Love simulator เกมรักทดลองใจ (บทส่งท้าย) P.6 [4/3/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love simulator เกมรักทดลองใจ (บทส่งท้าย) P.6 [4/3/2018]  (อ่าน 64763 ครั้ง)

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
พี่บอสพูดไปโดยไม่คิดหรือตั้งใจพูดเนี่ย
จะบอกว่ามิวหลอกใช้พี่กชก็ไม่ถูก ในเมื่อไม่ได้หลอก
แต่พี่กชกับมิว ตกลงกัน คือรับรู้ทั้งสองฝ่าย เฮ้อ

แต่ถ้าจะเอาสบายใจน่าจะพอเถอะ ไม่งั้นอาจจะเลยเถิดนะ
หรือเป็นแฟนกันจริงเลยไหม ฮ่าๆ
เอาจริงๆ ลึกๆไม่รู้พี่กช คิดยังไง
จากชีวิตประจำวันพี่กช ที่เพื่อนบอก
มิวจะคิดมากก็ไม่แปลก ขนาดคนอ่านยังคิดมากตามมิวเลย


ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ก็ใช่นะที่บอกว่านี่คือการใช้คนเป็นเครื่องมือ แต่ละครฉากนี้เกิดจากการตกลงกันเรียบร้อยแล้วทั้งสองฝ่าย บอสจึงไม่ควรพูดเบลมมิวแบบนั้น
ถึงแม้ในมุมมองของเพื่อนมันจะรู้สึกไม่ดีก็เหอะ อันนี้พูดในกรณีที่บอสไม่น่ามีอะไรในก่อไผ่นอกจากความเป็นเพื่อนอะนะ
แต่ว่า....ถ้าบอสมีอะไรในกอไผ่ก็...หึหึหึ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 7




กรกชรู้สึกได้ว่ารูมเมทที่เป็นรุ่นน้องของเขามีท่าทีแปลกไปในช่วงสองสามวันนี้ ตั้งแต่ที่เขากลับมาหอตอนค่ำวันอาทิตย์แล้ว

"เฮ้ย มิว" ชายหนุ่มเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งเหม่อหมุนดินสอเล่นในมือไปมาส่งผลให้ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเขาสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ ซึ่งกชเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามิวจะตกใจอะไรขนาดนั้น ช่วงนี้ดูขวัญอ่อนแปลกๆ ชอบกล

"เอ่อ อะไรครับ พี่กช? "

"นี่นายเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย อาทิตย์นี้ดูใจลอยๆ นะ เหนื่อยเรื่องเรียนอยู่หรือไง" ที่ถามแบบนี้เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสอบ เพื่อนรอบตัวเขาหลายคนก็มีอาการซอมบี้หลุดออกจากหลุมมาเหมือนกัน (ส่วนตัวเขาที่ไม่ค่อยแคร์อะไรก็ชิลๆ ตามเดิม)

"ก็นิดหน่อยครับ อาจารย์ญี่ปุ่นผมออกข้อสอบยากน่ะ" เจ้าตัวพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ ทำเป็นก้มหน้าก้มตาคัดตัวหนังสือยึกยือที่เหมือนลายแทงสมบัติต่อ กรกชขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะยื่นหน้าไปมองใกล้ๆ วิชาด้านภาษานี่เป็นอะไรที่เขาแขยงมาแต่ไหนแต่ไร

"เอ่อ โทษทีนะ ถ้าภาษานี่ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ " ถ้ามาพวกฟิสิกส์หรือคำนวณอะไรงี้อาจจะพอช่วยได้

"ไม่เป็นไรหรอกพี่" มิวหัวเราะร่วน ดูสดใสขึ้นมากว่าเมื่อกี้นิดหนึ่ง "แค่พี่อยากจะช่วยก็ดีใจแล้ว งั้นผมขอท่องคันจิต่อก่อนนะ ผมจะเสียบหูฟังล่ะ"

ว่าแล้วเจ้าตัวก็หลุดเข้าไปในห้วงสมาธิของตัวเอง ทำเอากรกชได้แต่กะพริบตาปริบๆ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มเลยเดินไปหยิบตำราของตัวเองขึ้นมาอ่านเตรียมสอบบ้าง

เขาไม่ใช่คนที่ผลการเรียนดีเท่าไร เรียกว่าไม่เก่งภาคทฤษฎี แต่ถ้าในด้านปฏิบัติเขามั่นใจว่าตัวเองไม่แพ้ใคร อาจจะเป็นเพราะธุรกิจที่บ้านเกี่ยวข้องโดยตรงกับสายนี้ก็ว่าได้ แต่ไอ้ตัวที่วัดความสามารถเขาออกมาเป็นเกรดดันเป็นแง่ของทฤษฎีซะเป็นส่วนใหญ่นี่สิ และถึงเขาจะไม่ค่อยแคร์เกรดตัวเองเท่าไร แต่พ่อกับแม่ของเขาแคร์ เพราะงั้นอย่างน้อยเอาแค่ไม่ตกก็แล้วกัน

จมอยู่กับตัวหนังสือได้เกือบสองชั่วโมง กรกชที่เหลือบมองรุ่นน้องร่วมห้องเป็นระยะๆ ก็หมดความอดทน เขาโยนเอกสารการเรียนทั้งหมดกระจายทั่วเตียงก่อนจะถลาลงไปซุกหมอนเหมือนคนผ่านเรื่องหนักหนาในชีวิตมา ไม่วายต้องคว้าหมอนข้างจากเตียงข้างๆ มากอดด้วย มิวหันกลับมามองรุ่นพี่แล้วส่งยิ้มขันมาให้ขณะถอดหูฟังออก

"เป็นอะไรน่ะพี่ หนังสือเรียนทำพิษเหรอ? "

"มาก" พูดโดยที่แขนขายังกอดก่ายหมอนข้างที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างเมามัน "มิวจะอ่านเสร็จเมื่อไหร่ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนคาบสุดท้ายเหรอ"

"ไม่มีครับ วันนี้อาจารย์ยกเลิกคลาส"

"แล้ววันนี้จะอัดคลิปไหม นี่อาทิตย์นี้ยังไม่ได้อัดกันเลยนะ"

มิวชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น ก่อนเจ้าตัวจะว่าด้วยท่าทีไม่แน่ใจ "อืม... ไม่รู้สิครับ จริงๆ ผมก็ว่าจะอัดอยู่ หลังจากนี้พี่กชมีอะไรรึเปล่าล่ะ"

"ไม่มี" ตอบพร้อมกับยันตัวนั่งบนเตียงอย่างกระตือรือร้น "วันนี้เราเล่นเพลย์สี่กันไหม เห็นมิวบอกเพิ่งได้เกมใหม่มาไม่ใช่เหรอ"

"ก็ใช่ครับ" พูดพร้อมกับทำหน้ามู่ทู่อย่างหนักใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูดีน้อยลงเลยในสายตาคนมอง "แต่ผมตั้งใจจะเก็บเกมนั้นไว้เล่นหลังสอบเสร็จนะนั่น กลัวติด ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี แต่พอพี่ทักขึ้นมาผมก็ชักอยากเล่นแล้วสิ"

"ไม่บังคับนะ แล้วแต่มิว" กชว่าพร้อมกับชูแขนขึ้นสองข้าง "แต่พี่ก็อยากเล่นเหมือนกัน"

มิวส่งยิ้มสว่างสดใสกลับมาให้อีกครั้ง เหมือนสองสามวันที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้เห็นเลย เรื่องเกมทำให้หมอนี่อารมณ์ดีเสมอล่ะ

"ไม่บังคับ แต่ก็หาทางพูดยั่วผมอยู่ดีสินะ? "

"เปล่าสักหน่อย" พูดลอยหน้าลอยตา "ก็แค่คิดว่าอยากเล่นเฉยๆ แถมอ่านหนังสือหนักเกินดีไม่ดีสมองจะเดี้ยงซะเปล่าๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? "

มิวไม่ค้านอะไรเลย หรือต่อให้ค้าน กชก็เตรียมจะหาทางตะล่อมต่อจนกว่ารุ่นน้องเขาจะยอมนั่นแหละ

กรกชนั่งเหยียดขาบนเตียงนั่งเล่นมือถือขณะที่มิวจัดแจงเตรียมกล้อง เตรียมโปรแกรมอัด เซ็ทมุมดีๆ ทดสอบว่าจอยใช้ได้เรียบร้อยไหมนู่นนี่นั่น

นัยน์ตาสีสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นระยะๆ โดยที่มิวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

เขาชอบเวลาที่ได้เห็นรูมเมทรุ่นน้องคนนี้จัดแจงเตรียมถ่ายวิดีโอ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามิวตั้งใจทำคลิปของตัวเองจริงๆ และเจ้าตัวก็สมควรได้รับผลตอบรับที่ดีในความพยายามนั้น

ในที่สุดดวงโตสีดำขลับที่กลมโตกว่ามาตรฐานทั่วไปก็หันกลับมามองที่เขา

“พี่กช ผมเตรียมของเสร็จแล้ว พี่จะมาเลยไหมครับ? ”

“แป๊บหนึ่งนะ” เขาว่พร้อมกับแกล้งก้มลงจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอมือถือมั่วๆ ใจจริงเขาอยากจะพุ่งตัวไปนั่งใกล้คนตัวเล็กกว่าเลยทันทีด้วยซ้ำ แต่เขากลัวว่ามิวจะรู้… กลัวว่ามิวจะเห็นว่าเขากระตือรือร้นมากไปก็เท่านั้นเอง

ในที่สุดทั้งคู่ก็มานั่งบนพื้น เล่นเกมโดยใช้หน้าจอโทรทัศน์อย่างที่มิวไม่ได้ทำมาพักใหญ่ เจ้าของช่องพูดเปิดรายการพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง

“สวัสดีครับทุกคน กลับมาเจอกันอีกแล้วกับช่องสไลม์สไมลส์นะครับ วันนี้ผมเอาพี่กชมานั่งเล่นด้วย เราจะมาเล่นเกมใหม่กัน ใช่ไหมพี่? ”

“ช่าย” กรกชพูดตอบยิ้มๆ ลักษณะคาแรกเตอร์เขาในสายตาผู้ชมจะนิ่งกว่ามิว แต่พูดยียวนกวนประสาทได้มากกว่าถ้าได้เปิดปากออกมา “นี่ไง เราจะเล่นเกมนี้” กรกชออกเสียงชื่อเกมพร้อมกับโชว์หน้ากล่องให้กล้องดู

เริ่มเกมมาด้วยตัวละครสองตัวที่เป็นคู่หูกันและต้องเดินทางออกจากเมืองที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ที่พร้อมจะกินสมองพวกเขาทั้งคู่

มิวเลือกเล่นตัวละครผู้ชายซึ่งเป็นพระเอกของเกม ส่วนกรกชก็ต้องรับบทผู้หญิงไปตามประสาคนถือจอยผู้เล่นหมายเลขสอง

แต่กระนั้นไม่วายเจ้าตัวก็สามารถเอนเตอร์เทนตัวเองได้ด้วยการ…

“โห สุดยอด อลิซนี่เด้งสุดๆ หน้าอกหน้าใจนี่ใช่เลย”

“ถึงตรงนี้เราจะใช้ปืนไรเฟิลเพื่อเล็งเป้าหมายระยะไกลกันนะครับ” นี่เจ้าของช่อง

“มิว เมื่อกี้เห็นท่ากระโดดพี่ปะ แล้วยัยนี่ใส่กระโปรงสั้นขนาดนั้น เห็นหมด แจ่มไปเลย”

“โอ๊ย พี่ อย่าหื่นมากได้ไหม อ๊ะ ตรงนั้นมีระเบิด”

“เดี๋ยวๆ ๆ เมื่อกี้มิวก็เก็บไปแล้วไม่ใช่เหรอ” กชรีบบังคับตัวละครของตัวเองไปแย่งเก็บของ “แบ่งพี่มั่งดิ นี่แทบจะโล้นอยู่แล้วเนี่ย”

“โล้นอะไรครับ อลิซพี่ก็มีผมตั้งเยอะ”

“หมายถึงเนื้อตัวโล้น ไม่มีอะไรติดมือเลย”

“เสื้อผ้าก็ยังมีนี่ครับ”

“จะเล่นใช่ไหมมุกนี้”

ว่าแล้วนายกชก็ใช้ทักษะพิเศษของตัวละครพุ่งทะยานไปช่วงชิงไอเทมตัดหน้ามิวได้สำเร็จ มิวอ้าปากค้างก่อนจะโวยวายเสียงหลง

“โหย พี่ ทำงี้ได้ไง นั่นของผมนะ เอ้ย! กล่องยา ไม่ ไม่ อันนี้ของผม ผมไม่ให้พี่หรอก”

“อย่าหวังเลยว่าจะยอมง่ายๆ ”

แล้วตัวละครสองตัวที่ควรจะร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดก็เริ่มแย่งของกันเอง แต่ตัวในเกมที่มิวเล่นไม่มีทักษะวิ่งเร็วแบบของกช สุดท้ายชายหนุ่มก็เคี้ยวฟันอย่างคับแค้น ก่อนจะตัดสินใจกระแทกไหล่ของตัวเองลงบนบ่าของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ เต็มแรง ทำเอากรกชร้องเหวอทันที

“ไอ้มิว! มึง! ”

“โอ๊ย พี่ พูดคำหยาบ ไม่ดีๆ ๆ ” พูดงั้นแล้วก็ระเบิดหัวเราะอย่างสะใจเต็มที่ เขาบังคับตัวละครให้ใช้มีดฟันซอมบี้ตัวหนึ่งอย่างชำนาญ ก่อนคนเล่นจะต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะมีนิ้วมรณะจิ้มลงที่สีข้าง

ประเด็นคือเขาบ้าจี้มากๆ ด้วยไง

“โอ๊ย! พี่กช อย่าโกงดิ้! ตัวเองช้าเองแล้วจะมาทำงี้ได้ไง”

“โห พูดมาได้ ตัวเองไม่โกงเลยเนอะ” โต้กลับเสียงกลั้วหัวเราะ เอ็นดูคนข้างตัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ว่าแล้วทั้งคู่ก็ลงมือจัดการซอมบี้ในเกมต่ออย่างเมามัน มิวคอยพูดพากย์ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คลิปเงียบ กชเองที่อยู่ร่วมห้องกับอีกฝ่ายมาพักใหญ่ยังดูออกเลยว่าเจ้าตัวมีศิลปะในการพูดมากขึ้น อันที่จริงแล้วเขาคอยสังเกตมิวตลอด บางทีแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

น่าจะเป็นเอาหนัก… แต่มันก็สนุกดีที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางแบบต่างๆ ของเพื่อนรุ่นน้องคนนี้

หลังจากเล่นเกมกันไปได้พักใหญ่ ในที่สุดมิวก็เริ่มพูดปิดคลิปส่งท้าย บอกลาแฟนๆ จากนั้นก็กดหยุดอัดวิดีโอ เจ้าตัวผิวปากอย่างอารมณ์ดีขณะเริ่มจัดแจงเตรียมนำไฟล์ไปแปลงแล้วตัดต่อคลิป กชเห็นแบบนั้นแล้วก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ในที่สุดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักทีนะ”

มิวหันหน้าขวับกลับมาอย่างตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นงงๆ

“พี่กชพูดเรื่องอะไรครับ? ”

“อ้าว ก็…” จะอธิบายยังไงดี “เห็นสองสามวันที่ผ่านมานายดูนอยด์ๆ บอกไม่ถูก เหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี”

“ก็…” มิวอึกอักเล็กน้อย “ก็ผมบอกพี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเครียดสอบน่ะ”

อย่างหนึ่งที่กชรู้จากการสังเกตอีกฝ่ายคือเวลาที่มิวพูดโกหก เจ้าตัวจะหลุกหลิก ไม่มองตาเขาตรงๆ กชจึงจัดการด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วมองตาตรงๆ แอบเห็นด้วยว่าพวงแก้มขาวของเจ้าตัวแดงระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง มีปฏิกิริยาแบบนี้ไม่ให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองได้ไง

“แน่ใจเหรอว่าแค่เรื่องสอบ”

“เอ่อ ก็…”

“สอบคราวก่อนไม่เห็นเป็นหนักขนาดรอบนี้เลย”

มิวเงียบ กชเองก็ไม่พูดอะไรแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา ในที่สุดมิวก็ถอนหายใจเฮือกออกมา

“พี่กชบอกเรื่องที่เราแกล้งคบกันให้พี่บอสรู้เหรอครับ”

“บอส? ” ตอนแรกเขาจะถามกลับไปแล้วว่าบอสไหน เขารู้จักบอสสองคนในชีวิต แต่พอคิดว่าคนหนึ่งเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัดแล้วก็ตัดทิ้งไปได้ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คุยกับบอสนั้นมาหลายเดือนแล้ว งั้นก็เหลืออยู่แค่บอสเดียว “อ้อ ใช่ พี่บอกเองเแหละ”

“อ้อ” มิวพยักหน้าหงึก

“ไม่ได้เหรอ? ” ก็คราวก่อนเขาถามมิวแล้วว่าบอกเพื่อนได้ไหม มิวก็ตอบตกลงนี่นา

“เปล่าครับ ผมไม่มีปัญหาอะไร แค่แบบ… พี่เขาดูน่ากลัวๆ รึเปล่า”

“ไอ้บอสมันก็ท่าทางแบบนั้นเอง จริงๆ มันไม่มีอะไรหรอก” เขาว่า “ว่าแต่นี่ไปเจอมันมาเหรอ”

“ครับ เมื่อวันอาทิตย์ เจอพร้อมกับพี่กลุ่มพี่แก๊ป เห็นว่ามาเตะบอลกัน”

“เออ นั่นสินะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปเลย”

กชว่าเขาเห็นมิวเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง “ถ้าพี่ยุ่งเพราะมาถ่ายคลิปกับผม---”

“เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้นดิ” อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กบ้านี่คิดมากเรื่องนี้ “พี่ชอบเตะบอลนะ แต่แคสเกมกับมิวก็สนุกดี พี่ก็ชอบเหมือนกัน”

ดวงตาที่โตอยู่แล้วของอีกฝ่ายเบิกกว้างขึ้นมาอีกจนดูน่าตลก

“พี่แน่ใจนะ? ”

“แน่ใจดิ”

“ไม่ใช่แค่พราะเห็นแก่กินเลยฝืนแคสเกมกับผมแน่นะ? ”

โอ๊ย ไอ้รุ่นน้องคนนี้

“บ้าเหรอมิว” พูดพร้อมกับคลี่ยิ้ม มือหนาเลื่อนไปยีศีรษะของคนตัวเตี้ยกว่า “มิวก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่เป็นคนขี้เบื่อ ถ้าทำแล้วไม่สนุกนะ พี่ไม่ฝืนทำหรอก ต่อให้มิวจะเลี้ยงข้าวพี่ทุกมื้อก็เถอะ แต่ถ้าพี่ไม่อยาก พี่ก็ไม่ทำ ทีนี้เข้าใจตรงกันไหม”

มิวพยักหน้ารับหงึกหนึ่ง “เข้าใจครับ”

“ดีแล้ว ส่วนเรื่องไอ้บอสน่ะไม่ต้องไปคิดมาก มันกวนตีนของมันอย่างนั้นเอง”

“แต่ดูแล้วพี่บอสดูสนิทกับพี่กชนะ? ”

“ก็สนิทกันทั้งกลุ่มแหละ” เขาหมายถึงแก๊ป บีม แล้วก็ตูนด้วย “แต่อืม… นั่นสินะ กับบอสคงสนิทที่สุดแล้ว”

“เอ่อ พี่กช”

“อะไรครับ? ”

“พี่เคยมีแฟนมาก่อนเหรอ”

คำถามนั้นทำเอาผู้เป็นรุ่นพี่แทบจะหัวเราะก๊ากออกมา

“ก็ต้องเคยดิ” เขานึกว่าใครๆ ก็รู้เรื่องนี้ซะอีกเพราะไม่เคยปิดเป็นความลับ “ทำไม? หรือหน้าตาอย่างพี่นี่ไม่น่ามีแฟน? ”

“เปล่าๆ ๆ หน้าตาอย่างพี่อะน่ามี แต่นิสัยนี่อีกเรื่องนะครับ บอกเลย”

“อ้าว ไอ้เด็กนี่” ว่าแล้วกชก็ลดมือลงไปจี้เอวคนตัวเล็กกว่า แน่นอนล่ะว่ามิวสะดุ้งเฮือก เจ้าตัวโวยวายพร้อมกับจี้เอวเขากลับ แต่กชก็ไม่สะทกสะท้านอยู่ดี”

“เสียใจ” กรกชคลี่ยิ้มยียวน “พี่ไม่บ้าจี้ว่ะ”

“จำไว้เลยนะพี่กช”

“ม่ายอ้ะ เป็นคนความจำไม่ดี”

แล้วมือเล็กก็ฟาดลงบนตัวเขาด้วยความหมั่นไส้ทีหนึ่ง กรกชหัวเราะร่วน เขาเอี้ยวตัวหลบแล้วแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี แต่ให้ตายเถอะ เขาชอบเวลาได้แหย่หมอนี่จริงๆ

“นี่ไง เดี๋ยวพี่เอารูปแฟนเก่าให้ดู ชื่อก้อยน่ะ จริงๆ ในเฟสก็มีตั้งเยอะนะ พี่ไม่ได้ลบทิ้ง”

มิวปียเตียงขึ้นมานั่งข้างๆ ร่างสูงที่เริ่มเปิดหารูปคู่กับแฟนเก่าให้ดู กรกชในรูปดูเด็กกว่าตอนนี้ไปเล็กน้อย เขาเป็นคนที่หน้าตาดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เรื่องเสื้อผ้ากับทรงผมที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงนี่ดูเหมือนจะเป็นมานานและคงแก้ไม่หาย ส่วนหญิงสาวข้างกายเขาเองก็ดูดีไม่แพ้กันเลย หล่อนมีเส้นผมสีดำสนิทคลออยู่บนพวงแก้มทั้งสองข้าง หล่อนยิ้มสดใสมาให้จากในรูป ส่วนกชก็เพียงยิ้มมุมปากนิดๆ แบบที่ชอบทำเป็นประจำ

กชเลื่อนนิ้วไปเพื่อให้รูปอื่นๆ พร้อมกันนั้นก็อธิบายไปด้วยว่าไปถ่ายที่ไหนมา ถ่ามาตอนไหน และตอนนั้นตัวเองรู้สึกยังไง

“เอาจริงพี่ไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร” กชสารภาพ “แต่ก้อยชอบ แล้วก็บังคับให้พี่ถ่ายด้วยอยู่นั่นแหละ ก็ได้แต่ต้องตามใจเขา”

“อ้าว พี่ไม่ชอบถ่ายรูปเหรอครับ” ส่วนมิวเองเฉยๆ ไม่ชอบไม่เกลียด “แล้วที่ถ่ายวิดีโอกับผมทุกวี่ทุกวันนี่ล่ะ? ”

“ถ่ายวิดีโอกับมิวมันโอเคไง มันเป็นธรรมชาติได้ แต่ถอถ่ายรูปเฉยๆ พี่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี มิวไม่เห็นเหรอเนี่ย ในรูปพี่ยิ้มเจื่อนจะตาย มันเกร็งอ่ะ ไม่เหมือนถ่ายวิดีโอกับมิวที่ปล่อยตัวตามสบายได้”

“อ้อ” มิวพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ คำพูดตรงๆ จากกชทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก “แปลว่าผมไม่ได้แค่ใช้พี่เป็นเครื่องมือสินะ”

คำพูดนั้นทำเอารอยยิ้มบนหน้าร่างสูงหุบฉับ

“ทำไมมิวพูดแบบนั้นล่ะ”

“เอ่อ เปล่าครับ ก็…” คนตัวเล็กกว่ารีบยกมือขึ้นมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“มิวเคยถามพี่เรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ และตอนนั้นพี่ก็จำได้ว่าตอบไปชัดเจนว่าไม่ได้รังเกียจเลย”

“ผมจำได้ครับ”

“แล้วเมื่อกี้พี่ก็พูดย้ำอีกรอบใช่ไหมว่าถ่ายวิดีโอกับมิวน่ะมันสนุกดี แล้วพี่ก็ปล่อยตัวตามสบายได้”

“ใช่ พี่พูด แต่--”

“แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้มิวคิดจะใช้พี่เป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงมากขึ้น พี่ก็ยอม”

คำพูดนั้นทำเอามิวอ้าปากค้าง จากนั้นเจ้าตัวก็หน้าแดงเถือกขึ้นถึงหลังหู ก้มหน้างุดๆ ก่อนจะพูดเหมือนบ่นนิดๆ ในลำคอ

“พี่… จะบ้าเหรอ พี่จะยอมเป็นเครื่องมือของใครคนอื่นง่ายๆ ไม่ได้นะ…”

“กับคนอื่นคงใช่” กรกชพูดหน้าตาเฉย “แต่กับมิวพี่ยอม”

“! ” เงยหน้าพรวดขึ้นมามองหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของรุ่นพี่อย่างตื่นตะลึง เขาอยากจะถามต่อว่านั่นหมายความว่ายังไง แต่เพราะหัวใจที่เต้นรัวในอกนี่ทำให้เขาสั่นขึ้นมา มิวพูดอะไรไม่ออก

“มิวไม่ใช่คนอื่น”

“พี่กช…”

“มิวเป็นรูมเมทพี่นะ” ใบหน้าคมคลี่ยิ้มมาให้ วางมือลงบนเส้นผมสีดำนุ่มของรุ่นน้องอย่างอ่อนโยน “แล้วก็เป็นแฟนปลอมๆ ของพี่ด้วย จำได้ไหม”

“...” เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นัยน์ตาสีน้ำตาลของคนเป็นรุ่นพี่มันลึกล้ำเกินไป เขากลัวที่จะตีความหมายนั้นเองมั่วๆ

“เพราะงั้น… ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ มิว พี่ไม่ชอบเวลาเห็นมิวเครียด”

“...” ยังคงพูดไม่ออก

“พี่… แคร์มิวนะ”

มิวรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองจะระเบิดออกมาได้อยู่แล้ว!






 -----------------------------------------------------
Talk: เทอ้อยใส่กัน ง่อววววว

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
พี่กชชช รุกเลย  :z2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอ้ย น้องมิวน่ารัก
อย่าเครียดเยอะเลยนะ คุณพี่เขาเป็นห่วงงง
//ว่าแต่พี่บอสนี่ยังไงกันนะ

ขอบคุณสำหรับงานเขียนตอนนี้ค่า เป็นกำลังใจให้กับคนเขียนนะค้า :)

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หูยยยยยย ตอนนี้พี่กชเอาใจไปเลย :give2:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 8




ผมหมดคาบเรียนตั้งแต่บ่ายสาม ดังนั้นผมจึงนั่งมอเตอร์ไซค์กลับหอเพื่อมาทำการบ้าน อ่านหนังสือทบทวน ท่องคันจิ แล้วค่อยเตรียมอัดคลิปที่จะถ่ายลงยูทูปวันนี้ อย่างน้อยนั่นก็เป็นแผนในหัวตอนที่ผมยังอยู่ในห้องเรียนน่ะนะ แต่พอถึงห้องตัวเองจริงๆ ผมก็ทำแค่ล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงโดยที่ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่แบบนั้น

หลายวันมานี้ผมเอาแต่นึกวนเวียนถึงเรื่องที่พี่กชพูด สิ่งที่รุ่นพี่บ้าบอคนนั้นพูดออกมามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

ไม่รู้ว่าแปลกในแง่ดีหรือร้ายหรอกนะ แต่ยอมรับว่าผมไม่ได้เกลียดความรู้สึกที่ว่า

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูคอมเม้นท์ในช่องของตัวเอง เปลี่ยนหน้าไปดูคอมเม้นท์และโพสต่างๆ บนหน้าเพจเฟซบุ๊ค คอมเม้นท์ของแฟนๆ ก็ยังกรี๊ดกร๊าดคู่ของผมกับกชอย่างถล่มทลายเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในช่วงนี้ก็คือผมกลับรู้สึกพองฟูในอกอย่างประหลาด… เหมือนมันดีใจนิดๆ น่ะที่ทุกคนชอบที่เห็นว่าเรารักกัน และมันทำเอาผมหุบยิ้มไม่ได้เลย

ให้ตายเถอะ ลองมาย้อนดูคลิปเก่าๆ ที่ผมเล่นเกมกับไอ้คุณพี่กชแล้ว ยอมรับเลยว่าพี่เขาเองก็ทำตัวได้เป็นธรรมชาติ รับมุกหยอดมุกกับผมได้อย่างเป็นจังจะโคน เรียกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เสน่ห์แล้วก็น่ารักมากคนหนึ่ง

บางทีถ้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อน พี่กชอาจไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด แต่พอเขาพูด เหมือนเขาสามารถเรียกความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตัวเองได้

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยอดวิวผมมันถึงได้เพิ่มสูงขึ้นนัก เพราะผมได้เขามาช่วยทำวิดีโอนี่แหละ

ตอนนี้ยอดวิวในคลิปของผมค่อนข้างคงที่แล้ว แต่คงที่ที่ว่าคือห้าหมื่นวิวต่อหนึ่งคลิป ถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยออกมาน่ะนะ

ให้ตายเถอะ มีความสุขชะมัด แล้วผมก็มีบรรดาแฟนคลับมาคอยคอมเม้นท์ คอยส่งข้อความหลังไมค์มาว่ามีความสุขเวลาได้ดูวิดีโอที่ผมเล่นเกม นั่นยิ่งทำให้ผมยินดีเข้าไปใหญ่

ผมกดเข้าไปในเฟซบุ๊คส่วนตัวของตัวเอง จากนั้นก็กดเปิดหน้าโปรไฟล์ของพี่กชขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัว วันนี้พี่กชมีเรียนถึงค่ำเลยเพราะงั้นคลิปวันนี้คงไม่ได้ถ่ายด้วยกัน

แอบเหงานิดหน่อยๆ … แต่เดี๋ยว! ใจเย็นก่อน ยังไงนี่ก็ยังเป็นช่องของผมอยู่นะ ผมจะมาไม่อัดคลิปเพราะพี่กชไม่อยู่ไม่ได้ อย่าทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวังสิ

ผมเลื่อนไปดูรูปเก่าของพี่กชอย่างเผลอตัว มองรูปคู่ของเขากับแฟนเก่าที่ชื่อก้อยอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่ได้ยิ้มแล้ว

พี่กช… เคยคบกับผู้หญิงมาก่อน งั้นก็แปลว่าเขาไม่ใช่เกย์แล้วล่ะ อย่างน้อยก็รู้เรื่องนั้นเรื่องหนึ่ง ผมจะได้เอาไปตอกหน้าไอ้เก่งสักทีว่าผมหาข้อมูลมาแล้ว ไม่ได้ไม่สนใจอะไรคนรอบตัวเลยอย่างที่มันกล่าวหา

ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงนี้ทำให้ผมยินดีหรือผิดหวังกันแน่ ซึ่งนั่นก็โยงไปให้ผมงุนงงอีกว่าทำไมผมต้องยินดีหรือคาดหวังอะไรกับรสนิยมทางเพศของพี่กชด้วย เขาจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย

เอ… หรือว่าเกี่ยว? เพราะถึงยังไงพวกเราสองคนก็แกล้งเล่นเป็นแฟนกันอยู่ ถ้าเขาชอบผู้หญิง งั้นยังไงก็คงไม่หวั่นไหวกับการเล่นละครของพวกเราสองคนแน่ แต่ถ้าเขาชอบผู้ชาย… เอ่อ เขาก็อาจจะสนุกดีที่ได้เล่นเป็นแฟนกับผู้ชายก็ได้ จะว่าไปเขาก็บอกว่าเล่นเกมอัดวิดีโอกับผมสนุกดีเหมือนกันด้วยนี่?

“....”

เอาล่ะ พอ เลิกคิด ฟุ้งซ่านมากมิว ไป ลุกขึ้นไปทำสิ่งที่ต้องทำดีกว่า







ผมนอนจ้องเพดานด้านบนของห้องมาเป็นเวลาร่วมชั่วโมงแล้ว นิ้วที่กำรอบผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ออกแรงขยำมากขึ้นเมื่อในหัวพาผมไปท่องโลกจินตนาการอันน่าสยดสยองที่ผมไม่ได้อยากจะนึกถึงเลยสักนิด แต่ภาพสยองขวัญพวกนั้นก็ยังลอยเข้ามาติดตาอยู่ดีประหนึ่งจะแกล้งกันไม่ให้หลับให้นอนไปถึงรุ่งสาง

อ้อ คุณกำลังถามเหรอครับว่าผมเป็นอะไร ผมจะเป็นอะไรไปได้ล่ะถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในสภาวะหลอนเกมที่เล่นเมื่อช่วงเย็นจนนอนไม่หลับ เกมที่ผมเลือกเล่นอัดคลิปวันนี้เป็นเกมผีไทย ซึ่งแค่ขึ้นชื่อว่าผีไทยก็ทำเอาผมกลัวขี้หดตดหายแล้ว แต่นี่เล่นมาแบบงานคุณภาพดีขนาดนั้น เลือดอาบขนาดนี้ เอาเป็นว่าผมมองเพดานเฉยๆ ตอนนี้ผมก็เห็นภาพผีที่เจอในเกมลอยติดตามาแล้ว

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ…

คือตอนเด็กๆ ผมมีความเชื่อว่าทุกที่ในโลกแห่งนี้มีผีอยู่ คุณลองคิดตามดูสิ มีคนกี่ล้านคนตายมาก่อนหน้าเรา ศพของพวกเขาถูกฝังอยู่ในพื้นดินซ้ำไปซ้ำมาแล้วกี่ครั้ง ไอ้พวกอาคารบ้านเรือนที่สร้างทับขึ้นมา ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ยังไงก็ไม่มีทางจะไม่มีศพคนตายถูกฝังอยู่มาก่อน

คือมันก็สมเหตุสมผลใช่ไหม คนเราก็ตายกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะงั้นก็หมายความว่าผีย่อมต้องมีอยู่ทุกที่ และบางทีมันอาจกำลังห้อยหัวลงมาจากเพดานแล้วจ้องผมด้วยสายตาอันแดงก่ำ บางทีมันอาจจะแค้นที่ผมอาศัยอยู่ในตึกที่ถูกสร้างทับหลุมศพของมัน เชี่ย… ผมไม่น่าคิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนนี้ภาพผีในเกมมันโผล่กลับมาเล่นงานอีกแล้ว แล้วไอ้ตอนที่ผมโดนผี---

เสียงเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างทำให้ผมสะดุ้งเฮือกภายใต้ความมืดภายในห้อง ผมรู้สึกว่าตัวเองมือเย็นมากตอนที่ค่อยๆ เหลือบไปมองตามต้นเสียงนั้น ปรากฏว่าเป็นพี่กชนั่นเองที่นอนพลิกไปมาบนเตียง แถมไอ้รุ่นพี่ตัวแสบของผมยังนอนอ้าปากหวอสบายใจเฉิบอีกต่างหากนะ หน็อย… ไม่เห็นใจคนที่ต้องมานอนทรมานเพราะนอนไม่หลับอยู่นี่เอาเสียเลย!

เอาล่ะ มิว ไม่เป็นไร หายใจเข้าลึกๆ มันก็แค่เกมเท่านั้น แกก็แค่หลอนจากเกมที่แกเล่น ทำใจร่มๆ เข้าไว้ ผีอาจจะมีจริง แต่มันคงไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก ถ้าเราเป็นคนดีทำดีคิดดีล่ะก็ ผีคงไม่คิดจะ---

“อือ”

“! ” ผมสะดุ้งอีกระลอกเพราะเสียงละเมอครางของไอ้คุณพี่กช

แบบ… เชี่ยเอ๊ย! นึกว่าหัวใจจะวายตายแล้ว ปกติพี่กชนอนดิ้นแล้วก็ส่งเสียงตอนหลับขนาดนี้เลยเหรอ ปกติเวลาปิดไฟนอนแล้วผมมักจะหลับสนิทตลอด ไม่ได้อยู่รับรู้เหตุการณ์อะไรนักหรอก แล้วนี่ผมจะข่มตานอนไหวไหมเนี่ย หรือจะตื่นมันซะเลยดี? แต่นี่ผมก็ง่วงมากแล้วนะ ถึงจะยังตาค้างเพราะกลัวผีอยู่แต่ผมก็อยากนอนจริงๆ แล้ว

พยายามเข้า มิว อดทนไว้ ที่เห็นนั่นมันไม่มีจริง มันก็แค่เกม…

ผมหลอกตัวเองพลางพยายามข่มตานอน ขับไล่สิ่งเลวร้ายที่เพิ่งเจอในเกมออกไปอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งผมพยายามไม่คิดถึงมัน ภาพหลอนนั่นกลับยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

เสียงอะไรบางอย่างตกกระทบลงกับพื้นเพราะจัดของไม่ดีทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของผมขาดลง

ผมลุกออกจากเตียงไปด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ สมองไม่สั่งการแล้วครับตอนนี้ รู้แต่ว่าผมนอนอยู่บนเตียงคนเดียวเงียบๆ มืดๆ แบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป

รู้ตัวอีกทีผมก็มุดเข้ามาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับพี่กช เจ้าของเตียงขยุกขยิกนิดหนึ่งก่อนจะปรือตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาแต่ทรงผมรุงรังดูไม่ได้นั่นขมวดคิ้ว ถามเหมือนไม่แน่ใจ

“มิว? ”

“โทษทีพี่” ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ กระชับผ้าห่มของพี่กชมาคลุมตัวเองมากขึ้นเฉย “คืนนี้ผมขอนอนด้วยนะ”

“หา? ” พี่กชแกเป็นโรคขี้เซาขั้นสุดครับ เวลาตื่นนอนใหม่ๆ จะคุยกับแกไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก “ทำไม? ”

“ผมกลัวผี”

ร่างสูงปรือตาลง มองผมเหมือนเอือมระอาก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างง่วงจัด แต่ปากมิวายปล่อยหมาออกมาอีกสองสามตัว

“บ้าหรือเปล่า ไอ้แว่น อยู่ห้องนี้มาจะครบเทอมอยู่ล่ะ เพิ่งจะมากลัวเหรอ”

เฮ้ย! เมื่อกี้พี่กชเรียกผมว่าไอ้แว่นเหรอ? เขาไม่เคยเรียกผมแบบนี้มาก่อนเลยนะ

แต่ผมก็ไม่ถือหรอก “ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่แว่นอยู่พี่” แหงสิ ใครจะใส่แว่นนอนกันล่ะ

“กวนตีนนะเรา”

“ถึงอยู่กับพี่ได้ไง”

“แล้ว… ทำไม… ผี”

“ฮะ? อะไรนะครับ? ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนพูดมากขึ้นเพราะได้ยินไม่ชัด

“แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงกลัวผี” พูดโดยที่ยังหลับตาอยู่

“อ้อ พอดีผมเล่นเกมผีน่ะ”

รอยยิ้มยียวนยกขึ้นมาบนมุมปาก “สม”

“โห่ พี่” ผมงอแง “ผมเล่นเพื่อคนดูเหอะ แถมต้องเล่นคนเดียวด้วยเพราะพี่ไม่อยู่”

“โอ๋ๆ ” เขาว่าพร้อมกับดึงผมไปกอดในอ้อมแขนหน้าตาเฉย นั่นทำให้ผมตัวแข็งทื่อไปเลยด้วยความคาดไม่ถึง “ไม่เป็นไรนะมิว ไม่กลัวนะ”

ไม่พูดเปล่า เขายังลูบหัวผมไปมาเหมือนปลอบโยนด้วย และที่ทำทั้งหมดทั้งปวงนี่เขาก็ยังหลับตาพริ้มทั้งสองข้าง นี่พี่แกละเมอเหรอ!?

“พะ… พี่กช” ผมเรียกเขาเสียงสั่นเพราะรู้สึกเขินแบบแปลกๆ ไออุ่นจากร่างกายคนข้างตัวไม่ทำให้ผมกลัวผีแล้วล่ะ หากสัมผัสอ่อนโยนที่โอบรัดร่างพร้อมกับลูบหัวไปด้วยทำให้ผมใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกอย่างอื่นแทน

ฉิบหายล่ะ! ตอนนี้ผมใจเต้นจริงๆ นะ ใจเต้นจนหายกลัวผีแล้วเนี่ย!

ไม่สิ อาจจะยังกลัวอยู่นิดหนึ่ง แต่เหมือนกำลังสับสนมากกว่าว่าจะกลัวผีหรือจะอะไรๆ กับคนตรงหน้าดี พี่กชพูดงึมงำออกมาอีกระลอก

“ไม่ต้องกลัวผีแล้ว มิว พี่อยู่กับมิวแล้ว เชื่อพี่นะ ผียังกลัวพี่เลย”

คราวนี้จากที่งุนงงสับสนผมหลุดหัวเราะออกมาพรืดเลย คนบ้าอะไรพูดเองก็ได้ว่าตัวเองน่ากลัวกว่าผี

“จริงด้วยนะครับ พี่กชน่ากลัวกว่าผีนี่นา”

“อยากตายไหม” เริ่มบีบแก้มผมแรงๆ แล้วคราวนี้ ผมส่งเสียงอู้อี้ประท้วง ถึงตอนนี้พี่กชก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาอีก สงสัยจะง่วงจริงแฮะ ผมเองพอหายกลัวก็ตาจะปิดแล้วเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงจัดบทไปง่ายๆ

“งั้น… ผมนอนล่ะนะพี่ ขอบคุณที่ให้นอนด้วยนะครับ”

“อืม” เขาพูดแค่นั้น เหมือนครางในลำคอมากกว่า จากนั้นผมก็ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงแล้วหลับสนิท

อ้อมกอดที่รัดตัวผมอยู่นี่ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก







ช่องในยูทูปของผมถามหาพี่กชอีกตามเคยอย่างที่เป็นมาเสมอเวลาที่อัดคลิปโดยไม่มีพี่กชเข้ามาร่วมวงด้วย ต่อให้ผมบอกไปตั้งแต่ต้นคลิปแล้วว่าพี่กชไม่มาเพราะติดเรียนจนค่ำก็ตาม แต่คนก็ยังจะถามหาอยู่อย่างนั้น

สงสัยอีกหน่อยผมต้องเปลี่ยนชื่อช่องเป็นกชมิวแล้วมั้ง ถ้าจะเรียกร้องให้เล่นคู่กันทุกคลิปขนาดนี้… ปัดโธ่เอ๊ย! ถึงจะชอบจิ้นกันขนาดไหนแต่ยังไงก็ช่วยดูเกมที่ผมตั้งใจเล่นหน่อยเถอะ!

สีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้เพื่อนร่วมห้องอีกคนพูดทักทำลายความเงียบขึ้นมา

“เป็นอะไรไปน่ะ ไอ้มิว ทำหน้ายังไงกับไปเหยียบขี้หมามา”

“พี่คงเหยียบบ่อยสินะครับ” ผมโต้กลับเนือยๆ นิ้วเลื่อนเมาส์รัวๆ เพื่ออ่านคอมเม้นท์แบบสแกน “ถึงได้รู้ว่าเหยียบแล้วจะทำหน้ายังไง”

“กระแสตกลงหรือไง? ”

“ก็เรื่อยๆ แหละครับ”

“งั้นเซ็งอะไร”

“ทุกคนถามหาแต่พี่อ้ะ” ผมกล่าวหาอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก “ผมงอนแล้วเนี่ย แฟนๆ ผมถามหาแต่พี่กช นี่ช่องผมแท้ๆ ”

“ทำไงได้ ก็คนมันหล่อ”

“แถมยังชอบถ่อมตัวด้วย” ประชดกลับซะเลย พ่อคนหลงตัวเองเอ๊ย

“เอ้อ มิว พรุ่งนี้ไปกินข้าวบ้านมิวได้ปะ”

ผมหันกลับไปมองคนบนเตียง “นับเป็นหนึ่งมื้อที่ผมต้องเลี้ยงพี่ใช่ไหมครับ”

“ช่าย” ใบหน้าคมคลี่ยิ้มกว้างมากขึ้น ตายังจ้องเกมในมือถือ “แล้วมิวก็ต้องเป็นคนทำด้วยนะ”

“อีกแล้วเหรอ? ” ผมคราง แค่คิดว่าต้องไปผจญเสียงบ่นของป้านิดกับท่านแม่ก็เหนื่อยแล้ว “พี่กชสั่งให้ป้ากับแม่ผมทำเหอะ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

“ไม่ได้ ถ้านายไม่ทำเองถือเป็นโมฆะนะ” ไม่วายพูดดักคอต่อ “มิวบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่เลือกร้านอะไรก็ได้ ราคาเท่าไรก็ได้”

“ไม่ยุติธรรมเลย” ผมบ่นงึมงำ ไอ้พี่กชแม่งโคตรเอาแต่ใจ

ร่างสูงยันตัวขึ้นมายืนข้างผม ลูบแผ่นหลังขึ้นลงเหมือนกำลังปลอบเด็กห้าขวบที่ร้องไห้ไม่หยุดกลางห้าง

“ท่องไว้นะครับน้องมิว หายใจเข้า ยอดวิว หายใจออก ยอดซับ เอ้า ว่าตามพี่นะ”

“บ้าเหรอพี่” ผมถองศอกเขาแรงๆ ทีหนึ่งจากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “ผมไม่ได้เห็นแก่ยอดวิวยอดซับขนาดนั้นสักหน่อย พูดอะไรเพ้อเจ้อ”

“หรา” เขาลากเสียงยาว เอื้อมมือมาดึงแก้มจนยืด “แล้วใครกันนะที่ยอมลงทุนแกล้งเป็นแฟนกับผู้ชายเพื่อช่องของตัวเองน่ะ หือ นายเป็นผู้ชายธรรมดาไม่ใช่เหรอฮะมิว”

“โอ๊ย พี่” ผมครางเพราะแรงดึงไปตามเรื่องตามราว “ผมก็ผู้ชายธรรมดานี่แหละ ส่วนเรื่องแกล้งคบกับพี่กชก็แค่… นะ นิดๆ หน่อยๆ ”

ชายหนุ่มยังคงมียิ้มสบายๆ ประดัอยู่บนหน้า แต่ผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวังนิดหนึ่งจากแววตาสีช็อกโกแลตนั่น

“รักช่องของตัวเองจริงนะ”

“แน่นอนสิพี่” ถึงจะแค่เพิ่งเริ่มทำไม่นานก็เถอะ “งั้นตกลงอาทิตย์นี้มื้อแรกเป็นข้าวที่บ้านผม แล้วมื้อที่สองล่ะครับ? ”

“ไว้ค่อยคิดตอนกลับมาอีกทีก็ได้ เออ รอบนี้พี่ยืมรถพ่อมา เดี๋ยวพี่ขับพาไปบ้านมิวเองนะ แล้วพรุ่งนี้มีธุระอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า”

ผมนั่งคิดถึงรายงานการบ้านและอะไรต่างๆ ที่จำเป็นต้องทำเร็วๆ นี้แล้วส่ายหน้า

“ผมไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษนะ”

“งั้นไปซาฟารีกัน”

“อ้าว” ผมอุทานงงๆ “อย่าบอกนะว่าตั้งแต่ที่พ่อผมให้ตั๋วพี่ไป…”

“อือ” เขายอมรับดื้อๆ “ยังไม่ได้ใช้เลยอ่ะ”

“แล้วทำไมไม่ชวนเพื่อนไปล่ะพี่” ว่าแล้วก็เหลือบตามองปฏิทิน คำนวณเวลาดูในใจ คงยังไม่หมดอายุหรอก น่าจะพอได้อยู่

“ก็ไม่รู้จะชวนใคร ชวนเพื่อนถ้าไม่ได้ไปกันเป็นแก๊งก็ไม่ยอมมากัน แล้วถ้าแค่คนเดียวได้ฟรีพวกที่เหลือก็ไม่ยอม งี่เง่าฉิบหายเลยไอ้พวกนี้”

“แล้วไมไม่ชวนคนที่พี่ชอบอ่ะ? ”

คำถามนั้นทำเอาพี่กชนิ่งไปเล็กน้อย เขาสบตาผมนิ่งในขณะที่ผมเป็นฝ่ายใจเต้นรัวขึ้นเสียอย่างนั้น

เดี๋ยวๆ ๆ ๆ อะไร มองแบบนี้หมายความว่าไง…

“พี่… พี่ยังไม่มีคนที่ชอบ”

“เฮ้ย! ” ผมอุทานกลบเกลื่อนอาการใบหน้าที่เริ่มร้อนของตัวเอง แปลกดีที่คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นอย่างประหลาด แต่ถึงแบบนั้นผมก็ต้องพูดต่อ “ถามจริงดิพี่? แล้วไม่มีคนที่คุยอยู่ด้วยเลยเหรอ? ”

“ไม่นะ ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ” ส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะส่งยิ้มกวนประสาทมาให้ที “ตกใจล่ะสิที่คนหน้าตาดีแบบพี่ยังว่างอยู่แบบนี้”

“ผมว่าผมไม่แปลกใจขนาดนั้นหรอก” พยักหน้ากับตัวเอง “ก็ดูปากแล้วก็นิสัยซกมกของพี่-- อ๊าก! พี่กช อย่าจี้ ไม่เอ๊า! ”

ผมโวยวายทันทีที่รุ่นพี่ตัวแสบกระชากผมเข้าไปจี้เอวสลับข้างซ้ายทีขวาทีอย่างหนักหน่วง

ปัญหาของเรื่องนี้คือผมเป็นคนที่บ้าจี้มาก แล้วผมก็สู้แรงพี่กชไม่เคยได้เลย ยิ่งผมพยายามดิ้นหนีเท่าไรมือแกร่งก็ยึดผมไว้แน่นขึ้นเท่านั้น

ผมทั้งดิ้นทั้งหัวเราะจนตัวงอเป็นกุ้งเลยอ่ะ พี่กชเริ่มหัวเราะตามดูจะชอบใจเหลือเกินที่ได้แกล้งผม คราวนี้ผมพยายามบิดตัวก้าวเท้าไปด้านหลัง แต่ขาพลิกพลาดไปหน่อยส่งผลให้น้ำหนักตัวโถมลงไปด้านหลัง ทำเอาผมเกือบจะล้มไปหัวฟาดพื้นถ้าไม่ใช่เพราะพี่กชเหวี่ยงผมไปบนเตียงได้ก่อน

แต่เพราะการเหวี่ยงกะทันหันนั่นทำเอาร่างสูงเซมาเกือบจะทับร่างผมที่อยู่บนเตียงก่อนแล้ว วินาทีที่ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้จนระยะห่างแทบเหลือศูนย์ ผมรู้สึกเหมือนใจหยุดเต้นไปชั่ววินาทีหนึ่งเลย

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูตกตะลึงไม่แพ้ผม แขนของเขายันตัวเองเอาไว้ได้ทันทำให้รอดจากการที่ริมฝีปากเราจะบรรจบกันแบบในละคร

ผมมีความคิดแวบหนึ่งว่าอยากให้มันลองบรรจบกันดูเหมือนกัน แต่วินาทีต่อมาผมก็หน้าแดงขึ้นเพราะอายจากความคิดสกปรกนั่น

ผมคิดอะไรของผมอยู่เนี่ย พี่กชเป็นผู้ชายปกติ ผมเองก็ด้วย แล้วที่เราเป็นแฟนกันนั่นก็แค่เล่นละครหน้ากล้อง แต่นี่ใจผมจะเต้นรุนแรงขนาดนี้ทำไมเนี่ย

“โทษที” ในที่สุดคนด้านบนก็พูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยิ้มโง่ๆ ออกมาเหมือนไม่รู้จะวางตัวยังไง “เหมือนคราวก่อนพี่ก็แกล้งมิวแรงแบบนี้เหมือนกัน ขอโทษนะ”

“ผมไม่เจ็บหรอกครับ” ผมตอบขณะที่พี่กชยันตัวจากเตียงพร้อมกับเสหน้าที่แดงขึ้นของตัวเองไปทางอื่น

ผม… ใจเต้นกับท่าทางนั้นของเขา ผมหลอกตัวเองเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

“พี่กช” ผมเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกที่เหมือนอกข้างซ้ายจะระเบิด “เมื่อคืน… พี่จำได้ไหมว่าผมปีนขึ้นไปนอนบนเตียงกับพี่”

“อ่า” เขาหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นเกาหัวเหมือนไม่มั่นใจตัวเอง “ก็จำได้รางๆ … มิน่าล่ะ ตื่นมามิวถึงมาอยู่บนเตียงพี่”

อะไร นี่อย่าบอกนะว่าเขาจำไม่ได้?

“พี่… พี่กอดผมด้วยนะ ตอนนั้นน่ะ”

“จริงเหรอ”

ผมไม่ชอบเวลาเขาทำเฉไฉแล้วเบือนหน้าหนีแบบนี้เท่าไร

“พี่กอดผม แถมยังลูบหัวผมด้วยนะ”

“พี่ก็ลูบหัวมิวบ่อยออก”

ฮึ่ม

“ทำไมพี่ถึงกอดผมล่ะ? ”

ครั้งนี้เขายอมหันหน้ามาสบตา “ก็เพราะพี่อยากปลอบมิวไง”

โอ๊ย ให้ตายเถอะ

ผมว่าใจผมมันพองฟูจนแทบจะระเบิดออกมาได้จริงๆ อยู่แล้วนะ!





---------------------------------------------
Talk: ทำไมสองคนนี้ไม่คบกันไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดนะ หวานกันซะยิ่งกว่าคู่แต่งงาน ถถถถถถถถ //ทำงานวันเสาร์มาค่ะวันนี้ ฮืออออ เหนื่อยจุง ขอกำลังใจหน่อย (แบมือ)

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ชอบเค้าก็บอกว่าชอบไปเลยหน่าพี่กช

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อยากให้คบกันจริงๆแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 9




ผมกับพี่กชมาที่ซาฟารีแต่เช้าเพื่อที่เราจะได้เก็บประสบการณ์การกับเหล่าสัตว์น้อยใหญ่อย่างเต็มที่

อันที่จริงก่อนมาผมก็แซวพี่แกอีกรอบนะว่าพวกสัตว์ในนั้นเป็นเพื่อนๆ พี่แก พี่กชก็แกล้งทำเป็นยกมือขึ้นมาจะจี้เอวผมแต่ผมหลบได้อย่างสวยงาม

แล้วดูคนที่ทำเป็นไม่พอใจผมเมื่อชั่วโมงก่อนตอนนี้สิ เพลิดเพลินประหนึ่งได้เจอครอบครัวเก่าที่ห่างหายกันไปนาน

“มิว ดูนกนั่นดิ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับชี้นิ้วไปนอกกระจกรถ “มันคาบกิ่งไม้ในปากด้วยอะ แล้วดูลูกกระเดือกมัน โคตรยานเลย”

ตอนนี้พวกเรามาอยู่ในซาฟารีเวิลด์บริเวณที่ให้ขับรถรับชมสัตว์มากมายที่ทางสวนสัตว์ปล่อยให้มันเดินไปมาในพื้นที่แห่งนี้อย่างอิสระ

จริงๆ แล้วอีกโซนก็มีเขตที่ให้เดินชมสัตว์ในพื้นที่ปิดด้วยเหมือนกัน แต่ผมกับพี่กชเลือกมาขับรถดูสัตว์ในส่วนนี้ก่อน เรากะเวลาจะกลับไปตามเก็บโชว์การแสดงที่อีกโซนต่อจากนี้และเวลามันได้พอดี

ผมมองตามนิ้วของคนขับที่ชะลอรถลง มีกฎไม่ให้ผู้เยี่ยมชมเปิดกระจกเพราะอาจเกิดอันตราย สัตว์คลั่งแล้วงับมือได้พี่กชเลยทำได้แค่จิ้มนิ้วลงบนตำแหน่งเดิมซ้ำๆ และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังชี้นกหน้าตาน่าเกลียดที่กำลังคาบกิ่งไม้เดินตัดหน้ารถอย่างอ้อยอิ่ง

“น่ารักเนอะ” คนเป็นรุ่นพี่ว่าขณะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้อง ผมย่นหัวคิ้วทันที

“น่ารักตรงไหนพี่ ออกจะน่าเกลียด”

“มิวดูมันคาบกิ่งไม้ไปสร้างรัง” ดูพี่แกจะอินกับนกนี่มาก

“แล้วเมื่อกี้พี่เรียกถุงใต้คอมันว่าอะไรนะ ลูกกระเดือกเหรอ คิดได้ไง” พูดพร้อมกับหัวเราะขันกับความคิดเพี้ยนๆ ของอีกฝ่าย ผมมาซาฟารีบ่อยแล้วเลยไม่ค่อยอินอะไรก็จริง แต่พอคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นพี่กชแล้วอะไรเดิมๆ ก็ดูมีสีสันขึ้นมาได้

“ดูมันเด๋อๆ ชอบกลนะ”

“มันเป็นนกนะพี่ พี่จะเอาอะไรกับนกล่ะ” ผมมองตามนกหน้าตาน่าเกลียดนั่นไป พี่กชยังถ่ายรูปมันไม่เลิกเลย

“มันชื่อนกอะไรอ่ะ”

“หน้าผมเหมือนเรียนด้านสายพันธุ์สัตว์ปีกมาเหรอครับ”

“หาให้หน่อย” พูดพร้อมกับหันมามองผมด้วยสายตาวิงวอน ลำบากกูเนี่ยแหละครับ เสิร์ชกูเกิลให้นางก่อน

“นกที่มี… ถุงใต้คอ” จิ้มลงไปบนมือถือ

“บอกแล้วมันคือลูกกระเดือก”

“ลูกกระเดือกบ้านพี่เถอะครับ”

“เชื่อเถอะว่านั่นก็ไม่ได้เรียกถุงใต้คอ”

“เจอแล้วๆ นี่ไงครับ”

“ตกลงมันชื่ออะไร” เขาว่าพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมสะดุ้งด้วยความตกใจเพราะเป็นจังหวะที่ผมเขยิบไปหาเขาพอดี นั่นทำให้ปลายจมูกเราเฉียดกันแวบหนึ่ง

หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาขณะที่พี่กชรีบหันกลับไปมองทางแล้วเหยียบคันเร่งเอื่อยๆ ต่อ ทำทีเป็นมองกระจกหลังว่ารถที่ตามมาจะเร่งเราหรือไม่

ผมใช้จังหวะนี้บอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจลง แม้ว่าจะเตรียมใจต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาบ้างแล้วแต่ผมก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้

หือ? อะไรที่ผมบอกว่าเตรียมใจน่ะเหรอ?

คืออย่างนี้ครับ ทุกคนคงไม่คิดใช่ไหมว่าผมจะไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปในความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่กช

โอเค ผมอาจจะรู้สึกตัวเรื่องนั้นช้าไปหน่อย และจริงๆ ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน เรายังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นรูมเมท แล้วก็เป็นแฟนหลอกๆ กันเหมือนเดิม แต่ผมปฏิเสธตัวเองต่อไปไม่ได้แล้วว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรกับคนข้างตัว

ใช่ครับ… หวั่นไหว ถ้าคนทั่วไปใช้คำนั้นกันนะ

เอาจริงผมเริ่มไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเองที่มีให้พี่กชมาได้พักใหญ่ และผมที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายปกติมาตลอดก็กลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองหวั่นไหวกับผู้ชายอีกคน มันน่ากลัวนะ เหมือนเรากำลังจะก้าวข้ามผ่านเส้นอะไรบางอย่างที่ไม่สมควร และผมไม่รู้ว่าควรจะก้าวข้ามเส้นที่ว่านี่ดีไหม

ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า… โอเค มิว ใจเย็นๆ ก่อนจะตีโพยตีพายอะไร ลองพิจารณาตัวเองต่ออีกนิดเถอะ มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด บางทีผมอาจจะชอบรู้สึกกับพี่กชแบบปลื้มดาราก็ได้ แม้ว่าพี่แกจะไม่มีรัศมีที่ว่าเลยแม้แต่นิดก็ตาม (คือหน้าตาดีมันก็เรื่องหนึ่ง แต่รัศมีเปล่งประกายพี่แกไม่มีเลยนะ สงสัยเพราะทำตัวซกมกเอง)

แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจ บางทีมันอาจจะแย่กว่าที่ผมคิดก็ได้นะ คือผมเล่นใจเต้นระส่ำแบบไม่เกรงกลัวฟ้าผ่าเลย อย่างเมื่อกี้ที่แค่ปลายจมูกเฉียดกันนิดเดียวยังออกอาการ ไม่นะ ใจเย็น ไอ้มิว นี่มันแค่เริ่มต้นวัน บางทีมันอาจจะแค่นั้นแล้วไม่มีอาการอะไรอีกเลยก็ได้! อย่าเพิ่งด่วนสรุป

“แล้ว” พี่กชกระแอมหลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง “ตกลงชื่อนก? ”

“อ้อ ใช่” ผมก้มลงมองมือถือทันที “มันคือนกมาราบู”

“อะไรนะ” ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“นกกระสามาราบู พี่ มันอยู่ในลิสต์ ‘13 สัตว์ที่น่าเกลียดที่สุดในโลก’ ด้วยนะ ทีนี้พี่เริ่มสงสัยรสนิยมของตัวเองยังว่าพิสดารขนาดไหน ไปมองมันน่ารักได้เนี่ย”

“เฮ้ย” เขาหัวเราะร่วน บรรยากาศเดิมๆ ระหว่างเราเริ่มกลับมา “มันออกจะน่ารัก มิว ดูไอ้ตัวเดิมนั่นดิ มันยังคาบกิ่งไม้อยู่เลย น่ารักจะตาย”

“ผมไม่น่ารักกับพี่ด้วยหรอก”

“อ้าว” คนขับรถแกล้งทำหน้าเหลอหลาขณะหักพวงมาลัยไปตามทางอย่างเชื่องช้า “ไม่ใช่ว่ามิวน่ารักอยู่แล้วเหรอ”

“...” นั่นไง ถ้าเปรียบให้ใจผมเป็นคนธรรมดาที่กำลังวิ่งปกติอยู่ล่ะก็ ตอนนี้มันก็ล้มหน้าคว่ำไปกับพื้นแล้ว

“เอ้า เขิน หน้าแดงแล้ว” น้ำเสียงล้อเลียนนั่นทำให้ผมทนไม่ไหว

“หน้าแดงอะไรล่ะพี่! พี่เหอะ พูดออกมาได้นะ แต่ละอย่าง ไม่กระดากปากบ้างหรือไง”

“มิวว่ามันกินได้ไหม”

“ฮะ!? ” ถามแบบนี้ก็สะดุ้งสิครับ “อะไรกินได้!? ”

“นกมาราบูนี่ไง”

ผมรู้สึกทั้งโล่งใจ ขบขัน และตกใจกับคำถามนั้นไปพร้อมๆ กัน คนบ้าอะไรอยากกินนกหน้าตาทุเรศแบบนั้น

“พี่หมายถึงมันกินอาหารได้ไหมหรือคนอย่างเรากินมันได้ไหมล่ะ ถ้าข้อแรก ผมเห็นจะงอยปากมันอยู่นะ”

“แล้วข้อหลังล่ะ”

“ถ้าไก่กับหมูหมดโลกแล้ว พี่จะลองดูก็ได้ แต่ผมว่ามันคงไม่อร่อยเท่าไรหรอก”

ฟู่ว เห็นไหม เราสองคนก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่มีอะไรผิดปกติสักหน่อย!





แต่ผมก็รู้ตัวว่าหลอกตัวเองไปได้อีกไม่นาน เพราะหลังจากที่เราออกจากโซนที่ให้ขับรถชมรอบๆ มาบริเวณที่ให้ผู้เข้าชมลงเดิน เจอการเทคแคร์ประหนึ่งข้ารับใช้ดูแลเจ้านายของพี่กชเข้าไป ผมก็ใจเต้นแรงอีกแล้ว

“อ้ะ มิว ไอติม จำได้ว่ามิวชอบอันนี้ แล้วนี่เราจะไปเดินตรงไหนต่อ พี่ดูแผนที่ให้ไหม”

“มิว ใส่หมวกก็ให้มันปิดหน้าหน่อย แดดไม่แรงมากก็จริงแต่โดนมากๆ ไม่ดีหรอก” พูดพร้อมกับขยับหมวกแก๊ป (ที่พี่กชเอามาจากรถตัวเอง) บนหัวผมให้เงาคลุมหน้ามากขึ้น

“เออ อีกสิบนาทีจะมีแสดงโลมา รีบไปเหอะมิว เดี๋ยวคนเยอะ ไม่ได้ที่นั่งดีๆ ”

“มิว เดี๋ยวเสร็จแล้วเราไปดูแถบนี้กัน พี่วางแผนไว้แล้วว่าดูโชว์นี่เสร็จไปเดินตรงนี้ต่อจะได้เก็บให้หมด”

“เอ้า นี่ข้าวกลางวันของมิว กินได้ใช่ไหม มื้อนี้พี่เลี้ยงนะ”

เฮ้ย! บริการดีราวกับเป็นบ่าวส่วนตัว พ่อแม่ผมยังไม่ประคบประหงมขนาดนี้

“มิว หิวน้ำรึเปล่า” เขาถามขณะที่เราเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เพื่อเดินชมสัตว์โซนต่างๆ “ให้พี่ไปซื้อให้ไหม”

“เราเพิ่งกินข้าวกันมาเองนะพี่” แล้วก็กินน้ำตามไปตั้งเยอะ “ผมไม่หิวหรอก แล้วถ้าพี่หิว ผมก็ยังมีน้ำขวดเก่าเหลืออยู่” พูดแล้วก็ส่งขวดน้ำพลาสติกจากเป้ของตัวเองให้คนข้างๆ

“ขอบใจ” พี่กชยิ้มกว้างพร้อมกับรับขวดน้ำจากมือผมไปเปิดฝาดื่ม

พอริมฝีปากเขาแตะปากขวดเท่านั้นแหละ ตาผมก็ละไปจากมันไม่ได้เลย ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหน้าแดงขึ้น จ้องกลีบปากของพี่กชแล้วตั้งใจฟังเสียงน้ำที่ไหลผ่านลอคอดังอึกนั่นอย่างมากเกินความจำเป็น

จะว่าไป ผมเองก็ยกขวดนั่นดื่มไปแล้วเหมือนกัน อย่างนี้ก็เท่ากับว่าที่บริเวณที่ปากผมไปแตะเป็นที่เดียวกับที่พี่กชกำลัง…

ชะ… เชี่ย จูบทางอ้อม ทั้งที่ผมเคยแดกน้ำขวดเดียวกับคนอื่นมาตั้งมากมายแท้ๆ แต่กลับไม่เคยรู้สึกเขินแบบนี้มาก่อน

ไอ้มิว ใจเย้น!

“อ้ะ ขอบใจนะ” พี่กชส่งขวดน้ำคืนมาให้ ผมรับมาใส่เป้แล้วก้าวเดินต่อฉับๆ เลย กลัวเขาล้อว่าผมหน้าแดงอีก แล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ

เดินต่อกันมาอีกหน่อย เห็นเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ปิดแล้วก็ให้ความรู้สึกชวนคิดถึงเหมือนกัน เพราะถึงผมจะมาที่นี่บ่อย แต่ครั้งล่าสุดที่มาก็ผ่านมานานพอดู และเมื่อสายตาเบนไปเจอกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ผมก็อุทานออกมาพร้อมกับคนข้างตัว

“คิงจูเลียน/คิงจูเลียนนี่”

ผมกับพี่กชหันมามองหน้ากันทันทีก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจกันดี ผมมองหน้าพี่เขาอย่างแปลกใจระคนทึ่ง

“เฮ้ย พี่ดูมาดากัสการ์ด้วยเหรอ”

“ดูดิ พี่ดูทุกภาคเลยนะ” ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ “มิวเหอะ ดูกับเขาด้วยเหรอ การ์ตูนปัญญาอ่อนเลยนะ”

“พี่พูดงี้พี่ก็ดูไม่ใช่เรอะ”

“เออ ดู” ยอมรับง่ายเชียว แต่ให้ตายเถอะ แค่เรื่องปัญญาอ่อนแค่นี้ผมกลับรู้สึกได้ใกล้ชิดเขาไปมากขึ้นอีกเยอะเลย

“แม่ผมชอบคิงจูเลียนมาก” ผมว่ายิ้มๆ ขณะเดินไปเกาะกรง ลีเมอร์ตัวหนึ่งในนั้นนอนอยู่บนกิ่งไม้ โคตรจะน่ารัก “แม่บอก มันกวนตีนดี ซึ่งผมเห็นด้วยสุดๆ เลยล่ะ”

“แล้วมิวชอบตัวอะไรล่ะ”

“คิงจูเลียนผมก็ชอบนะ แต่ผมเป็นแนวชอบพระเอกของเรื่องมากกว่า”

“งั้นก็อเล็กซ์ที่เป็นสิงโตน่ะสิ? ”

“ช่าย อเล็กซ์ราชสีห์ แฮ่! ” ผมว่าพร้อมกับทำท่าคำรามแบบที่จำได้ว่าอเล็กซ์เคยทำในภาคแรก พี่กชระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบพร้อมกับเลื่อนมือมาโยกหัวผมอย่างเอ็นดู และไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ผมหน้าแดงขึ้นอีกแล้ว เมื่อกี้ผมไม่น่าทำท่าตลกๆ นั่นเลย รู้สึกตัวเองปัญญาอ่อน

“โอ๊ย มิว ทำไมเป็นคนตลกอย่างนี้”

“หยุดหัวเราะได้แล้วน่าพี่” ผมเริ่มอายคนอื่นล่ะ “ไม่ได้ตลกขนาดนั้นสักหน่อย”

“อย่างมิวอะเป็นอเล็กซ์ไม่ได้หรอก” เขาพูดเสียงยียวน ก้มหน้าต่ำลงมาจนหายใจรดต้นคอผม แล้วผมก็ใจเต้นตามไปกับเขาอีก! มิวโว้ย! ตั้งสติ! “ใส่แว่นงี้ หงิมๆ งี้ เป็นได้แค่สัตว์กินพืชเท่านั้นแหละ อย่างมาร์ตี้ที่เป็นม้าลายไง”

“มาร์ตี้เพื่อนสนิทอเล็กซ์” ผมพยายามเบี่ยงบทสนทนาไปตรงนั้นให้มากที่สุด ภาวนาอย่างเดียวอย่าให้พี่กชล้อเรื่องผมหน้าแดงเพราะนั่นคงทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้น และถ้ามันแรงไปมากกว่านี้ ผมกลัวว่าใจมันจะหลุดออกมาจริงๆ “พี่ว่ามันไม่แปลกเหรอ มาร์ตี้เป็นม้าลายแต่เป็นเพื่อนสิงโต แล้วสนิทกันมากเลยนะ”

“เออ สองตัวนี้สนิทกันที่สุดในเรื่องเลยนี่” พี่กชพยักหน้าหงึกหงัก “พี่คุยกับน้องเรื่องนี้เหมือนกัน น้องพี่บอกอเล็กซ์จ้องจะงาบตูดมาร์ตี้มาตลอด ไอ้ตอนภาคแรกอะ”

ตอนแรกผมจะถามกลับว่าพี่กชมีน้องด้วยเหรอ แต่ไอ้ประโยคหลังนี่ฟังดูแปลกๆ ชอบกล

“อ้อ เออ” ผมพยายามนึกตามฉากที่ว่า ภาคแรกมันเป็นยังไงนะ เหมือนไอ้สัตว์สี่ตัวหลักของเรื่องจะหลุดออกจากสวนสัตว์ แล้วพออเล็กซ์ที่เป็นสิงโตเริ่มหิวจนหน้ามืด…

“ไอ้ตอนที่สิงโตแม่งโคตรหิวแล้วเห็นก้นเพื่อนเป็นสเต๊ก”

“ก็นะครับ จนแล้วจนรอดมันก็ยังเป็นสิงโตอยู่นี่ สัญชาตญาณมันขุดไม่ออก”

“แต่อเล็กซ์มันมองตูดมาร์ตี้นะ”

“ผมว่าเราชักจะพูดเรื่องตูดกันเยอะไปล่ะ” ผมว่า แล้วไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่กชรอบนี้มันดูเจ้าเล่ห์กว่าปกติชอบกล

“ไอ้แว่นเอ๊ย” มือหนาตะปบลงบนหัวผมพร้อมกับยีแรงๆ เหมือนมันเขี้ยว “ระวังโดนอเล็กซ์กินแล้วกัน ดูข้างหลังไว้ดีๆ ”

แล้วพี่กชก็เดินไปร้านค้าละแวกนั้นอย่างลอยชาย ทิ้งให้ผมหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศสุกอยู่คนเดียว

ให้ตาย… ทำไมผมรู้สึกเหมือนเขาจงใจพูดประโยคนั้นกับผม เหมือนเขาตั้งใจจะกินผมอย่างนั้นแหละ และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือผมดันถูกกระตุ้นแล้วก็ตื่นเต้นไปกับคำพูดนั้นด้วย

นี่ผม… ข้ามเส้นแบ่งที่ไม่ควรไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม!? ตอบ!





หลังจากที่ผ่านพ้นคิงจูเลียน (กรงของตัวลีเมอร์นั่นแหละ) ไปแล้ว พี่กชก็ยังเทคแคร์ผมอย่างดีและไม่หลุดคำว่า ‘ตูด’ ออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ไม่ได้ชวนคุยเรื่องใดๆ ที่ส่อไปทางนั้นแม้แต่น้อย แต่ใจผมนี่ลอยไปไกลตั้งแต่ที่เขาทิ้งระเบิดลูกล่าสุดเอาไว้ในหัว

“อ๊ะ” และเพราะผมมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองเลยไม่ทันระวัง ชนเข้ากับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มเข้าทำเอาเซจนเกือบล้มไปข้างหน้า หากคนข้างตัวตะครุบแขนผมไว้ได้ทัน ผมหันไปขอโทษนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นขณะที่พี่กชพูดเอ็ด

“ระวังหน่อยสิ”

โอ๊ย ให้ตาย…

บริเวณที่เขาจับผมร้อนวูบขึ้นมาเลย ใจผมเต้นแรงขึ้น ผมหลอกตัวเองมานานเกินไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลยที่จะทำตัวเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนี้

ผม… ชอบเขา

ชอบรูมเมทของตัวเอง ชอบทั้งที่เขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน

ผมชอบเขาไปแล้วจริงๆ

แล้ว… จากท่าทางของพี่กช จากสิ่งที่พี่กชทำให้ผมมาตลอดนี่ ผมจะพอคิดเข้าข้างตัวเองบ้างได้ไหมนะ

จะว่ายังไงดีล่ะ ผมก็รู้ว่าเราเล่นเป็นแฟนกันเพื่อหลอกคนดู แต่ในชีวิตจริงไม่มีกล้องคอยติดตามเราทุกฝีก้าว แล้วคนเราก็แสดงละครตลอดเวลาไม่ได้ เพราะงั้นการที่เขาทำดีกับผมขนาดนี้ เขาก็ต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กันบ้างล่ะน่า

ใช่ไหม? ผมจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับไอ้เก่ง แล้วก็ไอ้แนทเพื่อนสมัยมัธยมของผมอีกคน สองคนนั้นต้องช่วยหาคำตอบได้แน่

“กช! ” เสียงเรียกของใครบางคนที่ไม่คุ้นหูทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิดตัวเอง หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบใส่เที่ยวเต็มที่เดินเข้ามาหารุ่นพี่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดีสุดๆ “เฮ้ย กชจริงๆ ด้วยอ่ะ เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ก้อย” พี่กชเรียกอีกฝ่ายกลับงงๆ “มาได้ไงเนี่ย”

อ้อ ใช่ ก็ว่าหน้าคุ้นๆ แฟนเก่าไอ้คุณพี่กชนี่เอง โห ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกแฮะ

“มาเที่ยวกับที่บ้านน่ะ อ้อ แล้วนี่ใช่ไหม แฟนใหม่กชที่ว่า”

“บ้า แฟนใหม่บ้าอะไรล่ะ” พี่กชแก้คำพูดนั้นอย่างรวดเร็วจนผมรู้สึกมวนในท้อง ความสุขที่มีจนถึงเมื่อครู่เหมือนหายวับไปอย่างไร้เหตุผล “นี่มิว รูมเมทเราเอง มิว นี่ก้อยนะ แฟนเก่าพี่ไง”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ตามมารยาทเพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ พี่ก้อยยกมือไหว้ตอบก่อนจะถามกลับอย่างงงๆ

“อ้าว ก็เห็นในยูทูปของน้องสไลม์ นี่เรายังตกใจอยู่เลยเพราะไม่นึกว่ากชจะเป็น”

เป็น… เป็น? ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้เกลียดคำนี้ขึ้นมากันนะ

“บ้า ไอ้ก้อย เราแค่แกล้งคบกับน้องเขาเฉยๆ ไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ หญิงสาวคนนั้นเลื่อนมือไปตบบ่าพี่กชอย่างสนิทสนมคุ้นเคย

“เอ้า! ใครจะไปรู้ได้วะ แต่ช่างเถอะ ได้ยินอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย” ค่อยยังชั่ว? ค่อยยังชั่วอะไร? พี่กชจะชอบใครหรือเป็นเพศอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแฟนเก่าด้วย “แล้วนี่แกเป็นไงบ้าง คิดถึงจังเลย ยังสนิทกับไอ้บอสอยู่ปะ ไอ้บ้านั่นเป็นไงบ้าง”

“ยังบ้าเหมือนเดิม”

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกันตัวเองออกจากสองคนนั้น พี่ก้อยกับพี่กชดูสนิทกันเกินกว่าคนที่เลิกรากันไปแล้วเยอะเลย ผมนึกว่าคนเราจะหมางเมินหรือกระอักกระอ่วนกับแฟนเก่าของตัวเองเสียอีกแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น

หรือไม่… พี่กชก็อาจจะยัง…

ความคิดนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีสุดๆ เลย

“พี่… กช” ผมเค้นคำพูดออกมาจนได้ ในที่สุดร่างสูงก็หยุดหัวเราะคลอไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้วหันมามองผมสักที

“หือ? มิว ว่าไงครับ? ”

“ผม… เดี๋ยวผมมานะพี่” พูดพลางชี้ไปที่ร้านค้าบริเวณนั้น “จะไปซื้อของฝากให้มอส”

“อ้อ โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ตามไปนะ”

ผมมองไม่เห็นทางข้างหน้าด้วยซ้ำตอนที่ผละออกมา





---------------------------------------------
Talk: แหม เกือบจะฟินอยู่แล้วเชียว ถถถถถถถ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มิวรู้ใจตัวเองแล้วเชียว ทำไมพี่กชทำอย่างนี้เนี่ย //เดาว่าพี่กชไม่อยากให้มิวอึดอัดใจ คิดว่าเค้าไม่ได้ชอบตัวเองไง

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
มิวเริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหม งื้อๆ

ตอนหน้ามาเลยได้ไหม อยากอ่านต่อ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 10





ในที่สุดหลังจากกลัดกลุ้มมาพักใหญ่ สับสนอยู่อีกครู่หนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปว่าตัวเองชอบเพื่อนร่วมห้องรุ่นพี่ของตัวเองไปแล้วจริงๆ

ผมกำลังจะคิดเข้าข้างตัวเองแล้วนะว่าเขาก็อาจจะชอบผมเหมือนกัน กำลังจะคิดนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วโมงสุดท้ายที่เราไปซาฟารีเวิลด์กันทำเอาผมมึนหัววูบไปเลย

และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมต้องยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกปาก ความร้อนที่ไหลผ่านคอให้ความรู้สึกซาบซ่านอย่างประหลาด ผมตั้งใจจะเมาอย่างสุดเหวี่ยงเลยคืนนี้ และแน่นอนว่าการเมาไม่ใช่เรื่องที่ทำคนเดียวแล้วสนุก คนต้องลากคอเพื่อนมาด้วย

“ไอ้เก่ง” ผมเรียกเพื่อนที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังกดมือถือหน้าตาเคร่งเครียด “มึงว่าพี่กชเขาคิดยังไงกับกูวะ ที่ผ่านมานี่กูแค่คิดเข้าข้างตัวเองไปใช่ไหม”

“ไอ้ห่ามิว” เก่งที่ยังสาละวนกับปัญหาของตัวเองไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่น้อย “มึงถามแบบนี้ซ้ำมาสามรอบแล้วนะ กูก็บอกให้มึงเล่าเรื่องให้ฟังตั้งนานล่ะ มึงก็ไม่เล่าสักที”

“ก็กูรอแนทอยู่ไง” แนทเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผมเอง สนิทกันกลางๆ เมื่อก่อนสนิทกว่านี้ แต่เพราะเข้ามหาลัยมาแล้วแยกไปอยู่คนละคณะก็เลยห่างๆ ออกไป ส่วนไอ้เก่งนี่รู้จักไอ้แนทเพราะผมแนะนำเอง “กูจะได้ไม่ต้องเล่าเรื่องสามสี่รอบ”

“งั้นก็รอไปก่อน แล้วนี่มึงรีบแดกมากไปรึเปล่า”

“กูอยากเมา”

“ก็เร็วไปอยู่ดี”

“หวัดดีเพื่อนๆ ” ในที่สุดคนที่ผมกับไอ้เก่งกำลังรอก็มา เก่งนี่แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ได้คนรับช่วงต่อจากมัน เห็นว่ามันกำลังมีปัญหากับแฟนมันอยู่ ยิ่งมากินเหล้ากับเพื่อนแบบนี้ปัญหามันเลยยิ่งไปกันใหญ่ แต่เพื่อนสนิทผมคนนี้ก็ยังอุตส่าห์มาตามคำเชิญผมอยู่ดี

นี่สิเพื่อนแท้

“ไอ้แนท ช้าว่ะมึง” ผมบ่นงึมงำขณะที่มือคว้าขวดเบียร์มาเตรียมรินใส่แก้วต่อแต่ไอ้คนที่มาใหม่ยึดไว้แน่นไม่ปล่อย

“แดกเยอะไปล่ะมึง แดงมาถึงหูแล้ว”

“ตังกูปะล่ะ”

“แดกไม่รอกันได้ยังไง แล้วนี่ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำนะ เมาแล้วเหรอ”

“ไม่เมา”

“โห/โห่” เสียงไอ้แนทกับไอ้เก่งประสานกันอย่างพร้อมเพรียง ดูไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดสุดๆ แนทเลื่อนเก้าอี้นั่งลงฝั่งเดียวกับผม รินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วยื่นให้

ผมรับมาดื่มอย่างว่าง่าย ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย

“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรอยากปรึกษา” คนมาใหม่ถามขณะที่เก่งหันไปเรียกพนักงานเพื่อสั่งของเพิ่ม “ให้เดานะ เรื่องมึงกับผัวมึงล่ะสิ”

แนทเป็นผู้ชายผิวขาวใส่แว่นกรอบดำแบบเดียวกับผม หมอนี่เมื่อก่อนก็เคยเป็นสายเกมที่เล่นหนักพอๆ กับผมนี่แหละถึงได้สนิทกันได้ แต่เดี๋ยวนี้รสนิยมเรื่องเกมของเราไม่ค่อยตรงกันเท่าไร แล้วก็อย่างว่า พอเข้ามาเรียนมหาลัยคนที่เคยสนิทก็แยกย้ายกันไป เป็นกันทุกคนนั่นแหละ

“ใครผัวกู” ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง สาเหตุที่ผมเรียกแนทมาด้วยวันนี้เพราะไอ้เพื่อนคนนี้ของผมมันเป็นเกย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไอ้เก่งจะเข้าไม่ถึง ผมถึงได้ต้องการกำลังเสริมไง

“อ้าว ก็พี่กชไง”

อยู่ๆ ชื่อนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาประหนึ่งเล่นเกมหัวร้อน “เขาไม่ใช่ผัวกู เราไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นแหละ”

“อ้าว” กะพริบตาปริบๆ ก่อนหันไปมองเก่งเหมือนขอความช่วยเหลือ “เลิกกันแล้ว? ”

“เลิกบ้าอะไร” เพื่อนร่างท้วมของผมขมวดคิ้ว “มันยังไม่ทันได้คบกับพี่กชเลย”

“อ้าว! ” ดูไอ้แนทจะตกใจจริง ผมได้แต่ร้องเหอะในลำคอพร้อมกับฉวยขวดเบียร์มารินใส่แก้วตัวเองตอนเพื่อนเผลอ “เฮ้ย อะไร? หมายความว่าไง ก็ทุกคนเขาก็พูดกัน…”

“ไอ้ห่านี่มันตอแหล” เก่งว่าพร้อมกับพยักพเยิดมาทางผม “มันแกล้งเล่นเป็นแฟนกับพี่กชจะได้เรียกคนดูช่องมัน”

“อ้าว!? ”

ผมเริ่มหงุดหงิดไอ้แนทแทนล่ะตอนนี้ “นี่มึงพูดอ้าวมากี่รอบแล้ววะ คลังคำศัพท์ในหัวมีแค่นี้เหรอ”

“ก็กูตกใจ นี่งงจริงๆ นะเนี่ย” แนทว่า นัยน์ตาหลังเลนส์แว่นเบิกกว้างขึ้นจนดูตลก แต่ผมไม่มีอารมณ์ขำหรอก “ก็กูเข้าใจว่าไอ้มิวแม่งคบกับพี่กชจริงๆ ดูในคลิปก็เห็นรักกันดี”

“รักกันดีอะไรล่ะ ตอแหลทั้งนั้น” เก่งว่าพร้อมกับส่ายหน้าเอือมๆ

“ไอ้ห่า มากไป” ชักเคืองครับ ที่ผมกับพี่กชแสดงละครกันมันไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมดสักหน่อย “อย่างน้อยพี่กชก็บอกว่าเล่นเกมกับกูแล้วสนุกดี”

“เออ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องรักมึงนี่ถูกไหม”

อุก จุกในอก

“เดี๋ยวๆ ๆ ” แนทรีบยกมือขึ้นมาห้ามพวกเราทั้งคู่ สีหน้าเหมือนสุดจะอดกลั้น “จะมีใครช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยไหมว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่ ขอแต่แรก”

นั่นแหละผมถึงได้เริ่มเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดให้แนทฟังแต่ต้น ไอ้เก่งพูดแทรกเพื่อเสริมข้อมูลบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนมากเจ้าตัวจะหมกมุ่นกับโทรศัพท์ของตัวเอง ดูสีหน้าเคร่งเครียดจนน่าเป็นห่วงจริงๆ แต่ผมก็กำลังคิดหนักกับปัญหาของตัวเอง แถมไอ้เก่งไ่ใช่คนที่ชอบให้ใครสอดมือไปยุ่งเรื่องของมันกับแฟนมันด้วย

“แต่แบบ… ตอนไปสวนสัตว์กันอ้ะ แม่งสนุกมากเลยนะเว้ย” ผมพูดด้วยสีหน้าลิงโลดขึ้น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปซาฟารีละเอียดกว่าเหตุการณ์อื่นหน่อยเพราะมันยังสดใหม่ แต่หัวใจฟูฟ่องได้ไม่นานก็ต้องเหี่ยวแห้งลงเมื่อคิดถึงจุดจบของวันนั้น

“สรุปก็คือ” ไอ้แนทว่า จิ้มกับข้าวในจานเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับไปด้วยขณะพูด “พอแฟนเก่าพี่กชโผล่มา พี่กชก็ไม่เห็นหัวมึงเลย ว่างั้นสิ? ”

“มันก็ไม่ขนาดนั้น…” ผมพูดเสียงเบาลง กับแกล้มมากมายทำให้สร่างเมาไปมาก และพอไม่เมา ภาพและเสียงในหัวมันก็แจ่มชัดขึ้น





‘บ้า แฟนใหม่บ้าอะไรล่ะ’

‘เราแค่แกล้งคบกับน้องเขาเฉยๆ ไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ’





คราวนี้ล่ะ… ฉายย้อนมาราวกับกดปุ่มรีเพลย์

ผมกำแก้วน้ำเปล่าของตัวเองแน่นขึ้น เหมือนหัวใจถูกบีบรัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ทรมานจัง

“ไอ้มิว? ” แนทยื่นหน้าเข้ามาใกล้เมื่อผมเห็นเงียบไปนาน “มึงโอเคเปล่าเนี่ย เมาแล้วเหรอ? ”

“เปล่า ไม่เมา” อันนี้ไม่ได้โกหกนะ ผมสร่างเมาไปแล้ว

“มึงรู้ไหม”

“อะไร”

“แว่นมึงเหมือนแว่นกูเลยว่ะ”

ผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้ “คนหล่อๆ เขาใส่กัน”

“เห็นด้วย” แนทยิ้มตอบ “อะ กินหน่อยไหม ไม่เห็นมึงกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”

“ขอบใจ” ผมว่าพร้อมกับทำตามคำแนะนำของเพื่อนเงียบๆ ไอ้เก่งยังมีสีหน้าไม่ดีอยู่เลย ผมว่าตอนนี้ผมชักห่วงมันมากกว่าตัวเองล่ะ

“ไอ้เก่ง” ผมเรียกเพื่อนในที่สุด “มึงโอเคนะ? ”

“ไม่” เจ้าตัวว่า กดปิดหน้าจอมือถือแล้วยืนขึ้นพรวด “กูว่ากูต้องไปล่ะ”

“ทะเลาะกับนิ้งเหรอ” แนทถาม นิ้งที่ว่าก็แฟนไอ้เก่งนี่แหละ

“อืม ต้องไปง้อจริงๆ จังๆ ล่ะ”

“ไปเหอะ” ผมว่า “ขอบใจที่มานะ ขอโทษที่กูช่วยอะไรไม่ได้”

“ไม่เป็นไร มึงเอาตัวเองให้รอดเถอะ” แล้วเจ้าตัวก็วางเงินจำนวนหนึ่งทิ้งไว้ให้ ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะเรียกบริการมาสั่งเหล้าเข้มๆ แก้วหนึ่ง

“กูจำได้ว่ามึงไม่ใช่คนคอแข็งนะ มิว”

“กูกำลังฝึกไง”

“งี่เง่าว่ะ” แนทส่ายหน้า “แก้ปัญหาไม่ถูกจุดเลย”

“ขอบคุณที่ปลอบ” ผมประชดกลับ แนทเงียบไปนิดหนึ่งเพื่อหาคำพูดดีๆ

“แต่สรุปก็คือ มึงชอบพี่เขาไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม พี่กชรูมเมทมึงเนี่ย”

ผมเงียบไป ก่อนหน้านี้ผมพยายามทำเป็นมองข้ามความรู้สึกนี้มาตลอด อาจจะเป็นเพราะผมกลัวที่ต้องยอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชายก็ได้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกผมมันมากเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไปแล้ว แล้วอีกอย่าง ยังไงคนข้างตัวผมก็เป็นคนที่บอกกับเพื่อนฝูงได้ว่าตัวเองชอบผู้ชายมาตั้งแต่ม.ต้น แล้วยังมีอะไรที่ผมต้องกลัวอีก?

“เออ กูชอบพี่กช” พูดออกไปแล้วความรู้สึกที่ว่าก็เหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้น ชัดเจนขึ้น ความหอมหวานและปลาบปลื้มทะลักขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตามมาด้วยความหวาดกลัว

ถ้าพี่กชไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผมล่ะ? ถ้าเขาถอยห่างเมื่อรู้ว่าผมรู้สึกแบบนี้กับเขาล่ะ?

“มึงชอบเขาแล้วจริงๆ ” แนทพูดซ้ำเหมือนจะย้ำให้แน่ใจ ผมพยักหน้า อยากจะร้องไห้กับความสับสนนี้

“ใช่ กูชอบเขา” ตอบเสียงเบา

“แล้วทำไมหงอยงั้นล่ะเพื่อน”

“กูกลัวว่ะ แนท”

“กลัวที่ตัวเองชอบผู้ชายน่ะเหรอ? ”

“ไม่” ผมอ้าปากค้าง หุบปากลง จากนั้นก็ส่ายหน้ารัวๆ “กูก็ไม่แน่ใจ”

“มึงต้องรู้ต้นตอของปัญหาก่อนสิ ไม่งั้นจะแก้ไขได้ยังไง”

เขาพูดถูก “กูว่ากูคงกลัวว่ากูจะรู้สึกไปเองคนเดียว”

“กลัวว่ารักจะไม่สมหวังว่างั้น? ”

ผมนึกถึงตอนที่พี่กชเจอกับแฟนเก่า นึกถึงเสียงหัวเราะสดใสและรอยยิ้มของเขา มันเป็นแบบเดียวกับที่เขามอบให้ผม ผมนึกว่าตัวเองพิเศษสำหรับเขาเสียอีก ผมนี่หลงตัวเองฉิบหาย

“บางทีเขาอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชาย”

แนทพยักหน้าเนิบๆ อย่างหนึ่งที่ผมชอบในตัวเขาคือเวลาปลอบ เขาไม่ได้พูดจาเข้าข้างผมตะพึดตะพือจนน่ารำคาญ ไอ้เก่งนี่เว้นไว้คนเพราะปลอบด้วยคำพูดไม่เก่ง แต่มันจะแสดงออกให้เห็นว่าเป็นห่วงโดยการรับฟังและอยู่ข้างๆ แต่เพื่อนหลายๆ คนที่ไม่ได้สนิทมากมักจะปลอบแบบแกนๆ เหมือนขอไปทีมากกว่า แต่แนทไม่ใช่คนแบบนั้น

“ก็จริง เท่าที่กูฟังมา เขาเคยคบผู้หญิงมาก่อนด้วยถูกไหม กับคนที่ชื่ออะไรนะ กลอยปะ? ”

“ก้อยต่างหาก”

“เออ นั่นแหละ เขาคบกับก้อยที่ว่านี่มานานแค่ไหนก่อนจะเลิก? ”

“เกือบสองปีมั้ง ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพื่อนสนิทมาก่อน” นี่พี่กชเล่าให้ฟังเองหลังจากที่เราออกจากซาฟารีขับรถกลับบ้าน แน่นอนว่าผมทั้งอยากฟังและไม่อยากฟัง แต่พี่กชก็เล่าให้ฟังอยู่ดี

“อืม” แนทเปิดมือถือของผม เข้าเฟซบุ๊คแล้วเริ่มไล่ดูโปรไฟล์ของพี่กชประหนึ่งนักสืบที่สามารถขุดเรื่องราวของใครก็ตามผ่านโซเชียลมีเดียของคนคนนั้น

และผมเชื่อว่าไอ้แนททำได้ ขอแนะนำให้รู้จักกับโคแนทคุง

“มึงคิดว่าไง” ผมถามกระตุ้นมันต่อ เหล้าผมมาวางตรงหน้าแล้ว ผมยกขึ้นจิบเพราะอยากให้คืนนี้ผ่านไปอย่างยาวนานที่สุด “มึงว่าเขาคิดอะไรกับกูบ้างไหม”

“บอกตามตรงนะ ไอ้มิว” พูดโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากมือถือ “เท่าที่กูฟัง แต่ละอย่างที่พี่กชทำกับมึง หรือแม้แต่ในคลิปที่กูลองไล่ย้อนดู พี่กชดูคิดอะไรเกินเลยกับมึงมาก แบบที่ถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันก็ไม่มีอะไรน่ากังขาเลยอ่ะ เพราะงั้นที่มึงหลอกคนดูว่ามึงกับพี่กชคบกันถึงได้ไม่มีใครไม่เชื่อไง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือถ้าเขาเป็นแฟนมึงแล้วทำตัวหยอกล้อ สกินชิป แตะเนื้อต้องตัวลูบหัวอย่างที่ทำกับมึง กูจะบอกว่านั่นปกติและน่ารักมาก แต่ทีนี้มึงบอกว่ามึงกับเขาไม่ได้คบกันจริงๆ งั้นเรื่องนี้มันก็เปลี่ยนไปล่ะ กูบอกได้เลยว่ารูมเมทกันธรรมดาเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เพราะงั้นมึงไม่แปลกหรอกที่คิดมาก ก็เขาทำตัวให้คิดเอง ทำแบบนี้เป็นใครใครก็คิด”

“เออ ใช่มะ” ผมรีบพูดทันที ภาพตรงหน้าเริ่มมาๆ หายๆ ล่ะ เหมือนสติของผมเลย “ก็พี่กชแม่ง… ทำตัวดีกับกูขนาดนี้ จะไม่ให้กูคิดได้ไงวะ กูนึกว่าเขาต้องชอบกูแน่ๆ ด้วยซ้ำ”

“ถ้ากูเป็นมึงก็คงคิดเหมือนกัน”

การได้คนคิดเหมือนเราก็ไม่ต่างกับได้พวก

“เออ ใช่ปะ แม่ง จะไม่คิดยังไงไหววะ”

“แต่ถ้ากูเป็นมึง กูคงถามให้ชัดเจนกว่านี้ก่อนจะปักใจชอบเขาจริงๆ นะ”

จึ้กเลย ผมหันหน้าหนียกแก้วขึ้นซด รู้สึกเหมือนพรรคพวกหักหลัง ไอ้แนทที่เหมือนจะรู้ทันหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่ต้องซึม ไอ้มิว กูก็พูดดีไปงั้น เอาจริงๆ เวลามึงจะชอบใครมึงก็ตั้งตัวไม่ทันหรอก”

“เออ นั่นดิ” ผมงึมงำ แนทเอื้อมมือมาตบบ่าสองสามทีเหมือนให้กำลังใจ

“แต่กูยังพูดไม่จบหรอกนะ”

“กูรอฟังอยู่”

“แบบที่พี่กชทำกับมึงน่ะ มันคิดได้สองแบบ หนึ่งคือเขาชอบมึงจริงๆ ”

คำพูดนั้นทำให้ผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างมีความหวัง “มึงคิดงั้นจริงๆ เหรอ”

“หรือสอง เขาแค่ทำตัวเป็นหมาหยอกไก่ ทำทีเล่นทีจริง จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับมึงเกินเลยก็ได้ แต่เห็นว่ามึงน่ารักดีอะไรงี้”

ใจแป้วเลยอีสัส “งะ… งั้นเหรอ แบบนั้นก็เป็นไปได้เหรอ”

“เป็นไปได้” ไม่ถนอมน้ำใจเลยสักนิด “แต่ถ้าเป็นงั้นจริง พี่กชจะเป็นคนที่เหี้ยมาก เหี้ยแบบสุดๆ เลยนะ ไม่ใช่เหี้ยธรรมดา”

“มึง” ผมพูดเสียงหวิว ไม่ชอบให้ใครมาว่าคนที่ตัวเองชอบแบบนั้นเลย “อย่าว่าพี่กชดิ”

“กูแค่พูดความจริง”

“แต่มึงก็ไม่รู้สักหน่อยว่าจริงๆ แล้วพี่กชคิดยังไง”

ถึงตรงนี้ไอ้แนทก็ยิ้มแฉ่ง อันที่จริงผมเพิ่งเดินตกหลุมพรางของมันไปอย่างไม่รู้ตัว

“งั้นตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของมึงแล้วที่ต้องหาคำตอบ”

“คำตอบอะไร” ผมแกล้งตีมึน

“คำตอบว่าเขาเหี้ยหรือไม่เหี้ยยังไงล่ะ มึงต้องคุยกับเขาตรงๆ นะ มิว อย่างน้อยถ้าเขาไม่ได้ชอบมึงแบบที่มึงชอบเขามึงจะได้ตัดใจทัน ไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้”

โอ๊ย แค่คิดว่าเราสองคนไม่ได้ใจตรงกันผมก็จี๊ดถึงหัวแล้วครับ

“กู… กูกลัว”

“กูรู้ แต่มึงต้องถามเขาตรงๆ นะ ถ้ามึงมัวแต่กลัว...” ไถมือถือผมต่อ “มึงก็ทำอะไรต่อไปไม่--” เสียงของแนทเงียบหายไปกะทันหัน “อุ๊บส์”

“อะไร” ผมรีบถลาเข้าไปมองหน้าจอมือถือตัวเอง ไอ้แนททำท่าจะหลบอยู่แวบหนึ่ง แต่พอมันนึกได้ว่านั่นเป็นมือถือผม มันก็ขยับหน้าจอให้ดูชัดๆ

ภาพที่ปรากฏบนจอคือภาพของพี่กชกับพี่ก้อย เหมือนจะอยู่ในร้านเหล้าที่ไหนสักที่ เฟซที่ลงรูปคือเฟซของพี่ก้อยแต่เขาแท็กพี่กชเข้าไปด้วย แล้วอะไรคือการที่แท็กพี่กชคนเดียว แปลว่าเขาไม่ได้ไปกับเพื่อนคนอื่นอีกเหรอ? เขาไปกันแค่สองคนใช่ไหม?

โอย ใจผม พังหมด ไม่โอเคเลย นี่เพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบเขารักเขาก็ต้องมาอกหักแล้วเหรอ ไม่เอาได้ไหม

“ไอ้มิว” แนทบีบบ่าผมแน่น “มึงโอเคนะ? ”

“ไม่” กูจะโอเคได้ไงล่ะครับ “ไม่โอเค”

“เขาอาจจะแค่ไปเที่ยวกันตามประสาแฟนเก่า”

“มึงเคยไปเที่ยวสองต่อสองตามประสาแฟนเก่ากับใครด้วยเหรอ? ร้านเหล้าเนี่ยนะ? ”

“กูไม่เคยมีแฟน ไอ้มิว”

คำตอบนั้นทำเอาผมอ้าปากค้าง “ถามจริง? ”

“ตอบจริง” มองตอบมาด้วยสายตามุ่งมั่น ไอ้ฉิบหาย นี่ไอ้แนทไม่เคยมีแฟนเหรอ!? แล้วผมมาปรึกษาเรื่องความรักกับมันได้ไงตั้งนานสองนาน

แต่ตอนนี้ผมเฮิร์ทเรื่องที่พี่กชไปเดทกับแฟนเก่าเขาที่ร้านเหล้ามากกว่า คงจะรีเทิร์นแล้วล่ะอีหรอบนี้ ไม่น่าตีความได้เป็นอย่างอื่น

“กูจะทำไงดีวะ” ถามแบบโง่มากครับตอนนี้ คิดอะไรไม่ออก

“ก่อนอื่นกูแนะนำให้มึงทำใจสบายๆ ก่อน กลับห้องไปล้างหน้านอน ตื่นมาอารมณ์ดีขึ้นค่อยลองคุยกับพี่กชดู”

“คุยอะไร”

แนททำหน้าเอือมใส่ผม “ก็คุยแบบที่คุยกับกูนี่แหละ เอาให้มันเคลียร์ๆ ไป จะเดินหน้าหรือถอยหลังจะได้วางตัวถูก ไม่งั้นก็งงๆ อยู่แบบนี้ แล้วมึงจะมีความสุขไหม”

ไม่… ไม่มี บอกเลยว่าตอนนี้ผมคิดมากจนหัวหนักไปหมด แล้วมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

“กูจะลองไปคุยกับพี่กช”

“ดีแล้ว และถ้าพี่กชไม่ใช่คนเหี้ยอะไร คำตอบก็คงเป็นอย่างที่เรารู้ๆ กัน”

ผมยิ้มให้เพื่อนอย่างจริงใจ

“ขอบใจนะ แนท มึงช่วยกูได้เยอะเลยว่ะ”

หมดเวลาวิ่งหนีความจริงแล้วสินะ





------------------------------------------
Talk: เมื่อวานเพื่อนวาดรูปกชมิวมาให้ค่ะ เอามาหวีดกับทุกคน XD //ถ้าทุกคนชอบก็คงดีน้า


ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
พี่กชมาเคลียร์ด่วนจะเป็นคนเหี้ยหรือไม่เหี้ยดี  :ling1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องมิวรู้ใจตัวเองแล้ว แล้วพี่กชล่ะรู้ยัง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ร้านเดียวกันป่าวเนี่ย มาแอบฟังเร้วพี่จ๋าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 11




กรกชกำลังควงปากกาขณะที่อาจารย์หน้าห้องขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาน เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังอยู่เหนือหัวทำให้นัยน์ตาสีช็อกโกแลตของเจ้าตัวปรือลงเรื่อยๆ

ลมเย็นที่เป่าลงมารดหัว เสียงพูดของคนหน้าห้องช่างเหมือนดนตรีขับกล่อม เขาอยากจะฟุบหน้าหลับลงไปกับโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด จริงๆ ก็คงทำอย่างนั้นแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสียงออดดังขึ้นขัดจังหวะการนอนเสียก่อน นักคนอื่นๆ ที่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวรอท่าอยู่แล้วลุกขึ้นพรวดแล้วผละออกจากห้องไป ส่วนตัวกชเองค่อยๆ เก็บสมุดและกระเป๋าดินสออย่างเอื่อยเฉื่อย

“ไอ้กช” บอสที่นั่งอยู่โต๊ะแถวหน้าเรียก กรกชเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เพื่อนยื่นมาให้ดู “นี่มันหมายความว่าไงวะ? ”

ภาพของเขากับก้อยในหน้าจอนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเซลฟี่ของเจ้าหล่อนที่แอบถ่ายเขาด้านข้าง แล้วก็มีแก้วเหล้าสีสวยวางอยู่บนหน้าเคาน์เตอร์ จำได้ว่าแก้วนั้นมีผลไม้อะไรสักอย่างเสียบติดมาด้วย อร่อยดี แต่ราคาไม่เกรงใจกระเป๋าสตางค์เป็นที่สุด

“เฟซบุ๊คไง”

บอสกลอกตาขึ้นบนหนึ่งรอบถ้วน “ขอบใจ กูรู้แล้วโว้ย กูหมายถึงสิ่งที่อยู่ในเฟซบุ๊คของก้อยนี่ต่างหาก”

“ก็ก้อยเซลฟี่แล้วบังเอิญติดกู”

“มึงจะกลับไปคบกับก้อยเหรอ”

กชลุกขึ้นยืนเพราะเก็บกระเป๋าเสร็จพอดี ทำเอาคนตั้งคำถามหน้าเหวอ รีบยัดข้าวของใส่เป้ตัวเองแทบไม่ทัน เห็นท่าทีลนลานของเพื่อนแล้วกชก็ยกยิ้มยียวนอีกรอบ

“ช้าว่ะมึง”

“ไอ้สัส ทีอย่างนี้ล่ะเร็ว” ว่าพร้อมกับรีบก้าวเท้าตามเพื่อนตัวโย่งที่เดินนำไปก่อน

รุ่นน้องต่างคณะที่เคยทำความรู้จักกันแบบผิวเผินก่อนหน้ายกมือทักทาย บอสรู้ดีว่ารอยยิ้มของสาวๆ หลายคนจงใจส่งให้เพื่อนที่หน้าหล่อเกินมาตรฐานของเขา ต่อให้จะมีข่าวที่ว่าเจ้าตัวมีแฟนเป็นรุ่นน้องผู้ชายที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมในตัวชายหนุ่มลดน้อยลงเลย ดีไม่ดีกลับจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ

“แล้วตกลงว่ายังไง” บอสยังคงเซ้าซี้ต่อ เขาตัวไม่สูงเท่ากชก็จริง หากขาเรียวยาวก็ก้าวตามเพื่อนได้อย่างไม่ยากเย็น “มึงจะรีเทิร์นกับยัยนั่นเหรอ แน่ใจแล้วเหรอ แล้วเรื่องมิวล่ะ? คนอื่นเขาเข้าใจว่ามึงคบกับมิวอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“โอย ใจเย็นน่า ไอ้บอส” กชกลอกตาอีกรอบ บอสเหลือบมองเสื้อผ้ายับๆ ของเพื่อนราวกับโดนรถสิบล้อทับแล้วอยากจะถอนใจ ไอ้บ้านี่มันหน้าตาดีก็จริงแต่ไม่เคยทำอะไรเรียบร้อยเลย “มึงจะมาเสือกอะไรด้วยเนี่ย นี่มันเรื่องของกูนะ”

“แต่ก้อย…”

“เออ กูรู้” กชพยักหน้าตัดบท “แต่นี่เรื่องของกู กูจัดการได้”

“หาว่ากูเสือกงั้นสิ? ”

อีกฝ่ายคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอย่างยียวน “ไม่รู้สิ บอส แล้วมึงกำลังเสือกอยู่รึเล่าล่ะ? ”

“ไอ้ห่านี่ กูเป็นห่วงนะโว้ยถึงได้ถาม”

“ซึ้งใจมากเลย ต้องลงไปกราบแทบเท้าด้วยไหม”

“เฮ้ย กช” เพื่อนร่วมก๊วนของเขาอีกสองคน แก๊ปกับบีมนั่นเอง คนที่กำลังตั้งท่าเตรียมพูดจ้อยๆ ก็ต้องเป็นไอ้แก๊ปอยู่แล้ว เจ้าตัวยิ้มร่าพร้อมกับตบบ่าเพื่อนตัวสูงอย่างคุ้นเคย “ไง เพื่อน หายหน้าหายไปเลย ไปเดทกับแฟนเก่ามาเหรอจ๊ะ”

แปลว่าทุกคนคงเห็นไอ้รูปในเฟซหมดแล้ว เขาเองถึงจะชอบไถโซเชียลมีเดียแต่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของตัวเองในนั้นเท่าไร แล้วแบบนี้มิวจะเห็นรูปเขากับก้อยด้วยแล้วรึเปล่าเนี่ย

“เออ มึง คิดอะไรของมึงอยู่วะ” บีมว่าขึ้นบ้าง “ถ่านไฟเก่าปะทุหรือไง แล้วน้องสไลม์ล่ะ? ”

“เขาชื่อมิว” กชว่าขำๆ จริงๆ ก็ตลกดีนะที่ใครต่อใครพากันเรียกรูมเมทเขาว่าสไลม์บ้าง สไลม์สไมลส์บ้าง ไสลม์ยิ้มบ้าง ฟังแล้วนึกถึงมอนสเตอร์เยลลี่หยุ่นๆ เอามาทาบหน้าไอ้แว่นเด๋อนั่นแล้วโคตรเข้า คิดแล้วก็อยากจะดึงแก้มหมอนั่น…

“ไอ้ห่ากช ยังทำเป็นยิ้มไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีก” บอสโวยวาย เอื้อมมือไปผลักหัวเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังหัวเราะร่วนอยู่ดี “ตกลงมึงจะเอายังไงกันแน่ นี่อย่าบอกนะว่าจะกลับไปคบก้อยจริงๆ ”

“แบบนั้นก็น่าสงสารน้องสไลม์แย่” แก๊ปว่าลอยๆ เหมือนพูดส่งๆ ไปมากกว่าจะออกมาจากใจจริง ก็ทำไมเขาต้องสนด้วยล่ะ ไม่ใช่ปัญหาของเขาสักหน่อย “เออ แต่คิดในอีกแง่หนึ่งแฟนเก่าไอ้กชก็สวยดี แถมคบกันมาเกือบสองปีด้วยไม่ใช่เหรอ มันคงตัดกันไม่ขาดจริงๆ ล่ะมั้ง อีกอย่าง ยังไงคบกับผู้หญิงก็ดีกว่าคบกับผู้ชายปะวะ”

“ทำไมมึงพูดงั้นวะ” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของบอสแทน แถมฟังจากน้ำเสียงแล้วยังดูหัวเสียไม่น้อย

รอบตัวเขาเต็มไปด้วยนักศึกษาที่อยู่ทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะเนื่องจากตึกเรียนเป็นตึกที่ใช้ร่วม จากหางตา บอสเห็นร่างของใครบางคนที่แสนคุ้นเคยก้าวเท้าเร็วๆ ไปในทิศทางตรงข้าม

มิวเหรอ?

เจ้าตัวลอบคิดอย่างไม่แน่ใจ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง จะบังเอิญขนาดนั้นได้ไง อีกอย่าง ถึงนี่จะเป็นตึกรวม แต่เขาไม่ค่อยเห็นพวกคณะมนุษย์ฯ มาอยู่แถวนี้เท่าไร เหมือนคาบเรียนไม่ค่อยมีแถบนี้ เพราะงั้นคงไม่ใช่หรอก

แต่บอสไม่รู้เลยว่าความคิดแรกของเขานั้นถูกต้อง ชายหนุ่มหันหน้าไปโต้ตอบกับเพื่อนที่หันมาเล่นงานตัวเองแทนกช ส่วนมิวที่บังเอิญได้ยินสิ่งที่แก๊ปพูดเข้าพอดีหน้าซีดเป็นไก่ต้มทีเดียว เจ้าตัวเดินมะงุมมะงาหราไปตามทาง สวนไปกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในหัวไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะไปไหน รู้แต่ว่าต้องออกมาจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด

กรกชไม่รู้ว่ามิวได้ยินเรื่องที่เพื่อนของเขาคุยกัน อันที่จริงชายหนุ่มคิดว่ามันไร้สาระเพราะถึงยังไงในท้ายที่สุด นี่มันก็คือชีวิตของเขาเอง ใครจะพูดอะไรเขาก็แค่ปล่อยให้มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าจะเรื่องของก้อยหรือเรื่องของมิวล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย

บอสลอบมองเพื่อนตัวโย่งของตัวเองที่ยกยิ้มและหัวเราะไปกับกลุ่มเพื่อนขณะก้มลงกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ พวกเขามีเรียนวิชาเดียวกันในคาบต่อมาทั้งหมดจึงยังเกาะกลุ่มกันอยู่

บอสรู้ดีว่ากชเพื่อนเขาเป็นคนสบายๆ ยิ้มง่าย เฮฮาไปเรื่อยแล้วก็ชอบไหลตามน้ำ แต่เขาก็รู้อีกด้วยว่าถ้าเจ้าตัวตั้งใจจะเก็บงำความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้ใช้สว่านมาเจาะก็ทะลวงเข้าไปไม่ได้

แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งดุจหินผานั่นมีข้อยกเว้น เขาเองก็อาจเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั่น กรกชเห็นเขาเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุดคนหนึ่งเพราะเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นม.ต้น กับก้อยเองก็ด้วย แต่ตอนนี้ก้อยห่างออกไปแล้วตั้งแต่เลิกกับกช ดังนั้นจึงเหลือแค่เขาคนเดียวในตอนนี้

ก่อนหน้านี้กรกชแชร์ความลับบางอย่างให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องของมิว และมันทำให้บอสไม่สบายใจ… ไม่ชอบใจกับเรื่องที่ได้ยินมาสุดๆ ไม่ว่าจะคิดในแง่ไหน

บอสก้มลงกดมือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต แม้แต่กชเองก็กำลังเหม่อมองกระดาน ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าเขาโชคดี อาจมีเนื้อหาความรู้อะไรไหลเข้าไปในหัวได้บ้าง

แล้วอยู่ๆ บอสก็ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้อาจารย์หน้าห้องหันมาด่า

“ไอ้แก๊ป กูไปก่อนนะ เอากระเป๋าออกมาให้กูด้วย” พูดพร้อมกับหยิบเฉพาะของที่จำเป็นไว้ติดตัว

“อ้าว มึงจะไปไหน”

“ธุระ” แล้วเจ้าตัวก็แจ้นหายไป ทิ้งให้เพื่อนบ่นพึมพำตามหลัง

“อะไรวะ จะโดดเรียนก็ไม่ชวนกันเล้ย ไปคนเดียวซะงั้น”

“เฮ้ย” คราวนี้ไอ้บีม รายนี้ล่ะกลายเป็นคนรักเทคโนโลยีขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในห้องเรียน ง่วนอยู่กับหน้าจอมือถือทั้งคาบ “ไอ้กช มึงเห็นนี่ยัง”

“อะไร” ร่างสูงถาม ตายังมองอยู่ที่กระดาน เหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรบางอย่างไหลเข้ามาในหัวสมองบ้าง

“สัส ถามแล้วก็หันมาดูสิ”

กรกชเลยหันหน้ามาสุมหัวกับเพื่อนอย่างเสียไม่ได้ แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็ต้องเบิกกว้างขึ้น

นั่นคือกระดานสนทนาบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่กำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเขากับมิวคบกันอยู่จริงๆ หรือแค่แกล้งเล่นละคร

แก๊ปกับบีมหันมามองคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเหมือนรอฟังคำตอบ

“อะไรกันวะ” กชถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขารู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องอยู่เหมือนกัน

“เหมือนว่าจะมีข่าวลือบอกว่าแกกับสไลม์แค่แกล้งคบกัน” บีมว่าขณะไถหน้าจอมือถือ “ข่าวเหี้ยอะไรวะ”

“แต่แกกับน้องสไลม์คบกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอ” แก๊ปว่าต่ออย่างเฉยเมย “ไม่เห็นต้องไปสนใจ… เออ หรือจะใช้โอกาสนี้เลิกกับน้องเขาแล้วกลับไปหาคนเก่า? ”

“ไอ้แก๊ป” บีมเอ็ดเพื่อน ไอ้ปากหมานี่พูดจาอะไรไม่เคยกรองจากสมองก่อน แก๊ปยักไหล่ทีหนึ่ง

“โทษที ลืมไปไม่ใช่เรื่องของกู”

“ไม่ใช่เรื่องของมึง” กรกชพูดเสียงเย็นขึ้นมาบ้าง นานๆ ทีจะถึงจะได้เห็นด้านมืดของผู้ชายคนนี้ ทำเอาทั้งแก๊ปและบีมเกร็งตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทั้งคู่รู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณเตือนภัยแล้ว

“ขอโทษ” แก๊ปว่าแหยๆ “กูไม่ได้ตั้งใจ แค่พูดไปเรื่อย”

“อืม แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าผลสุดท้ายแล้วนี่เป็นเรื่องของกู”

“เออ กูรู้ จะไม่พูดอะไรแล้ว”

“บีม ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

บีมส่งมือถือให้เพื่อนอย่างว่าง่าย กรกชรับมาเลื่อนดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นโบได้

“กูไม่ได้คบกับมิวจริงๆ ”

คำสารภาพนั่นทำเอาเพื่อนทั้งเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง

“อะไรนะ”

“นี่! กลุ่มตรงนั้นน่ะ! ” อาจารย์หน้าห้องที่เหมือนจะทนมานานตะโกนขึ้นมาในที่สุด “เงียบๆ หน่อยได้ไหม! แล้วสุมหัวทำอะไรกัน ตั้งใจเรียนสิ! จะเอาไหมความรู้น่ะ!? ”

ทั้งสามเลยต้องแยกวงกันชั่วคราว กรกชส่งมือถือคืนให้เจ้าของหากสีหน้ายังฉายแววคิดไม่ตกอยู่เหมือนเดิม

แก๊ปที่นั่งข้างกชโน้มตัวลงกระซิบถาม แม้ว่าเมื่อครู่จะเพิ่งบอกเพื่อนว่าจะไม่เสือกเรื่องใดๆ อีกแล้วก็ตาม แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

“หมายความว่าไงวะ ไอ้กช ที่มึงบอกไม่ได้คบกับน้องสไลม์จริงๆ ”

“กูกับมิวแค่แกล้งคบกัน” เขาตอบ ไม่มีรอยยิ้มขี้เล่นหรือแววตารักสนุกแบบที่มีอยู่ตลอด เขากำลังคิดหนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารู้ดีว่าสักวันมันต้องมา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“แปลว่าข่าวลือที่ว่านี่เรื่องจริง? ”

“พวกมึงสองคนเหยียบไว้ก่อนนะ”

ทั้งคู่พยักหน้าแข็งขัน

“แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ” บีมกระซิบถาม ตาเหลือบมองอาจารย์ไปด้วยราวกับคอยระวังภัย

“ต้องไปคุยกับมิว”

“เดี๋ยวก็หมดคาบแล้ว”

กชพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “อืม”

เดี๋ยวก็หมดคาบแล้ว






กรกชดิ่งมอเตอร์ไซค์กลับมาที่หอทันทีที่เลิกคาบสุดท้าย

ท้องฟ้าภายนอกเริ่มกลายเป็นสีส้มเพราะดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลง เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปตามโถงทางเดินที่ดูจะทอดยาวมากกว่าทุกวัน กระชากประตูเปิดออก มิวที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้หน้าคอมด้วยความตกใจ ดูจากสภาพอีกฝ่ายแล้ว มิวก็คงเพิ่งกลับมาถึงห้องได้ไม่นานเหมือนกัน แต่สีหน้ายับๆ ที่เต็มไปด้วยความกังวลทำให้ร่างสูงกังวล เขานึกอยากดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบ แต่เพราะสิ่งที่เจ้าตัวกำลังกังวลอยู่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง กชเลยทำได้แค่ต้องห้ามตัวเองเอาไว้เท่านั้น

จะว่าไป… นี่เป็นครั้งแรกของวันเลยที่เขาจะได้คุยกับมิว เมื่อวานไอ้แว่นไปกินเหล้าเมาแอ๋ที่ไหนมาก็ไม่รู้ กลิ่นแอลกอฮอล์นี่คลุ้งไปทั้งตัว และนั่นเป็นสาเหตุให้เจ้าตัวนอนแฮงค์อยู่บนเตียงเมื่อเช้า ไม่ฟื้นขึ้นมาแม้ว่าเขาจะออกไปเรียนแล้ว

คิดแล้วก็น่าโมโห ก็รู้อยู่ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังเที่ยวออกไปดื่มอยู่นั่น เขาเองเมื่อคืนก็ดื่มมาบ้างนิดๆ หน่อยๆ เหมือนกัน แต่มิวนี่คือสภาพอย่างกับอาบมาเลยทีเดียว ไม่ได้ห่วงตัวเองเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะสู้ใครเขาไหวกัน

และเพราะคิดแบบนั้นกังวลแบบนั้น สิ่งแรกที่ออกมาจากปากจึงกลายเป็นคำตำหนิ

“ทำไมเมื่อคืนไปกินเหล้ามาล่ะ”

มิวชะงักไปกับคำถามนั้นก่อนคิ้วเรียวจะขมวดติดกัน “แล้วพี่ไม่ได้ออกไปกินเหล้ามาหรือไงครับ? ”

ชัดเลย ไอ้หมอนี่เห็นรูปในเฟซแล้ว บางทีเขาก็เกลียดโซเชียลมีเดียเหลือเกิน

“แต่พี่คุมตัวเองอยู่ มิวล่ะ เคยคุมตัวเองอยู่บ้างรึเปล่า”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย”

นี่มันไม่ใช่เวลามาเถียงกันเรื่องนี้แท้ๆ

“พี่เป็นห่วงมิวนะ”

น้ำเสียงจริงใจนั่นไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ใบหน้านั้นดูเหยเกมากขึ้น

“ผมแค่ไปดื่มกับเพื่อน แล้วพี่ก็ไม่ใช่แม่ผม”

ทำไมไอ้เตี้ยนี่ถึงได้ดื้อนัก “รู้แล้ว พี่ไม่ว่าอะไรเลย แต่วันหลังบอกพี่หน่อยได้ไหม หรือชวนพี่ไปด้วยก็ได้นี่”

“แล้วถ้าผมชวนพี่เมื่อวาน พี่กชจะว่างไปเหรอครับ” น้ำเสียงประชดประชันนั่นทำเอากชต้องขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ บอกตามตรงว่าเขาเกลียดน้ำเสียงแบบนั้นที่สุด มิวตอบคำถามของตัวเองเสร็จสรรพ “ไม่ พี่ไม่ว่างหรอก พี่กชไปดื่มกับพี่ก้อย ผม… เห็นแล้ว”

“ก็ใช่ เมื่อคืนพี่อาจจะไม่ว่าง” เขาพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดือดไปกับอีกฝ่าย แค่นี้บรรยากาศหนักอึ้งก็กดทับพวกเขาจนอึดอัดจะแย่แล้ว “แต่ถ้ามิวบอกพี่ก่อนล่วงหน้า พี่อาจจะไปด้วยได้ไง”

“พี่กชจะมาทำดีกับผมทำไม”

กรกชไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมรูมเมทของเขายังต้องถามคำถามนั้นอีก ที่เขาแสดงออกทุกวันนี้ยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ? ต้องทำยังไงถึงจะสื่อความรู้สึกนี้ออกไปให้มิวเข้าใจได้ล่ะ? จับลากขึ้นเตียงเลยได้ไหม

“มิว ใจเย็นๆ ก่อน” เขาพยายามผ่อนลมหายใจให้อีกฝ่ายทำตาม “พี่รู้ว่ามิวกำลังอึดอัดแล้วก็สับสนกับข่าว”

“พี่กชรู้แล้วสินะครับ” ทั้งคู่กำลังพูดถึงข่าวลือที่ว่าพวกเขาสองคนแค่แกล้งคบกันตบตาคนดู โชคร้ายที่ข่าวลือที่ว่าเป็นเรื่องจริง

“ใช่ พี่รู้แล้ว แต่เราลองมาค่อยๆ คิดหาทางแก้กันดีไหม อย่ามามัวเถียงอะไรไร้สาระกันแบบนี้เลย”

“ไร้สาระเหรอ? ” ใบหน้าขาวนั้นซีดลงเรื่อยๆ จนกชเองแทบอยากจะคราง เขาไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้มิวรู้สึกดีขึ้น “พี่เป็นคนเริ่มก่อนเองนะ ทั้งเรื่องที่ผมไปกินเหล้า เรื่อง… เฮ้อ ผมไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดี”

“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า” พูดพร้อมกับเดินไปแตะบ่าของอีกฝ่าย หากมันเกร็งแน่นขึ้นจนกรกชตกใจ

นี่มันเหมือนกับว่า… มิวไม่ต้องการสัมผัสของเขาอย่างนั้นแหละ

กชละมือออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด และเขาก็ได้แต่สาปแช่งตัวเองในใจเพราะตอนนี้หน้าของมิวเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

อะไรวะ นี่เขาจะทำอะไรให้มันถูกต้องถูกใจหมอนี่ไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ

ร่างสูงรับรู้ได้ว่าบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างพวกเขาทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นหลังจบวันที่ไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป แต่ก็รู้สึกได้ว่ามิวพยายามถอยห่างจากเขาเล็กน้อย มันไม่ได้ชัดเจนจนรู้สึกได้ในทันที ตอนแรกกชคิดว่าเขาคิดไปเองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้ว

บางทีความสัมพันธ์ประหลาดๆ นี่อาจจะถึงจุดสิ้นสุดแล้วก็ได้ แค่คิดกชก็ใจหาย แต่เขารักษามันเอาไว้ตลอดไปไม่ได้หรอกถ้าหากอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ

ก็พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เสียหน่อย ทุกอย่างมันก็แค่การเล่นละคร

แต่ให้ตาย… อึดอัด ทำไมมิวต้องทำหน้าเหมือนกล่าวหาเขาแบบนั้นด้วย เขาทำอะไรผิดไปทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ

“มิวเป็นอะไร” กชถามอย่างสับสน เขาไม่เคยคิดว่าระหว่างพวกเขาทั้งคู่จะกลายมาเป็นแบบนี้ ต่อให้ความสัมพันธ์ปลอมๆ นั่นยุติ แต่เขาก็คาดหวังให้กลับไปเป็นรูมเมทกันตามเดิม “มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้นเอง เราแก้ข่าวได้นี่ จะแก้ข่าวหรือพูดความจริงไปเลยก็ได้ ยังไงมันก็มีทางออกอยู่แล้ว”

มิวเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง เขาเครียดจนหัวแทบแตกทั้งเรื่องของคนตรงหน้า เรื่องข่าวลือ เรื่องที่ตัวเองโดนกระหน่ำด่าอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วนี่เหรอสิ่งที่รุ่นพี่เขาเลือกที่จะพูดน่ะ

“พี่ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม”

“ไม่ ไม่เข้าใจ” กชพูดด้วยเสียงกร้าวขึ้น เขาพยายามทำใจเย็นก็จริง แต่ท่าทางของคนตรงหน้ามันทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “มิวมีปัญหาอะไรก็พูดมาดิ พี่รู้ว่าตอนนี้มันแย่ ข่าวมันกระจายออกไปแล้ว แต่เราสองคนก็เคยคุยเรื่องนี้กันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แล้วพี่ไม่คิดบ้างเหรอว่าข่าวมันหลุดมาจากใคร”

กรกชอ้าปากค้าง เขาไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย คิดแต่ว่าพอมีปัญหามาก็ควรจะแก้ ส่วนเรื่องใครจะทำหลุดน่ะ…

“มิว เรื่องที่เราไม่ได้คบกันจริงๆ ก็มีคนรู้ตั้งหลายคน ทั้งน้องสาวมิว เพื่อนมิว เพื่อนพี่ มันอาจจะหลุดมาจากใครก็ได้” ซึ่งถ้าถามเขา กชสงสัยมอสน้องมิวสุด เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็ยังเด็ก บางทีอาจจะคะนองปาก เล่าสนุกๆ ให้เพื่อนฟัง และต่อให้เป็นอย่างนั้น เขาก็คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ไม่คิดโกรธอะไรเลยด้วย

“หรืออาจจะเป็นพี่ก้อย”

คำพูดนั่นทำให้กชฉุนขึ้นมาทันที ชายหนุ่มพูดเสียงแข็งอย่างที่มิวไม่เคยได้ยินมาก่อน

“มิว ทำไมพูดแบบนั้น”

“ก็… ก็…” หลุดปากออกไปแล้วคนใส่แว่นก็เริ่มสั่น เขาก้าวถอยหนีจากอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว “ก็คนอื่นๆ ที่รู้น่ะ เขารู้มาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่เคยมีข่าวอะไรหลุดไปเลย แต่… แต่พอพี่ก้อยรู้…”

“มิวมีหลักฐานเหรอ” กรกชได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกลงคอ “มิวกล่าวหาคนอื่นโดยที่ไม่มีหลักฐานเหรอ”

“ก็แค่ตั้งข้อสังเกต”

“พี่ไว้ใจก้อยนะ”

กชไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นกรีดลงไปในใจคนฟังมากแค่ไหน มิวรู้สึกร้อนที่ขอบตา เขาพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้มันหยดลงมา

มิวรู้ว่าควรจะหยุด… ควรจะหุบปากให้สนิท แต่แรงอารมณ์ล้วนๆ ที่ทำให้เขาตะโกนออกไปอย่างเหลืออด

“พี่ไว้ใจเขา! แล้วผลสุดท้ายเขาก็หักหลังพี่ไปมีคนอื่น แล้วพี่ยังจะไว้ใจเขาอีกอย่างนั้นเหรอ!? ”

กชนิ่งอึ้ง มองอีกฝ่ายราวกับคนแปลกหน้า มิวรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

“มิว… ตามสืบเรื่องของพี่กับก้อยเหรอ”

มิวอึกอัก ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง อันที่จริงแล้วเรื่องนี้แนทเป็นคนเล่าให้ฟัง ความสามารถในการขุดอดีตผ่านโซเชียลมีเดียของหมอนั่นไม่ธรรมดา แต่บางทีมิวก็หวังว่าตัวเองจะไม่อยากรู้ว่าทำไมพี่กชกับพี่ก้อยถึงเลิกกันจนต้องขอให้เพื่อนช่วย

“มิว… พี่” กชยกมือขึ้นเสยผมอย่างทำตัวไม่ถูก เขาเคยไม่แคร์กับเรื่องอดีตของตัวเอง แต่พออีกฝ่ายเป็นมิว ทุกอย่างมันก็ยากไปหมด “พี่ไม่คิดเลยว่ามิวจะเป็นคนแบบนี้”

“...” ให้ตาย… ถ้าพี่กชจะพูดแบบนี้กับเขา ทำไมไม่ชกหน้ากันไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ

“พี่” ร่างสูงกระสับกระส่าย เดินไปซ้ายทีขวาทีเหมือนหนูติดจั่น ในที่สุดเขาหยุดแล้วก็ส่ายหน้ารัวๆ ถอนหายใจดังเฮือก “พี่ผิดหวังว่ะ”

มิวทำได้แค่มองแผ่นหลังของรูมเมทที่เดินออกจากห้องไปเงียบๆ จากนั้นเจ้าตัวก็ชกหมัดลงบนตู้เสื้อผ้าอย่างแรง





-------------------------------------------
Talk: หนักมากค่ะตอนนี้ เขียนไปนี่เกร็งไป อดทนกันหน่อยนะชาวฟีลกู้ด เดี๋ยวความอึมครึมก็ผ่านไปแล้ว TvT

ออฟไลน์ Bronc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สงสารน้องมิว  กชใจร้ายอ่ะ ทำไรไม่ชัดเจน  ทำน้องเสียใจสับสน  ยังจะมาว่าน้องอีก

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เกลียดดดดดดดพี่กช

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
บอสแน่ๆ แอบรักเพื่อนละสิ ขี้เผือกนะเรา -_-*

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
สืบไม่สืบก้อใช่ว่าจะต้องโมโหอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทำไมมันมีประเด็นให้ทะเลาะกันเยอะขนาดนี้ล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 12




Vk Dragon: พี่สไลม์เป็นอะไรรึเปล่าครับ

Vk Dragon: ไหวไหม



ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์ มองข้อความที่เด้งขึ้นมาจากหน้าเพจก่อนจะลดมันลงไว้บนเตียงข้างตัว เหม่อมองเพดานสีขาวอย่างไร้จุดหมายแทน

ผมพยายามกลั้นน้ำตาไว้จนกระบอกตาปวดตุ้บไปหมด จริงๆ ตอนที่พี่กชก้าวพ้นห้องออกไปผมก็เป่าปี่มารอบหนึ่ง ไม่สิ อาจจะแค่ครึ่งรอบ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นตอนนี้คือในหัวผมเหมือนมีม่านหมอกหนาทึบบดบังความคิดและความเฉียบคมของตัวเองไป และนั่นทำให้ผมได้แต่นอนนิ่งเป็นผักเน่า ไม่รู้จะเริ่มต้นรับมือกับปัญหาของตัวเองยังไงดี

เสียงแชทของเพจเฟซบุ๊คดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผมปล่อยให้มันค้างอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งก่อนจะตัดใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความอีกครั้ง

มีลูกเพจหลายคนทักเข้ามาถามเกี่ยวกับข่าวลือ แต่มีเพียงคนเดียวที่ทักมาเรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วง และคนนั้นก็คือผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Vk Dragon หรือน้องมังกรของผมเอง

ผมมีแฟนคลับหลายคนเหมือนกัน แต่มีคนที่สนิทจริงๆ ไม่กี่คน และส่วนมากทุกคนมักจะติดตามผมมาตั้งแต่เริ่มทำช่องแรกๆ น้องมังกรที่ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน ผมเคยถามชื่อเขามาก่อนแต่เจ้าตัวบอกว่าไม่สะดวกจะบอกชื่อจริง ผมเลยถามเขาว่าแล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไร

เขาเลยบอกให้ผมเรียกเขาว่ามังกรเพราะเขาชอบมังกร

ผมไม่มีปัญหากับนามแฝงอยู่แล้ว ในโลกไซเบอร์ใครๆ ก็ต้องมีกันอย่างน้อยคนละชื่อ และผมก็ไม่คิดก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของใคร แค่น้องเขาคอยแวะมาทักทายเรื่อยๆ ชวนคุยเรื่องเกมเรื่องคลิปที่ผมทำก็มีความสุขมากพอแล้ว

แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากเจ๊าะแจ๊ะ… ผมอยู่ในโหมดหดหู่สุดขีดจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ





SlimeSmileS: ไม่ค่อยโอเลย มังกร

SlimeSmileS: ข่าวที่นายเอามาบอกพี่มันแรงอ้ะ

SlimeSmileS: พี่ต้องโดนทุกคนเกลียดแน่เลย





อีกฝั่งขึ้นจุดมาสามจุด เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่ากำลังพิมพ์





Vk Dragon: อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยพี่

Vk Dragon: ไปหาอะไรอย่างอื่นทำก่อน พอใจเย็นลงแล้วค่อยมาแถลงข่าว ดีไหม?





คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มขัน แม้ว่ามันจะฝืดฝืนเพราะความเศร้าหมองที่ตกค้างอยู่ก็ตาม และเมื่อรอยยิ้มนั้นหุบลง ผมก็รู้สึกตัวว่ารับแรงกดดันนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว





SlimeSmileS: อืม คงทำงั้นอะ

SlimeSmileS: โทดทีนะ ไว้ค่อยคุยกัน

Vk Dragon: โอเคพี่ สู้ๆ นะครับ





ผมกดออกจากแอปพลิเคชันแล้วโทรหาไอ้เก่งเป็นคนแรก รายนั้นรับสายผมแล้วพูดด้วยได้เพียงสองสามคำเพราะติดธุระอยู่กับที่บ้าน น้ำเสียงมันสำนึกผิดสุดๆ ที่ไม่สามารถอยู่คุยกับผมได้ แต่ไม่เป็นไร ผมก็ไม่อยากให้เพื่อนลำบากใจเหมือนกัน

ผมวางสายจากมันแล้วโทรหาไอ้แนทต่ออย่างรวดเร็ว คิดในหัวเลยว่าถ้ามันไม่ว่างคุยแล้วจะโทรหาใครต่อดี แต่โชคดีที่มันไม่ได้ติดธุระอะไรกับใครที่ไหน แถมพอผมเล่าว่าเจออะไรมาบ้างแบบย่อๆ ไอ้แนทก็รีบเสนอตัวให้ออกมาเจอกันแถวคอร์ทเทนนิสของมหาลัย

แล้วผมจะรออะไรล่ะ หยิบของที่จำเป็นแล้วพุ่งออกไปเลยครับ ไม่อยากอยู่ในห้องให้อึดอัดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

แนทมานั่งรอผมอยู่แล้วเพราะจากหอมันใกล้กว่าที่จะมาตรงนี้ ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ม้านั่งนี่ตั้งอยู่ด้านนอกคอร์ทเทนนิส มีร้านค้าสองสามร้านเปิดขายอยู่โดยมีลูกค้าหลักเป็นนักกีฬาด้านใน

น่านับถือคนที่มียังมาออกกำลังกายกันทั้งที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วแบบนี้จังเนอะ ท้องฟ้ามืดสนิททำให้ทางสนามต้องเปิดไฟสีขาวสว่างจ้าเพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกคนมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

เสียงลูกตกกระทบลงกับพื้นคอร์ทสลับกับเสียงหวดไม้ เสียงร้องตะโกนของคนด้านในและเสียงพูดคุยแผ่วเบาของคนที่นั่งพักอยู่ริมสนาม ทั้งหมดนี่พอจะช่วยปลอบประโลมอาการเฮิร์ทหนักของผมได้บ้าง แต่ผมรู้ดีว่ามันคงดีขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น

“อยากกินน้ำอะไรก่อนไหม” แนทถาม กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วยืดตัวขึ้น “เดี๋ยวซื้อมาให้”

“มึงว่าเขาจะมีกล้วยปั่นไหม”

“รอแป๊บหนึ่ง”

ผมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนไปอย่างเหม่อลอย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง น้องมังกรผู้น่ารักของผมส่งรูปอัลปาก้ามาให้ดูพร้อมกับบอกว่าน่าจะช่วยให้ผมดีขึ้นได้

อัลปาก้าที่ถูกตัดแต่งขนจนดูเหมือนทรงผมประหลาดๆ นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาได้ แนทที่เดินกลับมายื่นน้ำกล้วยปั่นมาให้ ผมขอบคุณมัน รับมาถือพร้อมกับกดถ่ายรูปน้ำที่ว่าไปให้น้องมังกรดูเพื่อบอกอีกฝ่ายว่าผมโอเคขึ้นแล้ว

ไอ้แนทดูดโค้กของมันอึกหนึ่งก่อนจะเริ่มเกริ่น

“ละตกลงเรื่องมันเป็นไงมาไง ขอใหม่อีกทีแบบละเอียดซิ”

ผมคว่ำมือถือลงข้างตัวเพื่อให้เกียรติคู่สนทนา “ก็… จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ มึงเห็นข่าวแล้วใช่ไหม ที่ว่าจริงๆ กูกับพี่กชแกล้งคบกัน”

“เห็นล่ะ” พยักหน้ารับ ดูดน้ำอีกอึก “ก็… เหมือนจะร้ายแรงนะ แต่กูลองสแกนๆ ดูแล้วก็ไม่แย่ขนาดนั้น ส่วนมากคนรอให้มึงไปแถลงการณ์มากกว่า”

“แถลงเหี้ยไรล่ะ” ผมห่อไหล่ลง รู้สึกหนาวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ “กูไม่ใช่ดาราหรือคนดังอะไรสักหน่อย แล้วอีกอย่าง ข่าวลือนี่ก็เป็นความจริง แล้วจะให้กูไปพูดอะไร”

“ไม่รู้สิ ความจริงมั้ง? ”

“ช่องกูแม่งต้องล่มแน่”

“ก็คงมีคนแอนตี้บ้าง” แนทพยักหน้า “แต่คนดูมึงเขาไม่ได้ดูเกมที่มึงเล่นหรอกเหรอ? เขามาดูมึงแค่เพราะมึงเป็นแฟนกับพี่กช? ”

ผมชะงักไป ไม่ได้คิดเรื่องนั้นจริงๆ จังๆ มาก่อน แต่ไม่ว่าจะยังไง สิ่งที่ผมทำลงไป… ที่โกหกกับคนดู โกหกคนที่ติดตามช่องตัวเองมาตลอดก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้อภัยกันได้ง่ายๆ อยู่ดี

ผมนี่ช่าง… คิดอะไรตื้นๆ เสียจริง ก่อนทำไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาเลยสักนิด และตอนนี้ผมก็ต้องมารับผลกรรมของตัวเองแล้ว

“กูไม่รู้” ผมพูดเสียงแผ่ว แนทเงียบไปครู่หนึ่ง ผมดูดกล้วยปั่นของตัวเองบ้างแต่รู้สึกเหมือนลิ้นจะไม่ค่อยรับรู้รสาติเท่าไร

“งั้นเปลี่ยนเรื่องกัน มาพูดเรื่องพี่กชของมึงกันดีกว่า”

“เขาไม่ใช่ของกู” รู้สึกแย่กว่าเดิมอีกครับคราวนี้

“เขาโกรธอะไรมึง”

ผมนิ่งไปนิดก่อนจะตอบ “เขาโกรธที่กูไปเสือกเรื่องเขา”

“เสือกเรื่อง? ”

“เรื่องที่มึงไปสืบมาให้กูไงว่าพี่กชเลิกกับพี่ก้อยเพราะอะไร เขาบอกว่าผิดหวังในตัวกู ไม่คิดว่ากูจะเป็นคนแบบนี้”

“โห” แนททำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “แรงเหมือนกันนะเนี่ย”

“เออ กูนี่ช็อกเลย”

“แล้วพูดเรื่องความรู้สึกของมึงยัง? ”

ผมเงียบ แนทถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เฮ้อ เพื่อนกู”

“กูว่าจะเข้าไปคุยกับเขาแล้วนะเว้ย” ผมแก้ตัวทันที “แต่ไม่มีจังหวะดีๆ เลย แถมมาเจอเรื่องแบบนี้อีก กูว่า… เขาคงเกลียดกูแล้วล่ะ”

พูดไปก็เหมือนจะขาดอากาศหายใจ น้ำตาที่แห้งไปแล้วรื้นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว แนทสะดุ้งอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ผมก็ไม่นึกว่าตัวเองจะน้ำตาร่วงพรูออกมาเหมือนก๊อกแตกแบบนี้

“ไอ้เหี้ย ไม่ร้อง” พูดพร้อมกับดึงผมไปซบบ่ามัน เท่านั้นแหละครับ ปล่อยโฮเลย “อ้าว ไอ้ห่า กูบอกไม่ร้องเสือกร้องหนักกว่าเดิม ไม่เอาน่า ไอ้มิว ใจเย็นๆ ”

“กู… กูไม่น่า… เริ่มเรื่องงี่เง่านี่… ขึ้นมาเลย” เสียงของผมขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น ว้อย รำคาญตัวเองเหมือนกัน แต่หยุดร้องไม่ได้โว้ย “ฮือ… แนท พี่กชเขาเกลียดกูแน่เลย ทำไงดี กูจะทำยังไงดี”

แนทดึงแว่นออกจากหน้าผม ขอบคุณมากเลยเพราะมันเลอะคราบน้ำตาหมดแล้ว ผมได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของตัวเองสลับกับเสียงปลอบประโลมของเพื่อนที่ดังในความมืด โชคดีที่ตรงนี้ห่างสนามเทนนิสออกมาพอควร ไม่งั้นนักกีฬาทุกคนคงแตกตื่นกับเสียงร้องไห้ของผมจนไม่เป็นอันหวดลูกแน่

แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น

“เฮ้ย พวกนาย”

ผมกับแนทเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ แล้วสภาพหน้าผมนี่เยินมากเลย อะไรของแม่งวะ คนกำลังระเบิดอารมณ์ อย่าเพิ่งมาขัดได้ไหม

ท่ามกลางความมืดบวกกับสายตาที่สั้นกว่าคนปกติทำให้ผมมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่เมื่อชายคนนั้นก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ถ้าคุณหวังว่าจะให้นี่เป็นพี่กชล่ะก็… เสียใจด้วยครับ คุณต้องเจอกับความผิดหวังแบบผม เพราะนี่ไม่ใช่พี่กช แต่เป็นเพื่อนสนิทของพี่แกต่างหาก

ไอ้คุณพี่บอส!

จะโผล่มาทำซากอะไรตอนนี้ครับ แค่นี้ผมก็หดหู่จนเหมือนโดนหลุมดำดูดเข้าไปในอีกห้วงมิติอยู่แล้วนะ นี่พี่แกยังจะโผล่มาให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมอีกเหรอ

แนทเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของอีกฝ่าย

“ใครวะ มิว คนรู้จักเหรอ? ”

“นี่… พี่บอส เพื่อนพี่กช” ผมตอบพร้อมกับหายใจฟืดฟาด น่าขายหน้าชะมัด แต่ใครจะไปคิดว่าพี่แกจะโผล่มาในที่แบบนี้ล่ะ ก็ปกติแถวนี้มันแทบไม่มีคนผ่านมาเลยนี่นา!

“แล้วนี่ใครล่ะมิว” พี่บอสพูดด้วยท่ายียวนแบบกินขาด “ผัวใหม่เหรอ? ”

ถึงตรงนี้ไอ้แนทลุกขึ้นพรวดเลย จ้องผู้มาใหม่ด้วยสายตาเอาเรื่อง

“ล่ามไว้ให้มันดีหน่อยๆ ดีกว่าไหมครับ”

“อะไร? ” พี่บอสถามกลับงงๆ

“ก็หมาในปากพี่ไง รู้นะว่าในนั้นมันเยอะจนเพาะฟาร์มได้ แต่เพาะออกมาแล้วก็ดูแลให้มันดีๆ หน่อย”

อย่าว่าแต่พี่บอส แม้แต่ผมยังอ้าปากค้างกับความอวดดีของเพื่อนตัวเอง คือไอ้แนทก็ไม่ใช่ผู้ชายรูปร่างผอมบางแบบจะปลิวลมอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่ขนาดตัวมันก็ยังเล็กกว่าพี่บอสมากอยู่ดี คือถ้าพี่แกเกิดซัดมันขึ้นมาเข้าจะไม่คุ้มเอานา

“ไอ้เด็กนี่…”

“เดี๋ยวๆ ๆ ” ผมรีบลุกขึ้นมาห้ามทัพเมื่อเห็นพี่บอสทำท่าจะโต้กลับ “จะมามีเรื่องกันทำไมเนี่ย แล้วพี่บอส… พี่ตั้งใจจะมาหาเรื่องผมไม่ใช่เหรอ จะมาทะเลาะกับเพื่อนผมทำไม”

“ก็เพื่อนมิว--” เขาอ้าปากค้างแล้วหุบลง จ้องผมเขม็งอย่างไม่พอใจแทน “ใครบอกพี่จะมาหาเรื่องมิว”

“โห พูดมาขนาดนั้นไม่หาเรื่องเลยเนอะ” ไอ้แนท ยัง สงสัยอยากตัดแว่นใหม่มั้งนั่น คงอยากยั่วพี่บอสให้ชกมันแว่นแตกสักรอบใช่ไหม

“แนท พอก่อน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง ปวดหัวจากที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่จนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว “แล้ว… พี่บอส มีอะไรครับ มาทำอะไรแถวนี้”

เขาอ้าปากแล้วหุบลง แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาตีเทนนิสแน่ล่ะ กางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดใส่นอนเลยนั่น แถมแร็คเก็ตหรือรองเท้ากีฬาก็ไม่มี

“มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ” เขาตอบผมด้วยการถามกลับซะงั้น

“คุยกับเพื่อน”

“คุยอะไร เมื่อกี้เห็นจะฟัดกันอยู่แล้ว กอดกันนัวเนียขนาดนั้น”

“โอ๊ย ไอ้มิว ขอกูต่อยเพื่อนพี่กชสักทีได้ไหม” แนทว่าอย่างหัวเสีย ผมเองก็โมโหเหมือนกัน ทำไมวันนี้ถึงได้มีแต่เรื่องนะ

“พี่มีอะไร” ผมถามอย่างเหนื่อยล้า เหมือนเค้นพลังเฮือกสุดท้ายของตัวเองออกมา ท่าทีของพี่บอสจึงดูอ่อนลง

“ไอ้กชมันสภาพไม่ค่อยดีเท่าไร บอกว่าทะเลาะกับมิวมา”

“เหรอครับ” ผมว่า ไม่รู้ว่าควรรู้สึกไงกับข้อมูลนี้ดี เดาได้เลยว่าสภาพผมก็ไม่ได้ดีเลยเหมือนกัน

“เรื่องข่าวลืองี่เง่านั่นใช่ไหม บอกแล้วว่าไม่ควรทำแบบนั้นแต่ต้น” น้ำเสียงของเขาดูตำหนิ และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปอีก “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอาใครเป็นเครื่องมือ”

“พอสักทีได้หรือยังครับ” แนทว่า ดึงแขนผมให้ไปอยู่ด้านหลังแล้วเผชิญหน้ากับร่างสูงอย่างไม่ลดละ “ที่เพื่อนพี่ทำกับเพื่อนผมก็ทุเรศเหมือนกันนั่นแหละ ไม่สิ ทุเรศกว่าอีก มาให้ความหวังคนอื่น แล้วพอมีเรื่องก็ด่ารูมเมทตัวเองแล้วหนีไปอย่างนั้น”

“แล้วมันสมควรไหมที่ไปยุ่งเรื่องอดีตของคนอื่นแบบนั้นน่ะ”

จึ้กไปสิ

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเลวมากเลยที่ไปเสือกเรื่องชาวบ้าน คือปกติผมไม่ค่อยสนเรื่องคนอื่นไง แต่พอทำแล้วมาโดนว่าติดต่อกันแบบนี้ก็ใจฝ่อไปเหมือนกัน

ผม… ผิดเองจริงๆ สินะ

“มิว” แนทพูดเสียงเข้มทำเอาผมสะดุ้ง “กลับหอกัน”

“หอกู? ”

“เออ” พูดแล้วไม่รอฟังคำตอบ แนททิ้งสายตาอาฆาตให้พี่บอสตบท้ายก่อนจะลากผมไปอีกทางอย่างรวดเร็ว





[Koch]

ถ้าให้เปรียบว่าสมองผมเป็นคอมพิวเตอร์ล่ะก็ ตอนนี้ผมว่ามันคงโดนไวรัสแดกจนเปิดหน้าจอหรือรันโปรแกรมอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนเหมือนคนแก่ๆ ที่โดนลูกหลานทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวแล้วไม่มีอะไรทำ ผมยังอยู่ในชุดนักศึกษาตัวเดิม ตัวเดียวกับที่ใส่ก่อนจะผลุนผลันออกมาจากห้องที่ผมกับมิวอาศัยอยู่ด้วยกัน

นี่ผมทำบ้าอะไรลงไป? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง นึกถึงใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ของรุ่นน้องคนนั้นแล้วหัวใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา แต่ก่อนที่ผมจะได้รำลึกถึงความผิดของตัวเองไปมากกว่านี้คนที่ผมนัดไว้ก็มาถึง เจ้าตัวทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งในสวนสาธารณะข้างผม

“ไปตายที่ไหนมา ไอ้บอส” เราทักทายกันแบบนี้แหละครับ ไม่ต้องตกใจ

“บุหรี่ไหมเพื่อน” มันไม่ตอบแต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบ จุดไฟแช็กแล้วส่งมวนหนึ่งให้ผม ส่ายหน้ารัวๆ เลยครับงานนี้

“กูเลิกนานแล้ว”

“สักหน่อยน่า”

“ไม่”

บอสยักไหล่ทีหนึ่ง หดมือกลับ ความเงียบปกคลุมพวกเราอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดไอ้คนข้างตัวก็พ่นควันออกมาแล้วพูด

“มึงโกรธอะไรน้องมิววะ”

ผมทบทวนคำถามนั้นก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ได้โกรธ”

“เหรอ”

“แค่… กูแค่งงๆ ”

“งงเรื่อง? ”

“เอาจริงๆ กูตกใจที่มีคนอื่นรู้เรื่องที่… ที่ก้อยมีคนอื่น”

บอสพ่นควันออกมาอีกรอบ “มึงกลัวก้อยจะเสียหาย? ”

“นั่นก็ด้วยมั้ง ยังไงก้อยก็เป็นผู้หญิง มันดูไม่ดีหรอก”

“แล้วอะไรอีก” ผมเงียบเพื่อนึกถึงสาเหตุที่แท้จริงที่พูดใส่หน้ามิวไปแบบนั้น ผมแม่งเฮงซวยฉิบหายเลยที่ทำแบบนั้น เป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา

“กู… สมเพชตัวเองด้วยมั้ง” หลังจากพิจารณาคำถามนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผมก็ตอบอย่างระมัดระวัง

“สมเพชเรื่อง? ”

“เรื่องที่โดนสวมเขาไง ไอ้ควาย”

“มึงอายน้องเขา ว่างั้น? ”

“แล้วมันน่าอายไหมล่ะ” มีอย่างที่ไหน คบกับแฟนอยู่ดีๆ แล้วมาจับได้ว่าอีกฝ่ายแอบไปมีคนอื่น แถมคนที่ว่าก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเพื่อนของตัวเองด้วยนะ แต่ผมก็ไม่โทษก้อยเสียทีเดียวหรอก “อีกอย่าง… มันก็ไม่ใช่ความผิดก้อยคนเดียว กูแม่งก็ปล่อยปละละเลยเขาจริงๆ แต่พอมิวพูด… พอคนอื่นพูดเหมือนก้อยผิดเองทั้งหมดคนเดียว กูก็รู้สึกไม่ค่อยดี”

“ซับซ้อนนะว่าไหม”

“โคตรๆ ” และผมก็ทำให้เรื่องที่ยากอยู่แล้วยากขึ้นไปอีก เจริญเถอะ

“มึงแม่งไม่ดูแลน้องดีๆ ”

“...” เออ จริง อันนี้เถียงไม่ออก

“กูเห็นมิวอยู่กับผู้ชายอีกคนนะ กอดกันนัวเลย” บอสพูดเนิบๆ แต่ผมนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้พรวดเลย

“ที่ไหน”

“ข้างๆ คอร์ตเทนนิส” มันว่าพร้อมกับพ่นควันฉุย ขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยข้างๆ ที่ตั้งเอาไว้ให้สิงห์อมควันทั้งหลาย “แต่เห็นกลับหอไปแล้ว”

แล้วมึงจะรออะไรล่ะไอ้กช กลับหอสิครับ!





------------------------------------------------
Talk: นี่เราคิดไปเอง หรือบทบอสมันเยอะขึ้นจริงๆ? ถถถถถถ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2018 16:32:54 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ตกลงใครปล่อยข่าว?  ที่แน่ๆตอนนี้ไม่ชอบบอส 5555

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
พี่บอสจะดีหรือจะร้ายเนี่ย งงใจ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด