บทที่ 11
กรกชกำลังควงปากกาขณะที่อาจารย์หน้าห้องขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาน เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังอยู่เหนือหัวทำให้นัยน์ตาสีช็อกโกแลตของเจ้าตัวปรือลงเรื่อยๆ
ลมเย็นที่เป่าลงมารดหัว เสียงพูดของคนหน้าห้องช่างเหมือนดนตรีขับกล่อม เขาอยากจะฟุบหน้าหลับลงไปกับโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด จริงๆ ก็คงทำอย่างนั้นแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสียงออดดังขึ้นขัดจังหวะการนอนเสียก่อน นักคนอื่นๆ ที่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวรอท่าอยู่แล้วลุกขึ้นพรวดแล้วผละออกจากห้องไป ส่วนตัวกชเองค่อยๆ เก็บสมุดและกระเป๋าดินสออย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไอ้กช” บอสที่นั่งอยู่โต๊ะแถวหน้าเรียก กรกชเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เพื่อนยื่นมาให้ดู “นี่มันหมายความว่าไงวะ? ”
ภาพของเขากับก้อยในหน้าจอนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเซลฟี่ของเจ้าหล่อนที่แอบถ่ายเขาด้านข้าง แล้วก็มีแก้วเหล้าสีสวยวางอยู่บนหน้าเคาน์เตอร์ จำได้ว่าแก้วนั้นมีผลไม้อะไรสักอย่างเสียบติดมาด้วย อร่อยดี แต่ราคาไม่เกรงใจกระเป๋าสตางค์เป็นที่สุด
“เฟซบุ๊คไง”
บอสกลอกตาขึ้นบนหนึ่งรอบถ้วน “ขอบใจ กูรู้แล้วโว้ย กูหมายถึงสิ่งที่อยู่ในเฟซบุ๊คของก้อยนี่ต่างหาก”
“ก็ก้อยเซลฟี่แล้วบังเอิญติดกู”
“มึงจะกลับไปคบกับก้อยเหรอ”
กชลุกขึ้นยืนเพราะเก็บกระเป๋าเสร็จพอดี ทำเอาคนตั้งคำถามหน้าเหวอ รีบยัดข้าวของใส่เป้ตัวเองแทบไม่ทัน เห็นท่าทีลนลานของเพื่อนแล้วกชก็ยกยิ้มยียวนอีกรอบ
“ช้าว่ะมึง”
“ไอ้สัส ทีอย่างนี้ล่ะเร็ว” ว่าพร้อมกับรีบก้าวเท้าตามเพื่อนตัวโย่งที่เดินนำไปก่อน
รุ่นน้องต่างคณะที่เคยทำความรู้จักกันแบบผิวเผินก่อนหน้ายกมือทักทาย บอสรู้ดีว่ารอยยิ้มของสาวๆ หลายคนจงใจส่งให้เพื่อนที่หน้าหล่อเกินมาตรฐานของเขา ต่อให้จะมีข่าวที่ว่าเจ้าตัวมีแฟนเป็นรุ่นน้องผู้ชายที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมในตัวชายหนุ่มลดน้อยลงเลย ดีไม่ดีกลับจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
“แล้วตกลงว่ายังไง” บอสยังคงเซ้าซี้ต่อ เขาตัวไม่สูงเท่ากชก็จริง หากขาเรียวยาวก็ก้าวตามเพื่อนได้อย่างไม่ยากเย็น “มึงจะรีเทิร์นกับยัยนั่นเหรอ แน่ใจแล้วเหรอ แล้วเรื่องมิวล่ะ? คนอื่นเขาเข้าใจว่ามึงคบกับมิวอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“โอย ใจเย็นน่า ไอ้บอส” กชกลอกตาอีกรอบ บอสเหลือบมองเสื้อผ้ายับๆ ของเพื่อนราวกับโดนรถสิบล้อทับแล้วอยากจะถอนใจ ไอ้บ้านี่มันหน้าตาดีก็จริงแต่ไม่เคยทำอะไรเรียบร้อยเลย “มึงจะมาเสือกอะไรด้วยเนี่ย นี่มันเรื่องของกูนะ”
“แต่ก้อย…”
“เออ กูรู้” กชพยักหน้าตัดบท “แต่นี่เรื่องของกู กูจัดการได้”
“หาว่ากูเสือกงั้นสิ? ”
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอย่างยียวน “ไม่รู้สิ บอส แล้วมึงกำลังเสือกอยู่รึเล่าล่ะ? ”
“ไอ้ห่านี่ กูเป็นห่วงนะโว้ยถึงได้ถาม”
“ซึ้งใจมากเลย ต้องลงไปกราบแทบเท้าด้วยไหม”
“เฮ้ย กช” เพื่อนร่วมก๊วนของเขาอีกสองคน แก๊ปกับบีมนั่นเอง คนที่กำลังตั้งท่าเตรียมพูดจ้อยๆ ก็ต้องเป็นไอ้แก๊ปอยู่แล้ว เจ้าตัวยิ้มร่าพร้อมกับตบบ่าเพื่อนตัวสูงอย่างคุ้นเคย “ไง เพื่อน หายหน้าหายไปเลย ไปเดทกับแฟนเก่ามาเหรอจ๊ะ”
แปลว่าทุกคนคงเห็นไอ้รูปในเฟซหมดแล้ว เขาเองถึงจะชอบไถโซเชียลมีเดียแต่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของตัวเองในนั้นเท่าไร แล้วแบบนี้มิวจะเห็นรูปเขากับก้อยด้วยแล้วรึเปล่าเนี่ย
“เออ มึง คิดอะไรของมึงอยู่วะ” บีมว่าขึ้นบ้าง “ถ่านไฟเก่าปะทุหรือไง แล้วน้องสไลม์ล่ะ? ”
“เขาชื่อมิว” กชว่าขำๆ จริงๆ ก็ตลกดีนะที่ใครต่อใครพากันเรียกรูมเมทเขาว่าสไลม์บ้าง สไลม์สไมลส์บ้าง ไสลม์ยิ้มบ้าง ฟังแล้วนึกถึงมอนสเตอร์เยลลี่หยุ่นๆ เอามาทาบหน้าไอ้แว่นเด๋อนั่นแล้วโคตรเข้า คิดแล้วก็อยากจะดึงแก้มหมอนั่น…
“ไอ้ห่ากช ยังทำเป็นยิ้มไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีก” บอสโวยวาย เอื้อมมือไปผลักหัวเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังหัวเราะร่วนอยู่ดี “ตกลงมึงจะเอายังไงกันแน่ นี่อย่าบอกนะว่าจะกลับไปคบก้อยจริงๆ ”
“แบบนั้นก็น่าสงสารน้องสไลม์แย่” แก๊ปว่าลอยๆ เหมือนพูดส่งๆ ไปมากกว่าจะออกมาจากใจจริง ก็ทำไมเขาต้องสนด้วยล่ะ ไม่ใช่ปัญหาของเขาสักหน่อย “เออ แต่คิดในอีกแง่หนึ่งแฟนเก่าไอ้กชก็สวยดี แถมคบกันมาเกือบสองปีด้วยไม่ใช่เหรอ มันคงตัดกันไม่ขาดจริงๆ ล่ะมั้ง อีกอย่าง ยังไงคบกับผู้หญิงก็ดีกว่าคบกับผู้ชายปะวะ”
“ทำไมมึงพูดงั้นวะ” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของบอสแทน แถมฟังจากน้ำเสียงแล้วยังดูหัวเสียไม่น้อย
รอบตัวเขาเต็มไปด้วยนักศึกษาที่อยู่ทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะเนื่องจากตึกเรียนเป็นตึกที่ใช้ร่วม จากหางตา บอสเห็นร่างของใครบางคนที่แสนคุ้นเคยก้าวเท้าเร็วๆ ไปในทิศทางตรงข้าม
มิวเหรอ?
เจ้าตัวลอบคิดอย่างไม่แน่ใจ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง จะบังเอิญขนาดนั้นได้ไง อีกอย่าง ถึงนี่จะเป็นตึกรวม แต่เขาไม่ค่อยเห็นพวกคณะมนุษย์ฯ มาอยู่แถวนี้เท่าไร เหมือนคาบเรียนไม่ค่อยมีแถบนี้ เพราะงั้นคงไม่ใช่หรอก
แต่บอสไม่รู้เลยว่าความคิดแรกของเขานั้นถูกต้อง ชายหนุ่มหันหน้าไปโต้ตอบกับเพื่อนที่หันมาเล่นงานตัวเองแทนกช ส่วนมิวที่บังเอิญได้ยินสิ่งที่แก๊ปพูดเข้าพอดีหน้าซีดเป็นไก่ต้มทีเดียว เจ้าตัวเดินมะงุมมะงาหราไปตามทาง สวนไปกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในหัวไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะไปไหน รู้แต่ว่าต้องออกมาจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด
กรกชไม่รู้ว่ามิวได้ยินเรื่องที่เพื่อนของเขาคุยกัน อันที่จริงชายหนุ่มคิดว่ามันไร้สาระเพราะถึงยังไงในท้ายที่สุด นี่มันก็คือชีวิตของเขาเอง ใครจะพูดอะไรเขาก็แค่ปล่อยให้มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าจะเรื่องของก้อยหรือเรื่องของมิวล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย
บอสลอบมองเพื่อนตัวโย่งของตัวเองที่ยกยิ้มและหัวเราะไปกับกลุ่มเพื่อนขณะก้มลงกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ พวกเขามีเรียนวิชาเดียวกันในคาบต่อมาทั้งหมดจึงยังเกาะกลุ่มกันอยู่
บอสรู้ดีว่ากชเพื่อนเขาเป็นคนสบายๆ ยิ้มง่าย เฮฮาไปเรื่อยแล้วก็ชอบไหลตามน้ำ แต่เขาก็รู้อีกด้วยว่าถ้าเจ้าตัวตั้งใจจะเก็บงำความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้ใช้สว่านมาเจาะก็ทะลวงเข้าไปไม่ได้
แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งดุจหินผานั่นมีข้อยกเว้น เขาเองก็อาจเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั่น กรกชเห็นเขาเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุดคนหนึ่งเพราะเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นม.ต้น กับก้อยเองก็ด้วย แต่ตอนนี้ก้อยห่างออกไปแล้วตั้งแต่เลิกกับกช ดังนั้นจึงเหลือแค่เขาคนเดียวในตอนนี้
ก่อนหน้านี้กรกชแชร์ความลับบางอย่างให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องของมิว และมันทำให้บอสไม่สบายใจ… ไม่ชอบใจกับเรื่องที่ได้ยินมาสุดๆ ไม่ว่าจะคิดในแง่ไหน
บอสก้มลงกดมือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต แม้แต่กชเองก็กำลังเหม่อมองกระดาน ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าเขาโชคดี อาจมีเนื้อหาความรู้อะไรไหลเข้าไปในหัวได้บ้าง
แล้วอยู่ๆ บอสก็ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้อาจารย์หน้าห้องหันมาด่า
“ไอ้แก๊ป กูไปก่อนนะ เอากระเป๋าออกมาให้กูด้วย” พูดพร้อมกับหยิบเฉพาะของที่จำเป็นไว้ติดตัว
“อ้าว มึงจะไปไหน”
“ธุระ” แล้วเจ้าตัวก็แจ้นหายไป ทิ้งให้เพื่อนบ่นพึมพำตามหลัง
“อะไรวะ จะโดดเรียนก็ไม่ชวนกันเล้ย ไปคนเดียวซะงั้น”
“เฮ้ย” คราวนี้ไอ้บีม รายนี้ล่ะกลายเป็นคนรักเทคโนโลยีขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในห้องเรียน ง่วนอยู่กับหน้าจอมือถือทั้งคาบ “ไอ้กช มึงเห็นนี่ยัง”
“อะไร” ร่างสูงถาม ตายังมองอยู่ที่กระดาน เหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรบางอย่างไหลเข้ามาในหัวสมองบ้าง
“สัส ถามแล้วก็หันมาดูสิ”
กรกชเลยหันหน้ามาสุมหัวกับเพื่อนอย่างเสียไม่ได้ แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็ต้องเบิกกว้างขึ้น
นั่นคือกระดานสนทนาบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่กำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเขากับมิวคบกันอยู่จริงๆ หรือแค่แกล้งเล่นละคร
แก๊ปกับบีมหันมามองคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเหมือนรอฟังคำตอบ
“อะไรกันวะ” กชถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขารู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องอยู่เหมือนกัน
“เหมือนว่าจะมีข่าวลือบอกว่าแกกับสไลม์แค่แกล้งคบกัน” บีมว่าขณะไถหน้าจอมือถือ “ข่าวเหี้ยอะไรวะ”
“แต่แกกับน้องสไลม์คบกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอ” แก๊ปว่าต่ออย่างเฉยเมย “ไม่เห็นต้องไปสนใจ… เออ หรือจะใช้โอกาสนี้เลิกกับน้องเขาแล้วกลับไปหาคนเก่า? ”
“ไอ้แก๊ป” บีมเอ็ดเพื่อน ไอ้ปากหมานี่พูดจาอะไรไม่เคยกรองจากสมองก่อน แก๊ปยักไหล่ทีหนึ่ง
“โทษที ลืมไปไม่ใช่เรื่องของกู”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง” กรกชพูดเสียงเย็นขึ้นมาบ้าง นานๆ ทีจะถึงจะได้เห็นด้านมืดของผู้ชายคนนี้ ทำเอาทั้งแก๊ปและบีมเกร็งตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทั้งคู่รู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณเตือนภัยแล้ว
“ขอโทษ” แก๊ปว่าแหยๆ “กูไม่ได้ตั้งใจ แค่พูดไปเรื่อย”
“อืม แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าผลสุดท้ายแล้วนี่เป็นเรื่องของกู”
“เออ กูรู้ จะไม่พูดอะไรแล้ว”
“บีม ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
บีมส่งมือถือให้เพื่อนอย่างว่าง่าย กรกชรับมาเลื่อนดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นโบได้
“กูไม่ได้คบกับมิวจริงๆ ”
คำสารภาพนั่นทำเอาเพื่อนทั้งเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง
“อะไรนะ”
“นี่! กลุ่มตรงนั้นน่ะ! ” อาจารย์หน้าห้องที่เหมือนจะทนมานานตะโกนขึ้นมาในที่สุด “เงียบๆ หน่อยได้ไหม! แล้วสุมหัวทำอะไรกัน ตั้งใจเรียนสิ! จะเอาไหมความรู้น่ะ!? ”
ทั้งสามเลยต้องแยกวงกันชั่วคราว กรกชส่งมือถือคืนให้เจ้าของหากสีหน้ายังฉายแววคิดไม่ตกอยู่เหมือนเดิม
แก๊ปที่นั่งข้างกชโน้มตัวลงกระซิบถาม แม้ว่าเมื่อครู่จะเพิ่งบอกเพื่อนว่าจะไม่เสือกเรื่องใดๆ อีกแล้วก็ตาม แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
“หมายความว่าไงวะ ไอ้กช ที่มึงบอกไม่ได้คบกับน้องสไลม์จริงๆ ”
“กูกับมิวแค่แกล้งคบกัน” เขาตอบ ไม่มีรอยยิ้มขี้เล่นหรือแววตารักสนุกแบบที่มีอยู่ตลอด เขากำลังคิดหนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารู้ดีว่าสักวันมันต้องมา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
“แปลว่าข่าวลือที่ว่านี่เรื่องจริง? ”
“พวกมึงสองคนเหยียบไว้ก่อนนะ”
ทั้งคู่พยักหน้าแข็งขัน
“แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ” บีมกระซิบถาม ตาเหลือบมองอาจารย์ไปด้วยราวกับคอยระวังภัย
“ต้องไปคุยกับมิว”
“เดี๋ยวก็หมดคาบแล้ว”
กชพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “อืม”
เดี๋ยวก็หมดคาบแล้ว
…
กรกชดิ่งมอเตอร์ไซค์กลับมาที่หอทันทีที่เลิกคาบสุดท้าย
ท้องฟ้าภายนอกเริ่มกลายเป็นสีส้มเพราะดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลง เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปตามโถงทางเดินที่ดูจะทอดยาวมากกว่าทุกวัน กระชากประตูเปิดออก มิวที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้หน้าคอมด้วยความตกใจ ดูจากสภาพอีกฝ่ายแล้ว มิวก็คงเพิ่งกลับมาถึงห้องได้ไม่นานเหมือนกัน แต่สีหน้ายับๆ ที่เต็มไปด้วยความกังวลทำให้ร่างสูงกังวล เขานึกอยากดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบ แต่เพราะสิ่งที่เจ้าตัวกำลังกังวลอยู่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง กชเลยทำได้แค่ต้องห้ามตัวเองเอาไว้เท่านั้น
จะว่าไป… นี่เป็นครั้งแรกของวันเลยที่เขาจะได้คุยกับมิว เมื่อวานไอ้แว่นไปกินเหล้าเมาแอ๋ที่ไหนมาก็ไม่รู้ กลิ่นแอลกอฮอล์นี่คลุ้งไปทั้งตัว และนั่นเป็นสาเหตุให้เจ้าตัวนอนแฮงค์อยู่บนเตียงเมื่อเช้า ไม่ฟื้นขึ้นมาแม้ว่าเขาจะออกไปเรียนแล้ว
คิดแล้วก็น่าโมโห ก็รู้อยู่ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังเที่ยวออกไปดื่มอยู่นั่น เขาเองเมื่อคืนก็ดื่มมาบ้างนิดๆ หน่อยๆ เหมือนกัน แต่มิวนี่คือสภาพอย่างกับอาบมาเลยทีเดียว ไม่ได้ห่วงตัวเองเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะสู้ใครเขาไหวกัน
และเพราะคิดแบบนั้นกังวลแบบนั้น สิ่งแรกที่ออกมาจากปากจึงกลายเป็นคำตำหนิ
“ทำไมเมื่อคืนไปกินเหล้ามาล่ะ”
มิวชะงักไปกับคำถามนั้นก่อนคิ้วเรียวจะขมวดติดกัน “แล้วพี่ไม่ได้ออกไปกินเหล้ามาหรือไงครับ? ”
ชัดเลย ไอ้หมอนี่เห็นรูปในเฟซแล้ว บางทีเขาก็เกลียดโซเชียลมีเดียเหลือเกิน
“แต่พี่คุมตัวเองอยู่ มิวล่ะ เคยคุมตัวเองอยู่บ้างรึเปล่า”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย”
นี่มันไม่ใช่เวลามาเถียงกันเรื่องนี้แท้ๆ
“พี่เป็นห่วงมิวนะ”
น้ำเสียงจริงใจนั่นไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ใบหน้านั้นดูเหยเกมากขึ้น
“ผมแค่ไปดื่มกับเพื่อน แล้วพี่ก็ไม่ใช่แม่ผม”
ทำไมไอ้เตี้ยนี่ถึงได้ดื้อนัก “รู้แล้ว พี่ไม่ว่าอะไรเลย แต่วันหลังบอกพี่หน่อยได้ไหม หรือชวนพี่ไปด้วยก็ได้นี่”
“แล้วถ้าผมชวนพี่เมื่อวาน พี่กชจะว่างไปเหรอครับ” น้ำเสียงประชดประชันนั่นทำเอากชต้องขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ บอกตามตรงว่าเขาเกลียดน้ำเสียงแบบนั้นที่สุด มิวตอบคำถามของตัวเองเสร็จสรรพ “ไม่ พี่ไม่ว่างหรอก พี่กชไปดื่มกับพี่ก้อย ผม… เห็นแล้ว”
“ก็ใช่ เมื่อคืนพี่อาจจะไม่ว่าง” เขาพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดือดไปกับอีกฝ่าย แค่นี้บรรยากาศหนักอึ้งก็กดทับพวกเขาจนอึดอัดจะแย่แล้ว “แต่ถ้ามิวบอกพี่ก่อนล่วงหน้า พี่อาจจะไปด้วยได้ไง”
“พี่กชจะมาทำดีกับผมทำไม”
กรกชไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมรูมเมทของเขายังต้องถามคำถามนั้นอีก ที่เขาแสดงออกทุกวันนี้ยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ? ต้องทำยังไงถึงจะสื่อความรู้สึกนี้ออกไปให้มิวเข้าใจได้ล่ะ? จับลากขึ้นเตียงเลยได้ไหม
“มิว ใจเย็นๆ ก่อน” เขาพยายามผ่อนลมหายใจให้อีกฝ่ายทำตาม “พี่รู้ว่ามิวกำลังอึดอัดแล้วก็สับสนกับข่าว”
“พี่กชรู้แล้วสินะครับ” ทั้งคู่กำลังพูดถึงข่าวลือที่ว่าพวกเขาสองคนแค่แกล้งคบกันตบตาคนดู โชคร้ายที่ข่าวลือที่ว่าเป็นเรื่องจริง
“ใช่ พี่รู้แล้ว แต่เราลองมาค่อยๆ คิดหาทางแก้กันดีไหม อย่ามามัวเถียงอะไรไร้สาระกันแบบนี้เลย”
“ไร้สาระเหรอ? ” ใบหน้าขาวนั้นซีดลงเรื่อยๆ จนกชเองแทบอยากจะคราง เขาไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้มิวรู้สึกดีขึ้น “พี่เป็นคนเริ่มก่อนเองนะ ทั้งเรื่องที่ผมไปกินเหล้า เรื่อง… เฮ้อ ผมไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดี”
“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า” พูดพร้อมกับเดินไปแตะบ่าของอีกฝ่าย หากมันเกร็งแน่นขึ้นจนกรกชตกใจ
นี่มันเหมือนกับว่า… มิวไม่ต้องการสัมผัสของเขาอย่างนั้นแหละ
กชละมือออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด และเขาก็ได้แต่สาปแช่งตัวเองในใจเพราะตอนนี้หน้าของมิวเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
อะไรวะ นี่เขาจะทำอะไรให้มันถูกต้องถูกใจหมอนี่ไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ
ร่างสูงรับรู้ได้ว่าบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างพวกเขาทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นหลังจบวันที่ไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป แต่ก็รู้สึกได้ว่ามิวพยายามถอยห่างจากเขาเล็กน้อย มันไม่ได้ชัดเจนจนรู้สึกได้ในทันที ตอนแรกกชคิดว่าเขาคิดไปเองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้ว
บางทีความสัมพันธ์ประหลาดๆ นี่อาจจะถึงจุดสิ้นสุดแล้วก็ได้ แค่คิดกชก็ใจหาย แต่เขารักษามันเอาไว้ตลอดไปไม่ได้หรอกถ้าหากอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ
ก็พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เสียหน่อย ทุกอย่างมันก็แค่การเล่นละคร
แต่ให้ตาย… อึดอัด ทำไมมิวต้องทำหน้าเหมือนกล่าวหาเขาแบบนั้นด้วย เขาทำอะไรผิดไปทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ
“มิวเป็นอะไร” กชถามอย่างสับสน เขาไม่เคยคิดว่าระหว่างพวกเขาทั้งคู่จะกลายมาเป็นแบบนี้ ต่อให้ความสัมพันธ์ปลอมๆ นั่นยุติ แต่เขาก็คาดหวังให้กลับไปเป็นรูมเมทกันตามเดิม “มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้นเอง เราแก้ข่าวได้นี่ จะแก้ข่าวหรือพูดความจริงไปเลยก็ได้ ยังไงมันก็มีทางออกอยู่แล้ว”
มิวเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง เขาเครียดจนหัวแทบแตกทั้งเรื่องของคนตรงหน้า เรื่องข่าวลือ เรื่องที่ตัวเองโดนกระหน่ำด่าอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วนี่เหรอสิ่งที่รุ่นพี่เขาเลือกที่จะพูดน่ะ
“พี่ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม”
“ไม่ ไม่เข้าใจ” กชพูดด้วยเสียงกร้าวขึ้น เขาพยายามทำใจเย็นก็จริง แต่ท่าทางของคนตรงหน้ามันทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “มิวมีปัญหาอะไรก็พูดมาดิ พี่รู้ว่าตอนนี้มันแย่ ข่าวมันกระจายออกไปแล้ว แต่เราสองคนก็เคยคุยเรื่องนี้กันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แล้วพี่ไม่คิดบ้างเหรอว่าข่าวมันหลุดมาจากใคร”
กรกชอ้าปากค้าง เขาไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย คิดแต่ว่าพอมีปัญหามาก็ควรจะแก้ ส่วนเรื่องใครจะทำหลุดน่ะ…
“มิว เรื่องที่เราไม่ได้คบกันจริงๆ ก็มีคนรู้ตั้งหลายคน ทั้งน้องสาวมิว เพื่อนมิว เพื่อนพี่ มันอาจจะหลุดมาจากใครก็ได้” ซึ่งถ้าถามเขา กชสงสัยมอสน้องมิวสุด เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็ยังเด็ก บางทีอาจจะคะนองปาก เล่าสนุกๆ ให้เพื่อนฟัง และต่อให้เป็นอย่างนั้น เขาก็คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ไม่คิดโกรธอะไรเลยด้วย
“หรืออาจจะเป็นพี่ก้อย”
คำพูดนั่นทำให้กชฉุนขึ้นมาทันที ชายหนุ่มพูดเสียงแข็งอย่างที่มิวไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มิว ทำไมพูดแบบนั้น”
“ก็… ก็…” หลุดปากออกไปแล้วคนใส่แว่นก็เริ่มสั่น เขาก้าวถอยหนีจากอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว “ก็คนอื่นๆ ที่รู้น่ะ เขารู้มาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่เคยมีข่าวอะไรหลุดไปเลย แต่… แต่พอพี่ก้อยรู้…”
“มิวมีหลักฐานเหรอ” กรกชได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกลงคอ “มิวกล่าวหาคนอื่นโดยที่ไม่มีหลักฐานเหรอ”
“ก็แค่ตั้งข้อสังเกต”
“พี่ไว้ใจก้อยนะ”
กชไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นกรีดลงไปในใจคนฟังมากแค่ไหน มิวรู้สึกร้อนที่ขอบตา เขาพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้มันหยดลงมา
มิวรู้ว่าควรจะหยุด… ควรจะหุบปากให้สนิท แต่แรงอารมณ์ล้วนๆ ที่ทำให้เขาตะโกนออกไปอย่างเหลืออด
“พี่ไว้ใจเขา! แล้วผลสุดท้ายเขาก็หักหลังพี่ไปมีคนอื่น แล้วพี่ยังจะไว้ใจเขาอีกอย่างนั้นเหรอ!? ”
กชนิ่งอึ้ง มองอีกฝ่ายราวกับคนแปลกหน้า มิวรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“มิว… ตามสืบเรื่องของพี่กับก้อยเหรอ”
มิวอึกอัก ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง อันที่จริงแล้วเรื่องนี้แนทเป็นคนเล่าให้ฟัง ความสามารถในการขุดอดีตผ่านโซเชียลมีเดียของหมอนั่นไม่ธรรมดา แต่บางทีมิวก็หวังว่าตัวเองจะไม่อยากรู้ว่าทำไมพี่กชกับพี่ก้อยถึงเลิกกันจนต้องขอให้เพื่อนช่วย
“มิว… พี่” กชยกมือขึ้นเสยผมอย่างทำตัวไม่ถูก เขาเคยไม่แคร์กับเรื่องอดีตของตัวเอง แต่พออีกฝ่ายเป็นมิว ทุกอย่างมันก็ยากไปหมด “พี่ไม่คิดเลยว่ามิวจะเป็นคนแบบนี้”
“...” ให้ตาย… ถ้าพี่กชจะพูดแบบนี้กับเขา ทำไมไม่ชกหน้ากันไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ
“พี่” ร่างสูงกระสับกระส่าย เดินไปซ้ายทีขวาทีเหมือนหนูติดจั่น ในที่สุดเขาหยุดแล้วก็ส่ายหน้ารัวๆ ถอนหายใจดังเฮือก “พี่ผิดหวังว่ะ”
มิวทำได้แค่มองแผ่นหลังของรูมเมทที่เดินออกจากห้องไปเงียบๆ จากนั้นเจ้าตัวก็ชกหมัดลงบนตู้เสื้อผ้าอย่างแรง
-------------------------------------------
Talk: หนักมากค่ะตอนนี้ เขียนไปนี่เกร็งไป อดทนกันหน่อยนะชาวฟีลกู้ด เดี๋ยวความอึมครึมก็ผ่านไปแล้ว TvT