Eighteenth Songตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง กำหนดการเดินทางไปภูเก็ตของเขาก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
อย่างน้อยก็ยังไม่ได้พูดกำหนดการออกไปล่ะนะ
เด็กหนุ่มที่ทอดกายเอนหลังอยู่บนโซฟาบุนวมนุ่มตรงหน้าทีวีแอบเหล่มองคนที่ยืนทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว แผ่นหลังกำยำเปลือยเปล่านั้นหันมาทางเขา แนวกล้ามเนื้อชัดเจนบนผิวกึ่งแทนกึ่งเหลืองนั้นชวนให้ใจเต้นไม่น้อย
ก็ยอมรับว่าค่อนข้างแพ้ทางอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน
“มองอะไรหืม?”
หลังจากแอบมองอยู่ได้ไม่นานนัก คนที่หันหลังให้มาตลอดก็หันกลับมายิ้มตอบเหมือนกับรู้ตัวว่ามีคนจ้องอยู่
ก็สมแล้วที่อยู่ในแวดวงสกปรก
“เปล่าครับ ก็แค่คิดว่ากล้ามคุณแน่นดี”
พอพูดจบเขาก็หันกลับมาจดจ่ออยู่กับจอทีวีตรงหน้าโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ถึงอย่างนั้นเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจก็ยังลอยมาให้ได้ยินอยู่ดี
น่าแปลก เป็นแค่เสียงหัวเราะแท้ๆ ทำไมถึงทำให้เขาอารมณ์ดีนักก็ไม่รู้ หรือจะเป็นเพราะเรื่องคืนนั้น...
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันประดับด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเก่า
หลังจากคืนนั้นที่พวกเขาได้เปิดใจคุยกัน...บ้าง อะไรหลายๆ อย่างระหว่างกันก็เริ่มดีขึ้นผิดหูผิดตา การพูดคุยดูเปิดเผยมากขึ้นกว่าเก่า จากเดิม เวลาจะออกจากร้าน ต่างคนก็ต่างบอกถึงภารกิจที่จะไปทำอย่างกว้าง เช่น ไปทำงาน ไปที่นู้น ไปที่นี่ แต่มักไม่มีการลงรายละเอียดให้ฟังอย่างเช่นตอนนี้...
“มะรืนนี้ฉันต้องไปตรวจงานแถวชายแดนหน่อย อาจจะต้องนอนค้าง อยากไปด้วยกันไหม”
คนถามเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินถือจานสลัดมาตั้งลงบนโต๊ะเตี้ยๆ ตรงหน้าเขา แล้วพาร่างตัวเองขึ้นมาอยู่บนโซฟาเดียวกันพร้อมกับดึงเขาเข้าไปกอด เขาหัวเราะแผ่วๆ ให้กับมือปลาหมึกของอีกฝ่ายแต่ก็ยอมซบลงบนอกอุ่นนั้นแต่โดยดี
ยอมรับว่าค่อนข้างตกใจอยู่นิดหน่อยกับคำถามที่ได้ยิน ก็นะ...คำถามนี้เป็นคำถามที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักครั้งตลอดสามปีที่คบกันมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะถูกถามออกมา
ประทับใจอยู่หรอก แต่ก็น่าเสียดายที่เขาตอบรับคำชวนนี้ไม่ได้
“ไม่ดีกว่าลุง พอดีว่าผมจะไปภูเก็ตน่ะครับ”
“ดิม เราคุยกันแล้วนะ”
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงของอีกฝ่ายก็เข้มขึ้นจนเขาต้องรีบดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายเพื่อมาสบตา
“ใช่ครับ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาจะอาทิตย์นึงแล้วนะครับ เขาคงรามือไปสักพักล่ะ”
“คิดง่ายไปน่ะสิ”
เด็กหนุ่มยักไหล่ยียวน
“คิดยากแล้วแก่เร็วนะครับ”
เขาไม่ชอบ...ไม่เคยชอบให้ใครมองว่าความคิดของเขามันตื้นเขินเกินไป เขามั่นใจในความคิดตัวเองอยู่ไม่น้อย ใครก็มาดูถูกความคิดของเขาไม่ได้ทั้งนั้น
ปกติแล้วคนอื่นมักจะจับสังเกตความผิดปกติทางอารมณ์ของเขาได้ไม่มากนัก แม้แต่พ่อแม่หรือแม้แต่ป้าสมรก็ยังทำไม่ค่อยได้ คนที่เห็นจะทำได้ดีก็มีแค่เดลกับ...
“ดื้อ”
คำตำหนิกึ่งขอโทษอ้อมๆ ของอีกฝ่ายทำให้ริมฝีปากบางยกยิ้มพึงพอใจ ปลายจมูกรั้นที่ถูกมือใหญ่บีบเบาๆ เปลี่ยนความหงุดหงิดในใจให้กลายเป็นความสุข
ก็สมแล้วที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี รู้ทางกันไปเสียหมด
“ไม่เท่าคุณหรอก”
นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายคาดคั้น หากริมฝีปากนั้นยกยิ้มเจ้าเล่ห์ต่างจากทุกที
“ยังไงหืม?”
ทั้งที่เป็นคำถามปกติแท้ๆ ทำไมเขาถึงรู้สึก...รู้สึกว่ามันยั่วนักก็ไม่รู้
นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์
อ่า...ไม่ดีต่อใจเลยจริงๆ
“ก็...คุณเป็นห่วงผมอย่างกับผมเป็นเด็กมัธยมต้นอย่างนั้นล่ะ”
นิ้วเรียวถือวิสาสะลากไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่าอย่างเอาใจ
เขารู้ดีว่าตาลุงนี่ไม่ชอบให้เขาพูดว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเกินเหตุสักเท่าไหร่ แต่บางครั้งมันก็ต้องพูดบ้าง โจทย์สำคัญคือจะพูดยังไงให้ความสัมพันธ์ยังดีเหมือนเดิม ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยชอบแก้โจทย์ข้อนี้สักเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าวิธีที่กำลังทำอยู่นี้จะได้ผลไหม แต่ลองทำสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย
เอาใจอีกฝ่ายขณะพูดเคลียร์ปัญหาเพื่อเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง เขาว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ดี
“ผมอายุยี่สิบสามแล้วนะครับ”
เขาจงใจทอดเสียงมากกว่าปกติก่อนจะยืดตัวให้ปลายจมูกสัมผัสกับคางของอีกฝ่าย
“ปล่อยผมบ้างเถอะครับ”
แล้วเขาก็ถูกจูบ
รสชาติหวานล้ำแผ่ซ่านเข้ามาในโพรงปาก ริมฝีปากดูดเม้ม ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด หัวสมองเขากลายเป็นสีขาวโพลน ในหัวมีเพียงภาพของสถานที่สีขาวกว้างกับรสชาติหวานที่ไม่มีที่มาที่ไป กว่าจะถูกฉุดรั้งกลับมายังโลกแห่งความจริงได้ ลมหายใจก็แทบหมดสิ้นไปจากปอด
แม้จะไม่ได้มองหน้าตรงๆ แต่เขาก็พอจะสัมผัสได้ว่าท่าทางหอบหายใจของตัวเขาเองกำลังทำให้คนข้างๆ อารมณ์ดี
อารมณ์ดีเพราะแค่ได้จูบแบบนี้นี่มัน...
...เด็กชะมัด...
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็เหมือนกัน
“ที่พูด ที่ห้ามก็เพราะห่วงนะรู้ไหม”
พอพูดจบ ร่างของเขาถูกรวบเข้าไปในอ้อมแขนอุ่นกว้าง
“ที่ห่วงก็เพราะรัก เข้าใจบ้างได้ไหม”
ให้ตายสิ เล่นมาแบบนี้ เขาก็ไปไม่เป็นกันพอดี
“น้ำเน่าน่ะลุง”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ข้างหู
“แล้วชอบไหมล่ะ”
ชอบสิ แต่ไม่บอกหรอกนะ
“คิดเอาเองสิครับ”
แล้วแก้มของเขาก็โดนดงหนวดแหลมทิ่มแทงจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
“จั๊กจี้น่ะลุง”
อีกฝ่ายไม่หือไม่อือ ก้มหน้าก้มตาซุกไซ้แก้มของเขาจนต้องฟาดมือไปหนึ่งทีนั่นล่ะถึงยอมหยุด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ไปได้ไหม”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเว้าวอน
ผู้ชายคนนี้...ปราณ บุญสรนพ กำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจจากเด็กหนุ่มธรรมดาอย่างเขา
...ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้ได้...
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยอมให้กันได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“ไม่ได้หรอกครับ ยังไงผมก็ต้องไป”
“ภูเก็ตมีอะไรเหรอ”
คำถามนั้นทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่
เขา...ควรเล่าเรื่องพี่ดาให้อีกคนฟังดีไหมนะ
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
ลมอุ่นร้อนที่เป่าใส่ติ่งหูทำให้ความคิดของเขากระเจิดกระเจิงไม่มีชิ้นดี
เอาเถอะ...ใช้หัวใจนำทางเอาก็แล้วกัน
“ผม...มีพี่สาวครับ”
อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยคำตอบรับ แต่เขารู้ดีว่าอีกคนกำลังตั้งใจฟัง
“เรา...มีปัญหากันนิดหน่อย พี่ก็เลยหนีออกจากบ้านไป...”
“ที่ภูเก็ต”
คำตอบที่ถูกเติมลงในช่องว่างทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ
“พี่สำคัญกับผมมากครับคุณปราณ”
เรียวแขนของเขาทาบลงบนแผ่นหลังกว้างพร้อมกับดึงอ้อมอกอุ่นเข้าหาตัว
“ผมมีพี่คนเดียวครับ...ครอบครัวของผมมีพี่คนเดียว”
นั่นคือนัยยะบางอย่างที่เขาอยากจะสื่อให้ผู้รับสารได้รับรู้ถึงความสำคัญของคนที่หายไป
“ให้ผมไปเถอะนะครับ”
ได้โปรด ให้เขาออกไปตามหาสิ่งสำคัญนั้นที
...ให้เขาได้ออกไปเติมเต็มจิตใจของตัวเองที...
หลังจากความเงียบที่แสนนาน ในที่สุดเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็ดังขึ้นข้างหู
“พูดขนาดนี้แล้ว ฉันจะห้ามอะไรได้อีก”
พวกเขาผละตัวออกจากกันเล็กน้อยเพื่อจะได้มองหน้าของอีกคนได้ถนัดตา ดวงตาสองคู่สบกันโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน
“พาเดลไปด้วย ฉันจะได้อุ่นใจ”
“ไม่เอาน่ะลุง รบกวนมัน”
“ถ้าห่วงเรื่องงานของเดลก็ไม่ต้องคิดมาก แค่ตารางงานของคนๆ เดียว ฉันจัดการให้ได้”
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจวิธีแก้ปัญหาของอีกคนนัก
“อย่าใช้เงินแก้ปัญหาสิลุง”
ใบหน้ามีริ้วรอยยกยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
“นี่ไม่ใช่การใช้เงินแก้ปัญหา...”
แล้วใบหน้านั้นก็โน้มลงมาที่ข้างหูของเขา
...มาพร้อมกับเสียงกระซิบแหบพร่า...
“แต่เป็นการใช้เงินปกป้องความรักต่างหาก”
ที่เขาว่ากันว่า หนุ่มสาวสมัยก่อนจีบกันได้หวานเลี่ยนมากๆ เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง
“สรุปคือมึงจะไม่เลิกใช่ไหม”
คำพูดที่แค่ฟังโดยไม่ต้องหันไปมองหน้าคนพูดก็รู้แล้วว่าหงุดหงิดแค่ไหนทำให้เขายักไหล่เป็นคำตอบ
คร้านจะเถียงกับคนหัวดื้อแบบมันแล้ว...
“นั่นเพื่อนพ่อเลยนะมึง ตอนเอากันไม่เผลอคิดว่าเอากับผู้พันแซนเดอส์หน้าห้างฯ บ้างเหรอวะ”
“สกปรก”
คำด่าของเขาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะร่วน
“ก็ไม่เท่าคนที่เอากับเพื่อนพ่อไหมล่ะ”
“หุบปากสักที ไม่งั้นกูจะโทรหาคุณปราณให้ลากมึงกลับไปทำงานเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“แหม สรรพนามของเพื่อนกับผัวนี่ต่างกันจังเลยนะ”
“ยุ่ง”
สิ้นคำด่า อีกฝ่ายก็หัวเราะร่วนจนเขาต้องถอนหายใจใส่อย่างเหนื่อยหน่าย
ชายหนุ่มรูปร่างสูงกว่าเขาประมาณห้าเซนติเมตรในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงสแล็คยี่ห้อดังแนบเนื้อกำลังหัวเราะร่วนอยู่บนเก้าอี้บุนวมตรงข้ามเขา
นี่สาเหตุหนึ่งที่เขาไม่อยากให้เดลไปด้วย นอกจากเรื่องที่ไม่อยากไปรบกวนตารางงานของอีกฝ่ายก็เห็นจะเป็นเรื่องนิสัยของมันนี่ล่ะ
...เดลเป็นพวกน่ารำคาญ...
เป็นคนประเภทพูดจาไม่รู้เรื่อง คำห้ามสำหรับเดลก็เหมือนคำสั่งให้ทำ ไอ้นิสัยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุนี่น่ารำคาญสุดๆ ไหนจะปากคอที่เราะร้ายมากกว่าเขานั่นอีก และที่แย่ที่สุดก็คือเรื่องขี้แกล้งกับเล่นไม่รู้จักหนักจักเบา ตอนเด็กๆ จำได้ว่ามันเคยแกล้งเพื่อนคนหนึ่งจนตกบันไดลงไปแขนหัก แถมยังมีหน้ามาบอกว่า ‘ใครจะคิดว่ามันจะลื่นไปจนถึงบันไดล่ะ’
เขาล่ะเกลียดพวกคนแบบนี้นักล่ะ...
“อะๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้ กูขอโทษ โอเค๊”
โชคดีหน่อยที่พออายุมากเข้าสมองส่วนประมวลผลของมันก็โตตาม ความมีกาลเทศะเลยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แม้จะยังต่ำเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่ถ้ารู้จักมันมาแต่แรกก็นับว่ามาไกลมากแล้ว
แต่ไอ้ท่าทางขอโทษแบบขอไปทีแถมยักไหล่ให้แบบกวนๆ นี่มันน่ารำคาญจริงๆ
“แล้วตกลงเราจะไปพักที่ไหนนะ”
เขารำคาญเกินกว่าจะตอบคำถามของอีกฝ่ายเลยปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีที่สุดไป โชคดีที่ตาของมันก็ยังไม่บอดจนไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธ อีกคนก็เลยพยายามเปลี่ยนหัวข้อคุยได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด
วิธีง้อของมันล่ะ...
“หิวไหม เดี๋ยวกูไปหยิบขนมมาให้ มึงชอบแยมโรลไม่ใช่เหรอ”
ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในเลาจ์รับรองของลูกค้าชั้นเฟิร์สคลาส อาหารมากหน้าหลายตาในห้องนี้ถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อรับรองลูกค้าคนสำคัญของสายการบิน ตั้งแต่เข้ามา เขาเองก็กินอะไรเข้าไปหลายอย่างพอสมควรจนไม่นึกอยากกินอะไรอีกแล้ว แต่อีกคนก็ยังใช้มุกของกินเพื่อง้อเขาอยู่ได้
นอกจากปากพล่อยแล้วยังความจำสั้นอีกต่างหาก ถือว่าไม่ผ่าน
“ดิม”
อีกฝ่ายเริ่มลากเสียงยานเหมือนเวลาเด็กๆ พยายามง้อเพื่อนด้วยการขอเกี่ยวก้อย
“กูขอโทษ”
เขาแอบยกยิ้มมุมปากแล้วใช้มือบังไว้ นัยน์ตากลมแสร้งทำเป็นเคร่งขรึมจนคนไม่รู้ความจริงเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“มึงอ่า กูขอโทษ กูขอโทษจริงๆ สัญญาว่าจะไม่พูดแล้วก็ได้”
“สัญญาแล้วนะ?”
เขาถามย้ำอีกฝ่ายเพื่อให้ได้รับการยืนยัน ถ้าคราวหน้ามันยังล้อเขาอีก รับรองว่าไม่หายโกรธง่ายๆ แน่
“เกี่ยวก้อยเลย”
ไม่ว่าเปล่า ยังชูนิ้วก้อยมาตรงหน้าเขาเสียจนอดหัวเราะไม่ได้
เอาเถอะ ยอมๆ มันหน่อยแล้วกัน
“เออ หายโกรธก็ได้”
“ไม่เกี่ยวก้อยเหรอ?”
คำถามของอีกคนทำให้เขาหลุดขำออกมาพรืดใหญ่
“ไร้สาระว่ะเดล โตเป็นควายแล้ว”
“มึงสิไร้สาระ โตแล้วจำเป็นต้องละทิ้งความเป็นเด็กไปรึไง”
เขาชะงัก อีกฝ่ายเลยถือโอกาสพูดต่อ
“กูชอบเป็นเด็ก เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วเหนื่อยฉิบหาย”
“ก็จริง...”
ยังไม่ทันที่เขาจะต่อประโยคให้จบ คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แล้วตกลงมึงกับพี่ดานี่ยังไง”
เขาเลิกคิ้ว
“ก็...ทะเลาะกันไง”
“ดิม กูไม่ใช่ควาย ถ้าแค่พวกมึงทะเลาะกันป่านนี้ลุงดลไปลากพี่มึงกลับมาแล้ว”
นัยน์ตาคมกริบมองเขาอย่างคาดคั้น
“เรื่องนี้เรื่องใหญ่ใช่ไหม”
สิ้นคำถาม ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
นัยน์ตาคมของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาอย่างกดดันทำให้เขาต้องหลบตาลง
จะตอบอะไรออกไปดีนะ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแม้แต่จะพูดความจริงให้เพื่อนฟัง เขาหลอกใช้ เขาโกหก...โกหกเพื่อนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แย่...แย่จริงๆ ...
เด็กหนุ่มคู้ตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าคมคายก้มมองต่ำพร้อมกับดวงตาที่หลุบลง มือเรียวสวยสองข้างจับประสานกันไว้หลวมระหว่างขาสองข้าง
“กูขอโทษที่กู...ไม่เคยเล่าเรื่องทั้งหมดให้มึงฟัง”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำให้เขายิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเก่า แต่ก็ไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกไป
คนผิด พูดอะไรออกไปก็เป็นได้แค่คำแก้ตัว...
“ดิมบอกตามตรงนะ กูเสียใจนิดหน่อยที่มึงไม่ยอมบอกความจริงกับกู”
คำสารภาพนั้นทำให้หัวใจเขาเจ็บแปลบขึ้นมาวูบหนึ่ง
“แต่กูก็เข้าใจนะ เพราะพวกเราอยู่ด้วยกันมานาน กูรู้ว่ามึงเป็นคนยังไง มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง กูรู้ด้วยว่าพ่อแม่ของพวกเราสอนพวกเรามาแบบไหน เพราะฉะนั้น ต่อให้กูเสียใจ มันก็แค่นิดหน่อย เพราะถ้าเกิดปัญหาบ้างอย่างขึ้นในบ้านกู...”
คนตัวสูงกว่าเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าเก่า
“กูอาจจะไม่เล่าอะไรมึงเลยก็ได้ เผลอๆ กว่ามึงจะรู้ว่าบ้านกูมีปัญหาก็ตอนมีคนฆ่าตัวตายนู้นล่ะ ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า จริงไหมล่ะ พวกเราก็ถูกสอนมาแบบนี้กันทั้งนั้น”
เขาหัวเราะ หัวเราะทั้งๆ ที่ไม่ใช่สถานการณ์ที่สมควรหัวเราะเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากหัวเราะออกมา
ไม่มีเหตุผลเลย...
“ดิม”
คำเรียกชื่อนั้นบังคับให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาคนเรียก
ดวงตาเรียวคมโดดเด่นจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว...จ้องมองด้วยแววตาที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่ามันหมายถึงอะไร รู้แค่ว่าเขาชอบ
เขาชอบให้เพื่อนมองเขาด้วยแววตาแบบนี้...
“กูเองก็ต้องขอโทษ เพราะกูก็ปิดบังอะไรต่อมิอะไรกับมึงตั้งหลายอย่าง ถ้าให้พูดกันจริงๆ เผลอๆ กูนี่ล่ะที่ผิดมากกว่าอีก”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้า ริมฝีปากเรียวสวยนั้นยกขึ้นเป็นเส้นโค้งสมมาตร
“เอาอย่างนี้ไหม เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน หลังจากนี้ เราจะมีความลับต่อกันให้น้อยลง จริงใจต่อกันให้มากขึ้น ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้ ด้วยฐานะของเราแล้ว การให้ไปเต็มร้อยไม่ใช่เรื่องดี เพราะถ้าพวกพ่อแม่รู้คงโดนด่าหูชาแน่”
แล้วพวกเขาหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่มีเหตุผล
“มามะ เกี่ยวก้อยสัญญากัน”
นิ้วก้อยอ้วนป้อมของอีกฝ่ายต่างจากนิ้วก้อยเรียวยาวของเขา แต่สุดท้ายแล้วมันก็คล้องกันไว้
“มึงขอเกี่ยวก้อยกูแล้วก็อย่าเลิกเป็นเพื่อนกับกูง่ายๆ แล้วกัน”
เขาเอ่ยแซ็วอีกไปนิดหน่อย ไม่มีคำตอบกลับมาให้เป็นคำพูด แต่แค่รอยยิ้มกว้างกับเสียงหัวเราะที่ดังคลอไปกับเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องจากสายการบินนั้นก็มากพอแล้ว
มากพอแล้วจริงๆ ...
*********************************************************************************
พักหลังๆ นี้มาช้ากว่าที่ควรจะเป็นมาก เพราะชีวิตที่ยุ่งสุดๆ แถมยังมีอีกเรื่องที่ต้องรีบเคลียร์ต้นฉบับให้เสร็จ ช่วงนี้เลยยุ่งมากๆ อาจจะมาช้ามาเลทหน่อยก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปเลยน้า
**********************************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ