนี้ กับอีแค่โพสท์ด่าในเว็บมีหรือมันจะไม่ทำ"

"แต่ผมเสียใจนะ" คำพูดตรงๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องเลื่อนสายตาไปมองอย่างห่วงใย "ผมนึกว่าเราเป็นเพื่อนกันซะอีก"

"อย่าไปเสียใจ มิว ให้เดาเลยนะ นี่มันคิดจะทำร้ายมิวมาตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งเรื่องวันนี้ เรื่องที่โพสท์ลงเว็บ อย่าไปนับคนแบบนี้เป็นเพื่อนเลย"

"พี่กช" มิวสบตาผมตรงๆ ขณะที่น้ำตาเริ่มรื้น ผมรู้สึกเหมือนใจจะขาด "ผมยอมรับว่าผมทำผิดเรื่องที่แกล้งคบกับพี่ เรื่องที่หลอกคนดู ผมผิดจริงๆ ”

"มิวไม่ใช่คนเดียวที่ผิด" ผมรีบพูด มือเอื้อมไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน "พี่เองก็ผิดเหมือนกันที่เล่นละครตามน้ำไปกับมิว จำได้ไหม พี่เองก็หลอกคนดูของมิวเหมือนกัน"

"ไม่... ไม่จริงหรอก ผมเป็นคนเริ่มนะ เพราะงั้นผมผิดเองนั่นแหละ ผมผิดที่คิดจะเรียกคนดูด้วยวิธีนั้น"

"มิว..." ผมใจหายวูบเมื่อเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาบนแก้มขาวของเจ้าตัว ให้ตาย... ผมจะช่วยแฟนตัวเองยังไงดี "ไม่ต้องร้องไห้นะมิว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโกรธหรือเกลียดมิวหรอกนะ"

"ไม่ ไม่ พี่กช ผมผิดเรื่องนี้ ผมยอมรับ" พูดพร้อมกับปาดน้ำตาออกจากแก้มแรงๆ โอ๊ย เบาหน่อยน้อง หน้ายิ่งระบมๆ อยู่ "แต่... แต่เรื่องพี่แอมป์ เรื่องที่ผมแคสเกมกับพี่แอมป์น่ะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเกาะพี่แอมป์ดังเลยนะ"

"พี่รู้ครับ" ผมว่าพร้อมกับดึงน้องเข้ามากอด ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ผมเองก็คอยตามดูคลิปของมิวอยู่ตลอด ต่อให้หลายๆ คลิปจะไม่มีตัวเองอยู่แต่ผมก็ช่องของแฟนตัวเองอยู่เหมือนกันนะ "พี่รู้ว่ามิวไม่ได้คิดจะเกาะแอมป์ดัง มิวแค่อยากเล่นเกมกับคนที่เล่นด้วยแล้วสนุกเท่านั้นเอง"

ผมหวั่นใจว่ามิวจะพูดทำนองว่าอยากเลิกทำคลิป อยากปิดช่อง หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าตลอดเวลาที่ผมทำแผลให้จนถึงช่วยพาเจ้าตัวไปอาบน้ำแต่งตัวส่งเข้านอน มิวก็ไม่ปริปากพูดเรื่องนั้นออกมาสักคำ แต่แทนที่ผมจะโล่งใจผมกลับกังวลยิ่งกว่าเก่าเสียอีก กลัวว่ามิวจะแค่ปิดช่องไปเงียบๆ หรือไม่ก็เลิกทำไปเลย ผมอาจจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ตัวยงของช่อง SlimeSmileS แบบไอ้บอส แต่ผมคงไม่สบายใจแน่ถ้าคนที่ผมรักไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขต่อ

แต่ก็อีกนั่นแหละ... ผมจะหาทางออกให้เรื่องนั้นทีหลัง ตอนนี้ผมมีบางอย่างที่สำคัญกว่าต้องทำ

"เฮ้ย ไอ้บอส" ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์หลังจากที่ปลายสายตอบรับ "อืม เออ คุยได้ ตอนนี้มิวหลับแล้ว"

ผมไล้ปลายนิ้วลงบนเส้นผมสีดำนุ่มของคนบนเตียง เกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากออก เหลือบมองแว่นพังๆ ของมิวพร้อมกับคิดว่าจะไปตัดแว่นใหม่ให้แฟนตัวเองที่ไหนดี

จริงๆ แล้วผมบอกมิวไปว่าผมโกรธไอ้คนที่ทำร้ายมิวมาก แต่ผมไม่ได้บอกว่าโกรธตัวเองมากกว่าใคร มิวเป็นแฟนผม เป็นคนที่ผมควรจะปกป้องที่สุด แต่ผมกลับยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับแฟนตัวเองเนี่ยนะ?

"อืม ใช่ มึงรู้ใช่ไหมว่าจะไปหาข้อมูลของไอ้คนชื่อแบงค์นี่ได้ยังไง" ไอ้บอสตอบกลับมาสองสามคำ ผมโวยวายใส่มันไปที "อะไรนะ? ชื่อช่องมันคือ blackmoon? มึงคิดว่ากูอยากรู้เรื่องนั้นรึไง เออๆ ๆ โอเค อย่างอื่นด้วยใช่ไหม ดี"

ไม่ต้องมองกระจก ผมก็รู้ว่าตัวเองตาวาววับด้วยความหมายมาดแค่ไหน

"ไปถล่มมันกัน"







[Boss]





Comment#13: เหย พวกแก รู้สึกไหมว่าหมู่นี่พี่มิวสไลม์ไม่ค่อยอัพคลิปเลย

Comment#15: ไม่ใช่แค่พี่สไลม์นะแก พี่แบงค์ blackmoon ก็หายต๋อมไปเลย

Comment#20: เห็นล่าสุดพี่แบงค์บอกนอนรพ. ปะ

Comment#23: เห็นมีข่าวลือว่าไปมีเรื่องกับใครมา ไม่รู้จริงเปล่า

Comment#25: เออ ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน





ผมมองบทสนทนาที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความเบื่อหน่าย มุมปากขวาที่แสบขึ้นมาทำให้ผมต้องซี้ดปากเบาๆ ร่องรอยจากการไปฟาดกับไอ้ blackmoon และพวกของมันไง แต่ผมไม่ใช่ตัวชูโรงในเรื่องนั้นหรอกนะ ไอ้กชต่างหากที่เป็นตัวตั้งตัวตี





Comment#35: แต่พี่มิวสไลม์นี่เงียบๆ ไปเลย ลองทักไปคุยหลังไมค์มาเหมือนกัน เห็นว่าไม่ค่อยสบายเลยขอพักช่วงนี้

Comment#39: ไม่ใช่ว่าไปนอนโรงบาลเพราะตีกับพี่แบงค์มานะ 5555

Comment#40: ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงฮาตาย ฮ่าๆ ๆ

Comment#42: แต่ดูขนาดตัวมิวแล้วจะสู้แบงค์ได้เหรอวะ คือถ้าข่าวลือที่ไอ้คนบนๆ บอกว่าแบงค์นอนรพ. จริง แล้วลองนึกสภาพมิวสไลม์เป็นคนทำแม่งคงแบบ //ไม่รู้จะพูดยังไง





"เหอะ" ผมแค่นเสียงออกมาขณะเริ่มพิมพ์ต่อข้อความพวกนั้น เว็บบอร์ดนี้มีข้อดีและข้อเสียคือการที่เราสามารถโพสท์โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนได้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบเข้ามาเว็บนี้บ่อยเท่าไรหรอก แต่ก่อนหน้านี้มาไล่อ่านพวกคอมเมนท์ที่โจมตีสไลม์สไมลส์ตามที่ไอ้กชเล่าให้ฟัง แค่นึกว่าไอ้แบงค์ช่อง blackmoon เป็นคนโพสท์ปั่นผมก็ของขึ้นแล้ว





Comment#43: เราว่าอย่าพูดกันไปเองเลย ก็แค่คนทำคลิปสองคนที่บังเอิญหยุดทำพร้อมๆ กัน เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็กลับกันมาเองแหละ





กดส่งข้อความไปเรียบร้อยเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเปิดประตูดังขึ้นพอดี ผมหันกลับไปมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ก่อนจะเลิกคิ้วให้ข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ

"พี่บิว กลับมาตั้งแต่เมื่อไร่ครับเนี่ย"

พี่บิวเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม โตมาในบ้านหลังเดียวกัน แต่เจ้าตัวไปได้งานเป็นหลักแหล่งที่เชียงใหม่เมื่อประมาณสองปีก่อน นานๆ จะกลับมาสักที

"เมื่อกี้" น้ำเสียงราบเรียบหากคำพูดยียวนนี่อาจเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ชายบ้านผม "แม่บอกว่านายไปมีเรื่องกับใครมา"

เพราะพี่บิวอยู่บ้านนี้มาแต่เด็กเลยพลอยเรียกแม่ผมว่าแม่ไปด้วย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือผมไม่นึกว่าแม่จะรู้ว่าผมไปต่อยตีกับใครมา ก็ไม่เห็นแม่จะพูดอะไรผมก็เลยคิดว่าตัวเองเนียนแล้วซะอีก

"แกคงคิดว่าแม่คงไม่รู้สินะ บอส" พูดพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ อย่างอ่อนใจ "ให้เดานะ นี่แกคงยกพวกไปตีใครกับไอ้กชมาอีกแล้วล่ะสิ คนที่จะทำแกเสียได้ก็มีแค่หมอนั่นคนเดียว"

ผมนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เห็นสายตารู้ทันของญาติผู้พี่แล้วก็รู้ดีว่าโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์

"คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ" พี่บิวถอนหายใจเหมือนปลง ก็นั่นสินะ ในมุมมองพี่บิวแล้วผมกับไอ้กชแสบจะตาย แล้วไอ้เรื่องไปตีกับใครๆ ก็ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่เลย "ผู้หญิงเหรอ"

"เปล่าครับ" ถึงตรงนี้ผมนี่ถึงกับหลุดยิ้ม "ผู้ชายต่างหาก"

"อะไรนะ"

"ไอ้กชมันคบอยู่กับผู้ชาย"

พี่บิวนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้านิ่งๆ "งี้นี่เอง"

"ไม่ตกใจให้มากกว่านี้หน่อยเหรอพี่"

"ตกใจทำไม สมัยนี้แล้ว เรื่องปกติ"

พี่บิวพูดมีประเด็น แล้วผมก็เห็นด้วยนะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักหน่อย

"แต่ไปตีกับผู้ชายคนอื่นเพราะเรื่องผู้ชายนี่มันก็ออกจะฟังดูน่าอนาถไปหน่อยนะ" ญาติผมพูดต่อ หันกลับมาถามเหมือนนึกขึ้นได้ "แล้วไอ้กชเป็นไง โดนอีกฝั่งอัดน่วมรึเปล่า"

"ไอ้กชมันจะเป็นอะไรล่ะ" ผมว่า ทั้งเจ็บใจแล้วก็ภูมิใจไปพร้อมๆ กัน "ยังแข็งแรงดีไม่มีอะไรบุบสลาย ไอ้ห่านั่นเก่งเรื่องต่อยตีจะตายไป"

"ไม่เหมือนเราใช่ไหม" พี่บิวพูดยิ้มๆ เลื่อนมือมาแตะมุมปากผมที่เป็นแผลเล็กน้อย ผมครวญเบาๆ ด้วยความแสบ "ฝีมือเก่งไม่เท่าเขาแต่ก็ยังจะไปช่วยเพื่อนต่อยอีก แล้วตกลงมันยังไง เรื่องแย่งผู้หญิง... เอ่อ ผู้ชายเหรอ? ห่าเอ๊ย เดี๋ยวนี้ผู้ชายต้องแย่งผู้ชายด้วยกันเองแล้วเหรอวะเนี่ย"

"เปล่า พี่บิว ไม่ใช่แบบนั้น" ไปกันใหญ่ล่ะ "คู่กรณีไปต่อยแฟนไอ้กชเข้า ไม่สิ จริงๆ ต้องบอกว่ารุมยำแฟนมันเลยล่ะ แบบ... คิดดูนะ แฟนไอ้กชตัวก็ออกจะบาง หงิมๆ ใส่แว่นเนิร์ดๆ คือไม่ใช่ประเภทจะไปสู้รบปรบมือกับใครอ่ะ แล้วนี่เรียกพวกมารุมยำตั้งสามสี่คน นี่ขนาดไม่ใช่แฟนผม ผมยังของขึ้นเลย"

"โห" พี่บิวพยักหน้าเออออด้วย "แย่จริงๆ เลยนะเนี่ย แต่นี่ดูบอสแคร์แฟนเพื่อนมากอยู่เหมือนกันนะ คิดอะไรกับเขารึเปล่า"

ผมแทบสะดุ้ง "บ้าเหรอพี่บิว นั่นแฟนเพื่อนผมนะ เพื่อนสนิทเลยด้วย"

"อ้าว จะไปรู้เหรอ เห็นพูดถึงแฟนกชขนาดนั้น แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขา? " น้ำเสียงเหมือนแหย่ แต่ผมรู้พี่บิวถามจริง

"กับผู้ชายเนี่ยนะ? "

"ก็ไหนเราเพิ่งคุยกันไปเมื่อกี้ไงว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร"

ผมคิดตามคำถามนั้นของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ถ้าให้พูดถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมิว ผมยอมรับนะว่าเขาพิเศษกว่าคนรู้จักทั่วไป อาจจะไม่สนิทเท่าเพื่อนอย่างไอ้กช แต่เพราะผมคอยติดตามและเอาใจช่วยช่องยูทูปของเขามา แถมการได้พูดคุยผ่านตัวหนังสือในฐานะน้องมังกรก็สร้างความสัมพันธ์ของเราได้มาก แต่ถ้าถามว่าผมชอบเขาในแง่ว่าอยากจะคบกับมิวไหม ผมตอบได้ทันทีเลยว่าไม่ อย่างแรกเลยคือมิวเป็นแฟนเพื่อนผม ผมเคยเห็นไอ้กชเจ็บเพราะโดนเพื่อนแย่งแฟนมาแล้ว ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน อย่างที่สองคือผมปลื้มมิวในฐานะแฟนคลับ จบแค่นั้น ไม่ได้ชอบแบบอยากจะมีอะไรลึกซึ้งด้วย ใครจะไปอยากมีอะไรๆ กับผู้ชายกันล่ะ

เสี้ยววินาทีหนึ่ง อยู่ๆ ผมก็นึกถึงแนท แว่นแฝดไอ้มิวขึ้นมา ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ผมปัดความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็ว

“ผมไม่ได้ชอบแฟนเพื่อนหรอก”

“อ่าฮะ”

“ส่วนเรื่องแผลพวกนี้… มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร พี่บิวน่าจะได้เห็นสภาพของไอ้พวกที่ผมกับไอ้กชไปอัดมากกว่า บอกได้เลยว่ายับเยินกันไปข้าง”

“ไม่กลัวฝั่งนั้นแจ้งความรึไง”

“ไม่กล้าหรอก” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ยิ่งมีชนักติดหลังด้วยแบบนั้น… แต่ต่อให้แจ้งจริงก็ไม่กล้ว ดีซะอีก จะได้ครึกโครมกันไปอีก เหมือนเจ้าตัวจะชอบอยู่แล้วนี่”

ผมเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ให้ญาติผู้พี่ฟัง ทั้งเรื่องที่ทั้งมิวและแบงค์เป็นนักแคสเกมที่ผมตาม พี่บิวเองก็ไม่ได้ตามวงการนี้เลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก ผมก็แค่เล่าให้ฟังพอมันปากเท่านั้น เรื่องไปต่อยตีกับใครไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจสำหรับผม แต่แน่นอนว่าลึกๆ ไปแล้วมันก็อยากอวดคนอยู่บ้าง อย่างน้อยผมก็แน่ใจได้ล่ะว่าพี่บิวจะปิดปากเรื่องนี้





วันถัดมายังเป็นวันหยุดอยู่ ผมมีรายงานตัวหนึ่งที่อยากไปนั่งลงทำแบบตั้งใจสักสองชั่วโมง และแน่นอนว่าถ้าทำที่บ้านคงไม่คืบหน้าไปไหนแน่ ผมเลยลงทุนขับมอเตอร์ไซค์ไปถึงมหาลัยเพื่อเข้าไปใช้บริการห้องสมุด ก็นะ เสียค่าเทอมไปแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้มถูกไหม

หลังจากลงมือทำงานของตัวเองไปได้ตามเป้าที่หวัง ผมก็ตัดสินใจแวบไปหาอะไรกินที่ละแวกร้านค้าที่มักไปประจำ ไม่รู้ร้านแถวนี้เขาใส่ผงชูรสหนักมือไปหรือว่ายังไง อร่อยจนแทบไม่อยากไปหาที่กินที่อื่น แถมยังทำเลดีเหมาะสำหรับคนที่มีธุระที่มอสุดๆ

ว่าแต่วันนี้มิวกับไอ้กชจะอยู่ห้องไหมนะ แต่วันหยุดแบบนี้ถ้าไม่กลับบ้านก็น่าจะไปเที่ยวกันมากกว่าล่ะมั้ง อีกอย่างสภาพจิตใจมิวตอนนี้ก็ดูไม่ค่อยดี ผมเองก็บอกไอ้กชอยู่ว่าไม่ควรปล่อยให้เจ้าตัวซึมเซาอยู่แต่ในห้อง ควรจะออกไปหาอะไรทำกันเวลาว่าง หวังว่าไอ้กชจะทำตามคำแนะนำของผมนะ

“อ้าว? ” ผมอุทานออกมาเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ช่วงนี้เจอบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่ทั้งมิว ไม่ใช่ทั้งไอ้กช แต่เป็นแฝดแว่นไอ้มิวต่างหากที่กำลังยืนดูดน้ำชาเขียวปั่นอยู่ แล้วเจ้าตัวคงใจลอยมากจริงๆ เพราะขนาดผมก้าวเท้ามาประชิดขนาดนี้ เจ้าตัวยังไม่รู้สึก

“วันนี้ไม่กินน้ำมะพร้าวแล้วเหรอ”

“เฮ้ย!? ” ไอ้แว่นสะดุ้งพรวด หันกลับมาสาดแก้วน้ำในมือใส่เสื้อผมราวกับจงใจ ผมก้มลงมองสภาพตัวเอง เสื้อผ้าซดน้ำปั่นไปขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องซื้อกินเองแล้วล่ะ ว่าแต่รู้สึกเหมือนเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้วนะ ยังกับเอาหนังม้วนเดิมมาฉายซ้ำ แค่เปลี่ยนเครื่องดื่ม

“โทษๆ ๆ ๆ โทษทีพี่” แนทรีบพูด เอื้อมมือมาปัดเกล็ดน้ำแข็งละเอียดออกจากเสื้อผม “แต่ผมตกใจจริงๆ นะเมื่อกี้ เล่นมาไม่ให้สุ้มให้เสียง”

“ขวัญอ่อนไปปะ” แค่ทักแค่นี้ ไอ้แว่นเงยหน้าขึ้นมามองผมตาเขียวปั้ด

“ปากหมาเหมือนเดิมเลยนะ”

“หมาตรงไหน ก็พูดเรื่องจริง” ผมว่า เห็นสภาพตัวเองแล้วได้แต่ถอนใจ คือคราวก่อนที่โดนโค้กสาดมันยังไม่เปียกขนาดนี้ไง นี่มาแบบเต็มๆ

“ผมจะเอาเสื้อไปซักให้”

“หา? ” ผมพูดงงๆ แนทชี้นิ้วไปทางหนึ่ง

“หอผมอยู่ตรงนี้เอง มาเถอะครับ เดี๋ยวผมเอาเสื้อของตัวเองให้พี่ยืมก่อน แล้วเดี๋ยวซักเสื้อให้พี่แล้วจะเอาไปคืนให้”

เออ ดีเหมือนกัน กำลังคิดหนักเลยว่าจะทำยังไงดี เพราะคราวนี้มันเปียกมากๆ เหมือนลงไปเล่นบ่อน้ำชาเขียวปั่นมาอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นแล้วผมจึงตอบรับข้อเสนอของแนทอย่างง่ายดาย

และเมื่อผมเข้ามาอยู่ในห้องอีกฝ่ายอย่างงงๆ เจ้าของห้องก็ยื่นเสื้อยืดตัวโคร่งที่ดูยังไงก็ใหญ่เกินไซส์เจ้าตัวมาให้ ผมถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นผิวเนื้อด้านใน ยื่นส่งให้อีกคนก็เห็นไอ้แว่นชะงักไป สายตาหยุดอยู่ที่กล้ามเนื้อหน้าท้องผมเหมือนจะพิจารณา…?

อะไรของมัน

“เฮ้ย” ผมดีดนิ้วใส่หน้าเจ้าตัว “มองอะไร หลงเสน่ห์ร่างกายพี่เหรอ”

แนทเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างไม่หวั่นเกรงก่อนจะคลี่ยิ้ม กลับกลายเป็นผมที่ต้องชะงักไปเพราะทำตัวไม่ถูกแทน

“อืม ร่างกายพี่ก็ไม่เลวนะครับ อันนี้ยอมรับ หุ่นค่อนข้างสเปกเลย”

เฮ้ย… เฮ้ยๆ ๆ เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่เป็น…

“แต่จริงๆ แล้วผมกำลังคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า อย่างเรื่องที่ว่าทำไมพี่ถึงต้องใช้ชื่อปลอมว่ามังกร แต่คิดอีกทีมันคงไม่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหน้าท้องพี่หรอกมั้ง? หรือพี่คิดว่ายังไงครับ? คุณ Vk Dragon”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ผมอ้าปากค้างหนักมาก

ไอ้แว่นบ้านี่มันรู้เรื่องนามแฝงผมได้ยังไงวะเนี่ย!?





-----------------------------------------------------------
Talk: สวัสดีค่าทุกคน ช่วงนี้อาจจะอัพช้าหน่อยก็ขออภัยนะคะ แต่วันนี้เรามีข่าวดีมาแจ้งให้ทุกคนทราบค่ะ
นิยายเรื่องนี้จะได้ตีพิมพ์กับสนพ. Deep Publishing ซึ่งเป็นสนพ. ในเครือของสถาพรบุ๊คส์นะคะ >w<
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามน้องมิวและพี่กชมาจนถึงตอนนี้ด้วยค่ะ ฝากอยู่ติดตามกันไปจนจบเลยนะ <3

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บอสแนทมาแล้ววววว

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พี่กชหลังๆมาค่าตัวแพง บอสยึดพื้นที่มาก 5555 #บอสแนท

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องมังกรจะทำยังไงน้า  :hao3:
ทำไมแนทเหมือนวางแผนจะลากบอสมาคุยตั้งแต่แรกแล้ว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 25



[Mew]

“มิวมิว” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นที่ข้างหู ผมครางเล็กน้อยพร้อมกับดันร่างหนักๆ นั่นออก แต่เหมือนแขนของอีกฝ่ายก็ยังพาดมาพันรอบตัวผมอยู่ดี “มิวครับ ตื่นหรือยัง ตื่นกันดีกว่าไหมคนดี”

“อือ” ผมส่งเสียงครางประท้วงกลับไป ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ร่างของพี่กชที่นอนตะแคงมองผมพร้อมกับรอยยิ้มปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรก ผมรู้สึกใจสั่นนิดหนึ่ง เหมือนตกหลุมรักเขาเข้าอีกรอบ

“อรุณสวัสดิ์ มิว”

“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่กช” ผมยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย เหลือบมองนาฬิกาแล้วต้องขมวดคิ้ว ยังเช้าอยู่เลย “ทำไมรีบตื่นจังครับ? วันนี้ไม่มีเรียนสักหน่อย”

“ก็เพราะไม่มีเรียนน่ะสิ เลยว่าจะพามิวมิวไปเที่ยว” พี่กชว่า วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งแน่นอนว่าใครๆ ก็อยากตื่นสายในวันหยุดอยู่แล้ว แต่นี่คนขี้เซาแบบพี่กชถึงกับลุกมาปลุกผมแต่เช้าแบบนี้ “แล้วนี่แผลเป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า แต่ที่บวมนี่ยุบลงไปมากแล้วนะ”

“อื้อ ไม่เจ็บมากแล้วล่ะครับ” ผมตอบยิ้มๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงผมมาก แถมที่ชวนไปเที่ยวแบบนี้ก็คงเพราะไม่อยากให้ผมซึมอยู่ในห้อง

อันที่จริงอาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับนะ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ก่อนหน้านี้จิตใจแย่ไปพอสมควรจนคนรอบตัวกังวล แต่ของแบบนี้พอเวลาผ่านไปสักพักมันก็ดีขึ้นเองจริงๆ อีกอย่าง… การมีพี่กชอยู่ข้างๆ คอยดูแลให้กำลังใจช่วยผมไว้ได้มาก ผมบอกรึยังว่าพี่กชแอบไปตัดแว่นมาให้ผมใหม่ด้วยนะ ไม่รู้ว่ารู้ค่าสายตาผมได้ยังไง อาจจะจากแว่นพังๆ อันเก่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมชอบแว่นที่พี่กชทำมาให้อันใหม่มากๆ ผมว่ามันดูเข้ากับหน้าตัวเองมากกว่าอันเก่าอีก

“งั้นมิวลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อน” เขาว่าพร้อมกับฝังริมฝีปากลงบนแก้มผมอย่ารวดเร็ว “เดี๋ยวพี่เตรียมข้าวเช้าให้ ทำอะไรเสร็จแล้วเราจะได้ไปเที่ยวกัน”

ผมนั่งละเมียดขนมปังปิ้งหลังจากที่จัดการไข่ดาวกับไส้กรอกที่พี่กชทำไว้ให้ตอนเข้าไปอาบน้ำ และตอนนี้พี่กชก็เป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำแทน เจ้าตัวกลับออกมาอีกทีในชุดพร้อมออกไปเที่ยวข้างนอกเต็มที่ ให้ตาย… พี่กชดูดีเกินไปรึเปล่าวันนี้ ถ้าเกิดผู้หญิงอื่นมองแล้วชอบพี่แกขึ้นมาจะทำยังไง ผมเองก็หวงของผมเหมือนกันนะ

“มองอะไรครับ มิวมิว” พี่กชถามยิ้มๆ พร้อมกับเดินมาดึงแก้มผมข้างที่ไม่ได้โดนต่อยจนบวม “ตะลึงล่ะสิ มีแฟนหล่อขนาดนี้”

“โอย พี่” ผมแกล้งตีหน้ารับไม่ได้ “หลงตัวเองไปไหนเนี่ย ว่าแต่ใครเลือกชุดนี้ให้ครับ”

“ทำไมอ่ะ ดูไม่ดีเหรอ” ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง ผมส่ายหน้า

“เปล่าครับ แต่ผมว่ามันดูดีไป”

พี่กชมองผมอึ้งๆ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความอาย แต่วินาทีต่อมาเจ้าตัวก็คลี่ยิ้มกวนประสาทขึ้นมาได้

“นั่นไง ว่าแล้วเชียวว่ามิวต้องหลง”

โอ๊ย ขอพี่กชคนเขินอายแบบเมื่อกี้แทนได้ไหม อันนี้น่าถีบเกิน





อาทิตย์นี้พี่กชยืมรถมาจากที่บ้านได้ ผมเลยไม่ต้องซ้อนท้ายพี่แกให้หน้ารับแสงแดดและลมที่ร้อนระอุของประเทศไทยตรงๆ

พี่กชสาวพวงมาลัยขณะที่เลี้ยวโค้งที่หนึ่งไปตามถนน ผมโน้มตัวไปด้านหลังขยุกขยิก หยิบถุงพลาสติกที่ซื้อมามากมายจากร้านสะดวกซื้อที่แวะก่อนหน้า เอาล่ะ สโมกกี้ไบท์ของผมอยู่นี่ แต่จะกินคนเดียวคนขับคงน่าสงสารแย่

“มิวมิว กินไรอ่ะ”

น่ะ ยังไม่ทันขาดคำ

“ไส้กรอกพี่ กินไหม”

“ป้อนหน่อยดิ”

ผมจิ้มชิ้นหนึ่งพร้อมกับซอสให้ดิบดี “เอ้า นี่ครับ”

“แต๊งกิ้ว” แล้วเจ้าตัวก็เคี้ยวหงุบหงับ ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะจิ้มเข้าปากตัวเองบ้าง

“แล้วนี่เราจะไปไหนกันอ่ะพี่”

“เที่ยว”

“ขอบคุณมากเลยนะครับ” ผมว่าเสียงประชด “แล้วจะพาผมไปเที่ยวไหนล่ะ”

“แหล่งท่องเที่ยว”

ผมยกสองมือยอมแพ้ “ได้เลยครับ คุณพี่กช พี่อยากจะพาผมไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็เชิญ”

“งั้นเข้าม่านรูดข้างหน้าเลยไหม” ยังอีก ยังจะทำมือชี้ชวน แถมไอ้ม่านรูดที่แกชี้ไปก็สภาพทรุดโทรมเหมือนไม่ได้รับการบูรณะมากว่ายี่สิบปีแล้ว เขาคงไม่คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ใช่ไหม

“เอ่อ ถ้าแบบนั้นก็ถ้าทำที่หอก็ได้รึเปล่าครับ”

พี่กชหัวเราะลั่นทันที “เออ จริง มิวมิวพูดมีประเด็น”

“แล้วนี่จะมีคนอื่นมาอีกไหมครับ เพื่อนพี่กชไรงี้”

“ไม่ล่ะ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “แค่เราสองคน”

ผมรู้สึกผ่อนคลายกับคำพูดนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ





ที่ที่พี่กชพาผมมาไกลจากตัวเมืองพอสมควร เรียกได้ว่าขับรถมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากโขเลย แต่บรรยากาศร่มรื่นกับพื้นที่ทำกิจกรรมที่ถูกจัดแบ่งเอาไว้ก็ดูน่าสนใจพอจะเรียกนักท่องเที่ยวมาได้

ว่าแล้วพี่กชก็เผ่นไปซื้อบัตรทำกิจกรรมมาให้โดยที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากใดๆ

“เอ้านี่ พี่ซื้อที่ยิงธนูกับที่ขับรถเอทีวีมาให้ ถ้าซื้อแบบเป็นเซตมันถูกกว่านะ”

“หา? ” ผมดันบัตรพวกนั้นคืนให้เจ้าของเงินแทบไม่ทัน “ผมยิงธนูไม่เป็นพี่ แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นรถเอทีวีด้วย”

“เถอะน่า ยิงธนูไม่ยากหรอก เดี๋ยวมีครูสอน” เขายัดเยียดมาให้ผมจนได้ ผมถอนหายใจทีหนึ่งแต่ก็ยอมตามใจเขา

สารภาพตามตรงว่าผมไม่ชอบทำกิจกรรมอะไรที่ต้องออกแรงหรือใช้ทักษะใดๆ ในการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าไร เล่นกีฬาอะไรก็ไม่ต้องพูดถึงครับ แทบไม่ได้ทำ แต่คงเพราะแบบนั้นแหละผมถึงได้ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้ สู้กับใครเขาก็ไม่ได้ แถมล่าสุดยังเพิ่งไปโดนอัดน่วมมาอีกต่างหาก ยิ่งตอกย้ำถึงความอ่อนหัดของตัวเองเข้าไปอีก

แต่ถึงผมจะทำหน้าเหมือนไม่อยากยิงธนูนี่เท่าไร พี่กชก็ยังส่งยิ้มสดใสแบบกระตือรือร้นสุดๆ มาให้ เจ้าหน้าที่ที่สนามอธิบายพร้อมกับสาธิตการยิงธนูให้ผมคร่าวๆ ก่อนจะส่งกระบอกที่บรรจุลูกธนูมา ผมหยิบมาพาดกับคันธนูลูกหนึ่ง ตั้งท่ายืนพร้อมกับเริ่มง้างลูกธนูออก ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำถูกไหมเหมือนกัน แต่ผมก็ปล่อยมันออกจากมือไปแล้ว

หัวลูกธนูลอยวืดเลยเป้าไปปักลงกับพื้นอย่างสวยงาม ผมหันกลับไปยิ้มแหยๆ ให้พี่กชก่อนจะต้องโวยวายเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปผม ให้ตายเถอะ แล้วผมก็เพิ่งยิ่งพลาดเป้าไปแบบทุเรศสุดๆ เมื่อกี้ด้วยนะ!

“พี่กช! อย่าถ่าย” ผมยกมือปิดหน้าหากรุ่นพี่ตัวแสบกลับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นไรน่า แค่ถ่ายตอนมิวตั้งท่าเมื่อกี้เฉยๆ ท่าสวยมากเลยน้องรัก ยิงพลาดไปหน่อยแต่ก็มีโอกาสแก้ตัวเยอะนี่”

“พี่กชนี่” ผมเบ้ปากให้เขา ยื่นคันธนูในมือให้ “พูดงี้มาลองยิงให้ผมดูเลย เห็นเหมือนมันง่ายแต่มันก็ไม่ง่ายนะครับ”

“นั่นสิน้า มิวมิวเองก็ไม่เคยยิงมาก่อนด้วยสิ” เขาว่าอย่างรู้ทัน รับคันธนูไปถือ หยิบลูกขึ้นมาตั้งท่าเล็งเป้าอย่างชำนาญ แค่การเคลื่อนไหวไหลลื่นนั่นผมก็รู้แล้วว่าเขาคงเก่งอยู่พอตัว

“เดี๋ยว พี่” ผมรีบห้ามขณะที่พี่กชง้างคันธนูค้าง

“หืม? ”

“ขอผมถ่ายรูปก่อน” คือพอเห็นท่าเขาแล้วรู้เลยว่าทำไมพี่กชถึงอยากถ่ายรูปตัวเอง คือมันดูเท่มาก ท่ายืนท่าง้างนี่ชวนเก็บภาพสุดๆ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าตัวเองยืนได้ดูดีเท่าพี่กชรึเปล่าก็เถอะ

“หึ” อีกฝ่ายหัวเราะ ปล่อยลูกธนูที่ง้างค้างไว้ มันพุ่งไปเจาะบนเป้าตำแหน่งเฉียดกึ่งกลางไปเล็กน้อย ผมอุทานทันที

“โห สุดยอดเลยพี่ เก่งจัง ทำได้ไงอะ”

“เว่อร์ นี่ก็พูดเกินไป” เขาว่า ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง ไม่สมกับเป็นพี่กชเลย ปกติพี่แกต้องมั่นหน้าตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ! ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักแปลกๆ ล่ะ? “อีกอย่าง เป้ามันใกล้แค่นี้ ใครๆ ก็ยิงได้ มิวเองก็เหมือนกัน มาสิ เดี๋ยวพี่ช่วย”

เขาส่งคันธนูคืนให้ผมพร้อมกับอ้อมมาด้านหลัง เขยิบตัวเข้ามาประชิดเพื่อช่วยผมจัดท่ายืนและง้างลูธนู ผมได้ยินหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น แต่มันไม่ใช่แค่ของผมคนเดียว ของพี่กชก็ด้วย แปลกดีที่เราสองคนยังใจเต้นกันแบบนี้ทั้งที่คบกันมาพอสมควรแล้วแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจความรู้สึกนี้หรอกนะ

“เวลาเล็งอะ กะระยะเผื่อมาตรงนี้นิด”

“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย

“อื้อ ประมาณนี้แหละ เอาเลย”

ลูกธนูผมไปปักบนเป้าที่มีคะแนนแล้ว แม้จะไม่ได้เฉียดตรงกลาง แต่ผมก็หันไปยิ้มให้คนข้างตัวอย่างดีใจ พี่กชยีหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง

“แล้วนี่… พวกแผลที่หน้ากับตามลำตัวไม่เจ็บแล้วใช่ไหม จริงๆ พามิวออกมาตะลอนๆ แบบนี้ก็เป็นห่วงเหมือนกันนะ”

“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ บอกแล้วไงว่าดีขึ้นมาก แถมยาพี่กชก็ทาให้ประจำ ไม่เป็นไรแล้ว”

“แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องรีบบอกพี่นะ ห้ามฝืน เข้าใจไหม”

“แหม ทีงี้ล่ะทำเป็นพูดนะพี่” ผมแซว หยิบลูกธนูขึ้นมาง้างอีกรอบ “ทีตอนซื้อตั๋วให้ล่ะไม่คิดเลย ไม่ถามความเห็นผมสักคำเลยด้วย”

“โห่” พี่กชจิ้มแก้มผมทีหนึ่ง “ก็อยากให้มิวออกกำลังทำอะไรบ้าง อยากเห็นมิวสนุก”

ผมยิ้มหวานให้เขา หัวใจพองโตขึ้นอย่างมีความสุข

“ขอบคุณนะครับพี่กช จริงๆ แค่อยู่กับพี่ผมก็สนุกสุดๆ แล้ว”

ผมยิงธนูต่อไปจนกระทั่งลูกหมด ส่วนสนามรถเอทีวีที่พี่กชซื้อตั๋วไว้ให้อยู่ห่างจากสนามยิงธนูไปเล็กน้อย เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง พี่กชส่งตั๋วให้เจ้าที่ที่ประจำอยู่ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้

“เอาไงดี? มิวจะขับหรือจะให้พี่ขับ”

“อืม…” ผมครางในลำคอ “งั้นผมขอขับก่อนได้ไหมครับ แล้วพอครึ่งทางค่อยสลับกัน”

“ถ้ามิวอยากขับไปตลอด พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

ผมยิ้ม พี่กชตามใจผมตลอดจนผมชักกลัวว่าตัวเองจะเหลิงแล้วสิ

“งั้นให้ผมขับไปสักพักแลว้จะบอกนะครับ ว่าแต่ทางมันจะยาวแค่ไหนล่ะ”

“ไม่รู้สิ ลองดูเดี๋ยวก็รู้”

ว่าแล้วผมก็สวมวิญญาณสิงห์นักบิด ผมไม่เคยขับมอเตอร์ไซค์มาก่อน เคยแต่ขับรถยนต์ แต่รถเอทีวีนี่ก็ไม่ได้ควบคุมยากอะไร แม้ว่ามันจะมีข้อเสียทำให้หัวสั่นคลอนไปหมดเพราะแรงกระแทกก็ตาม แต่ผมรู้สึกสนุกสุดๆ แบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานเลยล่ะ

“ให้ตาย ลมเย็นดีชะมัด” พี่กชที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังว่า มีการเนียนเลื้อยมือมาโอบรอบเอวผมด้วยนะ ที่จับข้างรถก็มีแท้ๆ

“พี่ยังไม่ได้พูดเรื่องฝุ่นตลบนี่ด้วยนะ” ผมว่าขณะกะพริบตาถี่ๆ “เข้าหน้าเข้าตาผมหมดแล้วเนี่ย”

“มีแว่นแล้วยังเข้าตาอีกเหรอ”

“นี่แว่นสายตานะพี่ ไม่ใช่แว่นกันฝุ่น”

“มิว… เร่งความเร็วอีกได้ไหม มันเหยียบได้แรงกว่านี้รึเปล่า แค่นี้มันไม่สะ-- เหวอ! ” ผมเหยียบคันเร่งจนมิดตามที่ผู้โดยสารขอ ส่งผลให้พี่กชที่ไม่ทันตั้งตัวถลามากระแทกหลังผมอย่างแรง ผมหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

“พอใจยังครับ คุณพี่? ”

“สัส มิว แกล้งพี่เหรอ ไม่อยากอยู่สงบๆ ใช่ไหม”

พูดแล้วพี่กชก็ฝังเขี้ยวลงมาบนซอกคอผม ผมสะดุ้งเฮือก แล้วบังเอิญข้างหน้าเป็นเนินเตี้ยๆ พอดี แล้วพุ่งมาด้วยความเร็วขนาดนี้ รถเอทีวีแบบนี้ พอกระแทกเข้าไปก็ทำเอาเราทั้งคู่แทบเด้งหลุดจากรถ ผมชะลอความเร็วแล้วขับไปจอดตรงข้างทางทันทีเมื่อตั้งหลักได้

รอบข้างถนนของรถเอทีวีนี่เป็นป่าทั้งหมด แล้วก็โชคดีที่ไม่มีใครตามหลังเรามา

พี่กชหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีขณะโดดลงจากรถ ผมเบ้หน้าให้เขาก่อนจะอัดใส่เป็นชุด

“พี่กชนี่นะ หื่นไม่ดูเวล่ำเวลาเลยจริงๆ แล้วเนินเมื่อกี้ถ้าจับไม่ทันนี่กระเด็นหลุดจากรถเลยนะครับ เกือบไปแล้วไหม แล้วนี่พี่จะลงมาทำไมเนี่ย อ้าว เดี๋ยวครับ จะทำอะไรน่ะ” ผมว่าเมื่อมือแกร่งออกแรงงัดผมให้ลงจากรถตามเขาไปด้วย

“นิดหนึ่งน่า”

พี่กชพาผมเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นป่า เพราะไม่ใช่ทางถนนที่ทางสนามจัดไว้ให้ทุกอย่างจึงขึ้นรกไปหมด น่ากลัวจะมีงูออกมาสักตัว แต่พี่กชก็ยังดันผมไปติดกับต้นไม้ต้นหนึ่งจากนั้นก็ทาบจูบลงมาโดยขออนุญาตสักคำ ถือสิทธิ์น่าดูเลยสินะที่เป็นแฟนผมเนี่ย อยากทำอะไรตอนไหนก็ได้จริงๆ

แต่ผมก็ไม่ขัดหรอก

ผมเลื่อนแขนไปโอบหลังคอเขาพร้อมกับเอียงคอจูบตอบ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เราจูบกันข้างนอกแบบนี้ ลิ้นอุ่นวาบที่แทรกเข้ามาในโพรงปากทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นมาบนหน้ามากขึ้น ผมชอบเวลาที่พี่กชขยับมือไปรองหลังคอผมแล้วบังคับให้ผมทำตามที่เขาต้องการ เหมือนจะรุนแรงนิดๆ แต่ก็อ่อนโยนสุดๆ เหมือนเขาทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น แล้วผมก็ยอมตกหลุมเขาแต่โดยดีด้วยนี่สิ

“มิว” พี่กชเรียกผมเสียงแผ่วขณะที่ผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง “พวกนั้นไม่มากวนใจอะไรมิวแล้วใช่ไหม ไม่มีใครมาว่าหรือทำอะไรมิวแล้วนะ? ”

“ครับ? ” ผมถามกลับงงๆ

“ก็ไอ้คนที่มาซ้อมมิวคราวก่อนไง พวกไอ้แบงค์ซังกะบ๊วยนั่นน่ะ”

อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร

“อืม… ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยนะครับตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

“มิวอยากจะแจ้งความรึเปล่า”

ผมนิ่งไป อันที่จริงพี่กชเคยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้วครั้งหนึ่ง ไอ้แนทกับไอ้เก่งเองก็บอกว่าโดนรุมตื้บขนาดนี้แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายยังได้ แต่ตอนนั้นผมมัวแต่ซึม สภาพจิตใจย่ำแย่จนไม่นึกอยากทำอะไร แต่ตอนนี้พี่กชคงเห็นผมดีขึ้นแล้วถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

แต่สุดท้ายผมก็แค่ส่ายหน้า

“ไม่หรอกครับ ผมว่าผมคงไม่ทำอะไรหรอก”

“มิวแน่ใจนะ? ”

“อื้ม” ผมส่งยิ้มบางๆ ให้ “อีกอย่าง… มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่บอสว่าผมก่อนหน้านี้ก็ได้ ผมทำตัวให้คนเกลียดเองมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะมั้ง”

“แต่ทำร้ายร่างกายกันนี่มันคนละเรื่องนะ” พี่กชไม่เห็นด้วย แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจที่เขาเป็นห่วงหรอกนะ แต่ผมเหนื่อยใจกับเรื่องพี่แบงค์แล้วก็เพื่อนๆ ของแกมาเยอะแล้ว ผมไม่อยากเจอเขา ไม่อยากคิดเรื่องนี้อีก แล้วถ้าต้องแจ้งความ ขึ้นโรงขึ้นศาลล่ะก็ ต้องเกี่ยวพันกันอีกยาวแน่ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เพราะงั้นผมขอปล่อยมันไปทั้งๆ แบบนี้แหละ ตราบใดที่ฝั่งนั้นไม่เข้ามายุ่งกับผมอีกน่ะนะ

“มิว” พี่กชถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมที่ปรกหน้าผมออกอย่างเบามือ “พี่ก็เดาได้อยู่แล้วแหละว่ามิวจะดื้อแบบนี้ ดีนะที่พี่…”

“หืม? ” เป็นคราวที่ผมต้องเลิกคิ้วเองบ้าง “พี่ทำไมเหรอครับ? ”

“เอ่อ เปล่า” เขายิ้ม แต่ท่าทางมีพิรุธนั่นไม่เนียนสุดๆ “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ขากลับออกไปให้พี่ขับไหมรอบนี้ ลืมไปว่ามิวไม่ค่อยสบายอยู่ จากที่ช้ำคราวก่อนก็ไม่รู้หายดีรึยัง ยังจะให้มิวมาเล่นอะไรกระแทกๆ แบบนี้อีก”

“หา? ” ผมว่า ก่อนจะหัวเราะออกมา ดึงพี่กชลงมาจูบปากตัวเองอีกรอบเร็วๆ คราวนี้พี่กชหน้าแดงถึงหลังหูเลยเพราะผมจู่โจมแบบไม่ทันให้เขาตั้งตัว ให้ตายเถอะ น่ารักเป็นบ้า “พูดอะไรของพี่น่ะ? ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยนะครับ ไอ้พวกช้ำอะไรนั่นก็ไม่เป็นไรแล้ว พี่ห่วงผมเกินไปล่ะ”

“ไอ้ตัวแสบ” เขาว่าเรื่องที่ผมขโมยจูบเขาเมื่อกี้ ดันผมไปติดกับต้นไม้ด้านหลังแล้วประกบปากลงมาจูบอย่างรุนแรงอีกรอบ ผมไหวตัวนิดๆ เมื่อมือหนาลากลงบนสะโพกตัวเองอย่างเย้ายวน ถ้าเขาจะต้องยั่วผมขนาดนี้ล่ะก็นะ… “ทำแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดลากเข้าม่านรูดจริงๆ ตอนขากลับซะหรอก อยากโดนมากใช่ไหม หา? ไม่ต้องมาทำหน้าแดงด้วย”

“คนที่หน้าแดงน่ะมันพี่ไม่ใช่เหรอครับ” ผมยิ้มให้เขา ยกมือขึ้นมาวางบนมือของพี่กชที่แตะแก้มผมอยู่ “งั้นขากลับผมให้พี่ขับออกไปแล้วกัน เอาแต่หาว่าผมขับไม่ได้เรื่องอยู่นั่น ดูซิว่าพี่ขับแล้วมันจะแตกต่างออกไปยังไง”

ผมกับพี่กชกลับมาประจำที่รถ มีรถเอทีวีอีกคันแซงหน้าพวกเราขึ้นไปก่อน ดีนะที่พวกเขาไม่ได้เห็นบทพลอดรักของผมกับพี่กชเมื่อกี้ ไม่งั้นผมคงต้องขอมุดรูดินหนีตรงนี้เลย ถึงเวลาอยู่กับเขาผมจะทำตัวซ่าได้บ้าง แต่นั่นก็เฉพาะตอนอยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้นแหละครับ ถ้าเกิดมีคนอื่นมาร่วมรับรู้ด้วย… บอกเลยว่าผมอายม้วนจนไม่กล้าทำอะไรหรอก

และเมื่อพี่กชขับรถเอทีวีออกมา ผมก็บอกได้เลยว่ามันก็ไม่ได้ดีกว่าตอนที่ผมขับเท่าไรหรอก คือไอ้รถนี่มันเอาไว้ลุยวิบากอยู่แล้วไง ยังไงมันก็ต้องโคลงเคลงแล้วก็สะเทือนไปถึงตับแบบนี้แหละ

ระหว่างที่ตัวรถยังแล่นอยู่บนทางที่ทางสนามแต่งไว้ให้ พี่กชก็พูดเสียงดังฝ่าเสียงเครื่องยนต์และแรงลมออกมา

“สนุกรึเปล่า มิว? ” พี่กชถามหลังจากที่เราเอารถไปคืนทางสนามแล้วเดินกลับไปขึ้นรถของเราเอง

“หืม? ” ผมที่กำลังยื่นเงินจ่ายค่ามะพร้าวไม่ทันได้ฟัง พอใส่หลอดสองอันเข้าไปตรงส่วนที่ให้ทางร้านเฉาะมาให้แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นไปถาม “เมื่อกี้พี่กชว่าอะไรนะครับ”

พี่กชคลี่ยิ้ม มือปัดผมสีดำบนหน้าผากผมออกแล้วทาบจูบลงบนนั้นเร็วๆ ทีหนึ่ง ผมหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องสงสัยเลย นี่ต้องเป็นบทลงโทษที่ผมไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่พี่กชพูดแน่

“พี่ถามว่ามาเที่ยวกับพี่เป็นไง”

“อ้อ” ผมพยายามยิ้มกลบเกลื่อนหน้าที่ร้อนขึ้นมาของตัวเอง “สนุกดีครับ ผมไม่เคยยิงธนูหรือขับเอทีวีของจริงมาก่อน”

“เอ่อ จริงๆ ไอ้แบบนั้นมันก็ไม่ได้ของจริงอะไรหรอกนะ” พี่กชหัวเราะ “ออกแนวชาวบ้านๆ มากกว่า แต่ถ้ามิวสนุกก็ดี”

“สนุกสิครับ” ผมพยักหน้ายืนยัน “ปกติผมเล่นแต่เกมหน้าจอตลอด อย่างยิงธนูอะไรก็เคยนะ แต่เป็นในหน้าจอไง”

“แล้วของจริงเป็นไง? ”

“สนุกดีครับ” ผมยิ้มพร้อมกับยื่นมะพร้าวให้ “นานๆ ทีออกมาเล่นอย่างอื่นนอกจากเกมหน้าจอก็ดีเหมือนกัน”

พี่กชเอื้อมมือมายีหัวผมแรงๆ “งั้นไว้ไปเที่ยว หาอะไรสนุกๆ ทำกันอีกนะ”

อยู่ๆ ผมก็เข้าใจว่าทำไมพี่กชถึงอยากพาผมมาเที่ยวแต่เช้าในวันนี้… เขาอยากให้ผมอารมณ์ดีขึ้นสินะ เพราะหลังๆ มาผมแทบไม่เอนจอยอะไรเลย แม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ผมก็แทบไม่ได้แตะ

แค่คิดว่าเขาทำทุกอย่างนี่เพื่อผมแล้ว… ผมก็รู้สึกเหมือนใจเต้นรัวขึ้นมาขณะพูดตอบเขาไป

“ตกลงเลยพี่”

“แล้วก็… พี่มีเรื่องอยากขออีกเรื่อง” เขาว่าเหมือนไม่แน่ใจ หยิบกุญแจรถขึ้นมากดสวิตช์เปิดประตู ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“อะไรเหรอพี่”

“ถ้ามิวมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ… หรือมีเรื่องอะไรอีก พี่อยากให้มิวบอกพี่ทุกเรื่อง”

เขาสบตาผมตรงๆ ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา วินาทีนั้นผมนึกถึงเรื่องพี่ก้อยขึ้นมาเป็นอย่างแรก อันที่จริงเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผมคาใจมานานแล้วแต่เพราะมีเรื่องต่างเกิดขึ้นมามากมาย ผมเลยไม่ได้พูดออกไปสักที แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่หรอกนะ

“พี่เป็นแฟนมิว… ถ้าเกิดมิวมีอะไร พี่ก็อยากเป็นคนแรกที่ได้ปลอบมิว อยากคอยดูแลมิว เพราะงั้นมิวให้โอกาสพี่ตรงนี้ได้ไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมิวอีก โทรมาบอกพี่ก็ได้ถ้าพี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

อ้อ… เขาคงน้อยใจเหมือนกันที่ผมไม่ได้บอกเขาทันทีวันที่โดนซ้อมนั่น แถมเขายังรู้เรื่องทีหลังแนทกับพี่บอสอีก

“ตกลงนะมิว? ” เขาถามย้ำเหมือนต้องการคำตอบ ผมพยักหน้าทีหนึ่ง

“ครับ พี่กช ผมสัญญา”

เขาคลี่ยิ้มหวานมาให้อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เปิดประตูรถฝั่งข้างที่นั่งคนขับให้ผม เออ แบบนี้แปลว่าผมก็ต้องรีบบอกเขาเรื่องพี่ก้อยสิ ไม่งั้นจะถือว่าผมผิดสัญญาที่เพิ่งให้ไปเมื่อกี้ใช่ไหม?

“งั้นขึ้นรถเถอะ มิวมิว เดี๋ยวพี่พาไปบ้านพี่นะ ไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่หน่อย จะได้พามิวไปแนะนำให้รู้จักด้วย”

“หะ? ” ผมอุทานงงๆ แต่คนขับรถกลับเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งของตัวเองแล้ว

เดี๋ยวนะ…. แนะนำให้รู้จักกับทางบ้าน?

ไม่เห็นพี่กชบอกผมล่วงหน้าเลยสักคำ แล้วผมจะทำตัวถูกได้ไงเล่า!?





-------------------------------------
Talk: มาๆ หายๆ ช่วงนี้เม้นน้อยจังเลยทุกคน เลาใจคอไม่ดีเลย TvT //แต่รักทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ม้วฟๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 11:21:22 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เซอร์ไพรส์เลยไหมล่ะมิวมิว

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
มาเร็วเคลมเร็วจริงคุณพี่ คบไม่เท่าไหร่พาเข้าหาพ่อแม่เลย

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
จะมีแต่ความหวานละสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด