ตอนที่ ๑Nat.Pakin
‘I’ll see you again if you want to.’ 11.54
>VioLin<
11.55 ‘Shut the f..k up!’
“What the..!! ไอ้บ้าณัฐนี่” ไวโอลินสบถขึ้นมาเบาๆอย่างหัวเสีย ข้อความในไลน์จากเพื่อนสนิทที่เพิ่งส่งมา มีนัยยะสำคัญที่บอกเขาว่า มันจะมาเจอเขาเมื่อเขาต้องการ เออดี! งั้นเขาก็จะไม่ทักไม่ทาย ไม่อยากเจอด้วยคอยดู!!
“เดินดูทางหน่อย มัวแต่ตอบไลน์อยู่ได้” รุ่งอรุโณทัย หรืออีกชื่อที่ครอบครัวชอบเรียกกันคือ ดอร์น คว้าเข้าจับแขนคนมีศักดิ์เป็นพี่ ที่มัวแต่เดินจิ้มโทรศัพท์ไม่ได้ดูทาง จนเกือบจะชนฝรั่งตัวใหญ่เบ่อเริ่มเข้าให้ “แล้วอารมณ์เสียอะไร แฟนนอกใจรึไง”
“ไม่ใช่แฟน! เพื่อน...” ตอนปฏิเสธว่าไม่ใช่แฟนก็เสียงหนักแน่นดี แต่พอคำหลังที่ว่า ‘เพื่อน’ แลดูเหมือนพูดได้ไม่เต็มปาก
“ครับ เพื่อนก็เพื่อน เชื่อก็ได้ เอ้า..เลี้ยวสิ จะไปไหน รถผมอยู่ทางนี้” และเป็นอีกรอบที่รุ่งอรุโณทัยต้องกระชากแขนคนเป็นพี่ให้เดินไปให้ถูกทาง เพราะถึงท่าทางคนที่ตัวเตี้ยกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรจะไม่อยากตอบอะไรเพื่อนเขาอีก แต่ก็ไม่ยอมออกจากหน้าแชท นิ้วสวยๆยังคงเลื่อนสไลด์ดูข้อความเก่าๆอยู่ดี
เขาถอนหายใจ พี่เขานี่ท่าจะอาการหนัก แค่เพื่อนได้ไปฝึกงานที่ต่างประเทศ แล้วตัวเองไม่ได้ไปด้วยก็ถึงกับต้องประชด บินเดี่ยวออกจากบ้านมาหาเขาถึงที่นี่ กำหนดวันกลับก็ไม่มี ดีนะที่ทางบ้านโน้นพอรู้แกวลูกชาย เลยโทรมาหาเขาก่อน
เฮ้อ...มีพี่ แต่เหมือนมีลูกอีกคน นึกไม่ออกเลยจริงๆที่พ่อกับแม่เคยเล่าว่าตอนเด็กๆ ไวโอลินเคยอุ้มเขาเคยเลี้ยงเขามาก่อนนี่คือยังไง ไหงพอโตมาแล้วพฤติกรรมมันเปลี่ยนแบบนี้ล่ะเนี่ย
“เฮอะ ดอร์นคอยดูนะ พี่จะไม่ตอบอีก ป่านนี้คงยิ้มสะใจ ดีใจที่ไม่มีตัวกวนไปด้วยล่ะสิ” ไวโอลินบ่นงุ๊งงิ๊งไม่หยุดตลอดทางที่เขาพาเดินมาที่รถ รุ่งอรุโณทัยอยากจะกรอกตาขึ้นฟ้าแล้วเอาผ้าปิดปากคนที่เดินตามมานัก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงใจชุดสูทที่ใส่อยู่
“รู้ตัวเนอะ ว่าเป็นตัวกวนคนอื่นเขา” แกล้งแหย่ไปนิดหน่อย นั่นไง...ได้ผลจริงๆด้วย พี่ชายตัวขาวของเขาหยุดเล่นโทรศัพท์ แล้วเงยหน้ามองตาเขียวปั๊ดมาเชียว
“เออ!! ถ้าพี่มาแล้วมันลำบากนายมากนักงั้นพี่ไปที่อื่นก็ได้” ไวโอลินพูดแล้วก็หันหลังกลับ แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องหยุดเพราะโดนน้องกระชากแขนไว้อีกรอบ พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามสไลต์เจ้าตัวเหมือนเดิมว่า
“ก็ลองดู พี่จะไปที่ไหนได้ ทั้งเกาะนี้เป็นของผม ข้ามไปฝั่งเกาลูนก็ของลูซ อย่าทำน้อยใจเป็นเด็กๆไปหน่อยเลยน่ะ แฟนทิ้งแค่นี้ทำมาเป็นตีโพยตีพาย”
“ไอ้ดอร์น! บอกว่าไม่ใช่แฟน!!” ไวโอลินเดินกลับมาตีไหล่น้อง
บ้าเอ้ย! นี่มันสูงขึ้นอีกแล้ว แถมไหล่ก็แข็ง ขาก็ยาวขึ้น แล้วดูแขนขาเขาสิ ลีบแบนอย่างกับคนเป็นปอลิโอ มิน่าล่ะ...เพื่อนเขาเลยไปไม่บอก คงไม่อยากให้เขาไปเป็นตัวถ่วงสินะ
“โอเคๆ ถ้าไม่ใช่ก็ขึ้นรถ เห็นมั้ยว่าคนมองกันใหญ่แล้ว ส่วนเรื่องพี่นัทค่อยไปเคลียร์ตอนถึงคอนโด” ดอร์นอยากจะกรอกตาขึ้นฟ้า นี่ถ้าพี่เขาเป็นผู้หญิงนะ เขาคงจะมั่นใจแน่ๆว่าพี่เขาคงอยู่ในช่วงประจำเดือนมา!!
ด้วยฮ่องกงเป็นประเทศที่ถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมชาวตะวันตกและชาวตะวันออกเข้าด้วยกัน แทบทุกพื้นที่บนฮ่องกงเป็นของรัฐบาล แม้แต่สุสานประชาชนยังต้องเช่าเป็นรายปีจากรัฐ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยสวัสดิการรัฐที่นึกถึงคนในถิ่นเป็นสำคัญ ทำให้มีน้อยคนที่โอดครวญกับเรื่องนี้ และคนชนชั้นส่วนใหญ่ในฮ่องกงก็เป็นชาวชนชั้นกลางค่อนสูงเสียเกือบครึ่งประเทศ การใช้จ่ายในสิ่งที่ถือเป็นชีวิตประจำวันเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรมากมาย
เส้นทางจากสนามบินนานาชาติฮ่องกงไปยังเขต Pollock’s Path หรือที่นิยมเรียกกันว่า เดอะ พีค ใช้เวลาโดยประมาณ 45 นาที ดอร์นขับรถไม่ช้าไม่เร็วโดยเลือกถนนเลียบชายหาด วิ่งไปเรื่อยๆบนถนนไฮเวย์ เลี้ยวขวาไปเรื่อยๆจนเข้าเกาลูนไฮเวย์ สุดท้ายก็วิ่งถึงเขตเมืองผ่านเขตเซนทรัลและผ่านสวนสาธารณะฮ่องกง จนถึงตอนนี้พี่ชายของเขายังไม่หยุดเปิดปิดโปรแกรมไลน์เลย
ดอร์นสไลด์หน้าจอตรงคอนโซลรถ เลือกเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งที่เขามักจะติดต่อกันเป็นประจำ รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับ เสียงพูดเซอราวด์รอบรถพลอยให้ไวโอลินได้ยินไปด้วย
‘ไง จับหนูลินขึ้นรถเสร็จแล้วเหรอ’
“อีกสิบนาทีถึง เจอกันเพื่อน”
‘เออ เจอกัน’ บทสนทนาสั้นๆกับ ลูซ หรือ ลูเซียโน่ เพื่อนสมัยเด็กซึ่งเป็นลูกชายบุญธรรมของเพื่อนพ่อที่ดูแลเขตเกาลูนจบลงภายในสามประโยค ไวโอลินหันมองน้องชายที่หันมายักคิ้วให้แล้วก็เบะปาก
“ทำไมต้องมาพร้อมกันสองคนด้วย ห่างกันไม่ได้เลยใช่มั้ย” ไวโอลินค่อนแคะ
“ดูแลเจ้าชายน้อยของตระกูลนี่ แค่ผมคนเดียวคงไม่พอหรอก” ดอร์นตอบสบายๆ ถ้านับตามศักดิ์เกิดก่อนหลัง พี่ชายของเขา ไวโอลิน มีชื่อเป็นทายาทอันดับหนึ่ง ส่วนเขาถูกใส่ชื่อเป็นทายาทอันดับสอง แต่ถึงกระนั้นการเล่าเรียนแบบฉบับ ‘พิเศษ’ ก็ถูกบังคับให้พวกเขาต้องเรียนเหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งอันนี้บอกตามตรงเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เขาอยากเอาเวลาช่วงปิดเทอมไปท่องไนท์ซาฟารีกับพ่อมากกว่า รอบที่แล้วเขาเก็บลูกหมาป่าเฟนเนกซ์ หรือสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายตัวเล็กหูกางกลับมาด้วยตัวหนึ่ง แม่มันถูกยิงตายอยู่ใกล้ๆ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ที่นั่นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กติดเขาแจ ตอนนี้ก็ฝากเจ้าสองสัตว์หน้าขนที่บ้านใหญ่เลี้ยงใหญ่อยู่ นึกแล้วก็คิดถึงเจ้าบาร์บี้จริงๆ
“หืม? ไม่ใช่คอนโดเดิมนี่ มาซื้อคอนโดที่นี่ได้แล้วเหรอ” ไวโอลินมองวิวทิวทัศน์ที่ผ่านหน้าไป ตัวรถไต่ขึ้นที่สูงบน เดอะ พีค ขึ้นไปเรื่อยๆ ที่แถวนี้จัดเป็นที่อยู่ของมหาเศรษฐี ที่ไม่ใช่มีดีแค่เงินเยอะก็มาซื้อเอาไว้ได้ ต้องมีฐานอำนาจบารมีในระดับหนึ่งด้วย เพราะที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในฮ่องกง อีกทั้งเป็นมุมที่เห็นวิวเมืองชัดเจน มองไปไกลๆก็เห็นน้ำทะเล ข้างหลังก็เป็นภูเขา ตรงตามทฤษฎีว่าด้วยเรื่องฮวงจุ้ยดีเป๊ะๆ
ก่อนหน้านี้เวลาที่ไวโอลินมาเที่ยวที่ฮ่องกง ถ้ามากับครอบครัวก็จะไปพักกันที่บ้านใหญ่ แต่ถ้ามาเที่ยวหาน้องแบบนี้เขามักจะเลือกพักกันที่คอนโดใจกลางเมืองด้านล่างมากกว่า แต่นี่เจ้าดอร์นกลับขับรถมาขึ้นเดอะ พีค ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมีคอนโดอยู่นี่ เขาก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออก จะว่าพาเขามาเดทที่นี่ก็ไม่น่าใช่
“จริงๆผมซื้อตั้งไว้นานแล้วแหละ ตั้งแต่ตอนที่พี่บอกให้ผมซื้อหุ้นตัวนั้นไง ดีนะที่ผมเชื่อตัวโชคดีอย่างพี่ ฟันกำไรเต็มๆ เสียดาย...นี่ถ้าพี่มาจับธุรกิจคาสิโนเหมือนผมนะคงรวยเละ”
“ฟลุ๊คหรอก เรียกพี่ตัวโชคดี นี่นึกไปถึงตัวเงินตัวทองเลยนะ” ไวโอลินตอบน้อง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใครๆต่างก็พากันเรียกเขาว่าตัวโชคดี ตั้งแต่เด็กแล้ว ป้าแม่บ้านที่ไทยเคยบอกว่าเขาเคยบอกเลขที่เห็นในถ้วยขนมวุ้นดำให้ แล้วป้าแกก็บ้าจี้ไปซื้อลอตเตอรี่ แล้วก็ดันถูกกันไปเป็นพันๆ
ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกุมารทองเลย ดีนะไม่เผลอมีป้าๆแม่บ้านเอาน้ำแดงมาถวายด้วยน่ะ
“ว่าแต่...อย่าเปลี่ยนเรื่อง นายไม่ใช่คนที่ชอบเปลี่ยนที่อยู่นี่ ทำไมถึงพาพี่มาที่นี่ สารภาพมา”
“ก็...ไม่มีอะไร คอนโดโน้นจะมีคนมาอยู่ชั่วคราว ผมขี้เกียจอยู่เฝ้าก็เลยมาพักที่นี่ดีกว่า”
“หืม? ใครอ่ะ”
“พี่จะอยากรู้ไปทำไม เอ้า...ถึงแล้ว”
“ดอร์น! บอกหน่อย พี่อยากรู้ ไม่รู้พี่นอนไม่หลับนะ”
“ไม่บอก เอ้า..เอาไปไว้ที่ห้องผมนะ” ดอร์นยื่นกระเป๋าเดินทางของไวโอลินกับเบลล์บอยที่มายืนรอรับตรงข้างรถ แล้วยื่นกุญแจรถให้ชายใส่สูทดำที่ก้าวมายืนค้อมตัวให้อยู่ข้างๆเพื่อเอารถไปเก็บให้
“ดอร์น ถ้าไม่บอกพี่จะโทรถามลูซเดี๋ยวนี้แหละ”
“ไวโอลิน อย่าดื้อนะ มานี่” ดอร์นถอนหายใจหนักหน่วย มองเจ้าชายของตระกูลที่ทำตัวเป็นเจ้าชายน้อยจอมซนได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะโดนสปอยมาตลอดตั้งแต่เด็ก ถึงความดื้อของไวโอลินมันจะอยู่ในขอบเขตที่รับได้ แต่ไอ้นิสัยอยากได้ก็ต้องได้เดี๋ยวนั้นนี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง
“เอ้าๆ เดี๋ยวๆ เล่นละครบทผัวเมียฉุดกระชากกันอีกแล้วเหรอ”
คำพูดกวนโอ๊ยป่วนประสาทแบบนี้ดังแว่วมาจากเจ้าของรถยี่ห้อกระทิงดุสีส้มแป๊ด ในรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้เองอย่าง แลมโบกินี่ ฮูราแคน เพอร์ฟอแมนท์ รุ่นนี้เป็นตัวล่าสุดที่ใครๆก็รอคอยสำหรับนักเล่นรถยี่ห้อแลมโบกินี่ ด้วยความแรงที่ 640 แรงม้า สนนราคาก็เบาๆอยู่ที่ 275,000 ดอลลาร์สหรัฐ!
นี่ก็บ้ากระทิง อีกคนก็บ้าม้า เออ!! รอบตัวเขานี่มีแต่พวกลูกคนรวยที่ใช้จ่ายเงินเป็นเบี้ย! อย่างเขานี่ตอนขับรถไปเรียนพ่อยังซื้อให้แค่ Swift สีเทาเงินเลย...โอเค ก็แค่สั่งทำสีพิเศษให้เท่านั้นเองแหละน่า
“ลูซ นายรู้ใช่มั้ยว่าใครที่ไปอยู่คอนโดของดอร์นน่ะ” ไวโอลินเปลี่ยนเป้าหมาย ไปคว้าเอาต้นแขนของลูซ ผู้ชายตัวโตผิวแทนผิดคนเอเชียในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ตัดขอบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมลงมาให้เห็นแผงอกวับๆแวมๆ ไม่ใช่ชุดปกติที่นักเรียนมหาวิทยาลัยจะใส่กันเลยในเวลาธรรมดาแบบนี้
แต่เอาเถอะ...อย่าใช้คำว่า ‘ธรรมดา’ กับพวกลูกเศรษฐีพวกนี้เลย วันๆพวกเขาเอาเวลาเข้าห้องประชุมกับผู้ปกครองบ่อยกว่าเข้าห้องเลคเชอร์ที่มหาวิทยาลัยเสียอีกมั้ง
“แน่นอนสิ หนูลินดินเนอร์กับผมมื้อหนึ่งสิแล้วผมจะบอก” ลูซยักคิ้วหลิ่วตามองญาติผู้พี่ของเพื่อนสนิทเบาๆ
“ไอ้บ้าลูซ” ไวโอลินต่อยแขนเพื่อนน้องชายเบาๆหนึ่งที เมื่อไหร่ไอ้เจ้าสองคนนี้จะเลิกทำเหมือนเขาเป็นผู้หญิงสักทีนะ แค่ตัวเล็ก ผมยาว หน้าขาวแค่นี้เอง จะยังไงไวโอลินก็เป็นผู้ชายนะเฟร้ย!
“เอาเถอะน่า ถ้าจะเจอก็คงได้เจอกันเอง ไปเถอะ เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน แล้วก็นั่น...ไฟโทรศัพท์พี่กระพริบแน่ะ เดาว่าพี่นัทเขาคงส่งโลมามาให้แล้วมั้ง” ดอร์นเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะเดินเอามือสอดกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้าชั้นฟลอกราวด์ของคอนโดสุดหรูไปก่อนเป็นคนแรก
ไวโอลินจิ๊ปากหมั่นไส้ท่าเดินน้องชายที่เดินทำเท่ห์ราวกับนายแบบก็ไม่ปาน ดูแม่สาวรีเซพชั่นนั่นสิ มองดอร์นเสียตาเยิ้มเชียว
‘อย่าไปหลงรูปลักษณ์มันเชียว นั่นน่ะเด็กอายุ 22 เองนะ!!’ ไวโอลินอยากตะโกนออกไปดังๆ แต่มันก็ทำไม่ได้ ช่างอัดอั้นเหลือเกิน
“ไปเถอะ” ลูเซียโน่ตบบ่าพี่ชายเพื่อนเบาๆก่อนจะเดินนำเข้าไปเป็นคนที่สอง ไวโอลินรีบสาวเท้าให้เดินไปให้ทันก่อนจะเอามือรั้งบ่าคนตัวสูงกว่าไว้
“ลูซ พี่อยากรู้ บอกพี่หน่อย” ทำตาปริบๆ หวังให้รุ่นน้องสงสาร แต่มันก็ไม่ได้ผล
“บอกแล้วไง ดินเนอร์กับผมมื้อหนึ่งสองต่อสองก่อนสิ แล้วผมจะบอก”
“ไอ้...! Dammit!” ไวโอลินสบถ
โอ๊ย...ให้ตายเถอะ ตั้งแต่มาถึงนี่เขาสบถไปกี่คำแล้วเนี่ย นี่ถ้าแม่ฟ้ารู้นะว่าเขาพูดคำหยาบ แม่เอาเขาตายแน่!
“โอ๊ย...นี่ก็เด้งจังเลย” โทรศัพท์มือถือที่ยังสั่นรัวๆบ่งบอกว่ามีคนส่งข้อความในโปรแกรมไลน์เด้งมาหา
ไวโอลินเอามาดูแค่ที่กระพริบบนหน้าจอ มันขึ้นว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทเขาส่งรูปถ่ายมาให้
“เฮอะ ส่งรูปมาง้อเหรอ ไม่อ่านหรอก” ไวโอลินแลบลิ้นใส่หน้าจอก่อนกดปิดแล้วเอาโทรศัพท์ใส่กลับลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินไปหาสองหนุ่มตัวสูงที่ยืนรอเขาอยู่ที่หน้าลิฟท์
-----------------------------------------------------------------
ภาคสุดท้ายของซีรี่ย์นี้ ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ